เจด็ สบิ ประเด็นปญ หาวาดว ยการถอื ศีลอด ﴾﴿ﺳﺒﻌﻮن ﻣﺴﺄﻟﺔ ﻓﻲ اﻟﺼﻴﺎم [ ไทย – Thai – ] ﺗﺎﻳﻼﻧﺪي มหุ มั มัด ศอลิห อลั -มนุ จั ญดิ แปลโดย : นศั รุลลอฮฺ ฏอ็ ยยิบ ผตู รวจทาน : ฟยซอล อบั ดลุ ฮาดี 2009 - 1430
﴿ﺳﺒﻌﻮن ﻣﺴﺄﻟﺔ ﻓﻲ اﻟﺼﻴﺎم﴾ » ﺑﺎﻟﻠﻐﺔ اﻛﺤﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ « ﻣﺤﻤﺪ ﺻﺎﻟﺢ اﻟﻤﻨﺠﺪ ﺗﺮﺟﻤﺔ :ﻧﺼﺮ اﷲ ﻃﻴﺐ ﻣﺮاﺟﻌﺔ :ﻓﻴﺼﻞ ﻋﺒﺪاﻟﻬﺎدي 2009 - 1430
ดวยพระนามของอัลลอฮฺ ผทู รงเมตตา ปรานยี ง่ิ เสมอ 70 ประเด็นควรรูเกย่ี วกบั การถอื ศีลอด ﺑﺴﻢ اﷲ اﻟﺮﺣﻤﻦ اﻟﺮﺣﻴﻢ اﻟﺤﻤﺪ ﷲ ﻧﺤﻤﺪه وﻧﺴﺘﻌﻴﻨﻪ وﻧﺴﺘﻐﻔﺮه وﻧﻌﻮذ ﺑﺎﷲ ﻣﻦ ﺷﺮور أﻧﻔﺴﻨﺎ وﺳﻴﺌﺎت أﻋﻤﺎﺠﺎ ﻣﻦ ﻳﻬﺪه اﷲ ﻓﻼ ﻣﻀﻞ وﻣﻦ ﻳﻀﻠﻞ ﻓﻼ ًﻫﺎدي وأﺷﻬﺪ أن ﻻ ﻟﻪ إﻻ اﷲ وﺣﺪه ﻻﺷﺮﻳﻚ وأﺷﻬﺪ أن ﻣﺤﻤﺪا : ﻋﺒﺪه ورﺳﻮ أﻣﺎﺑﻌﺪ บรรดาการสรรเสริญ เปนสิทธิของอัลลอฮฺ ตะอาลา ผูทรงประทาน (เราะมะฎอน) ชวง เทศกาลแหง การสรางสมความดีงามใหแกป วงบา ว เทศกาลท่ีเปยมลนไปดวยความดี เพื่อชําระลบ ลา งความช่ัวรา ยและเปน การยกระดบั เพอื่ สฐู านะอนั สูงสง เปน ชวงเวลาท่จี ิตใจของบรรดาผูศรัทธา ทั้งหลายจะไดผินสูพระองค เพราะเหลาผูท่ีขัดเกลาเทาน้ันท่ีไดรับความสําเร็จ สวนบุคคลที่ หมกั หมมทสี่ ุดยอมประสบความลม เหลว แทจริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงสรางมนุษย และสรรพสิ่งมาโดยเปาหมายหน่ึงคือเพ่ือ “อิบา ดะฮ” (การเคารพภักดี, เชือ่ ฟง) ตอ พระองค ดงั ท่ตี รัสไวว า ﴾﴿وﻣﺎ ﺧﻠﻘﺖ اﻟﺠﻦ واﻹﻧﺲ إﻻ ﻌﺒﺪون ความหมาย “และฉัน (อัลลอฮฺ) มิทรงสรางญิน และมนุษยมาเพื่ออันใด นอกจากใหพวกเขาเคารพภักดี (อบิ าดะฮฺ) ตอ ฉันเทาน้ัน” ซง่ึ ในอิบาดะฮฺอนั ยง่ิ ใหญ ประการหนึ่งน้ันก็คือ อศั -ศิยาม (การถือศีลอด) ท่ีทรงบัญญัติมา ก็เพอื่ ปลุกสรา งความยําเกรง (ตกั วา) ใหแ กพ วกเขา ดง่ั ทไี่ ดทรงกําชับไวในอลั -บะเกาะเราะฮฺ หลาย อายะฮฺ เชน ﴾﴿وأن ﺗﺼﻮﻣﻮا ﺧﻴﺮ ﻟﻜﻢ إن ﻛﻨﺘﻢ ﺗﻌﻠﻤﻮن ความหมาย “...และการทส่ี ูเจา ถอื ศลี อดนัน้ ยอมประเสรฐิ กวา หากสเู จา รู” และทรงชแี้ นะ ใหข อบคุณตอพระองค วา ﴾﴿وﻛﺤﻜﺒﺮوا اﷲ ﻟﺒ ﻣﺎ ﻫﺪﻛﻢ وﻟﻌﻠﻜﻢ ﺗﺸﻜﺮون ความหมาย “และเพื่อสูเจาจะไดประกาศความเกรียงไกรของอัลลอฮฺ ท่ี พระองคทรงใหทางนาํ สูเจา และเผอ่ื สเู จา จะไดขอบคุณ (ตอพระองค)” 1
พระองคทรงใหปวงบาวของพระองคมีความรักตอการถือศีลอด โดยท่ีไมทรงทําใหมันเปน ภาระหนักอ้ึงแกพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาสามารถละท้ิงความเคยชินตาง ๆ ได อยางไมยากเย็น (ภายในกําหนดเวลาทจี่ าํ กดั ) ดัง่ อายะฮฺทว่ี า ﴾﴿أﻳﺎﻣﺎ ﻣﻌﺪودات ความหมาย “...วนั ทงั้ หลายทถี่ กู นบั …” กลาวคอื เพียงไมก ่วี นั หรือเพียงหนง่ึ เดอื นเทา นั้นพรอ มกันน้ัน พระองคยังทรงแสดงออกถึง ความเมตตาตอ ปวงบาว และมิทรงประสงคใหพวกเขาไดร ับลําบากหรือความเดือนรอนแตอยางใด ดัง่ ตรัสวา ﴾﴿وﻣﻦ ﻛﺎن ﻣﺮﻳﻀﺎ أوﻟﺒ ﺳﻔﺮ ﻓﻌﺪة ﻣﻦ أﻳﺎم أﺧﺮ ความหมาย “ดังนั้น ผูใดจากหมูสูเจาปวยหรืออยูระหวางการเดินทาง ดังนน้ั ใหเขาถือศลี อดชดเชยในวันอื่น” จึงไมใชเ ร่ืองแปลกเลยทจี่ ะพบวาในชวงเดือนนห้ี วั ใจของบรรดาผูศรัทธาทั้งหลาย ตางก็มุง สูยังพระผูทรงอภิบาล ผูทรงเมตตายิ่ง ดวยความยําเกรงและมุงหวังอยางที่สุดตอการตอบแทนอัน ยงิ่ ใหญ ณ พระองค ดวยความย่งิ ใหญข องอบิ ดะฮฺแหง อัศ-ศิยาม (การถือศีลอด) นี้ จึงจําเปนท่ีจะตองเอาใจใส เรียนรูแลวทําความเขาใจเก่ียวกับบัญญัติหรือหุกมตาง ๆ เก่ียวกับศีลอดเราะมะฎอน เพ่ือพี่นอง มสุ ลิมจะไดเ ขาใจอยางถกู ตองเกี่ยวกับส่ิงอันเปนหนาที่ที่พึงปฏิบัติหรืออะไรบางที่ปฺฏิบัติไมได (หะ รอม) ควรหลกี หางและอะไรบา งทส่ี ามารถกระทําได (หะลาล) เนื้อหาของหนังสือเลมเล็ก ๆ น้ี ไดนําเสนอบทบัญญัติ (หุกม) ตาง ๆ เพียงยอ ๆ มารยาท รวมถึงสง่ิ ที่เปนซนุ นะฮตฺ างๆ เกยี่ วกบั การถือศีลอดเอาไวซึ่งขาพเจาเรียบเรียงข้ึน ดวยหวังวาอัลลอ ฮฺตะอาลาจะทรงใหต วั ของขา พเจาเอง และพน่ี องมสุ ลิมทัง้ หลายไดรบั ประโยชนโ ดยท่วั กัน วัลฮมั ดุลิลลาฮิ ร็อบบิล-อาละมีน มุฮมั หมัด ศอและห อัล-มนุ ัจญดิ ผูเขียน 2
ﺑﺴﻢ اﷲ اﻟﺮﺣﻤﻦ اﻟﺮﺣﻴﻢ : اﻟﺤﻤﺪ ﷲ واﻟﺼﻼة واﻟﺴﻼم ﻟﺒ رﺳﻮ وﺻﺤﺒﻪ أﻣﺎﺑﻌﺪ คํานําของผแู ปล การถือศีลอด คืออิบาดะฮฺหนึ่งท่ีถูกบัญญัติมากบัญญัติมาแกมวลมนุษยชาติ เพื่อเปนดั่ง กระบวนการปลูกฝงตักวา (ความยําเกรง) และตัรฺบียะฮฺ (ขัดเกลา) พรอมปลดปลอยเจตจํานงของ พวกเขาใหหลุดพนพันธนาการและการเปนทาสของอารมณใฝต่ํา และบรรดาชิริกตาง ๆ ทั้งที่เปน นามธรรมและรูปธรรมทัง้ หลาย ﴿ﺷﻬﺮ رﻣﻀﺎن ا ي أﻧﺰل ﻓﻴﻪ اﻟﻘﺮءان ﻫﺪى ﻟﻠﻨﺎس وﺑﻴﻨﺎت ﻣﻦ اﻟﻬﺪى ﴾واﻟﻔﺮﻗﺎن “เดือนเราะมะฎอน ซึ่งอัล-กุรอานไดถูกประทานลงมา เพื่อเปนทางนํา สําหรับมวลมนุษยชาติและเปน (หลักฐาน) ที่ชัดแจงจากทางนําและ เปน สิ่งจาํ แนก (ระหวางความจริงกบั ความเทจ็ )” (ซเู ราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ :อายะฮฺท่ี 185) ภายใตบรรยากาศแหงเดือนเราะมะฎอนอันสิริมงคลน้ีเอง ท่ีอัล-กุรอาน : คัมภีรแหง มนุษยชาติถูกประทานลงมา ซึ่งท้ัง 2 นี้ (คืออัศ-ศิยาม และอัล-กุรอาน) ยังคงมีความสําคัญ และ อิทธิพลอยางสูงสงตอการกําหนดวิถีชีวิตและจิตใจของผูศรัทธาในทุกยุคทุกสมัย นับต้ังแตอดีต ปจจบุ ันและจวบจนกาลปวสาร เนื้อหาของหนังสือน้ี แทบทั้งหมดกระผมไดแปลและเรียบเรียงจากหนังสือ “สับอีน นะมสั อะละฮฺฟศ -ศยิ าม” ของทา นนมฮุ มั หมดั ศอและห อัลมนุ ญดิ ความดีจากหนังสือเลมน้ี ขอไดเพ่ิมพูนในตาช่ังหะสะนาตของกระผมบิดามารดา ครอบครวั ครบู าอาจารย และผแู ตง ตลอดถึงพ่ีนอ งมุสลมิ ทงั้ หลายดวยเทอญ-อามีน ดวยความจรงิ ใจและเชื่อมัน อบู อัมมารฺ บา นโฮะ /หาดใหญ 26 พ.ย. 42 3
อศั -ศิยาม การถือศีลอดในเดอื นเราะมะฎอน 1. ความหมายของอศั -ศยิ าม อศั -ศยิ าม ทางภาษาหมายถึงการยบั ยัง้ การงดเวนจากสิ่งหน่ึง ๆ สวนทางศาสนาหมายถงึ การงดเวนจากการกิน การดื่มและการรวมประเวณีในเวลากลางวันตั้งแตเวลารุงอรุณ (เร่ิมเขา เวลาศุบห) จนกระทั่งถึงเวลาดวงตะวันลับของฟา (เขาเวลามัฆฺริบ) โดยมีเจตนา (เนียต) ท่ีชัดเจน เพ่อื เปนอิบาดะฮตฺ อ อัลลอฮฺตะอาลา 2. บทบัญญตั ิ (หกุ ม ) ของอัศ-ศยิ าม ปวงมุสลิมท้ังหลายถือวา การถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน (คือเดือนที่ 9 ตามปฎิทิน อิสลาม) นน้ั เปนสิง่ จําเปน (ฟร ฎ) เหนือประชาชาติ ดงั หลกั ฐานจากอายะฮฺอัล-กุรอาน ที่อัลลอฮฺตะ อาลาตรสั วา ﴿ﻳﺎ أﻳﻬﺎ ا ﻳﻦ ءاﻣﻨﻮا ﻛﺘﺐ ﻋﻠﻴﻜﻢ اﻟﺼﻴﺎم ﻛﻤﺎ ﻛﺘﺐ ﻟﺒ ا ﻳﻦ ﻣﻦ ﴾ ﻗﺒﻠﻜﻢ ﻟﻌﻠﻜﻢ ﺗﺘﻘﻮن ความหมาย “โอบรรดาผูซ่ึงศรัทธาทั้งหลายการถือศีลอดนั้นไดถูก บัญญัติเหนือสูเจา เชนด่ังท่ีถูกบัญญัติแกบรรดา (กลุมชน) กอนหนาสู เจา มาแลว เพ่อื สูเจาจะไดย ําเกรง”1 และในหลักฐานจากหะดีษของทา นเราะซูล (ศอ็ ลลัลลอฮอุ ะลัยฮวิ ะซัลลมั ) ท่ีวา ﺷﻬﺎدة أن ﻻ ﻟﻪ إﻻ اﷲ وأن ﻣﺤﻤﺪاً رﺳﻮل اﷲ: »ﺑﻨﻲ اﻹﺳﻼم ﻟﺒ ﺧﻤﺲ « وﺣﺞ اﻛﻴﺖ، وﺻﻴﺎم رﻣﻀﺎن، و ﻳﺘﺎء اﻟﺰ ة، و ﻗﺎم اﻟﺼﻼة، ความหมาย “อัล-อสิ ลาม ถูกสรา งไวบ นรากฐาน 5 ประการ คือ 1. การปฏิญาณตนวา “ไมมีพระเจาอื่นใดนอกจากอัลลออฺเทานั้น และการ ปฏญิ าณตนวา แทจ ริงมุฮมั หมดั เปนเราะซูล (ศาสนทตู ) ของอัลลอฮฺ” 2. การดํารงการละหมาด 3. การจายซะกาต 4. การถือศลี อดในเดอื นเราะมะฎอน 5. การไปบาํ เพญ็ หัจณ ณ บยั ตลุ ลอฮฺ2 การถือศีลอด (อัศ-ศิยาม) จึงเปนรากฐานหน่ึงท่ีสําคัญอยางย่ิง ซ่ึงหากผูใดละเมิดหรือฝา ฝนโดยจงใจละทิ้งการถือศีลอดโดยไมมีเหตุจําเปนตามที่ศาสนาผอนผันแลว แนนอนเทากับเขาผู 1 ซเู ราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮ/ฺ อายะฮฺท่ี :183 2 ดู ฟตหุล-บารี เลม 1 หนา 49 4
นั้นไดกระทําบาปอันย่ิงใหญ (อัล-กะบีเราะฮฺ) ดังท่ีทานเราะซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได เลาถงึ สภาพอันเลวรา ยทที่ านไดพ บเห็น (สภาพของผูถูกทรมาน) ในปรากฏการณครงั้ หนึ่งวา “จนขณะท่ฉี นั ข้นึ สงู เทยี มยอดเขานั้น ทนั ใดฉันก็ไดย ินเสยี งหนึ่งดังมาก ฉันจงึ ถาม (บรรดามะลาอิกะฮฺ) วา “นี้คือเสียงอะไร ?” พวกเขาตอบวา “น้แี หละคอื เสียงครวญครางของชาวนรก” ตอมาฉันก็ถูกพาไปแลว (เห็นภาพ) ของคนกลุมหนึ่งในสภาพถูกรอยเชือกที่เอ็น รอยหวายกระพุงแกมของพวกเขาถกู เจาะเลอื ดไหลทะลกั ออกมาตลอดเวลา ฉนั (เราะซูล) ถามอีกวา “พวกเขาเหลานี้เปนใครหรอื ?” มีคําตอบวา « ا ﻳﻦ ﻳﻔﻄﺮون ﻗﺒﻞ ﺗﺤﻠﺔ ﺻﻮﻣﻬﻢ... » ความหมาย “พวกเขาคือบรรดาผูที่กินอาหารกอนที่จะไดเวลาใหละศีล อด”3 ทา นอลั -หาฟซ อลั -ซะฮะบีย (เราะฮิมะฮลุ ลอฮ)ฺ กลาววา “อุละมาอบางทานยืนยันอยางหนักแนนในกรณีของบุคคล ที่จงใจละท้ิงการถือศีลอดใน เดือนเราะมะฎอนโดยไมมีเหตุอันควรวา ผูนั้นเลวยิ่งกวาผูที่ทําซินา (ผิดประเวณี) และผูท่ีเสพสุรา เสียอีก ยิ่งไปกวานั้นสภาพการเปนมุสลิมของเขายังเปนที่กังขา (วาเขายังเปนมุสลิมอยูอีกหรือไม) ขณะที่บางทศั นะกลาววา เขาคือบคุ คลทอ่ี อกนอกศาสนา (หรอื มุรตัด) แลว ซง่ึ ทา นชัยคลุ อิสลาม อบิ นตุ ยั มียะฮฺ (เราะฮมิ ะฮลุ ลอฮฺ) ตัดสิน (ฟต วา) วา “ถาเขาไมถือศีลอดในเราะมะฎอนโดยยืนกรานวา การถือนั้นไมจําเปน ท้ัง ๆ ที่เขาทราบดี ถึงโทษทัณฑของการกลาวเชนน้ัน การตัดสินคือตองประหารชีวิต หรือฆาเสีย (เพราะตกอยูใน สภาพของมุรตดั ) หากเขาละเมิด (แตยงั คงยอมรับในหุกม อยู) กใ็ หล งโทษ ตามกฎของเราะมะฎอน (คอื ตองทํากฟั ฟาเราะฮ)”4 3. ความประเสรฐิ ของการถอื ศีลอด คุณคาของการถือศีลอดนั้นย่ิงใหญท่ีสุด ดังมีกลาวนหะดีษตาง ๆ มากมายท่ีระบุถึงความ ประเสรฐิ หรือผลบญุ ทผ่ี ูถ ือศลี อดจะไดร บั เชน ﻛﻞ ﻋﻤﻞ إﺑﻦ أدم إﻻ اﻟﺼﻮم ﻓﺈﻧﻪ ﻟﻲ وأﻧﺎ أﺟﺰي: »ﻗﺎل اﷲ ﻋﺰوﺟﻞ «ﺑﻪ อัลลอฮฺ สบุ หาะฮุวะตะอาลา กลาววา 3 ดู เศาะเห้ยี ะหฺ อตั -ตัรฆฺ บี เลม 1 หนา 420 4 ดู มจั ญมั๊ววะอฺ อัล-ฟะตาวา ของอบิ นุตัยมิยะฮฺ เลม 20 หนา 265 5
“งาน (อะมัล) ทุกอยาง เปนของมนุษยเวนแตการถือศีลอด แทจริงมัน เปนของขา (อลั ลอฮ)ฺ และขาจะเปนผตู อบแทนมนั ดวยตวั ขาเอง”5 และหะดีษคือ « »ﻋﻠﻴﻚ ﺑﺎﻟﺼﻮم ﻓﺈﻧﻪ ﻻﻋﺪل “ทา นจงถอื ศีลอด เพราะแทจ รงิ ยอ มไมม ีส่ิงใดเทยี บเทา”6 และหะดษี คอื « واﻟﻤﻈﻠﻮم، اﻟﺼﺎﺋﻢ ﺣﺘﻲ ﻳﻔﻄﺮ واﻹﻣﺎم اﻟﻌﺎدل: »ﺛﻼﺛﺔ ﻻ ﺗﺮد دﻋﻮﺗﻬﻢ “3 จําพวกที่ดุอาอฺ (ของพวกเขา) จะไมถูกปฎิเสธ คือ 1. ผูถือศีลอดอยู จนกระทั่งเขาละศลี อด 2. ผนู าํ ท่ยี ุตธิ รรม และ 3. ผูถูกอธรรม”7 ﻟﻠﺼﺎﺋﻢ ﻓﺮﺣﺘﺎن ﻳﻔﺮﺣﻬﻤﺎ إذا أﻓﻄﺮ ﻓﺮح ﺑﻔﻄﺮه و ذا ﻟﻘﻲ رﺑﻪ ﻓﺮح... » « ﺑﺼﻮﻣﻪ “สาํ หรบั ผถู ือศลี อด เขาจะไดร ับความปต ิยินดี 2 คร้ังดวยกัน คือเมอื่ เขา ไดถือศีลอด (ในดุนยา) เขามีความปติยินดีในการละศีลอดของเขา และขณะที่เขาพบกับพระผูอภิบาลของเขา (ในอาคิเราะฮฺ) เขาก็จะปติ ยนิ ดีใน (รางวลั ของ) การถือศลี อดของเขา”8 และหะดษี ورﻣﻀﺎن إﻟﻰ رﻣﻀﺎن، واﻟﺠﻤﻌﺔ إﻟﻰ اﻟﺠﻤﻌﺔ، »اﻟﺼﻠﻮات اﻟﺨﻤﺲ « إذا اﺟﺘﻨﺒﺖ اﻟﻜﺒﺎﺋﺮ، ﻣﻜﻔﺮات ﻟﻤﺎ ﺑﻴﻨﻬﻦ “การละหมาด (ฟรฎ) 5 เวลา และ (ละหมาด) วันศุกรถึงอีกวันศุกรหนึ่ง และ (การถือศีลอดใน) เดือนเราะมะฎอนหนึ่งยังอีกเราะมะฎอนหน่ึง เปนสิ่งลบลาง (ความบาปเล็กๆ) ท่ีเกิดข้ึนระหวางนั้นตราบท่ีหางไกล ออกจากบาปใหญท ้งั หลาย”9 « ... ﻟﺨﻠﻮف ﻓﻢ اﻟﺼﺌﻢ أﻃﻴﺐ ﻋﻨﺪ اﷲ ﻣﻦ رﻳﺢ اﻟﻤﺴﻚ... » “แทจริงกลิ่นปากของผถู อื ศีลอด ณ อลั ลอฮนฺ นั้ หอมยง่ิ กวา กล่นิ ชะมดเชยี ง”10 5 ดู เศาะเห๊ียะหฺ อัล-ตรั ฆบี หะดีษเลขท่ี 964 6 ดู เศาะเหยี๊ ะหฺ อลั -ตัรฆีบ หะดีษเลขท่ี 973 7 ดู อัซ-ซลิ ซิละฮศุ -เศาะฮีหะฮฺ เลขท่ี 1797 8 ดู เศาะเหยี๊ ะหฺ อัล-ตัรฆีบ หะดีษเลขท่ี 964 9 บนั ทึกโดย มุสลิม 10 ดู เศาะเห๊ยี ะหฺ อลั -ตรั ฆีบ หะดีษเลขท่ี 9 6
«»اﻟﺼﻴﺎم ﺟﻨﺔ ﻳﺴﺘﺠﻦ ﺑﻬﺎ اﻟﻌﺒﺪ ﻣﻦ اﺠﺎر “การถือศีลอดเปน โลห ท่บี าวใชเ พอ่ื ปองกนั ตอ ไฟนรก”11 »ﻣﺎ ﻣﻦ ﻋﺒﺪ ﻳﺼﻮم ﻳﻮﻣﺎ ﻓﻲ ﺳﺒﻴﻞ اﷲ ﺗﻌﺎﻟﻰ إﻻ ﺑﺎﻋﺪ اﷲ ﺑﺬﻟﻚ ا ﻮم «ًوﺟﻬﻪ ﻋﻦ اﺠﺎر ﺳﺒﻌﻴﻦ ﺧﺮﻳﻔﺎ “ผูใดถือศีลอดหน่ึงวันในหนทางของอัลลอฮฺดวยการวันน้ัน อัลลอฮฺจะ ทรงใหใ บหนา ของเขาหางจากไฟนรกระยะเวลา 70 ป”12 « ...و ﻣﻦ ﺻﺎم ﻳﻮﻣﺎ إﺑﺘﻐﺎء وﺟﻪ اﷲ ﺧﺘﻢ ﺑﻪ دﺧﻞ اﻟﺠﻨﺔ... » “ผูใดถือศีลอดหน่ึงวันดวยแสวงหาความโปรดปราน ของอัลลอฮฺ แลว เขาจบชวี ติ ลงดว ยการน้ัน เขาจะไดเขา สวรรค”13 » إن ﻓﻲ اﻟﺠﻨﺔ ﺑﺎب ﻳﻘﺎل ) أﻟﺮﻳﺎن ( ﻳﺪﺧﻞ ﻣﻨﻪ اﻟﺼﺎﺋﻤﻮن ﻳﻮم اﻟﻘﻴﺎﻣﺔ «ﻻﻳﺪﺧﻞ ﻣﻨﻪ أﺣﺪ ﻏﻴﺮﻫﻢ ﻓﺈذا دﺧﻠﻮا أﻏﻠﻖ ﻓﻠﻢ ﻳﺪﺧﻞ ﻣﻨﻪ أﺣﺪ “แทจริง ในสวนสรรคน้ันมีประตูหน่ึง มีช่ือวา “อัร-ร็อยยาน” เปนประตู เขาของบรรดาผูถือศีลอด ไมมีใครสามารถเขาทางนั้นได นอกจากพวก เขาดังนั้นในเม่อื พวกเขาเขาไปหมดแลว จะไมมผี ูใดเขา ไปอีก”14 การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน เปนรากฐานสําคัญอันหนึ่งของหลักการอิสลาม ดังท่ีได กลาวมาแลวขางตน ในเดือนนั้นโองการอัล-กุรอานไดถูกประทานลงมาครั้งแรกแกมนุษยชาติ คือ ในค่ําคืนแหง “ลยั ละตุลกอ็ ดร” ซึ่งมีความประเสรฐิ ยง่ิ กวาเดือนอืน่ ๆ ถงึ 1,000 เดอื น ، وﻏﻠﻘﺖ أﺑﻮاب اﺠﺎر، ﻓﺘﺤﺖ أﺑﻮاب اﻟﺠﻨﺔ، »إذا ﺟﺎء رﻣﻀﺎن «وﺻﻔﺪت اﻟﺸﻴﺎﻃﻴﻦ “เม่ือเราะมะฎอนยางกรายมาประตูแหงสวรรคทั้งหลายจะถูกเปดออก ในขณะที่ประตูท้ังหลายของนรกจะถูกปดลง และบรรดามารราย หรอื ญินผูด้อื ร้ัน จะถกู พนั ธนาการไว”15 11 ดู เศาะเห๊ยี ะหฺ อลั -ตัรฆีบ หะดีษเลขท่ี 966 12 ดู เศาะเหย๊ี ะหฺ อลั -ตรั ฆบี หะดีษเลขที่ 974 13 ดู เศาะเห๊ียะหฺ อลั -ตัรฆีบ หะดีษเลขที่ 972 14 ดู เศาะเหย๊ี ะหฺ อลั -ตัรฆบี หะดีษเลขที่ 965 15 ดู เศาะเหยี๊ ะหฺ อลั -ตัรฆบี หะดีษเลขที่ 984 7
«»اﻟﺼﻴﺎم واﻟﻘﺮآن ﻳﺸﻔﻌﺎن ﻟﻠﻌﺒﺪ ﻳﻮم اﻟﻘﻴﺎﻣﺔ “การถือศีลอดและ (การอาน) อัล-กุรอาน ท้ัง 2 นี้จะชวยเหลือบาว (ผู ศรทั ธา) ในวันกียามะฮ”ฺ 16 ทา นเราะซูล (ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลัยฮิวะซลั ลัม) ยังกลา วอีกวา «»ﻣﻦ ﺻﺎم رﻣﻀﺎن إﻳﻤﺎﻧﺎ واﺣﺘﺴﺎﺑﺎ ﻏﻔﺮ ﻣﺎ ﺗﻘﺪم ﻣﻦ ذﻧﺒﻪ “ผูใดถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน โดยการศรัทธา และมุงหวังตอการ ตอบแทนจากอัลลอฮฺอยางจริงจัง บาปท่ีเคยกระทํามากอนหนานั้น จะ ไดร ับการอภัยโทษ”17 «»ﷲ ﻋﻨﺪ ﻛﻞ ﻓﻄﺮ ﻋﺘﻘﺎء “และเปน สทิ ธขิ องอัลลอฮทฺ ี่จะปลดปลอ ยชาวนรกในทุกๆ ครัง้ ของการละศีลอด”18 4. หิกมะฮฺ (วทิ ยะปญ ญา) ของการถือศีลอด ในการถือศีลอดมีวิทยปญญา (หิกมะฮฺ) และประโยชนตางๆ มากมาย เปนตนวา การถือ ศีลอดเปนส่ือที่นําไปสูการเกิดความรูสึกยําเกรง (ตักวา) ตออัลลอฮฺตะอาลา เพราะในเม่ือเรา สามารถยับย้ังอารมณหรือจิตใจตนจากสิ่งท่ีหะลาล ดวยแรงปรารถนาในความโปรดปราน ของอัลลอฮฺ และการลงโทษของพระองคไดแลวไซร ดังน้ัน ยอมเปนการงายดายเหลือเกินที่เราจะ ละเวน หรอื ยบั ยั้งตนเองจากส่ิงตาง ๆ ทเ่ี ปนของหะรอมทัง้ หลาย ทั้งน้ีในธรรมชาติของมนุษยแลว คราใดก็ตามท่ีทองของเขาวางเปลา ความหิวจะสงผล กระทบตออวัยวะสวนอ่ืน ๆ ของรางกายใหออนกําลังลง และเมื่อใดท่ีทองอิ่ม ความอยากหรือ ความตอ งการทางอวัยวะสว นอน่ื เชน ล้ิน สายตา มือ และอารมณเพศกจ็ ะปรากฏขึ้นมา ดงั นนั้ การ ถือศีลอดนี้จึงถือไดวาคือวิธีการหนึ่งท่ีสามารถขมเอาชนะอารมณแหงชัยฎอนความรูสึกทางเพศ และปกปองรักษาอวัยวะตาง ๆ มิใหกระทําส่ิงท่ีช่ัวชาท้ังหลาย บนพื้นฐานแหงความยําเกรงอยาง แทจริง เพราะ “ตักวา” ที่มีอยูในสวนลึกของจิตใจเทานั้น ท่ีสามารถควบคุมพฤติกรรมตาง ๆ ของ มนุษยใหดาํ เนินอยูในครรลองได เชนกันเม่ือผูท่ีถือศีลอดไดล้ิมรสแหงความเจ็บปวดจากความหิว กระหาย เขายอมเขาใจ ในสภาพความตองการและรูสึกของคนจนผูยากไรไดเปนอยางดี ทําใหเกิดจิตใจเมตตา สงสาร และชวยเหลือแบงปนเพ่ือขจัดความหิวโหยของพวกเขาเพราะแนนอนสิ่งที่รับมาจากการบอกเลา 16 ดู เศาะเหีย๊ ะหฺ อัล-ตัรฆีบ หะดีษเลขที่ 969 17 ดู เศาะเห๊ียะหฺ อัล-ตรั ฆีบ หะดีษเลขที่ 964 18 ดู เศาะเหี๊ยะหฺ อลั -ตรั ฆบี หะดีษเลขท่ี 987 8
ของผูอื่นน้ันยอมไมลึกซึ้งเทากับการท่ีไดสัมผัสกับความทุกขยากดวยตนเอง ประดุจดังคนท่ีขับข่ี ยานพาหนะ ที่ไมอาจเขาใจความยากลําบากของคนเดินเทาได นอกจากตองลงมาเดินเทาดวย ตนเองบาง การถือศีลอด ชวยอบรมบมนิสัย และพัฒนาเจตนารมณของการหางไกลจากอารมณ ใฝตํ่า และความชั่ว ในน้ันเปนการควบคุม บังคับนิสัยและขจัดอารมณออกจากสิ่งที่ไมดีท้ังหลาย และในนั้นยังเปนการแสดงถึงความเปนเอกภาพอันเทาเทียมกัน ของบรรดาประชาคมมุสลิม ท้ังหลาย ทีต่ า งถือศลี อดและออกจากการถือศีลอดอยางพรอ มเพรียงกัน 5. มารยาทของการถอื ศีลอด มารยาทของการถือศลี อดและซุนนะฮตฺ า ง ๆ ก. สงเสริมใหรับประทานอาหารสะหูรในชวงใกลเวลารุงอรุณข้ึน ทานเราะซูล (ศ็อลลัลลอ ฮุอะลัยฮวิ ะซลั ลัม) กลาววา (( » ﺗﺴﺤﺮوا ﻓﺈن ﻓﻲ اﻟﺴﺤﻮر ﺑﺮ ﺔ “พวกทานจงรับประทานอาหารสะหูรกันเถิดแทจริงในการรับประทาน อาหารสะหูร นัน้ มคี วามจาํ เรญิ (บะเราะกะฮ)ฺ ”19 อกี หะดษี หนึง่ ระบวุ า «»ﻓﺼﻞ ﻣﺎ ﺑﻴﻦ ﺻﻴﺎﻣﻨﺎ وﺻﻴﺎم أﻫﻞ اﻟﻜﺘﺎب أﻛﻠﺔ اﻟﺴﺤﺮ “ความแตกตาง ระหวางการถือศีลอดของพวกเรา (มุสลิม) กับการถือ ศลี อดของชาวอะหลฺ ลุ กติ าบ (ยวิ และคริสเตียน) นั้นคอื การรับประทาน อาหารสะหูร”20 «»ﻧﻌﻢ ﺳﺤﻮر اﻟﻤﺆﻣﻦ اﺗﻤﺮ “อนิ ทผาลมั ชางเปนสะหรู ท่ีดยี งิ่ ของคนมุอมฺ ิน (ผศู รทั ธา)” ข. สงเสรมิ ใหรีบละศีลอดเมอ่ื ไดเวลา ทานเราะซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลยั ฮิวะซลั ลัม) กลาววา «»ﻻﻳﺰال اﺠﺎس ﺑﺨﻴﺮ ﻣﺎ ﻋﺠﻠﻮا اﻟﻔﻄﺮ “ผคู น (ที่ถอื ศีลอด) จะยังคงอยใู นความดีตราบใดที่พวกเขารบี เรงละศีล อด (เมื่อไดเ วลา)”21 19 ดู เศาะเหี๊ยะหฺ อัล-ตัรฆบี หะดีษเลขที่ 1050 20 ดู เศาะเห๊ียะหฺ อัล-ตัรฆีบ 21 ดู เศาะเห๊ียะหฺ อลั -ตัรฆบี หะดีษเลขที่ 1060 9
ในหะดษี หนงึ่ รายงานจากทา นอนัส (เราะฎิยัลลอฮุอนั ฮ)ุ กลาวถงึ รูปแบบการละศีลอดของ ทานเราะซูล (ศ็อลลลั ลอฮุอะลัยฮิวะซลั ลมั ) วา »ﻛﺎن رﺳﻮل اﷲ ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ﻳﻔﻄﺮ ﻗﺒﻞ أن ﻳﺼﻠﻲ ﻟﺒ رﻃﺒﺎت ﻓﺈن ﻟﻢ ﺗﻜﻦ رﻃﺒﺎت ﻓﺘﻤﻴﺮات ﻓﺈن ﻟﻢ ﺗﻜﻦ ﺗﻤﻴﺮات ﺣﺴﺎ ﺣﺴﻮات «ﻣﻦ ﻣﺎء “ทานนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เคยละศีลอดกอนท่ีจะละหมาด (มัฆฺริบ) ดวยผลรุฎ็อบ (อินทผลัมสด) หากไมมีผลรุฎ็อบ ทานก็ละศีลอด ดวยผลตะมัรฺ (อินทผลัมแหง) แตหากไมมีแมผลตะมัรฺ ทานก็จะด่ืม น้ําเปลาแทน”22 สําหรับดุอาอฺท่ีทานเราะซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เคยอานตอนละศีลอดน้ันมี หลายรายงานดวย แตมีหลกั ฐานแขง็ แรงท่ีสุดคอื «»ذﻫﺐ اﻟﻈﻤﺄ واﺑﺘﻠﺖ اﻟﻌﺮوق وﺛﺒﺖ اﻷﺟﺮ إن ﺷﺎء اﷲ “ความกระหายน้ันไดมลายไปเสนเลือดทั้งหลายก็ชุมฉํ่า และรางวัลก็มี แนน อนอนิ ชาอลั ลอฮ”ฺ 23 ค. หลีกหางจากการพดู จากเกี้ยวพาราสี โกหกหรือหยาบโลน ดังหะดีษของทา นเราะซูล (ศ็อลลลั ลอฮุอะลยั ฮวิ ะซลั ลัม) ท่ีหามเอาไววา “หากวนั ใดทพี่ วกทานถอื ศลี อดอยู ดังนน้ั จงอยาไดก ระทาํ ความช่วั ”24 และหะดีษทีว่ า »ﻣﻦ ﻟﻢ ﻳﺪع ﻗﻮل اﻟﺰور واﻟﻌﻤﻞ ﺑﻪ ﻓﻠﻴﺲ ﷲ ﺣﺎﺟﺔ ﻓﻲ أن ﻳﺪع ﻃﻌﺎﻣﻪ «وﺷﺮاﺑﻪ “ผูใดไมละเวนจากการกลาวเท็จะและการกระทําที่เปนส่ิงมดเท็จ (ไร สาระ) อัลลอฮฺ ก็จะไมทรงประสงคอันใดในการละเวนอาหารและ เครือ่ งดื่มของเขา”25 ดังน้ันบุคคลที่ถือศีลอด จึงควรหางไกลจากส่ิงท่ีตองหามท้ังหลาย เปนตนวา การนินทา การพูดจาหยาบคาย การโกหก เพราะจะทําใหรางวัลการตอบแทนจากการถือศีลอดของเขานั้นมี อันตองมลายไปส้นิ ดงั ท่ที านนบี (ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลัยฮวิ ะซัลลัม) กลา ววา 22 ดู เศาะเห๊ียะหฺ อลั -ตัรฆีบ หะดีษเลขท่ี 1064 23 บันทกึ โดยอบูดาวดู เลม 2 หนา 7 24 บันทึกโดยอัล-บคุ อรี 25 ดู เศาะเหย๊ี ะหฺ อลั -ตัรฆบี หะดีษเลขที่ 1241 10
« ... »رب ﺻﺎﺋﻢ ﻟﻴﺲ ﻣﻦ ﺻﻴﺎﻣﻪ إﻻ اﻟﺠﻮع “บางทีคนท่ีถือศีลอดคนหนงึ่ อาจจะไมไดร บั อะไรเลยจากการศลี อดของ เขา นอกจากความหิวเทานน้ั ”26 ง. หลกี เล่ียงการทะเลาะวิวาท ดังหะดีษท่ีวา »إذا ﻛﺎن ﻳﻮم ﺻﻮم أﺣﺪﻛﻢ ﻓﻼ ﻳﺮﻓﺚ وﻻ ﻳﺼﺨﺐ ﻓﺈن ﺳﺎﺑﻪ أﺣﺪ أو «ﻗﺎﺗﻠﻪ ﻓﻠﻴﻘﻞ إ ﺻﺎﺋﻢ إ ﺻﺎﺋﻢ “ดังน้ัน ถาหากผูใดมาดาทอหรือชวนทะเลาะวิวาทกัน ทานก็จะกลาว แกเขาวา “แทจริงฉันกําลังถือศีลอดอยู แทจริงฉันกําลังถือศีลอดอยู ...”27 (ครั้งแรกเปน การเตือนตนเอง ครง้ั ทส่ี องเปน การเตอื นคูก รณี) จ. หลีกเลย่ี งการจดั เตรยี มอาหารมากมายอยางฟุม เฟอ ย ดั่งหะดีษทีว่ า “ไมม ีภาชนะดันใด ท่ีลกู หลานอาดมั (มนุษย) บรรจชุ ว่ั รายยิง่ กวา กระเพราะอาหาร อกี แลว ”28 ฉ. สงเสริมใหช ว ยเหลอื จนุ เจอื เผอ่ื แผก ันทั้งในเรื่องวชิ าความรู ทรัพยส ิน หนาที่ กําลังกาย จรยิ ธรรม ตาง ๆ ใหมากเปนพิเศษในชวงเราะมะฎอน ดังหะดีษ หน่ึงรายงานจากทานอิบนุอิบบาส (เราะฎิยัลลอฮอุ ันฮมุ า) วา »ﻛﺎن رﺳﻮل اﷲ ﺻﻠﻰ اﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ أﺟﻮد اﺠﺎس و ن أﺟﻮد ﻣﺎ ﻳﻜﻮن ﻓﻲ رﻣﻀﺎن ﺣﻴﻦ ﻳﻠﻘﺎه ﺟﺒﺮﻳﻞ و ن ﻳﻠﻘﺎه ﻛﻞ ﻠﺔ ﻣﻦ رﻣﻀﺎن ﻓﻴﺪارﺳﻪ «اﻟﻘﺮأن ﻓﻠﺮﺳﻮل اﷲ أﺟﻮد ﺑﺎﻟﺨﻴﺮ ﻣﻦ اﻟﺮﻳﺢ اﻟﻤﺮﺳﻠﺔ “ทานเราะซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้น เปนบุคคลที่จิตใจเผื่อ แผท่ีสุด โดยเฉพราะทานจะใจดีเปนพิเศษในชวงเดือนเราะมะฎอน ซ่ึง เปน ชวงท่ีมะลาอิกะฮฺญิบรีลไดลงมาพบทานในทุกค่ําคืนของเดือนเราะ มะฎอน เพอื่ ทบทวนอัล-กรอุ านใหแ กท า นเราะซลู (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะซัลลัม) นั้นมีความใจบุญในกุศลทานยิ่งกวาลมโชย (ท่ียังความรมรื่น แกผ ูค นในยามเยน็ ) เสียอีก”29 26 ดู เศาะเหย๊ี ะหฺ อลั -ตรั ฆบี หะดีษเลขท่ี 1069 27 ดู เศาะเห๊ยี ะหฺ อลั -ตรั ฆบี หะดีษเลขท่ี 984 28 บนั ทกึ โดยอัต-ติรมซี ี : หะดษี หะซัน เศาะเหยี๊ ะหฺ 29 บันทึกโดยอัล-บคุ อรี 11
การบริจาคอาหารชวยเหลือผูอดอยากหิวโหยหรือเล้ียงอาหารละศีลอดในขณะท่ีผูบริจาค เองถือศลี อดอยูดวย กย็ ่ิงนับเปน ความดีอันยิง่ ใหญและเปน สาเหตุหนง่ึ แหงการไดเขา สูส วรรค ดงั หะดษี หนึง่ ของทา นเราะซลู (ศอ็ ลลลั ลอฮุอะลัยฮิวะซลั ลมั ) ทกี่ ลาววา “แทจรงิ ในสวนสวรรคน ้นั มีบรรดาหอ งอยูจ ํานวนหนงึ่ (ทีม่ คี วามบรสิ ทุ ธิ์ เชนแกว) ซ่ึงสามารถมองเห็นจากภายนอกถึงภายใน และจากภายใน ถึงยังภายนอก อัลลอฮฺไดทรงตระเตรียมมันเอาไวแกผูที่ใหอาหาร พูดจาออนโยน ถือศีลอดอยางตอเน่ือง และละหมาด (ตะฮัจุด) ยาม คา่ํ คนื ขณะท่ผี ูค นทง้ั หลายกําลังนอนหลับ”30 หะดีษหนึ่งที่ระบุวา »ﻣﻦ ﻓﻄﺮ ﺻﺎﺋﻤﺎ ﻛﺎن ﻣﺜﻞ أﺟﺮه ﻏﻴﺮ أﻧﻪ ﻻ ﻳﻨﻘﺺ ﻣﻦ أﺟﺮ اﻟﺼﺎﺋﻢ «ء “บุคคลใดใหอาหารละศีลอดแกผูถือศีลอดเขายอมไดรับรางวัล (ผล บุญ) เชน ผทู ถี่ อื ศลี อดไดรบั โดยไมม ีการลดหยอนแมแ ตน อย”31 ทานชัยคุล-อิสลามอิบนุตัยมียะฮฺ (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) กลาววา “การใหอาหารละศีลอดแกเขา หมายถงึ การใหเ ขาทานจนอิ่ม”32 ช. มุสลิมสามารถแสดงออกซ่ึงความปติยินดีตอวาระการเขาสูเดือนเราะมะฎอนไดดังท่ีทานนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เคยแจงขาวดีแกเหลาสาวกของานทราบ ถึงการมาของเราะฎอน และกระตนุ ใหพ วกเขาไดใ หค วามสําคัญกับเราะมะฎอน ดังหะดีษท่ีเลาโดยอบูฮุร็อยเราะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) วา ทานเราะซูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอ ฮุอะลยั ฮิวะซลั ลัม) กลา ววา »إن ﻫﺬا اﻟﺸﻬﺮ ﻗﺪ ﺣﻀﺮ ﻛﻢ وﻓﻴﻪ ﻠﺔ ﺧﻴﺮ ﻣﻦ أﻟﻒ ﺷﻬﺮ ﻣﻦ ﺣﺮﻣﻬﺎ «ﻓﻘﺪ ﺣﺮم اﻟﺨﻴﺮ ﻛﻠﻪ وﻻ ﻳﺤﺮم ﺧﻴﺮﻫﺎ إﻻ ﻣﺤﺮوم “แทจริงเดือนนี้ (เราะมะฎอน) ไดมีมายังพวกทานแลว และในมันนั้นมี ค่ําคืนหนึ่งที่ดีกวาพันเดือน บุคคลใดไมไดรับมัน ดังน้ันเขายอมพลาด จากความดีทั้งหมด และไมมีบุคคลใดที่พลาดจากความดีของมัน นอกจากผทู ถ่ี กู กดี กัน (จากความด)ี เทาน้นั ”33 30 บันทึกโดยอะหมดั 5/3 เปนหะดษี หะสัน 31 ดู เศาะเห๊ียะหฺ อลั -ตรั ฆีบ หะดีษเลขที่ 1065 32 ดู อัล-อคิ ติยารอต อัล-เศาะฮหี ะฮฺ หนา 109 33 ดู เศาะเหี๊ยะหฺ อลั -ตรั ฆบี หะดีษเลขท่ี 986 12
6. ประเภทของการถือศลี อด ประเภททจี่ าํ เปนตอ งถอื ตดิ ตอกนั เชน - การถือศีลอดในเราะมะฎอน - การถือศีลอดที่เปนคาปรับ กรณีฆาคนตายโดยไมเจตนา (ซ่ึงตองมือ 2 เดือน ตดิ ตอ กนั ) - การถอื ศลี อดเนอ่ื งจากการหยาแบบซิฮารฺ - การถอื ศลี อดเพื่อเปนคาปรับกรณีรวมประเวณีในตอนกลางวันของเราะมะฎอน - และการถือศีลอดเน่ืองจากการบนบานซงึ่ ไดระบไุ วว า จะถอื โดยตดิ ตอกัน ประเภทตอมาคอื ไมจาํ เปน ตองถือในวนั ทีต่ ิดตอ กนั เชน - การถอื ศีลอดชดใชของเราะมะฎอน - การถือศลี อด 10 วนั ในกรณขี องผทู ําฮัจญท ่ไี มเ ชือดสัตว - การถือศีลอด (เพื่อเปนกัฟฟาเราะฮฺ) เนื่อสาเหตุการละเมิดคําสาบาน (กรณีที่ ไมไ ดร ะบกุ ารติดตอ ไว) - และการถอื ศีลอดเน่ืองจากละเมิดขอ หา มขณะครองอิหฺรอม เปนตน 7. ประเภทตา ง ๆ ของการถือศีลอดซนุ นะฮฺ ตอ มากค็ อื การถือศีลอดตาง ๆ ที่เปน ความสมคั รใจ (หรอื ซุนนะฮ)ฺ เชน - ศีลอดในวันจันทร และพฤหัสบดี - ศลี อดทุกวนั ที่ 13, 14, และ 15 ของเดือน - ศีลอดวนั อาชูรอฺ - ศลี อดวันอะรอฟะฮฺ - ศีลอด 7 วันในเดอื นเชาวาล - และศลี อดในชวงเดือนมุหัรรอม และเดือนชะอฺบาน ซึ่งทานนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะ ลยั ฮวิ ะซลั ลัม) มกั ถือหลายวนั ดวยกัน 8. วนั ตาง ๆ ท่หี ามถือศีลอด วันทมี่ ีหลกั ฐานหา มถอื ศีลอดกค็ ือ เชน - การเจาะจงถอื ศลี อดเฉพาะวันศุกร34 หรือวันเสารเพียงวันเดียว โดยไมมีเหตุผล ที่ศาสนาอนุโลม - การถอื ศลี อดทกุ วนั ตลอดชีวิต 34 บนั ทกึ โดยอัล-บุคอรี 13
- การถือศีลอดที่ถือติดตอกันเปนเวลาหลายวันโดยที่ไมยอมละศีลอด หรือทาน อาหารใด ๆ เลยระหวา งนน้ั - การถอื ศีลอดในวันอีดทัง้ 2 (คอื อีดอฎั ฮาและอีด ฟฏ ร)ี - และการถอื ศลี อดในวนั ตชั รกี (คือวันที่ 11, 12, และ 13 ของเดือนซุลหิจญะฮฺ) 9. อะไรเปน เกณฑยนื ยันการเขา สูเราะมะฎอน ? ตามหลักการทถี่ ูกตอง เกณฑท ่ีพงึ ยึดถอื เอามาใชเพือ่ ยนื ยันวา เดือนเราะมะฎอนของแตล ะ ปจะเร่ิมตนเม่ือไรน้ันใหถือตามแนวทางท่ีกําหนดไวจากซุนนะฮฺก็คือดวยการเห็นเดือนหรือหาก ทองฟามืดคร้ึมจนมิสามารถมองเห็นเดือนหรือหากทองฟามืดคร้ึมจนมิสามารถมองเห็นเดือนได สะดวก ก็ใหใชวิธีนับเดือนกอนหนานั้น คือเดือน “ชะอฺบาน” ใหครบ 30 วันแลวถือเอาวันหลังจาก น้ันเปน วนั เริ่มตน ของเดอื นเราะมะฎอน สวนการใชวิธีคํานวณเปนเกณฑกําหนดการเริ่มเดือนเราะมะฎอนนั้น ถือวาเปนวิธีการที่ อุตริข้ึนใหม (บิดอะฮฺ) ท้ังนี้จากหลักฐานคือหะดีษของทานเราะซูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ทวี่ า ﻓﺈن ﺣﺎﻟﺖ دوﻧﻪ ﻏﻴﺎﻳﺔ ﻓﺄﻛﻤﻠﻮا، »ﺻﻮﻣﻮا ﻟﺮؤﻳﺘﻪ وأﻓﻄﺮوا ﻟﺮؤﻳﺘﻪ «ﺛﻼﺛﻴﻦ ﻳﻮﻣﺎ “พวกทานทั้งหลายจงถือศีลอดดวยการเห็นเดือน และจงละศีลอด (ออกอีด) ก็ดวยการเห็นเดือน ดังน้ัน ถาหากวามีเมฆบดบัง พวกทานก็ จงนบั (เดอื นชะอบฺ าน) ใหค รบ 30 วนั ”35 กลาวคือเม่ือมีมุสลิมผูใดซ่ึงมีคุณสมบัติ คือ บรรลุนิติภาวะ มีสติปญญาสมบูรณ และเปน บุคคลทเี่ ชือ่ ถอื ได ยืนยนั วา เห็นเดือน ก็ใหม สุ ลิมท้งั หลายเริ่มถือศลี อดตามน้ัน 10. บุคคลตาง ๆ ท่จี ําเปนตอ งถือศีลอด การถือศลี อดจาํ เปน (วาญบิ ) เหนือมุสลิมและมุสลิมะฮทุกคนท่ีมีคุณสมบัติตอไปน้ี คือผูมี อายุบรรลุศาสนภาวะ มีสติปชัญญะสมบูรณ (ไมวิกลจริต) สุขภาพดี มิไดอยูในสภาพของผูเดิน ทางไกล (มุซาฟร) และไมม รี อบเดอื น (หัยฎ) หรือเลือดหลงั การคลอดบุตร (นฟิ าส) สําหรับเกณฑของอายุที่ถือวาบรรลุศาสนภาวะแลวน้ัน กําหนดไดโดย 3 ประการดวยกัน คอื • เร่มิ มีความรูสกึ ทางเพศหรอื ฝน เปย ก • มีขนลบั ข้นึ บริเวณอวัยวะเพศ • อายุครบ 15 ปบรบิ รู ณ หรอื ในกรณีที่เปน ผหู ญงิ คอื เมือ่ เรมิ่ มรี อบเดอื น 35 บันทึกโดยอัต-ติรมซี ี : หะดษี หะซัน เศาะเห๊ยี ะหฺ 14
11. การถอื ศลี อดของเด็ก กรณีเด็กเล็ก (ที่อายุยังไมบรรลุศาสนภาวะนั้น) ศาสนาสงเสริมใหผูปกครองฝกฝนเด็กๆ ของพวกเขาใหถ อื ศลี อดตง้ั แตอ ายุ 7 ขวบ หากเดก็ มคี วามสามารถ และใหพยายามกาํ ชับใหเขาถอื ศีลอดเม่ืออายุครบ 10 ขวบ เชนเดียวกับการละหมาด36 ซ่ึงแนนอนตัวเด็กยอมไดผลบุญในการถือ ศีลอดนน้ั ขณะท่พี อแมก็จะไดรบั ผลบุญจากการอบรมสงั่ สอนเขาดว ยเชน กัน ดังมีรายงานหนึ่ง จากอัร-เราะบิอฺ บินตุมุเอาวิซ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮา) โดยนางไดกลาวถึง การถอื ศลี อดในวันอาชูรออฺ ภายหลงั จากบัญญตั อิ ันน้ีไดม ขี น้ึ วา “พวกเราเคยฝกฝนใหเด็ก ๆ ของเราถือศีลอดและเมื่อพวกเขารองขอ อาหาเราก็ประดิษฐของเลนทําจากขนสัตวใหพวกเขาเลน (เพ่ือ เบยี่ งเบนความสนใจ) จนกระทัง่ ไดเวลาละศอี ลด”37 12. กรณีของคนเพิ่งเขารับอิสลาม และเด็กอายุเขานิติภาวะ หรือคนฟนจากเปนลม ในชวงเราะมะฎอน ในกรณีที่คนตางศาสนิก เขารับนับถืออิสลามใหม และเม่ือเด็กอายุครบศาสนภาวะ หรือ เม่ือผูท่ีเปนลมหมดสติฟนข้ึนมาเปนปกติ ในชวงเวลาใด ๆ ของกลางวันระหวางเดือนเราะมะฎอน ถือวาเขาจําเปนตองเริ่มทําการถือศีลอด ต้ังแตวินาทีน้ันเปนตนไปทันที แตกรณีน้ีไมตองถือชดใช ในวันกอนหนา ท่ีเขาขาดไป (เนอื่ งยังอยูในสภาพทกี่ าฟร, อายุยังไมค รบ หรอื ยังเปนลมหมดสติอยู) 13. กรณีของคนบา หรอื วิกลจรติ สําหรับประเด็นของคนบา หรือวิกลจรติ น้ันยอมไมมคี วามผิดใด ๆ ทไ่ี มถ ือศีลอด แตในกรณีการบาแบบชั่วคร้ังชั่วคราว ก็ใหถือศีลอดในชวงที่หายจากอาการวิกลจริต และ ในชวงที่มีอาการบาน้ันก็ไมตองถือศีลอด เชน คนที่ตอนเชาถือศีลอดอยู แตตกเที่ยงเปนบา ดังนั้น หากหายเปนปกติเม่ือใด ก็ใหถือตอในเวลาท่ีเหลืออยูของวันน้ันไดเลย โดยไมถือวาศีลอดของเขา กอ นหนา นน้ั เสียไปเชน เดยี วกบั กรณขี องคนเปนลม หรอื หมดสติ ใหเ ขาถอื ศลี อดตอไดทันที เมื่อเขา ฟนขึ้นมาเปนปกติ ท้ังน้ีเพราะเขาไดเร่ิมตั้งเจตนาเอาไวในตอนแรกขณะท่ีเขามีสติสัมปชัญญะอยู นน้ั เอง38 14. กรณีผเู สยี ชวี ิตลงขณะถอื ศีลอดอยูในเดอื นเราะมะฎอน ในกรณีของผูท่ีเสียชีวิตลงในระหวางเดือนเราะมะฎอน ตามหลักฐานที่ชัดเจนแลว ไมถือ วาผูตายนั้นมีภาระติดคางในศีลอดของวันที่เหลืออยู และญาติใกลชิดของผูตายก็ไมจําเปนตอง ชดใชแ ตอยา งใด 36 อลั -มุฆนฺ ี เลม 3 หนา 90 37 บันทึกโดยอัล-บุคอรี 38 ดู มะญาลิส-ชะฮรฺ ุเราะมะฎอน ของอบิ นุ อัล-อุษยั มนี หนา 28 15
สว นจดุ มุงหมายในหะดีษทว่ี า «»ﻣﻦ ﻣﺎت وﻋﻠﻴﻪ ﺻﻴﺎم ﺻﺎم ﻋﻨﻪ وو ﻪ “ผใู ดตายลง และเขายังมศี ีลอดตดิ คา งอยวู ะลขี องเขาถือศลี อดแทน” บรรดานักวิชาการหะดีษ อธิบายวา การถือศีลอดในหะดีษน้ีหมายถึงการถือศีลอด เนอ่ื งจากการบนบาน ไมใ ชการถือศีลอดเราะมะฎอนแตอ ยา งใด 15. กรณีการขาดศลี อด หรอื รว มประเวณใี นกลางวันเนอื่ งจากไมเขาใจตอ กฎขอ หา ม ในกรณีของการขาดศีลอด หรือการรวมประเวณีเนื่องสาเหตุจากการไมไดเรียนรู หรือไม เขาใจ (ญาฮิล) ตอ บทบญั ญัตศิ าสนาเร่อื งดังกลาว ทศั นะของบรรดาอลุ ะมาอส วนใหญ (ุมหูร) เห็นวาไมถ อื เปนความผดิ สําหรับบุคคลที่เพิ่ง เขารับนับถืออิสลามใหม ๆ หรือคนมุสลิมท่ีเติบโตมาทามกลางสังคมคนของคนตางศาสนิกลวนๆ จนไมมโี อกาสรบั ทราบ หรือรูเก่ยี วกบั อสิ ลามเลย สวนบุคคลท่ีมีโอกาสเรียนรูศาสนาและสังคมอยูรวมกับพ่ีนองมุสลิม แตไมไดสนใจ ไม รับทราบและไมถือศีลอดยอมถือวามคี วามผดิ อยา งแนนอน 16. กรณขี องคนเดินทาง การเดนิ ทางทถ่ี กู อนุโลมใหละศลี อดไดนนั้ ตอ งมเี งือ่ นไขดงั ตอ ไปนี้ คอื ก. ตองเปนการเดินทางในระยะทางท่ีไกลตามหลักการศาสนา หรือเรียกไดวาเปนการ เดนิ ทา ข. ตอ งเลยเขตเมือง ซึ่งเปน ภมู ลิ าํ เนาของตนหรอื พน จากอาคารบานเรอื นของเมืองนน้ั 39 ค. ตอ งเปน การเดินทางเพือ่ การงานทด่ี ี ไมใ ชเ พ่อื ทาํ ส่งิ ทเ่ี ปน ความชัว่ (มะอฺศิยะฮ)ฺ ง. ตองเปนการเดนิ ทางท่ีมคี วามจาํ เปน จรงิ ๆ มใิ ชเจตนาเพื่อหลกี เลีย่ งการถือศลี อด 17. กรณคี นเดินทางยอ มอนุโลมใหล ะศีลอดได แมน การเดินทางนัน้ จะสะดวกสบายกต็ ามบุคคลที่อยูในเง่ือนไขของการเดินทาง (มุซาฟรฺ) ตามขางตนน้ัน ตามหลักการและมติอุละมาอฺถือวาเขามีสิทธิที่จะละศีลอดได ถึงแมนเขาจะอยูใน สภาพท่ีสามารถถือได และการเดินทางจะลําบากหรือสะดวกสบาย (เชนการเดินทางโดย เครื่องบิน/หรือทางเรือท่ีบรรยากาศรมเย็นสบาย) พรอมการบริการอยางเสร็จสรรพก็ตาม และยัง อนโุ ลมใหละหมาดยอ ไดอ ีกดวย40 39 รายงานโดยญาบริ , สวนหลักฐานท่ีขัดกบั หะดษี นี้ คือรายงานของอนสั ซึ่งเปนเปนหะดษี ชาซฺ 40 ดู มัจฺมว๊ั ะอฺ อัล-ฟะตะวา เลม 20 หนา 210 16
18. แมน ถึงวันกาํ หนดเดนิ ทางก็ตองถอื ศลี อดตราบใดทีย่ งั ไมออกเดินทางจริงๆ เชนกรณีท่ีคนๆ หน่ึงต้ังใจหรือกําหนดเอาไวกอนวาในตอนบายของวันน้ัน ๆ ในเดือนเราะ มะฎอนที่จะถึงนี้ เขาจะตองออกเดินทาง ฉะนั้นเม่ือถึงวันกําหนดเดินทาง ต้ังแตเวลารุงอรุณ ตอน เชา จนถึงเวลากอนบายเขาจะตองศีลอดกอน (เพราะตราบใดท่ียังไมออกเดินทาง เวลากอนหนา น้ันยอมถือวาเขายังคงอยูในสภาพของมุกีม-คนทองที่) จะละศีลอดในชวงเวลากอนน้ันยังไมได เพราะบางทอี าจเกดิ อปุ สรรคหนง่ึ จนทาํ ใหเ ขาตอ งพลาดการเดนิ ทางในวันน้นั ไปกไ็ ด4 1 19. กรณีผโู ดยสารเครือ่ งบนิ หรือสถานท่ีสูงท่ียังคงเห็นดวงอาทิตย ท้ัง ๆ ที่ไดเวลาละศีล อดแลว กรณขี องผูมิไดอยูในเงือ่ นไขของการเดินทางไกลแตเ ปนการเดินทางระยะส้ันโดยเครื่องบิน ซง่ึ กาํ ลงั บินอยเู หนอื ทอ งฟา ถึงแมเ วลาตามนาฬิกาจะถึงเวลาละศลี อดแลวกต็ าม แตยังไมอนุญาต ใหเขาละศีลอดหากตําแหนงท่ีเขากําลังบินอยูนั้นยังสามารถมองเห็นแสงอาทิตยอยู ทั้งนี้เพราะ ตามหลักการแลว ถอื การเห็นดวงอาทติ ยลบั ขอบฟา แลวเปน เกณฑ สาํ คัญ42 20. กรณกี ารเดินทาง เมอื่ ถึงสถานทีห่ มายแลว พกั อยทู ่ีนัน้ เกนิ กวา ระยะเวลา 4 วัน ผูเดินทางที่ถึงยังจุดหมายปลายทางแลว และมีความต้ังใจจะอาศัยอยูในเมือง ๆ นั้น มากกวา 4 วันในทัศนะของนักวิชาการศาสนาและอุละมะอสวนใหญเห็นวา บุคคลน้ันอยูในสภาพ เชนเดยี วกับ “มกุ ีม” (คนทอ งถน่ิ ) คอื ตอ งถอื ศีลอด แตถ า หากยงั ไมม่ันใจหรอื ไมแนนอนวา จะพกั อยู มากกวา 4 วนั หรอื ไมก อ็ นโุ ลมใหละศลี อดได อาทิเชน กรณขี องบคุ คลท่ีเดินทางไปเรยี นหนงั สอื ยงั ตา งประเทศเปน เวลาหลายเดอื น หรือ หลายป มตขิ อง อลุ ะมาอ (ุมหูร) รวมทง้ั มัซฮบั ทง้ั 4 เห็นวาบุคคลนนั้ อยใู นสภาพของ “มุกีม” (คน ทองท)ี่ แลวซึ่งจาํ เปน ตองถอื ศลี อดและละหมาดเตม็ เชน ปกติ”43 21. กรณีผทู ถี่ อื ศลี อดอยู และจําเปน ตองเดนิ ทางโดยฉกุ เฉนิ ในวนั นัน้ บุคคลใดถือศีลอดอยู และจําเปนตองออกเดินทางในตอนกลางวันของวันเดียวกัน ก็ อนุโลมใหเขาละศีลอดได ทั้งนี้ เพราะถือวาเขาอยูในกรณีของผูไดรับอนุโลม เนื่องจากการเดินทาง นัน้ เอง ดงั เจตนารมณข องซูเราะฮอฺ ัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮทฺ ่ี 185 ทวี่ า ﴾﴿ﻓﻤﻦ ﻛﺎن ﻣﻨﻜﻢ ﻣﺮﻳﻀﺎ أو ﻟﺒ ﺳﻔﺮ ﻓﻌﺪة ﻣﻦ أﻳﺎم أﺧﺮ “และผใู ดปว ย หรืออยใู นการเดินทาง ก็จงถือใชวันอ่ืน” 41 ดู ตัฟซีรฺ อัล-กรุ ฎบี เลม 2 หนา 278 42 ฟต วา ของอิบนุบาซ/จากมชุ าฟะอะฮฺ 43 ดู ฟะตาวา อัด-ดะวะอฺ ของอิบนบุ าซฺ หนา 877 17
ขางตนน้ี คือทัศนะของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ และบรรดานักนิติศาสตร (ฟุเกาะฮาอฺ) ทัง้ หลาย 22. กรณผี ทู จี่ าํ เปน ตอ งเดนิ ทางอยเู ปน ประจํา เปนท่ีอนุโลมใหละศีลอด สําหรับผูท่ีมีอาชีพตองเดิมทางอยูบอยคร้ัง และตองไปหยุดพัก อยใู นเมอื งที่ๆ เขาเดนิ ทางไป เชน บุรุษไปรษณยี ท่ีตองเดนิ ทางเพ่อื งานบริการประชาชน คนมีอาชีพ ขับรถรับจางระยะไกล นักบิน (หรือพนักงานบนเครื่องบิน) ซ่ีงเปนอาชีพที่ตองเดินทางเปนประจํา (แตจําเปน ตอ งถอื ศีลอดชดเชยในวนั ทอ่ี ยบู า น) หรือกรณีอาชีพชาวประมงซ่ึงปกติมีบานอยูบนบก แตจําเปนตองออกลองเรือเปนเวลา หลาย ๆ วัน กลางทะเล กอ็ นุโลมเชนกัน สวนผูที่อาศัยประจําในเรือเปนประด่ังบานโดยมีครอบครัว พรอมสิ่งอํานวยความสะดวก ตาง ๆ ครบถวนอยูในน้ัน แมนจะทองอยูกลางทะเล เขาก็ตองถือศีลอดดวย และจะละหมาดยอ ไมได สวนชาวทะเลทรายที่มีชีวิตอยูกับการเลี้ยงสัตวแบบเรรอนพเนจร (ไมมีที่อยูเปนหลัก แหลง) หากชวงที่เขาเดินทางตอนสัตวอยูนั้นตรงกับฤดูกาลถือศีลอด (หรือเดือนเราะมะฎอน) ก็ให ละศีลอดและละหมาดยอได แตคราใดเมือพวกเขาหยุดเดินทางและพักอาศัยอยูในสถานท่ีหนึ่ง ๆ ซ่ึงตรงกับชวงถือศีลอด ชวงเวลานั้นเขาจะละศีลอด หรือจะละหมาดยอไมไดอีก แมจะตองออก เดินทางตอนสตั วเลยี้ งตอหลังจากนั้นก็ตาม44 23. กรณีกลับจากการเดินทางถงึ บานกอนพลบค่าํ กรณีเม่ือผูเดินทางกลับถึงภูมิลําเนาในชวงกลางวัน หรือกอนพลบคํ่าของเดือนเราะ มะฎอน นักวิชาการมีความเห็นแตกตางกันวา เม่ือกลับมาอยูในสภาพของมุกีม (คนทองที่) แลว ตอ งถือศลี อดในชวงเวลาท่ีเหลอื อยขู องวนั น้ันหรือไม ? สวนทัศนะท่ีมีนํ้าหนักมากกวา (รอญิหฺ) คือเห็นวาควรงดการกิน-การด่ืมในชวงเวลาท่ี เหลอื อยขู องวนั นนั้ ท้ังน้ีเพ่อื ใหเ กียรตติ อ เดือนเราะมะฎอน แตทัง้ นีแ้ มนเขาจะถอื (หรือไมถอื ) ในชวงเวลาหนึ่งของในวันนั้นก็ตาม แตเขาก็จําเปนตอง ถอื ศลี อดชดเชยอกี ในภายหลัง (เพราะเปน การถือในชวงเวลาท่ไี มเ ตม็ วนั )45 24. กรณกี ารถือศีลอดใน 2 ประเทศที่เร่ิมไมพรอ มกัน เชนบุคคลหนึ่งไดเร่ิมถือศีลอดพรอมกับผูคนที่อยูในประเทศของเขา ตอมาไดออกเดินทาง ไปยังอีกประเทศหน่ึง ซ่ึงเห็นเดือนหลังประเทศเขา 1 วัน กรณีเชนนี้ใหเขาถือหลักหรือหุกมของผู 44 ดมู ัจฺมัว๊ ะ อลั -ฟะตาวา เลม 25 หนา 213 45 ดู มัยมฺ ว๊ั ะ อัล-ฟะตาวา เลม 25 หนา 213 18
เดินทาง คือ หากเดินทางไปอยูในประเทศใด ก็ใหละศีลอด (ออกบวช) ตามประเทศน้ันไดทันที แมน การถอื ศลี อดของเขาจะเกินไปอีกวันหนึ่งเปน 31 วนั ก็ตาม ด่ังหลักฐานจาหะดีษ ความหมาย “การถือศีลอด คือวันท่ีพวกเขา (คนพ้ืนเมือง) ถือ และการละศีลอด (ออกบวช) กค็ ือ วนั ทีพ่ วกเขาละเชนกนั ” หากจํานวนวันที่ถือศีลอดไปแลวของเขานอยกวา 29 วัน ก็ใหเขาถือศีลอดชดเชยใหครบ หลังจากวันอีดไปแลว คือใหครบ 29 วัน เพราะเดือนในปฎิทินอิสลาม (ตามจันทรคติ) จะมีจํานวน 29 วันเปน อยา งนอย46 25. กรณีของคนปว ย ทุก ๆ อาการปวย หรือไมสบายท่ีบ่ันทอนสุขภาพของคนเราใหออนแอนั้น เปนท่ีอนุโลมให ละศลี อดหรือมิตองถือในชว งน้ันได ตามหลกั ฐานจากโองการอลั -กรุ อาน ﴾﴿وﻣﻦ ﻛﺎن ﻣﺮﻳﻀﺎ أو ﻟﺒ ﺳﻔﺮ ﻓﻌﺪة ﻣﻦ أﻳﺎم أﺧﺮ “และผูใดปวยหรืออยูในการเดนิ ทาง กจ็ งใชในวันอ่นื ”47 ดังน้ัน ศาสนาจึงอนุโลมใหละศีลอด หรือไมตองถือ ในกรณีของการเจ็บปวยท่ีแนชัดวา หากถอื แลว จะมีผลกาํ เริบหรือทาํ ใหอ าการของโรคน้นั เลวรายและยืดเยอ้ื ออกไป สวนการเจ็บปวยเล็ก ๆ นอย ๆ หรือโรคที่การถือศีลอดมิสงผลเสียแกอาการของผูปวยก็ไม เปนทีอ่ นุญาตใหละศีลอด ทานอบูหะนฟี ะฮฺ (เราะฮมิ ะฮุลลอฮฺ) กลาววา เจ็บปวยของตนเองจะแยลง เชน อาการเจ็บ ตาจะกําเรบิ มากขึน้ หรือทําใหอ ุณภมู ขิ องไขสูงขน้ึ กอ็ นโุ ลมใหล ะศลี อดได” หากเร่ิมมีอาการปวยเพียงเล็กนอยในเวลากลางคืน ผูปวยจะตองไมมีเจตนาวาจะละศีล อดในเวลากลางวัน เพราะเปนไปไดวา เขาอาจหายปวยเมื่อต่ืนเชาข้ึนมาก็ได ซ่ึงหลักการอิสลาม ถือเอาสภาพการณจรงิ ท่ีเปน อยขู ณะนัน้ เปน เกณฑส าํ คญั 48 26. กรณีเปน ลมหมดสติ ขณะท่ถี อื ศลี อดอยู หากมอี าการเปน ลม เนือ่ งจากสาเหตุการถอื ศลี อด ก็อนุโลมใหล ะศีลอดได และใหชดใชใ น วันอ่นื 49 และถา เปนลมหมดสติในชวงกลางวัน (ขณะที่ถือศีลอดอยู) ตอมารูสึกตัวหรือฟนข้ึนมาใน เวลากอนท่ดี วงตะวนั ตก หรือหลังจากตะวันตกแลว ถือวา ศลี อดของเขานนั้ ใชได (เศาะหฺ) เชน 46 ดู ฟะตาวา วะตัมบฮิ าต ของอบิ นบุ าซฺ 47 ซูเราะฮฺอลั -บะเกาะเราะฮ/ฺ อายะฮทฺ ี่ 185 48 ดู ตฟั ซรี ฺ อัล-กุรฎบ ี เลม 2 หนา 276 49 อลั -ฟะตาวา เลม 25 หนา 217 19
แตหากเขาเปนลมหมดสติในชวงระยะเวลาท่ียาวนาน เชนต้ังแตเวลาฟจญรฺ (รุงอรุณ) จนกระทั่งถึงเวลามัฆฺริบ ตามทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญ (ุมหูร) แลว ถือวาการถือศีลอดน้ันใช ไมได (ไมเ ศาะห)ฺ สําหรับผูเปนลมหมดสติอาการหนัก (โคมา) หรือผูปวยคนน้ันถูกใหยานอนหลับ ท้ังน้ีเพื่อ เปนผลดีแกผูปวย จนกระทั่งเขาอยูในสภาพที่ไมมีความรูสึกซ่ึงถาหากนานไมเกิน 3 วัน ตองถือ ชดใช แตถาเกิน 3 วันข้ึนไป ยอมถือวาอยูในกฎ (หรือหุกม) เดียวกับกรณีคนวิกลจริต หรือคนบา คอื ไมตองถอื ชดใช50 27. กรณีผทู ม่ี โี รคประจําตวั หรือเปน กรรมกรทีต่ อ งใชแรงกาย บุคคลท่ีถือศีลอดแลวทําใหเกิดอาการรูสึกหิววิงเวียนหนามืด และกระหายอยางรุนแรง ทั้งนี้เนื่องจากสุขภาพไมดี หรือมีโรคประจําตัว ซึ่งหากขืนถือศีลอดตอไปในวันนั้น แพทยบอกวา อาจเกิดอันตรายถึงแกชีวิตได กรณีเชนน้ีเปนที่อนุโลมใหละศีลอด หรือไมตองถือศีลอดได เพราะ การรักษาไวซ ่ึงชีวิตน้นั ยอมเปน ส่ิงจําเปน (แตใ หถือชดใชเ มือ่ หายเปน ปกติ) สําหรับกรณีของผูท่ีมีอาชีพเปนกรรมกรแบกหาม หรือทํางานหนัก หากไมมีสาเหตุท่ีสุด วิสัยจริง ๆ ก็ไมอนุโลมใหละศีลอด แตหากมีความจําเปนตองใชแรงงานหนักมากๆ และไมอาจ หลีกเล่ียงหรือหางานอื่นที่เบากวาทําได โดยท่ีการถือศีลอดในตอนกลางวันก็จะทําใหไมสามารถ ทํางาน เพื่อหาปจจัยเล้ียงดูครอบครัวได ก็อนุโลมใหละศีลอด โดยไปถือชดใชในวันท่ีแทนตาม จาํ นวนวนั ที่ขาดไปเชนกนั 28. กรณผี ูป วยเร้อื รัง และคนชรา บุคคลท่ีปวยธรรมดา และคาดหวงั วา จะหายเปนปกติภายในเร็ววัน กรณีนอ้ี นโุ ลมใหถอื ศีล อดชดใชใ นวนั อ่ืนตามวันทข่ี าด แตไ มอนุโลมใหจ า ยฟต ยะฮฺ (เพราะสามารถือได) สําหรบั ผูป วยเรื้อรังอาการหนัก และโอกาสยากท่จี ะรักษาใหหายขาดได กรณีเชนนี้ทํานอง เดยี วกนั กบั กรณีของคนชราสูงอายุ ซงึ่ ไมสามารถอดอาหารไดแ ละตองทานยาอยเู ปน ประจํา คือให เขาจายเปนอาหารเล้ียงคนยากจนวันละคน ดวยอาหารจํานวนครึ่งศออฺ (หรือประมาณ 1.5 กก./ ตอวัน) จากชนิดอาหารทีใ่ ชภ ายในประเทศนั้น ๆ เชน ขาวหรือแปง สาลีตามจํานวนวันทีข่ าด สวยกรณขี องผูท ่ีถือศีลอดไมไดเลยตลอดท้ังเดือน ลักษณะของการเลี้ยงอาหารคนยากจน นนั้ เขาจะเรม่ิ เลย้ี งต้งั แตตนเดือนเราะมะฎอนนนั้ เลย กลางเดือนหรอื เล้ียงในชวงหลายๆ เดือนก็ได ไมวา จะเลี้ยงในลกั ษณะของการเล้ยี งวนั ละคนหรอื พรอมกนั หลาย ๆ คนก็ยอมไดเชนกนั กรณีคนปวยท่ีไมสามารถถือศีลอดไดในชวงเราะมะฎอน แตหวังวาเมื่อหายก็จะถือชดใช หลังจากน้ันแตมาเขาทราบภายหลังวาตัวเองปวยเปนโรคเร้ือรังและไมอาจรักษาใหหายขาดไดอีก แลว ดังน้ันใหเขาเลี้ยงอาหารแกค นจน วนั ละคนตามจํานวนวนั ท่ขี าดแทนการถอื ศีลอด 50 ฟะตาวา ของอิบนุบาซ/จากมชุ าฟะอะฮฺ 20
สวนบุคคลที่หวังวา จะหายขาด แตตอมาเขาเสียชีวิตเสียกอนที่จะชดใช กรณีเชนนี้ยอมไม บาปสาํ หรับเขา และครอบครวั ก็ไมต อ งถอื ชดใช หรือเล้ียงอาหารแทนผตู ายแตอยา งใด แตสําหรับบุคคลที่หวังวาจะหายแลวจะถือชดใชและเม่ือเขาหายเปนปกติจริง ๆ เขากลับ ปลอยเวลาใหลวงเลยเปนแรมป จนกระท่ังเขาเสียชีวิตลงโดยที่ตัวเขายังคงติดคางศีลอดน้ันอยู กรณนี ใ้ี หค รอบครัวของผูตายเล้ียงอาหารแกคนยากจนตามจํานวนวันท่ีผูตายติดคางไว โดยใชเงิน ของผูตายใชจ ายแทน 29. กรณกี ารเสยี ชีวติ ลง ขณะทีต่ ิดคางศีลอดวาญิบอยู บุคคลใดเสียชวี ิต โดยท่ยี ังติดคางการถือศลี อดสาญิบไว (เชนศีลอดเน่ืองจากการบนบาน) ทั้ง ๆ ที่ขณะท่ีมีชีวิตอยูกอนหนานี้ เขาสามารถจะกระทําไดแตเขาหนวงเหน่ียวไวจนกระทั่งวาระ สุดทาย กรณีเชนน้ีถือวาเสมือนผูตายติดคางหน้ีสินหน่ึงไว ซ่ึงพึงใหคนหน่ึงคนใดในสมาชิก ครอบครัวของเขาถอื ศลี อดอนั นั้นแทนเขาเสีย ดังมีระบใุ นหนังสอื ศอฮี้หขฺ องอัลบคุ อรี และมสุ ลมิ «»ﻣﻦ ﻣﺎت وﻋﻠﻴﻪ ﺻﻴﺎم ﺻﺎم ﻋﻨﻪ وو ﻪ “บุคคลใดเสียชีวิตลงโดยที่เขายังติดคางการถือศีลอดอยู วะลีของเขาถือแทน เขา”51 แตอยางไรก็ตาม นักวิชาการ (อุละมาอฺ) กลาววาการถือศีลอดในความหมายของหะดีษ บทน้ีหมายถึงการถือศลี อดเนื่องจากการบนบานเทา นัน้ ไมใ ชศลี อดของเดอื นเราะมะฎอน แตอยางไรก็ตาม นักวิชาการ (อุละมาอฺ) กลาววาการถือศีลอดในความหมายของหะดีษ บทนห้ี มายถงึ การถือศลี อดเน่ืองจากการบนบานเทาน้นั ไมใชศ ีลอดของเดอื นเราะมะฎอน แตทั้งน้ี การถือแทน กรณีของศีลอดประเภทนี้ (คือศีลอดเน่ืองจากการบนบาน) นี้ ถือวา เปนการสมควร (หรือมุสตะหับ) ที่ครอบครัวควรกระทําแทนเทาน้ัน มิไดจําเปนในความหมายของ วาญบิ แตประการใด 30. กรณขี องคนออนแอ พิการหรือทพุ พลภาพ คนสงู อายุ หรือชราภาพ ทกี่ ําลังวงั ชาหรือสขุ ภาพย่งิ มีแตจะออนแอและถดถอยลงทุกวัน ก็ ไมจาํ เปน ตอ งศลี อด แตใหจ ายอาหารเลี้ยงคนยากจนทดแทน เชน เดยี วกับกรณีของคนปวยเร้ือรังที่ รกั ษาไมห ายขาดได ซงึ่ เขา ในคํากลา วของอัลลอฮฺตะอาลาในโองการทว่ี า ﴾﴿وﻟﺒ ا ﻳﻦ ﻳﻄﻴﻘﻮﻧﻪ ﻓﺪﻳﺔ ﻃﻌﺎم ﻣﺴﻜﻴﻦ “และหนาท่ขี องบรรดาผทู ่ีถอื ศีลอดดว ยความลําบากยิง่ (โดยที่เขาไดงด เวนการถือ) นั้น คือการชดเชยอันไดแกใหอาหาร (มื้อหน่ึง) แกคน ยากจนคนหนึ่ง” (ตอการงดเวน จากการถือวันหน่งึ )52 51 อา งจากฟะตาวา ของคณะบรรณาธกิ ารวารสาร “อัด-ดะอฺวะฮ”ฺ อนั ดบั ท่ี 806 21
ทานอบิ นุอบั บาส (เราะฎยิ ัลลอฮุอนั ฮมุ า) กลา ววา “อายะฮฺนีม้ ิไดถูกยกเลิก (มนั ซูค)ฺ ดวยอายะฮฺใดๆ แตในทนี่ ีห้ มายถงึ บุคคลที่สูงอายุมาก ๆ (ทง้ั ชายและหญงิ ) ที่มคี วามลําบากตอการถอื ศลี อด ดังน้ันกใ็ หพ วกเขาจายอาหารใหแกคนยากจน แทน”53 สาํ หรับผูสูงอายมุ าก ๆ ที่สตเิ ลอะเลอื นพูดจาวกวน และสติปญญาไมคอยสมประกอบแลว ในกรณีนี้ถือวา อัลลอฮฺไมวาญิบการถือศีลอดแกเขา เพราะหมดสภาพแลว แตถาหากเขายังอยูใน สภาพท่ีสามารถรับรูอะไรไดบางเปนบางชวง ก็ถือวาชวงเวลาท่ีปกติดังกลาวน้ันการถือศีลอดยัง จาํ เปน แกเขาอย5ู 4 31. กรณีของผอู ยใู นสนามสงคราม บุคคลท่ีอยูในภาวะออกสงคราม (ญิฮาด) ขับเค่ียวกับศัตรู ซ่ึงตองตรากตรําอยูในสมรภูมิ ตลอดเวลา กรณีเชนนี้ ก็สามารถละศีลอดไดเชนเดียวกันถึงแมนเขาจะไมอยูในสภาพท่ีตองเดิน ทางไกลก็ตาม อีกทั้งอนุโลมใหสามารถละศีลอดไดลวงหนากอนวันสงครามอีกดวย ดังหะดีษหนึ่งของ ทานนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะฮัลลัม) ท่ีไดกลาวแกบรรดาเศาะฮาบะฮฺ กอนวันออกสงครามคร้ัง หนึง่ วา « أﻓﻄﺮوا، واﻟﻔﻄﺮ أﻗﻮى ﻟﻜﻢ، »إﻧﻜﻢ ﻣﺼﺒﺤﻮ ﻋﺪو ﻢ “แทจริงพวกทานจะตอ งเผชญิ หนากบั ศตั รใู นวันพรงุ น้ี การละศีลอดน้ัน ยอมเปนการเขมแข็งกวาสําหรับพวกทาน ดังน้ันก็จงละศีลอดกอน เถิด”55 32. ควรรกั ษามารยาท แมน ถูกอนโุ ลมใหละศีลอดไดกต็ าม บุคคลใดท่ีสาเหตุการอนุโลมใหละศีลอดของเขาเปนสาเหตุท่ีเปดเผย (สาเหตุเห็นได ชัดเจน) เชน เนื่องอาการเจ็บ ปวยหรือบาดเจ็บ ใหเขาสามารถทานอาหารในชวงกลางวันอยาง เปดเผยได (ตอสายตาของผูอื่น เพราะทุกคนยอมเขาใจและเห็นสาเหตุชัดเจนอยูแลว) ซ่ึงยอมไม ผดิ บาปอันใด แตหากเปนสาเหตุที่ไมเปดเผย (หรือไมอาจเห็นอยางชัดเจนได) เชนกรณีมีรอบเดือน ก็ ควรทานอาหารในท่ี ๆ ลับสายตาคนอน่ื ทงั้ นีเ้ พราะอาจทําใหเ กดิ ความเขา ใจผดิ (ฟตนะฮฺ) แกผ พู บ เห็นได 52 อลั -บะเกาะเราะฮฺ : 184 53 บนั ทึกโดย อลั -บุคอรี กิตาบคุ -ตัฟซรี ฺ บาบ “อัยยามมั มะดดู าต” 54 ดู มะญาลสิ -ชะฮรฺ เุ ราะมะฎอน ของอบิ นุอษุ ยั มนี หนา 28 55 บันทึกโดย มุสลิม อะหฺมัด และอบูดาวูด 22
33. การตั้งเจตนา (เนยี ตฺ) ในการถอื ศีลอด การถือศีลอดเดือนเราะมะฎอนท่ีเปนฟรฎและการถือศีลอดที่วาญิบ เชนศีลอดชดใช หรือกฟั ฟาเราะฮลฺ ว นแลว แตต อ งมเี จตนา (เนยี ต)ฺ เปน เงือ่ นไขสําคัญประการหน่ึงทขี่ าดเสยี ไมได « ﻓﻼ ﺻﻴﺎم،»ﻣﻦ ﻟﻢ ﻳﺠﻤﻊ اﻟﺼﻴﺎم ﻗﺒﻞ اﻟﻔﺠﺮ “ผูใดมิไดต้ังเจตนา (พรอมกับความม่ันใจ) ที่จะถือศีลอดกอนเวลารุง อรุณ ดงั นั้นยอ มไมมีการถอื ศีลอดสําหรับเขา”56 การมีเจตนา เปนส่ิงจําเปนสําหรับการถือศีลอดโดยจะตั้งเจตนาเอาไวขณะชวงไหนของ กลางคนื กไ็ ดแ มนเวลาชว่ั ครหู นง่ึ กอนศุบหฺกต็ าม ลักษณะของเจตนาหรือเนียต (นียะฮฺ) ก็คือ การมีความตั้งใจ หรือมีความตองการอยาง แนวแนวาจะกระทําการถือศีลอดตั้งแตรุงอรุณ จนถึงเวลาดวงอาทิตยตกของวันรุงขึ้น เพ่ืออัลลอฮฺ ตะลาอา การเจตนาเปนการแสดงดวยจิตใจ ฉะนั้นจึงไมจําเปนตองเอยออกมาเปนวาจา เพราะไม มใี นแบบฉบับ (ซนุ นะฮฺ) ดังน้ันทุก ๆ คนที่รูวาวันพรุงนี้เปนเราะมะฎอนและประสงคจะถือศีลอด ก็เทากับวาเขาได ตั้งเจตนาแลว57 สวนกรณีของผูถือศีลอด แตตั้งใจวาจะละศีลอดเมื่อถึงเวลาหน่ึงในชวงกลางวัน แตเม่ือ เวลาดงั กลาว เขาเปลย่ี นใจไมละศลี อด ปญ หานม้ี ีอุลามะอหฺ ลายฝายเห็นแตกตา งกัน คอื บางก็เหน็ วา ศลี อดน้ันของเขาเสีย เนอื่ งจากเจตนาหรือเนียตไมตอเน่ืองและตอ งถอื ศลี อดชดใช สวนความเห็นท่ีเขมแข็งกวา ก็คือศีลอดนั้นไมเสีย ซึ่งเปรียบเทียบไดกับกรณีของผูท่ีต้ังใจ วาจะพดู ขณะละหมาด แตเปล่ยี นใจไมพ ูด ซง่ึ ยอมถือวาการละหมาดนั้นใชไ ด สวนในกรณขี องการตกศาสนา (มุรตดั ) ศลี อดนัน้ ยอ มเสยี ดว ยแนนอนอยา งไมม ีขอขดั แยง 34. การตงั้ เจตนา (เนยี ต) ในกรณขี องศลี อดซนุ นะฮฺ ยกเวน การเจตนาในการถือศีลอดซุนนะฮฺ (เชน ศลี อดในวันจนั ทร พฤหัส) ไมจําเปนตองตั้ง เจตนาไวก อ นในกลางคอื กอ นศุบหฺ ดังมีในหะดีษของทานนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะฮัลลัม) ซึ่งเลาจากนางอาอีชะฮฺ (รอฎยิ ัลลอฮฺ) วา “วันหน่ึงทานเราะซูล ไดมาหาฉัน และถามวา “วันนี้พวกเธอมี (อาหาร) อะไรกนิ บางหรอื เปลา ?” พวกเราตอบวา “ไมม อี ะไรอยูเลยคะ” 56 บันทึกโดย อะหฺมดั และอศั ฮาบุสสุนัน 57 ดู มัจฺมั๊วะอฺ อัล-ฟะตาลา เลม 25 หนา 2 23
ทานจึงกลา ววา “ถาเชน น้นั ฉันถอื ศีลอดละ”58 ยกเวนการถือศีลอดซุนนะฮฺท่ีเก่ียวของกับเวลาเฉพาะ เชน ศีลอดในวันอะเราะฟะฮฺ หรือ วนั อาชูรออนฺ นั้ ตอ งมเี จตนาไวก อ นศุบหเฺ ชน เดียวกนั 35. การละศีลอด (กอนเวลา) โดยไมม ีเหตจุ าํ เปน บุคคลใดมีพันธะท่ีตองถือศีลอดวาญิบประเภทหนึ่ง ๆ เชน ศีลอดชดใช ศีลอดบนบาน หรอื กัฟฟาเราะฮอฺ ยู ดงั น้นั จาํ เปนตองทําใหสมบูรณตามนั้นจะละศีลอดขณะท่ีกําลังถืออยูโดยไมมี เหตจุ าํ เปน ไมได สวนการถือศีลอดซนุ นะฮฺประเภทอาสา เขายอ มมสี ิทธ์ทิ จ่ี ะถือหรือไมถอื เมื่อไหรก็ได ถึงแม ไมมีเหตุอุปสรรคอันใดก็ตาม59 เชนสมมุติ วันหน่ึงทานถือศีลอด (โดยสมัครใจ) อยู ตอมาเม่ือถึง คอนวันทานอาจจะทานอาหารก็ได (ท้ัง ๆ ท่ีไมมีเหตุจําเปนที่ควรละก็ตาม)60 แตมีคําถามอยูวา การละจากการถอื ศีลอดซุนนะฮเฺ ชน นี้ โดยท่ีไมมเี หตจุ ําเปน อนั ใดการถือศีลอดในชว งแรก ๆ ของวัน น้นั ของเขาจะไดผ ลบุญหรอื ไม ? เรือ่ งนีน้ ักวิชาการสว นหนึง่ กลา ววา ไมไดผ ลบุญ61 ดงั นั้นหนทางท่ดี ีกวากค็ อื ควรถอื ศีลอดน้ันใหตลอดท้ังวัน หากไมมเี หตุผลท่สี มควรจริง ๆ 36. กรณกี ารถอื ศลี อดโดยมิไดต ้งั เจตนาไวกอ น บุคคลที่ไมไดตั้งใจถือศีลอด เน่ืองสาเหตุไมทราบวาเดือนเราะมะฎอนเริ่มแลว ตอมาเพิ่ง ทราบขาวเม่ือตอนสวางแลว กรณีเชนนี้ใหเขางดอาหารในวันน้ันทันที ตั้งแตไดรับทราบขาว พรอม กับตองถือศีลอดชดใชอีกในวันอื่น อันเปนทัศนะของบรรดาอุละมาอสวนใหญ (คือตองถือเพราะ ทราบวาเขาเราะมะฎอนแลว แตตองถือชดใชดวย เนื่องการถือในวันนั้นยังไมสมบูรณเพราะมิได เจตนาไวก อนศุบหนั้นเอง) ดังหะดษี ของทา นนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลยั ฮวิ ะฮลั ลมั ) ทกี่ ลาวความวา “ไมมีการถือศีลอดสําหรับบุคคลที่นอนหลับไปตลอดคืนจนสวาง (โดย ไมไ ดต งั้ ใจวาจะถือศีลอดในวนั รงุ ข้นึ ”62 37. กรณขี องผทู ี่ถกู คุมขังในสถานท่มี ืดจนไมส ามารถรวู า และเวลา สําหรับมุสลิมที่ถูกจองจําอยูในคุกและถูกขังน้ันหากเขาทราบวันเริ่มเราะมะฎอนจากการ เหน็ เดือนหรือขาวที่เชื่อถือได เขาก็จําเปนตองถือศีลอดตามน้ันแตถาหากไมมีโอกาสทราบก็ใหเขา 58 บันทึกโดย มุสลิม 59 บันทกึ โดย อะหฺมัด 60 ดู เศาะเหีย๊ ะฮฺมุสลมิ เลขท่ี 115 61 ดู อัล-เมาสอู ะฮฺ อัล-ฟก ฮยี ะฮฺ เลม 28 หนา 84 62 บนั ทกึ โดย อบูดาวดู เลขท่ี 2454 24
พยายามสอบถามหรืออิจญติฮาด (วินิจจัย) ดวยตนเองอยางสุดความสามารถ เพื่อจะไดปฏิบัติอิ บาดะฮฺน้ีตามความนึกคิดที่ตนเองมั่นใจท่ีสุด และถาหากการวินิจฉัยของเขาตรงกับความเปนจริง (คือตรงกับเราะมะฎอน) ดังนั้นการถือศีลอดของเขาก็ถูกตองและถูกตอบแทนในทัศนะของอุ ละมาอฺสวนใหญ (ุมหูร) เชนกันหากการถือศีลอดของเขาชาไปจากเดือนเราะมะฎอนการถือศีล อดนน้ั ยังคงถอื วา ใชได และถูกตอบแทนเชน กัน ในทศั นะของนกั นิตศิ าสตร (ฟเุ กาะฮาอ)ฺ สว นใหญ แตห ากวา การวินิจฉัยของเขาผิด คือ ถือศีลอดกอนที่เราะมะฎอนจริง ๆ จะเริ่ม การถือศีล อดในวนั กอนหนา นน้ั ถือเปนโมฆะ และจาํ เปนตองถอื ศลี อดชดใชใหม หรอื หากในกรณที เ่ี ขาถือศีลอดตรงกับเดือนเราะมะฎอนในบางวัน และไมตรงในบางวัน ก็ ถือวาสวนท่ีตรงเดือนเราะมะฎอน และหลังเดือนเราะมะฎอนเทานนั้นท่ีใชได สวนการถือศีลอด ในชวงวันท่ีกอนเดือนเราะมะฎอนถือเปนโมฆะ ยกเวนในกรณีที่เขาถูกกักขัง หรือถูกขังลืมไวใน สถานที่หนึง่ ท่เี ขาไมมโี อกาสรับรเู หตุการณหรอื ขาวคราวอะไรไดเ ลย กรณีเชน น้ี ใหเขาปฏบิ ตั อิ ยา ง สดุ ความสามารถ เขายอ มไดร บั ผลตอบแทนตามความพยายามนั้น63 38. เวลาละศลี อด (อฟิ ฎอร)ฺ และเวลาที่ตองงดเวนอาหาร เวลาทถ่ี ือวาเริ่มทําการละศีลอดไดก็คือ เมื่อเวลาท่ีดวงอาทิตยทั้งดวงไดลับขอบฟาไปแลว ถึงแมนยังเห็นรัสมีหรือแสงสีแดงอยูก็ตาม ดังคํากลาวของทานนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะฮัลลัม) ในหะดษี ความวา “เมื่อเวลากลางคืนไดยางกรายเขามาจากตรงน้ีและกลางวันไดจากไป จากตรงน้ี ดังนัน้ ผูทถี่ ือศีลอดอยกู ล็ ะศีลอดได” 64 ตามซุนนะฮฺแลว สงเสริมใหรีบละศีลอดเม่ือเขาเวลา ซึ่งทานนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะฮลั ลัม) เองจะไมล ะหมาดมัฆริบ นอกจากทานไดละศีลอดเสียกอน ถึงแมเพียงการด่ืมนํ้าเปลาก็ ตาม65 แตหากวันนั้นไมมีอาหารหรือเคร่ืองดื่มใด ๆ เลย ก็ใหนึกวาไดละศีลอดภายในใจกอน จนกวาจะไดอาหาร ไมจําเปนตองใชวิธีการดูดน้ิว เหมือนอยางท่ีคนบางพวกปฏิบัติกัน โดยขาด ความเขาใจทถี่ ูกตอง ทั้งน้ีควรระมัดระวังการละศีลอดกอนถึงเวลาดวยเพราะเปนความผิดที่รุนแรง ดังมีกลาว ในหะดีษที่ทานนีบไดพบเห็นผูคนกลุมหนึ่ง ที่ถูกรอยขาที่เอ็นรอยหวายมีเลือดไหลออกมาทางขาง ปาก เมือ่ ถูกถามวา พวกเขาคอื ใคร มะลาอกะฮฺ ก็ตอบวา “พวกเขาคือบรรดาบุคคลท่ีกินอาหาร (ในเดือนเราะมะฎอน) กอนท่ีจะ ถงึ เวลาละศีลอด”66 63 ดู อัล-เมาสูอะฮฺ อลั -ฟกฮยี ะฮฺ เลม 28 หนา 84 64 ดู มจั ฺม๊วั ะอฺ อัล-ฟะตาวา เลม 25 หนา 21 65 ดบู ันทกึ โดย อัล-หากมิ / อซั ซัลซีละฮุศ-เศาะฮหี ะฮฺ 66 อา งแลว 25
39. เวลาของอมิ ซากที่ถูกตอง เวลาที่ตองเร่ิมงดเวนจากการดื่มกิน และเสพสิ่งตองหามทุกชนิด (หรืออิมซาก) ก็คือ เม่ือ เวลารุงอรุณข้ึน คือเห็นเปนแสงสีขาวสดใสชัดเจนขึ้นตัดขอบฟาทางทิศตะวันออก ถึงแมเวลานั้น เขาจะไดยินเสียงอะซานหรือไมก็ตาม จะทานอาหารอีกไมไดแลวหรืออาศัยการดูตารางเวลาท่ี คาํ นวณไวตามปฏทิ ินเราะมะฎอนกไ็ ด หากไมมั่นใจ สําหรับความเขาใจท่ีวา ตองงดเวนอาหารกอนรุงอรุณ (ฟจญรฺ) โดยเจาะจงเวลา เชน 10 หรือ 15 นาทีน้ัน เปนความคิดที่อุตริ (บิดอะฮฺ) เพราะไมมีหลักฐานวาศาสนาไดกําหนดอยาง แนนอนเชน นน้ั 40. กรณีของบางประเทศที่กลางวนั และกลางคนื ไมแ นนอน เชนการถือศีลอดในบางประเทศท่ีบางฤดูกาลเปนกลางวันหรือกลางคือทั้ง 24 ช่ัวโมง โดย แยกไมออกหรือ กลางวันยาวนานกวา (เชนบางประเทศแถบขั่วโลก) ดังน้ันสําหรับบุคคลที่เปน มุสลิมซึ่งอาศัยอยูในประเทศนั้นจําเปนตองอาศัยการเทียบเวลาของประเทศที่ใกลเคียงท่ีสุดท่ี สามารถคิดคํานวณ เพื่อสามารถแยกแยะกลางวัน-กลางคืนได กําหนดเวลาการถือศีลอดและละ ศลี อดของตน 41. สิง่ ท่ีทําใหเ สียศีลอด นอกเหนือจากการมีรอบเดือนและมีเลือดหลงั คลอดบตุ ร (นิฟาส) แลวสาเหตอุ ืน่ ๆ ท่ีจะทาํ ใหศ ลี อดเสยี นนั้ ตองประกอบดวย 3 เงือ่ นไขดวยกนั คือ 1. ผถู ือศีลอดทราบหลกั การศาสนาเก่ียวกบั เรือ่ งนัน้ ๆ แลว (มิใชญาฮลิ ) 2. เปน การกระทําโดยเจตนาหรือจงใจ มใิ ชห ลงลืม 3. มไิ ดอ ยใู นภาวะถูกบังคบั ใหก ระทํา จนไมมีทางเลอื กหรือหลกี เลย่ี งได ซ่ึงส่ิงที่ทําใหศีลอดเสีย บางสาเหตุก็เปนลักษณะของการทําใหสิ่งหนึ่งออกจากรางกาย เชน การรว มประเวณี การทําใหอาเจยี น มีเลอื ดประจําเดอื นและการกรอกเลือด บางสาเหตุก็เปนในลักษณะของการนําสิ่งหนึ่ง ๆ ภายนอกเขาสูรางกาย เชนการด่ืม การ กนิ อาหารเปน ตน 67 42. การฉดี ยา การปลกู ฝ การสวนทวารหยอดยาตา และการเปาคอ การทําใหศีลอดเสียบางอยางก็อยูในความหมายเดียวกับการ การดื่ม เชนการใชยาทาง ปาก (จนตกถึงกระเพาะ) การฉีดสารอาหารเขาสรู างกาย หรอื การรับถา ยเลือดสูรางกาย 67 ดู มจั มฺ ั๊วะอฺ อัล-ฟะตาวา เลม 25 หนา 2 26
สําหรับการฉีดยาที่ไมใชการใหสารอาหาร หรือพลังงานสูรางกาย ยอมไมทําใหศีลอดเสีย ไมวาจะฉดี ทีก่ ลามเนอ้ื หรอื ทีเ่ สน เลอื ดก็ตาม68 เชนเดยี วกับการรกั ษาโรคไตพิการบางชนดิ ทีจ่ าํ เปนตอ งรักษาโดยอาศัยการดูดโลหิตท่ีเสีย ออกมาฟอกภาพนอก แลวฉีดกลับเขาสูรางกายอีกครั้ง รวมท้ังการปลูกฝ69 การสวนทวาร การ หยอดยารักษาตาหรือหู การถอนฟน และการใสยาที่บาดแผล ก็ไมท าํ ใหศ ีลอดน้นั เสียแตอ ยา งใด70 การเปา ยาเขาลาํ คอเพื่อรักษาโรคหอบหืด ซึ่งบางคนจําเปนตองใชเปนประจําก็ไมไดทําให ศีลอดเสีย71 ท้ังน้ีเพราะเปนแคการดูดตัวยาเขาสูปวด และไมไดทําใหเกิดความรูสึกอ่ิมแตอยางใด หรือการกลั้วนํ้าในลําคอ ตราบใดน้ํามิไดตกเขาไปสูทอง หรือการถอนฟนโดยทันตแพทย หลังถอน เสร็จถงึ แมจะมคี วามรูสกึ ไดกลิน่ ตัวยาในชวงลาํ คอก็ตาม ก็ไมท ําใหการถือศลี อดนั้นเสีย72 43. การกินและดม่ื โดยเจตนา ผูใดกินหรือดื่มโดยเจตนาในชวงกลางวันของเราะมะฎอน โดยปราศจากเหตุผลที่จําเปน ตามที่ศาสนาอนุโลม แนนอนเทากับเขาไดกระทําผิดอันมหันต ลงไป ท่ีเขาจําเปนตองรีบขอลุแก โทษ (เตาบะฮฺ) ตออัลลอฮฺตะอาลา และตอ งถือชดใชวันที่เขาเสียไป สวนหากทําใหศีลอดเสียดวยการดื่มของมึนเมาตองหาม เชนสุรา ก็ย่ิงถือวาเปนการกอ ความบาปอันยง่ิ ใหญเพ่มิ ทวีข้นึ เปน เทาตัว ยอ มตกอยูใ นสภาพที่เลวราย และเส่ียงตอการกริ้วโกรธ และการลงโทษจากอัลลอฮฺตะอาลามากท่ีสุด ซึ่งจะเปนตองรีบสารภาพผิด และกลับตัวใหเร็วที่สุด พรอมกับพยายามสรางความดีงามตางๆ ใหมากเพ่ือลบลาง เชน การปฏิบัติตาง ๆ ท่ีเปนซุนนะฮฺ ทงั้ นเี้ พือ่ หวงั ความพึงพอใจจากอัลลอฮฺ และซอ มแซมสว นบกพรองตา งๆ จากฟร ฎท ง้ั หลาย ของเขา ท่ีถูกทาํ ใหเสียหรอื ขาดไป 44. การกนิ หรอื ดม่ื โดยหลงลมื สวนการกิน การด่ืมโดยการหลงลืม หรือมิไดเจตนาน้ัน ใหเขาถือศีลอดตอไปไดเลย ไมได ทําใหศีลอดนั้นเสีย เพราะไมไดเจตนา แตถือวานั้นเปนการเมตตาจากพระปะสงคของอัลลอฮฺ ใน หะดีษบทหน่งึ ﻓﺈﻧﻤﺎ أﻃﻌﻤﻪ اﷲ، ﻓﻠﻴﺘﻢ ﺻﻮﻣﻪ، ﻓﺄﻛﻞ أوﺷﺮب، »إذا ﻧ أﺣﺪﻛﻢ «وﺳﻘﺎه 68 ดู ฟะตาวา อิบนอุ ิบรอฮมี เลม 4 หนา 1 69 ดู ฟะตาวา ของอบิ นุอลั -อุษัยมีน 70 ดู มัจฺม๊วั ะอฺ อัล-ฟะตาวา เลม 25 หนา 233 และ หนา 245 71 ฟะตาวา อดั -ดะวะฮฺ ของอบิ นุบาซ อนั ดับที่ 979 72 อางจากฟะตาวา ของอิบนบุ าซ / มุชาฟะหะฮฺ 27
“เมื่อพวกทานคนใดลืม โดยไดกินหรือดื่ม ดังน้ัน (เม่ือนึกได) จงถือศีล อดของเขาตไปใหสมบูรณ เพราะแทจริงอัลลอฮฺนั้นทรงใหเขาไดกิน และทรงใหเขาด่ืม (ดังน้นั จงึ ไมถ อื วา เสยี ศลี อด)”73 หากกรณีที่พบเห็นบุคคลอ่ืนลืมและกําลังกินอาหารอยู ก็ใหกลาวเตือนสติเขา ซึ่งเปนไป ตามเจตนารมณข องอายะฮอฺ ัล-กุรอานทีว่ า ﴾﴿وﺗﻌﺎوﻧﻮا ﻟﺒ اﻟﺒﺮ واﻛﺤﻘﻮى “และพวกสูเจาจงใหการชวยเหลือกัน บนพ้ืนฐานของคุณธรรม และ การยําเกรง (ตกั วา)”74 และคํากลาวของทานนบี (ศอ็ ลลลั ลฮอุ ะลยั ฮิวะซัลลัม) ความวา“และหากฉันหลงลมื ไป ดังนัน้ พวกทานก็จงเตอื นสติฉันดวย”75 45. การเจตนาละศลี อดเนือ่ งเหตุจําเปนฉุกเฉนิ เชนกรณีของการละศีลอด เน่ืองตกอยูในสภาวะที่จําเปนตองใหการชวยเหลือชีวิตผูที่ตก อยูในอันตราย เชน เพ่ือชวยเหลือคนตกน้ํา กูเรืออับปาง หรือดับเพลิง เปนตน กรณีจําเปนเชนน้ี อนโุ ลมใหล ะศลี อดได และใหถ อื ศลี อดชดใชในภายหลัง 46. การเจตนามเี พศสัมพันธในชวงกลางวัน เชนกรณีของการรวมประเวณีโดยเจตนาหรือจงใจในตอนกลางวันของเดือนเราะมะฎอน โดยสอดใสปลายอวัยวะเพศเขาไปภายในทางหน่ึงทางใดจากทวารท้ังสอง แมวาจะหลั่งนํ้าอสุจิ ออกมาหรือไมก็ตาม ยอมเทากับเขาทําใหการถือศีลอดน้ันเสียแลวและตองอดอาหารตอไป จนกระทั่งสนิ้ วัน โทษของการกระทาํ ความผดิ อนั หนกั นี้ กค็ อื ตองชดใชดว ยวธิ กี ารตอ ไปนี้ คอื 1- ตอ งถือศลี อดชดใช 2 เดือนในวนั ติดตอกนั 2- หรอื หากไมส ามารถทําในประการแรกได ก็ใหเ ลย้ี งอาหารคนยากจนจาํ นวน 60 คน หรือท่รี ะบใุ นหะดีษบทหนง่ึ รายงานจากอบฮู รุ ็อยเราะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) วา ขณะที่เรา กาํ ลังนัง่ อยูพ รอมกับทา นนบี (ศ็อลลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ทันใดนั้นก็ไดมีชายผูหนึ่งเขามาหาทาน และรอ งขึน้ วา “โอเ ราะซูลลุ ลอฮฺ ฉนั พนิ าศแลว ” ทา นถามวา “เกิดอะไรข้นึ กับทา นหรือ?” เขาตอบ “ฉนั ไดร ว มประเวณีกับภรรยาของฉนั ในขณะทฉ่ี ันถอื ศีลอด” ดงั นน้ั ทา นเราะซลู จงึ ถามเขาอกี วา “แลวทา นมที าสสกั คนเพือ่ ปลอยเปน ไทไหม?” เขาตอบ “ไมมีครบั ” 73 บันทึกโดย อลั -บคุ อรี และมุสลิม 74 ซเู ราะฮฺ อัล-มาอดิ ะฮฺ อายะฮฺท่ี 2 75 ดู มะญาลิส ซะฮรเุ ราะมะฎอน ของอบิ นอุ ัล- อุษัยมนี หนา 70 28
ทานถามตอไป “ดังน้ัน ทานสามารถถือศีลอดเปนเวลา 2 เดือนติดตอกันได หรอื ไม? ” เขาตอบเหมือนเดมิ อกี วา “ฉันไมมีความสามารถครบั ” ทานจึงถามตอไปอีกวา “ทานมีอาหารเพื่อเล้ียงแกคนยากจนจํานวน 60 คนหรือ เปลา?” เขาก็ตอบวา ไมม ีอกี 76 ขา งตนนร้ี วมถึงการทาํ ซนิ า การรว มเพศแบบรกั รวมเพศ หรอื การสมสูกับเดรัจฉาน ซ่ึงลวน อยใู นกฎ (หุกม ) เดยี วกัน 47. เจตนาละเมดิ ศีลอด สําหรับกรณีของบุคคลหนึ่ง ท่ีตองการรวมประเวณีกับภรรยาของเขาในกลางวันของเราะ มะฎอน ดังนั้น จึงจงใจกินอาหารเพ่ือใหศีลอดของเขาเสียกอน จึงรวมประเวณีกับภรรยา กรณี เชนนี้ ยอมถือวาบุคคลน้ันไดกระทําการละเมิด (มั๊วะอฺศียะฮฺ) ตอกฎอันหวงหามของเราะมะฎอน เปน 2 เทาดวยกันคือดวยการกินและการรวมประเวณี หนาท่ีของเขาจําเปนตองลบลางความผิด ดวยการทํา “กัฟฟาเราะฮฺ” (เชนขอที่ 46 ) พรอมกับตองขอลุแกโทษตอการฝาฝนอันรายแรงน้ัน จากอลั ลอฮฺอยา งจริงจังและมากมายดว ย77 48. กรณีการจูบ กอด หรอื สมั ผัสสาม-ี ภรรยาขณะถือศลี อดอยู การจูบ และการลบู ไล การกอด การสัมผัส แตะตองตัว และการมองภรรยาของตนเองนาน ๆ หากเขาสามารถควบคุมความรูสึก หรืออารมณของตนเองได ก็ไมถือวาตองหาม หรือหะรอม สําหรับผูกําลังถือศีลอดแตอยางใด เพราะมีหลักฐานจากหะดีษหน่ึงรายงานจาก นางอาอีชะฮฺ (เราะฎิยลั ลอฮุอันฮา) กลา ววา “แทจริงทานนบี (ศ็อลลัลลฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เคยจูบ (ภรรยา) ขณะท่ีถือศีลอด แตท้ังนี้เพราะวาทานสามารถควบคุมความตองการ (ของอารมณใคร) น้ันไดมากย่ิงกวา พวกทา นทงั้ หลาย” สาํ หรับความของหะดีษกุดซียท่วี า « .. وﻳﺪع زوﺟﺘﻪ ﻣﻦ أﺟﻠﻲ..» “เขาไดท้ิงภรรยาของเขาเพ่ือฉัน (อัลลอฮฺ)”เปาหมายก็คือ “ละทิ้งจากการ รว มประเวณกี ับนาง” แตหากบุคคลใด เปนบุคคลท่ีไวตอความรูสึกทางเพศเร็วและมีความตองการทางเพศสูง เกรงวาอาจจะไมสามารถหักหามอารมณข องตนเองได หรอื ทาํ ใหเ กดิ ความรูสกึ ทางเพศ จนนาํ้ อสจุ ิ 76 บันทึกโดย อัล-บคุ อรี เลม 4 หนา 163 77 ดู มจั มฺ ว๊ั ะอฺ อัล-ฟะตาวา เลม 25 หนา 262 29
เคล่อื น หรือนาํ ไปสกู ารรวมประเวณไี ด ในกรณีเชนนี้ ยอมเปนที่ตองหา ม (หะรอม) เพราะทาํ ใหก าร ถือศีลอดตองเสียได และนเ้ี อง คอื เจตนาท่ีอลั ลอฮฺ ตะอาลากลาวในหะดษี กดุ ซยี ขางตนที่วา “และเขาละทงิ้ ตัณหาของเขาเพ่ือฉัน” เพราะตามหลกั การศาสนาแลวถอื วา “ทุกๆ ส่ิงที่เปนส่ือนําพาไปสูส่ิงท่ีหะรอม (ตองหาม) ส่ิงน้ันยอมถือวา หะรอม (ตองหาม) ดว ย” 49. กรณีไดยนิ เสยี งอะซานศบุ หขณะทีร่ ว มเพศอยู เวลาของรงุ อรณุ ข้นึ (หรอื ไดย ินอะซานละหมาดศุบห)ฺ เขาจําเปนตองหยดุ กระทาํ ทันที และ ถือวาศีลอดของเขานั้นใชได (เศาะหฺ) ถึงแมจะมีน้ําอสุจิหลั่งออกมาหลังจากที่หยุดกระทําแลวก็ ตาม แตถาหากเขาไมหยุดและยังคงรวมเพศตอไป ยอมถือวาถือศีลอดในวันรุงขึ้นนั้นของเขาเสีย จําเปนตอ งขอลุแกโทษ (เตาบะฮฺ) และถือชดใช และตอ งทํากฟั ฟาเราะฮฺ 50. การถือศลี อดในสภาพที่มี ุนบุ หากกรณีตน่ื ขนึ้ มาตอนเวลาศุบหฺแลวในสภาพท่ีมีุนุบ ไมถือวาทําใหศีลอดในวันนั้นของ เขาเสียแตทงั้ น้ีใหเ ขารบี อาบนาํ้ ยกหะดษั (อลั -ฆ็อสลฺ) เพือ่ ชําระรางกาย อยา ไดป ระวิงหรือชักชาไป จนกระทั่งตะวันขน้ึ และเขาตองรบี ละหมาดหลงั จากนัน้ ทันที เชน เดยี วกนั ไมวา กรณขี องการมญี ะนาบะฮเฺ ลือดประจาํ เดือนหรือเลือดหลังการคลอดบุตร (นิฟาส) 51. การนอนฝน เปยกในชว งกลางวนั หากนอนหลับฝนเปยกในเวลากลางวันของเดือนเราะมะฎอน ก็ไมถือวาทําใหศีลอดนั้น เสยี เชน กัน (เพราะมใิ ชเปนการเจตนา) และใหถอื ศลี อดตอ ไปจนตลอดวนั ไดโ ดยปกติ 52. การสาํ เรจ็ ความใครใ นชวงกลางวัน การสําเร็จความใครดวยตนเองในตอนกลางวันของเราะมะฎอน ดวยวิธีการใดก็แลวแต เชน การใชม อื การสมั ผัส หรอื การมอง จนกระทั้งทาํ ใหนํ้าอสุจเิ คลื่อนหรือหลง่ั ออกมา ยอ มทาํ ใหศ ลี อดเสียอยางแนนอนและถือวาผูน้ันไดฝาฝนหรือละเมิดข้ันรุนแรงตอบัญญัติฉะน้ันเขาจําเปนตอง รบี ลุแกโทษ จากอลั ลอฮฺตะอาลาตอการฝาฝนนั้น แมนการถือในวันน้ันจะเสียไปแลวแตเขาตองอด อาหารตอ ไปในเวลาท่เี หลอื อยจู นกวาจะพลบคาํ่ และตองถือชดใชในภายหลงั ดวย สวนกรณีท่ีน้ําอสุจิเคลื่อนออกมาโดยไมเจตนาเชนเน่ืองความรูสึกกําหนัด หรือเพียงการ นกึ คิดในทศั นะของอุละมาอท่ีถูกตองท่ีสุดถือวา การถือศีลอดน้ันไมเสีย ท้ังน้ีโดยอางอิงจากหะดีษ ท่ที านนบี (ศอ็ ลลัลลฮุอะลยั ฮวิ ะซัลลัม) ความวา 30
“แทจริงอัลลอฮฺทรงยกโทษใหแกประชาชาติของฉัน ในส่ิงท่ีจิตใจของ พวกเขาเพียงแตค ดิ ตราบใดทพี่ วกเขายงั ไมกระทาํ หรือพูดออกมา”78 หากเขาตง้ั ใจและเรมิ่ สําเร็จความใครด วยตนเองแตยังไมถงึ กับหล่ังอสจุ ิ แลวเขาก็หยุดเสีย ในกรณนี ้ีถอื วาศลี อดยงั ไมเสียและไมตอ งถือศลี อดชดใช แตใ หเขาขอลุแกโทษจากอัลลอฮฺ ที่ไดเร่ิม การกระทาํ ส่งิ ท่ีเปน การละเมดิ ตอ พระองคไป ฉะน้ันสมควรอยางย่ิงสําหรับผูท่ีถือศีลอดอยูน้ันจะตองนําตัวออกหางจากทุกสิ่งทุกอยาง ทอี่ าจเปนสาเหตกุ ระตนุ ใหเ กดิ อารมณหรอื ความรสู ึกทางเพศหรอื ความนกึ คิดท่ลี ามกขึ้นมาได สวนการหล่ังของน้ํามะซีย (นํ้ากําหนัด) จากอวัยวะเพศน้ัน โดยทัศนะที่แข็งแรงเห็นวาไม ทาํ ใหศลี อดนนั้ เสยี 53. กรณขี องการอาเจียน หรือเจตนาเอาสงิ่ ของเขาปาก ขณะถอื ศลี อด ผูใดมีอาการคลื่นเหียนจนอาเจียนออกมาการถือศีลอดของเขาไมเสีย79 ยกเวนหากมี เจตนาทําใหอาเจียน เชน เอามือลวงคอ รีดหนา ทอ งถอื วา การถือศลี อดน้นั เสยี และถอื ชดใช เชนเดียวกับกรณีของเจตนาดมสิ่งที่มีกล่ินฉุนหรือจองมองสิ่งหนึ่ง ๆ จนทําใหเกิดอาการ คลื่นเหยี นอาเจียนออกมา เชน นีถ้ อื วา เปนการเจตนา หากอาเจียนออกมาเบ่ืองจากมีความผิดปกติภายในรางกาย หรือกระเพาะอาหาร ศีลอด ไมเสีย80 สวนกรณีการเอาสิ่งของ เชน ปากกา เหรียญ เขาปากคาบไวระหวางฟน หรืออมไวแตไม เจตนาจะกิน หรือกลืนเขาไปในลําคอ หรือกรณีส่ิงที่มีขนาดเล็กมาก ๆ เชน เสนผม หรือเศษวัสดุ เล็ก ๆ ซ่ึงบางครั้งยากตอการแยกออกมาจากนํ้าลายได ดังน้ันใหรีบคายออกมาพรอมกับนํ้าลาย และไมถือวา ศีลอดนั้นเสีย81 สําหรับการขบเค้ียวหมากฝร่ัง เศษยางเล็ก ๆ หากชิ้นสวนของมันหลุด หรือละลาย หรือมี รส กลิน่ ตกเขาสูล ําคอ หรือกระเพาะได ยอมไมอนโุ ลมใหนาํ เขา ปากหรอื เคี้ยวขณะถอื ศลี อด เพราะ ทําใหศีลอดนั้นเสียได แตหากเปนยางหรือวัตถุท่ีมีความแข็งแรงชิ้นสวนไมหลุด หรือไมละลายใน นํ้าลาย กรณีเชนนี้อุละมาอและนักวิชาการโดยท่ัวไป ถือวาการอมหรือนําเขาปากนั้นอยูใน ขอบขา ยของมักรฮู ฺ (คือไมควรกระทาํ ) เชน บรรดาสะละฟศุ ศอลิฮบฺ างทานกลาวไววา “ทานพึงชิงชังตอการกระทําสิ่งท่ีอาจนําพาไปสูการเกินเลยหรือผิดพลาดได ถึงแมวา ขณะท่ีกระทํานน้ั ทานอาจมีขออาง หรอื เหตผุ ลอยกู ็ตาม 78 บนั ทกึ โดย อลั -บคุ อรี กิตาบุฎ -เฎาะลาก 79 บนั ทกึ โดย อตั -ติรมซี ี ; หะดีษ เศาะเหย๊ี ะหฺ 80 ดู มะญาลิส ชะฮรฺ เู ราะมะฎอน ของอบิ นอุ ัล-อษุ ยั มีน หนา 67 81 ดู อัล-มุฆนฺ ี เลม 3 หนา 106 31
ใหบวนน้ําลายท้ิง ภายหลังจากการเอาน้ําบวนปากกล้ัวคอแลว สวนความเปยกชุมที่ยัง รูสึกไดใ นชองปากนัน้ ถือวา ไมท าํ ใหเสียศลี อด เพราะเปน สิง่ ท่ไี มสามารถขจัดออกไดอีก กรณีของการเกิดแผลท่ีกระพุงแกม หรือเลือดไหลตามไรฟนเร่ืองจากการแปรงฟน ใหเขา ปวนเลือดน้ันออก จะกลืนหรือใหเขาสูลําคอไมได กรณีเสลดหรือเสมหะท่ีออกมาจากลําคอ เน่ืองจากสาเหตขุ องการไอ หรอื เปน หวดั นัน้ ใหพยายามคายออกมาเทา ทีส่ ามารถทําได สวนท่อี าจ หลงเหลืออยใู นลาํ คอนัน้ เปน ที่อนุโลม ขณะทถ่ี อื ศีลอดอยูเ ปน ทีน่ า รังเกยี จ (มักรฮู )ฺ ทจ่ี ะลม้ิ รสอาหาร โดยท่ีไมมีความจําเปนจริงๆ ท้งั นเ้ี น่ืองจากเปนการเส่ียงที่อาจทาํ ใหศ ีลอดนั้นเสียหายไดสําหรับกรณีจําเปนที่วา เชนจําเปนตอง เค้ียวอาหารใหทารก หรือการใชล้ินแตะ เพ่ือทราบรสของอาหารท่ีจะซ้ือ ดังปรากฏในหะดีษหน่ึง รายงานจากทา นอิบนอุ ับบาส (เราะฎยิ ลั ลอฮอุ ันฮุมา) กลาววา “ไมเ ปนอะไรทจ่ี ะลนิ้ รสของนํ้าสม สายชูหรอื สิ่งทต่ี อ งการซอ้ื ”82 54. การแปรงฟน ขณะถือศีลอด การแปรงฟนเปนซุนนะฮฺสําหรับผูถือศีลอดคือใหใชไม (ขอย) แปรงฟน แมไมน้ันจะยังสด อยกู ็ไมเปนไร หลังแปรงใหบวนออกใหสะอาด หากยังรูสึกวามีรสเผ็ดหรือรสอยางอ่ืนอยูใหบวนอีก จนมน่ั ใจสวนรสเพียงนิดหนอยทีอ่ าจติดอยูห ลงั จากบว นแลว ไมทาํ ใหเ สียศลี อดแตอยางใด83 ส่ิงท่ีพวกเราพึงระวังคือ การแปรงฟนดวยยาสีฟน (ท่ีมีฟอง) ในชวงกลางวัน ซ่ึงบางยี่หอมี สวนผสมของตัวยาที่รุนแรง มีรสซาอาจผานเขาลําคอได ไมอนุญาตใหกลืนเขาไปโดยเจตนา แต หากไมเจตนาก็ไมเ ปนไร 55. กรณีเลือดกาํ เดา ควัน และฝุนเขาลาํ คอ หรือ การดม ส่ิงที่อาจประสบกับผูถือศีลอดไดเสมอก็คือ เชน การมีบาดแผล เลือดกําเดาออกทางจมูก หรือมีน้ําหรือนํ้ามันกระเด็นเขาปาก หากเปนไปโดยไมไดเจตนาก็ไมทําใหการถือศีลอดนั้นเสีย ทํานองเดยี วกบั กรณีทอี่ าจมีฝนุ ควนั ไฟ หรแื มลงเขา ไปในปากและตกถงึ ทอ งโดยไมไ ดเ จตนา สวนสิ่งท่ีไมอาจคายออกจากปากไดหมด เชน นํ้าลาย ซึ่งเปนของท่ีอยูในรางกายเราก็ อนุญาตใหกลืนลงไปในทอ งได เชนเดียวกับฝุนในทองถนน หรือละอองแปงซ่ึงเล็กมาก หากฟุงกระจายเขาปากโดยไมได ต้ังใจและผสมปะปนอยูกับนํ้าลายบางเล็กนอย แลวกลืนเขาลําคอไป ในทัศนะท่ีถูกตองที่สุดแลว ไมถ ือวา ทาํ ใหศีลอดนนั้ เสีย84 82 ดู อริ วานุล-เฆาะลีล เลม 4 หนา 86 /ฟต หลุ บารี กติ าบุศ-ศยิ าม 83 ดู อัล-ฟะตาวา อัส-สะอฺดียะฮฺ หนา 245 84 ดู อัล-มฆุ นี เลม 3 หนา 106 32
และไมถือวาทําใหเสียศีลอดเชนเดียวกัน เชน กรณีท่ีรองไหและรูสึกวามีน้ําตาตกอยู ภายในลําคอหรือใสนํ้ามันบนศีรษะ รูสึกวามีกล่ินตกอยูในลําคอหรือการใสยาปายขอบตา ทาข้ึผึ้ง หรือทาโลชน่ั บนผิว85 หรือการดมน้ําหอม กลิ่นธูปเทียน ก็เชนเดียวกันไมเปนที่ตองหาม แตพึงระวังอยาใหกลิ่น หรือควันของมันเขาลึกไปในลําคอ และพึงหลีกเลี่ยงจากการใชยาสีฟนในเวลากลางวัน ซ่ึงควรใช ในเวลากลางคอื ดีที่สดุ 86 56. การกรอกเลอื ด และส่ิงท่ีผูถือศีลอดพึงหลีกเลี่ยงอีกประการหนึ่งก็คือ การกรอกเลือกในขณะถือศีลอดอยู แมใ นเร่ืองน้ียงั เปนปญ หาขัดแยงอยา งกวา งขวางในระหวางบรรดาอุละมาอก ต็ าม ซึ่งในทัศนะของทานชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺ (เราะหิมะฮุลลอฮฺ) ถือวาผูกรอกเลือดน้ัน ศลี อดเสยี 57. การดดู บหุ รี่ หรือสง่ิ เสพตดิ การสูบบุหร่ี เปนส่ิงท่ีทําใหเสียศีลอดแนนอนและยอมไมมีเหตุผลอันใดสําหรับบุคคลที่ติด บุหร่ีจะละท้ิงการถอื ศลี อด ดว ยการอา งวา ขาดบุหรี่ไมไ ด ทง้ั ๆ ทบี่ ุหรน่ี ้ันแทจริงแลวเปน ยาเสพตดิ ที่ หะรอมดวยหลกั การศาสนา 58. การวา ยน้าํ หรอื ดาํ ลงไปในนาํ้ การดําลงไปในนํ้า การเอาผาซับนํ้าใหเปยกคลุมรายกาย เพ่ือใหเกิดความเย็น หรือใชน้ํา ราดบนศีรษะขณะที่ถือศีลอดอยูในชวงกลางวัน เพื่อบรรเทาความรอนกระหาย ไมถือวาทําใหศีล อดนั้นเสีย87 สวนการลงไปเลน ในน้ํา หรือวายนํ้าเปนเวลานานๆ ถอื วา เปนมักรูฮฺ เนอ่ื งจากเปนการเสีย่ ง ท่ีนํ้าจะเขาไปในปากหรือกระเพาะได แตในกรณีผูท่ีมีอาชีพเก่ียวกับการดํานํ้า หรือจําเปนตองลง ไปในนํ้าอยูบอยๆ เชน ชาวประมง หากเขาสามารถปองกันมิใหน้ําเขาไปในทองไดก็ไมเปนที่ ตองหา ม แตทงั้ นสี้ มควรหลีกเลีย่ ง และระวงั ใหมากที่สดุ 59. กรณีผูท ย่ี ังกนิ -ดมื่ หรือรวมประเวณีในเวลาท่เี ขาศบุ หแลวโดยไมเ จตนา กรณีของผูที่กินหรือดื่ม หรือรวมประเวณีกับภรรยาเนื่องเขาใจวา ขณะนั้นยังไมถึงเวลา ตองหามแตตอมาทราบวาเวลารุงอรุณผานมาแลว ไมถือวาศีลอดนั้นเสีย คือใหเขาถือตอไดเลย 85 ดู มัจมฺ ั๊วะอฺ อัล-ฟะตาวา เลม 25 หนา 245 86 ดู มะญาลสิ ชะฮรฺ เุ ราะมะฎอน ของอิบนอุ ลั -อษุ ยั มนี หนา 72 87 ดู อัล-มุฆนี เลม 3 หนา 44 33
เพราะมิไดเจตนาละเมิด เพราะจากส่ิงท่ีโองการอัล – กุรอาน ( 2 : 187 ) ระบุก็คือ เมื่อประจักษ แจง วา รงุ อรณุ ขน้ึ แตกรณีขางตนน้ีเปน การเขาใจผิด หรอื ไมช ดั เจน ดังรายงานหน่ึงดวยสายสืบทเ่ี ศาะหห้ี ฺ จากอิบนุอบั บาส (เราะฎิยัลลอฮอุ ันฮมุ า) ความวา “อัลลอฮฺทรงอนุโลมการกินและดื่มตราบที่ทานยังไมมีความมั่นใจวาถึง เวลา (รุง อรุณ) แลว ”88 60. การรีบละศลี อด ท้งั ๆ ท่ยี ังไมแนใ จวาไดเ วลาแลวหรอื ยัง กรณีของการรีบละศีลอด หรือกระทําในสิ่งที่ละเมิดศีลอด โดยไมดูเวลาหรือสังเกตใหแน ชัดเสียกอนอาศัยเพียงการเดาสุมสวนตัวอยางมักงายวา ตะวันลับของฟาแลว ทั้งท่ี ๆ แทจริง ขณะน้ันยงั ไมถงึ เวลาในกรณเี ชนนีถ้ ือวา ศีลอดวนั นนั้ ของเขาเสยี คอื เปนโมฆะ และตอ งชดใช ﴾ً﴿إن اﻟﻈﻦ ﻻ ﻳﻐﻨﻰ ﻣﻦ اﻟﺤﻖ ﺷﻴﺌﺎ “แทจริงการคลางแคลงน้ัน ยอมมิสามารถหักลางความจริงไดแต อยา งไร”89 61. ไดยินเสียงอะซานศบุ หฺ ขณะที่ยังเคี้ยวอาหารอยใู นปาก เม่ือไดยินเสียงอะซาน หรือทราบวาหมดเวลาทานสะหูรแลว ในขณะท่ียังเคี้ยวอาหารอยู ในปากบรรดานักวิชาการฟกฮฺ (นิติศาสตร) มีทัศนะท่ีเห็นพองตองกันวา ใหคายอาหารท่ีเหลืออยู ในปากนั้นออกทนั ที และใหเ ขาถือศลี อดตอ ไปได เชนเดียวกับกรณีการกินหรือด่ืมโดยหลงลืมไมได เจตนา (คอื เมอื่ นึกไดก็ใหรีบคายออกจากปากทันท)ี 62. กรณสี ตรี หรอื บุคคลทม่ี อี ายุถงึ เกณฑแลวแตยังหนว งเหนี่ยวไมย อมถอื ศีลอด เด็กหนุม-สาวท่ีมีอายุบรรลุศาสนะภาวะ (อากิลบาลิฆฺ) แลว แตยังไมถือศีลอด เนื่องจาก สาเหตุเพราะอาย หรือไมกลาถือศีลอด ถือวามีความผิดตองขอลุแกโทษ (เตาบะฮฺ) จากอัลลอฮฺตะ อาลาเสยี และใหถอื ศลี อดชดใชใ นวันท่ีขาดไปท้ังหมด หากเวลาไดลว งเลยมาเปน ปแลว กระท่งั ถงึ เราะมะฎอนอีกรอบปหนงึ่ โดยทเ่ี ขายังไมชดใช ศีลอดท่ีเขาละเลยไวเ ม่อื ปกลาย กรณีเชน น้ีใหรบี ชดใชเม่อื มีโอกาสทันที พรอมกับตองใหอาหารแก คนยากจนคนหน่ึงในทุก ๆ วันท่ีขาด ท้ังนี้เพื่อเปนคาปรับ (กัฟฟาเราะฮฺ) ในโทษฐานลาชา หรือ ละเลยตอบทบญั ญัตขิ องอัลลอฮตฺ ะอาลาดว ย 63. ศลี อดเราะมะฎอนภรรยาไมจําเปนตอ งขออนญุ าตสามกี อ น 88 ดูฟตหุล-บารี เลม 4 หนา 135/มจั มฺ ั๊วะอฺอลั -ฟะตาวา เลม 29 หนา 2 89 ซูเราะฮฺยูนุส/อายะฮฺ 36 34
สาํ หรบั ในกรณศี ลี อดตาง ๆ ทเ่ี ปนซุนนะฮฺ นนั้ จรงิ อยวู า ภรรยาจะตองไดรับการยนิ ยอมของ สามกี อนถงึ จะกระทาํ ได (นอกจากในกรณีทส่ี ามีเดนิ ทางหรือไมอยูบาน) ยกเวนการถือศีลอดเดือน เราะมะฎอนซึ่งเปน ฟรฎแกท ุกคนนัน้ ไมจําเปน ตองขออนุญาตสามีกอนแตอยา งใด 64. เม่ือม่ันใจวาหมดรอบเดือนแลว ใหถ ือศลี อดในวนั ตอไปทนั ที ระหวางการมีประจําเดือน หากนางพบวามีส่ิงที่เปนช้ินเล็ก ๆ สีขาว (แทจริงคือสายของ เม็ดเลือดขาวซึ่งจะถูกขับออกมาจากมดลูกของสตรีเม่ือหมดรอบเดือน) หมายความวา ขณะนั้น นางอยูในสภาพท่ีสะอาดแลว และใหนางเตรียมตัวเพื่อตั้งเจตนา (เนียตฺ) ถือศีลอดเพื่อวันรุงขึ้นได ทันที แตหากไมม่ันใจก็ใหเอาสําสีแตะ โดยตั้งขอสังเกตพบวา เลือดน้ันมีสีใสสะอาดก็ใหถือศีลอด ตอไป แตหากพบวามีเลือดเปนระดูออกมาอีกอยางมากและชัดเจน ก็ใหละศีลอดเสีย (จะถือตอ ไมไ ด) สําหรบั ผทู ม่ี ่ันใจวา รอบเดอื นของตนหมดแลว และไดเ ร่ิมถือศีลอดจนกระทั่งผานไปถึงเวลา มัฆฺริบคือหลังจากทําการละศีลอดแลวกลับพบวาเลือดประจําเดือนน้ันมาอีก กรณีเชนนี้ถือวาการ ถือศีลอดท่ีผานมาในวนั นนั้ ถกู ตอ งและไดร บั ผลบญุ เชนเดียวกันหากผูที่อยูในรอบเดือน หรือสตรีมีนิฟาส (เลือดหลังการคลอดบุตร) พบวา เลือดของนางนั้นหยุดแลวต้ังแตเมื่อคืนใหนางเริ่มเนียตฺ (เจตนา) ถือศีลอดไดเลย แมนนางจะ อาบน้ําชําระรางกายหลักจากท่ีรุงอรุณข้ึนแลวก็ตาม บรรดาอุละมาอ ท้ังหลายถือวาการถือศีลอด ของนางนน้ั เศาะฮฺ (ใชได) 90 65. แมน ถงึ กําหนดรอบเดือน แตตราบใดทจ่ี ะยงั ไมเหน็ เลือด ก็ใหถือศลี อดกอ น สตรีหรือมุสลิมะฮฺที่รูตัวเองวา โดยปกติแลวรอบเดือนจะถึงกําหนดมาอีกคร้ังในวันรุงขึ้น ตราบใดทย่ี ังไมเหน็ เลือดกใ็ หเขาเนยี ต หรือตง้ั เจตนาถือศีลอดอดไปกอน 66. หามใชยาหา มระดู เพอ่ื ถอื ศีลอด แตหนทางทดี่ ที สี่ ดุ สาํ หรบั สตรี หรือมุสลิมะฮฺท่ีมีรอบเดือน ก็คือไมวานางจะอยูในสภาพใด ก็ตามใหนางยอมรับหรือยินดีตอการกําหนดของอัลลอฮฺ ไมควรกังวลใจ หรือพยายามใชวิธีการ รับประทานยาควบคุมระดู แตจงถือเมื่อสะอาดเทาน้ัน และคอยชดใชในวันท่ีขาดไป อันเปน ความรูสึกท่ีบรรดาภริยาของทานนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาสตรีเศาะฮาบียะฮฺ ท้งั หลายยดึ ถือปฎบิ ตั ิกนั มา 67. กรณขี องการแทง 90 ดู ฟตหลุ -บารี เลม 4 หนา 148 35
ในกรณขี องการแทง หากสิง่ ทแี่ ทงออกมานนั้ อยใู นสภาพท่ีเริ่มเปน มนษุ ยแ ลว เชนมีอวัยวะ ศีรษะ แขน ขา ครบถวนแลว ถือวานางอยูในสภาพของผูที่มีนิฟาส (คือเลือดเสีย เชนการคลอด บตุ ร) หากส่ิงที่แทงออกมาเปน เพียงกอนเลอื ดเลก็ ๆ เทาน้ัน ใหถ ือวาเลอื ดนั้นเปน “เลือดอิสตหิ า เฎาะฮฺ (เลอื ดตกคา ง)” คอื ใหนางถอื ศลี อดตอไปได หากมีความสามารถ เชนกัน สตรีคลอดบุตร หากเลือดนิฟาสของนางหยุดกอนกําหนด 40 วัน ก็ใหนางเร่ิมถือ ศีลอด และชําระรางกาย ทําละหมาดไดเชนปกติ แตถาหากเกินกวา 40 วันข้ึนไป ใหนางเริ่มตน เจตนาถือศีลอดไดเลยไมตองรีรอใหเลือดหมดอีกแลว โดยใหอาบน้ําชําระรางกายได เพราะถือวา เลอื ดท่ียังมอี ยหู ลงั จากกําหนด 40 วันนัน้ เปน เลอื ด “อสิ ติหาเฎาะฮฺ” เทา น้ัน 68. เลอื ดอสิ ติหาเฎาะฮไฺ มท าํ ใหศ ีลอดเสีย เลอื ดอิสตหิ าเฎาะฮนฺ น้ั คอื เลอื ดเสยี ธรรมดาที่อาจตกคางเหลืออยู หลังจากหมดรอบเดือน หรือหมดเลือดนฟิ าส แลว ซึง่ ไมทาํ ใหเสยี ศลี อด 69. สตรีในชวงต้งั ครรภ หรือใหน มทารก กรณีของสตรีท่ีอยูในชวงตั้งครรภหรือใหนมทารก สามารถเปรียบ (กิยาส) ไดกับบุคคลที่ ปวยซึ่งอนุโลมใหไมตองถือศีลอดในชวงน้ัน แตตองชดใชในภายหลัง ทั้งน้ีเพราะอาจเปนอันตราย ตอ สุขภาพของแมแ ละเดก็ ได ทา นนบี (ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะซัลลมั ) กลาววา وﻋﻦ اﻟﺤﺒﻠﻰ واﻟﻤﺮﺿﻊ، »إن اﷲ وﺿﻊ ﻋﻦ اﻟﻤﺴﺎﻓﺮ اﻟﺼﻮم وﺷﻄﺮ اﻟﺼﻼة «اﻟﺼﻮم “แทจริงอัลลอฮฺ ทรงผอนผันการถือศีลอดและครึ่งหนึ่งของละหมาด ใหแกผูเดินทาง (มุซาฟร) และทรงผอนผันการถือศีลอดใหแกหญิงมี ครรภแ ละหญิงท่ใี หน มทารก”91 70. กรณสี ามีบงั คบั ใหภ รรยารว มเพศดว ย โดยท่ีนางไมย ินยอม และไมไ ดเจตนา สตรีปกติท่ีจําเปนตองถือศีลอด หากสามีของนางได รวมประเวณีดวยในตอนกลางวันของเดือนเราะมะฎอน ดวยความยินยอมของนาง ดังน้ันทั้ง 2 คน ถือวามีความผิดท่ีเหมือนกัน คือแตละคนตองรับโทษโดยการถือศีลอดติดตอกัน 2 เดือน หรือให อาหารแกคนยากจนครบ 60 คน แตหากเปนไปดวยการถูกบังคับ โดยท่ีนางไมยินยอมหรือเต็มใจดวย ก็ยอมไมเปน ความผิดอนั ใดแกนางและใหนางถือศลี อดตอไปจนตลอดวัน 91 บนั ทึกโดยอัต-ติรมีซี : หะดีษ หะสนั 36
ทานอิบนุอะกีล (เราะหิมะฮุลลอฮฺ) กลาววา “กรณีสตรีท่ีสามีไดรวมประเวณีดวย ขณะท่ี นางนอนหลับในตอนกลางวันของเราะมะฎอน ถือวานางไมมีความผิด จึงไมตองเสียกัฟฟาเราะฮ (หรอื คาปรับ)” แตทงั้ น้หี ากมีความคลางแคลง หรือรูส ึกไมคอยสนทิ ใจนัก ก็ใหนางถือชดใชของวนั นนั้ ดว ย กย็ อมได เพอ่ื ความมน่ั ใจ ฉะนนั้ มสุ ลมิ ะฮทฺ า นใด ท่ีทราบดวี าสามขี องตนนั้นมีความรูสึกทางเพศรุนแรง และคอบคุม อารมณตนเองไมคอยได ก็จงใหนางพยายามปลีกตัวออกหางและหลีกเลี่ยงการแตงตัว หรือใส เครอ่ื งหอมในชวงกลางวนั ของเดือนเราะมะฎอน อนั เปนการปองกันทดี่ ี. ( วะศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลานะบียนิ า มฮุ ัมหมดั วะอะลาอาลิฮิ วะเศาะฮบฺ ิฮี วะซลั ลมั ) 37
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: