รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) สารบญั สารบญั หน้า บทที่ 1 การวิจัยเชิงปฏบิ ตั ิการ และการวจิ ัยเชิงลึกในแต่ละพน้ื ท่ี .....................................................1-1 1.1 หลักการและเหตผุ ล .................................................................................................................. 1-1 1.2 วตั ถุประสงค์ของการวิจยั .......................................................................................................... 1-2 1.3 ระเบยี บวธิ วี จิ ยั .......................................................................................................................... 1-2 1.4 ผลท่คี าดวา่ จะไดร้ บั จากการวิจยั ............................................................................................... 1-5 บทท่ี 2 แนวคดิ พ้ืนฐานเกี่ยวกบั เมอื งอจั ฉริยะ ..................................................................................2-1 2.1 เมอื งอัจฉรยิ ะ : แนวคิดเบ้อื งต้น................................................................................................. 2-1 2.2 ทบทวนแนวคดิ ว่าด้วยเมืองอัจฉริยะ.......................................................................................... 2-2 2.3 การพัฒนาเมอื งอัจฉรยิ ะบนพ้ืนฐานของสภาพปัญหา - เงื่อนไขของพื้นท่ี และรองรับการพฒั นาอยา่ ง ย่งั ยนื ........................................................................................................................................ 2-5 2.4 DIGITAL LANDSCAPE บริบทในปจั จุบันของการพจิ ารณาเชงิ ยุทธศาสตร์เพ่ือพฒั นาเมืองอัจฉรยิ ะ2-25 2.5 DATA FLOW & CONTAINMENT : AS A NEW SET OF INFRASTRUCTURE.........................................2-28 2.6 INTERNET OF THING (IOT) : AN IMPORTANT CONTROL PROCESSING UNIT FOR (BIG) DATA DRIVEN MANAGEMENT .........................................................................................................................2-32 2.7 การคิดเชงิ ยุทธศาสตรเ์ พื่อพัฒนาเมอื งอัจฉริยะในบรบิ ทความท้าทายของ DIGITAL LANDSCAPE 2-35 บทท่ี 3 กรณศี ึกษาการพัฒนาเมอื งอัจฉรยิ ะ และการถอดบทเรียนจากกรณีศกึ ษา...........................3-1 3.1 กรณีศึกษาการพฒั นาเมืองอัจฉริยะ ในเมอื งมหานครและเมืองหลวง......................................... 3-1 3.2 กรณศี ึกษาการพฒั นาเมืองอจั ฉรยิ ะ ในเมืองท่ีอยอู่ าศยั และเมอื งปริมณฑล............................... 3-2 3.3 การถอดบทเรียนจากกรณีศกึ ษา : ขน้ั ตอนสกู่ ารพัฒนาเมืองอจั ฉรยิ ะ ........................................ 3-7 บทท่ี 4 กรอบการวเิ คราะหส์ ภาพปัญหาและเงื่อนไขของพื้นท่ี เพื่อวางยุทธศาสตรก์ ารพฒั นาเมือง อจั ฉรยิ ะ ..............................................................................................................................4-1 4.1 ความสาคัญของการวเิ คราะห์สภาพปญั หาและเงื่อนไขของพน้ื ท่ี ............................................... 4-1 4.2 กรอบการวิเคราะห์ตาแหนง่ หนา้ ทขี่ องเมือง (CITY POSITION)..................................................... 4-2 4.3 กรอบภารกิจหนา้ ท่ขี องเมือง (CITY FUNCTION).......................................................................... 4-7 4.4 กรอบการวเิ คราะห์โดยใช้ตัวช้ีวัดด้านความพร้อมของเมือง และตัวช้วี ัดดา้ นการพัฒนาตามแนวทาง เมอื งอัจฉรยิ ะ ............................................................................................................................ 4-9 บทท่ี 5 การวิเคราะห์เมอื งทเี่ ขา้ ร่วมโครงการวิจยั ในฐานะเมืองวิจัยหลักผา่ นกรอบการวเิ คราะหส์ ภาพ ปัญหาและเงื่อนไขของพ้นื ท่เี พ่ือวางยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาเมืองอัจฉรยิ ะ...........................5-17 5.1 เทศบาลนครขอนแกน่ .............................................................................................................5-17 5.2 เทศบาลนครยะลา...................................................................................................................5-21 โครงการวิจยั ถอดบทเรยี นเพื่อพฒั นาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ และชุมชน i
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) สารบญั 5.3 เทศบาลนครนนทบรุ ี...............................................................................................................5-26 5.4 เทศบาลนครอดุ รธานี ..............................................................................................................5-29 5.5 เทศบาลนครภเู ก็ต...................................................................................................................5-33 5.6 เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด..............................................................................................................5-37 5.7 เทศบาลเมืองลาพนู .................................................................................................................5-40 5.8 เทศบาลเมืองแสนสขุ ...............................................................................................................5-43 5.9 สรปุ ผลการวเิ คราะห์กลุม่ ตัวอย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่เี ขา้ รว่ มโครงการในฐานะเมืองหลัก โดยใชก้ รอบการวิเคราะห์........................................................................................................5-46 บทท่ี 6 ขอ้ ค้นพบจากการศึกษาวจิ ัย..............................................................................................6-49 6.1 ระบบปฏิบตั กิ ารเมือง (CITY OPERATION SYSTEM) : การออกแบบ และอรรถประโยชน์.............6-49 6.2 ยทุ ธศาสตร์พื้นฐาน 5 ประการสู่การเป็นเมอื งอจั ฉรยิ ะ ............................................................6-71 บทท่ี 7 รายการตัวชี้วดั การพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ สู่เมืองอจั ฉริยะอย่างยั่งยืน ..............7-74 7.1 แนวคิดพนื้ ฐานเก่ียวกับการกาหนดตวั ชี้วดั ..............................................................................7-74 7.2 ตวั ชี้วัดในกลมุ่ ของการบรรลเุ ป้าหมายการปฏบิ ตั ิงานของเมือง (CITY OBJECTIVE OUTCOME) และ ตัวชี้วัดในกลุ่มของกระบวนการดาเนินการขององค์กรบรหิ ารจดั การเมือง (CITY ORGANIZATION WORKING PROCESS & PROTOCOL)............................................................................................7-76 7.3 ตวั ชี้วดั ในมิตดิ า้ นประสทิ ธภิ าพ และมติ ิด้านประสิทธิผล..........................................................7-77 7.4 ตารางสรปุ ตวั ชวี้ ดั ...................................................................................................................7-79 บทท่ี 8 สรปุ ผลการวิจัยและข้อสเนอแนะเชงิ นโยบาย ....................................................................8-80 8.1 สรุปข้อคน้ พบจากการวิจยั ......................................................................................................8-80 8.2 ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย.........................................................................................................8-86 8.3 ขอ้ จากัดท่ีพบในการศึกษาวิจัย และข้อเสนอแนะสาหรับพัฒนาต่อยอดการวิจัยในอนาคต ......8-87 บทท่ี 9 ตารางตวั อยา่ งกรณีศึกษาท้ายเลม่ .....................................................................................9-94 โครงการวจิ ยั ถอดบทเรียนเพื่อพฒั นาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินและชุมชน ii
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) สารบญั ภาพ สารบญั ภาพ หนา้ รปู ท่ี 3.2-1 แสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการกาหนดยุทธศาสตร์ดา้ นสิ่งแวดล้อม , สาธารณะสุข ...................3-4 รูปที่ 3.2-2 แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผู้มีสว่ นได้สว่ นเสียในการพฒั นาเมอื งอจั ฉริยะของกรณีศึกษาเมือง Kashiwa no ha .......................................................................................................................3-5 รปู ท่ี 3.2-3 แสดงใหค้ วามสัมพนั ธ์ระหวา่ งผ้มู ีส่วนได้สว่ นเสียในการพฒั นาเมืองอัจฉรยิ ะ ในระดับชาติ.........3-6 รปู ท่ี 5.2-1 แสดงการถา่ ยโอนข้อมูลระหว่าง Device ในระบบเทคโนโลยีด้านการจราจรอัจฉรยิ ะ .............2-30 โครงการวิจัยถอดบทเรยี นเพือ่ พฒั นาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ และชมุ ชน i
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) สารบญั ตาราง สารบัญตาราง หน้า ตารางท่ี 1.3-1 รายชื่อกลมุ่ ตวั อย่างเมืองตน้ แบบและกลมุ่ ตัวอย่างเมืองคู่ขนาน ...........................................1-3 โครงการวจิ ัยถอดบทเรยี นเพอ่ื พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิน่ และชุมชน i
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทที่ 1 การวิจยั เชงิ ปฎิบัติการ และการวจิ ยั เชิงลึกในแต่ละพ้ืนท่ี บทที่ 1 การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร และการวจิ ัยเชงิ ลึกในแตล่ ะพ้ืนท่ี หลกั การและเหตุผล วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ระเบยี บวธิ วี จิ ัย ผลที่คาดว่าจะไดร้ บั จากการวจิ ัย 1.1 หลักการและเหตุผล (เพิม่ Indicator Smart City และ Cross position & Function เพมิ่ SDGs) เน่ืองจากการพัฒนาเมืองอัจฉริยะโดยหลักการทั่วไปนั้นจะให้ความสาคัญกับเมืองท้ังในฐานะวัตถุที่ ศึกษา (Unit of Analysis) เพ่ือการสร้างองค์ความรู้ และในฐานะหน่วยหลักในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ด้วย เหตุนี้การให้ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะรวมไปถึงกั บคัดเลือกระบบเทคโนโลยีที่ เหมาะสมให้กับเมืองจึงเป็นสิ่งท่ีจาเป็น โดยทางคณะวิจัยได้ให้ความสาคัญทั้งการให้ความรู้ความเข้าใจที่ เก่ียวข้องกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในภาพรวม เช่น แนวคิดพื้นฐานทางทฤษฎี , กระแสพลวัตรการ เปล่ียนแปลง , ระบบเทคโนโลยีที่น่าสนใจ รวมไปถึงบริบทต่างๆ ด้าน Digital Landscape แล้ว คณะผู้วิจัย ยังให้ความสาคัญด้านการให้ความรู้ความเข้าใจบนพ้ืนฐานของเงื่อนไขและสภาพปัญหาเฉพาะในแต่ละพ้ืนที่ ด้วย เพราะแต่ละเมืองต่างก็เผชิญโจทย์ความท้าทายท่ีแตกต่างกัน และมีความสลับซับซ้อนของปัญหาที่ แตกต่างกันออกไป ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านข้อมูลสารสนเทศ และโครงสร้างพื้นฐานทาง กายภาพเพ่ือการพฒั นาเมอื งอจั ฉริยะของแตล่ ะเมืองเองก็มคี วามแตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคญั ดว้ ยเหตนุ ีค้ ณะผู้วจิ ัยจึงเล็งเห็นถงึ ความสาคญั และออกแบบการวิจัยทที่ ้งั ม่งุ เนน้ การสร้างกระบวนการ ศึกษาเรียนรู้ร่วมกันแบบกลุ่มระหว่างเมืองต่างๆ กับคณะผู้วิจัยผ่านการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้าง บรรยากาศการแลกเปลี่ยนองคค์ วามรู้ และการออกสารวจข้อมูลเชิงลกึ ภาคสนามผา่ นกระบวนการสารวจ และ สงั เกตการณก์ ารพฒั นาเมืองอัจฉริยะของเมืองที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง เพื่อทาการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา เม่ือ ประสานองคค์ วามรู้จากการศึกษาทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันแล้วผลที่ได้รับคือข้อสังเกตและชุดของความรู้ที่ได้รับ จากท้ังการศึกษาบนฐานของพื้นท่ีและการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา และกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ แบบกลุ่มท่ีเมืองท่ีมีเงื่อนไขการพัฒนาท่ีแตกต่างกันนามาแลกเปล่ียนกัน ภายใต้การแนะนาของวิทยากรที่มี ความเชี่ยวชาญ นามาสู่การสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะสาหรับสร้างเป็น โครงการวิจัยถอดบทเรียนเพือ่ พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ และชมุ ชน 1-1
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทท่ี 1 การวิจัยเชิงปฎิบัตกิ าร และการวจิ ยั เชิงลึกในแต่ละพ้ืนที่ ขอ้ แนะนาเพือ่ การพัฒนาเมอื งอัจฉริยะสาหรบั ผบู้ ริหาร และผู้กาหนดนโยบาย ในขณะเดียวกันเมืองที่เป็นกลุ่ม ตัวอย่างเองก็ได้รับประโยชน์ในรูปแบบของแนวคิดสร้างสรรค์ (Idea) และแนวทางในการพัฒนาอย่างเป็น รูปธรรม นาเอาไปปรับใช้ในกระบวนการพัฒนาแผนแม่บท (Master Plan) โครงการนาร่อง (Pilot Project) และการคิดเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งต่างก็เป็นเคร่ืองมือที่ส่งผลกระทบต่อความสาเร็จในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ อยา่ งมนี ัยสาคัญ ทัง้ หมดนี้จงึ นามาสกู่ ารเล็งเหน็ ความสาคญั ของการทาการศกึ ษาตามโครงการน้ี 1.2 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 1.2.1 ในส่วนของการประชุมเชิงปฏิบัติการ (1) เพ่ือศึกษาและถอดบทเรียนการขับเคลื่อนการบริหารจัดการเมืองด้วยแนวคิดเมือง อจั ฉริยะ (Smart City) โดยองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ (2) เพื่อให้ความรู้และคาแนะนาเชิงวิชาการเร่ืองการสร้างเมืองอัจฉริยะแก่องค์กรปกครอง สว่ นท้องถนิ่ (3) เพ่ือเสนอรูปแบบและแนวทางการขับเคล่ือนการบริหารจัดการเมืองด้วยแนวคิดเมือง อจั ฉริยะโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ ทีเ่ ขา้ ร่วมโครงการ 1.2.2 ในส่วนของการลงพื้นท่สี ารวจ (1) เพอื่ พฒั นานารอ่ งเมอื งตน้ แบบในการพัฒนาสู่การเปน็ เมอื งอัจฉรยิ ะ (2) เพื่อวางแผนกระบวนการวิเคราะห์และประเมินความพร้อมและศักยภาพขององค์กร ปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ของแตล่ ะเมือง สาหรบั การพฒั นาท้องถน่ิ สู่เมอื งอัจฉริยะที่ยั่งยนื (3) เพื่อทาการเก็บรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐานของแต่ละที่ท่ีเข้าร่วมโครงการเพื่อจัดทาข้อมูลเชิง พืน้ ที่ สาหรับการจดั ทาแผนแมบ่ ท (4) เพ่ือติดตามผลการปฏิบัติตามแผน Smart City ของปัจจัยต่างๆ และการออกแบบ เทคโนโลยีท่ีใช้นาร่องในแต่ละพ้ืนที่เพื่อสังเคราะห์ (Case-Bases Lesson) เพ่ือนาไปสู่การวิเคราะห์ ความสาเรจ็ (5) เพอื่ จดั ทารายงานสรุปในรูปแบบของคมู่ ือในการตัดสินใจสาหรับผู้บริหารเมือง (Decision Maker Guidebook) ทเ่ี หมาะสมกบั ความหลากหลายของเมืองในประเทศ 1.3 ระเบยี บวิธีวจิ ยั 1.3.1 การเลอื กกลมุ่ ตัวอย่าง ทางคณะวิจัยได้คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างมาจานวน กลุ่มตัวอย่าง โดยได้จัดแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มตัวอย่างเมืองต้นแบบ และกลุ่มตัวอย่างเมืองคู่ขนานโดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกคือการสารวจ ด้านศักยภาพความพร้อมตอ่ การพฒั นาไปสูก่ ารเป็นเมอื งอจั ฉรยิ ะท้งั ในมติ ิของความพร้อมด้านระบบเทคโนโลยี โครงการวจิ ัยถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินและชมุ ชน 1-2
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 1 การวจิ ยั เชงิ ปฎบิ ตั กิ าร และการวจิ ัยเชงิ ลกึ ในแตล่ ะพน้ื ท่ี ท่ีเมืองมีอยู่เดิม , ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน , ความพร้อมด้านวิสัยทัศน์การพัฒนา และความพร้อม ด้านทรัพยากรของเมือง โดยที่กลุ่มเมืองต้นแบบมีความพร้อมในมิติต่างๆ เหล่านี้อย่างมีนัยสาคัญ ทาให้ สามารถมองเห็นแนวทางการวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรม ส่วนเมืองคู่ขนานน้ันแม้จะ ด้อยกว่าในด้านของความพร้อมในมิติต่างๆ แต่เป็นกลุ่มตัวอย่างที่สังเกตเห็นได้ถึงศักยภาพในการพัฒนาให้มี ความพร้อมในด้านต่างๆ เข้าใกล้เมืองต้นแบบ และอาจนาไปสู่การพัฒนาจนบรรลุเป้าหมายการเป็นเมือง อจั ฉรยิ ะในอนาคต ตารางท่ี 1.3-1 รายชอ่ื กลมุ่ ตวั อยา่ งเมอื งตน้ แบบและกลุ่มตวั อยา่ งเมอื งค่ขู นาน ด้าน ประเภทเมอื ง หนว่ ยงาน Smart Mobility เมอื งวิจัยต้นแบบ เทศบาลนครขอนแก่น Smart Tourism เมอื งวิจัยค่ขู นาน เมืองวจิ ยั ตน้ แบบ ไมม่ ี Smart Living เมืองวจิ ยั คูข่ นาน เทศบาลเมอื งลาพนู เมอื งวจิ ยั ตน้ แบบ 1. องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวัดสพุ รรณบรุ ี Smart Energy 2. องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั พษิ ณโุ ลก เมอื งวิจยั คขู่ นาน 1. เทศบาลเมอื งแสนสุข 1. เทศบาลตาบลเขาพระงาม เมอื งวจิ ยั ต้นแบบ 2. เทศบาลนครเชียงราย เมอื งวิจัยคขู่ นาน 3. เทศบาลเมอื งเขาสามยอด เทศบาลนครภูเกต็ Smart Safety City เมืองวิจัยตน้ แบบ 1. เทศบาลเมอื งมหาสารคาม 2. เทศบาลตาบลวังดิน Smart เมอื งวิจัยคูข่ นาน 1. เทศบาลเมืองรอ้ ยเอด็ Service Public เมืองวิจัยตน้ แบบ 2. เทศบาลนครยะลา 3. เทศบาลนครอดุ รธานี เมอื งวิจยั คขู่ นาน เทศบาลนครพิษณโุ ลก เทศบาลนครนนทบุรี องค์การบริหารสว่ นจงั หวัดสุราษฎร์ธานี โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี นเพื่อพัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ และชุมชน 1-3
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทท่ี 1 การวจิ ยั เชิงปฎบิ ัตกิ าร และการวิจยั เชิงลกึ ในแตล่ ะพื้นที่ 1.3.2 กระบวนการดาเนนิ การวิจัย (1) การจดั ประชมุ เชงิ ปฏิบัติการ 1.) คณะผู้วิจัยรว่ มกับสถาบันพระปกเกลา้ คัดเลอื กเมืองกลุ่มตวั อย่างเพ่ือเข้าร่วมการ ประชุมเชิงปฎิบัตกิ าร 2.) ดาเนนิ การจดั อบรมเชงิ ปฏิบัตกิ ารในหัวข้อดังต่อไปน้ี - Smart City Open House เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเมืองอัจฉริยะ ท้ังใน กรอบความคิดท่วั ไปและการพฒั นาเมืองอจั ฉรยิ ะด้านต่างๆ - Smart City Workshop ครั้งที่ 1 เพื่อให้ภาพรวมของการสัมมนาเชิง ปฏิบัติการ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีเข้าร่วมโครงการ และให้กรอบความ เข้าใจการพฒั นาเมืองอัจฉรยิ ะตามความถนัดของผู้เชยี่ วชาญ - Smart City Workshop คร้ังท่ี 2 เพ่ือให้คาแนะนาและข้อเสนอแนะกับ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ ทเี่ ข้ารว่ มโครงการในฐานะทปี่ รึกษาโครงการเฉพาะด้าน - Smart City Showcase เพื่อให้ความเห็นต่อแผนปฏิบัติการสร้างเมือง อจั ฉริยะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นท่มี านาเสนอแผนงาน 3.) ดาเนินการถอดบทเรียนและสังคเราะห์องค์ความรู้เพื่อจัดทารายงานการวิจัย ระดบั สมบรู ณ์ และเอกสารประกอบการสัมมนาเชิงปฏบิ ตั กิ าร (2) การลงพื้นท่ีสารวจ 1.) คณะผูว้ ิจยั จดั ตง้ั คณะวจิ ยั ย่อย (City Research Team) ซ่ึงมีหน้าที่ให้คาปรึกษา แนะนาเก่ียวกับการจัดทาแผนแม่บทการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และการคัดเลือกเทคโนโลยีท่ี จะนามาใช้ 2.) คณะวิจัยย่อยจะลงพ้ืนที่สารวจปัจจัยด้านโครงสร้างพ้ืนฐานทางกายภาพ และ ทางเทคโนโลยีของเมือง รวมถึงสังเกตการณ์ขั้นตอนการทาจัดทาแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ของแต่ละกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือเก็บข้อมูลประกอบการจัดทาบทวิเคราะห์เชิงพ้ืนที่ (Area Base Report) 3.) คณะผวู้ จิ ยั ดาเนินการสงั เคราะห์ผลการดาเนนิ งานในแตล่ ะพืน้ ทีท่ ง้ั ในมิติของการ จัดทาแผนแม่บทการพัฒนา และการวางระบบเทคโนโลยีนาร่องตามแนวทาง Smart City เพื่อจัดทารายงานเบื้องต้นในรูปแบบของการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา (Case-base Lesson Report) 4.) คณะวจิ ยั นาข้อมลู ทไี่ ดจ้ ากการจัดทาบทวิเคราะห์เชิงพ้ืนที่ (Area Base Report) และการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา (Case-base Lesson Report) มาจัดทารายงานสรุป ในรูปแบบของ ค่มู ือในการตัดสนิ ใจสาหรบั ผบู้ รหิ ารเมอื ง (Decision Maker Guidebook) โครงการวิจยั ถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินและชุมชน 1-4
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 1 การวจิ ยั เชิงปฎิบัติการ และการวจิ ัยเชงิ ลกึ ในแตล่ ะพืน้ ที่ 1.4 ผลท่ีคาดว่าจะไดร้ บั จากการวจิ ัย 1.4.1 ผลในแงข่ ององคค์ วามร้ทู ไี่ ด้จากการศกึ ษาวิจัย (1) คณะผู้วิจัยสามารถจัดทาบทวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Area Base Report) จากการลงสารวจ โครงสรา้ งพืน้ ฐานทางกายภาพ และโครงสรา้ งพ้ืนฐานทาเทคโนโลยใี นพ้นื ทก่ี ลมุ่ ตัวอยา่ งแตล่ ะราย (2) คณะผ้วู จิ ัยสามารถจัดทารายงานข้อสังเกตจากการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา จากการ ลงพ้ืนท่ใี ห้คาปรกึ ษาด้านการจดั ทาแผนยทุ ธศาสตร์ และการพฒั นาระบบเทคโนโลยีให้กับกลมุ่ ตวั อยา่ ง (3) คณะผวู้ ิจัยสามารถจัดทารายงานสรุปในรูปแบบของคู่มือในการตัดสินใจสาหรับผู้บริหาร เมือง (Decision Maker Guidebook) บนพ้ืนฐานข้อมูลจากบทวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และการถอดบทเรียนจาก กรณศี กึ ษา 1.4.2 ผลในแง่ของสง่ิ ที่ผเู้ ขา้ ร่วมการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะไดร้ ับ (1) กลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับแนวคิดพื้นฐาน และ แนวทางพลวตั ร (Trend) เกย่ี วกบั Smart City และการพฒั นาระบบเทคโนโลยใี ห้รองรบั (2) กลุ่มตัวอย่างได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการคิดเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการ พัฒนาเมอื งตามแนวทาง Smart City (3) กลุ่มตัวอย่างได้รับแนวคิดสร้างสรรค์ (Idea) ไปใช้ประกอบการกาหนดเป้าหมายของ เมือง และการวางแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาเมืองตามแนวทาง Smart City และการออกแบบโครงการนาร่อง เพอื่ การพฒั นา Smart City โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี นเพื่อพัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ และชมุ ชน 1-5
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคิดพน้ื ฐานเก่ียวกับเมอื งอจั ฉรยิ ะ บทที่ 2 แนวคดิ พ้นื ฐานเกี่ยวกบั เมืองอัจฉรยิ ะ เมืองอัจฉริยะ : แนวคิดเบอื้ งต้น ทบทวนแนวคดิ ว่าดว้ ยเมืองอจั ฉรยิ ะ การพฒั นาเมอื งอัจฉริยะบนพื้นฐานของสภาพปญั หา - เงอื่ นไขของพน้ื ที่ และรองรบั การพัฒนา อย่างยั่งยนื 2.1 เมืองอจั ฉรยิ ะ : แนวคดิ เบื้องต้น แนวคิดว่าด้วยการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) น้ันได้มีการให้คาจากัดความเอาไว้อย่าง แตกต่างหลากหลายในรายละเอียด อย่างไรก็ตามคาอธิบายเกี่ยวกับ Smart City ท่ีแตกต่างหลากหลายน้ันก็ สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน คอื 1. เป็นแนวการบริหารจัดการที่ครอบคลุมในทุกมิติและขั้นตอนของการบริหารจัดการเมืองตั้งแต่ ขั้นตอนของการกาหนดจุดมุ่งหมายของการพัฒนาเมือง , การวางแผนยุทธศาสตร์ , การวางแผนการ ดาเนินงานเพ่ือบรรลุยุทธศาสตร์ , การออกแบบระบบ – เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการและดาเนินการ เพื่อให้ได้มาซึ่งระบบดังกล่าว , การซ่อมบารุงและปรับปรุงระบบ , การพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีศักยภาพ สอดรบั กับระบบ ไปจนถึงการวัดและประเมนิ ผล 2. ให้ความสาคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต และเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการให้บริการ หรือปฎิบัติงานของเมือง จะสังเกตได้ว่าคาอธิบายในส่วนน้ีจะให้ความสาคัญทั้งในมิติด้านประสิทธิภาพ (Efficiency) ได้แก่ ประเด็นด้านต้นทุนปฏิบัติงาน (Operation Cost) , การใช้งานทรัพยากร และการ โยกย้ายทรัพยากร (Resource Management & Allocation) , อัตรากาลังของทรัพยากรบุคคล รวมถึง ทรัพยากรด้านเวลาและค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ซึ่งกระทบโดยตรงกับผู้รับบริการ – รับผลจาก นโยบายของเมือง เป็นต้น และยังคานงึ ถึงประเดน็ ด้านประสิทธิผล (Outcome) ได้แก่ ประเด็นด้านคุณภาพ โดยรวมของการให้บริการ (ซ่ึงดูได้จากตัวช้ีวัดการให้บริการ และระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ) , ประเด็นด้านความครอบคลุมและท่ัวถึงของการให้บริการ , ประเด็นด้านความครอบคลุมด้านประเภทของ บรกิ าร เปน็ ตน้ 3. คาอธิบายยังให้ความสาคัญกับบทบาทของโครงสร้างพ้ืนฐานชนิดใหม่ท่ีเรียกว่าโครงสร้างพ้ืนฐาน ด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร (Information Technology & Communication Infrastructure) โครงการวิจยั ถอดบทเรียนเพอื่ พฒั นาการบรกิ ารสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินและชมุ ชน 2-1
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพ้นื ฐานเก่ยี วกบั เมืองอจั ฉรยิ ะ ซงึ่ เป็นตัวขับเคลอ่ื นสาคญั ให้เมอื งสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ 2 ประการข้างต้น คือ การยกระดับคุณภาพชีวิต , การให้บริการ และปฎิบัติงานของเมือง (มิติด้านประสิทธิผล) และ การยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ และปฏิบตั งิ านของเมือง (มติ ิด้านประสิทธภิ าพ) ซึง่ ทกุ คาอธิบายนอกจากจะชี้ให้เห็นความสาคัญของโครงสร้าง พื้นฐานส่วนน้ีแล้ว ยังให้ความสาคัญกับการบูรณาการโครงสร้างพ้ืนฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการ สื่อสาร หรือโดยเนื้อแท้ก็คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและการจัดการข้อมูล-สารสนเทศ (Data – Information System) เข้ากับการโครงสร้างพ้ืนฐานด้านกายภาพ (Physical Infrastructure) อาทิ ระบบ สาธารณูปโภค , ระบบระวังและป้องกันสาธารณะภัย , ระบบป้องกันอาชญากรรม ฯลฯ รวมไปถึงต้องบูรณา การเข้ากับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารเดิมท่ีเมืองมีอยู่แล้ว ท้ังน้ีเน่ืองจากลาพังโครงสร้าง พนื้ ฐานด้าน ICT หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล และการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพียงอย่างเดียวไม่อาจทา ให้เมืองบรรลุเป้าหมายท้ังสองข้อที่กล่าวถึงข้างต้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้เมืองสามารถก้าวข้ามข้อจากัด (Limitation) บางประการที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้ (หรือก้าวข้ามได้แต่ต้องใช้ต้นทุนสูงมาก) เพ่ือเปิดโอกาส ใหม่ๆ ของการพัฒนาและดาเนนิ งานของเมอื ง กล่าวโดยสรุป แนวคิด Smart City คือแนวคิดในการวางการพัฒนาและบริหารจัดการเมืองในทุกมิติ ข้ันตอนเพื่อให้บรรลุผลเป้าหมายหลัก 2 ประการ คือ 1. การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน – และการ ให้บรกิ าร 2. การยกระดับประสทิ ธภิ าพการใหบ้ รกิ ารและการดาเนินงานของเมือง โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐาน และเครื่องมือด้านการบริหารจัดการท่ีเป็นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารบูรณาการเข้ากับ โครงสร้างพ้ืนฐานทางกายภาพอ่ืนๆ เพ่ือให้บรรลุผลดังกล่าว และก้าวข้ามข้อจากัด (Limitation) ของเมือง เพ่ือเปดิ ใหมๆ่ ของการพฒั นาและดาเนนิ งานของเมือง 2.2 ทบทวนแนวคดิ วา่ ดว้ ยเมอื งอจั ฉรยิ ะ องคป์ ระกอบของ เมืองอจั ฉริยะ หากวิเคราะห์อยา่ งละเอียดจะสังเกตได้ว่าแนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะนั้นจะสัมพันธ์กับทุกๆ ภาค สว่ นของเมือง โดยจะสมั พันธก์ ับภารกิจหน้าท่ี (Function) ด้านต่างๆ ของเมืองอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ เพราะโดย เน้ือแท้แล้วก็คือแนวทางในการบริหารจัดการเมืองท่ีเก่ียวข้องกับการปรับใช้เคร่ืองมือการบริหารจัดการ และ โครงสรา้ งพื้นฐานทางกายภาพ เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการ แก้ไขปญั หา และพัฒนาตอ่ ยอดนั่นเอง องคป์ ระกอบของระบบ Smart City ตามแนวคดิ ของ IBM บริษัท IBM ไดว้ ิเคราะหอ์ นาคตของเมอื งวา่ เมืองอัจฉริยะ (Smart city) ทุกระดับจะใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกท่ีจะเปล่ียนระบบการดาเนินงานและ การให้บริการ การแข่งขัน ระหว่างเมืองที่จะมีดึงดูดใจประชาชนกลุ่มใหม่ๆ ผู้ประกอบการธุรกิจและ นักท่องเท่ียว และยกระดับให้บริการที่มีคุณภาพสูงของชีวิตและภาวะเศรษฐกิจท่ีดีข้ึนอย่างม่ันคงi โดยเมือง อัจฉริยะตามคาอธบิ ายของ IBM จะประกอบดว้ ยโครงสรา้ ง 3 ส่วนดังนี้ โครงการวิจยั ถอดบทเรียนเพอ่ื พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นและชมุ ชน 2-2
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พนื้ ฐานเกีย่ วกับเมืองอัจฉรยิ ะ 1.) Planning and Management เป็นการวางแผนพัฒนาและการใช้ทรัพยากรอย่างมี ประสิทธภิ าพในดา้ นตา่ งๆ อาทิ -Public Safety มีระบบตรวจจับเฝ้าระวังความปลอดภัย มีระบบการแจ้งเตือนเมื่อเกิด เหตกุ ารณ์ฉกุ เฉนิ เจา้ หน้าทสี่ ามารถเขา้ ถึงขอ้ มลู ดา้ นความปลอดภัย อาทขิ อ้ มลู จากกลอ้ งวงจรปิดไดแ้ บบเป็น ปจั จบุ ัน (Real-time) เพ่ือสามารถสัง่ การแกไ้ ขได้ทันที -Government and Agency Administration หน่วยงานของรัฐสามารถนาเทคโนโลยี สารสนเทศมาประกอบการบรหิ ารจัดการการใหบ้ รกิ าร และยกระดับการใหบ้ ริการ -City Planning and Operations นาเทคโนโลยี สารสนเทศมาประกอบการจัดการวางผัง เมอื ง การวางแผนรบั มอื การขยายตวั ของเมือง และเช่ือมโยงเขา้ กบั ระบบปฏิบัติการของเมืองท่ีมีอยู่เดมิ -Buildings นาเทคโนโลยี สารสนเทศมาประกอบการจัดอาคาร และการจัดการพลังงาน ภายในอาคารอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 2.) Infrastructure นาเทคโนโลยี สารสนเทศมาปรับใช้กับการจัดสรรโครงสร้างพ้ืนฐาน การ คมนาคมขนส่งและระบบสอ่ื สารเพอ่ื ยกระดับประสทิ ธิภาพ -Energy นาเทคโนโลยี สารสนเทศมาปรบั ใชก้ ับการจัดสรรพลงั งานในเขตเมือง และการผลิต พลังงานใหเ้ พยี งพอ และไมล่ น้ เกิน -Water นาเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้กับการผลิตและจัดสรรน้าประปา ระบบระบาย น้า และบรหิ ารจัดการนา้ ซงึ่ รวมไปถงึ ระบบป้องกนั สาธารณะภยั ทางนา้ ด้วย -Environmental นาเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใชเ้ พือ่ สร้างการพฒั นาอย่างยั่งยืน และลด ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดลอ้ ม ซง่ึ จะส่งผลกระทบต่อคณุ ภาพชีวติ โดยรวมของประชาชนดว้ ย 3.) People อาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการยกระดับคุณภาพชีวิต ยกระดับการให้บริการ ประชาชน และอานวยความสะดวกกบั ประชาชนด้านข้อมูลข่าวสาร -Social Programs อาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพ้ืนฐานการวางแผนโครงการพัฒนา สังคม และสง่ เสริมชมุ ชนได้อยา่ งตรงจุดและมปี ระสทิ ธิภาพ -Smarter care อาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือยกระดับการให้บริการ และเพ่ิม ประสิทธภิ าพการบริหารจดั การการใหบ้ ริการสาธารณะสขุ -Smart Education ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศยกระดบั คุณภาพการจดั การศกึ ษา องค์ประกอบของระบบ Smart City ตามมาตรฐาน ISO/IEC JTC1 ISO/IEC JTC1 ได้ให้ความหมายของเมืองไว้ว่า ความฉลาดของเมือง (Smartness of a city) คือ ความสามารถในการใช้ทรพั ยากรทมี่ อี ยใู่ ห้เกดิ ประสทิ ธภิ าพและมีความตอ่ เนอ่ื ง เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์และ เป้าหมายที่ต้ังไว้ ซ่ึงต้องอาศัยการทางานในลักษณะบูรณาการและเช่ือมโยง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทางาน, ลดข้อจากัดในการทางาน และส่งเสริม การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับการ พัฒนาและแกไ้ ขปญั หาของเมือง โครงการวิจัยถอดบทเรยี นเพ่ือพฒั นาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ และชุมชน 2-3
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพ้ืนฐานเกี่ยวกบั เมืองอัจฉริยะ โดยเมอื งอจั ฉรยิ ะตามตามมาตรฐาน ISO/IEC JTC1 มีองคป์ ระกอบดังตอ่ ไปนี้ 1.) มีการเกบ็ รวบข้อมูลการขยายตวั ของเมอื ง 2.) ระบบการบรหิ ารงานของเมอื งควรจะมลี ักษณะบูรณาการ 3.) มกี ารเก็บข้อมูลของเมืองจากหลายแหล่ง 4.) มีช่องทางการนาเสนอข้อมูลท่ีหลากหลายตามกลุ่มผู้ใช้งาน ซึ่งจะต้องเข้าถึงได้ง่ายและเกิด ประโยชน์สูงสดุ 5.) การเกบ็ ข้อมลู ของเมอื งตอ้ งมกี ารให้รายละเอยี ด และมาตรวดั ทช่ี ัดเจน และมีการเข้าถึงข้อมูลแบบ เป็นปัจจุบัน (Real-time) เพ่ือหน่วยงานบริหารจัดการเมืองเกิดการรับรู้แบบเป็นปัจจุบัน (Real-time Knowledge) 6.) อาศัยการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytic) ประกอบในระบบการตัดสินใจทางนโยบาย (Decision Making System) โดยฝ่ายบรหิ าร และฝ่ายนโยบายของเมอื ง 7.) มีความยดิ หยนุ่ เพ่ือใหส้ ามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกบั สถานการณ์ ในขณะเดียวกันก็จะต้องมีส เถยี รภาพ นา่ เชอ่ื ถือ ไมถ่ ูกแทรกแซงไดโ้ ดยงา่ ย และที่สาคญั คอื จะตอ้ งมปี ระสิทธิภาพ 8.) มีการบูรณาการระบบ และโครงสรา้ งพน้ื ฐานในดา้ น Digital หรืออีกนยั หนึง่ ก็คือโครงสร้างพ้ืนฐาน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร – โครงสร้างพ้ืนฐานด้านข้อมูล และการจัดการข้อมูลสารสนเทศ เขา้ กับระบบการทางาน และโครงสร้างพืน้ ฐานทางกายภาพ แบบจาลองของเมอื งอัจฉริยะ แบบจาลองของเมอื งอัจฉริยะอาจแบ่งออกเปน็ 2 รปู แบบคือ แบบจาลองอยา่ งง่าย (Simple models) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ มุ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและตัวแสดงที่ต้อง ดาเนินการร่วมกัน แบบจาลองน้ีพยายามอธิบายให้เห็นถึงกระบวนการทางานของเมือง จัดหมวดหมู่ตาม ภารกิจหนา้ ท่ี ความสัมพันธ์ในการทางานของแตล่ ะตวั แสดงเพือ่ ใหเ้ ห็นภาพโดยรวม แบบจาลองทซ่ี บั ซอ้ น (Complex models) มจี ุดมงุ่ หมายเพ่อื อธิบายถึงองคป์ ระกอบของระบบเมือง ทัง้ หมดลงไปในรายละเอียด ท้ังผู้มีส่วนได้เสีย รูปแบบกิจกรรม ความสัมพันธ์ และผลลัพธ์อื่นๆ โดยจะลงลึกไปถึงรายละเอียดด้านองค์ประกอบของแต่ละ ระบบ , การทางานของแต่ละระบบ , ศักยภาพและข้อจากัด รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างระบบในภารกิจ หน้าท่ที ีค่ าบเกย่ี วกนั โครงการวิจัยถอดบทเรียนเพ่ือพัฒนาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินและชมุ ชน 2-4
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พื้นฐานเกี่ยวกบั เมอื งอัจฉรยิ ะ 2.3 ทบทวนแนวคดิ วา่ ดา้ นการพฒั นาเมืองอัจฉรยิ ะในประเทศไทย ข้ันตอนที่สาคัญอีกประการหน่ึงของการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะให้เป็นไปในแนวทางท่ีถูกต้องคือการ สารวจตาแหน่งแห่งท่ีของการพัฒนาของด้านการเป็นเมืองอัจฉริยะของประเทศไทย ว่า ณ ปัจจุบันนั้นระดับ ของการพัฒนาของประเทศไทยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารของประเทศไทยอยู่ ณ จุดไหน ใน อดีตเรามีแนวทางการพัฒนาในรูปแบบใด ในกระบวนการพัฒนาแต่ละช่วงเวลาเกิดพลวัตรการเปลี่ยนแปลง เช่นใด และประสบกับสภาพปญั หาหรอื อปุ สรรคใดบ้างในกระบวนการพฒั นา ด้วยเหตุน้ี การทบทวนแนวนโยบาย และแนวการพัฒนาของประเทศไทยสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะตั้งแต่ อดีตถึงปัจจุบันดาเนินการพัฒนาไปในรูปแบบใด และแนวนโยบายมีพลวัตรอย่างไรจึงมีความสาคัญ โดยเรา สามารถวิเคราะหป์ ระเด็นข้างต้นได้ใน 3 มติ ิคือ 1. หน่วยงานภาครัฐ และหนว่ ยงานภาคเอกชน (กลุม่ ธุรกิจและหนว่ ยงานวจิ ยั และพัฒนาท่สี าคัญ) ใน ฐานะตวั แสดงท่ีมีบทบาทสาคัญในกระบวนการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะ 2. แนวนโยบายการพฒั นาสเู่ มืองอจั ฉรยิ ะท่ีมคี วามสาคัญ 3. พลวตั รการเปล่ยี นแปลงแนวนโยบายการพัฒนาสู่เมอื งอัจฉริยะ และปจั จัยเชิงสาเหตุทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ พลวตั รการเปลี่ยนแปลง หากเราสามารถวิเคราะหท์ ้ัง 3 มิติข้างต้นได้อย่างครบถ้วนจะช่วยให้เราสามารถทาความเข้าใจประเด็น ที่มีความสาคัญ 2 ประเด็นคือตาแหน่งแห่งท่ีของการพัฒนาในปัจจุบัน และการถออดบทเรียนด้านปัจจัยเชิง สาเหตุทีน่ ามาสพู่ ลวัตรการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายการพัฒนาสเู่ มืองอจั ฉรยิ ะ 2.3.1 ภาพรวมของแนวนโยบายการพัฒนาสเู่ มืองอจั ฉริยะในประเทศไทย และประเดน็ ปญั หา หากสารวจแนวนโยบายการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะในปัจจุบันจะพบว่าเป็นแนวคิดการพัฒนาท่ีเสมือน หนึ่งเป็นแนวคดิ การพัฒนาใหม่ทเี่ พิง่ ไดร้ บั ความสนใจโดยภาครฐั ท้ังในระดบั รฐั บาลกลางซึ่งนาโดยรัฐบาล คสช. และในระดับพื้นท่ีโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีมีศักยภาพ และเล็งเห็นความสาคัญต่างมุ่งให้ความสนใจ นอกจากนี้หากวิเคราะห์ในมุมของเอกชน จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการเอกชนที่ทาธุรกิจด้านระบบเครือข่าย เทคโนโลยีสารสนเทศ-โทรคมนาคม และผู้ประกอบการท่ีทาธุรกิจด้านการจัดจาหน่ายและติดต้ังระบบ เทคโนโลยตี า่ งใหค้ วามสนใจเจาะตลาดการพัฒนาสเู่ มืองอจั ฉริยะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับจังหวัด และระดับ องคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ นามาสู่การขยายตวั ของเมด็ เงนิ ดา้ นการคา้ การลงทุนในตลาดเทคโนโลยีสารสนเทศ และโทรคมนาคมอยา่ งมาก อย่างไรก็ตามจากการทบทวนแนวนโยบายการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะของประเทศไทยน้ัน จะเห็นว่าแม้ แนวคิดเมืองอัจฉริยะอาจจะเป็นแนวคิดที่ถูกหยิบยกมาให้ความสาคัญไม่นานมากนัก แต่แนวการพัฒนา ประเทศ และพัฒนาพ้ืนที่ท่ีมีศักยภาพโดยอาศัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นเป็นแนวทางการพัฒนาที่ได้รับ ความสนใจมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร ผ่านการออกแผนแมบ่ ทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฉบับ โครงการวจิ ัยถอดบทเรยี นเพอื่ พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นและชุมชน 2-5
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พ้ืนฐานเกย่ี วกบั เมอื งอัจฉริยะ ที่ 2 ปีพุทธศักราช 2552 – 2556 ซ่ึงสอดคล้องกับแนวการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตาม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 11 ( พ.ศ. 2555 – 2559) ท่ีได้กล่าวถึงความสาคัญของระบบ เศรษฐกิจดจิ ติ อล ละการเพิม่ มูลค่าตลาดด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศดว้ ย การพัฒนาในทางปฏิบัติน้ัน ประเทศไทยอาศัยกลไกทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานร่วมภาครัฐ- เอกชน เปน็ ตัวแสดงหลักในการขับเคลื่อนนโยบายทั้งในระดับชาติ และระดับภูมิภาค (จังหวัด) อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวนโยบายการพัฒนาประเทศโยภาพรวมเริ่มหันมาให้ความสาคัญกับแนวคิดการพัฒนาที่ยึดโยงกับ เง่ือนไขเฉพาะของพ้ืนที่ หรือท่ีเรียกกันว่าแนวการพัฒนาบนพ้ืนฐานของพ้ืนท่ี (Area based development) องค์การปกครองส่วนท้องถ่ินในประเทศไทยท่ีมีศักยภาพจึงเร่ิมหันมาให้ความสาคัญกับการพัฒนาสู่เมือง อัจฉริยะบนพ้ืนฐานของปัญหาและเงื่อนไขการพัฒนาในระดับพื้นท่ีควบคู่ไปกับการพัฒนาในระดับชาติและ ระดบั จังหวัด เนื่องจากการพัฒนาในระดับชาติ และระดับจังหวัดน้ันมีข้อจากัดที่สาคัญคือเป้าประสงค์หลักใน การพฒั นาน้นั มงุ่ ขบั เคล่ือนยุทธศาสตร์การพัฒนาในระดับชาติ และระดับจังหวัด อาทิ การยกระดับมูลค่าเพ่ิม ของพ้ืนท่ี ประโยชน์ด้านความมั่นคง ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง ทบวง กรมท่ีปฏิบัติงานในพื้นที่ เป็นต้น ซ่ึงยุทธศาสตร์เหล่านี้อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของพ้ืนท่ีอย่างตรงจุด เน่ืองจากเปน็ โจทยย์ ุทธศาสตร์ที่มีลักษณะตอบโจทย์ความต้องการแบบกว้างๆ ไม่ได้มุ่งแก้ไขปัญหาเฉพาะของ แตล่ ะพน้ื ท่อี ยา่ งเฉพาะเจาะจง ดว้ ยเหตนุ ี้ภาพรวมของตาแหน่งแห่งท่ีการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะในกรณีของประเทศไทยจึงเห็นได้ชัดว่า เกิดการพฒั นาทับซ้อนเป็นสองระดบั คือ 1. การพฒั นาในระดับชาติ และระดับภมู ิภาค (จงั หวดั ) ที่ไดร้ บั การผลักดนั โดยรฐั บาล และหน่วยงานท่ี เกีย่ วข้อง 2. การพฒั นาในระดบั พื้นทน่ี าโดยองคก์ รปกครองส่วนท้องถิน่ ท่ีเลง็ เหน็ ความสาคัญของการพัฒนา และ เห็นวา่ การพัฒนาในระดบั ชาติ – ภูมิภาคไม่ตอบโจทย์ความต้องการของพ้นื ท่ี หากสังเกตเปรียบเทียบกับการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในต่างประเทศจะ เห็นความแตกต่างจากกรณีของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน โดยในกรณีของต่างประเทศนั้นแม้การพัฒนาจะ แยกออกเป็นสองระดับเช่นเดียวกัน แต่การพัฒนาในเชิงพ้ืนที่ให้มีความเหมาะสมกับสภาพปัญหาและเงื่อนไข เฉพาะนั้นได้รับการให้ความสาคัญมาตั้งแต่แรกเริ่มของกระบวนการพัฒนา โดยได้รับการผลักดันอย่างเป็น รูปธรรมโดยรัฐบาลกลาง โดยการออกแบบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะในระดับพื้นที่นั้นกระทา พร้อมกับการออกแบบแผนยุทธศาสตร์ในระดับชาติ และระดับกลุ่มพ้ืนท่ี (ใกล้เคียงกับจังหวัดในกรณีประเทศ ไทย) แผนยุทธศาสตรท์ ้ังสองระดับจึงมีลักษณะท่ีสอดประสานซึ่งกันและกัน และมีลักษณะการดาเนินงานของ หน่วยงานภายใตแ้ ผนยุทธศาสตร์ทีเ่ กอ้ื หนุนกัน นอกจากนี้หากวิเคราะห์ในมิติของตัวแสดงจะเห็นว่าในกรณีของต่างประเทศที่หยิบยกมาศึกษานั้นจะมี การจัดต้ังองค์กรกลางท่ีมีหน้าท่ีดูแลด้านการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะเป็นการเฉพาะ ซึ่งองค์กรเหล่าน้ันให้ ความสาคัญกับการสร้างความร่วมมือกับตัวแสดงในพ้ืนท้ังที่เป็นหน่วยงานรัฐอย่างหน่วยงานบริหารจัด โครงการวจิ ัยถอดบทเรียนเพือ่ พัฒนาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินและชุมชน 2-6
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พืน้ ฐานเก่ยี วกบั เมอื งอัจฉรยิ ะ การเมือง และกลุ่มธุรกิจเอกชน อาทิ กลุ่มบริษัทห้างร้านในพื้นท่ี หอการค้า และหน่วยงานวิจัยในระดับพื้นที่ เช่นมหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่างๆ ซ่ึงในกรณีของประเทศไทยนั้นแม้จะมีการจัดตั้งองค์กรกลางข้ึนมาดูแลด้าน การพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะเป็นการเฉพาะ แต่ยังไม่เห็นการสร้างความร่วมมือในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับเมือง (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ทั้งน้ีประเมินบนฐานคติท่ีว่าองค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถน่ิ เปน็ หนว่ ยบริหารราชการท่ีสัมผสั กับพืน้ ท่ีมากทีส่ ุด และสามารถขบั เคล่อื นการแก้ไขปัญหาและการ พัฒนาอยา่ งเป็นรปู ธรรมได้มากท่ีสดุ 2.3.2 หน่วยงานภาครัฐที่เกีย่ วข้องกับการพัฒนาสเู่ มอื งอจั ฉริยะ 2.3.2.1 กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร มอี านาจหนา้ ท่เี กย่ี วกบั การวางแผน สง่ เสริม พัฒนา และดาเนินกจิ กรรมเกย่ี วกบั เทคโนโลยี สารสนเทศ และการสอื่ สาร การอตุนิยมวทิ ยา และการสถติ ิ และราชการอนตามท่ีมกี ฎหมาย กาหนดให้ เป็นอานาจหน้าทข่ี องกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือส่วนราชการท่ีสังกัดกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร พันธกิจ 1. เสนอแนะนโยบายและจัดทาแผนยุทธศาสตร์ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการ ส่ือสาร การ อตุ ุนิยมวทิ ยา การสถติ ิ และการเตือนภยั พบิ ตั ิ 2. พฒั นาและบริหารจัดการโครงขา่ ยสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศ ไปสู่ประชาชนอยา่ งทั่วถึงและ ประสทิ ธิภาพ 3. สง่ เสริม สนบั สนนุ การพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมดจิ ทิ ลั ดว้ ยการบูรณาการการใช้เทคโนโลยดี จิ ิทัล และขอ้ มลู สถติ ิ ในทกุ ภาคส่วนเพื่อการพฒั นาประเทศอยา่ งทัว่ ถงึ และมปี ระสิทธภิ าพ มีคณุ ธรรม จริยธรรม ถกู ตอ้ งเหมาะสม 4. ส่งเสรมิ สนับสนุนสงั คมดิจทิ ลั เพื่อพฒั นาประชาชนใหม้ คี วามรู้ ความสามารถในการประยุกต์ใช้ และ มูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยดี จิ ทิ ัล 5. ส่งเสรมิ และพฒั นาการอตุนยิ มวทิ ยา และการเตอื นภัยพิบตั ิอย่างบรู ณาการ ให้มีประสิทธิภาพ ทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ 6. สง่ เสรมิ สนับสนุนการวิจัย และพฒั นานวตั กรรมเพ่ือเพ่ิมศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมและ เศรษฐกจิ ดิจิทัล ยุทธศาสตร์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร ได้ดาเนินการจัดทายุทธศาสตร์กระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสอ่ื สาร (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2559-2562 โดยมสี าระสาคญั ดงั น้ี ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 1 : พฒั นาฐานรากเพอื่ เศรษฐกิจดจิ ทิ ลั โครงการวจิ ัยถอดบทเรียนเพ่อื พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ และชมุ ชน 2-7
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พืน้ ฐานเกย่ี วกบั เมอื งอัจฉริยะ ยทุ ธศาสตร์ท่ี 2 : พัฒนาและสง่ เสรมิ เศรษฐกจิ ดจิ ิทัล ยุทธศาสตร์ที่ 3 : พัฒนาสังคมดจิ ิทัลเพอ่ื ยกระดบั คณุ ภาพชีวติ ประชาชน ยุทธศาสตรท์ ี่ 4 : ส่งเสรมิ และเพิม่ ประสิทธภิ าพ ICT เพอบรหิ ารจัดการอุตนุ ยิ มวิทยาและการเตือนภัย ตอ่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภมู อิ ากาศ (Climate Change) โดยมสี านกั งานรฐั บาลอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (องค์การมหาชน) และสานักงานพัฒนาธรกรรมอเล็กทรอนิกส์อยู่ ภายใต้การกากับดแู ลของกระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอสาร 2.3.2.2 สานักงานส่งเสรมิ อตุ สาหกรรมซอฟต์แวร์แหง่ ชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA SIPA เป็น หนว่ ยงานภายใต้การกากบั ดูแลของรฐั มนตรี วาการกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร โดยมีวัตถุประสงค์การจัดต้ังสานักงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดต้ัง สานักงาน ซ่ึงสานักงานจะต้องดาเนินการเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การจัดต้ังสานักงาน ท่ีกาหนด ไว้ มรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี วางแผนและกาหนดนโยบายดา้ นการ • พฒั นาอตุ สาหกรรมซอฟต์แวรข์ องประเทศ ให้สอดคลอ้ งกับแผนแม่บทเทคโนโลยี สารสนเทศและการ สื่อสารส่งเสริมอุตสาหกรรม ซอฟตแ์ วรโ์ ดยมุง่ เนน้ การสนับสนุนการพัฒนา อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ของประเทศ การพฒั นาบุคลากร การตลาด การลงทุน กระบวนการผลติ และการใหบ้ ริการทไ่ี ด้ มาตรฐานสากลรวมถึงการสรา้ งแรงจูงใจ ในการลงทนุ ทางด้านอตุ สาหกรรม ซอฟต์แวรโ์ ดยการ เสนอแนะมาตรการ ทางด้านภาษี และสทิ ธปิ ระโยชนต์ ่างๆ ตอ่ คณะรฐั มนตรี • สนบั สนนุ การค้นควา้ วจิ ัย การถา่ ยทอดเทคโนโลยีและจัดใหม้ ีกฎ ระเบยี บ และมาตรการ ที่จาเปน็ ต่อ การสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรม ซอฟตแ์ วรส์ ง่ เสรมิ ให้เกดิ การคุ้มครองและจดั ให้มกี ฎ ระเบียบ และมาตรการ ทจ่ี าเปน็ ตอ่ การส่งเสรมิ อตุ สาหกรรม ซอฟตแ์ วร์เปน็ หน่วยงานหลกั ในการ ประสานงานและแกป้ ัญหา เก่ียวกับการดาเนินการทางด้าน อตุ สาหกรรมซอฟตแ์ วรใ์ หม้ ีบริการแบบ เบด็ เสรจ็ พนั ธกิจ 1. ส่งเสริม การเงนิ การลงทุนและสทิ ธปิ ระโยชนท์ างภาษใี หก้ ับผปู้ ระกอบการซอฟต์แวร์ 2. ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้ประกอบการพฒั นาซอฟตแ์ วร์ทสี่ อดคล้องกับความต้องการของภาคเศรษฐกจิ หลกั ของประเทศ 3. พัฒนา ศกั ยภาพบคุ ลากร ดา้ นซอฟต์แวร์ ให้ มีทกั ษะ ที่ สงู และตรง กบั ความ ตอ้ งการของ ผปู้ ระกอบการ ซอฟตแ์ วรใ์ นภาคอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ 4. การส่งเสริมใหธ้ รกจิ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก (SMEs) ในประเทศใชซ้ อฟตแ์ วร์ในการบรหิ าร โครงการวิจยั ถอดบทเรยี นเพ่อื พฒั นาการบรกิ ารสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ และชมุ ชน 2-8
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกบั เมืองอจั ฉรยิ ะ จัดการเพอ่ื เพ่ิมศักยภาพธรุ กิจ 5. ส่งเสรมิ ใหเ้ กิดความร่วมมือทัง้ ดา้ นการตลาดและการพัฒนาซอฟต์แวร์/บรกิ ารซอฟต์แวร์ ระหวา่ ง ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยกบั ผปู้ ระกอบการซอฟต์แวร์ ต่างชาติ 6. ส่งเสริมใหเ้ กิดการวจิ ัยดา้ นผลิตภณั ฑห์ รอื บรกิ ารซอฟต์แวรแ์ ละผลักดันใหเ้ กิด การนาผลงานวิจยั มาต่อยอดทางธุรกิจ 7. ส่งเสรมิ ให้เกิดการคุม้ ครองทรัพยส์ นิ ทางปัญญาในผลิตภณั ฑ์และบริการซอฟตแ์ วร์ที่คดิ คน้ โดย ผ้ปู ระกอบการไทย และใหบ้ ริการแกไ้ ขปญั หาแบบเบด็ เสรจ็ 2.3.2.3 สานกั งานนวตั กรรมแหง่ ชาติ (องค์การมหาชน) หรอื NIA สานกั งานนวัตกรรมแห่งชาติ (องคก์ ารมหาชน) ได้สร้างแนวทางในการดาเนนิ งานเพื่อพัฒนา โครงการนวัตกรรมในรูปแบบต่างๆ โดยมีเป้าหมายในการเปล่ียนห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เป็น ห่วงโซม่ ูลค่า (value chain) บนฐานความได้เปรยี บในการแขง่ ขนั ของประเทศ NIA. ตระหนักเป็นอย่างดีวา ปัจจัยสาคัญท่ีจะทาให้ “นวัตกรรม” เกิดผลสาเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ประกอบดว้ ยปัจจัยด้านความเป็นผู้ประกอบการ และปัจจัยด้านความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงองค์ความรู้ ทางด้านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีดังนั้น NIA. กาหนดแนวทางการพัฒนานวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) โดยการนาองค์ความรู้จากหน่วยงานวิชาการทั้งหมดท้ังในและต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ และเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนท้ังในระดับส่วนกลางและส่วนภูมิภาคผ่านเครือข่ายธรกิจ นวตั กรรม เพ่อื การรังสรรคน์ วัตกรรมที่เหมาะสมและมีศกั ยภาพตอ่ อตุ สาหกรรมของประเทศ พันธกจิ NIA มีพันธกิจในการ “ดาเนินกิจกรรมเพื่อเร่งรัดให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมในภาคการผลิต ภาครัฐ และภาคสังคมโดยรวมอยา่ งเปน็ ระบบและย่งั ยนื ” ภายใตก้ ารดาเนนิ งานดังต่อไปน้ี 1. ยกระดับความสามารถด้านนวตั กรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะในสาขาอตุ สาหกรรม ยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยการวิเคราะห์และประเมินสถานภาพของอุตสาหกรรมและศักยภาพของ นวัตกรรม ตลอดจนการแสวงหาเทคโนโลยีท่ีก้าวหน้าและพัฒนานวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งใน ระดับประเทศและนานาชาติ 2. เชื่อมโยงเครือข่ายวิสาหกิจอย่างบูรณาการ โดยให้การสนับสนุนทั้งทางด้านวิชาการและ การเงิน และเปน็ หนุ้ ส่วนพนั ธมติ รในการดาเนนิ งานท้งั ในระดับนโยบายและปฏบิ ัติ อันจะนาไปสู่การสร้างใหเ้ กดิ “ระบบนิเวศนวตั กรรมแหง่ ชาติ” ขนึ้ โดยเร็ว โครงการวิจยั ถอดบทเรยี นเพ่อื พฒั นาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นและชมุ ชน 2-9
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พนื้ ฐานเก่ยี วกบั เมอื งอัจฉริยะ 3. สนับสนุนด้านวิชาการและการเงิน เพื่อช่วยการพัฒนาโครงการในระยะหลังการวิจัยและ พัฒนาหรือการต่อยอดจากงานวิจัยและส่ิงประดิษฐ์สู่เชิงพาณิชย์ ได้แก่ การสนับสนุนการจัดทา ผลิตภัณฑ์ต้นแบบโครงการ หรือโรงงานนาร่อง การทดสอบในกระบวนการผลิตจริง เพ่ือการวิเคราะห์ และประเมนิ ทางการตลาดและการจัดทาแผนธุรกจิ เป็นตน้ 4. สนับสนุนการยกระดบั ทกั ษะความสามารถดา้ นเทคนิคและการบ ริหารจัดการ ได้แก่ การจัด จา้ งผู้เชีย่ วชาญ การจดั การประชุมและสัมมนา และการพัฒนาความใฝ่รู้ 5. ส่งเสริมเพ่ือสร้างความตื่นตัวด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพ่ือให้เกิดวัฒนธรรมนวัตกรรม ทั้งในระดับอตุ สาหกรรม ระดับองค์กร และระดบั ประชาชนท่วั ไป กลยทุ ธ์การดาเนินงาน NIA ได้มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของตนเองไปสู่องค์กรเพื่อการสนับสนุนธุรกิจอย่างจริงจัง ซ่ึงสอดคลอ้ งกับพันธกิจของ NIA ท่ีจะมุ่งเน้นการพัฒนาให้เกิดการสร้างระบบการสนับสนุนภาคเอกชน ท่ีเหมาะสม การสร้างความตน่ื ตัวของการพฒั นานวัตกรรมสาหรับประเทศไทย รวมถึงมุ่งหวงให้เกิดการ พฒั นาระบบนเิ วศนวัตกรรมแห่งชาติท่ีย่ังยืน ดังนั้นเพ่ือเป็นแนวทางการขับเคล่ือนระบบนวัตกรรมของ ประเทศให้เกดิ ผลเป็นรูปธรรม กลยุทธก์ ารดาเนินงานของ NIA จงึ ประกอบด้วย 3 แผนหลัก 6 แผนงาน ได้แก่ 1. แผนยกระดับนวัตกรรม ประกอบด้วย 2 แผนงาน ได้แก่ แผนงานที่ 1 การพัฒนาโครงการ นวัตกรรมเชิงยทุ ธศาสตร์ ( Strategic Innovation Programme) ซึ่งจะเป็นอุตสาหกรรมคล่ืนลูกใหม่ ( new wave industry) เพื่ออนาคต ประกอบด้วย อตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics Industry) และธรกิจเกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture Business) แผนงานท่ี 2 การพัฒนา โครงการนวัตกรรมรายอุตสาหกรรม (Sectoral-Industry Innovation Programme) โดยแบ่ง ออกเป็น 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจชีวภาพ (Bio-Business) กลุ่มอุตสาหกรรมเชิงเศรษฐ นเิ วศ (Eco-Industry) และกลมุ่ การออกแบบและการแก้ไขปญั หา (Design & Solutions) 2. แผนส่งเสริมวัฒนธรรมนวัตกรรม ประกอบด้วย 2 แผนงาน คือ แผนงานท่ี 3 การพัฒนา ความใฝ่รู้ได้แก่ การฝึกอบรมสัมมนาและหลักสูตรการจัดการนวัตกรรมในมหาวิทยาลัยต่างๆ และ แผนงานที่ 4 การส่งเสริมความสาเร็จด้านนวัตกรรม เช่น รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ และรางวัล นวัตกรรมขาวไทย เป็นต้น ซึ่งแผนส่งเสริมวัฒนธรรมนวัตกรรมนี้จะเป็นการสร้างทุนทางสังคม (social capital) โดยตรง ซ่ึงจะน าไปสู่การพัฒนาที่ย่ังยืนได้อย่างแท้จริง เพราะการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม ให้แพร่หลาย จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการต่ืนตัวท้ังในภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ในการเพิ่มมูลค่า ผลผลิตด้วยฐานความรู้ เพ่ือปรับตัวไปสู่การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกบนพ้ืนฐาน ของนวตั กรรม 3. แผนสรา้ งองค์กรและระบบนวตั กรรม ประกอบดว้ ย 2 แผนงาน คอื แผนงานที่ 5 การพัฒนา องค์กรนวัตกรรม และแผนงานที่ 6 นโยบายและระบบนิเวศนวัตกรรมแห่งชาติ ระบบบริหารจัดการ โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี นเพื่อพัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ และชมุ ชน 2-10
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พนื้ ฐานเกีย่ วกับเมืองอัจฉริยะ ทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งการก่อสร้าง “อุทยานนวัตกรรม ( Innovation Park)” ซ่ึงแผนงานพัฒนา องค์กรนวัตกรรมจะประกอบด้วยระบบการบริหารสานักงาน ซึ่งจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งภายใน NIA เองในการเป็นองค์กรนาเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมของประเทศในเชิงระบบแผนกลยุทธ์ ดังกล่าวพบวา่ แผนทุกแผนจะมีส่วนสนับสนุนซ่ึงกนและกันและมีความสอดคล้องกัน โดยมีเป้าหมายใน การสนับสนุนและพัฒนาโครงการนวัตกรรม การส่งเสริมความรู้และความต่ืนตัว ตลอดจนการสร้าง ความเข้มแขง็ ด้านนวัตกรรมของประเทศ 2.3.2.4 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronics and Computer Technology Center, NECTEC) NECTEC เป็นหน่วยงานภายใต้สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้ังอยู่ท่ีอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี โดยมี หน้าที่หลักในการดาเนินการวิจัย ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยในภาครัฐ รวมถึงการบริการเพื่อพัฒนา เสรมิ สรา้ งอุตสาหกรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ คอมพวิ เตอร์ โทรคมนาคมสารสนเทศ วสิ ัยทัศน์ เป็นองค์กรวิจัยที่ดาเนินการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อสร้างผลงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ มีความ เปน็ เลศิ ซ่ึงสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตลอดจนภูมภิ าค พนั ธกจิ ดาเนินการวิจัย พัฒนา ออกแบบ วิศวกรรม และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และ คอมพิวเตอร์ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากร ตลอดจนเสริมสร้างโครงสร้างพ้ืนฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการ สร้างความเขม้ แขง็ ให้แก่เศรษฐกิจ สงั คม และชุมชนของประเทศ กลยทุ ธ์การดาเนนิ งาน 1. สร้างความแตกต่างของผลงานและการประยกุ ต์ใชง้ านก่อนนาไปสู่ความเป็นเลิศในด้านนั้น 2. ให้ความสาคัญกับโครงการภายใต้ Flagship ของเนคเทค ได้แก่ Smart Health, Smart Farm, Digitized Thailand และ Smart Service 3. รเิ รม่ิ ให้มกี ารพัฒนาเทคโนโลยที ีจ่ ะมีความสาคญั ในอนาคตในสัดสว่ นทเี่ หมาะสมอย่างต่อเนื่อง 4. สื่อสารกลยุทธ์เพ่ือให้เกิดความเข้าใจทั้งระดับนโยบาย ระดับผู้รับประโยชน์ (Stakeholder) และ ระดบั องค์กร โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี นเพือ่ พฒั นาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ และชุมชน 2-11
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พื้นฐานเกย่ี วกบั เมอื งอจั ฉริยะ ภารกิจหลักของศนู ยเ์ ทคโนโลยีอเิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ ละคอมพวิ เตอร์แหง่ ชาติ 1. ดาเนินการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมจากระดับห้องปฏิบัติการถึงขั้นโรงงานต้นแบบ ทั้งในด้านการ สร้างขีดความสามารถและศกั ยภาพในสาขาเทคโนโลยีอิเลก็ ทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ 2. วิเคราะห์ สนับสนุน และติดตามประเมินผลโครงการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมของภาค รัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างความสามารถและศักยภาพในสาขาเทคโนโลยี อิเลก็ ทรอนิกส์และคอมพวิ เตอร์ 3. รว่ มให้บริการวเิ คราะห์และทดสอบคณุ ภาพผลิตภณั ฑ์ การสอบเทียบมาตรฐานและความถูกต้องของ อปุ กรณ์ การใหบ้ รกิ ารข้อมลู และการให้คาปรกึ ษาทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. ร่วมจดั การฝึกอบรมและพฒั นาบคุ ลากร รวมทงั้ ให้คาปรึกษาทางวิชาการ 5. ส่งเสริมและจัดให้มีความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและนักวิชาการในสถาบันและหน่วยงานต่างๆท้ัง ภายในประเทศและต่างประเทศ 6. สนบั สนนุ ประสานงาน และดาเนนิ การดา้ นความร่วมมอื ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นการ นาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใชใ้ นการพฒั นาอตุ สาหกรรมภายในประเทศ 2.3.3 การพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะตามแนวทางแผนยุทธศาสตร์กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการ สอื่ สาร จากการวิเคราะห์ตัวแสดงสาคัญท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะข้างต้นจะเห็นได้ ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือกระทรวง ICT เป็นตัวแสดงท่ีมีความสาคัญมากใน กระบวนการพัฒนา เนื่องจากมีบทบาทสาคัญท้ังในด้านการถ่ายทอดนโยบายจากรัฐบาลกลางสู่ หนว่ ยงานที่เก่ียวข้อง ในรูปแบบของการกาหนดแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศ (แผนแม่บท ICT) ซ่ึง เป็นแนวทางหลกั ทกี่ าหนดแนวการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานภาครัฐซ่ึงแน่นอนว่า ครอบคลุมไปถึงแนวการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะเนื่องจาก การพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะมีหัวใจสาคัญอยู่ท่ี การวางรากฐานด้านระบบเทคโนโลยี และการปรับใชร้ ะบบเทคโนโลยีเพอื่ การบรหิ ารจดั การเมอื ง โดยแนวนโยบายของกระทรวง ICT ท่ีมีความสาคัญและเก่ียวข้องกับการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะ ประกอบด้วย 2.3.3.1 นโยบายเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร พ.ศ. 2554 -2563 ของประเทศไทย (ICT 2020) กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทา กรอบนโยบาย เทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร พ.ศ. 2554 - 2563 ของประเทศ (ICT 2020) ซ่ึงสานักงานฯ อยู่ ภายใต้การกากับดูแลของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สานักงานฯ ได้เข้าไปมสี ่วนรว่ มและกาหนดกรอบใน การจัดทาแผน และนากรอบนโยบายดังกล่าวมาเป็นแนวทางใน โครงการวิจัยถอดบทเรยี นเพอื่ พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ และชุมชน 2-12
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคิดพืน้ ฐานเก่ียวกับเมอื งอจั ฉรยิ ะ การส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ซ่ึงกรอบนโยบาย ได้มีการกาหนดแผนยุทธศาสตร์ออกเป็น 7 ยุทธศาสตรซ์ ่ึงประกอบดว้ ย 1) พัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานด้าน ICT ที่เป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือการสื่อสารรูปแบบ อื่นที่เป็น Broadband ให้มีความทันสมัย มีการกระจาย อย่างท่ัวถึง และมีความมั่นคงปลอดภัย สามารถรองรบั ความต้องการของภาคส่วนตา่ ง ๆ ได้ 2) พัฒนาทุนมนุษย์ท่ีมีความสามารถ ในการสร้างสรรค์และใช้สารสนเทศอย่างมี ประสิทธภิ าพมีวจิ ารณญาณและรเู้ ท่าทันรวมถงึ พฒั นาบุคลากร ICT ท่ีมี ความรู้ความสามารถและความ เชี่ยวชาญระดบั มาตรฐานสากล 3) ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ อุตสาหกรรม ICT เพ่ือสร้างมูลค่าทาง เศรษฐกจิ การเปดิ การคา้ เสรี และประชาคมอาเซียน 4) ใช้ระบบ ICT เพื่อสร้าง นวัตกรรมการบริการของภาครัฐที่สามารถให้บริการประชาชน และธุรกิจทุกภาคสว่ นได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพมีความ มน่ั คงปลอดภยั และมีธรรมาภบิ าล 5) พัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบ ICT เพื่อสร้างความเข้มแข็งของภาคการผลิตให้สามารถถึง ตนเองและแข่งขันได้ในระดบั นานาชาติ 6) พัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบ ICT เพื่อลดความเหล่ือมล้าทางเศรษฐกิจและ สังคม โดย สร้างความเสมอภาคของโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการสาธารณะสาหรับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะบริการพ้นื ฐานทจี่ าเป็นตอ่ การดารงค์ชีวติ อยา่ งมสี ขุ ภาวะท่ดี ี ได้แก่ บริการด้านการศึกษาและ บรกิ ารสาธารณสุข 7) พัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบ ICT เพ่ือสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมท่ีเป็นมิตร กบั ส่ิงแวดล้อม สานักงาน ฯ จะต้องมีการกาหนดแผนยุทธศาสตร์ท่ีมีความสอดคล้องกับกรอบนโยบาย ดังกล่าว และเป็น กาลังสาคัญในการผลักดันกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของ ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ 2.3.3.2 แผนปฏบิ ัตกิ ารกระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร (พ.ศ. 2557 - 2560) สานักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) ได้ร่วมกับกระทรวง เทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร พร้อมกับหน่วยงานในสังกัดภายใต้กระทรวง เพ่ือจัดทาร่าง แผนปฏิบัติการของกระทรวง ร่วมกันซึ่งหน่วยงานภายใต้กระทรวงฯ จะต้องดาเนินการตามท่ีได้มีการ กาหนดแผนไว้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ กระทรวง ฯ โดยได้มีการกาหนดแผนยุทธศาสตร์ ออกเป็น 6 ยุทธศาสตรป์ ระกอบด้วย ยทุ ธศาสตร์ท่ี 1 พฒั นาโครงสรา้ งพื้นฐาน ICT ให้ทันสมัย - สง่ เสริมและพฒั นาโครงขา่ ยโทรคมนาคมและอนิ เทอร์เน็ตความเร็วสูงใหค้ รอบคลมุ ทั่วประเทศ - สง่ เสรมิ และพฒั นาระบบ/เครอื ข่ายศนู ยบ์ รกิ าร โครงการวิจยั ถอดบทเรยี นเพอื่ พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ และชมุ ชน 2-13
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พน้ื ฐานเก่ียวกับเมืองอัจฉรยิ ะ - พัฒนาข้อมูลสถิติและสารสนเทศภาครัฐให้มีมาตรฐานสามารถบูรณาการและเช่ือมโยงได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาและส่งเสริมการนา ICT ไปใช้ในการบริหารจัดการเพ่ือการพัฒนาประเทศอย่าง บูรณาการและยั่งยืน - สง่ เสรมิ และพฒั นาการใช้ ICT ในการบรหิ ารจัดการและบริการของภาครัฐ - สร้างความตระหนัก ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ ICT ของทุกภาคส่วน รวมท้ังผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ และ ผสู้ ูงอายุ เพือ่ สนับสนุนการเรยี นรตู้ ลอดชีวิตอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละมีวจิ ารณญาณ - พฒั นา สง่ เสริม และสร้างความเชอื่ ม่นั ในการทาธุรกรรมทางอเิ ลก็ ทรอนกิ สส์ าหรับทุกภาคส่วน - พฒั นาการใช้ ICT ในการปอ้ งกนั และปราบปรามและสืบสวน สอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี - พัฒนาความรู้ความเข้าใจแก่ภาคเอกชนและประชาชนในอานาจหน้าที่ของข้าราชการตารวจและ พฒั นาการให้บรกิ ารประชาชนอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ยุทธศาสตร์ที่ 3 สง่ เสรมิ และสนบั สนุนอตุ สาหกรรม ICT เพื่อแข่งขนั ได้ในระดบั สากล - สง่ เสริมและพัฒนาอตุ สาหกรรม ICT เพือ่ ยกระดบั ศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ICT - สร้างกลไกในการผลกั ดนั ให้ผู้ประกอบการสินค้าและบริการ ICT ไทยมมี าตรฐานสากล - ส่งเสรมิ และสนับสนนุ การวิจัยและพฒั นาเพื่อยกระดับอตุ สาหกรรม ICT ไทย - ส่งเสริม พัฒนาบุคลากร/ผู้ประกอบการด้าน ICT ไทยให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน และ/หรือ ตรงกับ ความตอ้ งการของภาคอุตสาหกรรม ICT - ส่งเสรมิ และสนบั สนนุ การดาเนนิ งาน/ กิจกรรมเพ่อื เข้าสกู่ ารเป็นประชาคมอาเซยี น ยุทธศาสตรท์ ่ี 4 สง่ เสรมิ และพัฒนานโยบายด้าน ICT และพฒั นาบุคลากรใหม้ ีศักยภาพ - พัฒนาและปรับปรุงนโยบาย แผน กฎหมายและมติ ครม. กฎระเบียบ มาตรการให้ทันต่อเทคโนโลยี และมคี วามม่นั คงปลอดภยั ตลอดจนมีการบงั คับใชแ้ ละนาไปสู่การปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ - ส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรด้าน ICT มีความรู้ความสามารถในระดับมาตรฐาน สามารถใช้ ICT ได้ อย่างมีประสิทธภิ าพ - ส่งเสริมการดาเนนิ งานด้าน ICT ในเวทรี ะหวา่ งประเทศ ยุทธศาสตรท์ ่ี 5 การพฒั นาประสทิ ธิภาพการบริหารราชการแผ่นดนิ - สร้างองคค์ วามรู้ในการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ - พฒั นาปรบั ปรงุ ปลกุ จติ สานกึ ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรมของบคุ ลากรในองคก์ ร - สง่ เสรมิ การดาเนินชวี ิตตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการวิจยั ถอดบทเรยี นเพอ่ื พฒั นาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ และชุมชน 2-14
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพ้ืนฐานเกยี่ วกบั เมืองอัจฉริยะ ยุทธศาสตร์ที่ 6 ส่งเสริมและเพ่ิมประสิทธิภาพ ICT เพื่อการบริหารจัดการอุตุนิยมวิทยาและการเตือน ภัยตอ่ การเปลยี่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ (Climate Change) - ส่งเสริมการนาระบบ ICT มาใช้ในการบริหารจัดการ และการให้บริการด้านอุตุนิยมวิทยาและการ เตอื นภยั พิบัติ - พัฒนาระบบการเฝ้าระวังการพยากรณ์อากาศ การจาลองสถานการณ์ เพื่อการเตือนภัยให้มี ประสิทธภิ าพ - พัฒนาระบบสื่อสารและการเผยแพร่ข้อมูลไปสู่ผู้ใช้บริการให้สามารถใช้งานได้ท้ังภาวะปกติและภาวะ วกิ ฤต - สง่ เสริมและสนบั สนนุ การใหค้ วามร้แู ละการสร้างเครือข่ายด้านอุตุนิยมวิทยาและการเตือนภัยพิบัติแก่ ประชาชน - สง่ เสริมและสนบั สนุนการฝึกซ้อมเพ่ือเตรียมความพร้อมปอ้ งกันภัยพบิ ัติ 2.3.4 แนวนโยบายประเทศไทยอจั ฉริยะ Smart Thailand โครงการ Smart Thailand ได้เร่ิมเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน จากยุทธศาสตร์ตาม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) และแผนแม่บทเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับท่ี 2 ของประเทศไทย (พ.ศ.2552-2556) ได้วางแนวทางหลักในการ พฒั นา ICT ของประเทศไทย ไดแ้ ก่ การพฒั นาโครงสรา้ งพืน้ ฐานดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศให้ครอบคลุม พืน้ ทท่ี ั่วประเทศ และพฒั นาบริการภาครฐั ผา่ นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือสร้างโอกาสให้ประชาชน สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างท่ัวถึงและเท่าเทียม ดังนั้น เพ่ือให้เกิดโครงการท่ีเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการริเร่ิมและผลักดัน โดยมีหน่วยงานหลัก คือ สานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. ในการจัดทาโครงการ Smart Province (จังหวัดอัจฉริยะ) ข้ึน (ซึ่งเป็นต้นแบบของ Smart City) โดยถือเป็นนโยบายเร่งด่วน ภายใต้ แนวคิดการพัฒนาประเทศไปสู่ Smart Thailand ซ่ึงประกอบไปด้วย Smart Network, Smart Government และ Smart Business โดยในระยะแรกของโครงการน้ีได้กาหนดให้จังหวัดนครนายก เป็นต้นแบบของจังหวัดท่ีจะดาเนินการให้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อมุ่งสู่การเป็น “Smart Province” เน่ืองจากความเหมาะสมของขนาดพ้ืนท่ีจังหวัดและความพร้อมทั้งด้านสถานท่ีราชการ สถานท่ีท่องเที่ยว การเกษตร และจะขยายผลไปสู่จังหวัดอ่ืนๆ ต่อไป โดยสาหรับแผนแม่บทเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 2 ของประเทศไทย (พ.ศ.2552-2556) สรปุ สาระสาคญั ได้ดังนี้ 1) วสิ ัยทัศน์ “ประเทศไทยเปน็ สงั คมอุดมปัญญา (Smart Thailand)” โครงการวิจยั ถอดบทเรียนเพือ่ พฒั นาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ และชมุ ชน 2-15
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคิดพ้ืนฐานเก่ยี วกบั เมอื งอัจฉรยิ ะ 2) พันธกิจ พัฒนากาลังคนให้มีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอ พัฒนาโครงข่ายสารสนเทศ และการส่อื สารความเรว็ สงู พัฒนาระบบบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีธรรมาภิ บาล 3) วัตถุประสงค์ เพื่อเพ่ิมปริมาณและศักยภาพของกาลังคน เพ่ือสร้างธรรมาภิบาลในการบริหาร จัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพ่ือสนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อเสริมสร้าง ความ เข้มแข็งของชุมชน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สือ่ สาร 4) ยุทธศาสตร์ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารตามแผนแม่บทเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ฉบบั ที่ 2 มี 6 ยทุ ธศาสตร์ ดงั นี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนากาลังคนด้าน ICT และบุคคลท่ัวไปให้มีความสามารถในการ สร้างสรรค์ ผลติ และใชส้ ารสนเทศอยา่ งมวี ิจารณญาณและรเู้ ทา่ ทนั ยุทธศาสตร์ที่ 2 บริหารจัดการ ICT ของประเทศอย่างมีธรรมาภิบาล (National ICT Governance) ยุทธศาสตรท์ ่ี 3 พัฒนาโครงสร้างพ้นื ฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ยทุ ธศาสตร์ท่ี 4 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนให้เกิดธรรมาภิบาลใน การบรหิ ารและบริการของภาครัฐ (e-Governance) ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 5 ยกระดับความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่อื สารเพ่ือสรา้ งมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายไดเ้ ขา้ ประเทศ ยุทธศาสตร์ท่ี 6 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพ่ือเพ่ิมขีดความสามารถในการ แข่งขันอย่างยัง่ ยนื โดยมกี ารจัดทาโครงการ Smart Thailand ประกอบด้วยกจิ กรรมหลักท่สี าคญั ได้แก่ 1. กิจกรรม Smart City หรือ Smart Province ซึ่งได้ดาเนินการนาร่องที่จังหวัดนครนายก โดยจะทาให้เกิดการบริหารงานราชการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บริการข้อมูลที่จาเป็นสาหรับ ประชาชนในระดับท้องถิ่น 2. กิจกรรม Smart Citizen Info. (การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริการภาครัฐโดยใช้ ประโยชน์จากบัตรประจาตัวประชาชน) ซ่ึงเป็นการใช้ประโยชน์จาก Smart Card ตามนโยบายของ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) โดยเป็นระบบท่จี ะชว่ ยให้นาบัตรประชาชนแบบ Smart Card มาใชบ้ ริการอเิ ลก็ ทรอนิกส์ภาครัฐได้ เป้าหมายโครงการ Smart Thailand โครงการวิจัยถอดบทเรยี นเพือ่ พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ และชมุ ชน 2-16
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พืน้ ฐานเกี่ยวกบั เมอื งอัจฉรยิ ะ 1) ประชาชนได้รับความสะดวกและรวดเร็วในการตรวจสอบข้อมูลการให้บริการและ สนับสนุนความชว่ ยเหลอื ตามมาตรการตา่ งๆ รวมถึงข้อมลู สิทธิท่ีตนพึงได้รับจากบริการภาครัฐผ่านบัตร ประจาตัวประชาชน (Smart Card) ผ่านศูนยบ์ ริการรว่ มโครงการ Smart Citizen Info. 2) ประชาชนสามารถทาธรุ กรรมหรือขั้นตอนทางราชการต่างๆ ด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ ให้ เปน็ ไปดว้ ยความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ณ จุดบริการครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) 3) สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของระบบ บรกิ ารภาครฐั แบบบูรณาการผา่ นระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกลางภาครัฐ Smart Thailand ประกอบดว้ ย 1) Smart Network เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายสู่พื้นที่ห่างไกลเพ่ือลดความเหลื่อมล้าทาง ดิจิทัลโดยจัดทาโครงสร้างพ้ืนฐานของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เน้นเทคโนโลยีการเช่ือมต่อ ผ่านสายเคเบิลใยแก้วนาแสงเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายในการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ ครอบคลุมประชากรร้อยละ 80 ในอกี 3 ปขี า้ งหน้า และร้อยละ 95 ภายในปี 2563 การขยายโครงข่าย จะแบ่งเปน็ ๒ ระยะ คือ เฟสแรก พ.ศ.2555-2558 เนน้ การปรบั เปล่ียนอปุ กรณ์ของโครงขา่ ยทม่ี ีอยแู่ ล้ว เฟสสอง พ.ศ.2559-2563 ลงทุนติดต้งั โครงขา่ ยใยแก้วนาแสงเพ่ิมเติมไปยงั พนื้ ท่ีทีย่ ังไม่มี โดยเฉพาะภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการที่ดาเนินการ : โครงการ ICT Free WIFI และ PTT Free WIFI by TOT 2) Smart Government เป็นการลงทุนภาครัฐและเพ่ิมประสิทธิภาพในการให้บริการ ประชาชน โดยส่งเสริมบริการและธุรกรรมออนไลน์ของหน่วยงานภาครัฐบาล ซึ่งในข้ันแรกจะเน้น บริการพนื้ ฐานทเี่ ป็นประโยชน์ต่อประชาชนอยา่ งทว่ั ถึงและลดความเหล่ือมล้า ได้แก่ 1. บริการ Smart-Education เป็นการพัฒนาและส่งเสริมการขยายโครงข่ายการให้บริการ ศกึ ษาไปยงั โรงเรียนในพน้ื ทห่ี า่ งไกล 2. บรกิ าร Smart-Health เป็นโครงการพัฒนาระบบการรกั ษาพยาบาลทางไกลผ่านโครงข่าย อินเทอรเ์ นต็ ความเร็วสูง 3. บริการ Smart-Government เป็นโครงการเพ่ิมช่องทางการให้บริการทะเบียนราษฎร์ ออนไลนโ์ ดยขยายการใหบ้ รกิ ารภาครัฐผ่านโครงข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตความเรว็ สงู 4. บริการ Smart-Agriculture เป็นโครงการพัฒนาระบบศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลการเกษตร โดยให้บริการข้อมูลทางการเกษตรท่ีเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรผ่าน เคร่ืองคอมพิวเตอร์โครงการท่ี ดาเนินการ : โครงการพัฒนาเครอื ขา่ ยส่อื สารขอ้ มลู เชอื่ มโยงหนว่ ยงานภาครัฐ(GIN) โครงการวจิ ยั ถอดบทเรียนเพอื่ พัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ และชมุ ชน 2-17
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคิดพืน้ ฐานเก่ยี วกับเมืองอจั ฉริยะ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ในการดาเนนิ งาน ดังน้ี 1. เพ่ือมีเครือข่ายสารสนเทศภาครัฐท่ีเชื่อมต่อกระทรวง จนถึงระดับกรม เพ่ือให้รองรับ ปรมิ าณข้อมลู ขา่ วสารของรฐั ไมว่ า่ จะเปน็ เครือขา่ ย Prime Minister Operation Center : PMOC, Minister Operation Center : MOC, Department Operation Center : DOC 2. เพ่ือมีเครือข่ายสารสนเทศภาครัฐให้บริการแก่ประชาชนครอบคลุมพื้นท่ีท่ัวประเทศ เป็น โครงขา่ ยท่ที ันสมยั มีประสทิ ธิภาพ และมีความปลอดภยั สงู 3. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน Internet Gateway ของภาครัฐ โดยการจัดสรร Bandwidthให้เหมาะสมกบั การใช้งานของทางราชการ 4. เพอื่ ประหยัดงบประมาณคา่ เชา่ ใช้ Internet Gateway ของหนว่ ยราชการ 3) Smart Business เป็นการกาหนดนโยบายและมาตรการเพ่ือกระตุ้นประชาชนให้นา ICT มาใช้ทาธุรกิจ เช่น นโยบายสนับสนุนธุรกิจและอุตสาหกรรมด้าน ICT โดยเฉพาะในระดับ SME นโยบายการพัฒนางานอาชีพด้าน ICT ส่งเสริมการพัฒนาเน้ือหาอิเล็กทรอนิกส์และโปรแกรมประยุกต์ เปน็ ตน้ โครงการที่ดาเนินการ : ระบบทะเบียนกลางทางธุรกิจ (National e-Business Registry) เพ่ือแลกเปล่ียนข้อมูลในการทาธุรกรรมเชิงเศรษฐกิจระหว่างองค์กร และส่งเสริมให้ใช้มาตรฐานเป็น พ้ืนฐานรว่ มในหนว่ ยงานธรุ กจิ ตา่ งๆเพอื่ ทาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนกิ ส์ระหวา่ งกัน 2.3.5 แนวนโยบายจังหวดั อัจฉริยะ (Smart Provience) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นหน่วยงานสาคัญในการริเริ่มและผลักดัน เรื่อง Smart Province (จังหวัดอัจฉริยะ) โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 น.อ.อนุดิษฐ์ นาค รทรรพ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ในช่วงเวลานั้น) ได้ทาการลง นามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ Smart Province ระหว่าง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดนครนายก โดยกาหนดให้นครนายกเป็น จังหวัดนาร่องในโครงการดังกล่าวโดยการจัดทา “จังหวัดอัจฉริยะต้นแบบ” กระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร (ไอซีที) วางกรอบแนวทางและขอบเขตการดาเนินโครงการไว้ 3 แนวทาง คือ 1. ดาเนินการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ของนครนายก เพื่อเพิ่ม ประสิทธภิ าพการเข้าถงึ เทคโนโลยขี องผใู้ ช้งาน 2. ดาเนินการด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพอื่ ให้บริการประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทางานของเจ้าหน้าท่ีรฐั 3.ดาเนนิ การดา้ นให้บรกิ ารขอ้ มูลทจ่ี าเปน็ สาหรับประชาชนในระดับหมู่บ้าน โครงการวิจัยถอดบทเรียนเพ่ือพัฒนาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ และชุมชน 2-18
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พืน้ ฐานเกยี่ วกับเมอื งอจั ฉริยะ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธ์ิตามตัวช้ีวัด 5 ประการ คือ ผลผลิตมวลรวมเพ่ิมข้ึนรายได้ประชากรต่อหัวต่อปี เพ่ิมข้ึน การกระจายรายได้ของประชาชนดีข้ึน ความสุขมวลรวมของประชาชนดีขึ้น และค่าใช้จ่ายใน การบริหารจัดการภาครฐั ลดลง อนั สะทอ้ นถงึ ข้อดขี องการใชเ้ ทคโนโลยีมาพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ในการบรหิ ารจัดการไดเ้ ป็นอย่างดี กรอบแนวทางและขอบเขตการดาเนินโครงการ Smart Province 1) การดาเนนิ การด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ(IT Infrastructure)ของจังหวัด เพื่อเพ่มิ ประสิทธภิ าพการเข้าถงึ ของผูใ้ ช้งาน 2) การดาเนินการด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือให้บริการประชาชนและเพ่ิม ประสิทธภิ าพในการทางานของเจ้าหนา้ ทีร่ ฐั 3) การดาเนินการด้านการให้บริการข้อมูลที่จาเป็นสาหรับประชาชนในระดับหมู่บ้าน เพื่อ ให้บริการข้อมูลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโครงสร้าง พื้นฐานสารสนเทศได้อย่างทวั่ ถึงและสะดวกรวดเรว็ มากยงิ่ ขน้ึ ทงั้ นก้ี ารผลักดันโครงการ Smart Province ยงั เกิดขึน้ พร้อมกบั บริบทการที่หน่วยงานภาครัฐ พยายามผลักดันโครงการ \"Smart Government in Action\" ภายใต้แนวคิดการพัฒนาประเทศไปสู่ สมาร์ทไทยแลนด์ หรือ การอบรมรัฐบาลอิเล็กทรอนิกซ์ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสารท่ีจัดดาเนินการโดย สานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. ท่ีร่วมมือกับ สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ หรอื ก.พ.ร. ในช่วงปี พ.ศ. 2555-2556 ท้งั นก้ี รณีของจังหวดั นครนายกเปน็ โครงการท่ีถูกผลักดันจากนโยบายระดับประเทศเป็นหลัก ในขณะที่บางเมอื งหรือบางจังหวดั ก็มคี วามพรอ้ มและศกั ยภาพ เปน็ จุดดึงดูดใหเ้ กิดการผลักดันให้พัฒนา พื้นที่ดว้ ยพลงั ตนเอง เชน่ เชยี งใหม่ ภูเกต็ และขอนแก่น ซึ่งเคยเป็นจังหวัดนาร่องในการพัฒนาเป็นเขต เศรษฐกิจพิเศษต้ังแต่ในช่วงปีพ.ศ. 2546 ภายใต้การนาของรัฐบาลในสมัยนั้น โดยเฉพาะกรณีของ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งในช่วงปีพ.ศ. 2555 โครงการ Smart Province ท่ีได้ริเร่ิมใหม่น้ันได้เลือกจังหวัดภูเก็ต มาพัฒนาในโครงการด้วย ในกรณีของภูเก็ตน้ันมีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐาน และภาวะผู้นาของ ผู้บริหารในพื้นท่ีด้วย ตลอดทั้งบทบาททางเศรษฐกิจของภูเก็ตท่ีมีความสาคัญ ทั้งด้านการท่องเที่ยวที่ เติบโตของภูเกต็ ที่ทาให้มชี าวต่างชาตเิ ขา้ มาทาธรุ กจิ ท่รี องรบั การท่องเท่ียวเปน็ จานวนมาก จากศักยภาพข้างต้นของจังหวัดภูเก็ตกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (ไอซีที) ยัง สนับสนุนภูเก็ตในการสร้างสิ่งอานวยความสะดวกด้าน ICT ให้มีประสิทธิภาพ โดยมีการสร้างกาลังคน ศูนย์ถ่ายทอดที่ทันสมัย ศูนย์นวัตกรรม ศูนย์บ่มเพาะ และการเสริมแรงจูงใจทางภาษี การแก้ไข กฎหมาย การทาวีซ่าสาหรับชาวต่างชาติท่ีเข้ามาทางานได้สะดวกคล่องตัว รวมทั้งการเจรจากับบริษัท IT ระดับโลกเพ่อื ให้มีการจัดตัง้ สานักงานระดบั อาเซยี นในภเู ก็ต โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่ือสาร (ไอซีที) ยังได้ศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานและวางแผนจัดทาโครงการ Smart City นาร่องท่ีจังหวัด โครงการวจิ ัยถอดบทเรียนเพื่อพฒั นาการบรกิ ารสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ และชุมชน 2-19
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพนื้ ฐานเก่ียวกับเมืองอัจฉริยะ ภูเก็ต เนอ่ื งจากภูเกต็ เป็นเมืองที่มคี วามสมบรู ณท์ างทรัพยากรธรรมชาติและมชี ื่อเสียงระดับโลกด้านการ ท่องเที่ยว ท้ังยังมีความเหมาะสมในการเป็นสถานที่ทางาน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่ือสาร (ICT) ซึ่งจาเป็นต้องมีโครงสร้างพ้ืนฐาน ได้แก่ โครงข่ายการส่ือสารท่ีท่ัวถึง รวดเร็ว และมี ความเสถียรส่ิงเหล่าน้ีส่งผลให้ภูเก็ตกลายเป็นเมืองท่ีมีแรงดึงดูดในการพัฒนาเป็น Smart city ได้อย่าง รวดเรว็ และต่อเนือ่ ง ตัวอย่างโครงการและการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะ ที่ประสานงานร่วมมือกันระหว่างกระทรวง ICT SIPA และ NECTEC ไดแ้ ก่ • การพฒั นาระบบบูรณาการเช่อื มโยง CCTV การประมวลผลภาพเพื่อป้องกนั อาชญากรรมเชิงรุก • การพัฒนาระบบรายงานสภาพจราจรแบบ Real-Time และระบบบอกเวลารถเข้าปา้ ยในเขตเมือง • การพฒั นาระบบกวดขนั วินยั จราจร • การพัฒนาระบบบรหิ ารจัดการขยะ • การพฒั นาระบบศูนย์สงั่ การอจั ฉริยะ • การพัฒนาระบบเฝา้ ระวงั และเตือนภยั ธรรมชาติ • การพัฒนาระบบตรวจวดั สภาวะแวดลอ้ มแบบเครือข่าย โดยแต่ละกิจกรรมดังกล่าวได้ดาเนินการติดตั้งอุปกรณ์และเปิดใช้งานระบบเพ่ือเก็บข้อมูล ควบคู่ไปกับการปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับความต้องการและบริบทของพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พร้อมกันน้ีคณะทางานได้ร่วมกันหารือเก่ียวกับแผนและทิศทางการดาเนินงานในขั้นต่อไปเพื่อให้เกิด การพัฒนาท่ยี ่งั ยืน โดยจังหวัดภูเก็ตจะเริ่มต้นการพัฒนาสู่การเป็น Smart City ด้วยการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานของเครือข่ายการสื่อสารด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพ่ือให้รากฐานของการเชื่อมโยงข้อมูล และการเข้าถึงข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลายของความต้องการของประชา ชนและของรัฐ ตลอดจนส่งเสริมให้การขับเคล่ือนเร่ิมต้นอย่างแข็งแกร่ง ซ่ึงต่อจากนี้จะมีการพัฒนาโครงการรวม 3 โครงการ ไดแ้ ก่ 1. โครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อการขับเคล่ือนการลงทุนให้มี การเติบโตอย่างย่ังยืน ตามแนวคิด Smart Growth มีเป้าหมายในการจัดตั้งหน่วยงานเพ่ือกากับดูแล โครงการความร่วมมือน้ีในรปู แบบของสถาบนั นานาชาติเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมเพื่อผู้ประกอบการ รายใหม่ (International Creative and Innovation Entrepreneur Academy) 2. โครงการจัดตั้งสวนนวัตกรรม (Innovation Park) สาหรับสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัล (Super Cluster Digital) เพือ่ เป็นหน่วยงานสาคัญสาหรับการประสานงานการให้บริการและคาปรึกษา ด้านการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลทาหน้าท่ีศึกษาและพัฒนาระบบนิเวศน์และการศึกษาเชิงรุกเพื่อเป็น ตัวอย่าง (Ecosystem and Incentive Study and Roadshow) 3. โครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะให้แก่ประชาชนชาวภูเก็ตให้ครอบคลุมพื้นที่ เศรษฐกจิ และการทอ่ งเท่ยี ว โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี นเพือ่ พฒั นาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและชุมชน 2-20
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พ้นื ฐานเก่ียวกับเมอื งอัจฉริยะ ทั้งน้ีความมุ่งหมายสาคัญของการติดต้ังระบบเทคโนโลยีในพื้นท่ีจังหวัดภูเก็ตน้ันเพื่อมุ่ง ขับเคล่ือนยุทธศาสตร์ระดับชาติน่ันคือการเพ่ิมมูลค่าให้กับพ้ืนที่ภูเก็ตที่เป็นหน่ึงในพ้ืนที่ คลัสเตอร์ อุตสาหกรรมซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิตอลขึ้นเป็นอุตสาหกรรมหลักชนิดท่ี 2 เพ่ิมเติมจาก อตุ สาหกรรมหลักด้านการท่องเท่ียว จากชุดของแนวนโยบายที่สาคญั ดา้ นการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะที่กล่าวถึงข้างต้น จะสังเกตได้ ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีแนวทางการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะแบบ Top down ซึ่ง ดาเนินการพัฒนาโดยรัฐบาลกลาง และมุ่งเป้าหมายการพัฒนาท่ีอยู่บนพื้นฐานความต้องการ หรือ เปา้ ประสงคข์ องรฐั บาลกลางเป็นสาคัญ แล้วจึงนาแนวทางการพัฒนาดังกล่าวทดลองนาไปสวมครอบ การพฒั นาสู่เมืองอจั ฉริยะในมติ ิระดับพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบที่สาคัญคือการพัฒนาท่ีเกิดข้ึนจะไม่ใช่การพัฒนาที่อยู่บนพ้ืนฐานของความ ต้องการ ความจาเป็น และเง่ือนไขเฉพาะของพ้ืนที่ นอกจากนี้องค์บริหารจัดการเมืองได้แก่ องค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ซึง่ มีความเกย่ี วข้องสัมพันธโ์ ดยตรงกับพื้นที่ และเข้าใจสภาพปัญหาในพ้ืนที่ในเชิง เปรียบเทียบมากกว่าหน่วยงานกลาง หรือหน่วยงานระดับจังหวัดยังไม่สามารถกาหนดรูปแบบของ เทคโนโลยีที่นามาปรับใช้ รวมถึงไม่สามารถเข้าถึงประโยชน์ใช้สอยของระบบเทคโนโลยีท่ีติดต้ังใน พืน้ ทีไ่ ดม้ ากเทา่ ที่ควร 2.3.6 การกระจายบทบาทการพัฒนาลงส่อู งค์การปกครองส่วนท้องถน่ิ : การพฒั นาในระดบั พ้นื ที่ ภายหลังการประกาศใช้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 จะสังเกตได้ว่าแนวคิดด้านการพัฒนาบนพื้นฐานของพื้นท่ีเริ่มเข้ามามีบทบาทสาคัญในฐานะ แนวคิดหลักของการพัฒนาในประเทศไทย โดยอาจดูได้จากตัวอย่างเช่น แนวการพัฒนาในโครงการ พัฒนาพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษ “เมืองชายแดน ธุรกิจ ชายฝั่ง น่าอยู่\" ซึ่งกาหนดโดยสภาพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซ่ึงเป็นตัวอย่างของการวิเคราะห์ และให้โจทย์การพัฒนาท่ีเก่ียวข้อง สมั พันธก์ บั ลกั ษณะเฉพาะของพ้ืนที่อย่างเป็นรูปธรรม ซ่ึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ท่ีสาคัญประการหนึ่ง ของยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ที่ 2 คอื การยุทธศาสตรด์ า้ นการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้บริบทของพลวัตรด้านแนวคิดการพัฒนาข้างต้น ท่ีเริ่มหันมาให้ความสาคัญกับการพัฒนาบน พ้ืนฐานของพื้นที่ ส่งผลให้หน่วยงานวิจัยที่มีความสาคัญด้านการพัฒนาเมืองสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ อาทิ ศูนยว์ จิ ยั นครอจั ฉรยิ ะ สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจา้ คุณทหารลาดกระบัง เริ่มเข้ามาให้ความ สนใจด้านการศึกษาวิจัย และการสร้างองค์ความรู้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาในเชิงพ้ืนท่ีให้เกิดการ ขับเคลื่อน และยกระดับการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม โดยกาหนดกลุ่มเป้าหมายในระดับเทศบาลนคร และเทศบาลเมืองเป็นสาคญั บนฐานคตทิ สี่ าคัญคอื โครงการวิจัยถอดบทเรียนเพือ่ พัฒนาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินและชมุ ชน 2-21
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพื้นฐานเกย่ี วกับเมอื งอจั ฉรยิ ะ 1. เมืองเป็นหน่วยการพัฒนาท่ีมีศักยภาพ มีขนาดพื้นที่ ขอบข่ายภารกิจหน้าท่ี และภาระ ความรบั ผดิ ชอบทเ่ี หมาะกับการพฒั นาบนฐานของพื้นท่ี 2. เทศบาลรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีความใกล้ชิดกับพื้นที่ สภาพปัญหา และสมั พนั ธก์ บั ผู้มสี ว่ นได้สว่ นเสยี ในพื้นทอี่ ยา่ งใกล้ชดิ 3. องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินหลายแห่งโดยเฉพาะอย่างย่ิงในระดับเทศบาลนคร และ เทศบาลเมืองมีศักยภาพด้านการยกระดับสมรรถนะการทางานภายในองค์กรและการให้บริการ ประชาชน ความพยายามขา้ งตน้ นามาสกู่ ารสรา้ งความรว่ มมอื ท้ังในดา้ นวิชาการกับหนว่ ยงานศกึ ษาวิจัย ท่ีมีความสาคัญอาทิ สถาบันพระปกเกล้า ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหลาย แห่งร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพ อาทิ เทศบาลนครอุดรธานี เทศบาลนครนนทบุรี เทศบาลนครภูเก็ต ฯลฯ โดยได้จัดทาบันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ เม่ือ วนั ที่ 3 มีนาคม 2561 ณ รอยัลพารากอ้ นฮอล ศูนยส์ รรพสนิ ค้าสยามพารากอน โดยแนวทางการพัฒนา ภายใต้ความร่วมมือน้ีมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาบนพ้ืนฐานของพื้นท่ีที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของ แต่ละพ้ืนที่ได้อย่างตรงจุด โดยมีส่วนเช่ือมโยงกับโครงข่ายการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และ การสื่อสารในระดับประเทศ – จังหวัด ซึ่งเป็นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีตอบโจทย์ความจากัดด้าน อานาจหน้าทข่ี องเมือง เช่น การดาเนินงานนอกเขตพื้นท่ี หรือการดาเนินงานท่ีอยู่นอกขอบข่ายอานาจ หนา้ ท่ขี ององคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น 2.3.7 สรุปรปู แบบพลวัตรของแนวนโยบายการพัฒนาสเู่ มอื งอจั ฉริยะในประเทศไทย เม่ือพิจารณาแนวนโยบายการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะของประเทศไทยตั้งแต่ในอดีตจนถึง ปัจจุบันจะเห็นได้ถึงพลวัตรของนโยบายอย่างชัดเจน โดยการพัฒนาในช่วงต้ังต้นเร่ิมจากการที่ภาครัฐ และสว่ นกลางเหน็ ความสาคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมให้รองรับกับภูมิทัศน์ดิจิตอล (Digital Landscape) โดยมุ่งหวังประโยชน์ด้านการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์ในระดับชาติ นามาสู่การจัดต้ัง หน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาตลอดจนการทาแผนแม่บทด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสาร จากน้ันจึงขยายการพัฒนาลงมาในระดับพื้นที่ในระดับของจังหวัด ตาม โครงการ Smart Province อย่างไรก็ตามเม่ือการรับรู้และความสนใจของรัฐบาลกลางเปลี่ยนไปภายหลังการใช้ ยุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 12 ส่งผลให้แนวคิดด้านการ พัฒนาเชงิ พื้นท่ีกลายเป็นแนวการพัฒนาท่ีมีความสาคัญ ส่งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเริ่มเข้ามา มีบทบาทมากยิ่งข้ึนในกระบวนการพัฒนา ส่งผลให้ในปัจจุบันแนวทางการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะเร่ิม ขยบั ตวั จากการพัฒนาในระดับช้ัน (Scale) ของจังหวัด ลงมายังระดับช้ันของเมือง หรือท้องถิ่น โดยมุ่ง เป้าการพัฒนาพ่ือผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาในระดับพื้นที่ สิ่งท่ีต้องให้ความสนใจจึงเป็นประเด็น ดา้ นการพฒั นาจดุ เช่อื มโยงของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารเพ่ือการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โครงการวิจัยถอดบทเรียนเพ่อื พัฒนาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ และชุมชน 2-22
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พ้นื ฐานเกยี่ วกบั เมอื งอจั ฉรยิ ะ ในระดับพื้นท่ีให้สามารถเช่ือมต่อเข้ากับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับชาติ – จังหวัดท่ีมีอยู่ก่อนหน้าน้ีตามแนวทางการพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะที่ขับเคล่ือนโดยรัฐ บาลกลางและ หน่วยงานอ่นื ๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง เช่น NECTEC หรอื SIPA 2.4 การพฒั นาเมอื งอจั ฉริยะบนพนื้ ฐานของสภาพปัญหา - เงื่อนไขของพ้นื ที่ และรองรบั การ พฒั นาอยา่ งยงั่ ยืน จากการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาการพัฒนาเมืองอัจฉริยะท้ังในและต่างประเทศ รวมถึงการ ศึกษาวิจัยในเชิง Concept พบว่าการพัฒนาเมืองตามแนวทางเมืองอัจฉริยะ (Smart City) นั้นแต่ละเมืองมี แนวทางในการพฒั นาท่ีมีความเฉพาะเจาะจง แนวทางในการพัฒนาของเมืองหนึ่ง ไม่อาจนาไปปรับใช้ในเมือง อ่ืนๆ ที่มีสภาพปัญหาและเง่ือนไขเฉพาะตัวที่แตกต่างกันได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหลักฐานยืนยันที่สาคัญประการ หน่ึงต่อสมมุติฐานท่ีว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะท่ีเป็นผลิตภัณฑ์สูตรสาเร็จรูป ไปปรับใช้กับทุกๆ เมืองโดย ไมไ่ ดท้ าการศึกษาเง่อื นไข และสภาพปัญหาของเมอื ง – พนื้ ที่ กอ่ นนาไปออกแบบระบบ-โครงสร้างพื้นฐาน ในการบริหารจัดการเปน็ การเฉพาะนน้ั ไม่เกิดประสทิ ธิภาพ และไมไ่ ดป้ ระสิทธิผลท่ีคาดหวังอย่างครบถ้วน สมบรู ณ์ อย่างไรกต็ ามแม้จะกล่าวว่าการพฒั นาเมอื งตามแนวทางอจั ฉริยะจะมีความหลากหลายตามบริบทของ แต่ละพ้ืนท่ี หากแต่จากการถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาเรายังสามารถสังเกตเห็นว่าการพัฒนาเมืองตาม แนวทางเมืองอจั ฉริยะของแทบทุกกรณีศึกษาต่างตั้งอยูบ่ น 2 รากฐานหลัก น่ันคอื 1.) การพฒั นาบนพนื้ ฐานของปัญหา และเง่ือนไขเฉพาะในพ้ืนที่ (Area Base Circumstance & Problem) 2.) การพัฒนาอยา่ งย่งั ยนื (Sustainable Development) ดว้ ยเหตนุ ้กี ารพัฒนาเมืองอัจฉริยะจึงไม่ใช่การหยิบยกเอาเทคโนโลยี หรือเครื่องมือการบริหารจัดการ ท่ีใหม่ล่าสุด ทันสมัยที่สุด หรือราคาแพงที่สุด มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหา หรือเสรมิ สรา้ งพฒั นาการของเมอื งเสมอไป หากแตจ่ ะต้องคานึงถึงโจทย์ประการสาคัญคือ เข้ากันได้ กับสภาพ เงื่อนไขและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ซ่ึงในท่ีนี้ก็คือเมืองได้อย่างตรงจุด (Compatibility) และนาไปสู่การ พัฒนาอย่างยั่งยืน (Suitable for Sustainable Development as Extension Package) ซ่ึงกล่าวโดยสรุป กค็ ือการหาเครือ่ งมือ หรือเทคโนโลยีในการบรหิ ารจัดการที่อาจต้องลงทุนในระยะสนั้ แต่สามารถลดต้นทุนการ ดาเนินการในระยะยาวได้ ในขณะเดียวกันในระยะยาวก็สามารถเปิดโอกาสให้เมืองลดสภาพการพ่ึงพาอาศัย (ทง้ั จากสว่ นกลาง และการรีดเร้นทรพั ยากรจากพน้ื ทใ่ี กลเ้ คียง) และสามารถพฒั นาได้โดยใช้ต้นทุนการพัฒนาท่ี สรา้ งขึ้นภายในเมืองเอง จากวิธีคิดข้างต้นทาให้แนวทางในการพัฒนาเมืองแบบ SMART – City โดยอาศัยการเลือกซื้อ เครื่องมือด้านเทคโนโลยีที่เป็นระบบใหญ่ทั้งระบบ โดยใช้เกณฑ์ด้านความทันสมัย ใหม่ล่าสุด และราคาเพียง อย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางเลือกท่ีเหมาะสม ในขณะที่การเลือกใช้เทคโนโลยี – เครื่องมือการบริหารจัดการที่ ผ่านการศึกษาสภาพปัญหา – สภาพเง่ือนไขของพ้ืนท่ี (Area base Problem & Circumstance) แล้ว โครงการวิจยั ถอดบทเรยี นเพอ่ื พฒั นาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และชมุ ชน 2-23
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเมืองอจั ฉริยะ จึงนามาออกแบบเป็นระบบเทคโนโลยี และชุดของเครื่องมือบริหารจัดการที่สอดคล้อง แก้ไขปัญหาได้ อย่างตรงจดุ และเอือ้ อานวยให้เกดิ การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ในระยะยาว ดู จะเป็นวิธีการท่ีเหมาะสมมากกว่า แม้การพัฒนาไปในแนวทางนี้จะมีต้นทุนการพัฒนาที่สูงกว่าการเลือกใช้ ระบบเทคโนโลยสี าเรจ็ รูป แตก่ ็มขี อ้ ได้เปรียบสาคัญอย่างน้อย 3 ประการคอื 1.) มีความพอเหมาะพอสมระหวา่ งการใชเ้ ครื่องมอื แกไ้ ขปัญหา (Solution) กับสภาพปัญหา กล่าวโดยสรุปคือไม่เกิดสภาพท่ีมีเคร่ืองไม้เครื่องมือและระบบที่ดาเนินการอยู่ii (Enable) มากมาย ในขณะที่สภาพปัญหายังไม่หนักหน่วงจนต้องอาศัยเคร่ืองมือบริหารจัดการที่มากมายในระดับน้ัน และใน ขณะเดียวกันก็ไม่เกิดสภาพท่ีมีเครื่องไม้เคร่ืองมือท่ีไม่เพียงพอกับสภาพปัญหาท่ีกาลังเผชิญ ข้อได้เปรียบของ การจดั ให้มีชุดของเครื่องมือแก้ไขปัญหาท่ีไม่มากไม่น้อยเกินไปเช่นนี้คือ ช่วยลดต้นทุนการดาเนินการส่วนท่ีไม่ จาเปน็ อันเกิดจากการปรับใช้เครอ่ื งมอื มากเกินกว่าสภาพปัญหาท่ีกาลงั เผชิญ (Excess supply of Solution) 2.) มคี วามยดื หยุ่นสามารถปรบั เปล่ียนรูปแบบ เพมิ่ เตมิ หรือลดระดบั การใช้เครื่องมือแก้ไขปัญหา (Solution) ให้เหมาะสมกบั สภาพปัญหาได้iii จากขอ้ แรกอาจเกิดคาถามวา่ แล้วถา้ เกิดวา่ สภาพปัญหามีการเปล่ียนแปลงข้ึนมาจะทาอย่างไร ท้ังน้ีใน สภาพความเป็นจริงแล้ว พลวัตรของสภาพปัญหาในพ้ืนที่นั้นจะมีลักษณะที่ไม่ได้ยกระดับหรือลดระดับพร้อม กันทีเดยี วทงั้ ระบบ แตจ่ ะเป็นไปในลกั ษณะที่เป็นพลวัตรเฉพาะภาคส่วน หรือยกระดับในหลายๆ ภาคส่วน แต่ มีค่าน้าหนักที่แตกต่างกัน ลักษณะเช่นน้ี จุดอ่อนของการใช้ระบบเทคโนโลยีสาเร็จรูปในแง่ของการขาดความ ยดื หยุน่ ในการปรบั แตง่ ระบบ (Inflexible) จะย่ิงส่งผลเด่นชัด และจุดเด่นในด้านความยืดหยุ่นท่ีสามารถแก้ไข ปรับแต่งไดอ้ ย่างละเอยี ดออ่ นทง้ั แบบท้ังระบบ หรือเฉพาะสว่ นใดส่วนหนง่ึ ของระบบเทคโนโลยีแบบส่ังเป็นการ เฉพาะจะย่ิงเหน็ ไดอ้ ย่างเด่นชดั มากขน้ึ 3.) ง่ายต่อการออกแบบระบบให้เกิดรอยตอ่ สาหรับรองรับส่วนขยาย (Extension Package) นอกจากจะต้องสอดคล้องกับแนวการพัฒนาอย่างย่ังยืนเพ่ือประโยชน์ของเมืองในระยะยาวแล้ว การ พัฒนาอย่างสอดคล้องไปกับแนวการพัฒนาหลักของเมืองเพ่ือเป็นการส่งเสริมจุดแข็ง , ไม่ลดทอนการพัฒนา จุดแข็งของเมือง และไม่ก่อให้เกิดจุดอ่อนใหม่ๆ ในระหว่างการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ในระยะยาว จึงเป็น ประเด็นที่สาคัญ ด้วยเหตุนี้การออกแบบระบบให้มีจุดรอยต่อ (Joint) ที่รองรับแนวทางการบริหารจัดการ – ระบบเทคโนโลยีเพื่อบรรลุผลระยะยาวเหล่านี้จึงมีความจาเป็น ซ่ึงไม่มีอะไรสามารถการันตีได้ว่าระบบ เทคโนโลยสี าเรจ็ รูปจะมรี อยตอ่ ตรงสว่ นนไี้ วร้ องรับ หรือตอ่ ใหม้ ไี ว้รองรบั กไ็ ม่มีอะไรการันตีอีกเช่นกันว่าจะสอด ประสานไปกบั ยทุ ธศาสตร์การพฒั นาของเมอื งในระยะยาวได้หรือไม่ จากจุดแข็งอย่างน้อย 3 ประการข้างต้น เป็นการยืนยันถึงความคุ้มค่าน่าลงทุน และเป็นเหตุผลท่ีว่า การวางระบบการบริหารจัดการและระบบเทคโนโลยีเพ่ือขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจาเป็นอย่างย่ิงท่ี จะต้องกระทาการศึกษาทบทวนสภาพปัญหา สภาพบังคับและเง่ือนไข ของพื้นที่ อย่างละเอียดรอบคอบ กอ่ นท่ีจะนาขอ้ มลู ดังกลา่ วมาประกอบการออกแบบระบบท่ีเหมาะสมท้ังในแง่ของปริมาณการปรับใช้เคร่ืองมือ แกไ้ ขปญั หา ในแงข่ อบวิธีการปรับใช้และตัวเลือกทางเทคโนโลยีที่เหมาะสม จนกระท่ังมาถึงการเลือกช่องทาง การลงทุนอย่างคุ้มค่า มาสู่การกาหนดแผนการดาเนินงาน การดาเนินการใช้เครื่องมือ การซ่อมบารุง โครงการวิจัยถอดบทเรียนเพ่อื พฒั นาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และชมุ ชน 2-24
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพืน้ ฐานเกยี่ วกบั เมืองอัจฉริยะ จนกระทงั่ มาถงึ การติดตามประเมินผล และปรับปรุงการให้บริการ ให้ครบวงรอบการบริหารจัดการ รวมไปถึง ใหร้ องรับกับการพัฒนาในระยะยาวดว้ ย 2.5 Digital Landscape บริบทในปจั จบุ นั ของการพิจารณาเชิงยทุ ธศาสตร์เพอ่ื พฒั นาเมือง อัจฉรยิ ะ ก่อนทเ่ี ราจะวางแผนการรบไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง หากเราไมท่ ราบสภาพสนามรบ และสถานการณ์การรบใน ปัจจุบันเราย่อมไม่มีทางวางแผนการที่สร้างความได้เปรียบให้กับฝ่ายเราได้ ในมิติของการวางแผนยุทธศาสตร์ การพฒั นาคอื การวเิ คราะหบ์ รบิ ท หรือ Landscape ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสาคัญต่อเงื่อนไข และข้อจากัด ในการพัฒนา ทั้งยังส่งผลกระทบต่อการเกิดข้ึน , การได้รับความนิยม และความล้าสมัย ของระบบโครงสร้าง พื้นฐาน , สินคา้ และบรกิ ารในบรบิ ทเหลา่ นน้ั ซึง่ ไมอ่ าจปฏเิ สธไดว้ ่าในมติ ิด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะนั้น การ พิจารณาพลวัตรของบรบิ ทการพฒั นาเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ Digital Landscape จึงเป็นมิติพึงพิจารณาท่ี สาคญั โดยบรบิ ทการพัฒนาดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศทหี่ ยิบยกมาอธิบาย ณ ทน่ี ้ีไดแ้ ก่ 2.5.1 Data Driven Management เป็นแนวคิดในการยกระดับการบริหารจัดการซ่ึงแต่เดิมเป็นเครื่องมือของการบริหารธุรกิจ (Business Administration) โดยมีหลักการเบ้ืองต้นคือการสร้างระบบการให้เหตุผลในการตัดสินใจ (Decision Making) และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision support System) บนฐานของข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ ประมวลผล และลดความเปน็ อัตวสิ ัยในการตัดสินใจ เพ่ือเพิ่มความน่าเช่ือถือและความแม่นยาในการตัดสินใจ และการนั ตีการใช้ตน้ ทุนปฏบิ ตั ิงาน (Operation Cost) ใหเ้ กิดประสิทธภิ าพสูงสุด ท้ังนี้ แม้แนวคิดนี้จะเป็นเคร่ืองมือด้านการบริหารธุรกิจ ซึ่งมีความแตกต่างจากการบริหารรัฐกิจท่ีไม่ แสวงหาผลกาไร แต่การบริหารรัฐกิจในยุคหลังๆมาน้ี ก็ให้ความสาคัญในมิติด้านประสิทธิภาพของการบริหาร จัดการมากขึ้นซึ่งหลักการตรงนี้สอดคล้องกับฐานคิดด้านการประหยัดต้นทุนมากที่สุด (Safe Cost) ของการ บรหิ ารธรุ กจิ ส่งผลใหก้ ารนาเครื่องมือที่ชว่ ยรดี เร้นประสิทธิภาพของการบริหารจัดการให้มากท่ีสุดมาปรับใช้จึง ไมใ่ ช่เรือ่ งทแี่ ปลกประหลาดแต่อย่างใด องคป์ ระกอบของการบริหารจดั การแบบ Data Driven Management นนั้ แบง่ ออกเป็น 4 ส่วนดังน้ี 1.) การเขา้ ถึงขอ้ มูล และการเกบ็ ข้อมลู 2.) การจัดเก็บข้อมลู และการส่งผา่ นข้อมูล 3.) การวิเคราะหข์ ้อมูล 4.) การปรับใช้ข้อมลู ในกระบวนการตดั สินใจ หรือบริหารจัดการ โดยอาจแบ่งระดับของการปรับใช้ Data Driven Management ออกเป็นสองระดับ คือ การใช้ Data Driven Management เพอ่ื ประกอบการตดั สนิ ใจเชิงยุทธศาสตร์ หรือกาหนดนโยบาย และ การใช้ Data Driven Management เพอื่ ประกอบการบริหารจดั การการใหบ้ รกิ าร – การดาเนินงาน โครงการวจิ ยั ถอดบทเรียนเพือ่ พัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ และชุมชน 2-25
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พื้นฐานเก่ยี วกบั เมืองอจั ฉริยะ 1.) Driven Management เพอ่ื ประกอบการตดั สินใจเชิงยทุ ธศาสตร์ หรือกาหนดนโยบาย จะเก่ยี วข้องกับข้ันตอนการกาหนดยุทธศาสตร์ และปรับแผนยุทธศาสตร์ รวมถึงกาหนดการตัดสินใจ เชิงนโยบายซึ่งในบริบทของการพัฒนาเมืองตามแนวทางเมืองอัจฉริยะน้ันเป็นหน้าท่ีของฝ่ายการเมือง – ฝ่าย บริหารของเมือง โดยผา่ นการสรา้ งระบบการใหเ้ หตผุ ลในการตัดสินใจ และระบบสนับสนนุ การตัดสินใจบนฐาน ของขอ้ มลู 2.) Data Driven Management เพื่อประกอบการบริหารจัดการการให้บริการ – การดาเนินงาน จะเกี่ยวข้องกับบุคลากรที่วางแผนการปฏิบัติงาน อาทิ ผู้บริหารระดับหัวหน้าหน่วยงาน หรือ สานกั งาน ซงึ่ เป็นจุดเช่ือมต่อระหว่างฝ่ายนโยบาย กับฝ่ายปฏิบัติ มีภารกิจหน้าที่ในการแปลงแผนยุทธศาสตร์ หรือนโยบายเป็นแผนการปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรม และบริหารจัดการให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนหรือ บริหารจัดการเมื่อเกิดการเปล่ียนแปลงในกรณีฉุกเฉิน ระดับของการปรับใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจึงอยู่ ในมิติของการบริหารการใช้ทรัพยากรของหน่วยงาน และกาหนดขั้นตอนการให้บริการให้เกิดประสิทธิภาพ สงู สุด , บรรลุวัตถปุ ระสงคต์ ามทตี่ ัง้ ไว้ให้มากท่ีสดุ และเกดิ ปัญหาข้อผิดพลาดน้อยทส่ี ุด 2.5.2 Digital Life style & Business atmosphere นอกจากบริบทในเชิงการบริหารจัดการแล้ว ในมิติด้านสภาพสังคมการใช้ชีวิตของผู้คน และด้านการ ดาเนินกิจกรรมทางธุรกจิ เองกม็ ีพลวตั รเช่นเดยี วกนั โดยเทคโนโลยที ีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการดาเนนิ ชวี ติ และธุรกิจน้ันมี พลวตั รท่คี อ่ นขา้ งทจ่ี ะรวดเรว็ มาก และแตกแขนงออกไปอย่างหลากหลายทัง้ ในของความกว้าง (ประเภท) และ ความลกึ (จานวนรนุ่ ) จนผู้ท่ไี มไ่ ด้ใกล้ชิดกบั วงการเกดิ อาการสับสน อยา่ งไรก็ตามหากพิจารณาอย่างเป็นระบบ แล้วจะพบว่าทั้งหมดท้ังมวลของการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่าน้ีมีที่มาจากรากฐานความต้องการเดียวกันสอง ประการนัน่ คอื 1.) การพยายามอานวยความสะดวกของผู้ใช้งานที่ต้องการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศข้าม Platform อาทิ ผู้ใช้งานต้องการให้ข้อมูลสารสนเทศชุดหนึ่งสามารถใช้งานในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ- คอมพิวเตอรเ์ คลื่อนท่ี เพื่อประโยชน์ในการปรบั เปลี่ยนแก้ไขข้อมูลอย่างละเอียดอ่อน และการคานวณท่ีต้องใช้ รายละเอียดหรือพลังการคานวณสูง ในขณะเดียวกันผู้ใช้งานเองก็ต้องการให้ข้อมูลชุดเดียวกันน้ันสามารถ แสดงผลในอุปกรณ์เคลื่อนท่ี เช่น Tablet หรอื Smart Phone เพื่อการใชง้ านแบบเคลื่อนที่สมบูรณ์แบบ (เช่น บนระบบขนส่งสาธารณะ) เพ่ือประโยชน์สูงสุดด้านความคล่องตัว แต่ไม่ต้องการความละเอียดในการแก้ไข หรอื พลงั การคานวณระดับสงู แบบทีต่ ้องการจากการใชค้ อมพิวเตอร์ เปน็ ต้น ความต้องการน้ีนามาสู่การพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย (Cloud) , การพัฒนา Mobile Application , การพัฒนา Application แบบข้าม Platform เป็นต้น 2.) การพยายามอานวยความสะดวกด้านการดาเนินการระยะไกล เนื่องจากกระแสความนิยมของ การทางานนอกสถานที่ และการลดความจาเป็นของการติดต่อประสานงานโดยตรงส่งผลให้ความต้องการด้าน การดาเนินธุรกรรม หรอื สั่งการจากระยะไกลเพม่ิ มากขนึ้ โครงการวจิ ัยถอดบทเรยี นเพ่ือพัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ และชุมชน 2-26
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พน้ื ฐานเกี่ยวกบั เมอื งอจั ฉรยิ ะ ความต้องการเช่นน้ีนามาสู่การพัฒนาระบบการสั่งงานระยะไกลทั้ง ซ่ึงบีบบังคับให้ข้อมูลต่างๆ จาเปน็ ต้องถกู เก็บในรปู แบบ Digital มากยงิ่ ขึ้น อาทิ ระบบ E Business หรือ E Banking , รวมถึงสร้างระบบ ประมวลผลท่ีลดภาระหนา้ ท่ขี องมนุษย์ทจี่ ะต้องตดิ ต่อประสานงานโดยตรง เช่น ระบบปัญญาประดิษฐ์ จากการวิเคราะห์บริบทด้าน Digital Landscape ท้ังสองบริบทร่วมกันจะเห็นว่าทั้งสองบริบทน้ันมี ความต้องการร่วมกันอยู่นั่นคือ ต้องการระบบโครงสร้างพ้ืนฐานด้านข้อมูล และข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการ ส่งผ่านข้อมูลจากจุดรับข้อมูล (แหล่งข้อมูลในกรณีของ Data Driven Management และผู้ส่งข้อมูลในกรณี ของ Digital Lifestyle & Business) ไปสู่หน่วยประมวลผลหรือหน่วยจัดเก็บข้อมูล ซึ่งการจัดให้มีโครงสร้าง พื้นฐานด้านข้อมูลสารสนเทศ และจัดการให้โครงสร้างพื้นฐานดงกล่าวสามารถใช้งานได้เป็นปกติ และสอด ประสานเข้ากับโครงสร้างพ้ืนฐานทางกายภาพอื่นๆ ถือเป็นหน้าท่ีสาคัญของเมืองในบริบทการบริหารจัดการ ภายใต้ Digital Landscape แต่สิ่งที่แตกต่างกันของท้ังสองบริบทคือ Data Driven Management นั้นรัฐจะต้องเข้าไปมีบทบาท มากเน่ืองจากเป็นประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับการบริหารจัดการของเมืองโดยตรง การวางระบบการจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลข้อมูลโดยเฉพาะอย่างย่ิงระบบ Internet of Thing ในการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสาคัญของ Data Driven Management ส่วนในบริบทด้าน Digital Lifestyle & Business โดยธรรมชาติของมันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการ กับผู้บริโภค ภาครัฐจึงไม่จาเป็นต้อง วางระบบอะไรเป็นพิเศษเพียงแต่อาจต้องจัดทาเครื่องมือเพ่ือปฏิบัติภารกิจในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และ ป้องปรามปญั หาอาชญากรรม-การฉ้อโกงแบบใหม่ๆ ที่เกิดข้ึนในพ้ืนทใ่ี หม่นี้ โครงการวจิ ัยถอดบทเรยี นเพ่อื พฒั นาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชมุ ชน 2-27
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พื้นฐานเกี่ยวกบั เมอื งอัจฉรยิ ะ Data Driven Management Decision Support System IOT as Data Processing unit Digital Landscape Data & -Data Collection Unit Information -Data Containment Digital Lifestyle & Business Infrastructure Unit -Data Analysis Unit Producer to Buyer E - Platform -E Shopping -Cloud Service -E Banking -E Business Public Overlook & Control รูปท่ี 5.1 1 แสดงความสัมพันธร์ ะหว่าง Data Driven Management , Digital Life style & Business atmosphere และโครงสร้างพ้ืนฐานด้านข้อมูลและข้อมูลสารสนเทศ 2.6 Data Flow & Containment : as a New set of Infrastructure จากการวิเคราะห์บริบทด้าน Digital Landscape ในส่วนก่อนหน้าจะเห็นว่าข้อมูลเป็นองค์ประกอบ สาคัญของ Digital Landscape ท้ัง 2 มิติ คือทั้งในมิติของการใช้ชีวิและดาเนินธุรกรรมผ่านระบบ Digital และในมิติของการบริหารจัดการ,การตัดสินใจ ท้ังนี้ข้อมูลน้ันมีลักษณะโดยทั่วไปบางประการที่ใกล้เคียงกับ สาธารณปู โภคทางกายภาพนั่นคอื ข้อมูลนั้นมมี ูลคา่ (Value) มีขนาด (Volume) และ มีการเคลื่อนย้ายถ่ายเท (Velocity) ซ่งึ แนน่ อนว่าลาพังตัวของขอ้ มูลเองไม่สามารถวัดคณุ ค่า วัดขนาด หรือเคล่ือนย้ายไปไหนได้หากแต่ ตอ้ งมรี ะบบเทคโนโลยีรวมถึงช่องทางสนบั สนนุ ที่รดี เร้นคณุ คา่ ของขอ้ มลู ผา่ นการวเิ คราะห์ , จัดเก็บข้อมูลเอาไว้ ณ จดุ ใดจดุ หนึง่ ได้อยา่ งเพียงพอกบั ขนาดของข้อมลู และมีช่องทางในการเคลื่อนย้ายถ่ายโอนจากท่ีจัดเก็บหน่ึง ไปยังอีกที่จัดเก็บหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกระบบเทคโนโลยีชุดน้ีได้ว่าระบบการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ (Data & Information System) โครงการวจิ ัยถอดบทเรยี นเพอื่ พฒั นาการบรกิ ารสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ และชุมชน 2-28
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พืน้ ฐานเก่ยี วกับเมืองอจั ฉริยะ ด้วยเหตุนี้โครงสร้างพ้ืนฐานด้านข้อมูล และสารสนเทศ (Data-Information Infrastructure) จึงมี ความสาคัญในฐานะส่วนประกอบที่สาคัญมากส่วนหนึ่งของระบบการจัดการข้อมูลและสารสนเทศเน่ืองจาก เป็นกลไกขับเคลื่อนสาคัญเพ่ือให้ข้อมูล และสารสนเทศ (Data & Information) มีท่ีรองรับจัดเก็บอย่าง ปลอดภัย (Contain) และสามารถเคล่ือนย้ายจากท่ีจัดเก็บหนึ่งไปยังอีกที่จัดเก็บหน่ึง ( Flow from Containment 1 to Containment 2) หรือย้ายจากที่จัดเก็บไปยังหน่วยประมวลผลเพื่อการวิเคราะห์ หรือ หน่วยประมวลผลเพ่ือจัดทาผลิตภัณฑ์หรือบริการแก่ผู้ใช้บริการ (Flow from Containment to Control Unit , Processing Unit) โดยโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล และสารสนเทศ (Digital-Information Infrastructure) อาจแบง่ ออกเป็น 4 ส่วนตามเป้าหมายการใชง้ านไดแ้ ก่ 1.) โครงสรา้ งพ้นื ฐานด้านการเกบ็ ข้อมลู (Data Collecting Unit- Infrastructure) 2.) โครงสร้างพ้ืนฐานด้านการจัดเก็บ-เก็บรักษาข้อมูล (Data Containment Unit- Infrastructure) 3.) โครงสร้างพนื้ ฐานดา้ นการสง่ ผ่านข้อมูล (Data Transferring Channel- Infrastructure) 4.) โครงสร้างพ้ืนฐานด้านการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล (Data Analysis & Processing Unit- Infrastructure) ทั้งน้ีภารกิจสาคัญของเมืองอย่างหน่ึงเพื่อการพัฒนาเมืองอัจฉริยะภายใต้บริบทของ Digital Landscape คือการจัดสร้างโครงสร้างพ้ืนฐานเหล่าน้ี โดยเฉพาะอย่างย่ิงโครงสร้างพื้นฐานด้านการส่งผ่าน ข้อมูล (Data Transferring Channel- Infrastructure) ตลอดจนต้องดาเนินการซ่อมบารุงให้สามารถใช้งาน ได้อย่างมีความเสถียร เน่ืองจากโครงสร้างพื้นฐานในส่วนนี้มีความสาคัญอย่างมากท้ังในมิติด้านการบริหาร จัดการบนพ้ืนฐานของข้อมูล (Data Driven Management) และในมิติของ Digital Lifestyle & Business ซ่ึงเป็นมิติความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน ซ่ึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการส่งผ่านข้อมูล (Data Transferring Channel- Infrastructure) น้กี ลา่ วโดยสรปุ กค็ ือชอ่ งทางการเช่ือมต่อระหว่างอุปกรณ์ (Device) แต่ละชนิดใน พนื้ ทีเ่ ขา้ กบั ระบบเครือข่าย (Network) เพอื่ ประโยชน์ในการเชอ่ื มโยงระหว่าง Device กับ Device (ประโยชน์ ด้านการติดต่อส่ือสาร-การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างผู้ใช้ต่อผู้ใช้) และเพื่อประโยชน์ในการเชื่อมโยงระหว่าง Device กับชุดของข้อมูลอ่ืนๆ ในระบบเครือข่าย (การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างหน่วยเก็บข้อมูลกับ ผู้ใช้ และ ระหว่างผใู้ ชก้ บั หน่วยประมวลผล) จะเห็นไดว้ า่ โครงสรา้ งพ้ืนฐานดา้ นการถา่ ยโอนข้อมูลนน้ั สาคญั ทัง้ สว่ นของการบริหารงานของเมืองเอง (เชอื่ มต่อระหว่างหน่วยเก็บข้อมลู , หนว่ ยประมวลผลข้อมลู และหนว่ ยจัดเก็บ-เก็บรักษาข้อมูลต่างๆ ของเมือง ที่เป็นส่วนประกอบของ Data Driven Management) และเป็นตัวขับเคลื่อนให้การถ่ายโอนข้อมูลระหว่าง เอกชน (ผู้ประกอบการ) กับเอกชน (ผู้ใช้บริการ) ในบริบท Digital Lifestyle & Business สามารถกระทาได้ โครงสร้างพ้ืนฐานในส่วนน้ีจึงส่ิงท่ีเมืองควรจัดสร้าง (จัดหา) มาให้กับเมืองเป็นอันดับแรก ก่อนท่ีจะวางระบบ เทคโนโลยอี น่ื ๆ จากน้ันเมืองควรต้องคานึงถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลสารสนเทศอีกโครงสร้างหนึ่ง ที่ทางานสอด ประสานกบั โครงสรา้ งพน้ื ฐานด้านการถ่ายโอนข้อมูลอย่างใกล้ชิด นั่นคือโครงสร้างพ้ืนฐานด้านการจัดเก็บ-เก็บ โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี นเพือ่ พัฒนาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นและชมุ ชน 2-29
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พนื้ ฐานเกี่ยวกบั เมืองอจั ฉรยิ ะ รักษาข้อมูล (Data Containment Unit- Infrastructure) ซึ่งทาให้ข้อมูลที่ตามปกติแล้วไม่มีลักษณะทาง กายภาพ มีความเป็นกายภาพมากขึ้นคือสามารถรับรู้ได้ว่า ณ ขณะน้ันข้อมูลถูกเก็บไว้ที่ใดบ้าง หากข้อมูลชุด หน่ึงเสียหาย จะสามารถนาข้อมูลสารองจากที่ใดมาใช้ได้ , ใครควรจะเป็นผู้มีสิทธิเขาถึงข้อมูลชุดน้ีได้บาง , ข้อมูลมีการแบ่งแยกย่อยอย่างไร มีรูปแบบอย่างไร ฯลฯ นอกจากน้ีโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดเก็บ-เก็บ รักษาข้อมูล (Data Containment Unit- Infrastructure) ยังเป็นเง่ือนไขสาคัญในการกาหนดจุดเริ่มต้น และ จุดส้ินสุด (Start & Destination) ของการส่งผ่านข้อมูล เนื่องจากลักษณะของข้อมูลใน Digital Landscape นัน้ มีแนวโน้มทจี่ ะมีความหลากหลายด้านแหล่งทีม่ า , ประเภท และการไหลเวียนของขอ้ มูลท่ีสงู ด้วยเหตุนี้การ กาหนดจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุดของการส่งผ่านข้อมูล (การส่ือสารข้อมูล) โดยเอาตัวของข้อมูลเป็นเกณฑ์จึง แทบเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุน้ีจึงต้องกาหนดจุดเร่ิม และจุดสิ้นสุดของการสื่อสารแต่ละช่วงผ่าน Device อาทิ Device ที่ใช้เก็บข้อมูล (เครื่อง Server หรือ Cloud) ของระบบกล้องวงจรปิด (Data Collecting Unit) เป็น จดุ เร่ิมตน้ ของการส่งผา่ นข้อมูล เช่ือมต่อเข้ากับ Device ที่ใช้เก็บข้อมูลของฐานข้อมูล ส่งผ่านไปยัง Device ท่ี ใชเ้ ก็บขอ้ มูลของหน่วยประมวลผล (Processing Unit) แล้วจึงเช่ือมต่อขั้นสุดท้ายในรูปของ Information เข้า สู่ Device ของผู้ใช้ (ตรงจุดนี้เนื่องจากเป็นสารสนเทศท่ีผ่านการวิเคราะห์เอาแต่ส่วนที่ผู้ใช้ต้องการจึงไม่ใช่ชุด ของข้อมลู ขนาดใหญ่ แต่เป็นการแสดงผลทเี่ ครือ่ งมอื สามารถแสดงผลได้ทนั ที) โดยอาจดไู ดจ้ ากรปู ที่ 5.2-1 Data Collecting Data Base or Control & User 1 Unit Data Center Processing Policy Maker Unit -CCTV Data User 2 Containment (Data Analysis Traffic Manager -Censor – Device or Cloud & Information User 3 Etc. Data Creation) People Containment Data – Device or Containment – Device or Cloud Cloud รูปที่ 2.6-1 แสดงการถ่ายโอนข้อมลู ระหวา่ ง Device ในระบบเทคโนโลยีด้านการจราจรอัจฉรยิ ะ อย่างไรก็ตามโครงสร้างพ้ืนฐานด้านการถ่ายโอนข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดเก็บ-เก็บ รักษาข้อมูลน้ันมีหลกาหลายประเภทให้เลือกใช้งานโดยเกณฑ์ในการเลือกใช้น้ันขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่ ไหลเวียนอยู่ใน Digital Landscape ท้ังน้ีประเด็นพึงพิจารณาในการเลือกโครงสร้างพื้นฐานด้านการถ่ายโอน ขอ้ มูล และการจัดเก็บ-เกบ็ รักษาขอ้ มูลมดี ังต่อไปน้ี โครงการวจิ ัยถอดบทเรียนเพอ่ื พัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ และชุมชน 2-30
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พ้นื ฐานเกี่ยวกับเมอื งอัจฉริยะ 1.) ขนาดของข้อมูล (Volume) ยิ่งข้อมูลมีปริมาณมหาศาล และมีความถี่ในการเก็บ โครงสร้าง พื้นฐาน และอุปกรณ์สาหรับจัดเก็บย่ิงต้องมีขนาดพอรองรับ และช่องทางการถ่ายโอนข้อมูลก็ควรจะใหญ่และ รวดเร็วพอไม่ใหเ้ กิดอาการอัน้ ของขอ้ มูล 2.) ความหลากหลาย (Variety) โดยเฉพาะอย่างการบรหิ ารจดั การบนฐานของข้อมูล (Data Driven Management) ท่ีอาศัย Big Data ซึ่งเป็นชุดของข้อมูลที่นอกจากจะมีขนาดใหญ่มากแล้ว ยังมีลักษณะของ ข้อมูลที่มาจากหลายแหล่ง หลายรูปแบบ และมีความเป็นพลวัตรอย่างมหาศาล การบริหารจัดการด้วยข้อมูล ประเภทนี้โครงสร้างพ้ืนฐานด้านการจัดเก็บข้อมูล และการถ่ายโอนข้อมูลจึงต้องมีความยืดหยุ่นสูง รองรับ ข้อมูลไดห้ ลากหลายประเภท มกี ารจัดระบบข้อมลู ประเภทเดียวกันให้จัดเก็บและถ่ายโอนในระบบเดียวกัน ใน ขณะเดียวกันก็ต้องรองรับเม่ือมีกรณีจาเป็นท่ีจะต้องนาเอาข้อมูลหลายประเภทมาประยุกต์ใช้ ประกอบกันใน หนว่ ยประมวลผล 3.) ความเป็นพลวัตรอย่างรวดเร็ว (Velocity) ยิ่งเป็นการบริหารงานบนฐานข้อมูล Big Data ที่ กล่าวไปแล้วในข้างต้น ยิ่งเห็นความจาเป็นของประเด็นพิจารณานี้ได้เด่นชัด ด้วยเหตุน้ีช่องทางการถ่ายโอน ขอ้ มลู จงึ ตอ้ งมคี วามรวดเร็ว สะดวกกบั การถ่ายโอนจากตอ้ นทางไปยงั ปลายทางใหเ้ รว็ ที่สุดเพือ่ ลดภาระของ โครงสร้างพน้ื ฐานด้านการจดั เก็บให้มากทีส่ ุด (เคลียรไ์ ว้รงรับคล่ืนของข้อมูลระลอกใหม่ที่จะเข้ามาเร่ือยๆ) และ เพอ่ื สรา้ งความรับรทู้ ่เี ป็นปจั จุบนั ท่สี ดุ (Real-time Knowledge) 4.) คุณค่าของข้อมูล (Value) ข้อมูลบางชนิดมีคุณค่าในตัวของมันเองมาก อาจจะด้วย ลกั ษณะเฉพาะของมนั เช่น แง่ของความลบั , ขอ้ มูลท่ชี ้ีวดั ความสาเรจ็ หรือล้มเหลวไดหากรับรู้หรือไม่รับรู้ ฯลฯ โดยมากข้อมูลเหล่านี้คือข้อมูลที่ใช้ในกระวนการบริหารจัดการบนพื้นฐานของข้อมูล (Data Driven Management) ซึ่งข้อมูลเหล่าน้ีนอกจากจะต้องคานึงถึงประเด็นด้านการสูญหายท่ีสามารถนาเทคโนโลยีด้าน การสารองข้อมูล หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลสารสนเทศแบบคู่ขนานแล้ว ควรจะต้องคานึงถึงประเด็น ด้านสิทธิการเข้าถึงระบบเครือข่าย – Device ของโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลข่าวสารด้วยการเลือกใช้ระบบ เทคโนโลยีที่ฝ่ายบริหารของเมืองและช่างเทคนิคท่ีเกี่ยวข้องสามารถดูแลควบคุมได้อย่างใกล้ชิด อาทิการวาง แนว Fiber Optic ในกรณีของโครงสร้างพ้ืนฐานด้านการถ่ายโอนข้อมูล หรือเลือกใช้เคร่ือง Server ส่วนตัว แทนทจี่ ะเชา่ Cloud ในกรณีของโครงสรา้ งพ้ืนฐานดา้ นการจัดเกบ็ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เม่ือนากรอบการวิเคราะห์น้ีไปใช้วิเคราะห์รูปแบบของข้อมูลที่ไหลเวียนอยู่ภายใน Digital Land Scape ของเมือง เราก็จะเห็นภาพว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบใดท่ีควรจะเลือกใช้อย่างเหมาะสม หลังจาก วางโครงสร้างพื้นฐานในด้านการถ่ายโอนข้อมูล และการจัดเก็บ-เก็บรักษาข้อมูลเรียบร้อยแล้ว เมืองจึงควร กลับมาให้ความสนใจกับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลอ่ืนๆท่ีเหลือ คือโครงสร้างพื้นฐานด้านการเก็บข้อมูล (Data Collecting unit - Infrastructure) และ โครงสร้างพ้ืนฐานด้านการประมวลผล – แสดงผลข้อมูล (Data Analysis & Visualization) เพื่อผลักดันให้การบริหารจัดการบนพ้ืนฐานของข้อมูล (Data Driven Management) โดยเฉพาะอย่างยิง่ บนพืน้ ฐานของข้อมูล Big Data เกิดขน้ึ ในทางปฏิบัติ ข้อสังเกตประการหนึ่งท่ีน่าสนใจคือในเมืองอาจไม่จาเป็นต้องวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล สารสนเทศเพียงระบบเดียว แตส่ ามารถวางหลายๆ ระบบซอ้ นทับกนั ได้ โดยแตล่ ะระบบมีระดับการรองรับการ โครงการวิจยั ถอดบทเรียนเพือ่ พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ และชุมชน 2-31
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพ้ืนฐานเกีย่ วกับเมืองอจั ฉรยิ ะ ใช้งาน (Spec) ท่ีเหมาะสมกับภารกิจ เช่น การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าใน Digital Landscape แบบ E-Shopping น้นั กอ็ าจไมจ่ าเป็นตอ้ งใช้ท่อส่งผ่านข้อมูล (Band Width) ขนาดใหญ่ จึงไม่จาเป็นที่จะต้อง นาข้อมูลในส่วนน้ีมาไหลเวียนร่วมกับข้อมูลการบริหารจัดการของภาครัฐในระบบเครือข่าย Fiber Optic ที่มี สภาพการจราจรของข้อมูล (Traffic) คับค่ังอยู่แล้ว แต่เมืองอาจจัดให้มีระบบเครือข่าย Internet แบบไร้สาย ภายในเมืองเพ่ือรองรับการสื่อสารข้อมูลในระดับเพียงแต่ต้องมีจุดเชื่อมต่อที่ระบบบริหารจัดการข้อมูลของ เมืองสามารถเข้าไปเช่ือมโยงได้ในกรณีท่ีมีความจาเป็น จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าเมืองมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน ขอ้ มลู ซ้อนกันใน 2 ระดบั คือระดับบริหารจัดการรองรับข้อมูลท่ีมีพลวัตรการถ่ายโอนข้อมูลสูง กับระดับธุรกิจ เอกชนท่ีมีพลวัตรการถ่ายโอนไม่มากเท่า ขนาดของท่อส่งผ่านข้อมูล (Band Width) จึงมีความแตกต่างกัน เทคโนโลยีที่ใช้จึงต่างกัน (แน่นอนว่าต้นทุนย่อมต่างกัน) แต่ท้ังสองระบบก็ยังควรมีจุดเช่ือมโยงต่อกันโดยมี หนว่ ยงานของเมอื งเปน็ จุดศูนยก์ ลางการเชอ่ื มต่อดงั กลา่ ว 2.7 Internet of Thing (IOT) : an Important Control processing unit for (BIG) Data Driven Management Big Data ซึ่งเป็นข้อมูลสาคัญสาหรับขับเคลื่อนการบริหารจัดการบนพ้ืนฐานขอข้อมูล (Data Driven Management) ให้เกิดผลสูงท่ีสุด มีการให้นิยามเพื่อแบ่งแยกออกจากชุดข้อมูลท่ัวๆ ไป (Ordinary Data) โดยดูจากกรอบ 3 ประการ คือ ขนาด (Volume) , ความหลากหลาย (Variety) และความเป็นพลวัตรท่ี รวดเร็ว (Velocity) โดยลักษณะพื้นฐานข้อมูลแบบ Big Data คือจะมีค่าคุณสมบัติ (Parameter) เหล่านี้สูง มาก จนไม่สามารถจัดเก็บ หรือประมวลผลเสร็จส้ินในระบบเดียวได้iv เพราะนอกจากขนาดท่ีใหญ่เกินกว่าจะ จัดเก็บเอาไว้ใน Hard disk ตัวใดๆ ในโลกแล้ว ลักษณะของข้อมูลที่มีการเปล่ียนแปลงทุกๆ วินาที ทาให้เม่ือ พิจารณาในมิติของเวลา ขนาดของข้อมูลก็จะใหญ่ข้ึนมาอีก และประโยชน์ของข้อมูลชุดก่อนหน้าก็จะตกลง อย่างรวดเร็วทุกๆ วินาที การทาใหข้ ้อมูลท่เี กบ็ มาเมอื่ วนิ าทีก่อนเกิดประโยชน์สูงสุดคือการถ่ายโอนไปยังหน่วย ประมวลผลให้เร็วที่สุดเพ่ือใช้เป็นพ้ืนฐานของการคานวณ และรองรับข้อมูลชุดใหม่ท่ีจะมาในวินาทีต่อไป ส่วน ผลการวเิ คราะหจ์ ากหนว่ ยประมวลผลกจ็ ะตอ้ งสง่ ผา่ นไปยังผู้ใชง้ านในรปู ของสารสนเทศใหไ้ ด้อยา่ งเร็วที่สุดเพ่ือ ประโยชน์ ในด้านของการสรา้ งการรับรอู้ ยา่ งเปน็ ปัจจบุ นั (Real-time Knowledge) จากข้อความข้างต้นจะสังเกตได้ว่าทั้งกระบวนการเก็บ กระบวนการถ่ายโอน กระบวนการวิเคราะห์ และแปลงเป็นสารสนเทศนั้นชัดเจนว่าอยู่นอกขอบข่ายขีดจากัดและความสามารถของมนุษย์ กล่าวคือโดย ธรรมชาตแิ ลว้ ณ ปจั จุบันไม่น่าท่ีจะมีมนุษย์คนใดสามารถดาเนินการตามวงรอบดังกล่าวได้ ตรงจุดนี้เองท่ีการ ใชเ้ คร่ืองมอื กลไกหรือระบบอตั โนมตั ิ (Automation) เข้ามามีบทบาทสาคญั ใหก้ ารจัดการบนพ้ืนฐานของข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ข้อมลู ขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้ในทางปฏิบัติ แนวคิดเกี่ยวกับ Internet of Thing ซ่ึงว่าด้วยการ วางระบบที่ช่วยให้เครื่องยนต์กลไกอัตโนมัติเหล่านี้ทางานได้อย่างสอดประสานกันและลดภาระของมนุษย์ ได้มากท่ีสุดจึงถูกหยิบยกข้ึนมาใช้เป็นส่วนหน่ึงของการพัฒนาต่อยอดการบริหารจัดการบนพ้ืนฐานของข้ อมูล Big Data โครงการวิจัยถอดบทเรียนเพ่อื พฒั นาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ และชมุ ชน 2-32
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พนื้ ฐานเกี่ยวกบั เมืองอจั ฉริยะ 2.7.1 แนวคิดพน้ื ฐานของ IOT คาว่า Internet of Things (IoT) ถือกาเนิดข้ึนในปี ค.ศ. 1999 ในบริบทของการจัดการห่วงโซ่ อุปทาน (Supply Chain Management) โดย Mr. Kevin Ashton และในช่วงทศวรรษท่ีผ่านมา คาว่า IoT ก็ ถูก นาไปใช้และพูดถึงในวงกว้างในอีกหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านสุขภาพ (Healthcare) ด้าน สาธารณูปโภค (Utility) ด้านคมนาคมขนส่ง (Transport) และอ่ืนๆ เป็นต้น Internet of Things (IoT) จึง เป็นแนวคิดที่เป็นการเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ หรืออุปกรณ์ ทันสมัยต่างๆให้ติดต่อกันได้โดยไม่ต้องผ่าน คน ซึ่งมีเป้าหมายในการช่วยกันทางานเพ่ือให้มนุษย์มีความ สะดวกสบายมากข้ึนโดยที่ไม่ต้องเข้าอยู่ใน กระบวนการส่ังการใดๆ ในปัจจุบันได้มีการให้คานิยามของ Internet of Things หรือ IoT ไว้หลากหลายเพื่อ งา่ ยตอ่ การเขา้ ใจ ดัตวั อย่างคานยิ ามของ IoT ดังนี้ IoT คือส่ิงของ (Things) ที่เชื่อมเครือข่ายไร้สายโดยการฝังเทคโนโลยีที่ใช้สาหรับส่ือสารกับมนุษย์ ไว้ ภายใน ซ่งึ มนุษย์ไม่จาเปน็ ต้องควบคุมส่ังงานทตี่ ัวอุปกรณ์นน้ั ๆ โดยตรงv IoT คือ เครือข่ายของส่ิงท่ีเป็นตัวตนจับต้องได้ (Things) ท่ีมีสิ่งประดิษฐ์อิเล็กทรอนิกส์ เซ็นเซอร์ หรอื ซอฟตแ์ วร์ฝังตวั อยูโ่ ดยสามารถเช่ือมต่อถึงกันได้เพื่อเพ่ิมประโยชน์และคุณค่าของบริการ โดยแลกเปล่ียน ข้อมูลของผผู้ ลิตกบั Operator และ/หรอื อปุ กรณ์ทีม่ สี ิ่งฝง่ั ตวั อยู่vi บริษัท Intel ได้ระบุว่า “IoT คือการพัฒนาอุปกรณ์เคร่ืองใช้ในชีวิตประจาวันท่ีสามารถเชื่อมต่อ กับ โลกออนไลน์ได้vii จากนยิ ามต่างๆ ข้างตน้ ก็พอจะสรุปได้วา่ “Internet of Things (IoT) คอื ระบบการเช่ือมโยงอุปกรณ์ หรอื ส่ิงของ ตา่ งๆที่อยู่รอบตัวของมนุษย์ผ่านเครือขา่ ย เพอ่ื ทจ่ี ะทาการ รับ-สง่ ข้อมูลทัง้ จากตนเองและแหล่งอ่ืน มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้ งานน้ันๆ โดยลดภาระด้านการส่ังงาน โดยตรงจากมนษุ ยน์ ่ันเอง โดยระบบ Internet of Thing มสี ว่ นองคป์ ระกอบหลัก 3 สว่ นคอื - Sensor & Activators คอื ส่วนของการรับขอ้ มูลตา่ งๆ - Connectivity คอื สว่ นของการเชือ่ มต่ออปุ กรณต์ า่ งๆ เขา้ กบั เน็ทเวิรค์ เชน่ Wi-Fi, GPRS, 3G - Process คอื ส่วนกระบวนการทางานของอุปกรณใ์ นระบบ IoT และการทางานของตวั ระบบ 2.7.2 การประยกุ ต์ใช้ IOT กับการปรับใช้ Data Driven Management จากการวิเคราะห์ข้างต้นย่ิงตอกย้าความสาคัญของการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านการถ่ายโอนข้อมูล (Data Transferring Channel- Infrastructure) ในส่วนก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี เน่ืองจากเป็นตัวขัยเคล่ือนที่ สาคญั ยงิ่ ต่อการทางานของระบบ Internet of Thing จดุ เด่นของระบบน้คี ือการตัดบทบาทของมนุษย์ด้านการ ส่ังการออกและรดี เร้นเอาจุดแขง็ ของ อุปกรณ์อัตโนมัติ (Automation) น่นั คอื ความรวดเร็วเหนอื กวา่ มนษุ ย์ในดา้ นการรับรู้ การตอบสนอง และการดาเนนิ งานแต่ละชนิด ความต่อเนื่องในการทางานทีใ่ กลเ้ คยี งกับคาว่าตลอดเวลาและไม่สนิ้ สุด ก้าวข้ามอุปสรรคที่มนษุ ยไ์ มส่ ามารถทาได้อันเนือ่ งมาจากเหตผุ ลทางชีวภาพ – กายภาพ โครงการวจิ ยั ถอดบทเรียนเพื่อพฒั นาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ และชมุ ชน 2-33
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคิดพนื้ ฐานเกย่ี วกับเมืองอัจฉรยิ ะ ออกมาใช้งานอย่างเต็มท่ี ซึ่งการปรับใช้กับภารกิจด้านการบริหารจัดการบนพ้ืนฐานของข้อมูลขนาด ใหญ่ (Big Data Driven Management) ที่โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่สามารถทาได้ ย่ิงเป็นการจับคู่ท่ีลงตัว โดยระบบเทคโนโลยี Internet of Thing นั้นเป็นส่วนสาคัญท่ีควรหยิบมาใช้ในการพัฒนาหน่วยประมวลผล (Data Analysis & Process Unit) , หนว่ ยเก็บขอ้ มูล (Data Collecting Unit) และหนว่ ยควบคุมการถา่ ยโอน ข้อมูล (Data Transferring Control Unit) ซึ่งสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าเป็นหน่วยที่ต้องรับภาระหนักท่ีสุดใน วงรอบการทางานของการบรหิ ารจัดการบนพน้ื ฐานของข้อมลู ขนาดใหญ่ (Big Data Driven Management) 2.7.3 การแลกเปล่ียน และจัดสรรหน้าที่ใหม่ระหว่างมนุษย์ กับ Automation ภายใต้บริบทของ Internet of Thing (IoT) หน่ึงในความกงั วลของมนุษยท์ ี่มตี ่อการประยกุ ต์ใช้ระบบ Internet of Thing ก็คือเรื่องของการเข้ามา แยง่ งานมนุษย์โดยเครื่องจักร บนฐานความเข้าใจที่ว่ามนุษย์จะถูกตัดบทบาทออกไปโดยสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็น คามเข้าใจท่ีไม่ถูกต้องเท่าใดนัก แม้ว่าบทบาทของมนุษย์ในแง่การส่ังการ และการทางานจะถูกลดบทบาทลง อย่างมีนัยสาคัญ แต่บทบาทหน้าท่ีใหม่ของมนุษย์ในการประยุกต์ใช้ระบบ Internet of Thing ก็เกิดข้ึนด้วย เชน่ กัน โดยอาจแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภทหลกั ๆ คอื 1.) บทบาทในการซ่อมบารุง และปรับปรุงการทางานของระบบ เนื่องจากแนวโน้มใน ปัจจุบันท่ีเคร่ืองจักรโดยส่วนมากยังมีขีดความสามารถทางความคิดตามกรอบการทางานหรือชุดคาส่ังที่ได้รับ จะมคี วามสามารถในด้านการปรบั ปรุงการทางานก็ยังคงอยู่ในกรอบการทางานยังไม่สามารถปรับแก้กรอบการ ทางานในภาพรวมได้ด้วยตัวเอง หน้าท่ีในด้านการปรับปรุงซ่อมแซมกรอบการทางานจากสภาพปัญหาที่พบ รวมไปถึงการซ่อมซ่อมสภาพทางกายภาพของตัวเครื่องจกั รเครอื่ งกลเองจึงยังเปน็ หน้าท่ีหลักของมนุษย์ 2.) บทบาทในการเติมเต็มการทางาน เน่ืองจากเครื่องจักรเองก็มีข้อจากัดในการทางานคือ การยึดม่นั ตอ่ กรอบการทางานหรือชุดคาสงั่ อยา่ งเครง่ ครัด และโดยส่วนมากแล้วยังขาดความสามารถในการใช้ ดลุ ยพินจิ ตรงจดุ น้เี องทมี่ นุษยส์ ามารถเข้าไปเตมิ เตม็ การทางานของเครื่องจักรได้ 3.) บทบาทด้านการปรับใช้ข้อมูล และการตัดสินใจในข้ันสุดท้าย เพราะไม่ว่าระบบบริหาร จัดการภายใต้พ้ืนฐานของข้อมูลจะทันสมัย หรือมีความละเอียดลออเพียงใด มีขีดความสามารถข้ันสูงเพียงใด ตามหลักแล้วผลผลิตท่ีออกมาคือชุดของทางเลือก และข้อแนะนาด้านทางเลือก (Set of Option & Decision Making Recommendation) จึงทาให้มันได้ชื่อว่า Decision Making Support System ดังน้ันมนุษย์จึง ยงั คงมหี นา้ ท่สี าคัญคอื การเลอื กในข้นั สุดทา้ ยวา่ ตกลงแล้วควรที่จะตัดสินใจตามแนวคาแนะนาที่ระบบสร้างขึ้น จากฐานการิเคราะหข์ อ้ มูล หรือ เลอื กทางเลอื กอน่ื ๆ ให้เหมาะสมกบั สถานการณ์ โครงการวิจยั ถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ และชุมชน 2-34
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคิดพื้นฐานเกยี่ วกบั เมอื งอจั ฉรยิ ะ 2.8 การคิดเชงิ ยุทธศาสตร์เพ่ือพฒั นาเมอื งอจั ฉรยิ ะในบริบทความทา้ ทายของ Digital Landscape 2.8.1 ความสาคัญของการคิดเชิงยุทธศาสตร์ การคิดเชิงยุทธศาสตร์คือการคิดบนฐานของการพยายามทาให้เป้าหมายท่ีวางไว้บรรลุผลสัมฤทธิ์ซ่ึงมี ความจาเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะซึ่งมีการวางเป้าหมายที่ชัดเจนและความสาเร็จนั้นวัดจากการ บรรลเุ ป้าหมายที่วางไว้ ซึง่ ขน้ั ตอนแรกและถอื เป็นขัน้ ตอนท่ีสาคญั ที่สุดของการคดิ เชิงยุทธศาสตร์คือข้ันตอนใน การกาหนดเป้าหมาย และขั้นตอนในการกาหนดยุทธศาสตร์ของการพัฒนาเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เน่ืองจากจะเป็นตัวกาหนดแนวทางการพัฒนาในภาพรวม , เป็นตัวกาหนดแนวทางการวิเคราะห์สภาพบริบท และสภาพความท้าทายของการพัฒนา , เป็นแนวนาทางในการสารวจและคัดเลือกระบบเทคโนโลยีตลอดจน เครื่องมือในการบริหารจัดการท่ีเหมาะสม และเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน กระบวนการพัฒนาซึ่งสามารถหาวิธกี ารปรับเปลีย่ นให้มาเป็นพนั ธมิตรการพฒั นาในอนาคตได้ กลา่ วโดยสรปุ การคิดเชงิ ยทุ ธศาสตร์จะช่วยใหเ้ ราเหน็ ภาพรวมของการพฒั นา ไดร้ ับรู้วา่ ภาค สว่ นใดบ้างจะเข้ามาเก่ียวขอ้ ง ประเด็นปัญหาใดจะได้รับการหยิบยกข้ึนมาเป็นประเด็น ปัญหาใดจะได้ถูกหยิบ ยกขึ้นมาแก้ไข บริบทแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามีอะไรบ้าง และระบบเทคโนโลยีใดบ้างที่ทางเมือง จะต้องให้ความสนใจ หรือเลือกท่ีจะพัฒนา การกาหนดทิศทางได้อย่างชัดเจนเช่นนี้จะช่วยให้การพัฒนาเมือง อัจฉริยะเป็นไปในแนวทางเดียวกันคือเพื่อตอบสนองเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ไม่เกิดสภาพของการพัฒนาท่ี กระจัดกระจายไม่สอดประสานซึ่งกนั และกนั 2.8.2 กาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองอัจฉริยะบนฐานของสภาพปัญหา และเงื่อนไขของพ้ืนที่ และรองรับการพัฒนาอย่างย่ังยืน ภายใต้บรบิ ทของ Digital Landscape จากที่กล่าวถงึ ไปแล้วในส่วนก่อนหน้าว่า เป้าหมายหลักสองประการของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะตาม ความเขา้ ใจในปจั จุบันคอื 1.) การพฒั นาบนพน้ื ฐานของปัญหา และเงื่อนไขเฉพาะในพน้ื ท่ี (Area Base Circumstance & Problem) 2.) การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทงั้ สองเป้าหมายจงึ เปน็ พื้นฐานทสี่ าคญั ในการกาหนดยทุ ธศาสตร์การพฒั นาเมอื ง ทัง้ น้ี นอกจากเงื่อนไขทากายภาพ และสภาพปัญหาเฉพาะของเมืองแล้ว เง่ือนด้านบริบทของ Digital Landscape เองก็มีส่วนสาคัญในการนาไปประกอบในการกาหนดยุทธศาสตร์ แต่การวิเคราะห์บริบท Digital Landscape น้ันจะไม่ได้ทาการวิเคราะห์ในระดับโครงสร้างมหภาค (Macro) หรือโครงสร้างในระดับชาติ (State Level) หากแต่เป็นการวิเคราะห์ในระดับพื้นที่กล่าวคือวิเคราะห์สภาพบริบท และความท้าทายท่ีเมืองเผชิญจาก กระแสของ Digital Landscape เนื่องจากแต่ละเมืองก็เผชิญกับกระแสความเปลี่ยนแปลงและสภาพความท้า โครงการวจิ ัยถอดบทเรยี นเพอ่ื พัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ และชมุ ชน 2-35
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคดิ พ้นื ฐานเกยี่ วกบั เมืองอจั ฉริยะ ทายที่แตกต่างกันออกไปข้ึนอยู่กับตาแหน่งหน้าที่ของเมือง (City Position) ด้วย โดยสภาพความท้าทายจาก Digital Landscape ท่เี มอื งมกั จะพบคือ 1.) การเขา้ มาของ Digital Life Style & Business ซ่ึงโครงสร้างพนื้ ฐานทางเศรษฐกิจและ โครงสรา้ งพนื้ ฐาน และแนวคิดด้านการปกครอง (Governance) ของเมืองยังไม่ได้รบั การ พัฒนาใหร้ องรับ 2.) เกดิ ธุรกิจ หรอื การให้บริการรูปแบบใหม่ ซึ่งเครื่องมือดา้ นการบริหารจัดการและกากับ ดแู ลของเมอื งยงั ไมไ่ ด้พัฒนาให้รองรับ จนเกิดเปน็ พื้นท่ธี รุ กิจทขี่ าดการกากบั ดแู ล 3.) การเขา้ มาของแนวการบริหารบนพน้ื ฐานของข้อมลู (Data Driven Management) แล้ว แนวโน้มความต้องการช่วงใช้ Big Data เพ่ือการบรหิ ารจัดการทาให้เมืองต้องปรบั ตวั ด้านการพัฒนาบุคลากร และการพฒั นาระบบสาธารณูปโภคด้านข้อมูล และสารสนเทศ เป็นการใหญ่ ซึ่งต้องอาศยั ต้นทุนค่อนขา้ งสงู และมกั จะตดิ ปญั หาจากอานาจหน้าที่ที่ จากัดของเมือง ซ่งึ บางเมอื งก็อาจจะไม่ประสบปญั หาเหลา่ นีใ้ นทกุ ขอ้ หรือมีปญั หาที่เฉพาะเจาะจงยิ่งกวา่ 3 ข้อน้ี ขึ้นอยู่กับตาแหน่งหน้าที่ของเมือง ซึ่งเม่ือวิเคราะห์ปัญหาเหล่าน้ีออกมาได้แล้วขั้นต่อไปคือการผนวกเอา เงื่อนไขส่วนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเง่ือนไขในพ้ืนที่ (Area Base Circumstance) ประกอบการกาหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ทั้งนี้เมืองจาเป็นท่ีจะต้องศึกษาบริบท Digital Landscape ในระดับมห ภาคเอาไวด้ ้วยเพื่อใหเ้ กดิ องค์ความรู้วา่ Digital Landscape นอกบริบทของเมืองนั้นมีพลวัตรเช่นใด เน่ืองจาก บรบิ ทเหล่าน้ันอาจส่งอิทธิพลกับเมืองได้ในอนาคต และเพ่ือการออกแบบแนวทางการพัฒนาเมืองที่รองรับกับ การพฒั นาในระยะยาวให้บรรลผุ ลการพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื 2.8.3 ออกแบบระบบเทคโนโลยี และพิจารณาระบบโครงสร้างพ้ืนฐานด้านข้อมูลสารสนเทศที่จาเป็น ตอ่ การขบั เคล่อื นระบบเทคโนโลยี เม่ือกาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไดแ้ ลว้ ทง้ั ในสว่ นยุทธศาสตรห์ ลักและยุทธศาสตร์รอง ขั้นต่อมาเมือง ก็จาเป็นท่ีจะต้องวิเคราะห์ว่าระบบการบริหารจัดการ รวมถึงระบบเทคโนโลยีใดบ้างที่มีความจาเป็น หรือจะ นาไปสู่การบรรลผุ ลยุทธศาสตร์ตามที่ต้ังไว้ จากนั้นจึงทาการจัดวางระบบเทคโนโลยีเหล่าน้ันว่ามีตาแหน่งแห่ง ทใี่ ดในกระบวนการพฒั นาโดยการจบั ครู่ ะบบเทคโนโลยเี ข้ากับยุทธศาสตร์ที่ตอบสนอง จากน้ันจึงเร่ิมออกแบบ รายละเอียดของระบบเทคโนโลยีทั้งในมิติของ การออกแบบรายเทคโนโลยี ว่าในระบบเทคโนโลยีนั้นต้องการอุปกรณ์ (Device) , โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) , ระบบการทางาน (Process) , ระบบการซ่อมบารุง (Maintenance) และระบบโปรแกรม ประยุกต์ (Software – Application) ใดบ้าง การออกแบบการประสานการทางานระหวา่ งระบบเทคโนโลยี เพื่อการทาภารกิจบางประการที่ไม่อาจ สาเร็จได้ด้วยการอาศัยระบบเทคโนโลยีระบบเดียว ซึ่งในข้ันตอนนี้จะต้องคานึงถึงการสร้างหน่วยประมวล กลางระหว่างระบบเทคโนโลยี , ระบบโครงสร้างพ้ืนฐานกลางระหว่างระบบเทคโนโลยี , ระบบการจั ดเก็บ โครงการวจิ ยั ถอดบทเรยี นเพอ่ื พัฒนาการบรกิ ารสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ และชุมชน 2-36
รายงานฉบับสมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคิดพืน้ ฐานเกีย่ วกบั เมอื งอจั ฉริยะ ขอ้ มลู และจัดการข้อมูลกลางระหว่างระบบเทคโนโลยี รวมไปถึงการสร้างองค์กรกลางท่ีมีศักยภาพรองรับการ ทางานบนพ้ืนฐานของข้อมูลทีจ่ ัดเกบ็ และประมวลผลจากระบบเทคโนโลยที แี่ ตกต่างกัน การออกแบบการประสานระบบเทคโนโลยีและโครงสร้างพ้ืนฐานทางข้อมูลสารสนเทศ เข้ากับ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ ซ่ึงเป็นหนึ่งในเงื่อนไขความสาเร็จท่ีสาคัญตามข้อสังเกตเกี่ยวกับการพัฒนา Smart City ของหลายๆ แนวคิดอาทิข้อสังเกตของ IBM โดยอาจประสานท้ังสองส่วนนี้เข้าด้วยกันผ่านการ ปรบั ใช้ Data Driven Management และกระบวนการหลอมแผนการปฏบิ ัติงานระหว่างหน่วยงานท่ีดูแลด้าน ข้อมูล และหนว่ ยงานด้านการวางแผนปฏิบัตงิ าน 2.8.4 สารวจเทคโนโลยี เคร่อื งมอื การบริหารท่มี ีอยู่เดิม และการจัดหาเทคโนโลยีใหม่ เม่ือพิจารณาและออกแบบระบบเทคโนโลยีจนเห็นภาพรวมและรายละเอียดของระบบ เทคโนโลยีแลว้ ข้นั ตอ่ มาคือการจัดลาดับความสาคัญของแต่ละระบบเทคโนโลยีว่าระบบใดควรพัฒนาก่อนหลัง โดยอาจยึดเกณฑก์ ารลาดับความสาคญั 2 เกณฑ์คือ 1.) เกณฑ์ความสาคญั ของยุทธศาสตรท์ ่รี ะบบเทคโนโลยนี น้ั ชว่ ยให้บรรลผุ ล 2.) เกณฑ์ดา้ นแนวโน้มท่ีจะสามารถทาใหส้ าเรจ็ ได้ในเวลาอันสน้ั กล่าวโดยสรปุ เกณฑ์ในข้อแรกคือการวัดว่าระบบเทคโนโลยีทีจ่ ะพฒั นานน้ั ชว่ ยให้เมอื งบรรลุ ยุทธศาสตร์การพัฒนาท่ีสาคญั อันดับต้นๆ หรอื ไม่ การวิเคราะหจ์ ึงไม่ไดอ้ ยทู่ ่ีตวั ของระบบเทคโนโลยี แต่อยู่ที่ตัว ของยทุ ธศาสตรท์ ่ีระบบเทคโนโลยีนั้นช่วยใหบ้ รรลุผล ด้วยเหตุน้กี ารจบั ครู่ ะบบเทคโนโลยีเข้ากับยุทธศาสตร์แต่ ละข้อจึงสาคัญมาก โดยยุทธศาสตร์ที่ถือได้ว่ามีความสาคัญมากๆ อาทิ ยุทธศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานไปสู่ ความสาเร็จของยุทธศาสตร์ข้ออื่นๆ เช่นการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน , การสร้างระบบบริหารจัดการของเมือง อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพผา่ นการบรหิ ารจัดการบนพ้นื ฐานของขอ้ มูล และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนร้ายแรงของเมือง เป็นตน้ ส่วนเกณฑ์ในข้อสองคือการวัดว่าระบบเทคโนโลยีที่จะพัฒนาน้ันมีความง่ายในการพัฒนา อาจจะ สามารถพัฒนาให้เสร็จได้โดยเร็ว , มีความเสี่ยงต่าเน่ืองจากใช้เม็ดเงินในการลงทุนท่ีต่า และไม่ติดปัญหาด้าน อานาจหนา้ ท่ี , มผี ปู้ ระกอบการในตลาดเป็นจานวนมากสามารถจดั หาระบบเทคโนโลยีได้โดยง่าย เป็นต้น การ วิเคราะห์จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวของยุทธศาสตร์ แต่อยู่บนพื้นฐานของตัวระบบเทคโนโลยีว่ามีความยากง่ายในการ จดั สร้างจัดหาเพยี งใด ทั้งน้ีแนวทางการจัดลาดับความสาคัญท่ีถูกต้องไม่ใช่การใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่ง แต่จะต้องใช้ทั้งสอง เกณฑ์ร่วมกันในการวิเคราะห์เพื่อหาระบบเทคโนโลยีท่ีตอบสนองต่อกลุ่มยุทธศาสตร์ท่ีสาคัญ และไม่เกิน ความสามารถของเมอื งที่จะจดั หามาใช้ หรือสรา้ งขน้ึ ได้ (Important & Affordable) ข้ันถัดไปคอื การพยายามสารวจว่าจนถึงปัจจุบันเมืองมีระบบเทคโนโลยีใดบ้างแล้ว ซ่ึงอาจไม่ใช่ระบบ เทคโนโลยีท่ีทันสมัยล่าสุดก็ได้ เน่ืองจากเทคโนโลยีหลายๆ ระบบในปัจจุบันเองก็มีพ้ืนฐานมาจากระบบ โครงการวจิ ยั ถอดบทเรียนเพือ่ พฒั นาการบริการสาธารณะขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นและชมุ ชน 2-37
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 2 แนวคิดพน้ื ฐานเกย่ี วกับเมอื งอจั ฉรยิ ะ เทคโนโลยีรุ่นกอ่ นหนา้ ด้วยเหตนุ ้กี ารควบรวมระบบเทคโนโลยีเก่า แล้วนามาปรับปรุง หรือนามาเป็นฐานการ ปรบั ปรงุ เพือ่ พฒั นาเป็นระบบเทคโนโลยีที่ไมต่ กร่นุ เองก็มีความสาคัญไม่แพ้กัน เมอ่ื ทาการสารวจเรียบรอ้ ยแลว้ วา่ พ้นื ฐานของเมอื งมีระบบเทคโนโลยี และ ระบบโครงสร้าง พื้นฐานใดอยู่แล้วบ้าง , สภาพความพร้อมของการใช้งานแต่ละระบบ-โครงสร้างพ้ืนฐานเป็นอย่างไร ขั้นต่อมา คือการสารวจว่า เพื่อให้ครบถ้วนตามภาพใหญ่ของระบบเทคโนโลยี – โครงสร้างพ้ืนฐานที่ออกแบบไว้แล้วนั้น เมืองยังมีส่วนใดท่ีขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง เม่ือได้รายการของระบบเทคโนโลยีที่และระบบโครงสร้างพ้ืนฐานที่ ขาดหายไปแล้วจึงเริ่มวางแผนการจัดหา หรือจัดสร้างระบบเทคโนโลยี หรือโครงสร้างพื้นฐานเหล่าน้ันว่า จะต้องทาอย่างไร , ถ้ามีวิธีในการจัดสร้างจัดหาที่มากกว่าวิธีเดียวควรจะเลือกวิธีใด โดยจัดลาดับการจัดซื้อ จดั หาตามลาดบั ความสาคญั ที่ไดก้ าหนดเอาไว้ก่อนหนา้ นี้ 2.8.5 วเิ คราะห์ผู้มีสว่ นได้ส่วนเสียและสร้างเครือข่ายพนั ธมติ รการพัฒนา ข้นั ตอนต่อมาคือการวิเคราะห์ว่าปริมณฑลของระบบเทคโนโลยี และโครงสร้างพ้นื ฐานท่ี ต้องการพัฒนานั้นเก่ียวข้องสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มใดบ้าง โดยอาจแบ่งกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ออกเป็น 3 กล่มุ หลักๆ คือ ผปู้ ระกอบการทอ่ี าจเป็นผู้ออกแบบและจัดจาหนา่ ยระบบเทคโนโลยีทั้งระบบ หรือเป็นผู้จดั จาหน่ายอปุ กรณ์หรือองคป์ ระกอบย่อยอนั ใดอนั หนงึ่ ในระบบเทคโนโลยี ผู้ปฏบิ ัตงิ าน และภาครฐั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ซงึ่ เปน็ ผ้ปู รบั ใช้ระบบเทคโนโลยีโดยตรงในการ ปฏิบตั ิงาน และเปน็ ผมู้ หี นา้ ท่ตี รวจสอบ – กากบั ดแู ลการจดั ซือ้ จดั หา และการปรบั ใช้ระบบเทคโนโลยี ผู้ไดร้ ับผลกระทบจากระบบเทคโนโลยี ท้ังในมิติของผรู้ ับบริการ (End User) และผ้ไู ดร้ บั ผลกระทบโดยทางอ้อม โดยจะต้องพิจารณาท้ังในระหว่างกระบวนการพัฒนา-ติดตั้งระบบเทคโนโลยี และใน ระหว่างการปรบั ใช้ระบบเทคโนโลยี ท้ังน้ีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นจากชื่อก็บอกชัดเจนแล้วว่าเป็นกลุ่มตัวแสดงที่อาจเป็นโอกาส หรือความ เสี่ยงในกระบวนการพัฒนาระบบเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อ ยกระดับจากผ้มู ีสว่ นได้ส่วนเสียให้เป็นพันธมิตรการพัฒนา จึงเป็นข้ันตอนท่ีสาคัญ และปรากฏอยู่โดยท่ัวไปใน หลายๆ กรณีศึกษาการพัฒนาเมืองอัจฉริยะท่ีประสบความสาเร็จ อาทิกรณีของเมืองเวียนนา หรือกรณีของ Kashiwa โดยการยกระดบั จากผู้มสี ่วนไดส้ ว่ นเสยี น้ันสามารถกระทาได้โดยการออกแบบกรอบการทางานแบบ เปิดและรองรับการประสานการทางาน (Open & Instigation Framework) ซ่ึงดึงเอาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้า มารว่ มในกระบวนการวางแผนการพัฒนาตั้งแต่ขั้นการกาหนดเป้าหมาย , การวางแผนปฏิบัติการ ไปจนถึงข้ัน การดาเนนิ งาน การปรับแผน และการติดตามประเมินผล จากขั้นตอนท้ังหมดจะทาให้เราได้ชุดของแผนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทั้งภาพรวมของการพัฒนาที่ สะท้อนแนวทางการพัฒนา และความเชื่อมโยงระหว่างแต่ละส่วนงานย่อยท่ีชัดเจน , เห็นภาพรายละเอียดใน แต่ละส่วนงานย่อยตามรายการระบบเทคโนโลยี ว่าแต่ละส่วนงานมีปัญหาหรือความท้าทายใด , แนวทางใน โครงการวิจัยถอดบทเรยี นเพอ่ื พัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นและชมุ ชน 2-38
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ (Final Report) บทที่ 2 แนวคดิ พ้นื ฐานเกย่ี วกบั เมืองอจั ฉริยะ การปรบั ปรุงและซ่อมบารุงการดาเนินงานควรจะต้องเป็นไปในแนวทางใด , ในกระบวนการพัฒนามีผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียใดบ้าง และในระยะยาวจะสามารถพัฒนาไปในแนวทางใด ท้ังหมดนี้จะช่วยให้การวางแผนการ ปฏบิ ตั ิงานในข้นั ตอนถัดจากน้ี มแี นวทางที่ชัดเจนและสอดประสานไปในแนวทางเดียวกัน และที่สาคัญคือช่วย การันตีได้ว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจะดาเนินไปบนพื้นฐานสาคัญ 2 ประการคือ การพัฒนาบนพื้นฐานของ เงื่อนไขและสภาพปัญหาของพ้ืนที่ (Area Base Circumstance & Problem) และ การพัฒนาอย่างย่ังยืน (Sustainable Development) โครงการวจิ ัยถอดบทเรยี นเพอื่ พัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นและชมุ ชน 2-39
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 3 กรณศี กึ ษาการพฒั นาเมอื งอจั ฉริยะ และการถอดบทเรยี นจากกรณีศึกษา บทที่ 3 กรณศี กึ ษาการพัฒนาเมืองอจั ฉริยะ และการถอดบทเรยี นจากกรณศี ึกษา กรณีศึกษาการพัฒนาเมอื งอจั ฉริยะ ในเมืองมหานครและเมืองหลวง กรณีศึกษาการพัฒนาเมืองอัจฉรยิ ะ ในเมอื งที่อยู่อาศัย และเมืองปรมิ ณฑล การถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา : ขน้ั ตอนส่กู ารพฒั นาเมืองอจั ฉริยะ 3.1 กรณศี ึกษาการพฒั นาเมอื งอจั ฉรยิ ะ ในเมืองมหานครและเมอื งหลวง SMART CITY VIENNA – ออสเตรยี viii แม้กรุงเวียนนาได้รับเลือกให้เป็นเมืองท่ีมีความน่าอยู่ท่ีสุดในโลก (Most Livable City) โดย บริษัทท่ี ปรึกษา Mercer แต่หน่วยงานต่างๆ ที่เก่ียวข้องต่างก็ไม่ได้หยุดท่ีจะคิดค้นแนวทางการพัฒนาและยกระดับ คุณภาพชีวิตของประชาชน และการดาเนินงานด้านต่างๆ ของเมือง เพราะตระหนักถึงการเพิ่มข้ึนอย่าง ต่อเน่ืองของปัจจัยต่างๆ ท่ีคุกคามคุณภาพชีวิตของประชาชนในเมือง อาทิปัญหาด้านการเพิ่มขึ้นของ ประชากร และการขยายตัวของเขตท่ีอยู่อาศัย นายกเทศมนตรีประจ ากรุงเวียนนาได้ประกาศแผนงาน “Smart City Wien” อยา่ งเปน็ ทางการใน เดือนมีนาคม ค.ศ. 2001 โดยมุ่งเน้นการยกระดับของเมืองในทุกๆ ด้านไดแ้ ก่ ดา้ นโครงสร้างพนื้ ฐาน พลังงาน และ คมนาคม นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาถึงทุกภาคส่วนท่ีเกี่ยวข้อง กบั การดาเนินชีวิตของประชากร องค์ประกอบสาคัญของแผนงาน Smart City Vienna คือ การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการ (Stakeholder) ท้ังท่ีเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐและจากภาคส่วนอ่ืนๆ ผู้ท่ีเกี่ยวข้องสามารถเข้าร่วม การประชุมที่หารือ ในเร่ืองทั่วไป (general consultation) หรือเข้าร่วมการประชุมท่ีมีหัวข้อเฉพาะ ซึ่งหัวข้อ การหารือเฉพาะมี ทั้งหมด 6 หัวข้อด้วยกัน คือ ด้านการพัฒนาประชากร ด้านส่ิงแวดล้อม ด้านการบริหาร ด้านเศรษฐกิจ ด้าน พลังงาน และด้านคมนาคม โดยจากการหารือสามารถสรุปวัตถุประสงค์ของการ ดาเนนิ งานออกมาได้ 3 ประการดงั น้ี 1.) กาหนดเป้าหมายของการพฒั นาเอาไว้ 3 ด้านคอื -ดา้ นทรัพยากร 4 ดา้ น ได้แก่ พลงั งาน , การคมนาคม , อาคาร และโครงสรา้ งพน้ื ฐาน -ดา้ นนวตั กรรม 3 ดา้ น ได้แก่ การวจิ ยั และพฒั นา , เศรษฐกิจ และ การศึกษา -ด้านคุณภาพชีวิต 3 ด้าน ได้แก่ การมีส่วนร่วมของประชาชน , ด้านสาธารณสุข และด้าน ส่งิ แวดลอ้ ม โครงการวจิ ัยถอดบทเรยี นเพอื่ พัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นและชมุ ชน 3-1
รายงานฉบบั สมบูรณ์ (Final Report) บทท่ี 3 กรณีศึกษาการพัฒนาเมอื งอจั ฉรยิ ะ และการถอดบทเรยี นจากกรณีศกึ ษา 2.) รปู แบบของโครงการ โดยเน้นโครงการสัมมนาและวางแผนการพัฒนาโดยแบ่งช่วงเวลาของการพัฒนาเอาไว้เป็น 3 ช่วงคือ ระยะส้ัน ระยะกลาง และระยะยาว โดยในข้ันตอนการดาเนินโครงการจะดึงเอาผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ( Stake holder) ทัง้ ท่ีเปน็ ภาครฐั , ภาคธุรกิจ และประชาชน เขา้ มามีส่วนร่วม และดึงเอาผู้เช่ยี วชาญในแต่ละสาขาเข้า มารว่ มในการสัมมนาและวางแผนการพฒั นาดว้ ย โดยประชุมสัมมนาใน สามหัวข้อ ได้แก่ “Smart Energy Vision 2050″ “Roadmap for 2020 and Beyond” และ “Action Plan for 2012-2015″ หลังจากน้ัน ภาคสว่ นต่างๆ ขององค์กรในกรงุ เวียนนากไ็ ดร้ เิ รมิ่ โครงการภายใต้แผน Smart City Vienna 3.) การตงั้ เปา้ หมายท่ชี ดั เจนและมีการติดตามผลดาเนินการ แผนงาน Smart City Vienna ได้รับการแบ่งช่วงการดาเนินการออกเป็นในระยะสั้น (Action Plan for 2012-2015 ) ระยะกลาง (Roadmap for 2020 and Beyond) และระยะยาว (Smart Energy Vision 2050) การแบ่งช่วงดาเนินการดังกล่าวทาให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนและดาเนินการ มีการหารือ ระหว่างภาคส่วนทีเ่ กี่ยวข้องเพื่อจัดต้ังเป้าหมายท่ที ุกภาคส่วนยอมรับ เป้าหมายที่ได้รับการจัดต้ังมีข้อผูกมัดกับ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง (Binding) ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) และมีความพยายามในการติดตาม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (Monitoring) โดยบริษัทที่ปรึกษา TINA ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ออกแบบและดาเนินการ ติดตามผลท่ีได้รับจะถูกนามาหารือในท่ีประชุม เพื่อเป็นข้อมูลส่งกลับไปให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องและนาไป ปรับเปล่ยี นเปา้ หมายในการดาเนินการตอ่ ไป ตามวงรอบการบรหิ ารจัดการix การถอดบทเรยี นจากกรณีศกึ ษา ส่ิงท่ีน่าสนใจจากกรณขี องกรุง Vienna ไดแ้ ก่ 1.) การสรา้ งยุทธศาสตร์ท่ีกาหนดเป้าหมายชดั เจนและสอดคลอ้ งกบั ปัญหาและเง่ือนไขของพนื้ ที่ 2.) การสร้างกรอบยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับแผนปฏิบัติงาน (Framework Strategy) และมกี ระบวนการตดิ ตามผลการดาเนินงานที่ชดั เจนและมีประสิทธภิ าพ 3.) ดึงเอาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา และมีแนวโน้มท่ีจานาไปสู่การพัฒนาเป็น เครือขา่ ยพนั ธมิตรการพัฒนาเมอื งอัจฉรยิ ะ 3.2 กรณศี ึกษาการพัฒนาเมืองอจั ฉรยิ ะ ในเมืองทีอ่ ยอู่ าศัย และเมืองปรมิ ณฑล กรณีศกึ ษา Fujisawa Smart Town และ Kashiwa Smart Living City – ญี่ปนุ่ ตัวอย่างกรณีศึกษาในตางประเทศที่น่าสนใจที่หยิบยกมาคือตัวอย่างการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของ ประเทศญ่ีปุ่น โดยเมืองที่ยกมาเป็นตัวอย่างคือ เมือง Fujisawax เทศบาลระดับ Shi (ฐานะเทียบเท่ากับ เทศบาลนคร) ในจังหวัด คานางาวะ ภูมิภาคคันโต และ เมือง Kashiwaxi หรือ Kashiwa no ha เทศบาล ระดับ Shi ในจงั หวดั จบิ ะ (Chiba) ซ่ึงทั้งสองเมืองน้ีมีเง่ือนไขที่ใกล้เคียงกันคือ เป็นเมืองปริมณฑล (Satellite City) นอกจากนี้ลักษณะด้านปริมาณประชากร รวมถึงระดับชั้นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังมีความ คล้ายคลึงกันอีกด้วย โดยทั้งสองเมืองน้ีต่างเป็นเมืองปริมณฑลของมหานครในภูมิภาคคันโตของประเทศญี่ปุ่น นั่นคือมหานครโตเกียว (Tokyo Metropolitan) ซ่ึงมีประชากรหมุนเวียนในพ้ืนท่ีไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน ซึ่ง โครงการวิจัยถอดบทเรียนเพอ่ื พัฒนาการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ และชมุ ชน 3-2
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178