Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นถิ่นชายแดนใต้ที่ใกล้สูญหาย

ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นถิ่นชายแดนใต้ที่ใกล้สูญหาย

Description: ผ้าจวนตานี ผ้าทอพื้นถิ่นชายแดนใต้ที่ใกล้สูญหาย.

Search

Read the Text Version

ผา้ จวนตานี ผา้ ทอพน้ื ถน่ิ ชายแดนใตท้ ่ีใกลส้ ญู หาย

จังหวัดปัตตานี ในอดีตเป็นเมืองท่าค้าขายผ้าท่ีสำ�คัญ มีการแลกเปล่ียนความรู้ซึ่งกันและกัน หนึ่งในนั้นคือความรู้ทาง ของไทย มกี ารตดิ ต่อค้าขายกบั ชาวต่างชาตหิ ลายประเทศ ไม่ว่าจะ ด้านการทอผ้าทีม่ กี ารผสมผสานเทคนคิ ใหม่ ๆ โดยเฉพาะเทคนิค เป็นชาวอาหรบั เปอร์เซยี อนิ เดยี จีน และประเทศในแถบยุโรป จน การทำ�ผ้ามัดหม่ีท่ีได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ช่างทอผ้าชาวไทย กลา่ วไดว้ า่ จงั หวดั ปตั ตานมี คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งทางดา้ นการน�ำ สนิ คา้ จงึ ไดน้ �ำ องค์ความรมู้ าผนวกเขา้ กบั วิธที อผ้าแบบดง้ั เดมิ ที่มใี นทอ้ ง จากตา่ งชาตเิ ขา้ มาเพอื่ ท�ำ การแลกเปลยี่ นซอ้ื ขายภายในประเทศไทย ถนิ่ ภาคใตจ้ นกลายเปน็ ผา้ ไหมมดั หมมี่ คี วามสวยงามสะดดุ ตาอยา่ ง เช่น ผา้ ไหมจากเมืองจีน ดน้ิ เงนิ ด้นิ ทอง และสียอ้ มผา้ จากอนิ เดยี “ผ้าจวนตานี” เป็นต้น จนได้ชื่อว่าเป็น “แหล่งรวมสินค้าช้ันนำ�ด้านผ้าจากนานา ประเทศ” ดินแดนแห่งน้ีจึงเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมจาก หลายเชอ้ื ชาติ 1

2

ผา้ จวนตานี เปน็ ผา้ ทอดงั้ เดมิ ในพน้ื ทที่ างภาคใตต้ อนลา่ ง ของประเทศไทย ในแถบจงั หวดั ปตั ตานี ยะลา และนราธิวาส ใน อดตี ผา้ จวนตานี ถอื วา่ เปน็ ผา้ ทแ่ี สดงถงึ ฐานะของผสู้ วมใส่ เปน็ ผา้ ชนั้ สงู มรี าคาแพงมาก ผทู้ เ่ี ปน็ เจา้ ของจะหวงแหนและทะนถุ นอม ผา้ จงึ ถกู น�ำ มาใชเ้ ฉพาะงานส�ำ คญั ๆ เทา่ นนั้ ซ่งึ จะใชท้ ง้ั สตรชี าวมสุ ลมิ ทจ่ี ะใชท้ �ำ เปน็ ผา้ สไบพาดไหล่ หรอื คลมุ ศรษี ะ หรอื ใชเ้ ปน็ ผา้ นงุ่ คาด อก สว่ นบรุ ษุ ชาวมสุ ลมิ จะใชเ้ ปน็ ผา้ นงุ่ หรอื ผา้ นงุ่ ปดิ ทบั กางเกงขา ยาว ท่เี รียกวา่ สลินดงั หรอื ใชเ้ ป็นผ้าคลมุ ศพสำ�หรับชาวมสุ ลิมที่ มีฐานะ สว่ นในกลุ่มชาวพทุ ธจะนยิ มใช้แตง่ กายสำ�หรับออกงานใน พธิ ีทสี่ ำ�คญั ๆ ผา้ จวนตานี ส่วนใหญท่ อดว้ ยไหม มที งั้ ส่วนทเ่ี ป็น มดั หม่ี และทอยกด้วยเส้นเงินหรอื เสน้ ทอง 3

คณุ ค่า ความส�ำ คญั ทางวฒั นธรรม ของงานผา้ จวนตานี ผา้ จวนตานี หรอื ผา้ ลอ่ งจวน เปน็ ผา้ ทอพน้ื ถน่ิ ทป่ี รากฏในสาม ในอดตี ผา้ จวนตานี เปน็ ผา้ ผนื งามทค่ี งความงดงามเปน็ จงั หวดั ชายแดนภาคใตข้ องไทย ไดแ้ ก่ ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าส เอกลกั ษณ์ จนปรากฏในบทพระราชนพิ นธ์ “ดาหลงั ” ในพระบาท ซ่ึงเดิมมีศูนย์กลางอยู่ท่ีเมืองปัตตานี ท่ีถือเป็นเมืองท่าสำ�คัญใน สมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช (รชั กาลท่ี 1) ตอนทอ่ี เิ หนา คาบสมทุ รมลายู มกี ารซอ้ื ขายแลกเปลย่ี นสนิ คา้ และวฒั นธรรมกบั ปลอมตวั เปน็ ดาหลงั ไปเลน่ หนงั ใหท้ า้ วดาหาชม โดยมกี ารระบถุ งึ การ ชาวตา่ งชาตทิ เ่ี ขา้ มาตดิ ตอ่ ท�ำ การคา้ ขาย โดยมสี นิ คา้ ประเภทผา้ เปน็ แตง่ กายของอเิ หนา ทแ่ี ตง่ กายดว้ ยผา้ จวนตานี ไวว้ า่ สนิ คา้ หลกั ในการท�ำ การซอ้ื ขาย ผา้ จวนตานจี งึ เกดิ ขน้ึ จากภมู ปิ ญั ญา ของชา่ งทอผา้ เมอื งปตั ตานที ไ่ี ดม้ กี ารน�ำ เทคนคิ การทอผา้ ของชาวตา่ ง “นงุ่ ยกตานที องชอ่ งไฟ หม่ สไบชมพชู ศู รี ชาตมิ าผสมผสานกบั การทอผา้ ทอ้ งถน่ิ แบบเดมิ ทม่ี ี โดยใชผ้ า้ ปโตลา นง่ั เอย่ี มเยย่ี มคอยนาที พอค�ำ่ สองศรกี ล็ ลี า” ของอนิ เดยี เปน็ ต้นแบบ ท้งั ในด้านลวดลายและสสี นั ทำ�ให้ผา้ จวน ตานี จงึ มลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั ผา้ ไหมลมี าของอนิ เดยี โดยผนื ผา้ จะ สว่ นบทเสภาเรอ่ื ง “ขนุ ชา้ งขนุ แผน” ดงั ทป่ี ราฏในบทพระ มลี กั ษณะเฉพาะคอื การท�ำ เปน็ ลวดลายรอ่ ง (แถบ) ทง้ั แนวตง้ั และ ราชนพิ นธ์ ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั (รชั กาลท่ี 2) แนวนอนตลอดกนั ทง้ั ผนื ได้ กลา่ วถงึ ผา้ จวนตานไี ว้ในตอนแตง่ ตวั ไปฟงั เทศนท์ ว่ี ดั ความวา่ ศรปี ระจนั ครน้ั แลเหน็ ลกู สาว กนู ห้ี วั หงอกขาวมนั พน้ ท่ี จะตกแตง่ ตวั ไปท�ำ ไมม ี ควา้ ผา้ ตานหี ม่ ดอกด�ำ 4

จากบทละครขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ในอดตี ผา้ จวนตานจี ดั เปน็ ผา้ จวนตานเี คยเปน็ ผา้ ทอ้ งถน่ิ ทไ่ี ดร้ บั ความนยิ มอยา่ งมากใน เครอ่ื งนงุ่ หม่ ของชนชน้ั สงู ท�ำ ใหส้ ามญั ชนไมส่ ามารถสวมใส่ได้ เนอ่ื งจาก ปตั ตานี แตด่ ว้ ยกรรมวธิ กี ารทอผา้ ทม่ี คี วามยากและสลบั ซบั ซอ้ น จงึ มี ผา้ จวนตานเี ปน็ ผา้ ทท่ี อดว้ ยเสน้ ไหมชน้ั ดี เสน้ เลก็ ละเอยี ด จงึ เปน็ ผา้ ทม่ี ี การยกเลกิ การทอไปในสมยั สมเดจ็ พระมงกฏุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ราคาสงู ผทู้ ค่ี รอบครองจะหวงแหนและทะนถุ นอมผา้ มาก จงึ ถกู น�ำ มา 6) โดยเปลย่ี นมาใชว้ ธิ กี ารน�ำ เขา้ ผา้ ผนื งามจากรฐั กลนั ตนั และตรงั กานู ใชเ้ ฉพาะงานส�ำ คญั เทา่ นน้ั สภุ าพสตรชี าวมสุ ลมิ จะใชท้ �ำ เปน็ ผา้ สไบพาด ของมลายทู ดแทน ซง่ึ เปน็ สาเหตใุ หผ้ า้ จวนตานี เรม่ิ สญู หายไปจากวถิ ี ไหลห่ รอื คลมุ ศรี ษะ ส�ำ หรบั สภุ าพบรุ ษุ จะใชเ้ ปน็ ผา้ นงุ่ นงุ่ ปดิ ทบั กางเกง ชวี ติ ของชาวสามจงั หวดั ชายแดนภาคใตน้ บั แตน่ น้ั เปน็ ตน้ มา ขายาว หรอื ใชเ้ ปน็ ผา้ คลมุ ศพส�ำ หรบั ชาวมสุ ลมิ ทม่ี ฐี านะ สว่ นในกลมุ่ ชาว พทุ ธจะนยิ มใชแ้ ตง่ กายออกงานส�ำ คญั ๆ สภุ าพบรุ ษุ จะใชเ้ ปน็ ผา้ นงุ่ เลอ้ื ย ชาย หรอื ใชเ้ ปน็ ผา้ พาดเฉวยี งบา่ ส�ำ หรบั สตรสี งู จะใชเ้ ปน็ ผา้ นงุ่ 5

เอกลักษณ์ทางกายภาพ และเอกลักษณ์ ท่ีโดดเด่นในงานผา้ จวนตานี ลกั ษณะทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของผา้ จวนตานี คอื จะมี แถบริ้วลวดลายวางเป็นแนวแทรกอยู่ระหวา่ งผนื ผา้ และชายผา้ ท้ัง 2 ดา้ น ลวดลายแถบร้วิ ท่รี ิมผ้า นี้ ชา่ งทอผา้ ชาวเมืองปัตตานีรนุ่ เก่าๆ เรียกเปน็ คำ�เรยี กในภาษาพื้นถ่นิ วา่ จวู า หรอื จวน ซ่ึงแปล วา่ รอ่ งหรือทาง จึงมีช่ือเรยี กผา้ ชนดิ นอี้ ีกชอ่ื หน่ึงวา่ ผา้ ลอ่ งจวน ความโดดเด่นของผ้าจวนตานีจึงจะอยู่ที่เชิงของผ้า ซึ่ง มีสีแดง หรือสีน้ำ�ตาลแกมแดงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตัวผ้าหรือท้อง ผ้าส่วนใหญ่จะเป็นมัดหม่ี หรือทอยกด้วยเส้นเงินหรือเส้นทอง ลวดลายที่เชิงผ้าจะมีความสวยงามและโดดเด่นสะดุดตามากกว่า ในตวั ผนื ผา้ ลกั ษณะลายเชิงผ้า เป็นลวดลายในศลิ ปะ ชวา-มลาย ู เอกลักษณ์ของผ้าจวนตานี แบง่ ออกเปน็ 3 สว่ น คือ สว่ นที่ 1 เชิงผา้ เปน็ สแี ดงล้วน และไม่มลี าย ส่วนที่ 2 หวั ผ้า ประกอบดว้ ยลาย 5-6 ลาย โดยชว่ งที่ บรรจบกนั ระหวา่ งลายแตล่ ะลาย ภาษาทอ้ งถิน่ จะเรยี กวา่ “จวน” ส่วนท่ี 3 ตัวผ้า นิยมสร้างสรรค์เป็นลวดลายมัดหมี่ ลวดลายท่ีนิยมมีท้ังลวดลายแบบผ้าจวนตานีแบบโบราณด้ังเดิม และลวดลายที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ตามที่ช่างทอทอข้ึนใหม่ เช่น ลายเข็มขัดทอง ลายโคม ลายประจ�ำ ยามก้านแย่ง ลายตาราง ลาย ตะเพียนทอง ลายดวงดาว ลายปู และลายตะเกียง เป็นตน้ จ�ำ นวนลวดลายบนผา้ จวนตานจี ะมตี ง้ั แต่ 5 ลาย ไปจนถงึ 7 ลาย ซงึ่ มกี ารทอลวดลายดว้ ยวธิ กี ารทอแบบมดั หมี่ และทอแบบ ยกสอดด้ินเสริมในผืนผ้า มีความโดดเด่นท่ีการใช้สีท่ีตัดกัน โดย บริเวณท้องผา้ จะใชส้ ีหลักได้แก่ มว่ ง เขียว ฟ้า น�้ำ ตาล ส่วนชาย ผ้าจะนยิ มใช้เฉดสแี ดง โดยผา้ และชายผ้าทงั้ สองดา้ นทอเปน็ ผืนผา้ เดยี วกนั 6

7

ภมู ปิ ญั ญาทส่ี ะทอ้ นทักษะเชงิ ชา่ ง และเทคนคิ หรือขนั้ ตอน กระบวนการ ในงานผ้าจวนตานี ผา้ จวนตาน ี สว่ นใหญท่ อดว้ ยไหม มที งั้ สว่ นทเี่ ปน็ มดั หม่ี และทอยกด้วยเสน้ เงินหรือเส้นทอง โดยมีข้ันตอนและกระบวนการทำ�ทสี่ ำ�คัญ ดังนี้ • การเตรยี มเส้นใย การเตรยี มเสน้ ใยฝา้ ยหรอื เสน้ ใยไหม หากใชเ้ สน้ ไหมจะตอ้ งท�ำ การ ฟอกกาวไหมออกกอ่ น เปน็ การน�ำ เอาสารทเ่ี คลอื บเสน้ ไหมออก เพอ่ื ใหเ้ สน้ ไหม มคี ุณสมบตั ิของเส้นดา้ ยทเ่ี หมาะสมในการน�ำ มาทอผ้า • การสรา้ งสรรคล์ วดลาย การทำ�ให้เส้นใยท่ีจะใช้ทอเกิดเป็นลวดลายตามท่ีต้องการด้วยวิธี การมัดหม่ี ในอดตี จะใชเ้ ชอื กกลว้ ยตานี เป็นวัสดุทใ่ี ช้ในการมัด ส่วนปจั จบุ ัน จะใชเ้ ชอื กฟางทดแทน การฟอกกาวไหม 8

การย้อมเส้นดา้ ยพ่งุ การย้อมสี 9

• เตรยี มการทอ น�ำ เสน้ ใยทไี่ ดส้ สี นั และลวดลายตามก�ำ หนดแลว้ มาท�ำ การรอ้ ยเสน้ เปน็ ดา้ ยให้เข้ากับฟันฟมื • การเก็บตะกอบน การเก็บตะกอบน คอื การใช้เส้นด้ายสอดเข้าชอ่ งของตะกอ ตาม ทีก่ �ำ หนดไว้ การเกบ็ ตะกอบน การร้อยดา้ ยและเอ็นเขา้ ฟันฟีม 10

• การเก็บตะกอลา่ ง การเกบ็ ตะกอล่าง คือ การใช้ไม้ชะนัดสอดเขา้ ไปทีห่ นา้ ฟมื แลว้ ยึด ไวก้ บั กเ่ี พ่ือป้องกนั ด้ายตก • การกรอเส้นดา้ ย การกรอเส้นด้ายยืนเข้าก่ี เป็นการกรอเส้นด้ายยืนเข้าก่ี โดยใช้ เครอ่ื งมือท่เี รียกวา่ ระวงิ การเก็บตะกอล่าง การกรอเสน้ ด้าย 11

• การค้นด้ายการคน้ ดา้ ยยนื คอื การเตรยี มเสน้ ดา้ ยยนื ให้ไดต้ ามความยาวตาม ท••ต่ี• กกอ้ กางารารกรรนาคอ้ รำ�ยน้ เสเหส้นม้นเดี่ปด้า็นา้ยยยกยนืาืนรเขเเขตา้ ้ากรตี่ียะมกอเส้นด้ายพุ่งให้ได้ตามความยาวตามลวดลายที่ ก�ำ หนดไว้ การร้อยเส้นดา้ ยยนื เข้าตะกอ การคน้ ด้ายยนื การคน้ หม่ี 12

• การทอผา้ ด้วยการนำ�เอาเส้นด้ายพุ่งที่ผ่านการสร้างลายด้วยเทคนิคมัดหม่ี แล้ว มาทอใหเ้ ปน็ ผืนผา้ โดยการทอผ้าจวนตานมี ีเทคนิคการทอ 3 รูปแบบ ดงั น้ี 1. การทอแบบธรรมดา ไมต่ ้องใชเ้ ทคนคิ พเิ ศษใด ๆ การทอแบบ ธรรมดาจะแบง่ เป็น 2 แบบ ได้แก่ - การทอแบบ 2 ตะกอ ซ่งึ จะมกี ารทอแบบลายขัด - การทอแบบ 4 ตะกอ นิยมทอเป็นลวดลายสเ่ี หลีย่ ม ทั้งน้ีความงามของการทอแบบธรรมดาจะอยู่ที่การวางเรียงเส้นด้ายท่ีผ่าน การยอ้ มสีตา่ ง ๆ ตัง้ แต่ 2 สีข้ึนไป ให้มีความสมั พนั ธ์และต่อเน่ืองกนั ตลอด ทั้งผืนผ้า 2. การทอแบบมัดหมี่ ด้วยการนำ�เส้นใยท่ีได้มีการสร้างสรรค์ ลวดลายการมดั ยอ้ มดว้ ยเชอื กกลว้ ย หรอื เชอื กฟางใหเ้ ปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ น�ำ มาทอเป็นผนื ผา้ ซง่ึ ตอ้ งอาศยั ความช�ำ นาญเชงิ ชา่ งทตี่ อ้ งมที ักษะความแมน่ ยำ� ในการจดั วางเสน้ ดา้ ยเขา้ ฟมื และการพงุ่ เสน้ ดา้ ยใหต้ รงตามลวดลายทก่ี �ำ หนด ไว้ 3. การทอแบบยกดอก ดว้ ยวิธีการใช้เทคนิคการคัดเกบ็ ลายด้วย ไม้เรียวปลายแหลม ตามลวดลายที่ ก�ำ หนดไวแ้ ลว้ จนครบลายคดั ยกเสน้ เปน็ จงั หวะลวดลายเฉพาะแลว้ สอดพงุ่ ไป ในแนวนอน ทอกระทบตามลายทค่ี ัดไว้จนเตม็ ลวดลาย การทอผา้ 13

2. การทอแบบมัดหมี่ ด้วยการน�ำ เส้นใยทไ่ี ด้มีการสรา้ งสรรคล์ วดลายการมัดยอ้ มด้วยเชือกกลว้ ย หรอื เชอื กฟางใหเ้ ปน็ ลวดลายต่าง ๆ น�ำ มาทอเป็นผนื ผา้ ซ่ึงต้องอาศยั ความช�ำ นาญเชิงช่างทีต่ ้องมีทกั ษะความแม่นยำ�ในการจดั วางเสน้ ดา้ ยเข้าฟมื และ การพุ่งเส้นดา้ ยใหต้ รงตามลวดลายทก่ี ำ�หนดไว้ 14

3. การทอแบบยกดอก ด้วยวธิ กี ารใชเ้ ทคนิคการคัดเกบ็ ลายด้วยไม้เรียวปลายแหลม ตามลวดลายที่ ก�ำ หนดไวแ้ ลว้ จนครบลายคดั ยกเสน้ เปน็ จงั หวะลวดลายเฉพาะแลว้ สอดพงุ่ ไปในแนวนอน ทอกระทบตามลายทค่ี ดั ไวจ้ นเตม็ ลวดลาย ชา่ งทอผ้าทีจ่ ะสามารถทอผา้ จวนตานีได้สำ�เร็จ ต้องผ่านการฝึกฝนฝมี อื มาอยา่ งช�ำ นาญ เนือ่ งจากกระบวนการทอที่ต้อง อาศยั เทคนคิ พเิ ศษหลายประการ ประกอบกบั ลวดลายและสสี นั ทคี่ งความเปน็ เอกลกั ษณ์ ท�ำ ใหช้ า่ งทอผา้ ตอ้ งมคี วามจ�ำ ทด่ี ี เพอ่ื ทจี่ ะ สามารถทอผ้าไดอ้ ย่างสมบูรณ์ ลวดลายไมผ่ ดิ เพ้ียน ซึ่งความยากเหล่าน้ีเอง ส่งผลใหก้ ารทอผา้ จวนตานี ในพ้นื ถิน่ ไร้ผสู้ บื ทอด จน กลายเปน็ ภมู ปิ ญั ญาทใ่ี กลจ้ ะสญู หายไปจากวิถีชีวติ ของชาวสามจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ในปัจจบุ นั 15

ครนู ชั ฎาภรณ์ พรหมสขุ ครชู า่ งศลิ ปหตั ถกรรม ประจ�ำ ปี 2559 การอนรุ ักษ์สบื สานภมู ิปัญญา ของงานผ้าจวนตานี ผ้าจวนตานี เคยสญู หายไปจากประเทศไทยชว่ั ระยะเวลา หน่ึง แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเห็นความ ส�ำ คญั ในการอนรุ กั ษผ์ า้ จวนตานโี บราณให้ไดร้ บั การฟน้ื ฟขู นึ้ อกี ครง้ั ในปี พ.ศ. 2542 ทรงมพี ระราชด�ำ รใิ หร้ อื้ ฟน้ื เพอ่ื สง่ เสรมิ และเผยแพรก่ ารใชผ้ า้ จวนตานี โดยจดั ใหม้ กี ารรวมกลมุ่ สตรที อผา้ ในท้องถิ่นเพือ่ ท�ำ ผ้าทอจวนตานขี น้ึ สำ�หรบั ใช้ในชวี ิตประจ�ำ วัน โดย เฉพาะใช้ในงานพิธีสำ�คัญต่าง ๆ และเผยแพร่ให้เป็นท่ีรู้จักอย่าง กว้างขวาง โดยมีบุคคลสำ�คัญที่เป็นกำ�ลังสำ�คัญในการรวบรวม ชา่ งฝมี ืออย่างครูนัชฎาภรณ์ พรหมสุข ท่ีเปน็ ผ้รู วบรวมชาวบา้ นที่ มคี วามตอ้ งการฝกึ อาชพี เพอื่ สรา้ งรายไดเ้ ลยี้ งดคู รอบครวั โดยมคี รู นชั ฎาภรณ์ เปน็ ครผู ถู้ า่ ยทอดความรแู้ ละทกั ษะกระบวนการผลติ ผา้ จวนตานอี ยา่ งครบถว้ นทกุ ขนั้ ตอน จนกลายเปน็ แหลง่ ผลติ ผา้ จวน ตานี ท่ีมชี อ่ื เสยี งแหง่ ต�ำ บลทรายขาว จังหวดั ปตั ตานี จนถึงทกุ วนั นี้ สง่ ผลใหผ้ า้ จวนตานที เี่ คยสญู หายไปกลบั มาเปน็ ทรี่ จู้ กั และไดร้ บั ความนยิ มอีกครัง้ 16

17

การถา่ ยทอดสง่ ตอ่ ภมู ปิ ญั ญาเพ่ืออนรุ ักษ์สบื สาน และพัฒนาสร้างสรรค์ต่อยอดงานผา้ จวนตานี ครูนัชฎาภรณ์ ฝึกฝนทักษาการทอผ้าจวนตานีอย่างต่อ การทอผา้ ไหมมัดหมี่ลายจวนตานี ต�ำ บลทรายขาว ได้มี เนอื่ งจนถงึ ปจั จบุ นั ดว้ ยการเลง็ เหน็ ถงึ คณุ คา่ และความส�ำ คญั ของ การพฒั นาทางดา้ นลวดลายใหม้ รี ปู แบบทนั สมยั มากขนึ้ เพอื่ ใหผ้ ทู้ ่ี ภูมปิ ญั ญาโบราณทีเ่ คยสูญหายไป ให้กลบั มามีชีวติ ขนึ้ อกี คร้งั ครู สนใจสามารถเรียนรู้การทอผ้าลายโบราณได้สะดวกและง่ายย่ิงข้ึน นชั ฎาภรณ์ พรหมสขุ จงึ มคี วามตง้ั ใจทจ่ี ะอนรุ กั ษแ์ ละถา่ ยทอดองค์ เพ่อื ใหผ้ า้ จวนตานยี งั คงมีผ้อู นรุ กั ษ์และสานตอ่ ได้ต่อไปในอนาคต ความรทู้ มี่ ใี หแ้ กบ่ คุ คลทสี่ นใจ พรอ้ มทง้ั ฝกึ ฝนเยาวชนคนรนุ่ ใหมอ่ ยู่ เสมอ 18

19

“ผา้ จวนตานี มคี วามสวยงามเปน็ เอกลกั ษณ์ ตามวถิ ชี วี ติ ของชาวใต้ แมก้ ารท�ำ จะยงุ่ ยากและ ซบั ซอ้ น แตเ่ มอ่ื ท�ำ ส�ำ เรจ็ จะเกดิ เปน็ ความภาค ภมู ิใจท่ีไดร้ ะลกึ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาการทอผา้ โบราณ ทบ่ี รรพบรุ ษุ ตง้ั ใจสง่ ตอ่ มาใหพ้ วกเราไดร้ กั ษา ไว้ พวกเรามหี นา้ ทส่ี านตอ่ เพอ่ื ไม่ใหง้ านอนั ทรง คณุ คา่ ตอ้ งหายไปจากแผน่ ดนิ ไทยอกี ครง้ั ” ครนู ชั ฎาภรณ์ พรหมสขุ ครชู า่ งศลิ ปหตั ถกรรม ประจ�ำ ปี 2559 20