Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทาน (การให้)

Description: ทาน การให้ทานที่ได้ผลใหญ่ ได้อานิสงส์ใหญ่

Search

Read the Text Version

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให)้ ผลของทานกบั ผรู้ ับ 57 -บาลี อปุ ริ. ม. ๑๔/๔๕๘-๔๖๒/๗๑๑-๗๑๙. อานนท์ !   บุคคลให้ทานในสัตว์เดรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณา ได้ร้อยเทา่ ให้ทานในปุถชุ นผู้ทศุ ีล พึงหวงั ผลทกั ษิณาได้พนั เทา่ ใหท้ านในปถุ ชุ นผมู้ ศี ลี พงึ หวงั ผลทกั ษณิ าไดแ้ สนเทา่ ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความก�ำหนัด ในกาม พงึ หวังผลทกั ษิณาไดแ้ สนโกฏเิ ท่า ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพ่ือท�ำโสดาปัตติผลให้ แจ้ง พึงหวังผลทักษิณานับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ไม่ต้อง กลา่ วถงึ การใหท้ านในพระโสดาบัน ในทา่ นผปู้ ฏิบตั ิเพือ่ ท�ำ สกทาคามผิ ลให้แจง้ ในพระสกทาคามี ในทา่ นผู้ปฏบิ ตั ิเพอ่ื ท�ำอนาคามิผลให้แจง้ ในพระอนาคามี ในท่านผูป้ ฏบิ ัติเพื่อ ทำ� อรหตั ตผลใหแ้ จง้ ในสาวกของตถาคตผเู้ ปน็ พระอรหนั ต์ ในพระปจั เจกพทุ ธะ และในตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ. อานนท ์ !   กท็ กั ษณิ าทใี่ หแ้ ลว้ ในสงฆม์ ี ๗ อยา่ ง คอื   ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นี้เปน็ ทักษณิ าทถ่ี งึ แล้วในสงฆ์ ประการท่ี ๑ 133

พุทธวจน - หมวดธรรม ใหท้ านในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย ในเมอ่ื ตถาคตปรนิ พิ พานแลว้ นเ้ี ป็นทกั ษณิ าที่ถงึ แลว้ ในสงฆ์ ประการท่ี ๒ ให้ทานในภิกษุสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาท่ีถึงแล้วในสงฆ์ ประการที่ ๓ ใหท้ านในภกิ ษณุ สี งฆ์ นเี้ ปน็ ทกั ษณิ าทถ่ี งึ แลว้ ในสงฆ์ ประการที่ ๔ แจง้ ตอ่ สงฆว์ า่ ขอไดโ้ ปรดจดั ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ จี ำ� นวน เท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน น้ีเป็นทักษิณาที่ ถงึ แลว้ ในสงฆ์ ประการที่ ๕ 1 แจ้งต่อสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจ�ำนวนเท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาท่ีถึงแล้ว ในสงฆ์ ประการท่ี ๖ แจ้งต่อสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจ�ำนวนเท่าน้ี ข้ึนเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แลว้ ใหท้ าน นี้เปน็ ทกั ษณิ าทถ่ี งึ แลว้ ในสงฆ์ ประการที่ ๗ อานนท์ !   ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุ โคตรภู มผี า้ กาสาวะ (จวี ร) พนั คอ เปน็ คนทศุ ลี มบี าปธรรม คนทง้ั หลายจกั ถวายทานเฉพาะสงฆไ์ ดใ้ นเหลา่ ภกิ ษทุ ศุ ลี นน้ั . 1. หมายเหตุ : เป็นข้อสงั เกตให้ทราบว่า ทักษณิ าท่ีถึงแล้วในสงฆน์ ้นั จะมภี ิกษหุ รือภิกษุณีจ�ำนวนก่รี ปู ก็ได้ 134

เปิดธรรมที่ถกู ปิด : ทาน (การให้) อานนท์ !   ทักษิณาท่ีถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้น เรากก็ ลา่ ววา่ มผี ลนบั ไมไ่ ด้ ประมาณไมไ่ ด้ แตว่ า่ เราไมก่ ลา่ ว ปาฏิปุคคลิกทาน (การถวายเจาะจงบุคคล) ว่ามีผลมากกว่า ทักษณิ าท่ีถงึ แลว้ ในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย. อานนท์ !   กค็ วามบรสิ ทุ ธแิ์ หง่ ทกั ษณิ านมี้ ี ๔ อยา่ ง ๔ อยา่ งเป็นอย่างไร คือ (1) ทกั ษณิ าบางอยา่ งบรสิ ุทธ์ิฝา่ ยทายก (ผู้ให้)  ไมบ่ ริสทุ ธฝิ์ ่ายปฏคิ าหก (ผรู้ บั ) (2) ทกั ษณิ าบางอย่างบรสิ ทุ ธิ์ฝา่ ยปฏคิ าหก  ไมบ่ ริสุทธิ์ฝา่ ยทายก (3) ทกั ษณิ าบางอยา่ งฝา่ ยทายกกไ็ ม่บริสทุ ธ์ิ ฝา่ ยปฏคิ าหกก็ไมบ่ ริสุทธิ์ (4) ทักษิณาบางอยา่ งบรสิ ทุ ธท์ิ ง้ั ฝา่ ยทายก และฝา่ ยปฏคิ าหก อานนท์ !   ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก  ไม่ บริสทุ ธฝิ์ า่ ยปฏคิ าหก เป็นอยา่ งไร. อานนท ์!  ในขอ้ นท้ี ายกมศี ลี มธี รรมงาม ปฏคิ าหก เป็นผ้ทู ศุ ีล มีบาปธรรม อยา่ งนีแ้ ล ทักษิณาชอ่ื วา่ บรสิ ทุ ธ์ิ ฝ่ายทายก ไมบ่ ริสุทธฝิ์ า่ ยปฏิคาหก. 135

พุทธวจน - หมวดธรรม อานนท์ !   ก็ทักษิณาช่ือว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไมบ่ ริสทุ ธิ์ฝา่ ยทายก เป็นอย่างไร. อานนท์ !   ในข้อน้ีทายกเป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม ปฏิคาหกเปน็ ผมู้ ศี ลี มธี รรมงาม อย่างน้แี ล ทกั ษณิ าช่อื วา่ บรสิ ุทธิฝ์ ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธ์ิฝา่ ยทายก. อานนท์ !   ก็ทักษิณาชื่อว่าฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธ์ิ เป็นอยา่ งไร. อานนท ์ !   ในขอ้ นที้ ายกกเ็ ปน็ ผทู้ ศุ ลี มบี าปธรรม ปฏคิ าหกกเ็ ปน็ ผทู้ ศุ ลี มบี าปธรรม อยา่ งนแ้ี ล ทกั ษณิ าชอ่ื วา่ ฝา่ ยทายกกไ็ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ ฝา่ ยปฏคิ าหกกไ็ มบ่ รสิ ทุ ธ.ิ์ อานนท ์ !   กท็ กั ษณิ าชอ่ื วา่ บรสิ ทุ ธทิ์ งั้ ฝา่ ยทายก และ ฝา่ ยปฏคิ าหก เป็นอย่างไร. อานนท์ !   ในข้อนที้ ายกกเ็ ป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม ปฏคิ าหกกเ็ ปน็ ผมู้ ศี ลี มธี รรมงาม อยา่ งนแ้ี ล ทกั ษณิ าชอ่ื วา่ บรสิ ทุ ธทิ์ ง้ั ฝา่ ยทายกและฝา่ ยปฏคิ าหก. อานนท ์ !   นแ้ี ล ความบรสิ ทุ ธแิ์ หง่ ทกั ษณิ า ๔ อยา่ ง. 136

เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : ทาน (การให)้ (คาถาผนวกทา้ ยพระสตู ร) (1) ผ้ใู ดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเล่อื มใสดี เช่ือกรรมและผลแห่งกรรมอย่างย่ิง  ให้ทานในคนทุศีล ทักษณิ าของผ้นู ้ันชอื่ วา่ บรสิ ุทธฝ์ิ า่ ยทายก (2) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิต ไม่เล่ือมใส ไม่เช่ือกรรมและผลของกรรมอย่างย่ิง ให้ทาน ในคนมศี ีล ทักษณิ าของผ้นู ัน้ ชอ่ื วา่ บรสิ ุทธ์ฝิ า่ ยปฏคิ าหก (3) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิต ไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทาน ในคนทุศีล เราไมก่ ลา่ วทานของผนู้ ้นั วา่ มผี ลไพบูลย์ (4) ผ้ใู ดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเล่อื มใสดี เช่ือกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง  ให้ทานในคนมีศีล เรากล่าวทานของผู้นั้นแลวา่ มผี ลไพบูลย์ (5) ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว  ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ใหท้ าน ในผปู้ ราศจากราคะ ทานของผนู้ นั้ นัน่ แล เลิศกว่าอามิสทาน ทัง้ หลาย. 137

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : ทาน (การให้) ผู้ควรรับทกั ษณิ า (นัยท่ี ๑) 58 -บาลี อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๐-๒๐๑/๒๘๒-๒๙๑. ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุบริษัทนี้  ไม่เหลวไหลเลย ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษบุ รษิ ทั นไ้ี มเ่ หลวแหลกเลย ภกิ ษบุ รษิ ทั นี้ ตงั้ อยู่แลว้ ในธรรมทเ่ี ปน็ สาระล้วน. ภิกษุท้ังหลาย !   บริษัทเช่นใด  มีลักษณะเป็นผู้ ควรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ องทำ� บญุ ควรแก่การทำ� อญั ชลี เป็นนาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อนื่ ย่ิงกว่า หมู่ภิกษุน้ีก็มีลักษณะเช่นนั้น ภิกษุบริษัทน้ีก็มี ลกั ษณะเชน่ นนั้ . ภิกษุทั้งหลาย !   บริษัทเช่นใด  มีลักษณะท่ีทาน อันบุคคลให้นอ้ ย แตก่ ลบั มผี ลมาก ทานทีใ่ ห้มาก ก็มีผล มากทวีย่ิงขึ้น หมู่ภิกษุน้ีก็มีลักษณะเช่นน้ัน ภิกษุบริษัทน้ี ก็มลี กั ษณะเชน่ นน้ั . ภิกษุทั้งหลาย !   บริษัทเช่นใด  มีลักษณะยากท่ี ชาวโลกจะได้เห็น หมู่ภิกษุนี้ก็มีรูปลักษณะเช่นน้ัน ภิกษุ บรษิ ทั นี้ก็มีลักษณะเช่นน้ัน. 138

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : ทาน (การให)้ ภิกษุท้ังหลาย !   บริษทั เชน่ ใด มีลักษณะทีค่ วรจะ ไปดู ไปเหน็ แมจ้ ะตอ้ งเดินสน้ิ หนทางนับดว้ ยโยชนๆ์ ถงึ กับต้องเอาห่อเสบียงไปด้วยก็ตาม หมู่ภิกษุนี้ก็มีลักษณะ เชน่ นั้น ภิกษุบรษิ ัทนกี้ ม็ ีลกั ษณะเชน่ นั้น. ภิกษุท้ังหลาย !   ในหมู่ภิกษุน้ี มีพวกภิกษุซึ่งเป็น พระอรหันต์ ผ้สู น้ิ อาสวะแล้ว ผู้อยจู่ บพรหมจรรย์แล้ว มีกจิ ทคี่ วรท�ำไดท้ �ำสำ� เรจ็ แลว้ มภี าระปลงลงได้แลว้ มีประโยชน์ ของตนเองบรรลุแล้วโดยล�ำดับ มีสัญโญชน์ในภพส้ินแล้ว หลดุ พน้ แลว้ เพราะรทู้ วั่ ถงึ โดยชอบ พวกภิกษุแม้เห็นปานน้ี ก็มีอยู่ในหมู่ภิกษุนี้. ภิกษุท้ังหลาย !   ในหมู่ภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซ่ึงสิ้น สัญโญชน์เบ้ืองต่�ำห้า เป็นโอปปาติกะแล้ว จักปรินิพพาน ในทีน่ ัน้ ไม่เวียนกลบั มาจากโลกนัน้ เป็นธรรมดา พวกภกิ ษุ แม้เหน็ ปานนี้ กม็ อี ยใู่ นหมภู่ ิกษนุ .้ี ภิกษุท้ังหลาย !   ในหมู่ภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซ่ึงสิ้น สญั โญชนส์ าม และมคี วามเบาบางไปของราคะ โทสะ โมหะ เปน็ สกทาคามี มาสโู่ ลกนอ้ี กี ครงั้ เดยี วเทา่ นนั้ แลว้ จกั กระทำ� ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานนี้ กม็ อี ยใู่ นหมภู่ กิ ษนุ .้ี 139

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย !   ในหมู่ภิกษุน้ี มีพวกภิกษุซ่ึงส้ิน สัญโญชน์สาม  เป็น โสดาบัน  มีอันไม่ตกต�่ำเป็นธรรมดา ผเู้ ทยี่ งแทต้ อ่ นพิ พาน จกั ตรสั รไู้ ดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ พวกภกิ ษุ แมเ้ ห็นปานน้ี ก็มีอยู่ในหม่ภู ิกษุน้ี. ภิกษุทั้งหลาย !   ในหมู่ภิกษุน้ี มีพวกภิกษุซ่ึง ประกอบความเพียรเป็นเครื่องต้องท�ำเนืองๆ ในการ อบรมสติปัฏฐานสี่ สัมมัปปธานส่ี อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ห้า พละหา้ โพชฌงค์เจด็ อรยิ มรรคมีองค์แปด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อสุภะ อนิจจสัญญา และอานาปานสติ พวกภิกษุแม้เหน็ ปานนี้ ก็มอี ยใู่ นหมู่ภิกษนุ .้ี 140

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : ทาน (การให้) ผคู้ วรรับทกั ษณิ า (นัยที่ ๒) 59 -บาลี อฏฺ ก. อํ. ๒๓/๓๐๑/๑๔๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   บคุ คล ๘ จำ� พวกน้ี ยอ่ มเปน็ ผคู้ วร แก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของท�ำบุญ ควร แก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอ่ืนย่ิงกว่า ๘ จ�ำพวกเปน็ อยา่ งไร คอื (1) พระโสดาบนั (2) ทา่ นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ กระทำ�ใหแ้ จง้ ซงึ่ โสดาปตั ตผิ ล (3) พระสกทาคามี (4) ทา่ นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ กระทำ�ใหแ้ จง้ ซง่ึ สกทาคามผิ ล (5) พระอนาคามี (6) ทา่ นผปู้ ฏบิ ัติเพื่อกระทำ�ใหแ้ จง้ ซึ่งอนาคามิผล (7) พระอรหันต์ (8) ท่านผปู้ ฏิบตั ิเพอื่ อรหัตตผล ภกิ ษุทง้ั หลาย !   บคุ คล ๘ จำ� พวกนแ้ี ล เป็นผคู้ วร แก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของท�ำบุญ ควร แก่การท�ำอัญชลี เปน็ นาบุญของโลก ไมม่ ีนาบุญอ่นื ยงิ่ กว่า. ผปู้ ฏบิ ตั แิ ลว้ ๔จำ� พวกและผตู้ ง้ั อยใู่ นผลแลว้ ๔จำ� พวก น่ีแหละสงฆ์ เปน็ คนตรง เปน็ ผ้ตู ง้ั มัน่ แลว้ ในปัญญาและศีล ย่อมกระท�ำให้เกิดบุญอื่นเน่ืองด้วยอุปธิแก่มนุษย์ทั้งหลาย ผู้มคี วามตอ้ งการดว้ ยบุญ กระท�ำการบชู าอยู่ ทานท่ีใหแ้ ล้ว ในสงฆ์จงึ มผี ลมาก. 141

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : ทาน (การให้) ผ้คู วรรับทกั ษณิ า (นัยท่ี ๓) 60 -บาลี สตตฺ ก. อํ. ๒๓/๑๐/๑๔. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   บคุ คล ๗ จำ� พวกน้ี ยอ่ มเปน็ ผคู้ วร แก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของท�ำบุญ ควร แก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นย่ิงกว่า ๗ จ�ำพวกเป็นอยา่ งไร คอื (1) อภุ โตภาควิมตุ ติ (2) ปัญญาวมิ ุตติ (3) กายสักขี (4) ทฏิ ฐิปตั ตะ (5) สทั ธาวมิ ุตติ (6) ธมั มานุสารี (7) สัทธานุสารี ภิกษทุ ้ังหลาย !   บุคคล ๗ จ�ำพวกนแี้ ล เปน็ ผูค้ วร แก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของท�ำบุญ ควร แก่การท�ำอญั ชลี เป็นนาบุญของโลก ไมม่ ีนาบญุ อ่นื ยง่ิ กว่า. 142

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : ทาน (การให)้ ผคู้ วรรับทกั ษณิ า (นัยที่ ๔) 61 -บาลี ปจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๑๕๒/๑๐๗. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๕ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ทำ� บญุ ควรแกก่ ารท�ำอญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มนี าบุญ อน่ื ยิ่งกว่า  ธรรม ๕ ประการเป็นอยา่ งไร คือ (1) เป็นผูถ้ ึงพร้อมด้วยศลี (2) เป็นผถู้ งึ พร้อมดว้ ยสมาธิ (3) เปน็ ผู้ถึงพรอ้ มดว้ ยปญั ญา (4) เป็นผถู้ ึงพรอ้ มดว้ ยวมิ ุตติ (5) เป็นผู้ถงึ พร้อมด้วยวมิ ุตติญาณทสั สนะ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๕ประการ นี้แล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบุญอ่ืนยงิ่ กว่า. 143

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : ทาน (การให้) ผู้ควรรบั ทกั ษณิ า (นยั ที่ ๕) 62 -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๓๑๔/๒๗๔. ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแกข่ องทำ� บุญ ควรแกก่ ารท�ำอัญชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ย่ิงกวา่   ธรรม ๖ ประการเปน็ อยา่ งไร คอื (1) สัทธนิ ทรยี ์ อนิ ทรยี ์คอื ศรทั ธา (2) วิริยินทรยี ์ อนิ ทรียค์ ือวิริยะ (3) สตินทรยี ์ อนิ ทรีย์คอื สติ (4) สมาธนิ ทรีย์ อนิ ทรยี ์คือสมาธิ (5) ปัญญินทรีย์ อนิ ทรยี ค์ ือปัญญา (6) กระทำ�ให้แจ้งซ่ึงเจโตวิมุตติ  ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะท้ังหลายส้ินไป ด้วยปัญญา อันยิง่ เองในปัจจบุ ัน เข้าถงึ อยู่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๖ประการ นี้แล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบุญอ่นื ยิง่ กวา่ . 144

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : ทาน (การให)้ ผคู้ วรรับทกั ษณิ า (นัยที่ ๖) 63 -บาลี ม. ม. ๑๓/๑๗๗/๑๗๔. ภัททาลิ !   ภิกษผุ ้ปู ระกอบดว้ ยธรรม ๑๐ ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มนี าบุญ อน่ื ย่ิงกวา่   ธรรม ๑๐ ประการเปน็ อยา่ งไร คือ (1) ประกอบดว้ ยสมั มาทฏิ ฐิ อนั เปน็ ของพระอเสขะ (2) ประกอบด้วยสมั มาสงั กปั ปะ ... (3) ประกอบดว้ ยสมั มาวาจา ... (4) ประกอบดว้ ยสัมมากัมมนั ตะ ... (5) ประกอบด้วยสมั มาอาชวี ะ ... (6) ประกอบด้วยสมั มาวายามะ ... (7) ประกอบดว้ ยสัมมาสติ ... (8) ประกอบดว้ ยสัมมาสมาธิ ... (9) ประกอบดว้ ยสมั มาญาณะ ... (10) ประกอบดว้ ยสมั มาวิมตุ ติ ... ภทั ทาล ิ!   ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๑๐ประการนแี้ ล เปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ องทำ� บญุ ควรแกก่ ารทำ� อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อนื่ ยง่ิ กวา่ . 145

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : ทาน (การให)้ ผู้ควรรับทกั ษณิ า (นัยที่ ๗) 64 -บาลี จตุกกฺ . อ.ํ ๒๑/๒๓๑/๑๘๑. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๔ ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ทำ� บุญ ควรแกก่ ารทำ� อัญชลี เป็นนาบญุ ของโลก ไม่มนี าบุญ อ่ืนยิ่งกวา่   ธรรม ๔ ประการเปน็ อย่างไร คือ (1) เปน็ ผู้ฉลาดในฐานะ (2) เปน็ ผยู้ ิงไดไ้ กล (3) เป็นผ้ยู ิงได้เร็ว (4) ทำ�ลายขา้ ศกึ หม่ใู หญไ่ ด้ ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในฐานะเป็น อย่างไร คือ ภิกษุเป็นผู้มีศีล ส�ำรวมด้วยปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษ ทั้งหลาย แม้มปี ระมาณเล็กนอ้ ย สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบท ทั้งหลาย  ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในฐานะด้วย อาการอยา่ งนี.้ ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็นผู้ยิงได้ไกลเป็นอย่างไร คือ ภิกษุย่อมเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง อย่างน้ีว่า รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งท่ีเป็นอดีตอนาคตและ ปจั จุบัน เปน็ ภายในหรอื ภายนอก หยาบหรอื ละเอียด เลว หรือประณีต ทั้งไกลและใกล้ รูปทั้งหมดน้ัน ไม่ใช่ของเรา 146

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให้) ไมใ่ ชเ่ ปน็ เรา ไมใ่ ชต่ วั ตนของเรา ยอ่ มเหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ... สัญญาอย่างใดอย่างหน่ึง ... สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง ... วญิ ญาณอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ทง้ั ทเี่ ปน็ อดตี อนาคตและปจั จบุ นั เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือ ประณตี ทงั้ ไกลและใกล้ วิญญาณท้ังหมดนนั้ ไมใ่ ชข่ องเรา ไมใ่ ช่เปน็ เรา ไม่ใชต่ ัวตนของเรา  ภกิ ษุทัง้ หลาย ! ภกิ ษเุ ป็น ผยู้ ิงได้ไกลดว้ ยอาการอยา่ งน.ี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษเุ ปน็ ผยู้ งิ ไดเ้ รว็ เปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษยุ อ่ มรชู้ ดั ตามความเปน็ จรงิ วา่ นที้ กุ ข์ นเี้ หตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์  นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข ์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ภกิ ษเุ ปน็ ผยู้ งิ ไดเ้ รว็ ดว้ ย อาการอย่างน้.ี ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็นผู้ท�ำลายข้าศึกหมู่ใหญ่ ได้เป็นอย่างไร คือ ภกิ ษยุ อ่ มทำ� ลายกองอวชิ ชาใหญเ่ สยี ได้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษเุ ปน็ ผทู้ ำ� ลายขา้ ศกึ หมใู่ หญไ่ ดด้ ว้ ยอาการ อยา่ งน้.ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ภกิ ษปุ ระกอบดว้ ยธรรม ๔ ประการ นแ้ี ล เปน็ ผคู้ วรของคำ� นบั เปน็ ผคู้ วรของตอ้ นรบั เปน็ ผคู้ วรแก่ ทกั ษณิ า เปน็ ผคู้ วรทำ� อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อนื่ ยงิ่ กวา่ . 147

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให้) ผคู้ วรรบั ทกั ษิณา (นัยที่ ๘) 65 -บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๘๑/๑๔๐. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๕ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ทำ� บญุ ควรแกก่ ารทำ� อญั ชลีเปน็ นาบญุ ของโลกไมม่ นี าบญุ อน่ื ย่งิ กวา่   ธรรม ๕ ประการเป็นอย่างไร คือ (1) เปน็ ผู้เชื่อฟงั (2) เปน็ ผู้ฆา่ ได้ (3) เปน็ ผรู้ ักษาได้ (4) เป็นผู้อดทนได้ (5) เปน็ ผู้ไปได้ ภกิ ษุทงั้ หลาย !   ภกิ ษุเปน็ ผ้เู ช่อื ฟังเปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษยุ อ่ มตง้ั ใจ ใสใ่ จ สำ� รวมใจ เงยี่ โสตลงฟงั ธรรม เมอื่ ผอู้ น่ื แสดงธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว  ภิกษุท้ังหลาย ! ภิกษุเปน็ ผเู้ ชอื่ ฟังอย่างน้ีแล. ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็นผู้ฆ่าได้เป็นอย่างไร คือ ภกิ ษุย่อมอดกล้ัน ละ บรรเทา ก�ำจัด ท�ำให้ส้นิ ไป ให้ถึงซง่ึ ความไมม่ แี ห่งกามวติ กท่เี กิดข้นึ แล้ว ... ให้ถงึ ซง่ึ ความไมม่ ี แห่งพยาบาทวิตกที่เกิดข้ึนแล้ว ... ให้ถึงซ่ึงความไม่มีแห่ง 148

เปิดธรรมท่ีถูกปิด : ทาน (การให้) วิหิงสาวิตกท่ีเกิดขึ้นแล้ว ย่อมอดกลั้น ละ บรรเทา ก�ำจัด ท�ำให้สน้ิ ไป ให้ถึงซง่ึ ความไม่มแี ห่งอกุศลธรรมอนั เปน็ บาป ทั้งหลายท่ีเกิดข้ึนแล้ว  ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเป็นผู้ฆ่าได้ อย่างนี้แล. ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเป็นผู้รักษาได้เป็นอย่างไร คือ ภิกษุเห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู ได้ดมกลิ่นด้วย จมูก ได้ลิ้มรสดว้ ยล้ิน ได้สัมผสั โผฏฐัพพะดว้ ยกาย และได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมไม่ถือเอาท้ังหมด หรือย่อม ไมถ่ อื เอาโดยเปน็ สว่ นๆ ยอ่ มปฏบิ ตั เิ พอื่ สำ� รวมอนิ ทรยี น์ น้ั ไว้ อันเป็นส่ิงที่เม่ือไม่ส�ำรวมแล้ว พึงเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็น บาปอกศุ ลคอื อภชิ ฌาและโทมนสั ครอบงำ� ได ้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษเุ ปน็ ผ้รู กั ษาไดอ้ ยา่ งนแี้ ล. ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็นผู้อดทนได้เป็นอย่างไร คอื ภกิ ษุเปน็ ผ้อู ดทนได้ตอ่ เย็น รอ้ น หิว ระหาย สัมผัสแห่ง เหลอื บ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน เป็นผ้อู ดทนได้ ต่อค�ำหยาบคาย เป็นผู้อดทนได้ต่อทุกขเวทนาทางร่างกาย ทบ่ี งั เกดิ ขนึ้ แลว้ อนั กลา้ แขง็ เผด็ รอ้ น ไมเ่ ปน็ ทช่ี น่ื ใจ ไมเ่ ปน็ ทชี่ อบใจ สามารถปลดิ ชพี เสยี ได ้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษเุ ปน็ ผู้อดทนไดอ้ ยา่ งนแ้ี ล. 149

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็นผู้ไปได้เป็นอย่างไร คือ ภกิ ษยุ อ่ มเปน็ ผไู้ ปสทู่ ศิ ทไี่ มเ่ คยไปตลอดกาลนาน นคี้ อื ธรรม เป็นท่ีระงับแห่งสังขารท้ังปวง เป็นที่สลัดคืนซ่ึงอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นท่ีส�ำรอก เป็นท่ีดับหาเคร่ือง เสียบแทงมิได้ โดยเร็วพลัน  ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็น ผู้ไปไดอ้ ย่างนแี้ ล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๕ประการ นแ้ี ล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ ี นาบญุ อนื่ ยง่ิ กวา่ . 150

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให้) ผู้ควรรับทักษณิ า (นยั ท่ี ๙) 66 -บาลี จตุกฺก. อ.ํ ๒๑/๑๕๓/๑๑๒. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๔ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ท�ำบญุ ควรแก่การทำ� อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบุญ อ่นื ย่งิ กว่า  ธรรม ๔ ประการเปน็ อย่างไร คือ (1) ความซื่อตรง (2) ความเร็ว (3) ความอดทน (4) ความสงบเสงีย่ ม ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๔ประการ นี้แล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบญุ อ่นื ยิง่ กวา่ . 151

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : ทาน (การให้) ผู้ควรรับทกั ษิณา (นยั ท่ี ๑๐) 67 -บาลี ปจฺ ก. อํ. ๒๒/๑๗๖/๒๐๓. ... ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแกข่ องท�ำบญุ ควรแกก่ ารทำ� อญั ชลี เป็นนาบญุ ของโลก ไม่มีนาบญุ อื่นยิง่ กวา่   ธรรม ๕ ประการเปน็ อยา่ งไร คอื (1) ความซอื่ ตรง (2) ความเร็ว (3) ความอ่อนโยน (4) ความอดทน (5) ความสงบเสงย่ี ม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๕ประการ น้ีแล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบุญอ่ืนยิง่ กว่า. 152

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : ทาน (การให้) ผู้ควรรับทักษิณา (นัยที่ ๑๑) 68 -บาลี อฏฺก. อํ. ๒๓/๑๙๓/๑๐๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษปุ ระกอบดว้ ยธรรม ๘ ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ทำ� บญุ ควรแกก่ ารทำ� อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ย่งิ กวา่   ธรรม ๘ ประการเปน็ อย่างไร คอื (1) เปน็ ผมู้ ศี ลี สำ�รวมดว้ ยปาตโิ มกขสงั วร ถงึ พรอ้ ม ด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลาย แม้มีประมาณเล็กน้อย สมาทานศกึ ษาในสิกขาบทท้งั หลาย (2) เขาถวายโภชนะใดๆ แก่เธอ เศร้าหมองหรือ ประณีตก็ตาม เธอฉันโภชนะนั้นๆ โดยเคารพเอ้ือเฟ้ือ ไม่ เดอื ดร้อนกระวนกระวาย (3) เปน็ ผเู้ กลยี ดตอ่ กายทจุ รติ วจที จุ รติ มโนทจุ รติ เกลยี ดตอ่ การถงึ พรอ้ มดว้ ยอกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาปทงั้ หลาย (4) เปน็ ผยู้ นิ ดใี นความสงบ มกี ารอยรู่ ว่ มกนั เปน็ สขุ ไม่ทำ�ภกิ ษุเหล่าอื่นให้หวาดกลวั (5) เปน็ ผเู้ ปดิ เผยความโออ้ วด ความโกง ความพยศ ความคดของเธอในพระศาสดา หรอื ในเพอ่ื นสพรหมจารผี เู้ ปน็ 153

พทุ ธวจน - หมวดธรรม วิญญูชน  ตามเป็นจริง  พระศาสดาหรือเพ่ือนสพรหมจารี ผู้วิญญูชนเหล่านั้น ย่อมพยายามเพื่อกำ�จัดโทษเหล่าน้ัน ของเธอเสยี (6) เปน็ ผมู้ สี กิ ขา ตง้ั จติ วา่ “ภกิ ษเุ หลา่ อนื่ จะศกึ ษา หรอื ไมศ่ กึ ษากต็ าม เราจกั ศกึ ษาในบทแหง่ การศกึ ษานนั้ ๆ” ดังนี้ (7) เม่ือเธอไปก็ไปตรง นี้คือทางตรงในกรณีน้ัน คอื สมั มาทิฏฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (8) เปน็ ผมู้ คี วามเพยี รอนั ปรารภแลว้ วา่ “หนงั เอน็ กระดูก จักเหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระจะเหือดแห้งไป ก็ตามที ประโยชน์ใดอันบุคคลจะพึงลุได้ด้วยกำ�ลัง ด้วย ความเพียร  ความบากบั่นของบุรุษ  ถ้ายังไม่บรรลุถึง ประโยชนน์ ั้นแล้ว จักหยดุ ความเพยี รเสยี เปน็ ไม่มี” ดังน้ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๘ประการ นี้แล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบญุ อนื่ ยิ่งกว่า. 154

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : ทาน (การให้) ผ้คู วรรับทักษิณา (นัยท่ี ๑๒) 69 -บาลี อฏ ก. อํ. ๒๓/๓๐๐/๑๔๘. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๘ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ท�ำบญุ ควรแก่การทำ� อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มีนาบญุ อ่ืนยิ่งกวา่   ธรรม ๘ ประการเป็นอยา่ งไร คือ (1) เปน็ ผมู้ ศี ลี สำ�รวมดว้ ยปาตโิ มกขสงั วร ถงึ พรอ้ ม ด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษท้ังหลาย แม้มีประมาณเลก็ น้อย สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบททัง้ หลาย (2) เป็นพหสู ูต ทรงสตุ ะ สัง่ สมสุตะ ธรรมเหลา่ ใด งามในเบ้ืองต้น งามในท่ามกลาง งามในท่ีสุด ท่ีเป็นการ ประกาศพรหมจรรยอ์ นั บรสิ ทุ ธ์ิ บรบิ รู ณส์ น้ิ เชงิ พรอ้ มทง้ั อรรถะ พรอ้ มทง้ั พยญั ชนะ ธรรมมลี กั ษณะเหน็ ปานนน้ั อนั เขาสดบั แลว้ มาก ทรงไว้ คล่องปาก ขนึ้ ใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ (3) เปน็ ผปู้ รารภความเพยี ร มกี ำ�ลงั มคี วามบากบน่ั มั่นคง ไมท่ อดธรุ ะในกศุ ลธรรมท้ังหลาย (4) เป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร  อยู่ในเสนาสนะ อนั สงดั 155

พุทธวจน - หมวดธรรม (5) เป็นผู้อดกล้ันต่อความไม่ยินดีและความยินดี ระงับเสียไดซ้ งึ่ ความไมย่ นิ ดีที่เกิดขนึ้ แล้ว (6) เปน็ ผอู้ ดกลน้ั ความกลวั ตอ่ ภยั เสยี ได้ ระงบั เสยี ไดซ้ งึ่ ความกลัวต่อภยั ที่เกิดข้นึ แลว้ (7) มปี กตไิ ดต้ ามความปรารถนา ไดโ้ ดยไมย่ าก ได้ โดยไมล่ ำ�บากซงึ่ ฌานทง้ั ๔ ซ่งึ เป็นจติ อันยง่ิ เปน็ เคร่ืองอยู่ เป็นสขุ ในปัจจบุ นั (8) กระทำ�ให้แจ้งซ่ึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอัน หาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะท้ังหลายส้ินไป ด้วยปัญญาอัน ยิง่ เองในปัจจบุ นั เข้าถึงอยู่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๘ประการ นี้แล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบญุ อืน่ ยง่ิ กวา่ . 156

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : ทาน (การให)้ ผ้คู วรรบั ทักษิณา (นัยท่ี ๑๓) 70 -บาลี ปญฺจก. อ.ํ ๒๒/๑๘๐/๑๓๙. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๕ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ทำ� บุญ ควรแกก่ ารทำ� อญั ชลี เปน็ นาบุญของโลก ไมม่ ีนาบญุ อ่นื ย่ิงกว่า  ธรรม ๕ ประการเปน็ อย่างไร คอื (1) อดทนตอ่ รูป (2) อดทนต่อเสยี ง (3) อดทนตอ่ กลิน่ (4) อดทนตอ่ รส (5) อดทนต่อโผฏฐพั พะ ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเป็นผู้อดทนต่อรูปเป็น อย่างไร คอื ภิกษุเหน็ รปู ดว้ ยตาแลว้ ยอ่ มไม่กำ� หนดั ในรปู ทช่ี วนใหก้ ำ� หนดั สามารถตงั้ จติ ไวโ้ ดยชอบ  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษเุ ป็นผอู้ ดทนตอ่ รูปอย่างนแี้ ล. ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็นผู้อดทนต่อเสียงเป็น อย่างไร คือ ภกิ ษฟุ งั เสยี งด้วยหแู ลว้ ย่อมไม่กำ� หนดั ในเสยี ง ทชี่ วนใหก้ ำ� หนดั สามารถตงั้ จติ ไวโ้ ดยชอบ  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษุเปน็ ผู้อดทนตอ่ เสยี งอยา่ งนแ้ี ล. 157

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเป็นผู้อดทนต่อกลิ่นเป็น อยา่ งไร คอื ภกิ ษดุ มกลนิ่ ดว้ ยจมกู แลว้ ยอ่ มไมก่ ำ� หนดั ในกลนิ่ ทช่ี วนใหก้ ำ� หนดั สามารถตง้ั จติ ไวโ้ ดยชอบ  ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษเุ ป็นผ้อู ดทนต่อกล่นิ อย่างน้ีแล. ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเป็นผู้อดทนต่อรสเป็น อยา่ งไร คอื ภกิ ษลุ ิ้มรสดว้ ยลนิ้ แลว้ ย่อมไม่ก�ำหนดั ในรสท่ี ชวนให้ก�ำหนัด สามารถต้ังจิตไว้โดยชอบ  ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษุเป็นผอู้ ดทนตอ่ รสอยา่ งน้ีแล. ภิกษุท้ังหลาย !   ภิกษุเป็นผู้อดทนต่อโผฏฐัพพะ เป็นอย่างไร คอื ภกิ ษถุ กู ตอ้ งโผฏฐพั พะดว้ ยกายแล้ว ย่อม ไม่ก�ำหนัดในโผฏฐัพพะท่ีชวนให้ก�ำหนัด สามารถต้ังจิตไว้ โดยชอบ  ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ภกิ ษเุ ปน็ ผอู้ ดทนตอ่ โผฏฐพั พะ อย่างนี้แล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๕ประการ น้ีแล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบุญอื่นยิง่ กวา่ . 158

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : ทาน (การให้) ผคู้ วรรบั ทักษณิ า (นยั ที่ ๑๔) 71 -บาลี ปฺจก. อ.ํ ๒๒/๑๗๖/๒๐๓. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๖ ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ท�ำบญุ ควรแก่การทำ� อญั ชลี เป็นนาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบุญ อื่นยิ่งกวา่   ธรรม ๖ ประการเปน็ อยา่ งไร คือ (1) อดทนต่อรปู (2) อดทนต่อเสยี ง (3) อดทนตอ่ กลน่ิ (4) อดทนต่อรส (5) อดทนต่อโผฏฐัพพะ (6) อดทนตอ่ ธัมมารมณ์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๖ ประการ นี้แล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบญุ อ่นื ยิง่ กว่า. 159

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ : ทาน (การให้) ผ้คู วรรับทักษิณา (นัยท่ี ๑๕) 72 -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/๑๐๗/๖๕. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม๗ประการ ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำ� นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ อง ท�ำบุญ ควรแกก่ ารท�ำอัญชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่   ธรรม ๗ ประการเปน็ อย่างไร คอื (1) ธมั มัญญู รู้จักธรรม (2) อัตถัญญู ร้จู ักอรรถ (3) อตั ตญั ญู รจู้ ักตน (4) มัตตญั ญู รจู้ กั ประมาณ (5) กาลญั ญู รจู้ กั กาล (6) ปรสิ ญั ญู รู้จกั บรษิ ัท (7) ปุคคลปโรปรญั ญู รูจ้ กั เลอื กคบคน ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษเุ ปน็ ธมั มญั ญเู ปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษยุ อ่ มรธู้ รรม คอื สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ ชาตกะ อพั ภตู ธรรม เวทลั ละ หากภกิ ษไุ มพ่ งึ รจู้ กั ธรรม คอื สตุ ตะ ... เวทลั ละ เรากไ็ มพ่ งึ เรยี กวา่ เปน็ ธมั มญั ญู แตเ่ พราะภกิ ษุรูธ้ รรม คือ สุตตะ ... เวทลั ละ ฉะน้ัน เราจึง เรียกวา่ เป็นธัมมัญญู ด้วยอาการอยา่ งน้.ี 160

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : ทาน (การให)้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษเุ ปน็ อตั ถญั ญเู ปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษุยอ่ มรู้จกั เนื้อความแหง่ ภาษติ น้นั ๆ วา่ นี้เปน็ เนือ้ ความ แหง่ ภาษติ นๆี้ หากภกิ ษไุ มพ่ งึ รเู้ นอ้ื ความแหง่ ภาษติ นน้ั ๆ วา่ นเี้ ปน็ เนอ้ื ความแหง่ ภาษติ นๆ้ี เรากไ็ มพ่ งึ เรยี กวา่ เปน็ อตั ถญั ญู แตเ่ พราะภกิ ษรุ เู้ นอื้ ความแหง่ ภาษติ นน้ั ๆ วา่ นเ้ี ปน็ เนอ้ื ความ แห่งภาษติ นี้ๆ ฉะนัน้ เราจงึ เรียกว่าเปน็ อัตถญั ญู ภิกษุเปน็ ธมั มญั ญู อตั ถญั ญู ด้วยอาการอย่างน.ี้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ภกิ ษเุ ปน็ อตั ตญั ญเู ปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษยุ อ่ มรจู้ กั ตนวา่ เราเปน็ ผมู้ ศี รทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ ปญั ญา ปฏภิ าณ เพยี งเทา่ น้ี ถา้ ภกิ ษไุ มพ่ งึ รจู้ กั ตนวา่ เราเปน็ ผมู้ ศี รทั ธา ศีล สตุ ะ จาคะ ปัญญา ปฏภิ าณ เพียงเทา่ น้ี เรากไ็ ม่พงึ เรียก วา่ เปน็ อตั ตญั ญู แตเ่ พราะภกิ ษรุ จู้ กั ตนวา่ เราเปน็ ผมู้ ศี รทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณ เพียงเท่าน้ี ฉะนัน้ เราจึง เรยี กวา่ เปน็ อตั ตญั ญ ู ภกิ ษเุ ปน็ ธมั มญั ญู อตั ถญั ญู อตั ตญั ญู ดว้ ยอาการอย่างนี้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษเุ ปน็ มตั ตญั ญเู ปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษยุ อ่ มรจู้ กั ประมาณในการรบั จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และ ยากบั เครอื่ งใชใ้ นการรกั ษาโรค หากภกิ ษไุ มพ่ งึ รจู้ กั ประมาณ ในการรับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยากับเคร่ืองใช้ใน 161

พทุ ธวจน - หมวดธรรม การรักษาโรค เราก็ไม่พึงเรียกว่าเป็นมัตตัญญู แต่เพราะ ภกิ ษรุ จู้ ักประมาณในการรบั จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และ ยากับเครื่องใช้ในการรักษาโรค ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็น มัตตญั ญู ภิกษุเป็นธัมมญั ญู อัตถญั ญู อัตตญั ญู มตั ตัญญู ดว้ ยอาการอย่างน้.ี ภิกษทุ ้ังหลาย !   ภิกษเุ ปน็ กาลัญญูเป็นอยา่ งไร คือ ภกิ ษุยอ่ มรู้จักกาลว่า น้ีเป็นกาลเรยี น นี้เปน็ กาลสอบถาม น้ี เป็นกาลประกอบความเพียร นี้เป็นกาลออกหลีกเร้น หาก ภิกษุไม่พึงรู้จักกาลว่า น้ีเป็นกาลเรียน น้ีเป็นกาลสอบถาม นเ้ี ปน็ กาลประกอบความเพยี ร น้เี ป็นกาลออกหลกี เรน้ เรา ไม่พงึ เรยี กว่าเปน็ กาลญั ญู แต่เพราะภกิ ษรุ จู้ ักกาลว่า น้เี ป็น กาลเรยี น นเ้ี ปน็ กาลสอบถาม นเ้ี ปน็ กาลประกอบความเพยี ร นี้เป็นกาลออกหลีกเร้น ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็นกาลัญญู ภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตถัญญู อัตตัญญู มัตตัญญู กาลัญญู ด้วยอาการอยา่ งน.ี้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ภกิ ษเุ ปน็ ปรสิ ญั ญเู ปน็ อยา่ งไร คอื ภิกษุย่อมรู้จักบริษัทว่า นี้บริษัทกษัตริย์ นี้บริษัทคหบดี นี้ บริษัทสมณะ ในบริษัทน้ัน เราพึงเข้าไปหาอย่างน้ี พึงยืน อย่างน้ี พึงทำ� อยา่ งน้ี พงึ น่ังอยา่ งนี้ พึงนิ่งอยา่ งน้ี หากภิกษุ 162

เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : ทาน (การให)้ ไมร่ จู้ กั บรษิ ทั วา่ นบี้ รษิ ทั กษตั รยิ ์ ... พงึ นง่ิ อยา่ งนี้ เรากไ็ มพ่ งึ เรียกว่าเป็นปริสัญญู แต่เพราะภิกษุรู้จักบริษัทว่า นี้บริษัท กษัตริย์ ... พงึ นง่ิ อยา่ งน้ี ฉะนน้ั เราจึงเรียกว่าเปน็ ปริสญั ญู ภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตถัญญู อัตตัญญู มัตตัญญู กาลัญญู ปรสิ ัญญู ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ภกิ ษเุ ปน็ ปคุ คลปโรปรญั ญอู ยา่ งไร ภิกษุเปน็ ผู้รจู้ ักบคุ คลโดยส่วน ๒ คือ บคุ คล ๒ จำ� พวก คอื พวกหนึ่งต้องการเห็นพระอริยะ พวกหนึ่งไม่ต้องการเห็น พระอรยิ ะ บคุ คลท่ีไม่ตอ้ งการเหน็ พระอรยิ ะ พงึ ถกู ตเิ ตยี น ดว้ ยเหตนุ นั้ ๆ บคุ คลทต่ี อ้ งการเหน็ พระอรยิ ะ พงึ ไดร้ บั ความ สรรเสริญด้วยเหตุน้ันๆ. บุคคลที่ต้องการเห็นพระอริยะก็มี ๒ จ�ำพวก คือ พวกหนึ่งต้องการจะฟังสัทธรรม พวกหน่ึงไม่ต้องการฟัง สัทธรรม บุคคลท่ีไม่ต้องการฟังสัทธรรม พึงถูกติเตียน ดว้ ยเหตุนั้นๆ บุคคลท่ีตอ้ งการฟงั สัทธรรม พึงไดร้ ับความ สรรเสรญิ ดว้ ยเหตุนนั้ ๆ. บุคคลท่ีต้องการฟังสัทธรรมก็มี ๒ จ�ำพวก คือ พวกหนงึ่ ตั้งใจฟังธรรม พวกหน่งึ ไมต่ ั้งใจฟังธรรม บุคคลท่ี ไม่ตั้งใจฟงั ธรรม พงึ ถูกตเิ ตยี นด้วยเหตนุ น้ั ๆ บคุ คลทต่ี ง้ั ใจ ฟังธรรม พงึ ไดร้ ับความสรรเสรญิ ดว้ ยเหตุนนั้ ๆ. 163

พุทธวจน - หมวดธรรม บคุ คลที่ตั้งใจฟังธรรมก็มี ๒ จ�ำพวก คอื พวกหน่ึง ฟังแล้วทรงจ�ำธรรมไว้ พวกหนึ่งฟังแล้วไม่ทรงจ�ำธรรมไว้ บคุ คลทฟ่ี งั แลว้ ไมท่ รงจำ� ธรรมไว้ พงึ ถกู ตเิ ตยี นดว้ ยเหตนุ น้ั ๆ บคุ คลทฟี่ งั แลว้ ทรงจำ� ธรรมไว้ พงึ ไดร้ บั ความสรรเสรญิ ดว้ ย เหตุนนั้ ๆ. บุคคลท่ีฟังแล้วทรงจ�ำธรรมไว้ก็มี ๒ จ�ำพวก คือ พวกหน่งึ พจิ ารณาเนอื้ ความแห่งธรรมทท่ี รงจำ� ไว้ พวกหนง่ึ ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจ�ำไว้ บุคคลท่ีไม่ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจ�ำไว้ พึงถูกติเตียนด้วย เหตุน้ันๆ บุคคลที่พิจารณาเน้ือความแห่งธรรมท่ีทรงจ�ำไว้ พงึ ไดร้ บั ความสรรเสรญิ ดว้ ยเหตนุ ั้นๆ. บุคคลที่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจ�ำไว้ก็มี ๒ จำ� พวก คอื พวกหนง่ึ รอู้ รรถรธู้ รรมแลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควร แกธ่ รรม พวกหนงึ่ หารอู้ รรถรธู้ รรมแลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควร แกธ่ รรมไม่ บคุ คลทห่ี ารอู้ รรถรธู้ รรมแลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควร แก่ธรรมไม่ พึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้นๆ บุคคลท่ีรู้อรรถ รู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม พึงได้รับความ สรรเสริญดว้ ยเหตนุ นั้ ๆ. บคุ คลทรี่ อู้ รรถรธู้ รรมแลว้ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ่ รรม ก็มี ๒ จ�ำพวก คือ พวกหน่ึงปฏิบัติเพ่ือประโยชน์ของตน 164

เปิดธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให้) ไม่ปฏิบัติเพ่ือประโยชน์ของผู้อื่น พวกหนึ่งปฏิบัติท้ังเพ่ือ ประโยชน์ตนและเพ่ือประโยชน์ผู้อื่น บุคคลท่ีปฏิบัติเพ่ือ ประโยชน์ตนไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อ่ืน พึงถูกติเตียน ด้วยเหตุน้ันๆ บุคคลที่ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตนและเพ่ือ ประโยชน์ผ้อู ื่น พงึ ไดร้ ับความสรรเสรญิ ดว้ ยเหตุน้ันๆ. ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุเป็นผู้รู้จักบุคคลโดยส่วน ๒ อยา่ งนี้ ฉะนน้ั เราจงึ เรยี กวา่ เปน็ ปคุ คลปโรปรญั ญู ภกิ ษเุ ปน็ ธมั มัญญู อตั ถัญญู อตั ตญั ญู มตั ตัญญู กาลญั ญู ปริสัญญู ปุคคลปโรปรัญญู ดว้ ยอาการอย่างนี.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ภกิ ษปุ ระกอบดว้ ยธรรม ๗ ประการ นี้แล เป็นผู้ควรแก่ของค�ำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ ของท�ำบุญ ควรแก่การท�ำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ . 165

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : ทาน (การให)้ ลักษณะของภกิ ษผุ ู้มีศีล 73 -บาลี สี. ที. ๙/๘๙-๙๒/๑๑๔-๑๒๑. มหาราช !   อีกอยา่ งหนึ่ง เม่อื สมณะหรอื พราหมณ์ บางพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้น ยังเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำ� นายอวยั วะ ทำ� นายตำ� หนิ ทำ� นายลางดลี างรา้ ย ทำ� นายฝนั ท�ำนายลักษณะ ท�ำนายหนูกัดผ้า ท�ำพิธีบูชาไฟ ท�ำพิธีเบิก แว่นเวยี นเทยี น ท�ำพิธีซดั แกลบบูชาไฟ ท�ำพิธีซดั รำ� บชู าไฟ ท�ำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ท�ำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ท�ำพิธีเติม น้�ำมันบูชาไฟ ท�ำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ท�ำพลีกรรมด้วยโลหิต เปน็ หมอดอู วัยวะ ดลู กั ษณะทีบ่ ้าน ดูลกั ษณะทีน่ า เปน็ หมอ ปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เปน็ หมองู เปน็ หมอยาพษิ เปน็ หมอแมลงปอ่ ง เปน็ หมอรกั ษา แผลหนกู ดั เปน็ หมอทายเสยี งนก เปน็ หมอทายเสยี งกา เปน็ หมอทายอายุ เปน็ หมอเสกกนั ลกู ศร เปน็ หมอทายเสยี งสตั ว.์ ส่วนภิกษุในธรรมวินัยน้ี เว้นขาดจากการเล้ียงชีวิต โดยมจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนเ้ี สยี แลว้ แมน้ กี้ เ็ ปน็ ศีลของเธอประการหน่งึ . 166

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : ทาน (การให)้ อีกอย่างหนึง่ เมอื่ สมณะหรอื พราหมณบ์ างพวก ฉนั โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่าน้ันยังเล้ียงชีวิต โดยมจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรัจฉานวชิ าเห็นปานนี้ คือ ทายลกั ษณะ แกว้ มณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะ ศัสตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลกั ษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลกั ษณะบุรษุ ทาย ลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทาย ลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะมา้ ทายลักษณะ กระบอื ทายลกั ษณะโคอุสภะ ทายลกั ษณะโค ทายลกั ษณะ แพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนก กระทา ทายลักษณะเห้ีย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลกั ษณะมฤค. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยน้ี เว้นขาดจากการเล้ียงชีวิต โดยมจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนเี้ สยี แลว้ แมน้ ก้ี เ็ ปน็ ศีลของเธอประการหนงึ่ . อีกอย่างหนงึ่ เม่ือสมณะหรอื พราหมณ์บางพวก ฉัน โภชนะทเ่ี ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เลย้ี งชวี ติ โดย มจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนี้ คอื ดฤู กษย์ าตราทพั วา่ พระราชาจกั ยกออก พระราชาจกั ไมย่ กออก พระราชาภายใน 167

พทุ ธวจน - หมวดธรรม จกั ยกเขา้ ประชดิ พระราชาภายนอกจกั ถอย พระราชาภายนอก จักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายใน จักมีชัย พระราชาภายนอกจกั ปราชยั พระราชาภายนอกจัก มชี ัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองคน์ จี้ กั มชี ยั พระราชาพระองคน์ จ้ี กั ปราชยั เพราะเหตนุ ๆี้ . ส่วนภิกษุในธรรมวินัยน้ี เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต โดยมจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนเ้ี สยี แลว้ แมน้ กี้ เ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนึง่ . อกี อยา่ งหนึ่ง เมื่อสมณะหรอื พราหมณ์บางพวก ฉนั โภชนะทเ่ี ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เลยี้ งชวี ติ โดย มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ท�ำนายว่าจักมี จนั ทรคราส จกั มสี รุ ยิ คราส จกั มนี กั ษตั รคราส ดวงจนั ทรด์ วง อาทติ ยจ์ กั โคจรถกู ทาง ดวงจนั ทรด์ วงอาทติ ยจ์ กั โคจรผดิ ทาง ดาวนกั ษัตรจักโคจรถูกทาง ดาวนกั ษัตรจักโคจรผดิ ทาง จัก มอี กุ กาบาต จกั มดี าวหาง จกั มแี ผน่ ดนิ ไหว จกั มฟี า้ รอ้ ง ดวง จนั ทรด์ วงอาทติ ยแ์ ละดาวนกั ษตั ร จกั ขนึ้ จกั ตก จกั มวั หมอง จักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมี ผลเปน็ อยา่ งนี้ นักษัตรคราสจกั มผี ลเป็นอย่างน้ี ดวงจนั ทร์ ดวงอาทิตย์โคจรถูกทางจักมีผลเป็นอย่างน้ี ดวงจันทร์ดวง 168

เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : ทาน (การให้) อาทิตย์โคจรผิดทางจักมีผลเป็นอย่างน้ี ดาวนักษัตรโคจร ถกู ทางจกั มีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนกั ษัตรโคจรผดิ ทางจักมผี ล เป็นอยา่ งน้ี มีอกุ กาบาตจักมีผลเปน็ อยา่ งน้ี มดี าวหางจักมี ผลเป็นอยา่ งนี้ แผน่ ดินไหวจักมผี ลเป็นอย่างน้ี ฟา้ ร้องจกั มี ผลเปน็ อยา่ งน้ี ดวงจนั ทรด์ วงอาทติ ยแ์ ละดาวนกั ษตั รขนึ้ ตก มวั หมอง กระจ่าง จกั มผี ลเป็นอย่างนี้. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยน้ี เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานน้ีเสียแล้ว  แม้น้ีก็ เปน็ ศีลของเธอประการหนงึ่ . อีกอยา่ งหนึง่ เมื่อสมณะหรอื พราหมณบ์ างพวก ฉัน โภชนะทเี่ ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นน้ั ยงั เลยี้ งชวี ติ โดย มจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานน้ี คอื ทำ� นายวา่ จกั มฝี น ดี จักมฝี นแล้ง จักมอี าหารหาได้ง่าย จักมีอาหารหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความส�ำราญหา โรคมิได้ หรือค�ำนวณฤกษ์ยาม ค�ำนวณดวงชะตา จับยาม แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร.์ ส่วนภิกษุในธรรมวินัยน้ี เว้นขาดจากการเล้ียงชีวิต โดยมจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนเ้ี สยี แลว้ แมน้ ก้ี เ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนึ่ง. 169

พุทธวจน - หมวดธรรม อีกอย่างหนงึ่ เมอ่ื สมณะหรือพราหมณบ์ างพวก ฉัน โภชนะทเ่ี ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นนั้ ยงั เลย้ี งชวี ติ โดย มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาห มงคล ให้ฤกษว์ วิ าหมงคล ดฤู กษ์เรยี งหมอน ดฤู กษ์หย่าร้าง ดฤู กษเ์ กบ็ ทรพั ย์ ดฤู กษจ์ า่ ยทรพั ย์ ดโู ชคดี ดเู คราะหร์ า้ ย ให้ ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง รา่ ยมนตใ์ หม้ อื สน่ั รา่ ยมนตไ์ มใ่ หห้ ไู ดย้ นิ เสยี ง เปน็ หมอทรง กระจก เป็นหมอทรงหญงิ สาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวง พระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ท�ำ พิธีเชิญขวญั . ส่วนภิกษุในธรรมวินัยน้ี เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต โดยมจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนเี้ สยี แลว้ แมน้ ก้ี เ็ ปน็ ศีลของเธอประการหนงึ่ . อกี อยา่ งหนงึ่ เมอ่ื สมณะหรอื พราหมณบ์ างพวก ฉัน โภชนะทเี่ ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธาแลว้ ทา่ นเหลา่ นนั้ ยงั เลย้ี งชวี ติ โดย มจิ ฉาชพี ด้วยเดรจั ฉานวิชาเหน็ ปานน้ี คือ ทำ� พิธบี นบาน ท�ำ พิธีแก้บน  ร่ายมนต์ขับผี  สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ท�ำ กะเทยให้กลับเป็นชาย ท�ำชายให้กลายเป็นกะเทย ท�ำพิธี ปลูกเรือน ท�ำพิธีบวงสรวงพ้ืนที่  พ่นน้�ำมนต์ รดน�้ำมนต์ 170

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : ทาน (การให)้ ทำ� พิธีบชู าไฟ ปรุงยาส�ำรอก ปรงุ ยาถ่าย ปรงุ ยาแก้ลมตขี ้นึ เบอ้ื งบน ปรงุ ยาแกล้ มตลี งเบอื้ งลา่ ง ปรงุ ยาแกป้ วดศรี ษะ หงุ นำ�้ มนั หยอดหู ปรงุ ยาตา ปรงุ ยานตั ถ์ุ ปรงุ ยาทาใหก้ ดั ปรงุ ยา ทาใหส้ มาน ปา้ ยยาตา ทำ� การผา่ ตดั รกั ษาเดก็ ใสย่ า ชะแผล. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยน้ี เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิต โดยมจิ ฉาชพี ดว้ ยเดรจั ฉานวชิ าเหน็ ปานนเี้ สยี แลว้ แมน้ กี้ เ็ ปน็ ศลี ของเธอประการหนงึ่ . มหาราช !   ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างน้ี ย่อมไม่ ประสบภยั แต่ไหนๆ เลย เพราะศีลสงั วรน้ันเปรยี บเหมือน กษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก1 ก�ำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ ประสบภยั แต่ไหนๆ เพราะราชศัตรนู ้นั . มหาราช !   ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุ สมบรู ณด์ ว้ ยอรยิ ศลี ขนั ธน์ ้ี ยอ่ มไดเ้ สวยสขุ อนั ปราศจากโทษ ในภายใน. มหาราช !   ดว้ ยประการดงั กลา่ วมานแี้ ล ภกิ ษชุ อื่ วา่ เป็นผถู้ งึ พรอ้ มด้วยศลี . 1. นา้ํ รดพระเศียรในงานราชาภิเษกหรือพระราชพธิ อี ่ืนๆ 171



การให้ทาน อันเป็นอริยะ

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : ทาน (การให)้ ธรรมทานเลศิ กวา่ อามสิ ทาน (นยั ที่ ๑) 74 -บาลี ขุ. ข.ุ ๒๕/๓๐๕/๒๗๘. ภกิ ษุทง้ั หลาย !   ทาน ๒ อย่างนี้ คือ (1) อามสิ ทาน (2) ธรรมทาน ภิกษุทั้งหลาย !   บรรดาทาน ๒ อยา่ งนี้ ธรรมทาน เปน็ เลศิ . ภกิ ษทุ ัง้ หลาย !   การแจกจ่าย ๒ อยา่ งน้ี คอื (1) การแจกจ่ายอามสิ (2) การแจกจ่ายธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   บรรดาการแจกจ่าย ๒ อย่างน้ี การแจกจา่ ยธรรมเปน็ เลิศ ภิกษทุ ัง้ หลาย !   การอนเุ คราะห์ ๒ อยา่ งนี้ คือ (1) การอนเุ คราะหด์ ว้ ยอามสิ (2) การอนเุ คราะห์ดว้ ยธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   บรรดาการอนุเคราะห์ ๒ อย่างนี้ การอนุเคราะหด์ ว้ ยธรรมเปน็ เลิศ. 174

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด : ทาน (การให)้ ธรรมทานเลศิ กวา่ อามสิ ทาน (นยั ที่ ๒) 75 -บาลี นวก. อํ. ๒๓/๔๓๙/๒๐๙. ภิกษทุ ้งั หลาย !   กำ� ลงั ๔ ประการเหล่านี้มอี ยู่ ๔ ประการเป็นอยา่ งไร คอื (1) ก�ำลงั คอื ปญั ญา (2) กำ� ลัง คือ ความเพยี ร (3) ก�ำลัง คือ การงานอันไม่มโี ทษ (4) กำ� ลงั คือ การสงเคราะห์ ภิกษุท้ังหลาย !   ก็ก�ำลัง คือ ปัญญาเป็นอย่างไร ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล ธรรมเหล่าใดเป็น อกุศล นับว่าเป็นอกุศล ธรรมเหล่าใดมีโทษ นับว่ามีโทษ ธรรมเหล่าใดไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ ธรรมเหล่าใดเป็น ธรรมด�ำ นับว่าเป็นธรรมด�ำ ธรรมเหล่าใดเป็นธรรมขาว นบั วา่ เปน็ ธรรมขาว ธรรมเหลา่ ใดไมค่ วรเสพ นบั วา่ ไม่ควร เสพ ธรรมเหล่าใดควรเสพ นับว่าควรเสพ ธรรมเหล่าใด ไม่สามารถท�ำความเป็นอริยะ นับว่าไม่สามารถท�ำความ เป็นอริยะ ธรรมเหล่าใดสามารถท�ำความเป็นอริยะ นับว่า สามารถทำ� ความเปน็ อรยิ ะ 175

พุทธวจน - หมวดธรรม ธรรมเหลา่ นนั้ เปน็ ธรรมอนั บคุ คลเหน็ แจง้ ประพฤติ ไดด้ ว้ ยปญั ญา ภกิ ษุทงั้ หลาย !  นีเ้ รียกว่า ก�ำลงั คือ ปญั ญา. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   กก็ ำ� ลงั คอื ความเพยี รเปน็ อยา่ งไร ธรรมเหล่าใดเป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศล ธรรมเหล่าใด มีโทษ นับว่ามีโทษ ธรรมเหล่าใดเป็นธรรมด�ำนับว่าเป็น ธรรมด�ำ ธรรมเหล่าใดไม่ควรเสพ นับวา่ ไมค่ วรเสพ ธรรม เหล่าใดไม่สามารถท�ำความเป็นอริยะ นับว่าไม่สามารถ ทำ� ความเปน็ อรยิ ะ บคุ คลยอ่ มปลกู ความพอใจ ยอ่ มพยายาม ยอ่ มปรารภความเพยี ร ย่อมประคองจติ ย่อมต้ังจิตไว้ เพือ่ ละธรรมเหล่าน้ัน ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล ธรรมเหล่าใดไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ ธรรมเหล่าใดเป็น ธรรมขาว นับว่าเป็นธรรมขาว ธรรมเหล่าใดควรเสพ นับ ว่าควรเสพ ธรรมเหล่าใดสามารถท�ำความเป็นอริยะ นบั วา่ สามารถท�ำความเป็นอรยิ ะ บุคคลย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อม ปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อให้ ได้ธรรมเหล่านั้น  ภิกษุท้ังหลาย !  น้ีเรียกว่า ก�ำลัง คือ ความเพยี ร. 176

เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : ทาน (การให้) ภิกษุท้ังหลาย !   ก็กำ�ลัง คือ การงานอันไม่มีโทษ เป็นอย่างไร อริยสาวกในธรรมวินัยน้ีเป็นผู้ประกอบด้วย กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม อนั หาโทษมไิ ด้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !  นี้เรียกวา่ กำ�ลงั คือ การงานอันไมม่ ีโทษ. ภิกษุท้ังหลาย !   ก็ก�ำลัง คือ การสงเคราะห์เป็น อย่างไร ไดแ้ ก่ สังคหวตั ถุ ๔ ประการน้ี คือ (1) ทาน (การให)้ (2) เปยยวัชชะ (การพดู ถอ้ ยคำ�อันเปน็ ทีร่ ัก) (3) อตั ถจรยิ า (การประพฤตปิ ระโยชน)์ (4) สมานัตตตา (ความมตี นเสมอกนั ) ภกิ ษทุ ้งั หลาย !   ธรรมทานเลิศกว่าทานท้ังหลาย. ภิกษุทั้งหลาย !   การแสดงธรรมบ่อยๆ แก่บุคคล ผู้ต้องการ ผู้เง่ียโสตลงสดับ นี้เลิศกว่าการพูดถ้อยค�ำอัน เป็นที่รัก. ภิกษุท้ังหลาย !   การชักชวนคนผู้ไม่มีศรัทธาให้ ตั้งม่ันด�ำรงอยู่ในศรัทธาสัมปทา ชักชวนผู้ทุศีลให้ตั้งม่ัน ดำ� รงอยใู่ นสลี สมั ปทา ชกั ชวนผตู้ ระหนใี่ หต้ งั้ มนั่ ดำ� รงอยใู่ น จาคสัมปทา ชักชวนผู้มีปัญญาทรามให้ตั้งมั่นด�ำรงอยู่ใน ปัญญาสัมปทา นีเ้ ลศิ กว่าการประพฤตปิ ระโยชน์ทงั้ หลาย. 177

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   พระโสดาบันมีตนเสมอกับ พระโสดาบัน พระสกทาคามีมีตนเสมอกับพระสกทาคามี พระอนาคามีมีตนเสมอกับพระอนาคามี พระอรหันต์มีตน เสมอกับพระอรหนั ต์ น้เี ลศิ กว่าความมีตนเสมอทั้งหลาย. ภิกษุท้ังหลาย !  เหล่านี้เรียกว่า ก�ำลัง คือ การ สงเคราะห์. ภิกษุท้งั หลาย !   เหล่านี้แล คอื กำ� ลัง ๔ ประการ. ภิกษุท้ังหลาย !   อริยสาวกผู้ประกอบด้วยก�ำลัง ๔ ประการเหล่าน้ี ย่อมก้าวลว่ งภัย ๕ ประการ คอื (1) อาชีวติ ภยั 1 (ภัยอนั เน่อื งด้วยชีวิต) (2) อสิโลกภัย (ภัยคอื การตเิ ตยี น) (3) ปริสสารชั ภยั (ภยั คอื ความครัน่ คร้ามในบริษทั ) (4) มรณภยั (ภยั คือความตาย) (5) ทุคติภัย (ภัยคอื ทุคต)ิ ภิกษุทั้งหลาย !   อริยสาวกนั้น ย่อมพิจารณาเห็น ดังนว้ี ่า 1. ไตรปฎิ กฉบับมอญ มีบาลคี �ำนวี้ ่า อาชวี ิกภย ซ่ึงแปลวา่ ภัยอันเนือ่ งดว้ ยการ เลี้ยงชีพ 178

เปิดธรรมที่ถกู ปิด : ทาน (การให้) เราไม่กลัวต่อภัยอันเน่ืองด้วยชีวิต ไฉนเราจักต้อง กลวั ตอ่ ภยั อนั เนอ่ื งดว้ ยชวี ติ เลา่ เพราะเรามกี ำ� ลงั ๔ ประการ คอื กำ� ลงั ปญั ญา กำ� ลงั ความเพยี ร กำ� ลงั การงานอนั ไมม่ โี ทษ ก�ำลังการสงเคราะห์ คนท่ีมีปัญญาทรามจึงกลัวต่อภัยอัน เนอื่ งดว้ ยชวี ติ คนเกยี จครา้ นจงึ กลวั ตอ่ ภยั อนั เนอื่ งดว้ ยชวี ติ คนมกี ารงานทางกาย ทางวาจา และทางใจทมี่ ีโทษ จึงกลัว ตอ่ ภยั อนั เนอ่ื งดว้ ยชวี ติ คนทไี่ มส่ งเคราะหใ์ คร จงึ กลวั ตอ่ ภยั อันเน่ืองด้วยชวี ิต เราไมก่ ลวั ต่อภัยคอื การตเิ ตยี น ... เราไมก่ ลัวต่อภัยคือความครัน่ ครา้ มในบริษัท ... เราไมก่ ลัวตอ่ ภยั คือความตาย ... เราไม่กลัวต่อภัยคือทุคติ ไฉนเราจักต้องกลัวต่อ ภัยคือทุคติเล่า เพราะเรามีก�ำลัง ๔ ประการ คือ ก�ำลัง ปัญญา ก�ำลังความเพียร ก�ำลังการงานอันไม่มีโทษ ก�ำลัง การสงเคราะห์ คนที่มีปัญญาทราม จึงกลัวต่อภัยคือทุคติ คนเกียจครา้ น จงึ กลวั ต่อภยั คอื ทุคติ คนมกี ารงานทางกาย ทางวาจา และทางใจทีม่ โี ทษ จงึ กลัวต่อภัยคือทุคติ คนทีไ่ ม่ สงเคราะหใ์ คร จึงกลัวภยั คือทุคติ. ภิกษุทั้งหลาย !   อริยสาวกผู้ประกอบด้วยก�ำลัง ๔ ประการนแี้ ล ย่อมกา้ วลว่ งภัย ๕ ประการเหลา่ น้.ี 179

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : ทาน (การให้) การใหท้ านอันเป็นอริยะ (นัยที่ ๑) 76 -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๔๐/๑๔๕๑. ชา่ งไมท้ ง้ั หลาย !   อรยิ สาวกผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๔ ประการ ยอ่ มเปน็ พระโสดาบนั มคี วามไมต่ กตำ�่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทยี่ งแทท้ จี่ ะตรสั รใู้ นเบอ้ื งหนา้   ธรรม ๔ ประการเปน็ อย่างไร คอื (1) ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า (2) ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หว่ันไหว ในพระธรรม (3) ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ในพระสงฆ์ (4) มีใจปราศจากมลทินคือความตระหนี่  อยู่ ครองเรือน มกี ารบรจิ าคอันปลอ่ ยอยู่เปน็ ประจำ� มฝี า่ มอื อนั ชมุ่ ยนิ ดใี นการสละ เปน็ ผคู้ วรแกก่ ารขอ ยนิ ดใี นการให้ และการแบง่ ปนั ชา่ งไมท้ ง้ั หลาย !   อรยิ สาวกผปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต�่ำ เป็นธรรมดา เปน็ ผู้เทยี่ งแท้ที่จะตรัสรใู้ นเบอ้ื งหน้า. 180

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด : ทาน (การให้) การให้ทานอันเป็นอรยิ ะ (นยั ที่ ๒) 77 -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/๖๐/๔๙. สารบี ตุ ร !   บคุ คลบางคนในโลกน้ี ใหท้ านโดยไมม่ ี ความหวงั ผล ใหท้ านโดยไมม่ จี ติ ผกู พนั ในผล ใหท้ านโดย ไมม่ งุ่ การสงั่ สม (บญุ ) ใหท้ านโดยไมค่ ดิ วา่ “เราตายไปจกั ได้ เสวยผลของทานนี้” ให้ทานโดยไม่คิดว่า “การให้ทาน เปน็ การด”ี ใหท้ านโดยไมค่ ดิ วา่ “บดิ ามารดา ปยู่ า่ ตายาย เคยให้เคยท�ำมา เราก็ไม่ควรท�ำใหเ้ สยี ประเพณ”ี ให้ทานโดยไม่คิดว่า “เราหุงหากิน สมณะหรือ พราหมณเ์ หลา่ นไ้ี มห่ งุ หากนิ เราหงุ หากนิ ได้ จะไมใ่ หท้ าน แกส่ มณะหรอื พราหมณผ์ ไู้ มห่ งุ หา ไมส่ มควร” ใหท้ านโดย ไม่คิดว่า “เราจักเป็นผู้จ�ำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ ครงั้ กอ่ น คอื อฏั ฐกฤาษีวามกฤาษีวามเทวฤาษีเวสสามติ รฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคฤุ าษี บชู ามหายัญ ใหท้ านโดยไมค่ ดิ วา่ “เมอ่ื เราใหท้ านอยา่ งนี้ จติ จะ เล่ือมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส” แต่ให้ทานเป็น เครอื่ งประดบั จติ เปน็ บรขิ ารของจติ (จติ ตฺ าลงกฺ ารํ จติ ตฺ ปรกิ ขฺ าร)ํ 181

พุทธวจน - หมวดธรรม เขาให้ทาน คือ ข้าว น�้ำ เคร่ืองนุ่งห่ม ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครอ่ื งลบู ไล้ ทนี่ อน ทอ่ี ยอู่ าศยั และประทปี โคมไฟ แก่สมณะหรอื พราหมณ์ … เขาใหท้ านน้ันแลว้ เม่ือตายไป ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายแหง่ เทวดาเหลา่ พรหมกายกิ า เขาส้ินกรรม  สิ้นฤทธิ์  สิ้นยศ  หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผ้ไู ม่ตอ้ งกลับมา คอื ไมม่ าส่คู วามเป็นอย่างน.ี้ 182


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook