การเลี้ยงอูฐ เรยี บเรยี งโดย : อญั ชลี ณ เชียงใหม พิมพเ ผยแพรโ ดย : กองบํารงุ พนั ธสุ ตั ว กรมปศศุ ตั ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ จดั ทาํ เอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ สโ ดย : สํานักสง เสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร สารบญั ✪ ความเปน มา ✪ ลักษณะทั่วไป ✪ ผลผลติ นา้ํ นมและคณุ ภาพนา้ํ นม ✪ ผลิตภัณฑอื่น ๆ จากอฐู ✪ อาหารและการจดั การเลย้ี งดู ✪ การสบื พนั ธุ ✪ บทสรปุ ✪ เอกสารอา งองิ
การเลย้ี งอฐู ✏ 2 ความเปนมา รัฐบาลไดกําหนดนโยบายใหกรมปศุสัตวดําเนินการท่ีจะสงเสริมใหมีการเล้ียงสตั วเ พอ่ื เปน สตั ว เศรษฐกิจพันธุใหมและเห็นวาอูฐนมเปนสัตวที่นาจะสงเสริมใหกับเกษตรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือในที่แหงแลง เนอ่ื งจากอฐู เปน สตั วท ส่ี ามารถอยใู นสภาพแหง แลง ใชอาหารที่มีคุณภาพตาํ่ ไดเ ปน อยางดีความตองการพลังงานในการสรางน้ํานมต่ํากวาโคมาก นอกจากนี้อูฐยังเปนสัตวที่มีอายุการใช งานยาว ดังน้ันจงึ ไดม อบหมายใหก รมปศสุ ตั วไ ดน ําอฐู นมจากประเทศออสเตรเลยี เขา มาเลย้ี ง โดยมวี ตั ถุ ประสงคเพื่อหาแนวทางการเล้ียงและสายพันธุที่เหมาะสมทัง้ ดา นเนื้อและนม โดยใหทาํ การศึกษาวิจัย พันธุเพื่อทราบสมรรถภาพการผลิตของอูฐ เพอ่ื สง เสรมิ ใหเ กษตรกรผสู นใจตอ ไป ลกั ษณะทว่ั ไป โดยทั่วไป อูฐเปนสัตวซ่ึงเล้ียงในพ้ืนท่ีแหงแลงแบบทะเลทรายเพราะความสามารถในการปรบั ตัวใหอยูไดในสภาพดังกลาวไดเปนอยางดีกวาสัตวประเภทอื่น ในบริเวณที่มีการเลี้ยงสัตวประเภทโค กระบือ แพะ แกะ สว นมากจะมคี วามชน้ื แฉะ พื้นที่ที่เลี้ยงไมเพียงพอและมักจะเปนที่หมักหมมของเชื้อ โรคและพยาธิ ในขณะที่อูฐจะสามารถเดินทางหาอาหารเปนระยะทางไกลและมีความตองการนาํ้ นอ ย ในฤดูแลง จดั อฐู สามารถอดนา้ํ ไดน านถงึ 10-20 วัน ในขณะที่แพะ แกะตอ งการนา้ํ ในระยะทกุ 3-8 วัน และโคมคี วามตอ งการนา้ํ ทุก 2-3 วัน อฐู สามรถใหน มไดแ มว า จะอยใู นสภาพแหง แลง มากๆ กต็ าม ดังนั้นอูฐจึงเปนสัตวที่เลี้ยงในเขตแหงแลงทะเลทราย เพอ่ื ผลผลติ นา้ํ นมดว ยนอกเหนอื ไปจากการใชแ รง งาน ในทางชีววิทยา อูฐเปน สตั วท ่จี ัดอยใู น Order Artiodactyla, SuborderTylopoda, Family Camelidae, genus Camelus จดั แบง ไดเ ปน สอง species คอื Camelus bactrianus ซง่ึ เปน อฐู ทม่ี สี องตะโหนกและ เปน อฐู ทอ่ี ยใู นแถบหนาว และ Camelus dromedarius ซง่ึ เปน อฐู ทเ่ี ลย้ี งในทร่ี อ นแหง แลง แบบทะเล ทราย อูฐเปนสตั วท ม่ี กี ารเลย้ี งมาตง้ั แตโ บราณโดยเลย้ี งทางตอนใตข องประเทสแถบอาหรบั โดยมวี ตั ถุ ประสงคเพอื่ ใชบรโิ ภคเนอ้ื และนมเปนหลัก และใชบรรทุกของ ทํางาน ขี่และใชป ระโยชนจากหนงั และขน ดวย อูฐมคี วามสําคญั ตอ ชวี ติ ความเปน อยตู อ ชาวทะเลทรายเปน อยา งมาก โดยมีบทบาททั้งทางสังคม และประเพณีวัฒนธรรมดวย เชน ในชนบางเผา เมอ่ื ไดล กู ชายเดก็ จะไดร บั ลกู อฐู เปน ของขวญั และพอ แม จะใสสายสะดือเด็กไวในถงุ และแขวนไวท ค่ี ออูฐ หรอื บางเผา จะใหเ ปน ของขวญั แตง งาน เปน ตน
การเลย้ี งอฐู ✏ 3 ปจจุบันแหง ทม่ี กี ารเลย้ี งอฐู มากทส่ี ดุ ในโลกคอื ประเทศซดู านโดยเลย้ี งไวเ พอ่ื ใชง าน นอกจากน้ี ไดมีการแพรขยายออกไปยังประเทศตางๆ เชน ประเทศออสเตรเลยี ไดน าํ อูฐไปเลี้ยงแพรขยายพันธุใน เขตทะเลทราย ผลผลิตนาํ้ นมและคุณภาพนํ้านม อูฐเปนสตั วท ม่ี นี ม 4 เตาเชนเดียวกับโค กระบือ อฐู ตะโหนกเดียวสวนใหญจะเลี้ยงเพื่อผลิต น้ํานม ตารางท่ี 2 แสดงถงึ ผลผลติ นา้ํ นมของอฐู ซง่ึ เลย้ี งในประเทศตา งๆ (IFS,1980) ตามปกติอฐู จะ เริ่มแหงนมประมาณ 8 อาทิตย หลงั จากการผสมตดิ ซง่ึ อาจจะเกดิ ขน้ึ แมล กู จะยงั ไมห ยา นมซง่ึ ในกรณนี ้ี จําเปนจะตอ งปอ นนมลกู ดว ยขวด สาเหตุสาํ คัญที่ทําใหอ ฐู มรี ะยะการใหน มสน้ั ลงและปรมิ าณนา้ํ นมลด ลงก็คือการเกิดโรคความผิดปกติทางระบบสืบพันธุ การขาดแคลนอาหาร เปน ตน อยา งไรกต็ ามเมอ่ื เปรียบเทียบกบั โคพน้ื เมอื งตา งๆ แลว อฐู จะใหป รมิ าณนา้ํ นมทม่ี ากกวา ปรมิ าณนา้ํ นมตอ วนั จะขน้ึ อยกู บั ระยะการใหน ม ปรมิ าณอาหารทก่ี นิ ความถข่ี องการกนิ นา้ํ และสภาพโดยทว่ั ไปของอฐู ในขณะรดี นม ปริมาณนํ้านมเฉลย่ี ตอ วนั เทา กบั 6.21 ลติ ร ระยะใหน มสงู สดุ ของอฐู จะอยใู นระหวา ง 6-10 อาทิตย หลังจากคลอดลกู สําหรบั การรดี นม โดยทั่วๆ ไป จะรดี นมวนั ละสองครง้ั ในตอนเชา และเยน็ แตใ นบาง ประเทศเชน ประเทศโซมาเลยี จะรดี นมอฐู ถงึ วนั ละ 4-6 ครง้ั พบวา ไดป รมิ าณนา้ํ นมเพม่ิ ขน้ึ ถงึ 17% นอกจากนก้ี ารรดี นมอฐู จะตอ งใชล กู กระตนุ ดว ย สวนประกอบทางเคมแี ละฟสิกคของนมอูฐนัน้ ตามปกตนิ มอฐู จะมรี สหวาน ประกอบดวยไข มัน 1.1-4.3% มีกรดไขมันประเภทระเหยได กรดลโิ นเลอิกและกรดไขมนั ไมอ ม่ิ ตวั สงู โปรตนี 2.5- 4.6% แลคโตส 2.9-4.6% มสี ว นประกอบของนา้ํ 85.7-91.2 ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู บั ปรมิ าณน้ําและ อาหารทอ่ี ฐู ไดร บั นมอฐู มรี ะดบั calcium คอ นขา งต่าํ แตม ี phosphorus และธาตเุ หลก็ สงู และมี vitamin C สูงมาก จากตารางท่ี 1 แสดงถงึ ผลสรปุ สว นประกอบของนา้ํ นมอฐู (Yagil, 1982) สําหรับนมและผลิตภัณฑนม เนื่องจากนมอูฐจะใชในการเล้ียงลูกของมันเองและใชบริโภคสด เปนสวนใหญ ดงั นน้ั จงึ มกี ารศกึ ษาและนํานมอฐู ไปทาํ เปน ผลติ ภณั ฑนอ ยมาก อยา งไรกต็ ามไดม ผี นู าํ นม อูฐไปบริโภคเปน ยาซง่ึ มคี วามเชอ่ื กนั วา สามารถรกั ษาโรคทอ งมาน (dropsy) โรคเกี่ยวกับมาม วณั โรค โรคหืด โรคโลหิตจาง และมรี ายงานวา คนไขป ว ยเปน โรคตบั อกั เสบมอี าการดขี น้ึ เมอ่ื รกั ษาดว ยนมอฐู ในประเทศทางแถบทะเลทรายจะมีการทาํ นมเปรย้ี วหรอื ทาํ เนยและชีสจากนมอูฐโดยวิธีงายๆ คือ ใชนมอฐู สดใสภ าชนะวางทง้ิ ไวใ นอณุ หภมู ิ 25-30 องศาเซลเซยี ส เปน เวลา 12-24 ชั่วโมง จากนน้ั นํามาคนหรอื ปน ในอณุ หภมู ิ 12-18 องศาเซลเซยี ส เปน เวลา 15-20 นาที ก็จะไดเนยจากนมอูฐ แต อยางไรก็ตาม เนยหรือชีสที่ทาํ จากนมอูฐก็จะมีคุณภาพแตกตางจากเนยหรือชีสที่ไดจากนํ้านมของสตั ว อ่ืน เน่ืองจากคุณสมบตั ทิ างเคมขี องนา้ํ นมทม่ี โี ครงสรา งของไขมนั โปรตนี และกรดอมโิ นทแ่ี ตกตา งกนั
การเลย้ี งอฐู ✏ 4 ผลิตภัณฑอื่น ๆ จากอฐู นอกจากจะไดประโยชนจากนาํ้ นมของอฐู แลว อฐู ยงั สามารถใหผ ลผลติ อน่ื เชน หนงั ขนและเนอ้ื อีกดวย อฐู จะใหป รมิ าณขน 1-5 กก.ตอหวั ขนอฐู สามารถนํามาทอเปน ผา ขนสตั วท าํ เปน เสอ้ื ผา เครอ่ื ง นุงหม พรมหรอื เชอื กไดเ ปน อยา งดี ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู บั สว นของรา งกายทน่ี าํ ขนมาใชง าน ขนที่ไดจากบรเิ วณ ใตทองและคอจะนุม และยาวกวา ขนจากบริเวณอ่นื ผลิตภัณฑท ่ที าํ จากขนอฐู จะมรี าคาแพงมาก นอกจาก น้ีอูฐยังใหห นงั ทม่ี คี ณุ ภาพดสี ามารถนําไปทาํ รองเทา หรอื เครอ่ื งหนงั อน่ื ๆ ได อาหารและการจดั การเลย้ี งดู อูฐมีระบบยอ ยอาหารคลา ยสตั วส ก่ี ระเพาะ แตกระเพาะสวนที่สาม คอื omasumไมเ จรญิ เหมอื น สัตวเค้ียวเออ้ื งประเภทอน่ื แตจะมีลักษณะเล็กยาว มเี ซลลท ม่ี คี วามพเิ ศษคอื เกบ็ น้าํ ไดม าก อฐู จงึ ไมต อ ง กินนํ้าบอ ย อูฐเปนสัตวที่ใชประโยชนจากพืชคุณภาพตาํ่ ไดด กี วาสตั วกระเพาะรวมประเภทอื่นโดยเฉพาะ พืชประเภทไมพุม ประสิทธิภาพการยอยไดของอูฐจะอยูระหวาง 46-81 เปอรเ ซน็ ต ซึ่งดีกวาแพะและ แกะ แตอ ยา งไรกต็ ามโค Zebu จะสามารถใชอาหารประเภทหญาแหงไดดีกวาอูฐ อฐู มคี วามตอ งการ อาหารหยาบประมาณ 5-10 กก.วัตถุแหง (dry matter) ตอ 100 กก. ของนา้ํ หนกั ตวั หรอื สามารถกนิ หญาสดไดวันละ 10-20 กก. สว นความตอ งการนา้ํ ของอฐู จะขน้ึ อยกู บั สภาพดนิ ฟา อากาศและ อาหารที่กิน อฐู สามารถอยไู ดเ ปน เวลานานกวา สตั วอ น่ื โดยไมม นี า้ํ อฐู จะกนิ นา้ํ วนั ละประมาณ 13 ลติ ร
การเลย้ี งอฐู ✏ 5 เม่ืออาหารอดุ มสมบรู ณห รอื กนิ หญา สดและจะกนิ นา้ํ วนั ละ 30 ลติ ร เมอ่ื ขาดอาหารหรอื กนิ อาหาร จากพ้ืนท่ีดินเค็มการท่ีอูฐสามารถถอดนา้ํ ไดน านกวา สตั วป ระเภทอน่ื กเ็ นอ่ื งจากอฐู มอี ตั ราการสญู เสยี น้ํา ตา่ํ และทนอาการแหง นา้ํ อูฐจะเจริญเติบโตเต็มที่ เพศผูอายุ 4-6 ป มนี า้ํ หนกั ประมาณ400-600 กก. เพศเมยี อายุ 3-5 ป มนี า้ํ หนกั 300-400 กก. (Wilson, 1984) การสบื พนั ธุ อูฐจะมีอายกุ ารเปน หนมุ เปน สาว (puberty) เมอ่ื อายุ 4-5 ป และเปน สตั วท ม่ี ฤี ดกู าร ผสมพันธุ (seasonal breeding) มกั จะผสมพนั ธใุ นชว งทม่ี อี ากาศเยน็ คอื ในฤดฝู นหรอื ฤดหู นาวมผี รู าย งานวาวงจรการสืบพันธุของอูฐจะขึ้นอยูกับสภาพแวดลอมที่อูฐอาศัย ในประเทศรัสเซียพบวาอูฐ ประเภทสองตะโหนกจะแสดงอาการเปน สดั ตลอดป แตอ ฐู ตะโหนกเดยี วจะเปน สดั ตามฤดกู าล ชวงระยะ เวลาการเปนสัดของอูฐเพศเมียจะสามารถสังเกตเห็นไดชัดเจนโดยทั่วไปจะมอี าการกระวนกระวายมักมี นิสัยดุรายข้ึน อฐู มวี งรอบการเปน สดั ประมาณ 2-3 สัปดาห มรี ะยะการตกไขซ ง่ึ จะเกดิ ขน้ึ หลงั การผสม พันธุแลว 30-48 ชั่วโมง ระยะการเปน สดั ของอฐู นานประมาณ 3-4 วัน อฐู มชี ว งระยะหา งของการให ลูก 24 เดอื น ระยะตง้ั ทอ งนาน 360-393 วัน ในดา นความสมบรู ณพ นั ธุ อฐู มอี ตั ราการผสมตดิ ต่าํ ประมาณ 50% หรอื ตา่ํ กวา
การเลย้ี งอฐู ✏ 6 บทสรปุ จากการตรวจเอกสารตา งๆ พอจะสรุปไดวา อฐู เปน สตั วท น่ี า จะนํามาผลติ เพอ่ื ใชป ระโยชน ในทางเศรษฐกิจได โดยเฉพาะอยางยิ่งในดานการผลิตน้ํานมในพ้ืนท่ีซ่ึงมีความแหงแลงอากาศรอน ในขณะที่ประชากรโลกเพิ่มจาํ นวนขน้ึ อยา งมาก การเนน ดา นการเลย้ี งสตั วใ หไ ดผ ลผลติ สงู โดยการปรบั ปรุงดานการจดั การเปน วธิ หี นง่ึ อยา งไรกต็ าม ในพื้นที่ที่มีขีดจาํ กดั ดา นการเลย้ี งสตั วก จ็ าํ เปน ทต่ี อ ง นํามาพิจารณา การเลย้ี งอฐู ในพน้ื ทแ่ี หง แลง ซง่ึ ไมส ามารถจะเลย้ี งสตั วใ หน มประเภทอน่ื ไดก น็ า จะเปน ทางเลือกหนึ่ง ซงึ่ ไมเพยี งแตจ ะใหน มเทา น้ัน แตย งั สามารถใชป ระโยชนจ าก ขน หนัง และเนอ้ื เพอ่ื บริโภคอีกดวยในพื้นที่แหงแลงทะเลทรายการเพ่ิมพื้นท่ีทําการเกษตรนาจะใชประโยชนจากอูฐไดเปน อยางดี อยา งไรกต็ าม อฐู เปน สตั วท ม่ี ปี รมิ าณนอ ยเมอ่ื เทยี บกบั สตั วใ หน มประเภทอน่ื ดงั นน้ั จึงจําเปน ท่ี จะตองทําการศกึ ษาคน ควา เพอ่ื หาแนวทางและความเปน ไปไดใ หก ารเลย้ี งใหเ ปน เศรษฐกจิ ในอนาคต เอกสารอา งองิ Chamberlain, A., 1989. Milk Production in the Tropics. Longman Scientific and Technical.Intermediate Tropical Agiculture Series. London. ISF, 1980. Proceedings of 1 st international Workshop on Camels. Khartoum, Sudan, December 1979. IFS Provisional Report 6. Int. Foundation for Sci. Stockholm. Wilson, R.T., 1984. The camels. Longman, London. Yagil, R., 1982. Camels and camel milk. FAO Animal Prodn and Health. Paper 26. FAO, Rome.
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: