27 การแนะแนวการศึกษา (Educational Guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความ ช่วยเหลือผู้เรียนในเรื่องท่ีเก่ียวกับการศึกษา เพื่อให้ประสบความสาเร็จทางด้านการศึกษาตาม ศักยภาพของผู้เรียน เช่น แนวทางในการศึกษาต่อ โครงสร้างหลักสูตร การเลือกแผนการเรียน การลงทะเบียน วิธีการเรียน เกณฑ์การสาเร็จการศึกษา การเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตร การบริหารจัดการตนเองด้านการเรียน การแบ่งเวลาเรียน การเตรียมตัวสอบ การสร้างสมาธิใน การเรียน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยใหผ้ ้เู รียนรูจ้ กั เลอื กและปรับตวั ไดอ้ ย่างเหมาะสม รวมทง้ั สามารถวางแผน และแก้ปญั หาต่างๆ ทเ่ี กิดข้นึ ในเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วข้องกบั กระบวนการเรียนได้ ดงั น้ัน การให้บริการแนะแนวการศึกษา จะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักเลือกและปรับตัวได้อย่าง เหมาะสมในเรอื่ งการศึกษาเลา่ เรียนของตน ทั้งยังช่วยใหผ้ ้เู รียนสามารถวางแผนการศึกษาตอ่ ของตน ได้อยา่ งเหมาะสมอีกด้วย หวั ข้อท่นี ิยมใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจแก่ผู้เรียน เชน่ วธิ เี รียนทด่ี ี วิธีจดบันทึก วิธอี ่านหนังสือ อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีส่งเสริมความจา การเลือกสถานศึกษา หลักสูตร และระเบียบการสมัคร การเตรียมตัวสอบ เปน็ ตน้ โดยจดุ มุง่ หมายของการแนะแนวการศกึ ษา สรปุ ได้ดงั น้ี 1. เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้รบั ข้อสนเทศเก่ียวกับการศึกษาต่อ ในระดับตอ่ ไปสาหรบั ผู้เรียน และเป็นแนวทางที่ผู้เรียนปรารถนา และช่วยพัฒนาวิธีการที่ผู้เรียนจะตัดสินคุณคา่ ของการศึกษาต่อ ของตนเองดว้ ย 2. เพ่อื ชว่ ยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงจดุ มงุ่ หมายและหนา้ ทขี่ องสถาบนั การศึกษาแตล่ ะประเภทที่ มีความประสงคจ์ ะเขา้ ไปเรยี น 3. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อสนเทศเก่ียวกับสิ่งท่ีจะได้รับจากสถานศึกษาทั้งในขณะที่ กาลังศึกษาอยู่ และสถานศึกษาท่ีจะไปศึกษาต่อ มีการช้ีแจงให้เข้าใจในรายวิชาและหลักสูตรว่ามี ประโยชน์อย่างไร 4. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนได้มีโอกาสทดลองเรียนหลายๆ วิชา ซึ่งจะทาให้เขาได้รับ ความกระจา่ งแจง้ บางประการในเร่ืองการเรยี นและการทางานต่อไป ผลที่ตามมาคือความสามารถใน การตดั สนิ ใจท่ฉี ลาดตอ่ การเลือกสถานศกึ ษา การเลอื กเปน็ สมาชกิ ในชมุ ชน หรอื การรว่ มกิจกรรม 5. เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจถึงคุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้าไปเรียนต่อใน สถาบันการศึกษา รวมทั้งความเข้าใจเร่ืองความสามารถที่จาเป็นต่อการที่จะทาให้เขาประสบ ความสาเร็จ 6. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับข้อสนเทศเกี่ยวกับความสามารถในการเรยี นและการทางาน ของตนเองในสถานศกึ ษา และช่วยให้รู้จกั ความสนใจของเขาเพื่อนาไปประกอบการเลือกวิชาเรียน และสถานศกึ ษา
28 7. เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตนเองให้เข้ากับการเรียนในหลักสูตรสถานศึกษาและ ชวี ิตในสงั คมท่เี ขาต้องเขา้ ไปเกีย่ วข้อง 8. เพอื่ ชว่ ยให้ผู้เรยี นประสบความสาเร็จในการศกึ ษาตามแผนการเรยี นการสอน การแนะแนวอาชพี (Vocational Guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือ ผู้เรียนเกี่ยวกับการวางแผนและการตดั สินใจเลือกอาชีพ เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนไดค้ ้นพบอาชพี ทเ่ี หมาะสม กบั ความสามารถ ความถนดั ความสนใจ และสภาพรา่ งกายของตน ดังนัน้ การแนะแนวอาชพี จึงเป็น การช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกับงานอาชีพ การเตรยี มตัวเพ่ือประกอบอาชพี แนวทาง และโอกาสของการประกอบอาชพี แต่ละชนิด วิธกี ารทางานเพอ่ื ใหเ้ กิดความก้าวหน้าในการประกอบ อาชีพ การปรบั ตัวอยา่ งมีความสุขในการประกอบอาชีพน้ันๆ ตลอดจนการมีเจตคติที่ถูกต้องต่อการ ทางานสุจริตทุกชนิด ซ่ึงจะชว่ ยให้ผู้เรียนวางแผนในการตัดสินใจเลือกอาชพี และการเตรียมตัวเพื่อ การประกอบอาชพี ทเี่ ลือกได้อย่างเหมาะสม นริ นั ดร์ จุลทรพั ย์ (2554, น. 17) กล่าวว่า การแนะแนวอาชีพจะต้องเร่ิมต้งั แต่ระยะแรก ของการศกึ ษา เป็นกระบวนการตอ่ เน่ืองตลอดไป โดยจดั ใหเ้ หมาะสมกับวัยและพฒั นาการด้านตา่ งๆ ของบุคคลซ่งึ ในแต่ละช่วงวยั หรอื ระดับชน้ั เรยี นควรนน้ั ให้ผู้เรยี นไดร้ บั การพฒั นาด้านต่างๆ ดังน้ี ระดับอนุบาลและประถมศึกษาควรเน้นการสร้างเจตคติ ค่านิยมที่ถูกต้องต่ออาชีพ ปลูกฝังให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในอาชีพสุจรติ ทั่วๆ ไป รวมทั้งการฝึกนิสยั พื้นฐานการทางานให้แก่ ผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ควรเน้นให้ผู้เรียนได้รับ ประสบการณแ์ ละเพิม่ พนู ทักษะทางอาชีพในระดบั ช่างฝมี อื (Skill Labour) ระดบั ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ช้นั สงู และระดบั ปริญญา ควรเนน้ ใหน้ กั เรียน นิสติ นักศึกษา ได้มีโอกาสศึกษาคันคว้าเพ่ิมพูนความรู้ ความชานาญการเพื่อช่วยพัฒนาและสร้างประสิทธิภาพ ในการทางาน ตลอดจนการควบคมุ งาน (Supervisor) ในระดับวชิ าชีพ (Professional) การแนะแนวอาชีพน้ันควรยึดหลักว่า “ถ้าหากบุคคลได้ทางานท่ีตรงกับความสนใจ ความถนัดความสามารถและอุปนิสยั ใจคอของเขาแล้ว เขายอ่ มจะมีความสุข และสามารถปฏบิ ัตงิ าน นนั้ ๆ ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพมากกว่าการที่ต้องปฏิบตั งิ านในสิง่ ท่ีไม่ชอบ ไม่ถนดั หรือไมเ่ หมาะสมกับ อุปนสิ ัยใจคอของเขา” ตามคากลา่ วท่ีว่า “การท่ีบุคคลจะประสบควมสาเร็จในชวี ิตนั้นต้องเปน็ บุดดล ท่ีประสบความสาเร็จในอาชัพด้วย” เพราะฉะน้ัน การแนะแนวอาชีพจึงมิใช้เป็นการหางานให้แก่ ผวู้ ่างงานเท่านัน้ แตจ่ ะตอ้ งจัคคนให้เหมาะสมกบั งานดว้ ย ดังน้ัน การให้บริการแนะแนวอาชพี จะช่วยใหผ้ ู้เรยี นไดค้ ้นพบและตดั สนิ ใจเลือกอาชีพได้ อย่างถูกต้อง ซึ่งจะเป็นผลให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจในงานของตน และมีชีวิตการทางานที่มี
29 ประสิทธิภาพเป็นการช่วยให้ทรัพยากรมนุษย์ได้รับการส่งเสริมพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและ ประเทศชาติอย่างแทจ้ ริง หัวข้อที่นิยมให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เรียน เช่น ลักษณะของอาชีพ ความต้องการของ ตลาดแรงงาน ความก้าวหน้าในอาชีพ รายได้ สถานท่ีสมัครงาน ลักษณะของผู้ท่ีประกอบอาชีพ การเตรยี มตัวเพ่ือประกอบอาชพี เปน็ ตน้ โดยจุดม่งุ หมายของการแนะแนวอาชพี สรุปได้ดงั น้ี 1. เพ่ือชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นได้มองเห็นความสาคญั ของงานอาชีพ 2. เพื่อชว่ ยให้ผเู้ รียนไดม้ ีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั อาชีพต่างๆ ที่มีอยู่ในทอ้ งถ่นิ และใน โลกกวา้ ง 3. เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงอิทธิพลของสิ่งต่างๆ เช่น ความถนัด ความสนใจ บคุ ลิกภาพ ระดบั สติปัญญา สภาพร่างกาย ที่มคี วามสาคญั ตอ่ การตดั สินใจเลอื กอาชพี 4. เพื่อให้ข้อสนเทศแก่ผู้เรยี นเก่ยี วกับอาชีพที่ผู้เรียนสนใจ ซ่ึงจะช่วยใหผ้ ู้เรยี นได้มีความ เขา้ ใจในอาชพี น้ันๆ ลึกซึ้งมากยง่ิ ขึ้น 5. เพอื่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนรจู้ ักวธิ ีการแสวงหางาน วิธกี ารสมคั รงาน วิธกี ารปรับตวั ให้เข้ากับงาน และวิธกี ารปฏิบตั ติ นให้มีความเจรญิ ก้าวหน้าในการทางาน 6. เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนมเี จตคตทิ ่ดี ตี ่ออาชพี ที่สุจรติ ทกุ อาชีพ การแ น ะแ นวส่ วนตั วแ ล ะสั งคม (Personal and Social Guidance) ห ม า ย ถึ ง กระบวนการใหค้ วามช่วยเหลอื ผเู้ รยี นในเรอื่ งทน่ี อกเหนอื จากด้านการศึกษาและอาชพี เป็นการชว่ ยให้ ผู้เรียนไดเ้ กดิ ความเขา้ ใจตนเองและสภาพแวดล้อม รู้จกั ปรบั ปรุงตนเอง ทาให้สามารถดาเนินชีวติ และ ปรบั ตัวอยูใ่ นสังคมได้อย่างมีความสขุ สามารถแกป้ ญั หาต่างๆ ที่ต้องประสบไดอ้ ยา่ งเหมาะสม จากความหมายของการแนะแนวประเภทนี้ อาจจะพิจารณาถึงส่ิงท่ีสาคัญได้เป็น 2 ประการ ดังน้ี 1. การแนะแนวซึ่งเกี่ยวกับเร่ืองส่วนตัว มุ่งจะให้แต่ละคนได้มีพัฒนาการ (Individual Development) สาหรบั พฒั นาการน้นั มไิ ดห้ มายความถึงเฉพาะการเปน็ ผู้เรยี นทด่ี ี การเปน็ สมาชกิ ทด่ี ี ของครอบครัว หรือการเป็นพลเมืองดีเท่านั้น แต่พัฒนาการนั้นจะหมายความรวมถึงพัฒนาการด้าน บุคลกิ ภาพ และการมีกระสวนชวี ติ อยา่ งสมบรู ณด์ ว้ ย ทงั้ นีก้ เ็ พราะวา่ ในสงั คมประชาธิปไตยนัน้ ยอมรบั ตนและคนอน่ื จึงมงุ่ ส่งเสริมแต่ละคนให้มีพฒั นาการอยา่ งเตม็ ท่ี 2. การแนะแนวซึ่งเกี่ยวกับด้านสังคมของผู้เรยี น เน่ืองจากผู้เรียนจะตอ้ งดารงชีวิตอยู่ใน สังคม ไม่ว่าจะเปน็ ในสถานศกึ ษาหรอื นอกสถานศึกษากต็ าม ดังนั้นการที่ผู้เรยี นมีความจาเป็นจะต้อง
30 มีทักษะในการปรับตวั ท่ีดี เพื่อให้เขาสามารถจะเข้ากันกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน เพ่ือนร่วมงานในอาชีพ เดยี วกัน รวมไปถึงการปรับตวั ในครอบครวั ในอนาคตอีกด้วย ดงั น้ัน การให้บริการแนะแนวดา้ นส่วนตัวและสังคมจึงเป็นการชว่ ยให้ผู้เรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิต มารยาทสังคม การคบเพื่อนต่างเพศและ เพ่ือนเพศเดียวกัน การใช้เวลาว่าง บุคลิกภาพและการแต่งกาย อารมณ์และการควบคุมอารมณ์ มนษุ ยสมั พันธ์จรยิ ธรรมและค่านิยม การใช้จ่ายเงนิ ศาสนาและความเชื่อ ฯลฯ ถ้าผเู้ รียนมีความทุกข์ จากปัญหาเหล่านี้มากเกินไป ย่อมจะทาให้ไม่สามารถดาเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพได้ ในทางตรงข้ามถ้าได้รับการแนะแนวและแก้ไขปัญหาได้ผู้เรียนก็จะมีโอ กาสดาเนินชีวิตได้อย่างมี ความสขุ และใช้ความสามารถทีม่ อี ยูใ่ หเ้ ปน็ ประโยชนแ์ กต่ นเองและสังคมตอ่ ไป หวั ข้อท่นี ิยมให้ความรู้ความเขา้ ใจแก่ผูเ้ รยี น เชน่ มารยาทสงั คม การคบเพ่ือนเพศเดยี วกนั และเพอื่ นตา่ งเพศ การรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิต บคุ ลกิ ภาพและการแตง่ กาย อารมณ์และการ ควบคุมอารมณ์ มนุษยสัมพันธ์ การใช้เวลาว่าง จริยธรรมและค่านิยม ศาสนาและความเชื่อ การใช้ จา่ ยเงนิ และการออม เปน็ ตน้ โดยจดุ มุ่งหมายของการแนะแนวส่วนตวั และสังคม สรุปได้ดังน้ี 1. เพื่อช่วยผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาจุดมุ่งหมายของชีวิตทีละน้อย โดยการพัฒนา จดุ มุ่งหมายในชวี ติ นั้นย่อมจะเปน็ ไปตามความปรารถนาของสงั คม รวมทัง้ การได้รับความพึงพอใจของ ตนเองด้วย ในการสร้างจุดมุ่งหมายในชีวติ ท่ดี แี ละเหมาะสมกบั ตนเองน้ัน จะต้องมีพน้ื ฐานของความ เข้าใจตนเองอย่ใู นระดบั มากด้วย 2. เพื่อช่วยให้ผู้เรยี นสามารถวางแผนชีวิตใหส้ อดคลอ้ งกับจุดมุ่งหมายทต่ี ้ังเอาไว้ และการ กระทากจิ กรรมต่างๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามการวางแผนนนั้ ด้วย 3. ช่วยพัฒนาความสามารถของผู้เรียนอย่างสม่าเสมอ เป็นไปในทางสร้างสรรค์ต่อการ พฒั นาจุดมงุ่ หมายของชวี ติ นอกจากนี้ยงั จะต้องยอมรบั ขอบเขตความสามารถของบุคคล และนาเอา ความสามารถและความสนใจมาสรา้ งประโยชนใ์ หก้ บั ตวั ผู้เรยี นเอง ก่อนท่ีผู้เรียนจะมีการวางแผนชวี ติ ที่แนน่ อนน้นั เขาจะตอ้ งแน่ใจว่ามคี วามสามารถในดา้ นใดก่อนทเี่ ขาจะมีการวางแผนชวี ิตท่ีแน่นอนนนั้ 4. ชว่ ยพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนอยา่ งสม่าเสมอในด้านความสามารถท่ีจะอยู่ร่วมกับบุคคล อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นการส่งเสริมพัฒนาการและจุดมุ่งหมายท่ีมีคุณค่าของตัวเอง นอกจากน้ีผู้เรียนก็จะได้รับประสบการณ์ต่างๆ ที่จะสร้างความพึงพอใจจากการท่ีผู้เรียนได้รู้จักกับ บคุ คลหลายประเภทหลายระดบั ดว้ ย 5. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความเจริญงอกงามในต้านความสามารถที่จะนาตนเองได้ (Self-directive Abilit) ผู้เรียนท่ีกาลังเจริญ เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ ในอนาคต แต่ละคนย่อมมี
31 ประสิทธิภาพและย่อมมีภาระหน้าท่ีที่จะพัฒนาตนเอง เพ่ือเตรียมพร้อมท่ีจะไปเป็นบุคคลที่จะต้อง ดาเนินชวี ิตด้วยตนเอง 6. เพ่ือชว่ ยให้ผ้เู รียนได้เข้าใจในสภาพสังคม ซึ่งจะเป็นผลทาให้สามารถปฏิบัติตนได้ดีขึ้น ในสงั คม เน่อื งจากผเู้ รยี นจะต้องอยกู่ บั สงั คม ความจาเป็นทีจ่ ะต้องรูจ้ กั สังคมจึงเกดิ ขึ้น สังคมแต่ละยุค ไม่เหมอื นกนั เพราะมกี ารเปลี่ยนแปลงอยเู่ สมอ เพราะผู้เรียนแตล่ ะคนจะต้องผชญิ กบั เหตุการณ์อย่าง หลกี เล่ยี งไมไ่ ด้ ในการแบ่งประเภทของการแนะแนวออกเป็น 3 ประเภท คือ การแนะแนวการศึกษา การแนะแนวอาชพี และการแนะแนวด้านส่วนตวั และสงั คมน้ัน เปน็ การจาแนกประเภทตามลกั ษณะ ของข้อมูลหรือขอ้ สนทศ ที่ทางสถานศึกษานามาให้การแนะแนวแก่ผู้เรียน แต่โดยความเป็นจรงิ แล้ว ในทางปฏิบัติการแนะแนวน้ัน การแนะแนวทั้ง 3 ประเภทนี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ไม่อาจ แยกจากกันได้ เพราะพัฒนาการของมนุษยจ์ ะเกย่ี วขอ้ ง และสง่ ผลถึงกนั และกนั เสมอ จงึ ควรพจิ ารณา บุคคลทั้งคนโดยส่วนรวม (The Whole Person) เช่น การช่วยเหลือผู้เรียนในการวางแผนเกี่ยวกับ อาชพี กม็ ีความจาเป็นที่จะต้องเกย่ี วขอ้ งกับการศึกษาของผู้เรยี น และยงั ตอ้ งศึกษาองค์ประกอบดา้ น ส่วนตัวและสังคมของผู้เรียนพร้อมกันด้วย การเพ่งเล็งให้การแนะแนวแก่ผู้เรียนเพียงด้านเดียว จะไม่ช่วยให้นักเรียนเกิดความเจริญงอกงาม และมีพัฒนาการสมบูรณ์ครบถ้วนอย่างแท้จริง ดังนั้น ในการให้การแนะแนวแก่ผู้เรียนในแง่ปฏิบัติแล้วจาเป็นจะต้องให้การแนะแนวแก่ผู้เรียนทั้ง 3 ด้าน ควบคู่ไปพร้อมๆ กันเพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพ การแนะแนวเช่นนี้เรียกว่า “การแนะแนวชีวิต” (Life Guidance) ของบคุ คล รูปแบบวธิ ีการแนะแนว นกั วิชาการแบง่ รูปแบบวิธีการจดั การแนะแนวได้ 2 ลักษณะ ดงั น้ี 1. การแนะแนวรายบคุ คล การแนะแนวรายบุคคล (Individual Guidance) เป็นการจัดการแนะแนวให้กับ ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพ่ือให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง ตัดสินใจด้วยตนเอง ยอมรับความจริง สามารถแกไ้ ขปญั หาและปรบั ปรงุ ตนใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มไดอ้ ยา่ งดี บุคคลท่ีเป็นผู้แนะแนวรายบุคคล สามารถเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ได้แก่ อาจารย์ที่ ปรึกษาประจาสถานศึกษา ผู้แนะแนวของสถานศึกษา นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา จิตแพทย์ และบิดามารดา
32 การแนะแนวรายบุคคล ควรคานงึ ถึงองคป์ ระกอบเหล่านคี้ ือ 1. ประสบการณท์ างบ้านของเด็ก (Home Experience) เด็กบางคนมคี วามคบั แค้นใจ มาจากทางบ้าน เช่น ความอิจฉาพ่ีน้องของตน ฐานะทางบ้านต่างจากเพ่ือนมาก คือ ยากจน บิดา มารดาไมม่ ีเวลาอยกู่ ับลกู ปัญหาต่างๆ เหลา่ นค้ี รจู าเปน็ ต้องใหค้ วามช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว เพ่ือให้ เด็กผ่อนคลายความตึงเครียด และปรบั ตัวเข้ากับบรรยากาศของบา้ นได้ 2. ประสบการณ์ทางโรงเรียน (School Experience) เด็กบางคนท่ีเข้าเรียนใหม่ ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ ได้ จึงเป็นหน้ท่ีของครูหรือผู้แนะแนวท่ีจะจัดให้เด็กรู้สึกมี ความอบอุน่ ใจข้ึน และช่วยใหเ้ ด็กมีความร้สู ึกวา่ ตนเปน็ ส่วนหน่งึ ของกลมุ่ หรอื ของสถานศกึ ษา ครูหรือ ผู้แนะแนวควรจะสร้างความรู้สึกน้ีให้เด็ก เพ่ือให้เด็กมีความรู้สึกว่าสถานศึกษาเป็นแหล่งให้ความรู้ แก่ตน ทาใหเ้ ด็กมีทัศนคตทิ ่ดี ีตอ่ สถานศกึ ษา การแนะแนวรายบุคคลในสถานศึกษา เร่ิมต้ังแต่การช่วยเหลือเด็กเพียงเล็กๆ น้อยๆ ในการแก้ปัญหาง่ายๆ ตลอดจนการแก้ปัญหายากๆ ของเด็ก เช่น ปัญหาในการปรับตัวของเด็ก ซ่ึงอาจจะตอ้ งใช้เวลาเปน็ เดือนๆ ส่วนผู้ที่ได้รบั ความกระทบกระเทอื นทางอารมณ์มากๆ อาจจะตอ้ ง ส่งไปให้จิตแพทยช์ ่วยแกไ้ ขก็ได้ วธิ กี ารท่คี รูหรอื ผู้แนะแนวจะชว่ ยแนะแนวรายบคุ คลในสถานศกึ ษา อาจทาได้ 2 วธิ ี คอื 1. การแนะแนวทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ (Informal Counseling) ในวันหน่งึ ๆ ครูมีโอกาสพบ ผู้เรียนมากครั้ง ในระหว่างที่พบพูดคุยกับผู้เรียนครูหรือผู้แนะแนวอาจจะชักถามปัญหาต่างๆ ของผเู้ รยี นและใหค้ าแนะนาไปด้วยเลย หรอื ครูหรือผแู้ นะแนวอาจจะนัดแนะผู้เรียนมาพบในเวลาใด เวลาหน่ึงก็ได้ เช่น ก่อนเข้าชั้นเรียนหรือระหว่างเวลาพักกลางวันก็ได้ เป็นการช่วยลดปัญหาของ ผเู้ รียนได้มาก 2. การแนะแนวท่ีเปน็ แบบแผน (Formal Counseling) วธิ ีการดังกลา่ วน้ี ไดแ้ ก่ การใช้ ข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์ หรือจากวิธีการอ่ืนๆ รวมกันเพื่อใช้เป็นหลักในการแนะแนวผู้เรียน ทุกสิ่งทุกอยา่ งทไ่ี ดท้ าไปนน้ั ตอ้ งบันทไี วเ้ ป็นหลักฐาน เพ่ือเปน็ ประโยชนใ์ นการนาข้อมูลมาใชต้ อ่ ไป ประโยชน์ของการแนะแนวรายบุคคล มดี ังนี้ 1. ชว่ ยให้ผ้เู รียนแต่ละคนเป็นผ้นู าตนเองไดม้ ากท่สี ุด 2. ช่วยให้ผ้เู รยี นแต่ละคนประเมินผลพฒั นาการของตนเองได้ 3. ช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนเขา้ ใจตนเองและเขา้ ใจสังคมทีเ่ ขาอาศัยอยู่ 4. ช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวได้ดี รู้จักเลือก และรู้จักตัดสินใจได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ 5. เพือ่ ชว่ ยให้ผู้เรยี นแตล่ ะคนรู้จักใชค้ วามสามารถในตนเองให้ไดม้ ากทีส่ ุด 6. เพอ่ื ชว่ ยให้ผเู้ รียนแต่ละคนเปน็ พลเมืองดีทาประโยชนแ์ ก่สงั คมได้มากทส่ี ุด
33 2. การแนะแนวกล่มุ การแนะแนวกลุ่ม (Group Guidance) หรือการแนะแนวหมู่ เป็นการแนะแนวแก่ บคุ คลต้ังแต่ 2 คนขึ้นไป ท่มี ีปัญหาและความต้องการคล้ายคลึงกันให้ได้มีโอกาสแลกเปล่ียนความคิด และประสบการณ์ อันจะทาให้เข้าใจปญั หาและแนวทางแก้ปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่ บางครง้ั สมาชกิ ใน กลมุ่ จะรว่ มแลกเปลยี่ นความคิดเห็นประสบการณข์ องตนเอง ชว่ ยแกไ้ ขปัญหา สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ และพัฒนาการของผเู้ รียน การแนะแนวกลมุ่ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. การแนะแนวกลุ่มย่อย เป็นการจัดแนะแนวแก่ผู้เรียน จานวน 2-12 คน ตัวอย่าง เช่น การจดั กิจกรรมชว่ ยเหลอื ผูเ้ รียนท่ีมกี ารเรียนต่า เปน็ ตน้ 2. การแนะแนวกลุ่มใหญ่ มีจานวนสมาชิกต้ังแต่ 12 คนข้ึนไป ตัวอย่างเช่น การจัด กิจกรรมแนะแนวในชน้ั เรียน กิจกรรมโฮมรูม ปฐมนเิ ทศ เปน็ ตน้ ปัจจุบันการแนะแนวกลุ่มนิยมจัดให้แก่ผู้เรียนเป็นอย่างยิ่ง เน่ืองจากประหยัดเวลา งบประมาณ และสะดวกต่อการจัดบริการแนะแนวประเภทตา่ งๆ นอกจากน้ยี ังสามารถช่วยให้ผเู้ รยี น แต่ละคนในกลุ่มเดียวกันไดแ้ ลกเปล่ียนความคิดเห็นและประสบการณ์ซ่ึงกันและกนั อนั เป็นผลที่จะ ช่วยทาใหเ้ กดิ ความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนเกิดความคิดในการท่ีจะแก้ปัญหา ตัดสินใจในปัญหาท่ีตน ประสบอยู่ หรือสามารถช่วยป้องกันปัญหาท้ังหลายท้ังปวงอันจะพึงเกิดขึ้นในแต่ละคนอีกด้วย เช่น ปัญหาการปรับตวั ปัญหาการตดั สนิ ใจโดยรู้เท่าไมถ่ งึ การณ์ เป็นต้น และการแนะแนวเป็นหม่ยู งั ชว่ ยให้ ผู้เรยี นไดร้ ับทราบในสิง่ ท่คี วรทราบ หรอื ตอ้ งการจะทราบอกี ดว้ ย หลักสาคัญของการแนะแนวกลุ่ม คือ การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เรียนทุกคนใน สถานศึกษา มิได้จากัดวงแคบอยู่แต่เพียงการให้ความช่วยเหลือแต่เฉพาะผู้เรียนท่ีมีปัญหาเท่าน้ัน ฉะนั้น การแนะแนวกลุ่มจะช่วยให้กาหนดการการแนะแนวของสถานศึกษาประสบความสาเร็จตาม วตั ถุประสงค์ของการแนะแนวได้ ในการแนะแนวกลุ่มน้ีครูหรือผู้แนะแนวจะต้องเตรียมพร้อมและ มคี วามสนใจในปัญหาขอ้ งใจของผู้เรียน พร้อมท่ีจะขจดั ข้อขอ้ งใจของผู้เรียนได้ กล่มุ ของผู้เรยี นควรมี จานวนมาก ข้อสาคัญครูหรือผู้แนะแนวควรอธิบายใหส้ มาชิกในกลุ่มเขา้ วธิ ีการดาเนินงาน ตลอดจน เข้าใจตนเองดีด้วยกันทุกคน หาโอกาสแลกเปล่ียนความคิดเห็นซึ่งกันและกันโดยให้สมาชิกในกลุ่ม เล่าเรอื่ งต่างๆ ส่กู นั ฟงั จะชว่ ยให้ผเู้ รยี นแต่ละคนมกี าลงั ใจขน้ึ เมอื่ ร้วู ่าเพอื่ นๆ ต่างก็มีปญั หาเหมือนกัน ประโยชน์ของการแนะแนวกลมุ่ มดี ังน้ี 1. เป็นการประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน เพราะเรื่องต่างๆ บางเรื่อง ผู้เรียนทุกคน ควรทราบร่วมกัน 2. เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกสบายใจเม่ือทราบวา่ เพื่อนๆ ต่างกม็ ปี ญั หา 3. ช่วยให้ผู้เรยี นปรับตวั เขา้ กบั สังคมได้ดีข้นึ 4. ฝึกให้ผู้เรยี นเปน็ ผ้ฟู ัง เป็นผนู้ าและผตู้ ามในกลุ่มของตน
34 5. ฝกึ เทคนคิ การทางานเป็นกล่มุ 6. ชว่ ยใหค้ รูหรอื ผูแ้ นะแนวทราบรายละเอียดท่จี าเปน็ เก่ียวกับผเู้ รียน ในการนามาใชใ้ น การแนะแนวเป็นรายบุคคลต่อไป ปรัชญาของการแนะแนว ปรัชญาของการแนะแนว เปน็ แนวความคิดหรือทศั นะความคดิ เหน็ (Point of View) ซ่ึง ได้รับการพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่าเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่ามีประโยชน์ สมควรยึดถือเป็นหลักในการ ดาเนินงานแนะแนว ถือเป็นทิศทางข้อคิดหลักการ ในการดาเนินงานแนะแนวที่มีหลักเกณฑ์และ มรี ะเบียบแบบแผน ซ่งึ ปรชั ญาพืน้ ฐานของการแนะแนว มีดงั น้ี 1. มนุษยม์ ีความแตกต่างกนั (Individual Differences) จัดวา่ เป็นแนวคิดหลกั ของการ แนะแนว เพราะเป้าหมายสูงสุดของการแนะแนวก็คือการส่งเสริมความแตกต่างระหว่างบุคคล ก า รช่ วย ให้ บุ ค คล แ ต่ ล ะ คน ได้ มี ควา ม เจ ริ ญ งอ ก ง าม แ ล ะ มี พั ฒ น า ก า ร อ ย่ าง มี บู ร ณ า ก า รสุ ด ขี ด ความสามารถของตน จะเห็นได้ว่าบุคคลแต่ละคนย่อมมีคุณลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมคี วามแตกต่างกันทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปญั ญา คุณธรรมจริยธรรม ความสนใจ ความต้องการ ความถนัด ความสามารถ และค่านิยม เป็นต้น ดังนั้น ในการให้บริการแนะแนวแก่ ผู้เรียน ผู้แนะแนวจะต้องเข้าใจ และยอมรับในเร่อื งความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลของผู้เรยี น เพอื่ ชว่ ย ใหผ้ ู้เรียนแตล่ ะคนได้พัฒนาสงิ่ ทเ่ี ขามีอยู่ใหเ้ กิดประโยชนท์ ้งั กบั ตนเอง และสงั คมให้มากทีส่ ดุ 2. มนุษย์ย่อมมีปัญหา และต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งถือวา่ เป็นไปตามธรรมชาติของ มนุษย์ เน่ืองจากในการดารงชวี ิตของทกุ คน ยอ่ มมอี ุปสรรคปัญหาไมม่ ากกน็ อ้ ย จึงทาใหท้ ุกคนมีความ ตอ้ งการแก้ไขปัญหาต่างๆ เหลา่ นัน้ ซึ่งความตอ้ งการความช่วยเหลือนั้นก็แตกต่างกนั ไปในแตล่ ะบคุ คล บางคนต้องการความช่วยเหลือบ้างเป็นครั้งคราวหรือในสถานการณ์ที่วิกฤต (Critical Period) แต่บางคนก็มีความต้องการความช่วยเหลืออยู่เสมอ ดังนั้น เม่ือผู้แนะแนวมีความเช่ือดังกล่าวแล้ว ก็จะต้องพร้อมท่ีจะให้ความช่วยเหลือผู้เรียนทุกคนให้เอาชนะปัญหาความยุ่งยากต่างๆ ให้ได้ และ ในขณะเดียวกนั น้ัน จะตอ้ งพยายามช่วยพัฒนาเร่ืองความสามารถในการช่วยเหลอื ตนเองให้มากข้ึน ซึ่งการให้ความช่วยเหลือของการแนะแนวจะต้องเป็นไปในลักษณะของการร่วมมือกันระหว่างผู้ให้ ความช่วยเหลือและผู้รับความช่วยเหลือ จะไม่ใช้วิธีการบังคับและจะเน้นท่ีการให้บุคคลผู้มีปัญหา ได้ปลดปล่อยแรงจูงใจภายในของตนออกมา และการช่วยเหลือนี้จะต้องช่วยให้บุคคลผู้มีปัญหาเป็น ผ้ทู ส่ี ามารถชว่ ยตนเองได้ในท่สี ุด 3. มนษุ ย์มีคณุ ค่าและศกั ดิศ์ รขี องความเป็นมนษุ ยเ์ ท่าเทียมกัน ดงั นนั้ ผู้เรยี นทุกคนจึงมี สิทธิและโอกาสท่ีจะได้รับความช่วยเหลือ และส่งเสริมพัฒนาอย่างเท่าเทียมกันเต็มศักยภาพ
35 ให้ประสบความสาเรจ็ ในชีวิตตามอตั ภาพ จากผู้ทเี่ กย่ี วขอ้ งทุกฝา่ ย โดยจะต้องเป็นความช่วยเหลอื ท่ไี ม่ ลว่ งลา้ หรอื ละเมดิ ศักดิ์ศรี และผู้เรียนทุกคนมสี ทิ ธ์แิ ละมอี สิ รภาพในการเลือกเปา้ หมายชวี ิตของตนเอง (Freedom to Choose) ในฐานะท่ีเขาเปน็ เจ้าของชีวิตได้อย่างเตม็ ที่ 4. พฤตกิ รรมทุกอย่างย่อมมีสาเหตุ (All Behavior is Caused) การแสดงพฤติกรรมใดๆ ก็ตามของบุคคล ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุหรือมีที่มาท้ังส้ิน แม้พฤตกิ รรมจะเหมือนกัน แต่อาจเกิดจากสาเหตุต่างกันได้ ในการพิจารณาพฤติกรรมของบคุ คลจึง ตอ้ งพิจารณาอย่างรอบคอบ ถีถ่ ้วนและก่อนที่จะตัดสินพฤติกรรมใดๆ ของบุคคล ควรพิจารณาหรือ ศึกษาบุคคลเป็นส่วนรวม หรือหลายแง่หลายมุมจนแน่ใจ เพราะการตัดสินพฤติกรรมหรือบุคคล โดยพจิ ารณาอย่างผิวเผนิ จะทาใหเ้ กิดความผดิ พลาดได้ง่าย ดังน้ัน ในการแกไ้ ขปัญหาพฤติกรรมท่ไี ม่ เหมาะสมหรือเบี่ยงเบนไปของผู้เรียน จึงจาเป็นที่จะต้องศึกษาถึงสาเหตุแห่งความเบ่ียงเบนนั้นๆ เสียกอ่ น เมื่อค้นพบสาเหตุแล้วย่อมจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้ถูกจุดและทาได้ง่าย นอกจากนี้ การแนะแนวจาเปน็ ต้องทาเป็นกระบวนการใหค้ รบวงจร ทงั้ ดา้ นปอ้ งกันปัญหาสาหรบั พฤตกิ รรมที่ไม่ เหมาะสม พฒั นาและสรา้ งเสรมิ พฤตกิ รรมที่เหมาะสม และปรบั ปรงุ แกไ้ ขพฤติกรรมทีไ่ มเ่ หมาะสม 5. มนุษย์มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ บุคคลจะประสบความสุข ความสาเร็จในชีวิตได้ก็ต่อเมื่อได้รับการพัฒนาอย่างเต็มท่ีในด้านต่างๆ ได้นาเอาศักยภาพ ความสามารถต่างๆ มาใช้อย่างเต็มท่ี และสามารถดาเนินชีวิตของตนเองได้ แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ สาเรจ็ ดังนั้น การแนะแนวจงึ มสี ่วนเกีย่ วข้องกับการชว่ ยให้ผู้เรียนแต่ละคนได้มีโอกาสได้พฒั นาตนเอง ซึ่งเปน็ ความมุ่งหมายประการหน่ึงทสี่ าคัญ ถา้ หากผู้เรยี นได้รับความช่วยเหลือจากผูแ้ นะแนวท่ีเสนอ แนวทางที่ถูกต้องหลากหลายวิธี จะทาให้ผู้เรียนจะสามารถค้นหาคุณลักษณะ ความสามารถ ความ สนใจ ตลอดจนความถนดั ในตนเองได้ และจะทาใหผ้ เู้ รยี นได้กระทาอะไรต่างๆ ในชวี ิตไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และเหมาะสมกบั ผ้เู รยี นมากข้นึ และยงั สามารถนาศักยภาพของผเู้ รียนแต่ละคนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แกต่ นเองและสงั คม โดยมงุ่ เนน้ ประโยชน์สว่ นรวมมากกว่าส่วนตัว 6. มนุษย์เป็นทรัพยากรท่ีมีคุณค่าอย่างย่ิง ในบรรดาทรัพยากรท้ังหลาย ทรัพยากร มนุษย์ถือว่ามีความสาคัญและมีคุณค่ามากท่ีสุด ดังนั้น การแนะแนวจะต้องจดั อย่างมีประสิทธิภาพ ดว้ ยการวางแผนล่วงหน้า จัดอยา่ งต่อเนือ่ ง ใชว้ ิธกี ารทหี่ ลากหลาย และอาศัยความร่วมมอื จากหลายๆ ฝ่ายทีเ่ ก่ียวข้อง เพอื่ ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนไดพ้ ัฒนาในทกุ ด้าน และใชค้ วามสามารถท่ีมอี ย่ใู ห้เกิดประโยชนม์ าก ทีส่ ดุ ทั้งกบั ตนเองและประเทศชาติ ทงั้ น้ีเพอ่ื เป็นการชว่ ยรกั ษาทรัพยากรมนษุ ย์ทถ่ี ือวา่ มีคุณค่ายงิ่ ต่อ สงั คม
36 หลักการของการแนะแนว จากปรัชญาของการแนะแนวท่ีเป็นแนวคิดหรอื ทัศนะตามหลักจิตวทิ ยาและประชาธิปไตย ดังที่กล่าวข้างต้น นามาสู่หลักการของการแนะแนว ถือเป็นสิ่งท่ีควรยึดถือปฎิบัติในงานแนะแนว โดยมีนักแนะแนวได้เสนอหลักการของการแนะแนว ซ่งึ เปน็ หลักปฏิบตั ใิ นการดาเนนิ งานแนะแนวให้มี ประสิทธภิ าพ ไว้ดงั น้ี จตุรพร ลม้ิ ม่ันจรงิ (2554, น. 16 - 17) ไดส้ รุปหลักการในการแนะแนวไวด้ งั น้ี 1. การแนะแนวจัดขึ้นเพ่ือพัฒนาบุคคลแต่ละคนอย่างมีระบบ โดยเอ้ืออานวยให้ผู้เรียน เรียนรู้เกี่ยวกับ “ตน (Self)” รู้จักใช้ประสบการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้อย่างมีความหมาย และ สามารถนาการเรยี นรู้น้ไี ปพัฒนาตนเองในอนาคต 2. การแนะแนวเน้นความแตกตา่ งระหว่างบุคคล เพราะบุคคลมีเอกลักษณท์ ่ีไมซ่ ้าแบบใคร ดังน้ันผู้แนะแนวจาเป็นต้องรู้จักผู้เรียนแต่ละคน และต้องคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยใช้เทคนิคการแนะแนวแบบต่างๆ ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบทดสอบ การใช้แบบสอบถาม การให้คาปรึกษา เป็นต้น เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้เรียนได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม 3. การแนะแนวจะบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ได้ ถ้าได้รับความร่วมมือจากบุคคล หลายๆ ฝ่ายด้วยความเต็มใจ ได้แก่ ผู้เรียน ผู้บริหารสถานศึกษา อาจารย์กลุ่มสาระการเรียนรู้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายโสตทัตนูปกรณ์ ผู้ปกคอง เจ้าของกิจการ บุคลากร และสถาบันต่างๆ ในชุมชน (ทงั้ ภาครฐั บาลและเอกชน) 4. การแนะแนวเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ตามลาดับขั้น และโดยผ่านกระบวนการทาง การศึกษา ได้แก่ การจัดบริการแนะแนว ควรเร่ิมในสถานศึกษาต้ังแต่ระดับอนุบาลจนถึง ระดับอุดมศึกษา และจะต้องมีกิจกรรมต่างๆ ท่ีเป็นขั้นตอน ตลอดจนมีการวางแผนท้ังระยะส้ัน และระยะยาวไวล้ ว่ งหนา้ ในรปู ของการทาปฏทิ นิ แนะแนวตลอดปี และโครงการปฏบิ ัตงิ านแตล่ ะเร่ือง 5. มนุษย์มีความสามารถในการพัฒนาตนเอง ดังน้ันในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ ผู้แนะแนวจะไมท่ าหน้าทีเ่ ป็นผตู้ ดั สนิ ใจใหแ้ ก่ผู้เรยี น เพราะไมม่ ใี ครจะรจู้ กั ตัวผู้เรียนไดด้ เี ทา่ กบั ตัวของ ผู้เรียนเอง ตลอดจนผู้เรียนเป็นผู้มีสิทธิ เสรีภาพ และความรับผดิ ชอบต่อชีวิตของตนเอง ผู้แนะแนว จงึ มบี ทบาทหน้ทใ่ี นการสร้างบรรยากาศให้ผู้เรยี นสารวจตนเอง เข้าใจตนเอง และตดั สนิ ใจดว้ ยตนเอง ตามทฤษฎีบคุ ลกิ ภาพ และทฤษฎกี ารให้คาปรกึ ษา 6. การแนะแนวมีจดุ มงุ่ หมายท้ังด้านการป้องกันปญั หา การแก้ไขปญั หา และการสง่ เสรมิ พฒั นาการของผเู้ รียน ดังน้ันการแนะแนวจึงเปน็ บรกิ ารแกผ่ เู้ รยี นทกุ คน (ไม่ใชเ่ ป็นบรกิ ารเพอ่ื ผู้เรียนที่ มีปัญหา ตามทค่ี นท่ัวไปมักเข้าใจผดิ )
37 7. ผู้แนะแนวจะต้องเปน็ ผ้ทู ่ีได้รับการศึกษาอบรมมาโดยเฉพาะ เพื่อมีความรู้ ความเข้าใจ มนุษย์ และมีทักษะการใช้แบบทดสอบ ตลอดจนมีบุคลกิ ภาพท่ีเหมาะสม และมีความรู้ความเข้าใจ เกย่ี วกบั ขอบเขตบทบาทหน้าท่ีของผู้แนะแนว เพราะในกรณที ่พี บปัญหาของผู้เรยี นเกนิ ความสามารถ ของผู้แนะแนว จะต้องตัดสินใจ “ส่งต่อ (Refer)” ผู้เรียนไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ันโดยตรง เพ่ือ บาบัดรกั ษา ไดแ้ ก่ ผู้เรียนทม่ี ีอาการก้าวรา้ วรุนแรง จะต้องไปพบจิตแพทย์ ซึ่งบางกรณีอาจตอ้ งใชย้ า ในการบาบดั ควบคู่ไปกับการปรบั พฤติกรรม 8. การแนะแนวมหี ลักการท่ีสาคัญ คือการช่วยให้ผู้เรียนนาตนเอง เข้าใจตนเอง ปรับปรุง รับผิดชอบ และควบคมุ ตนเองท้ังในปัจจุบัน และมีการวางแผนที่ดตี อ่ ไปในอนาคค 9. การแนะแนวต้ังอยู่บนหลักการที่ว่า ถ้าบุคคลแต่ละคนพัฒนาในทุกๆ ด้านถึงขีดสูงสุด และสามารถปรับตวั เขา้ กับสงั คมไดด้ ี สังคมน้นั ย่อมจะเจริญกา้ วหน้าควบคูก่ ัน นอกจากนี้ เจษฎา บุญมาโฮม (2558, น. 40) กล่าวว่า หลักการแนะแนวคือ แนวคิดที่ ผู้แนะแนวยึดถือเป็นแนวทางในการดาเนินงาน เพ่ือให้สามารถบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายอย่างมี ประสิทธิภาพ ดังนั้น การจัดบริการแนะแนวให้ประสบความสาเรจ็ ผูแ้ นะแนวควรคานึงและยึดหลัก ของการแนะแนวเพอ่ื ปฏิบัตดิ ังน้ี 1. การแนะแนวป็นกระบวนการที่ต่อเน่ือง เนื่องจากความงอกงามของผู้เรียนต้องอาศัย ระยะเวลาอย่างค่อยเปน็ ค่อยไปจงึ ต้องใชร้ ะยะวลานาน ดังน้ัน การแนะแนวทถี่ กู ต้องควรจดั อย่างเป็น ระบบ มแี บบแผน เป็นข้ันเป็นตอน ตง้ั แตเ่ รมิ่ เขา้ ศกึ ษาเล่าเรียนจนสาเร็จการศกึ ษา 2. การแนะแนวยึดหลักการช่วยเหลือบุคคลทุกคน เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมีศักด์ิศรีและ คุณค่าด้วยกนั ท้ังส้ิน ปญั หาและความต้องการเปน็ ธรรมชาติของมนษุ ย์ ทากมนษุ ยส์ ามารถรจู้ กั ตนเอง เรียนรู้แนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสม ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ดังน้ัน จุดเริ่มต้นของการ แนะแนวจงึ อยู่ท่ีความปรารถนาดที ี่มีต่อผอู้ ่นื 3. การแนะแนวควรยดึ หลักความแตกตา่ งระหว่างบุคคล มนุษย์มีลักษณะเฉพาะของตนเอง การจัดบริการแนะแนวต้องจัดให้แตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละคน เพ่ือให้บุคคลเจริญ งอกงามเตม็ ตามศักยภาพแห่งตน 4. การแนะแนวยึดหลักการชว่ ยใหแ้ ต่ละคนสามารถเลอื ก วางแผน แกไ้ ขปัญหา พัฒนาตน และปรับตวั ในชีวิตไดอ้ ยา่ งฉลาด เพอื่ ให้บุคคลสามารถพึ่งพาดูแลตนเองได้อย่างย่ังยืน 5. การเนะแนวท่มี ปี ระสทิ ธิภาพตอ้ งมีการวางเผน โดยเน้นการจดั กิจกรรมใหส้ อดคล้องกับ ความต้องการของผเู้ รียน ทนั ตอ่ สภาพการณ์ปัจจบุ ัน จากท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า หลกั การสาคัญท่ีผแู้ นะแนวควรยดึ ถือปฏิบัตคิ ือ การแนะแนวน้ัน เป็นกระบวนการ แต่ละข้ันตอนมีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง การจัดการแนะแนวต้องเน้นผู้เรียนเป็น
38 สาคัญ จัดอย่างเป็นระบบ มีความต่อเน่ือง จัดให้ผู้เรียนทุกคน ผู้แนะแนวต้องป้องกัน แก้ไขปัญหา ต่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสม เพ่อื สง่ เสรมิ พฒั นาผู้เรียนให้เตบิ โตเต็มตามศกั ยภาพ จากปรัชญาของการแนะแนวท่ีนามาสู่หลักการของการแนะแนวดังกลา่ วขา้ งต้น สามารถ สรุปให้เหน็ ถึงความสัมพันธข์ องท้ังสองสิ่งท่นี าไปสกู่ ารปฏบิ ัตใิ ห้เห็นเป็นรูปธรรม ไดด้ ังตารางตอ่ ไปนี้ (คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2555, น. 53 - 55) ตารางท่ี 1.1 แสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งปรัชญาของการแนะแนว และหลักการของการแนะแนว ปรัชญาของการแนะแนว หลักการของการแนะแนว 1. มนษุ ยม์ คี วามแตกต่างกนั - การให้บรกิ ารแนะแนวต้องตอบสนองความ (คนแตล่ ะคนมีความแตกตา่ งกนั ทั้งทาง ต้องการของผรู้ บั บรกิ าร มีกจิ กรรมท่ีหลากหลาย รา่ งกาย อารมณ์ สังคม สตปิ ญั ญา ความสนใจ และคานงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ความสามารถ ความถนดั และเจตคติ) - บรกิ ารแนะแนวตอ้ งจัดอยา่ งต่อเนื่อง ใหผ้ ู้เรยี น ร้จู ักตนเองเพื่อสามารถวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ ระหว่างตนเองกบั สิ่งแวดลอ้ มท่ีเปลี่ยนไปจน สามารถตัดสินใจได้ 2. มนุษย์ย่อมมปี ญั หา และตอ้ งการความ - การให้บรกิ ารแนะแนวชว่ ยเหลอื เพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลอื เป็นภารกจิ ท่พี งึ กระทาดว้ ยความเมตตา และดว้ ย (คนทุกคนยอ่ มมีปัญหา คนต้องอย่รู ่วมกนั ใน ความรู้ ความเขา้ ใจ และทุกคนควรมสี ่วนร่วม สงั คมท่ตี อ้ งพงึ่ พาอาศยั กนั และพฤติกรรมของ รวมถงึ การช่วยเหลอื สงั คม และส่ิงแวดล้อม แต่ละบุคคลยอ่ มสง่ ผลกระทบต่อบคุ คลอืน่ ) 3. มนุษยม์ ีคุณคา่ และศักด์ิศรีของความเปน็ - จัดบรกิ ารแนะแนวให้กับทุกคน (ไม่เลอื กปฏบิ ตั ิ) มนษุ ยเ์ ทา่ เทยี มกนั - จดั บรกิ ารแนะแนวตอ้ งคานึงถงึ สิทธเิ สรภี าพ (คนทุกคนมคี ุณค่าและมีศกั ดิ์ศรีแหง่ ความ ของบคุ คล ไมม่ กี ารบังคบั เปน็ มนุษยแ์ ละตอ้ งการการยอมรับซงึ่ กันและกัน - ใหบ้ รกิ ารแนะแนวด้วยความเคารพในเกยี รติ คนทุกคนมีสทิ ธเิ สรภี าพเท่าเทียมกนั ) แหง่ ความเปน็ มนษุ ยท์ ่ีเท่าเทียมกัน โดยคานึงถงึ ประโยชนข์ องผรู้ ับบรกิ ารเปน็ สาคญั - ผรู้ ับบรกิ ารไมค่ วรไดร้ ับการดูถกู เหยยี ดหยามไม่ ว่าเขาจะเป็นผทู้ มี่ ปี ญั หาหรอื ไมก่ ต็ าม - ทุกคนก็มสี ทิ ธแิ์ ละมีอสิ รภาพในการเลือก เป้าหมายชีวติ ของตน
39 ตารางท่ี 1.1 (ต่อ) แสดงความสมั พันธ์ระหวา่ งปรัชญาของการแนะแนว และหลักการของการแนะแนว ปรัชญาของการแนะแนว หลักการของการแนะแนว 4. พฤติกรรมทกุ อย่างยอ่ มมสี าเหตุ - การจดั บรกิ ารแนะแนวต้องศึกษาพฤติกรรมของ (พฤติกรรมทกุ อย่างของบคุ คลย่อมมีสาเหตุ ผู้เรยี นใหช้ ัดเจน จะต้องมขี ้อมลู ของผู้เรียนในดา้ น การทบี่ คุ คลแสดงออกอย่างใดหรือเปน็ เชน่ ไร ต่างๆ ตรงตามขอ้ เทจ็ จรงิ และเปน็ ปจั จบุ นั เพื่อให้ ย่อมเกิดจากตนเองและสง่ิ แวดลอ้ มเป็นเหตุและ ครูและผู้เรยี นเกิดความเข้าใจกัน ยอมรบั ความ บคุ คลเปลย่ี นแปลงไดต้ ามเหต)ุ จรงิ ตลอดจนสามารถแก้ไขและพฒั นาตนได้ - ผู้แนะแนวจึงต้องพยายามคน้ หาสาเหตขุ อง ปญั หานนั้ ก่อน เพ่อื ทจ่ี ะสามารถใหค้ วาม ชว่ ยเหลือไดถ้ ูกจุดและทาไดง้ า่ ย - การใหบ้ รกิ ารแนะแนวคือการอานวยเหตปุ จั จยั ท่เี หมาะสมในการสรา้ งเสรมิ พฒั นาการหรอื พฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงค์ 5. มนษุ ยม์ ีศกั ยภาพทส่ี ามารถพฒั นาและ - การให้บรกิ ารแนะแนวตอ้ งเปิดโอกาสให้บคุ คล เรียนรู้ได้ ไดม้ ีบทบาทสาคัญในการใชป้ ัญญาเรยี นรู้ หาวธิ ี แกป้ ัญหาด้วยตนเอง และไดพ้ ฒั นาตนเต็ม ศักยภาพของตน - บรกิ ารแนะแนวตอ้ งให้ผเู้ รยี นทกุ คนได้มโี อกาส เลือกและตัดสนิ ใจดว้ ยตนเอง ตามความถนัด ความสนใจ ความสามารถและสอดคลอ้ งกบั ความ ต้องการ และทอ้ งถิน่ และสังคมโลก 6. มนุษย์เปน็ ทรัพยากรที่มคี ณุ ค่าอย่างยงิ่ - การแนะแนวมิได้มุ่งแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว แต่ม่งุ ป้องกันปญั หา และส่งเสรมิ พฒั นาดว้ ย - การแนะแนวเปน็ ส่วนหน่ึงของการจดั การศึกษา ขอบขา่ ยของการแนะแนว การกาหนดขอบข่ายของการแนะแนวใหช้ ัดเจน จะเป็นประโยชน์อยา่ งยิ่งต่อการบรหิ าร จัดการงานแนะแนว ทาใหผ้ ู้ปฏิบตั ิงานมที ิศทางดาเนินงาน และการประสานงานกับระบบและบุคคล ต่างๆ ซึ่งการแนะแนวมีขอบข่าย 5 บริการ ซ่ึงมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกันอย่างเป็นกระบวนการ
40 ต่อเน่ือง การจัดบริการแนะแนวมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องจัดให้ครอบคลุมการแนะแนวด้าน การศึกษา การแนะแนวด้านอาชีพ และการแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม ดังนั้น สถานศึกษาท่ีจะ ดาเนนิ งานแนะแนวอยา่ งได้ผลต้องจัดใหม้ งี านต่างๆ ครบทง้ั 5 บริการ คอื 1. บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล (Individual Inventory Service) 2. บริการสนเทศ (Information Service) 3. บรกิ ารใหค้ าปรึกษา (Counseling Service) 4. บริการจัดวางตวั บคุ คล (Placement Service) 5. บรกิ ารตดิ ตามผล (Follow-Up Service) งานแตล่ ะบริการมีวตั ถุประสงค์หลัก โดยสรปุ ดงั นี้ 1. บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล เป็นงานรวบรวมรายละเอียด ต่างๆ เก่ียวกับตัวผู้เรียน ในเรื่องความสนใจ ความสามารถ ความถนัด เจตคติ ลักษณะนิสัย บุคลกิ ภาพ อารมณ์ ฯลฯ พรอ้ มทงั้ ส่ิงแวดลอ้ มของผู้เรียน เชน่ สภาพความสัมพันธ์ของสมาชกิ ภายใน ครอบครัว อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครวั ฯลฯ ท้ังนี้เพื่อให้ครูหรือผู้แนะแนวรู้จักผู้เรียน และผู้เรียนร้จู ักตนเองมากทีส่ ุดเทา่ ที่จะมากได้ เพอื่ นาเอาข้อมลู รายละเอียดดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ ในการแนะแนว และชว่ ยเหลอื ได้ถกู ต้องย่ิงขนึ้ 2. บริการสนเทศ เป็นงานเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความรู้ให้แก่ผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนมี ความรู้ความเข้าใจในด้านการศึกษา อาชีพและสังคมอย่างกว้างขวาง สามารถนาความรู้ความเขา้ ใจ เหล่านั้นไปพิจารณาวางแผนการในชีวิต และตัดสินใจเลือกแนวทางการศึกษา การประกอบอาชีพ และปรับปรงุ บุคลิกภาพได้อยา่ งเหมาะสม 3. บริการให้คาปรกึ ษา ถือเปน็ “หวั ใจของบรกิ ารแนะแนว” เพราะการใหค้ าปรกึ ษาเป็น กระบวนการให้ความช่วยเหลือที่เกิดจากสัมพันธภาพทางวิชาชีพของอย่างน้อย 2 คน คือ ผู้ให้และ ผู้รับการปรึกษา โดยเป็นการพูดคุยที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองและส่ิงแวดล้อม เพ่ือนาไปสู่ การป้องกันปัญหา ตัดสินใจแก้ปัญหาหรือพัฒนาส่ิงท่ีตนเองปรารถนาอย่างเหมาะสม โดยท่ีผู้เรียน ผซู้ ง่ึ ไดร้ ับการบริการใหค้ าปรกึ ษาพรอ้ มท่ีจะรบั ผิดชอบต่อผลท่จี ะเกดิ ขนึ้ ตามมาหลังจากการตดั สนิ ใจ กระทาอยา่ งใดอย่างหนึง่ ของตน 4. บริการจัดวางตัวบคุ คล เป็นงานที่จะชว่ ยให้ผู้เรยี นได้รบั ประสบการณ์การฝึกฝน หรือ การสงเคราะห์ช่วยเหลือตามควรแก่กรณีๆ เป็นการวางตัวบุคคลให้เหมาะสมกับงานตามที่คัดเลือก เปน็ บรกิ ารทชี่ ว่ ยใหบ้ คุ คลได้เรยี นตามวชิ าท่ีตนเองชอบ ไดร้ บั บริการทเี่ หมาะสมตามความจาเปน็ หรือ ความต้องการ เป็นการช่วยให้มีโอกาสในการเรียน และการประกอบอาชีพตรงตามความสามารถ ของตน การจดั หาทุน จัดหางานให้ผู้เรียนทาเพื่อมีรายได้ระหว่างเรยี น จัดโครงการพิเศษเพ่ือสนอง
41 ความต้องการของผู้เรียน ซ่ึงบริการจัดวางตัวบุคคลน้ีสามารถจัดให้กับผู้เรียนขณะที่ยังศึกษาอยู่ใน สถานศึกษาหรอื ทส่ี าเรจ็ การศกึ ษาไปแลว้ 5. บริการติดตามผล เปน็ งานติดตามผลการดาเนินงานบริการตา่ งๆ ท่ีจะจัดให้แก่ผู้เรยี น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลทเ่ี กิดขึ้นกับผู้เรียน ซึ่งจะเป็นประโยชนใ์ นการช่วยผู้เรยี นแต่ละคนให้ สามารถแก้ปัญหาและปรับปรุงตนในด้านต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และเพ่ือนาข้อมูลท่ีได้ไปใช้ ประเมนิ ผลการดาเนินงานแนะแนวและงานอืน่ ๆของสถานศึกษา การดาเนินงานแนะแนวทั้ง 5 บริการดังกล่าว จะต้องครอบคลุมการแนะแนวด้าน การศกึ ษา ด้านอาชพี และดา้ นสว่ นตัวและสงั คม โครงสร้างและความสัมพนั ธข์ องบริการแนะแนวทั้ง 5 บริการ บรกิ ารแนะแนวทงั้ 5 บรกิ าร มีความสมั พนั ธก์ ัน ข้นึ อยูก่ บั ลกั ษณะของกจิ กรรมทจี่ ะจดั ขน้ึ ดงั นน้ั เพ่ือให้ผ้รู บั ผดิ ชอบงานแนะแนวแตล่ ะบรกิ ารได้ทราบถึงโครงสรา้ งและความสัมพนั ธ์ของบริการ ตา่ งๆ จึงขอเสนอโครงสร้างและแผนภมู ิให้เหน็ เดน่ ชดั ดงั น้ี ตารางท่ี 1.2 แสดงโครงสร้างของบริการแนะแนว บริการแนะแนว จุดมุง่ หมาย วิธกี าร 1. บรกิ ารศกึ ษาและ เพอื่ รจู้ ักผู้เรยี นทกุ ดา้ น สงั เกต สัมภาษณ์ สอบถาม ทดสอบ อตั ชวี ประวัติ ระเบยี น รวบรวมข้อมูลผู้เรียน เพื่อใหข้ ่าวสารความรทู้ จ่ี าเปน็ แก่ สะสม การศึกษาผูเ้ รียนเป็น เปน็ รายบคุ คล ผ้เู รยี นเก่ียวกบั การศึกษา อาชพี รายบคุ คล ฯลฯ 2. บริการสนเทศ และส่วนตวั และสังคม ปฐมนิเทศ ปจั ฉมั นเิ ทศ โฮมรูม เพื่อใหส้ ามารถตดั สนิ ใจและ ป้ายสนเทศ นทิ รรศการ บรรยาย 3. บริการให้คาปรกึ ษา แกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง อภปิ ราย ทศั นศกึ ษา ฯลฯ 4. บริการจัดวางตัวบุคคล เพื่อจดั ใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับความ ให้คาปรกึ ษาเปน็ รายบุคคล และ ชว่ ยเหลือแก้ไข หรอื มกี ารฝกึ ฝนให้ ให้คาปรึกษาเปน็ กลุ่ม 5. บรกิ ารตดิ ตามผล มปี ระสบการณท์ เี่ หมาะสมแก่กรณี จัดทุนการศึกษา สอนซอ่ มเสรมิ เพอ่ื ติดตามผลงานแตล่ ะดา้ น และ จัดนกั เรยี นเลือกวิชาเรยี น จดั พฒั นาการของผเู้ รียน ฝึกงานและหางานใหท้ า ฯลฯ สังเกต สัมภาษณ์ สอบถาม ทดสอบ จดหมายติดต่อ ฯลฯ วิเคราะหแ์ ละประมวลผล
42 ความสัมพันธข์ องบรกิ ารแนะแนวทงั้ 5 บริการ การจัดบริการแนะแนวอย่างเป็นระบบ ควรจัดท้ัง 5 บริการ ให้สัมพันธ์กัน ดังแผนภูมิ ดา้ นล่างนี้ ภาพที่ 1.2 แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของบรกิ ารแนะแนวทง้ั 5 บริการ ท่มี า: เรยี ม ศรีทอง, 2559, น. 7 ประโยชน์ของการแนะแนว ในการจดั บรกิ ารแนะแนวข้ึนในสถานศกึ ษาน้นั ถา้ สถานศึกษาสามารถให้บริการแก่ผ้เู รียน ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ จะก่อให้เกิดประโยชนด์ งั ตอ่ ไปนี้ 1. ประโยชน์ตอ่ ผู้เรยี น 1.1 ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักตนเองดีขึ้นและสามารถปรบั ปรุงตนเองในด้านการเรียน สังคม อารมณ์ และสตปิ ัญญา เปน็ ผู้ทม่ี คี ุณภาพชวี ิตทด่ี ี 1.2 ช่วยให้ผู้เรียนตดั สนิ ใจได้ด้วยตนเองอย่างฉลาดและมีเหตุผล 1.3 ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสาเหตุของปัญหาและวิธีแก้ปัญหา เพื่อสามารถดาเนินชีวิต อยา่ งมจี ุดม่งุ หมายและสามารถนาตนเองไปสเู่ ปา้ หมายทวี่ างไว้ รวมทั้งอยใู่ นสงั คมอย่างมีความสขุ 2. ประโยชนต์ อ่ ผ้ปู กครอง 2.1 ช่วยให้ผปู้ กครองได้รบั รู้และเขา้ ใจสถานภาพทางการเรียนของบตุ รหลานของท่าน เม่อื ผู้ปกครองไดม้ โี อกาสปรกึ ษาหารือกับครูหรอื ผู้แนะแนว
43 2.2 ช่วยให้ผู้ปกครองได้รับข้อมูลเก่ียวกับโอกาสท่ีบุตรหลานของตนเองจะได้เรียนต่อ หรือออกไปประกอบอาชพี 2.3 ชว่ ยให้ผู้ปกครองรับรู้และเขา้ ใจสภาพปัญหาของเดก็ เพือ่ จะไดใ้ ห้ความร่วมมือกับ สถานศึกษาในการปรบั ปรุงพฤติกรรมของบตุ รหลานของตนเองต่อไป 3. ประโยชน์ตอ่ ครู 3.1 ชว่ ยครูให้เขา้ ใจถงึ ปัญหาและสาเหตขุ องปัญหา รวมทง้ั หาวธิ แี กป้ ัญหาน้นั 3.2 ชว่ ยครูในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการและความ สนใจของผเู้ รียน 3.3 ช่วยครใู นการศกึ ษาผู้เรียน ทาใหร้ ู้จกั ผเู้ รียนดขี น้ึ 4. ประโยชนต์ อ่ สถานศึกษา 4.1 ชว่ ยสถานศกึ ษาในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน หรือกจิ กรรมให้สอดคลอ้ งกับ ความตอ้ งการและความสนใจของผู้เรีขน 4.2 ช่วยลดปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาผู้เรียนเรียนไม่จบหลักสูตร ปัญหาผู้เรียนท่ีมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนตา่ หรือหนเี รยี น เป็นต้น 5. ประโยชน์ต่อสงั คม 5.1 ช่วยให้ผู้เรียนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความพร้อมและงอกงามในการดาเนินชีวิต เออ้ื ต่อการสง่ เสริมและเก้อื กูลสงั คม 5.2 ประชากรได้ปฏิบัติงานและดาเนินชีวิตตามความถนัดและความสนใจของตนเอง มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีอาชีพที่ม่ันคง มีชีวิตท่ีมีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลให้สังคมเกิดความ สงบสขุ 5.3 ชว่ ยลดปัญหาสงั คมใหน้ อ้ ยลง และเพ่ิมศกั ยภาพในการจรรโลงสังคุมใหง้ ดงาม จากท่ีกล่าวมา จะเห็นได้ว่าการแนะแนวนั้นมีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้รียน ผู้ปกครอง ผสู้ อน สถานศึกษา และสังคม เกิดประโยชน์ในทางเก้ือกูลกนั จรรยาบรรณวิชาชีพจติ วิทยาการแนะแนว สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทยได้ประกาศจรรยาบรรณวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว ไว้ 9 ประการ ดังน้ี (สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย, 2552: 15) 1. ให้บริการด้วยความเต็มใจ โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนว ยังให้บริการด้วยความเสียสละและอุทิศตนเต็ม
44 ความสามารถ โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และ สตปิ ญั ญา 2. ยอมรับละศรทั ธาในวิชาชพี จติ วิทยาการแนะแนว และเป็นสมาชิกท่ดี ขี ององค์กรวิชาชีพ กล่าวคอื ผู้ปฏิบัติงานให้บรกิ ารทางจิตวทิ ยาการแนะแนว มีเจตคติที่ดี เหน็ คณุ ค่าในวิชาชพี จิตวทิ ยา การแนะแนว และเป็นสมาชิกท่ีดีขององคก์ รวิชาชพี โดยการแสดงออกดว้ ยการชน่ื ชมว่าเป็นอาชีพท่ีมี เกียรติ มคี วามสาคญั และจาเป็นต่อสังคม รวมทง้ั ปกป้องเกียรตภิ ูมขิ องวิชาชีพจิตวทิ ยาการแนะแนว เข้าร่วมกจิ กรรมและสนบั สนุนองค์กรวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว 3. เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กาลังใจแก่ผู้รับบริการด้วยใจบรสิ ุทธิ์ใจโดยเสมอหน้า กล่าวคือ ผู้ปฏบิ ตั งิ านให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนว เอาใจใส่ ช่วยเหลือ และสง่ เสริมใหก้ าลังใจ แก่ผู้รับบรกิ ารโดยสนองตอบต่อความต้องการ ความถนัด ความสนใจอย่างจริงจังด้วยความเห็นอก เห็นใจ โดยคานึงถงึ สิทธิพนื้ ฐานของผู้รบั บรกิ ารอยา่ งเทา่ เทียมและปรารถนาทจี่ ะให้ผรู้ บั บริการพฒั นา ได้เตม็ ตามศกั ยภาพ 4. มวี ิสัยทัศน์ และพฒั นาตนเองในด้านวิชาชพี ให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงของโลก กลา่ วคือ ผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนว มีความสนใจใฝ่รู้ ศึกษาค้นคว้า ริเริ่มสร้างสรรค์ เสริมสร้างความรู้ให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปล่ียนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี 5. ปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว กล่าวคือ ผู้ปฏบิ ัติงานให้บริการทาง จิตวิทยาการแนะแนว ปฏิบัติงานโดยอาศัยความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ท่ีได้รับการฝึกฝนตาม หลกั วิชาการ จากสถาบนั หรอื องค์กรวชิ าชีพทีม่ กี ารรบั รองอย่างเป็นทางการ 6. รักษามาตรฐานและรับผิดชอบต่อการประกอบอาชีพจิตวิทยา กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติงาน ให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวสามารถรักษาคุณภาพการปฏิบัตงิ านตามมาตรฐานวิชาชีพไว้ใน ระดับสงู เสมอ และรบั ผิดชอบต่อผลท่เี กดิ ข้นึ จากการปฏิบตั งิ าน 7. ยตุ กิ ารให้บริการทีน่ อกเหนือความสามารถของตนเอง และสง่ ต่อไปยงั บคุ คลทเี่ หมาะสม กลา่ วคอื ผู้ปฏิบัตงิ านให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวต้องหยดุ ใหบ้ ริการเมอื่ ประเมินสถานการณ์ แล้วพบว่า การให้บริการนั้นอยู่นอกเหนือความสามารถของตน และส่งผู้รับบริการไปยังบุคคลที่มี ความเหมาะสมหรอื ตามความประสงค์ของผ้รู บั บริการ 8. รักษาความลับของผู้รับบริการและผู้ท่ีเกี่ยวข้อง เว้นแต่ได้รับความยินยอมจาก ผู้รับบริการ กลา่ วคอื ผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวต้องไม่เปิดเผยความลบั ซึ่งเป็น ขอ้ มูลของผู้รับบรกิ ารและผู้ท่ีเก่ียวข้อง หากจาเป็นจะต้องนาข้อมลู ไปใช้ ตอ้ งได้รับความยนิ ยอมจาก ผู้รบั บรกิ าร
45 9. เคารพสทิ ธไิ มแ่ สวงหาผลประโยชน์จากผรู้ บั บรกิ าร กลา่ วคอื ผปู้ ฏบิ ัติงานใหบ้ รกิ ารทาง จติ วิทยาการแนะแนวต้องใหข้ อ้ มูลทจ่ี าเป็นตอ่ ผรู้ บั บริการ เพื่อใหผ้ รู้ ับบริการทราบสิทธแิ ละผลทีอ่ าจ ได้รับจากการรับบริการ รับฟังความคิดเห็นและการตัดสินใจของผูร้ ับบริการและไม่กระทาการใดๆ อนั เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้รบั บริการ บทสรปุ การแนะแนวเป็นกระบวนการช่วยเหลือบุคคลให้รู้จักเข้าใจตนเอง และสภาพแวดล้อม สามารถตัดสินใจในการแก้ปัญหาต่างๆ เรียนรู้การปรับตัวและวางแผนชีวิตได้อย่างเหมาะสม รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ สามารถดาเนินชีวิตได้อย่างมี ความสุข บรกิ ารแนะแนวที่จัดขึน้ ในสถานศึกษา มีความสาคัญตอ่ การชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี นในการปรบั ตัว เน่ืองจากสภาพสังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ได้แก่ การเปล่ียนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจ ด้านงานอาชีพ ด้านจานวนประชากร ด้านศีลธรรมและวัฒนธรรม และด้านปรัชญา การศกึ ษาและหลกั สตู ร รวมถึงปญั หาต่างๆ ของผู้เรยี นทีเ่ กิดขนึ้ เชน่ ปัญหาที่เกย่ี วกับพฒั นาการดา้ น ร่างกายและสขุ ภาพ ปญั หาเกี่ยวกบั การศกึ ษาเล่าเรยี น และปัญหาเก่ียวกับความสมั พนั ธ์ทางบ้านหรอื ครอบครัว เป็นตน้ ประเทศสหรัฐอเมรกิ าถือเป็นประเทศทีม่ กี ารจดั การแนะแนวอย่างเปน็ ระบบที่ประเทศไทย ยึดเป็นแม่แบบในการดาเนินงานแนะแนว โดยจุดมุ่งหมายของการแนะแนว สามารถจาแนกออกได้ เป็น 2 ประเภท คือ จุดมุ่งหมายท่ัวไป ได้แก่ การป้องกันปัญหา การแก้ไขปัญหา และการส่งเสริม พัฒนา และจุดมุ่งหมายเฉพาะ สาหรับประเภทของการแนะแนว แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ การแนะแนวการศึกษา การแนะแนวอาชีพ และการแนะแนวส่วนตัวและสังคม ซ่ึงมีรูปแบบวิธีการ จัดการแนะแนวมี 2 ลักษณะ ไดแ้ ก่ การแนะแนวรายบคุ คล และการแนะแนวกลุม่ ปรัชญาและหลักการของการแนะแนว ถือเป็นแนวความคิดท่ียึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการ ดาเนินงานแนะแนวให้มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย มนุษย์มีความแตกต่างกัน มนุษย์ย่อมมีปัญหา และต้องการความช่วยเหลอื มนษุ ย์มคี ุณค่าและศักดศิ์ รีของความเปน็ มนุษย์เท่าเทียมกัน พฤติกรรม ทุกอยา่ งย่อมมีสาเหตุ มนุษย์มีศักยภาพทีส่ ามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ และมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มี คณุ ค่าอย่างยิ่ง สว่ นขอบข่ายของการแนะแนว ประกอบดว้ ย 5 บรกิ าร คอื บริการศึกษาและรวบรวม ข้อมูลผู้เรียนเปน็ รายบคุ คล บริการสนเทศ บริการให้คาปรึกษา บริการจัดวางตัวบุคคล และบริการ ติดตามและประเมินผล ในการดาเนินงานแนะแนวให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด ผู้แนะแนวควรไดร้ ับการฝกึ ฝนและดารงตนอย่ใู นจรรยาบรรณวิชาชพี แนะแนวท่กี าหนดไว้
46 ใบกิจกรรมที่ 1.1 คาชี้แจง ให้นักศึกษาแบ่งกลมุ่ แล้วให้ศกึ ษาทาความเขา้ ใจในหัวขอ้ “ความสัมพันธร์ ะหว่าง ปรัชญาและหลักการของการแนะแนว” และให้แต่ละกล่มุ ยกตวั อย่างแนวทางปฏิบัติทสี่ อดคล้องกับ ปรัชญาและหลกั การของการแนะแนว จากนัน้ สรปุ ลงในกระดาษฟลปิ ชาร์ท และให้สง่ ตัวแทนกลมุ่ มา นาเสนอหนา้ ชน้ั เรียน ปรัชญาของการแนะแนว หลกั การของการแนะแนว แนวทางปฏิบตั ิ
47 คาถามทา้ ยบท จงตอบคาถามต่อไปนี้ โดยอธิบายพร้อมยกตวั อย่างประกอบ 1. จงอธิบายความหมายของการแนะแนวตามรูปศัพท์ ในแงก่ ระบวนการ (Process) และ ในแงบ่ ริการ (Service) ตามทศั นะของตนเอง 2. เพราะเหตุใดการแนะแนวจงึ มีความสาคัญตอ่ ผู้เรยี น ผปู้ กครอง ครู และสถานศกึ ษา 3. จงสรุปประวัตคิ วามเปน็ มาของการแนะแนวในประเทศสหรฐั อเมริกา และประเทศไทย พอสังเขป 4. จงอธิบายความแตกต่างระหว่าง “จุดมุ่งหมายทั่วไป” กับ “จุดมุ่งหมายเฉพาะ” ใน การแนะแนว 5. หากทา่ นได้รับมอบหมายใหด้ ูแลนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 และมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ท่านควรจดั กิจกรรมแนะแนวตามประเภทการแนะแนวการศึกษา อาชพี ส่วนตวั และสงั คมอย่างไร 6. จงอธิบายถึงข้อดแี ละข้อจากัดของ “การแนะแนวรายบคุ คล” และ “การแนะแนวกลุม่ ” 7. “ปลูกเรือนตามใจผูอ้ ยู่ ผกู อู่ตามใจผู้นอน” สอดคลอ้ ง หรอื ขัดแยง้ กบั ปรัชญาของการ แนะแนวขอ้ ใด เพราะเหตใุ ด 8. หากท่านได้รับมอบหมายให้จัดบริการแนะแนวในโรงเรียนมัธยมศึกษาขยายโอกาส ท่านจะมีหลกั การจัดบรกิ ารแนะแนวอยา่ งไร 9. เพราะเหตุใดสถานศกึ ษาจงึ ควรจดั บรกิ ารแนะแนวให้ครบทง้ั 5 บรกิ าร 10. จงอธบิ ายประโยชนข์ องการแนะแนว พรอ้ มยกตัวอย่างประกอบ
48 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . (2555). ชดุ ฝกึ อบรมแนะแนว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . คณะอนุกรรมการพฒั นาคณุ ภาพวิชาการ. (2546). แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนตาม หลกั สูตรการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรงุ เทพฯ: กระทรวงศึกษาธกิ าร. จตุรพร ลิม้ ม่นั จริง. (2554). วธิ กี ารสอนวิชาแนะแนว. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง. เจษฎา บญุ มาโฮม. (2558). หลักการแนะแนวและการพฒั นาผู้เรยี น. พิมพ์คร้ังท่ี 4. นครปฐม: สไมล์ พริ้นต้ิง & กราฟกิ ดไี ซน์. นริ ันดร์ จุลทรัพย์. (2554). การแนะแนวเบ้ืองต้น. พมิ พ์ครั้งที่ 4. สงขลา : บริษัทนาศิลป์โฆษณา. พนม ลิม้ อารยี ์. (2548). การแนะแนวเบอื้ งต้น. พมิ พค์ รั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์. พระราชบญั ญตั คิ ุ้มครองเดก็ พ.ศ. 2546. (2549). ราชกิจจานเุ บกษา. 24(9): 1-29. มูลนธิ ิสถาบนั วจิ ยั และพัฒนาการเรยี นร.ู้ (2551). หลกั สตู รพฒั นาครจู ติ วทิ ยาแนะแนวโมดลู 4 บริการ แนะแนวและเครอื่ งมือทางจติ วทิ ยา. กรุงเทพฯ: เจเอ็นที. เรยี ม ศรที อง. (2559). หลกั การบรกิ ารแนะแนวและการปรกึ ษาเชงิ จติ วทิ ยาเบอื้ งต้น สาหรบั ครแู ละ ผบู้ ริหารการศึกษา. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. ศุภวดี บญุ ญวงศ์. (2555). การปอ้ งกนั และแทรกแซงเสน้ ทางเข้าสูพ่ ฤตกิ รรมเส่ียงของเด็กและเยาวชน : ฐานคดิ สาหรบั การแนะแนวและการให้คาปรึกษา. สงขลา : มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ. สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย. (2557). ระบบการแนะแนวในโรงเรียน. กรงุ เทพฯ: สมาคม แนะแนวแห่งประเทศไทย. อชั รา เอบิ สุขสริ .ิ (2556). จิตวิทยาสาหรบั ครู. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. Clifford D. Frochich, (1958). Guidance Service in School. New York: Mc Graw – Hill. Hill, George E. (1965). Management and Improvement of Guidance. New York: Meredith Publishing Company. Kochhar, S.K. (1984). Educational and Vocational Guidance in Secondary. New Delhi: Sterling Publishers Private Limited. Miller, Carroll H. (1976). Foundation of Guidance. New York: Harper and Row Publishers. Shertzer, Bruce and Stone, Shelley C. (1980). Fundamentals of Guidance. Third ed. Boston: Houghton Mifflin Co.
แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 2 บรกิ ารศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเปน็ รายบุคคล วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เม่ือศกึ ษาบทเรียนนจ้ี บแล้ว นกั ศึกษาควรมพี ฤตกิ รรมดังนี้ 1. อธิบายความหมาย และความสาคัญของบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็น รายบคุ คลได้ 2. อธิบายจุดมุ่งหมาย และหลักการของบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็น รายบคุ คลได้ 3. อธิบายและยกตัวอย่างข้อมูลสาคัญของบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็น รายบุคคลได้ 4. บอกข้อควรคานึงในบริการศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มูลผ้เู รยี นเป็นรายบคุ คลได้ 5. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งวิธีการศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลได้ 6. อธิบายการจดั ระบบข้อมูล : ระเบียนสะสมได้ เนือ้ หาสาระ เนื้อหาสาระในบทน้ปี ระกอบดว้ ย 1. ความหมายของบริการศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลผ้เู รียนเป็นรายบุคคล 2. ความสาคญั ของบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผเู้ รียนเปน็ รายบุคคล 3. จุดมุ่งหมายของบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู ผเู้ รยี นเป็นรายบุคคล 4. หลกั การของบริการศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผู้เรียนเปน็ รายบคุ คล 5. ขอ้ มูลสาคญั ของบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผเู้ รยี นเปน็ รายบุคคล 6. ขอ้ ควรคานึงในบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลผ้เู รียนเป็นรายบุคคล 7. วิธีการศึกษาและรวบรวมขอ้ มลู ผู้เรยี นเปน็ รายบุคคล 8. การจัดระบบข้อมูล : ระเบยี นสะสม
50 กจิ กรรมการเรยี นการสอน กจิ กรรมการเรียนการสอนเรอ่ื งบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลผเู้ รยี นเป็นรายบคุ คล มีดังน้ี สัปดาหท์ ี่ 2 (3 ชว่ั โมง) 1. ผูส้ อนทบทวนเนื้อหาบทท่ี 1 ที่เรยี นมาของสัปดาห์ก่อน พร้อมชแ้ี จงวัตถุประสงค์ และ เนื้อหาประจาบทเรยี นบทท่ี 2 เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นรบั รภู้ าพรวมของเนอื้ หาสาระในบทเรียนน้ี 2. ผู้สอนบรรยายเน้ือหาเกี่ยวกับบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล ในหัวข้อ ความหมาย ความสาคัญ จุดมุ่งหมาย หลักการ ข้อมูลสาคัญ และข้อควรคานึงในบริการ ศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลผ้เู รยี นเปน็ รายบุคคล 3. ผู้เรียนรับฟังบรรยายสรุปเน้ือหาสาระ ร่วมกับศึกษาเน้ือหาเรื่อง “บริการศึกษาและ รวบรวมข้อมูลผเู้ รียนเปน็ รายบุคคล” จากเอกสารคาสอน พรอ้ มท้ังซกั ถามและตอบคาถามระหว่าง การฟังบรรยาย 4. ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนแบง่ กลุม่ ทาใบกิจกรรมที่ 2.1 ในหัวข้อเกีย่ วกับ “ข้อมูลหรอื ข้อสนเทศ เก่ียวกับผู้เรยี นท่ีควรทาการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล” โดยให้ระดมสมองช่วยกันคิดหาคาตอบ และอภิปรายร่วมกันภายในกลมุ่ เสรจ็ แลว้ ใหแ้ ต่ละกลมุ่ นาเสนอหนา้ ชนั้ เรียนต่อกลมุ่ ใหญ่ 5. ผ้สู อนให้ผู้เรียนรว่ มกนั วเิ คราะห์ อภิปราย สรุปเน้อื หาและแนวทางการนาไปประยุกต์ใช้ รวมทั้งเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซักถามในหวั ขอ้ / ประเดน็ ทีส่ งสัย 6. ผู้สอนช้ีแจงหัวข้อท่ีจะเรียนในคร้ังต่อไป โดยมอบหมายงานกลุ่มในใบกิจกรรมท่ี 2.2 เพ่ือศึกษาค้นคว้า จัดทารายงาน และนาเสนอด้วยส่ือทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point เก่ียวกับวิธีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนโดยไม่ใช้แบบทดสอบ (Non-testing Techniques) กลมุ่ ละ 1 วิธกี าร แลว้ นาเสนอในคาบตอ่ ไป 7. ผสู้ อนเสริมสรา้ งคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมใหก้ ับนกั ศกึ ษากอ่ นเลิกเรยี น สัปดาห์ท่ี 3 (3 ชวั่ โมง) 1. ผู้สอนทบทวนเน้อื หาท่เี รยี นมาของสัปดาหก์ อ่ น 2. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลงานทร่ี บั ผดิ ชอบในใบกิจกรรม 2.2 เกี่ยวกบั วิธีการ ศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนโดยไม่ใช้แบบทดสอบ (Non-testing Techniques) จากน้ันได้ทาการ แลกเปล่ยี นเรียนรู้ โดยการอภปิ ราย ซกั ถาม เสนอแนะร่วมกันในช้นั เรยี นกล่มุ ใหญ่ 3. ผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นรว่ มกันวเิ คราะห์ อภิปราย สรุปเนอ้ื หาและแนวทางการนาไปประยกุ ต์ใช้ รวมท้ังเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนซักถามในหวั ข้อ / ประเด็นท่ีสงสัย
51 4. ผู้สอนชี้แจงหัวข้อที่จะเรียนในครั้งต่อไป โดยมอบหมายงานกลุ่มในใบกิจกรรมที่ 2.3 เพ่ือสืบค้นตัวอย่างแบบทดสอบ (Testing Techniques) ท่ีนามาใช้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียน แล้วนามาสาธติ ใหเ้ พ่ือนในชนั้ เรียน 5. ผู้สอนเสริมสร้างคุณธรรมและจรยิ ธรรมใหก้ บั นกั ศกึ ษาก่อนเลกิ เรยี น สัปดาห์ที่ 4 (3 ช่ัวโมง) 1. ผสู้ อนทบทวนเน้ือหาท่เี รยี นมาของสปั ดาห์กอ่ น 2. ผู้สอนบรรยายเนื้อหาเกี่ยวกับบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล ในหัวข้อวิธีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรยี นโดยใช้แบบทดสอบ และการจัดระบบข้อมูล (ระเบียน สะสม) พรอ้ มทัง้ ซักถามและตอบคาถามระหว่างการฟงั บรรยาย 3. ผู้สอนให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนาแบบทดสอบ (Testing Techniques) ท่ีสืบค้นมา แล้วสาธิตให้เพื่อนในช้ันเรียนได้ร่วมทาการทดสอบ จากน้ันได้ทาการแลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยการ อภิปราย ซักถาม เสนอแนะรว่ มกนั ในชนั้ เรยี นกลมุ่ ใหญ่ 4. ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย สรุปเนื้อหาเกี่ยวกับบริการศึกษาและ รวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคลและแนวทางการนาไปประยุกต์ใช้ รวมท้ังเปิดโอกาสให้ผู้เรยี น ซักถามในหวั ข้อ / ประเดน็ ท่ีสงสัย 5. ผ้สู อนมอบหมายให้ผเู้ รยี นทาคาถามท้ายบท พร้อมกาหนดวันส่ง 6. ผสู้ อนช้ีแจงหวั ข้อทจี่ ะเรียนในครงั้ ตอ่ ไป เพ่อื ให้ผูเ้ รยี นไปศึกษากอ่ นล่วงหน้า 7. ผสู้ อนเสริมสรา้ งคุณธรรมและจริยธรรมใหก้ บั นักศกึ ษากอ่ นเลกิ เรยี น สือ่ การเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอน จติ วทิ ยาแนะแนวและการให้คาปรึกษา 2. เอกสาร ตารา หนังสือ และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาแนะแนวและการให้ คาปรกึ ษา 3. สไลด์นาเสนอความรู้ประเด็นสาคญั ทกุ หัวข้อเรื่อง ด้วยสื่อทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point 4. ตัวอย่างแบบทดสอบทางจติ วิทยา 5. ใบกิจกรรม 6. คาถามทา้ ยบท
52 การวดั ผลและการประเมินผล วตั ถุประสงค์ วธิ ีการ/เครอ่ื งมือ การวัดผลและการประเมินผล 1. อธบิ ายความหมาย และ 1. ซกั ถาม-ตอบคาถาม 1. นกั ศึกษาตอบคาถาม และ ความสาคัญของบรกิ ารศึกษาและ อภิปราย แลกเปล่ยี น อภิปรายได้ถูกตอ้ ง ร้อยละ 80 รวบรวมข้อมูลผูเ้ รยี นเปน็ รายบุคคลได้ และการสนทนารว่ มกนั 2. นักศึกษามีความสนใจ/ 2. อธิบายจดุ มุ่งหมาย และหลกั การ 2. สังเกตพฤตกิ รรม ความรว่ มมือ และความ ของบรกิ ารศึกษาและรวบรวมข้อมลู การรว่ มกจิ กรรม กระตอื รืนร้นในการร่วม ผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ 3. สงั เกตการนาเสนอผล กิจกรรมอยู่ในระดบั ดี 3. อธบิ ายและยกตัวอย่างข้อมลู สาคัญ การทางานหน้าชัน้ เรียน 3. นกั ศึกษามีความพร้อม/ ของบรกิ ารศึกษาและรวบรวมขอ้ มลู 4. ใบกจิ กรรม ความตงั้ ใจและความกลา้ ผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ 5. คาถามทา้ ยบท แสดงออกในการนาเสนอผล 4. บอกข้อควรคานึงในบรกิ ารศกึ ษา การทางานหนา้ ชั้นเรยี นอยู่ใน และรวบรวมขอ้ มลู ผเู้ รียนเปน็ ระดับดี รายบุคคลได้ 4. นักศกึ ษาทาใบกิจกรรมได้ 5. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งวธิ ีการศึกษา ถกู ต้อง ครบสมบรู ณ์ และเสรจ็ และรวบรวมข้อมลู ผเู้ รยี นเปน็ ตามเวลาทกี่ าหนด ร้อยละ 80 รายบุคคลได้ 5. นักศึกษาตอบคาถามท้าย 6. อธิบายการจัดระบบขอ้ มลู : บทเรียนได้ รอ้ ยละ 80 ระเบยี นสะสมได้
53 บทท่ี 2 บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเปน็ รายบคุ คล บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล (Individual Inventory Service) จัดว่าเป็นบริการแนะแนวที่สาคญั บริการหน่ึง เพราะเป็นบริการท่ีจะช่วยให้ครหู รอื ผู้แนะแนวได้ร้จู ัก และเข้าใจผู้เรียน เนื่องจากในการจัดการศึกษาตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาท่ีมุ่งเน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ สถานศึกษาต้องจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล จากหลักการดังกลา่ วครหู รือผู้แนะแนวจงึ ต้องรู้จักผู้เรียน เพื่อที่จะสามารถจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียน ตลอดจนส่งเสริมดูแล ช่วยเหลอื ผเู้ รียนให้สามารถพัฒนาตนได้ตามศกั ยภาพ มีคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ มคี ุณภาพชวี ติ ท่ีดี บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคลจึงเป็นบริการแรกของการแนะแนวที่ครูหรือ ผู้แนะแนวต้องปฏิบัติ เพ่ือให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับผู้เรียนเพียงพอต่อการดาเนินการแนะแนว และเป็น ประโยชน์ตอ่ การชว่ ยเหลอื พัฒนาผ้เู รยี นต่อไป ความหมายของบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู ผเู้ รยี นเป็นรายบคุ คล นักจิตวิทยาและนักวิชาการทางการศึกษาได้กล่าวถึงความหมายของบริการศึกษาแ ละ รวบรวมข้อมลู ผู้เรยี นเปน็ รายบุคคล ไว้ดังน้ี ทศวร มณีศรีขา. (2543, น. 11) กล่าวว่า บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็น รายบคุ คล หมายถงึ การท่ีครหู รอื ผแู้ นะแนวเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกย่ี วกบั ตัวผู้เรียนในทกุ ๆ ด้านไดอ้ ย่าง ละเอยี ดและเปน็ ระบบ ทั้งนเ้ี พื่อที่ครหู รือผแู้ นะแนวจะไดร้ ู้จักและเข้าใจผู้เรียน รวมทง้ั เปน็ ขอ้ มูลท่จี ะ สะท้อนให้ผู้เรียนได้รู้จักและเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง ทาให้เขาเหล่านั้นสามารถดารงชีวิตอย่างมี ความสขุ และมปี ระสทิ ธภิ าพ พนม ลิ้มอารีย์ (2548, น. 46) อธิบายว่า บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็น รายบุคคล หมายถงึ การที่ครหู รือผ้แู นะแนวทาการศึกษาและจดบนั ทึกเรอื่ งราวตา่ งๆ เก่ียวกับผู้เรียน เชน่ ประวตั ิสว่ นตัว ครอบครวั การศกึ ษา สขุ ภาพ ความสนใจ ความมุ่งหมายในชีวติ เปน็ ตน้ เพอ่ื ทจี่ ะ ทาความรู้จักและเข้าใจผู้เรียนผู้นั้นให้มากย่ิงขึ้น ซ่ึงจะส่งผลให้ครูและผู้แนะแนวสามารถให้ความ
54 ช่วยเหลือแนะแนวผเู้ รยี นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทง้ั ยงั ชว่ ยให้ผู้เรียนได้รู้จกั และเขา้ ใจตนเองได้ดีข้ึน อีกดว้ ย จติ รอารี เนตรหิน (2554, น. 133) กล่าวว่า บริการศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มูลผู้เรียนเป็น รายบุคคลเป็นบริการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนท่ีจัดข้ึนเพ่ือรวบรวมข้อมูล บันทึกข้อมูล และ แปลความหมายขอ้ มูลต่างๆ อย่างมีระบบ เพื่อทาความรจู้ ักผู้เรยี นและชว่ ยให้ผ้เู รียนรู้จกั ตนเองมาก ขึ้นในการท่จี ะแก้ปญั หา ปอ้ งกันปัญหา หรอื พฒั นาส่งเสรมิ ผูเ้ รยี นแตล่ ะบุคคลอยา่ งเหมาะสม นริ ันดร์ จุลทรัพย์ (2554, น. 55) ได้สรุปความหมายของบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มูล ผู้เรียนเป็นรายบคุ คล ว่าเป็นบรกิ ารหนึ่งท่ที าการรวบรวมรายละเอียดตา่ งๆ เกีย่ วกับตัวผเู้ รียนในทกุ ๆ ด้าน แล้วนามาเก็บรวบรวมไวอ้ ย่างเป็นระเบียบ เพ่ือประโยชน์ในการนาไปให้ความชว่ ยเหลอื ผู้เรียน ตอ่ ไป สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2555, น. 36) ได้เสนอว่าบริการศึกษาและ รวบรวมข้อมูลผู้เรยี นเปน็ รายบคุ คลเปน็ บรกิ ารทช่ี ่วยใหค้ รรู จู้ ักผเู้ รียนเป็นรายบคุ คล ซ่ึงให้ความสาคัญ กับความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยใช้เทคนิคและวิธีการทางการแนะแนวอย่างหลากหลาย มมี าตรฐาน และเปน็ ระบบ เช่น ประวตั ิสว่ นตวั ครอบครัว การศึกษา สขุ ภาพ ความถนัด ความสนใจ ความคาดหวงั ในอนาคต เปน็ ต้น จากความหมายของบริการศึกษาและรวบรวมข้อมลู ผู้เรยี นเป็นรายบุคคลข้างต้น สามารถ สรุปความหมายของบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ว่า บริการศึกษาและ รวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล เป็นบริการท่ีทาการเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับตัวผู้เรียน ในทุกๆ ด้าน แล้วทาการบันทกึ ข้อมูล และแปลความหมายข้อมลู ต่างๆ อย่างมรี ะบบ จากน้ันนามา เก็บรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบ เพื่อนาข้อมูลที่ได้รับมาใช้ในการช่วยเหลือผู้เรียนได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ความสาคญั ของบริการศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผเู้ รียนเปน็ รายบคุ คล เน่ืองจากธรรมชาติได้สร้างให้มนุษยท์ ุกคนมีความแตกต่างกนั ไมม่ ีใครเลยท่ีจะเหมือนกัน ไปหมดทุกอย่าง (No two individuals are ever identical) ด้วยเหตุนี้ ครูหรอื ผูแ้ นะแนวจงึ จาเป็น ท่จี ะตอ้ งศึกษาและรวบรวมข้อมลู ผู้เรียนเปน็ รายบคุ คล เพื่อท่ีจะไดท้ ราบและเข้าใจในความแตกต่าง ระหว่างบุคคล 3 ประการ ดงั ต่อไปนี้ 1. บุคคลแตล่ ะคนย่อมมลี กั ษณะโดยเฉพาะของตนเอง จะไมเ่ หมือนคนอ่ืน 2. บุคคลแต่ละคนย่อมมีพัฒนาการไปตามลกั ษณะโดยเฉพาะของตน อย่างต่อเนอ่ื งกนั ไป
55 3. บุคคลแตล่ ะคนยอ่ มมีกระบวนการแห่งการเปล่ียนแปลงของตน ตามประสบการณท์ ่ตี น เคยประสบมา และตามแนวหรือแบบแผนของตนทว่ี างไว้สาหรบั อนาคต ความแตกตา่ งของผู้เรียนแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นในด้านร่างกาย รปู รา่ งหน้าตา ความสนใจ ความรู้ความสามารถ ความถนัด ค่านิยม เจตคติ แรงจูงใจ แผนการของชีวิต ภูมิหลัง รวมท้ัง ประสบการณ์ และอื่นๆ อีกหลายประการ ยอ่ มมีผลต่อความต้องการ การปฏบิ ัติ และวธิ กี ารแนะแนว และวธิ ีการให้ความชว่ ยเหลอื จากครูหรือผ้แู นะแนวตา่ งกนั ออกไป การท่ีครหู รือผูแ้ นะแนวศกึ ษาความ แตกต่างระหว่างบุคคล จึงเป็นส่ิงสาคัญและจาเป็นมาก เพราะจะเป็นทางนาไปสู่ความเข้าใจใน ประเด็นปัญหา และทราบความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน ท้ังท่ีเป็นปัญหาทางการศึกษา ปัญหา เกี่ยวกับอาชีพ รวมท้ังปัญหาส่วนตัวและสังคม เป็นต้น เพ่ือดาเนินการให้ความช่วยเหลือ ป้องกัน ปญั หาอนั พึงจะเกดิ ขึ้น ตลอดจนช่วยพัฒนาผู้เรยี นตามศกั ยภาพของเขา นอกจากน้ี ข้อมูลตา่ งๆ ที่รวบรวมมา จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองและสามารถตดั สินใจ ในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างฉลาด เพราะผู้เรียนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ว่าตนเองมคี วามสามารถเพียงใด มีส่วนดีอะไรหรือแม้แต่มีความคิดเกี่ยวกับตนเองอย่างไร การตัดสินใจของผู้เรียนโดยทั่วไปนั้น จึงมักขึ้นอยู่กับส่ิงแวดล้อมภายนอกเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้ง และก่อให้เกิดปัญหาที่ต้องแก้ไข ดงั นัน้ การศึกษาข้อมูลเกย่ี วกบั ผู้เรยี นแตล่ ะคนจึงเป็นส่ิงจาเป็นอยา่ งยงิ่ เพ่ือให้ผู้เรยี นรู้จักตนเองและ ผู้ท่ีเก่ียวข้องจะได้เข้าใจปัญหาและความต้องการของเขา เพื่อดาเนินการให้ความช่วยเหลือ หรือ แนะแนวทางได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ จดุ มุ่งหมายของบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คล การจัดบริการศึกษาและรวบรวมขอ้ มลู ผู้เรียนเปน็ รายบุคคล ดาเนินการโดยมีจดุ มุ่งหมาย สรุปได้ดงั น้ี 1. เพอ่ื ช่วยให้ครูและบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ งกับผู้เรียนได้รู้จกั และเข้าใจผู้เรียนไดอ้ ย่างถกู ต้อง แท้จริงมากย่ิงขึน้ 2. เพื่อช่วยให้ครูและบุคคลที่เก่ียวข้องกับผู้เรียนได้รวบรวมข้อมูลของผู้เรียนอย่างเป็น ระบบ สะดวกต่อการนามาใช้ป้องกัน แก้ไขปัญหาท่ีกาลังประสบอยู่ และส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนให้ เจริญงอกงามเต็มตามศักยภาพแหง่ ตน 3. เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสารวจตนเองในด้านต่างๆ เพื่อทาความรู้จักและเข้าใจ ตนเอง เกดิ การยอมรบั ตนเอง ทาใหผ้ เู้ รียนสามารถพฒั นาตนเองได้เตม็ ตามศกั ยภาพ 4. เพื่อช่วยให้การจัดการแนะแนวในสถานศึกษามีความสมบูรณ์ มีความสะดวกต่อการ บริหารจัดการ และมปี ระสิทธภิ าพ
56 จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคลน้ัน มีจุดมุ่งหมายสาคัญ คือการรูจ้ ักผเู้ รยี นอย่างแท้จริงและถูกต้อง เพ่ือที่จะส่งเสริม ปอ้ งกัน และแก้ไข ปญั หาของผู้เรยี นไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ทาให้ผูเ้ รยี นเกดิ ความงอกงามเต็มตามศกั ยภาพน่นั เอง หลักการของบรกิ ารศึกษาและรวบรวมข้อมูลผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คล ในการจัดบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคลให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ครูหรือผู้แนะแนวควรจะมีหลักการในการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้เรียน โดยมีผู้เสนอ หลกั การของบริการศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มูลผู้เรียนเป็นรายบคุ คลไว้ดงั น้ี พนม ล้ิมอารีย์ (2548, น. 6-7) ได้เสนอหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็น รายบุคคล ไว้ดังน้ี 1. ควรเริ่มเก็บข้อมูลต้ังแต่วาระแรกที่ผู้เรียนได้มาเข้าเรียนในสถานศึกษา เพื่อช่วยให้ ครู หรือผู้แนะแนวได้รู้จักผู้เรียนตั้งแต่เร่ิมแรก และยังจะได้รับความร่วมมือจากผู้เรียนเป็นอย่างดี ในการให้ข้อมลู ด้านตา่ งๆ 2. ควรตดิ ตามเกบ็ ข้อมูลพรอ้ มกันไปกับความเจริญเตบิ โตและความกา้ วหนา้ ในการศึกษา ของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวได้มองเห็นพัฒนาการของผู้เรียน ตลอดจนร่องรอยต่างๆ ซึ่งจะช่วยใหเ้ ขา้ ใจผู้เรยี นไดถ้ ูกต้องยิ่งข้ึน 3. จะต้องถือว่าข้อมูลต่างๆ ของผู้เรียนเป็นความลับ เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเช่ือถือ ไวว้ างใจ มีความรู้สึกปลอดภยั ทาให้ยินดีให้ความรว่ มมือในการให้ขอ้ มูลเกีย่ วกบั ตนเอง 4. ควรเก็บข้อมูลต่างๆ ของผู้เรยี นอยา่ งเป็นระบบ เพื่อช่วยใหค้ ้นควา้ และนามาใชไ้ ด้ง่าย นั่นคอื มกี ารจดั ข้อมูลออกเปน็ หมวดหมตู่ ามลกั ษณะของขอ้ มลู เจษฎา บุญมาโฮม (2558, น. 76) กล่าวถึง บริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็น รายบคุ คลมีหลกั การสาคัญสรปุ ไดด้ ังน้ี 1. การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้เรียนควรดาเนินการในลักษณะกระบวนการอย่างต่อเน่ือง โดยเริ่มเก็บข้อมูลเม่ือแรกท่ีผู้เรียนเขา้ มาศกึ ษา และติดตามเก็บข้อมูลในขณะท่ีศึกษาในสถานศกึ ษา จนกระท่ังออกจากสถานศึกษา 2. ข้อมลู ตา่ งๆ ของผู้เรยี นควรเปน็ ความจรงิ มีความถกู ตอ้ ง ไม่ควรเปน็ ข้อคดิ เหน็ แตห่ าก จะเปน็ ข้อคดิ เห็น ก็ควรตง้ั อยบู่ นความสมเหตุสมผล พร้อมระบวุ า่ ข้อมูลน้นั เปน็ ความคิดเหน็ 3. ข้อมูลต่างๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการสารวจควรเก็บอย่างมีระบบในตู้เอกสารเป็น สัดสว่ น เพื่อสะดวกต่อการค้นหาและนาไปใช้ ทัง้ มผี รู้ บั ผิดชอบดแู ลชัดเจน
57 4. ภายหลังการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ของผู้เรียนเสรจ็ เรียบรอ้ ยแล้ว ควรนาขอ้ มลู ดงั กลา่ วมา วินจิ ฉยั เพ่อื สงั เคราะห์เปน็ สารสนเทศที่มคี ุณค่า อาจนามาคัดกรองประเภทผ้เู รียนดว้ ยหลักการตา่ งๆ 5. การบันทึกข้อมูลควรใช้ภาษาทีง่ ่ายต่อการเข้าใจ มีความชัดเจน ระบุวันเวลา สถานท่ี และผู้บันทึกข้อมลู เพ่อื สะดวกตอ่ การนาไปใชพ้ ิจารณาวิเคราะห์ผูเ้ รียน 6. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ควรดาเนินการดว้ ยความรอบคอบ ไมค่ วรด่วนสรุปขอ้ มูลเรว็ เกินไป ควรใชเ้ ทคนคิ วิธกี ารท่ีหลากหลาย อกี ท้งั หลกี เลีย่ งการตตี ราพฤติกรรมผ้เู รียน 7. ระเบียนสะสม (ปพ. 8) ซง่ึ เปน็ แหลง่ รวบรวม สะสมข้อมูลเกย่ี วกับผู้เรยี นแตล่ ะคน ถือ เป็นเอกสารสาคัญที่จะต้องติดตัวไปกบั ผู้เรียนทกุ ครั้งที่ย้ายสถานศึกษา สถานศึกษาสดุ ท้ายที่ผู้เรียน ศกึ ษาอย่จู ะเปน็ ผเู้ ก็บระเบียนสะสม 8. เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีมีประโยชน์สูงสุด การจัดบริการสารวจผู้เรียนเป็นรายบุคคลเป็น หน้าท่ีของบุคคลที่เก่ียวข้องทุกคน ไม่ใช่หน้าท่ีของครูคนใดคนหนึ่ง ทุกฝ่ายควรตระหนักถึง ความสาคัญของบริการสารวจผู้เรยี นเป็นรายบุคคล โดยการดาเนินการจัดบรกิ ารสารวจผู้เรียนเป็น รายบคุ คลควรเปน็ ลักษณะสหวิทยาการ 9. หากเป็นไปได้อาจจัดเก็บข้อมูลจากการสารวจผู้เรียนเป็นรายบุคคลลงในระบบ ฐานข้อมูลของสถานศึกษาเพื่อสะดวกในการจัดเก็บและเรียกใช้ โดยมีการกาหนดระดับสิทธิของ บุคคลผ้เู รียกใชแ้ ละปรับปรงุ ขอ้ มูล 10. การรู้จักผู้เรียนควรคานึงถึงกฎหมาย พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก และหลัก สิทธมิ นษุ ยชน จากหลักการของบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคลดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคลน้ีจะดาเนินการเป็นเบ้ืองต้นใน ลักษณะของกระบวนการท่คี รูหรอื ผู้แนะแนวทาการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้เรยี นด้วยเทคนิควิธีการ ต่างๆ อย่างเป็นระบบ โดยจะนาข้อมูลดังกลา่ วมาวิเคราะห์อยา่ งละเอียดรอบคอบ เพ่ือให้ได้ขอ้ มูลท่ี ถูกต้องและชดั เจนเกี่ยวกับตัวผู้เรยี น แลว้ นาข้อมูลดังกลา่ วมาใช้ในการแนะแนวดา้ นอนื่ ๆ ได้อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ ทั้งน้ีการดาเนนิ งานอยูภ่ ายใตก้ ารเคารพสิทธมิ นุษยชนของตวั ผเู้ รียนอกี ด้วย ขอ้ มูลสาคัญของบรกิ ารศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผูเ้ รียนเปน็ รายบคุ คล การพิจารณาศึกษาข้อมูลและรายละเอียด เพ่ือทาความรู้จักและเข้าใจผู้เรียนแต่ละคน อยา่ งถ่ีถว้ น และรอบคอบนนั้ เปน็ สิง่ จาเป็นอย่างยิง่ แตใ่ นความเป็นจริงการจะเกบ็ รวบรวมข้อมลู ต่างๆ เก่ียวกับผู้เรียนแตล่ ะคนให้ไดค้ รบถว้ นทุกประการ ย่อมเปน็ สิ่งที่ยากยง่ิ และกค็ งไมม่ ใี ครสามารถทาได้ ดังน้ัน สิ่งสาคัญก็คือจะต้องเลือกเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ท่ีจะช่วยให้ครูหรือ
58 ผแู้ นะแนวไดร้ ู้จักและเข้าใจผู้เรยี น เพื่อจะได้สามารถช่วยแนะแนวหรือช่วยเหลือได้ตรงจุด นั่นก็คือ การช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักและเข้าใจตนเอง พร้อมท้ังมีความสามารถเพิ่มขึ้น ท่ีจะพิจารณาเห็น แนวทางแก้ไขปญั หาต่างๆ ดว้ ยตนเองได้ต่อไป เพ่อื ประโยชน์ในการเข้าใจบุคคล จึงจาเป็นตอ้ งเก็บรวบรวมข้อมูลทจี่ ะทาให้เข้าใจสาเหตุ ของพฤติกรรม โดยจะต้องศึกษารวบรวมจากลกั ษณะพฤติกรรมทบ่ี ุคคลแสดงออก ซ่งึ อาจจะคน้ พบ จากสมั พันธภาพในครอบครัวหรอื ไม่ก็คน้ พบไดจ้ ากสถานศกึ ษา ตงั้ แตเ่ ริ่มเข้าสู่สถานศกึ ษาเป็นต้นมา ขอ้ มูลหรือขอ้ สนเทศทสี่ าคญั เก่ียวกับผู้เรียน มดี ังนี้ 1. ขอ้ มลู ส่วนตัว และภมู หิ ลังทางครอบครวั (Personal data and home background) ครอบครัวถือเป็นสถาบันแรกที่มีบทบาท และอิทธิพลต่อการถ่ายทอด รวมท้ังปลูกฝัง ความประพฤติและพฤดิกรรมของผู้เรียนเป็นอันมาก ครูหรอื ผู้แนะแนวจาเป็นท่ีจะต้องทราบข้อมูล และรายละเอียดตา่ งๆ เกี่ยวกบั ตัวผู้เรยี น และความเป็นอยใู่ นครอบครัวของผู้เรยี นใหม้ ากทีส่ ดุ เพอื่ จะ ได้เรยี นรู้และเข้าใจถงึ พฤตกิ รรมของผู้เรยี นแตล่ ะคนไดเ้ ป็นอย่างดแี ละอยา่ งถกู ตอ้ ง ข้อมลู เก่ียวกับเร่ืองราวส่วนตวั และครอบครัวทีส่ าคัญๆ ควรประกอบดว้ ย 1.1 ข้อมูลเก่ยี วกบั ผเู้ รยี น เช่น ชอ่ื นามสกลุ เพศ วนั เดอื น ปีเกดิ สถานทเ่ี กดิ เชอ้ื ชาดิ สัญชาติ ศาสนา ทีอ่ ยปู่ จั จบุ ัน และข้อมลู ส่วนบุคคลด้านอื่นๆ ของผู้เรยี น 1.2 ข้อมูลเกี่ยวกับบิดามารดา เช่น ช่ือ นามสกุล การศึกษา อาชีพ สุขภาพอนามัย ฐานะทางเศรษฐกิจ ความสมั พันธร์ ะหว่างบิดามารดา บิดามารดาและบุตร สภาพการสมรส เจตคติ ของบดิ ามารดาท่ีมีตอ่ ผู้เรียน วธิ ีการอบรมเลยี้ งดู และการใชแ้ รงจงู ใจกบั ผู้เรียน และข้อมลู ส่วนบุคคล ดา้ นอนื่ ๆ ของบิดามารดา รวมท้ังสว่ นที่มีผลเกี่ยวข้องกบั ตวั ผู้เรียนท่เี ห็นวา่ เป็นประโยชน์ 1.3 ขอ้ มูลเกี่ยวกับพ่ีนอ้ ง เช่น ชือ่ นามสกุล เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ความสมั พนั ธ์ ในหมู่พีน่ ้อง รวมทั้งขอ้ มลู อน่ื ๆ 1.4 ขอั มลู เกยี่ วกบั บ้านและเพือ่ นบ้าน เช่น สภาพบ้าน ความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ยทั้ง ภายในและภายนอก ทีพ่ ักและห้องทางานของผู้เรียนเป็นสัดส่วนหรอื ไม่ และสภาพแวดล้อมทางบ้าน ของผู้เรยี น 2. ข้อมลู เก่ียวกบั ประวัติในสถานศึกษาและรายงานสัมฤทธิ์ผล (School histiory and record of achievement) 2.1 ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติในสถานศึกษาของผู้เรียน ควรประกอบด้วย สภาพของ สถานศึกษา ที่ตั้ง ระยะเวลาท่ีผู้เรียนเข้าเรียน การมาเรียน การให้ความร่วมมือในกิจกรรมเสริม หลักสูตรและการเปน็ สมาชกิ ของชุมนุมตา่ งๆ การบนั ทึกระเบยี นพฤตกิ ารณ์ หรือแบบของการบนั ทึก อื่นๆ ที่ทาให้เขา้ ใจผู้เรียนไดด้ ีข้นึ เกี่ยวกับวุฒิภาวะ เจตคติ และการปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อมภายใน สถานศึกษา เปน็ ตน้
59 2.2 ข้อมูลท่ีเก่ียวกับความสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนและด้านอื่นๆ ควรประกอบด้วย ความสามารถทางสติปัญญาในด้านตา่ งๆ ความถนัด ความสนใจเกีย่ วกับอาชีพ วิซาการ กิจกรรมทาง สังคมและนันทนาการ รวมทั้งความสัมฤทธิ์ผลในด้านการเรียนวิชาการต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และวิชาทักษะตา่ งๆ 3. ขอ้ มูลเกย่ี วกับสขุ ภาพและอนามัย (Health and physical status) สุขภาพอนามัยของผู้เรียนเป็นส่ิงสาคัญ การท่ีผู้เรียนจะประสบความสาเร็จทาง การศึกษาเล่าเรียน หรือมพี ฤตกิ รรมการแสดงออกอยา่ งไรน้ัน อาจเนอื่ งมาจากผู้เรียนผู้น้นั มีปญั หาท่ี เก่ียวกับสุขภาพอนามัย ในการตรวจสุขภาพอนามัย และอาการของโรคต่างๆ ควรเป็นหน้าท่ีของ แพทย์และพยาบาล ผู้เรียนทกุ คนในสถานศกึ ษาควรได้รับการตรวจร่างกายเป็นประจาทกุ ๆ ปี ขอ้ มูล เหล่านีค้ วรเก็บรวบรวมไว้ท่งี านพยาบาลหรือฝ่ายแนะแนวของสถานศกึ ษา หากมีปญั หาผ้เู ก่ยี วข้องจะ ได้ประสานข้อมูล เพื่อดาเนินการช่วยเหลอื หรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ในกรณีท่ีสถานศึกษาไม่มี พยาบาลประจา ครูหรือผู้แนะแนวอาจเป็นผู้สังเกตและบันทึกความเห็นทเ่ี กี่ยวกับสุขภาพของผู้เรียน เพ่ือเสนอต่อแพทย์ พยาบาล เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของ ผู้เรียน ควรประกอบด้วย 3.1 ประวัตสิ ขุ ภาพในอดีตและประวัตกิ ารเจบ็ ปว่ ยในครอบครัว 3.2 พฒั นาการทางดา้ นสว่ นสงู น้าหนัก และความสมบูรณ์ของรา่ งกาย 3.3 บันทึกการสังเกตทางด้านสุขภาพอนามัยท่ัวๆ ไป และความบกพร่องทางด้าน ร่างกายของผู้เรียนในด้านการเห็น การได้ยิน การพูด การได้รับอุบัติเหตุ และความพิการต่างๆ ท่ีปรากฏ 3.4 การตรวจสขุ ภาพ การให้คาแนะนาแก้ไข การรกั ษา และความเห็นของแพทย์ 3.5 การบันทกึ ทางด้านสขุ ภาพจิต 4. ข้อมูลเกี่ยวกับความสนใจ ความชอบ ความไม่ชอบ และแผนของชีวิตในอนาคต (Interest, likes, dislikes and plans) การทราบเกีย่ วกับความสนใจ ความชอบ ความไม่ชอบของผู้เรียนในเร่ืองต่างๆ ย่อม ชว่ ยให้ครูหรอื ผู้แนะแนวได้เข้าใจผู้เรียนคนนั้นมากย่ิงข้ึน เพราะความสนใจแสดงถึงความโน้มเอียง ของบุคคลท่ีจะเลือก หรือไมเ่ ลือกทาส่ิงหนง่ึ ส่ิงใด หากครหู รือผู้แนะแนวตระหนักถงึ ความสาคัญของ ความสนใจก็จะสามารถนามากระตนุ้ หรอื สง่ เสรมิ เพื่อให้ผู้เรยี นมีพฤติกรรมทพ่ี ึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็น ในเรอื่ งการเรยี น และการปฏบิ ัติกจิ กรรมต่างๆ อย่างไรก็ตามพงึ ระลึกไว้วา่ ความสนใจและความชอบ ในบางส่ิงบางอย่างก็มิได้หมายความว่า ผู้น้ันจะมีความสามารถทางานนั้นๆ ไดส้ าเร็จ เช่น ผูเ้ รียนท่ี สนใจและชอบดนตรี ก็มิไดห้ มายความว่า เขาจะประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี หรือนกั เรียนบางคนมี ความสนใจและชอบเคร่อื งยนต์กลไกตอ้ งการที่จะเรียนวิศวกรรมศาสตร์ แตฐ่ านะทางเศรษฐกิจของ
60 ครอบครัวไม่ดี ก็อาจทาให้เขาผู้นั้น ไม่สามารถท่ีจะบรรลุถึงเป้าหมายท่ีเขาต้องการได้ สาหรบั เร่ือง แผนของชีวิตในอนาคตหรือการวางโครงการในอนาคตของผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนมีความต้ังใจ กาหนดตนเองและพัฒนาตนเองให้ไปสู่เป้าหมายท่ีวางไว้ แตอ่ ย่างไรก็ตามโครงการในอนาคตก็อาจ เปล่ียนแปลงได้ เม่ือวันเวลา และสถานการณ์เปล่ียนไป แต่ครูหรือผู้แนะแนวก็อาจจะต้องช่วย แนะแนวผู้เรียน ให้เลือกเป้าหมายให้สอดคล้องเหมาะสมกบั ความสามารถ ความถนัด ความสนใจ และปัจจัยพื้นฐานของผู้เรียน โดยผ่านกระบวนการแนะแนวอย่างมีระบบ ข้อมูลดังกล่าวน้ีควร ประกอบด้วย 4.1 ความสนใจในด้านการเรียน การเลือกกิจกรรม การเลือกอาชีพ และการทางาน ในสังคม 4.2 แผนการศกึ ษาและการวางแผนเข้าสอู่ าชพี ในอนาคต 4.3 กิจกรรมและงานอดเิ รกตา่ งๆ 5. ข้อมูลเก่ียวกับประสบการณ์ และกิจกรรมต่างๆ ภายนอกสถานศึกษา (Out of school experiences) การทราบข้อมูลบางอย่างที่เก่ียวกับประสบการณ์ และกิจกรรมภายนอกของผู้เรียน จะเป็นคณุ คา่ ตอ่ ครูหรือผแู้ นะแนว ในการรจู้ กั และเขา้ ใจผเู้ รยี นมากย่ิงขน้ึ ท้ังนี้เพราะ การทราบข้อมลู เหล่านี้ สามารถนามาประกอบในการวางแนวทางการศกึ ษาและอาชพี เพ่ือให้เกิดพัฒนาการทางดา้ น สงั คม และพฒั นาการทางดา้ นการเรยี นการสอนในชัน้ เรยี นไดเ้ ปน็ อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถนามาใช้ ช่วยในการทาความเข้าใจเก่ียวกับปัญหาด้านการ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในสถานศึกษา สาหรับผู้เรียนบางคนอีกด้วย เช่น ผู้เรียนท่ีต้องช่วยงาน ในครอบครัวมากเกนิ ไป ผู้เรียนทต่ี ้องทางานพิเศษเพ่อื ส่งเสยี ตวั เอง ผู้เรียนทช่ี อบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ กับกลุม่ ทไี่ มค่ ่อยเหมาะสม และผู้เรียนท่ชี อบหลีกเลีย่ งจากการเก่ยี วข้องกบั บคุ คลอนื่ เปน็ ตน้ ข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ และกิจกรรมภายนอก สถานศึกษา ควร ประกอบดว้ ย 5.1 การมีส่วนร่วม หรือการเป็นสมาชิกของกลุ่มกิจกรรม และชุมนุมต่างๆ ในชุมชน ภายนอกสถานศกึ ษา 5.2 การทางานเพอื่ หารายไดพ้ ิเศษ เช่น หลงั เลิกเรยี น นอกเวลาเรยี น ช่วงวันหยดุ หรอื ระหว่างปิดภาคเรียน 5.3 การเดินทางท่องเทยี่ วหรอื ทศั นศกึ ษา 5.4 การทางานอดเิ รกและกจิ กรรมท่ีทาในเวลาว่าง
61 6. ข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านอารมณ์และด้านสังคม (Emotional and social development) การศึกษาขัอมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านอารมณ์ และด้านสังคม นับเป็นเร่ือง ละเอียดอ่อนและค่อนข้างสลับซับซ้อน เพราะพัฒนาการแต่ละด้าน ในแต่ละช่วงของวัยที่ผ่านมา ยอ่ มมีเหตุการณ์ทห่ี ลากหลาย ผ่านเข้ามาในชีวดิ ของผู้เรยี นแต่ละคน ในความเห็นของนักการศึกษา และนักจิตวิทยา ได้ให้เกณฑ์สาหรับพิจารณาระดับวุฒิภาวะทางด้านอารมณ์และด้านสังคมว่าควร ประกอบด้วย 6.1 ลกั ษณะนิสัยในการทางาน เชน่ ชอบความเป็นอสิ ระ หรอื ตอ้ งมกี ารมอบหมายงาน และกากับดแู ล 6.2 ความรบั ผิดชอบเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมและความประพฤดิของตนเอง 6.3 ความสนใจอยา่ งแทจ้ รงิ ในส่ิงทีท่ าใหช้ ีวติ นา่ สนใจและทา้ ทาย 6.4 ทักษะในการร่วมแสดงความคิดเห็นและการฟงั อยา่ งมวี จิ ารณญาณ 6.5 ลกั ษณะนิสยั ทีแ่ สดงถงึ ความสภุ าพออ่ นโยน 6.6 เจตคติต่อการใช้เหตผุ ลทเี่ กย่ี วกบั อานาจ 6.7 แรงจงู ใจและความพงึ พอใจทจี่ ะเก่ยี วข้องกับบคุ คลอนื่ 6.8 ความปรารถนาท่จี ะเข้ามามสี ่วนร่วมและเสรมิ สร้างกจิ กรรมของกลุ่ม 6.9 การใหค้ วามรว่ มมอื กบั กลุ่มด้วยจิตใจและการกระทา 6.10 การใชเ้ ทคนิคเพือ่ ใหเ้ ป็นทยี่ อมรับ สาหรบั การเสรมิ สรา้ งในกิจกรรมของกลุ่ม ขอ้ มูลในแตล่ ะประเภทที่กล่าวมาแลว้ ถ้าครูหรอื ผูแ้ นะแนว สามารถศกึ ษารวบรวมได้อยา่ ง ละเอียด ลึกซ้ึง จะช่วยให้สามารถมองเห็นภาพของผู้เรียนแต่ละคนไดอ้ ย่างเด่นชัด และอาจจะเป็น พ้ืนฐานท่ีดีในการพิจารณาทานาย เพื่อหาทางป้องกัน หรือส่งเสริม เพ่ือพัฒนาให้เกิดความ เจรญิ ก้าวหน้า และสามารถวินจิ ฉัย เพ่ือแก้ไขช่วยเหลอื ผู้เรียนตรงตามวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีกาหนดไว้ นอกจากนี้ การศึกษาและรวบรวมข้อมูลของผูเ้ รยี น จะต้องคานึกถึงการไดข้ ้อมูลท่มี ีความ ถูกตอ้ ง แมน่ ยา และนามาใชป้ ระโยชน์ตอ่ การเข้าใจผเู้ รยี นได้อย่างแท้จรงิ ซ่งึ ครูหรือผูแ้ นะแนวควรยดึ หลกั เกณฑ์ในการพจิ ารณาข้อมูล ดังตอ่ ไปน้ี 1. ข้อมูลมีความถูกต้อง แม่นยา และเช่ือถือได้ (Accuracy and reliability) ซึ่งขัอมูลท่ี ได้มาตอ้ งเป็นส่ิงท่ีคงท่ีแน่นอน ไมแ่ ปรผันและไมเ่ ปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจตรวจสอบโดยการเกบ็ รวบรวม ข้อมลู ดว้ ยวิธีการเดิมซา้ หลายๆ ครั้ง หรอื อาจตรวจสอบกบั ขอ้ มูลที่ไดม้ าจากวธิ กี ารอน่ื ๆ 2. ข้อมูลท่ีมคี วามเทย่ี งตรง (Validity) โดยขอ้ มูลที่ไดม้ าจากการเครื่องวัดที่สามารถวดั สงิ่ ที่ ต้องการจะวดั ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง หรอื ได้อย่างถกู ต้องตรงตามจุดประสงค์ทก่ี าหนดไว้ เช่น ต้องการทราบ
62 ถึงความถนัด ข้อมูลท่ีได้ควรบ่งชี้ถึงความถนัด มิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสามารถในการเรียน วิชาตา่ งๆ 3. ข้อมูลมีลักษณะเป็นปรนัย (Objectivity) โดยข้อมูลท่ีได้ต้องมีลักษณะเป็นกลาง ไม่มี ความคิดเห็นหรือความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเก่ียวข้อง ให้ข้อมูลท่ีตรงตามความเป็นจริง และให้ ข้อเทจ็ จรงิ ทกุ อย่าง รวมท้ังมีความแจ่มชดั ในความหมาย วธิ กี าร และการแปลความหมาย 4. ข้อมูลบ่งบอก วัน เวลา และสถานท่ีชัดเจน (Time and place) ในการพิจารณาส่ิงใด จะต้องทราบช่วงวัน เวลา และสถานที่ เพราะพฤติกรรมบางอย่างมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบ เหล่านี้ วัน เวลาและสถานท่ีเปล่ียนไป ถ้าสามารถนามาเทียบเคยี งได้ก็จะทาให้ทราบถึงเรื่องราวใน อดีตและมองเห็นบางส่ิงบางอย่างในอนาคต 5. ข้อมูลมีลักษณะสะสม และกว้างขวาง (Cumulative and developmental) โดยมี การศึกษาและรวบรวมข้อมูลของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานานพอสมควร และค่อนข้าง ลกึ ซงึ้ กว้างขวาง เพราะการรวบรวมในลักษณะนี้จะชว่ ยใหม้ องเห็นและเขา้ ใจถงึ ความเจริญก้าวหน้า และพฒั นาการดา้ นต่างๆ ของผู้เรียนอยา่ งกว้างขวาง 6. ข้อมูลมีความเหมาะสมในการนาไปใช้ (Practicality) ซึ่งคานึงถึงวิธีการศึกษาและ รวบรวมข้อมูลต่างๆ ท่ีจะนาไปใช้ว่าช่วยประหยัดเวลา แรงงาน และคา่ ใช้จ่ายหรือไม่ รวมทั้งมีคู่มือ ช้แี จงรายละเอียดเกี่ยวกบั การใช้และการแปลความหมายข้อมลู ท่ีศึกษามาได้อย่างชดั เจน 7. ข้อมูลสามารถนามาเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรม (Comparison) ซึ่งมีท้ังการ เปรยี บเทยี บในความเปล่ยี นแปลงในตนเอง และการเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ความแตกตา่ งของผู้เรียนคนที่ ศกึ ษากับผู้เรียนคนอื่นๆ ในกลุ่มเดยี วกนั ซ่ึงจะช่วยให้ครูหรือผแู้ นะแนวมองเหน็ ความเปลี่ยนแปลงใน ตนเอง และความแตกตา่ งระหว่างบุคคลอย่างชัดเจน และสามารถที่จะวางโครงการช่วยเหลือผู้เรยี น ไดเ้ ปน็ อย่างดี 8. ข้อมูลสามารถเพ่ิมความเข้าใจในตัวผู้เรียนได้มากขึ้น (Understanding) ในการศึกษา รวบรวมข้อมลู ของผู้เรยี น ครหู รือผู้แนะแนวจะต้องคานึงถงึ หลกั เกณฑท์ ี่วา่ ขอั มูลท่ีไดม้ าช่วยใหไ้ ด้รจู้ กั และเขา้ ใจในตัวผู้เรยี นเพ่ิมมากขึ้นมากนอ้ ยเพียงใด และควรเลือกใช้เคร่ืองมือชนดิ ใดจึงจะเหมาะสม ตามสถานการณ์ การได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนมาในครั้งหนึ่งๆ มิได้หมายความว่า จะทาให้รู้จัก และเข้าใจผู้เรียนตลอดไป เพราะมีเง่ือนไขต่างๆ และพัฒนาการเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ดังน้ัน การเก็บรวบรวมขอ้ มูลของผู้เรียนเพิ่มเติมอยเู่ สมอ จะชว่ ยทาให้รู้จกั และเข้าใจผู้เรยี นอย่างกว้างขวาง และลกึ ซ้ึง
63 ข้อควรคานึงในบริการศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คล ในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล จะบรรลุผลดังที่มุ่งหวังมากน้อย เพยี งใดนนั้ ครูหรอื ผู้แนะแนวจะตอ้ งมีขอ้ คานึงถึงอย่หู ลายประการดว้ ยกัน คือ 1. การศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลผู้เรียน จะบรรลุผลก็ต่อเม่ือคณะครูในสถานศึกษาทุกคน เห็นความสาคญั และให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยจะตอ้ งปฏิบัติหนา้ ที่ท่ีตนพึงมตี ่อลูกศษิ ย์อย่าง เต็มความสามารถและเต็มใจ ในขณะเดยี วกันครูหรอื ผู้แนะแนวจะต้องทาให้ผู้เรียนเห็นความสาคัญ ใหค้ วามรว่ มมืออย่างเตม็ ท่ี ในการปฏิบัติตามขอ้ แนะนาของเครื่องมือหรือแบบทดสอบท่นี ามาใช้ 2. เครื่องมือ และวิธีการที่จะนามาใช้ศึกษา และรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้เรียน มีอย่ดู ว้ ยกันมากมาย เครือ่ งมอื และวิธกี ารเหล่านต้ี ่างกม็ ีคุณสมบตั ิ และคุณประโยชน์เฉพาะอยา่ ง ไม่มี เคร่ืองมือและวิธีการใดที่ดีท่ีสุด หากครูหรือผู้แนะแนว ต้องการท่ีจะให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับตัวผู้เรียน อยา่ งละเอยี ดและกว้างขวาง ครูจงึ จาเป็นต้องใช้เครอ่ื งมอื และวิธีการหลายๆ อย่างประกอบกัน 3. การรวบรวมข้อมูลรายละเอยี ดเกย่ี วกบั ตัวผู้เรียน ครหู รือผ้แู นะแนว ไม่ควรคาดหวงั หรอื กงั วลว่าจะช่วยให้เข้าใจผู้เรยี นได้อย่างสมบูรณ์ แต่อยา่ งน้อยก็น่าจะช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวเข้าใจ ผู้เรียนได้ดีขนึ้ 4. การศึกษาและรวบรวมข้อมลู รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้เรยี น ควรจัดเพ่ือแสวงหาความ เขา้ ใจผู้เรยี น และใหก้ ารแนะแนว ช่วยเหลือผู้เรียนควบคูก่ นั ไป 5. การเลือกใช้เครื่องมือ และวิธีการในการศึกษา และรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของ ผู้เรียนแต่ละคน ครหู รอื ผ้แู นะแนวต้องพิจารณาเลือกให้เหมาะสม และสอดคลอ้ งกับความจาเปน็ ของ ผู้เรยี นแต่ละคน มไิ ชใ่ ช้เครอ่ื งมอื และวิธกี ารอยา่ งเดียวกันกับผู้เรียนทกุ คน 6. การศึกษาและรวบรวมข้อมลู รายละเอียดเกย่ี วกับผู้นกั เรียน ครู หรือผู้แนะแนวจะต้อง คานึงถึงส่ิงแวดล้อมทางบ้านด้วย โดยมีการศึกษาท้ังตัวผู้เรียน และส่ิงแวดล้อม เพ่ือจะได้รู้จักและ เขา้ ใจผู้เรยี นอย่างถกู ตอ้ งยงิ่ ขึ้น 7. การศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู รายละเอียดเกีย่ วกับตวั ผู้เรยี น ต้องมุ่งหวงั ใหเ้ กิดประโยชน์ แก่ผู้เรียนอย่างเต็มท่ี โดยเฉพาะทาให้ผู้เรียนแต่ละคนรู้จักและเข้าใจตนเองดีข้ึน สามารถพิจารณา ตัดสินใจทจี่ ะกระทาการใดๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและถูกต้อง อนึ่ง ในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลรายละเอียดเก่ียวกับตัวผู้เรียนนั้น จาเป็นที่ จะต้องศึกษา รวบรวมจากตัวผู้เรียน และจากบุคคลอ่ืนๆ ที่เก่ียวข้อง เช่น บิดา มารดา ผู้ปกครอง ครูประจาช้ัน ครูประจารายวิชา และเพ่ือน เป็นต้น เพราะถ้าศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากฝ่ายหน่ึง ฝ่ายใด แต่เพียงฝ่ายเดียวอาจจะไดข้ อ้ มลู ทค่ี ลาดเคลอื่ นจากความเป็นจริง เนื่องจากมีอคติ หรือความ ไมร่ ูจ้ รงิ รวมท้ังการบิดเบือนด้วย ซึง่ พอจะแยกอธิบายใหเ้ ห็นชดั เจนได้ ดังต่อไปนี้
64 ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากตวั ผู้เรียนอาจจะมคี วามคลาดเคล่ือน เน่ืองจาก 1. ผู้เรียนส่วนมากมักจะปกปิดความลับของตนเองไว้ ไม่เปิดเผยความจริงบางประการให้ ผอู้ ่ืนรู้ นอกจากน้ัน บางคนยังอาจเสแสร้งแสดงพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกและอุปนิสัยที่ แท้จริงของตนอกี ด้วย 2. คนทว่ั ไปมักจะมคี วามลาเอียงเข้าข้างตนเองว่า “ตนนนั้ เปน็ คนดี” 3. ผู้เรยี นบางคนอาจบดิ เบอื นขอ้ มลู อนั เนอ่ื งมาจาก ความไมร่ ู้จกั และไม่เข้าใจตนเองอย่าง แทจ้ ริง สาหรับการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผู้เรียนจากบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับผู้เรียน แต่เพียง ฝ่ายเดยี ว อาจมคี วามคลาดเคลือ่ น เนื่องจาก 1. บดิ า มารดา หรือผู้ปกครอง ครู อาจารย์ หรือผใู้ หญ่คนอ่นื ๆ ขาดความใกลช้ ิดกบั ผู้เรยี น จงึ ทาใหร้ จู้ กั และเข้าใจผู้เรียนไม่เพยี งพอ 2. การดาเนินชีวิต และการปฏิบัติของคนรุน่ ใหม่กับคนรุ่นเก่า มีความแตกต่างกัน ทาให้ ผใู้ หญ่ซง่ึ เคร่งครดั ในขนบธรรมเนียม ประเพณเี ดมิ ไมเ่ ข้าใจ และไม่ยอมรบั ในพฤตกิ รรม 3. ความลาเอียงหรือมีอคติ เนื่องจาก ความรักหรือมีความคิดเห็นท่แี ตกต่างไปจากเกณฑ์ มาตรฐานของตน เพ่ือให้การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผู้นักเรียน บรรลุผลสมดังความ มงุ่ หมายทต่ี ้องการ ครหู รอื ผู้แนะแนวที่ทาหน้าทีเ่ ก่ยี วกับบริการด้านนี้ ควรถามตนเองอยู่เสมอว่า 1. ตัวท่านมีความรู้ ความเข้าใจในเคร่ืองมือ และวิธีการต่างๆ ท่ีจะนามาใช้ศึกษาและ รวบรวมรายละเอียดเก่ียวกับตัวผู้เรียนดีเพียงใด เคร่ืองมือ และวิธีการต่างๆ ที่จะนามาใช้ใน สถานศกึ ษามีความเหมาะสมมากนอ้ ยเพียงใด 2. ตัวทา่ นตอ้ งการรจู้ กั และเขา้ ใจผู้เรยี นแต่ละคนละเอียดลกึ ซึ้งแคไ่ หน 3. ตัวท่านมีความสามารถจัดการแนะแนว ช่วยเหลือผู้เรียนท่ีมีความแตกต่างกันเหลา่ น้ัน ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด เช่น การสอนชอ่ มเสริม การจดั กิจกรรมเสริมหลักสตู ร เป็นต้น 4. ตวั ทา่ นมีความเชอื่ ถอื ในเครื่องมือ และวิธกี ารที่นามาใช้มากน้อยเพยี งใด 5. ตัวท่านพิจารณากาหนดขอบเขดของบริการเพ่ือศึกษาและรวบรวมข้อมูลรายละเอียด ผู้เรียนไว้เท่าใด เช่น จะศึกษาในด้านใด ศกึ ษากบั ผู้เรยี นกลุ่มใดหรอื ระดบั ช้นั ใด เป็นต้น 6. ตัวท่านได้เตรียมการ หรือวางแผนดาเนินการ ท่ีจะจัดโครงการแนะแนว ช่วยเหลือ เพอ่ื ให้ผู้เรยี นได้รูจ้ กั และเขา้ ใจตนเองดยี ิ่งขน้ึ หรือไม่ 7. ตวั ทา่ นพรอ้ มทจ่ี ะอุทิศแรงกาย แรงใจเพือ่ นกั เรยี นมากนอ้ ยเพยี งใด โดยเฉพาะอย่างยิง่ ครปู ระจาช้ัน ต้องมภี ารงานเพม่ิ ขน้ึ ทั้งงานสอนซงึ่ เปน็ งานประจา และงานท่ีต้องศึกษาและรวบรวม ข้อมูลผู้เรียน จงึ จาเปน็ ตอ้ งใชเ้ วลา ทง้ั ในเวลาและนอกเวลาราชการ
65 วิธกี ารศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มูลผเู้ รียนเป็นรายบคุ คล การศึกษารายละเอียดและข้อเท็จจริงเกี่ยวกบั ผ้เู รียนน้ันจาเป็นตอ้ งใช้วธิ ีการท่ีเหมาะสม สามารถประหยดั ค่าใชจ้ า่ ย ประหยัดเวลาและแรงงาน ตลอดจนมคี าช้ีแจงรายละเอียดเกีย่ วกับการใช้ และการแปลความหมายอย่างชัดเจน ครูหรือผู้แนะแนวจาเป็นต้องมีความรู้และความชานาญใน การศึกษาและรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดี และต้องใช้กลวิธีและเคร่ืองมือหลายๆ ชนิดประกอบกัน เพราะกลวธิ ีและเคร่ืองมือแตล่ ะชนดิ ต่างมีข้อจากัด ทาใหไ้ มอ่ าจรวบรวมข้อมูลได้ทกุ เรอ่ื ง อีกท้งั ขอ้ มูล บางเรื่องเป็นสิ่งท่ีซับซ้อน ปกปิดและยากที่จะเข้าใจ นอกจากนี้ จะต้องรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง เช่น บ้าน โรงเรียน เป็นต้น ดังนั้น เพ่ือให้เกิดความแน่นอนในข้อมูลที่รวบรวมได้ จึงต้องใช้ เครอื่ งมือและกลวิธีหลายๆ ชนิดประกอบกัน ซึ่งวธิ ีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผเู้ รียนเป็นรายบุคคล สามารถแบง่ ออกได้ 2 ประเภท คอื 1. วิธกี ารศึกษาและรวบรวมข้อมลู ผู้เรียนโดยไมใ่ ชแ้ บบทดสอบ (Non-testing Techniques) 2. วธิ กี ารศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ผเู้ รียนโดยใชแ้ บบทดสอบ (Testing Techniques) วธิ กี ารศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู ผ้เู รยี นโดยไม่ใช้แบบทดสอบ 1. การสงั เกต การสังเกต (Observation) เป็นวิธีการศึกษาผู้เรียนเพ่ือทาความเข้าใจเก่ียวกับ ตัวผู้เรียน โดยการเฝ้าดูพฤติกรรมท่ีผู้เรียนแสดงออกมา ในลักษณะท่ีเป็นจริงตามธรรมชาติ ท้ังที่ เป็นไปตามสถานการณ์ปกติ หรือสถานการณ์ท่ีกาหนดข้ึน โดยผู้สังเกตจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ การแสดงพฤติกรรมน้ันๆ เพียงแต่ผู้สังเกตจะต้องเฝา้ ดู หรือแอบดูพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นและพยายาม จดจาไว้ หลงั จากนัน้ จงึ คอ่ ยมาบันทึก เพอ่ื เก็บไว้ศึกษาอา้ งอิงในโอกาสต่อไป มีรายละเอยี ดดังน้ี 1.1 ความหมายของการสงั เกต สภุ างค์ จนั ทวานิช (2554, น. 78) ได้ให้ความหมาย ของการสังเกต คือ “การเฝ้าดูส่ิงที่เกิดข้ึนอย่างใส่ใจและมีระเบียบวิธี เพื่อวิเคราะห์หรือหา ความสมั พันธ์ของสิ่งทีเ่ กิดข้ึนนน้ั กบั สงิ่ อน่ื ” 1.2 จดุ ม่งุ หมายของการสงั เกต การสงั เกตมีจดุ มงุ่ หมายสาคญั ดังน้ี 1.2.1 การสังเกตเพ่ือให้การช่วยเหลือทันที การสังเกตแบบน้ี ครูหรือผู้แนะแนว มักจะสงั เกตพฤตกิ รรมของผเู้ รยี นทกุ คน ในขณะทาการสอนหรอื กากับดแู ลการทากจิ กรรมของผู้เรียน หากพบว่าผู้เรียนคนใดมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ขาดความสนใจในการเรียน มีปัญหาการปรับตัว หรือไม่ให้ความใส่ใจในการปฏิบัตงิ าน ครูหรอื ผู้แนะแนวจะพยายามดงึ ให้ผู้เรียนหันกลบั มาสนใจใน การเรียนหรือกจิ กรรมทกี่ าลงั กระทาอยู่ทนั ที
66 1.2.2 การสังเกตเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล การสังเกตประเภทน้ี เป็นการเก็บ รวบรวมข้อมูลรายละเอียดไว้ เพ่ือประกอบการพิจารณา วินิจฉัย และเข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียน ให้ถ่องแท้ หากข้อมูลรายละเอียดของผู้เรียนแต่ละคนไม่สมบูรณ์เพียงพอ ครูหรือผู้แนะแนว จะไม่สามารถให้การแนะแนว และช่วยเหลือผู้เรียนผู้นั้นได้ตรงจุด ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดบัญหาต่างๆ ตามมาได้ 1.3 ประเภทของการสังเกต ในการจาแนกประเภทของการสงั เกตนนั้ สามารถจาแนก ไดห้ ลายอย่างตามลักษณะของการสังเกต ซ่ึงอาจจะแบ่งประเภทของการสังเกตออกเป็น 3 ประเภท คอื 1.3.1 การสังเกตอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Observation) เป็นการสังเกต พฤตกิ รรมต่างๆ ของผ้เู รยี น โดยไมม่ กี ารควบคุมองค์ประกอบหรอื เตรียมการใดๆ ไว้ก่อน สามารถทา การสังเกตได้ทุกเวลาทุกสถานท่ีตามแต่โอกาสอานวย สังเกตทุกส่ิงทุกอย่างท่ีปรากฏจากตัวเด็ก ซงึ่ การสังเกตประเภทนีเ้ ป็นการสังเกตทีค่ รูหรือผู้แนะแนวใช้สงั เกตพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นประจา อยูแ่ ลว้ เช่น สงั เกตพฤติกรรมการเรยี น การเลน่ สภาพร่างกาย และการมปี ฏสิ ัมพนั ธก์ ับเพอ่ื น เปน็ ตน้ 1.3.2 ก ารสั งเกต โดย กาห น ดช่ วงเวล าใน ก ารสังเก ต (Time Sampling Observation) เป็นการสังเกตท่ีมีแผนการ และกาหนดช่วงเวลาล่วงหน้าว่าจะสังเกตใคร พฤติกรรมเม่ือไร ใชเ้ วลานานเท่าใด เช่น ผู้สังเกตอาจจะสังเกตนักเรียนเป้าหมาย โดยกาหนดว่าจะ สังเกตครั้งละ 15 นาที ทุกวันๆ ละ 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 11.00 - 11.15 น. และระหว่างเวลา 15.00 -15.15 น. เปน็ ตัน การสงั เกตประเภทน้ี จะทาให้ผู้สงั เกตมีโอกาสได้รแู้ ละเขา้ ใจพฤตกิ รรมของ ผู้เรียนได้ครอบคลมุ มากกว่า และการบันทึกพฤติกรรมได้รายละเอียดมากกวา่ การสังเกตพฤติกรรม น้อยคร้ัง เพราะผู้สงั เกตสามารถพิจารณาระยะเวลาไดต้ ามความตอ้ งการ 1.3.3 การสังเกตโดยเลือกสังเกตเฉพาะสถานการณ์ท่ีต้องการ (Situational Sampling Observation) เป็นการสังเกตทีก่ าหนดเฉพาะเจาะจงลงไป ว่าอยากทราบส่งิ ใดเกี่ยวกับ ผู้เรียนก็ทาการสังเกตเฉพาะอย่างน้นั เชน่ สังเกตการเล่นกบั เพอ่ื นท่ีสนามเด็กเล่น นิสัยการเรยี นหรือ การทางานร่วมกบั เพอื่ น เป็นตน้ 1.4 หลักการสังเกต การสังเกตที่จะทาใหไ้ ด้ขอ้ มูลทีเ่ ป็นท่ีเชอ่ื ถอื ได้นนั้ ผ้สู ังเกตตอ้ งมี การฝกึ ฝนการสงั เกตอยูเ่ สมอ และควรมีหลักการของการสงั เกตดงั น้ี 1.4.1 ไม่ควรให้ผู้ถูกสงั เกตรู้ตัววา่ กาลงั ถูกสังเกตอยู่ 1.4.2 ต้ังเป้าหมายและกาหนดสิ่งที่จะสังเกตให้ชัดเจนก่อนท่ีจะเริ่มสังเกต เช่น สังเกตอะไร พฤติกรรมใด และจะสังเกตในสถานการณ์ใด เพื่อจะช่วยให้เข้าใจผู้เรียนได้ดีข้ึน และ นาความเขา้ ใจนั้นมาชว่ ยเหลอื ผู้เรยี นใหด้ ขี นึ้
67 1.4.3 ควรสังเกตพฤติกรรมทีเ่ กิดขน้ึ ในหลายๆ ด้านควบคไู่ ปกับสถานการณ์ หรือ สิง่ แวดล้อมดว้ ย เพ่ือใหไ้ ดพ้ ฤตกิ รรมทแี่ ทจ้ รงิ ท่ีผ้เู รียนแสดงออกมา 1.4.4 การสังเกตคร้ังหน่ึงๆ ควรสังเกตผู้เรียนเพียงคนเดียว เพราะจะช่วยให้ ผ้สู ังเกตไดม้ โี อกาสศกึ ษาพฤตกิ รรมของผู้เรยี นได้อยา่ งละเอยี ดถถี่ ว้ น และป้องกนั ความผดิ พลาด 1.4.5 ควรสังเกตในเวลา และจานวนคร้ังท่ีมากพอ จะทาให้ได้ข้อมูลที่ละเอียด กวา้ งขวาง และถูกต้องยิ่งขนึ้ 1.4.6 ผสู้ ังเกตตอ้ งพยายามทาใจใหเ้ ท่ียงตรงและวางตวั เปน็ กลางในการสังเกตให้ มากท่ีสดุ อยา่ ให้เกิดอคตหิ รือความลาเอียง 1.4.7 ควรบนั ทึกและสรุปผลการสังเกตทันทีเมอื่ สนิ้ สุดการสงั เกต เพราะถ้าเวลา ผ่านไปอาจลืมได้ โดยมีขอ้ ควรคานงึ ดงั น้ี 1) บันทึกข้อมูลทตี่ รงกับสภาพความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใส่ความ คิดเห็น หรือความร้สู กึ สว่ นตวั ของผู้สงั เกตลงไปด้วย 2) ควรรวบรวมผลการสงั เกตพฤติกรรมให้มากท่ีสดุ ก่อนจะสรปุ เปน็ ข้อยุติ เก่ียวกบั ลักษณะตา่ งๆ ของผู้เรียนแต่ละคน 1.5 พฤติกรรมที่ควรสังเกต การจะสังเกตพฤติกรรมใดๆ จากผู้เรียนนั้น ขึ้นอยู่กับ จดุ มุ่งหมายของผู้สงั เกตท่กี าหนดไว้ สาหรบั พฤติกรรมเด่นชัดท่นี ่าสนใจและมกั เกดิ ขน้ึ กับผู้เรียนโดย ท่วั ๆ ไปมีดังน้ี 1.5.1 พฤติกรรมท่ีกระทาซ้าซากอยู่เสมอ ในช่วงระยะเวลาหน่ึง เพราะย่อม สะท้อนถึงอุปนิสัยและคุณลักษณะของผเู้ รียนคนน้ัน เช่น กระพริบตาบ่อยๆ กัดเล็บ ดึงผม เป็นต้น การไดส้ ังเกตพฤติกรรมในทานองน้ี ก็ย่อมจะช่วยให้ผสู้ งั เกตเข้าใจบุคลกิ ภาพเฉพาะตนของผู้เรียนได้ 1.5.2 พฤติกรรมทเี่ ปลย่ี นไปจากพฤติกรรมท่เี คยเป็น เช่น เคยเรียนหนงั สือเก่งแต่ เกดิ ความเบือ่ หนา่ ยและไมร่ ับผดิ ชอบ เคยรา่ เริงแต่กลับเงยี บขรมึ เป็นต้น 1.5.3 พฤติกรรมท่ีสะท้อนใหเ้ ห็นถึงความไม่เตม็ ใจ หรือไม่สามารถเผชิญกับความ เป็นจรงิ ได้ เช่น ไมก่ ลา้ ยอมรับความจรงิ ถอยหนี ไมใ่ ห้ความร่วมมอื เป็นต้น 1.5.4 พฤติกรรมที่แสดงถึงความผิดปกติทางร่างกาย เช่น เจ็บป่วย อ่อนเพลีย บ่อยๆ ปวดหวั เปน็ ประจา ความบกพรอ่ งทางประสาทสมั ผสั เป็นต้น 1.5.5 พฤตกิ รรมทไี่ ม่เหมาะสมบางประการ เชน่ ก้าวร้าว ซึมเศรา้ ชอบแสดงเป็น จดุ เดน่ ชอบแกล้งเพอื่ น เปน็ ต้น และพฤตกิ รรมที่ผิดปกติ เช่น นง่ั เหมอ่ ลอย นั่งหลับอย่เู สมอ เปน็ ต้น 1.5.6 พฤติกรรมโดยท่ัวไปท่ีเป็นบุคลิกภาพที่เป็นไปในทางบวก เช่น ความ รบั ผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดริเริ่ม ความเป็นผู้นา เพราะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างครูและผู้เรียน ชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถพฒั นาไปในทางท่ีดี
68 1.6 วิธีการบันทึกการสังเกต เมื่อสังเกตแล้วควรมีการบันทึกรวบรวมไว้ การบันทึก ควรบันทกึ ตามความเป็นจริง ไม่แทรกความคิดเห็นหรือความร้สู ึกส่วนตวั ลงไป อาจใช้อุปกรณช์ ่วยได้ เช่น กล้องถ่ายรปู กลอ้ งถา่ ยวิดโี อ เครอ่ื งบันทึกเสยี ง แต่ระวังอย่าใหผ้ ถู้ ูกสังเกตคิดว่าเป็นการคกุ คาม ความเป็นสว่ นตัว แบบของการบันทกึ พฤตกิ รรมมี 3 แบบ ดังนี้ 1.6.1 การบันทึกการสังเกตแบบพรรณนา (Narrative Record) เป็นการบันทึก พฤตกิ รรมท่ีได้จากการสงั เกต โดยวิธีจดบนั ทึกแบบเลา่ เรอ่ื งราวอย่างเสรี ไม่กาหนดรปู แบบ เขียนเปน็ เรือ่ งเลา่ ดว้ ยถอ้ ยคาสานวนของผู้สงั เกต เช่น “เด็กหญิงนิสามีผิวดาแดง รูปร่างบอบบางมาก แขนขาเล็กแต่แข็งแรง แต่งกายสะอาดเรียบร้อย เด็กหญิงนิศาพูดจาไพเราะแต่เสียงค่อย ไม่ยอมพูดหรือยิ้มกับบุคคลท่ีไม่ ค้นุ เคยด้วย เพ่ือนที่คุ้นเคยโดยมากเป็นเพ่ือนหญิง เวลาว่างจะวง่ิ เล่นกับเพ่ือนหญิง เวลาเรียนตั้งใจ เรียนดี ทางานเรยี บรอ้ ยสะอาด ทาชา้ ๆ และชอบปรึกษาเพ่อื น ลายมือไม่สวย การรับประทานอาหาร ค่อนขา้ งชา้ และเลือกอาหาร” ตวั อย่างแบบบันทึกการสงั เกตแบบพรรณนา ชอื่ -สกลุ ............................................................................................ ชัน้ ................................ วันที่ ........................................ สถานท่ี ............................................. เวลา ........................ น. บนั ทึกเหตุการณ์ ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ขอ้ คดิ เหน็ ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................... ผสู้ งั เกต ตาแหน่ง .............................................................
69 1.6.2 การบันทึกการสังเกตโดยใช้ระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal Record) เป็นการบันทึกเหตุการณ์ของพฤตกิ รรมที่สาคัญท่เี กิดขนึ้ กับผู้เรียนแต่ละคน ในสถานกาณ์เฉพาะเป็น ครั้งคราว การบันทึกมิได้มีการกาหนดระยะเวลาท่ีแน่นอน ข้ึนอยู่กับว่าพฤติกรรมท่ีผู้เรียนแสดง ออกมานา่ สนใจ หรอื นา่ จะเป็นวธิ ีการที่จะทาให้รจู้ กั และเขา้ ใจนักเรียนท่ถี กู สงั เกตย่ิงข้นึ การจดบันทึกระเบียนพฤติการณ์แต่ละคร้ัง จึงคล้ายกับเป็นการเก็บภาพ การกระทาของผู้เรียนในครั้งหน่ึงๆ ในสถานการณ์หน่ึง แต่เป็นการเก็บภาพท่ีบรรยายพฤดิกรรม ออกมาเป็นภาษาถ้อยคา และในการทาระเบยี นพฤติการณ์ ผู้บันทึกหรือผู้สังเกตอาจจะมีการแสดง ความคดิ เหน็ เพ่มิ เติมเกีย่ วกบั พฤตกิ รรมทจี่ ดบนั ทึกไว้ก็ได้ แต่ถา้ จะแสดงความคิดเห็นลงไป ก็ควรที่จะ บันทกึ แยกตา่ งหาก ไม่ควรเขียนปะปนกับรายละเอียดเกยี่ วกับพฤติกรรมของผู้เรยี น เพราะจะทาให้ เกิดความเขา้ ใจคลาดเคล่อื นระหว่างความคดิ เหน็ ของผูบ้ ันทึกกบั พฤตกิ รรมทีแ่ ท้จริงของผู้เรยี น การทาระเบียนพฤติการณ์ เป็นสิ่งท่ีมีประโยชน์ต่อการแนะแนวและครูที่ เกย่ี วข้อง เพราะจะทาให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาได้ ทาให้เกิดความคุ้นเคยกันระหว่างครูกับผู้เรยี น สามารถเปรียบเทียบเหตกุ ารณท์ ีเ่ กดิ ข้ึนในอดีดกบั ปจั จุบนั ทาให้มองภาพของผู้เรยี นออกมาไดด้ ขี ้ึน ตัวอย่างแบบบันทึกการสงั เกตโดยใช้ระเบยี นพฤติการณ์ ชื่อ-สกลุ ............................................................................................ ชัน้ ................................ วนั ท่ี ........................................ สถานที่ ............................................. เวลา ........................ น. พฤตกิ รรมทปี่ รากฏ.................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ความคดิ เห็นเกยี่ วกับพฤติกรรมในทศั นะของผู้สงั เกต................................................................ ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ข้อเสนอแนะของผู้สังเกตในการชว่ ยเหลือหรอื แก้ไขพฤติกรรมน้ันๆ ........................................ ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ลงชือ่ .................................................... ผ้สู งั เกต ตาแหนง่ .............................................................
70 1.6.3 การบันทึกการสังเกตโดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เป็นการบันทึกผลการสังเกตแบบย่อ คือ เม่ือผู้แนะแนวได้สังเกตผู้เรียนหลายๆ ครั้ง และใน สถานการณต์ า่ งๆ กันแล้ว ไม่วา่ จะเปน็ ส่งิ ที่มองเห็นในเชิงรูปธรรมหรือนามธรรม ท่ีแสดงออกมาเป็น พฤติกรรมให้ปรากฏ เชน่ การพูดจา การตรงตอ่ เวลา และความซื่อสัตย์ เป็นตน้ ผู้แนะแนวก็สรุปผล การสังเกตของตน โดยการประเมนิ ผลลักษณะพฤตกิ รรมหรือบุคลกิ ลักษณะของผู้เรยี น ว่ามีคุณภาพ เป็นอย่างไร สงู หรอื ตา่ ดีหรือไมด่ ี แล้วบันทกึ ลงในมาตราสว่ นประมาณคา่ มาตราส่วนประมาณค่ามีอยู่ด้วยกันหลายแบบ แต่แบบที่นิยมใช้กันมี 3 แบบ คอื 1) มาตราส่วนประมาณค่าแบบให้คะแนน (Numerical or Scoring Type) โดยใช้ตัวเลขแทนความมากน้อยของคุณลักษณะนิสัย หรือคุณสมบัติต่างๆ อันเป็นผลของ พฤติกรรม และจะต้องเขียนความหมายของระดับตัวเลขแต่ละตัวอย่างชัดเจน ว่าหมายถงึ อะไร หรือ ใชแ้ ทนความหมายใด เช่น 1 แทน คุณลักษณะนัน้ ควรไดร้ บั การปรบั ปรุงแก้ไขอยา่ งยงิ่ 2 แทน คุณลกั ษณะนน้ั ควรได้รบั การปรับปรงุ แกไ้ ข 3 แทน คุณลักษณะนัน้ อยใู่ นเกณฑพ์ อใช้ 4 แทน คณุ ลักษณะน้นั อยใู่ นเกณฑ์ดี 5 แทน คณุ ลกั ษณะอยใู่ นเกณฑ์ดมี าก ตวั อยา่ งแบบใหค้ ะแนน แบบที่ 1 น้อย ความสนใจเรียน มาก ไมถ่ กู ต้อง 12345 ถูกต้อง ความถูกต้องในการทางาน 12345 ตัวอยา่ งแบบใหค้ ะแนน แบบท่ี 2 ขอ้ คณุ ลกั ษณะหรอื พฤตกิ รรม 54321 1 ความมีเหตผุ ล............................................... .......... .......... .......... .......... .......... 2 ความรบั ผดิ ชอบ........................................... .......... .......... .......... .......... .......... 3 ความสะอาดของรา่ งกาย.............................. .......... .......... .......... .......... ..........
71 2) มาตราส่วนประมาณค่าแบบพรรณนา (Descriptive Type) โดยใช้การ บรรยายเพอ่ื บ่งบอกความหมายมากน้อยของคุณลักษณะหรอื พฤติกรรมทีต่ ้องการวดั โดยผปู้ ระมาณ คา่ จะพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้เรียนมีตรงกับลักษณะใด กใ็ ส่เคร่ืองหมายลงในช่องวา่ งหน้าขอ้ ความซึ่ง อธบิ ายเก่ยี วกับคุณลักษณะหรือพฤตกิ รรมของผ้เู รยี น เชน่ ความเช่ือมน่ั ในตนเอง _______ ลงั เลไมแ่ น่ใจ _______ ชอบอ้างอิงผ้อู ่ืน _______ เชอ่ื มน่ั ตวั เองในบางเรอื่ ง _______ แสดงออกอย่างม่นั ใจ _______ เชือ่ ตัวเองจนเกนิ ไป ความรว่ มมอื □ ชอบขดั ขวางคนอืน่ □ เฉื่อยชา ไม่เต็มใจทจี่ ะชว่ ย □ ร่วมมือบ้าง □ รว่ มมอื อย่างดี □ เอาเป็นธรุ ะอยา่ งจรงิ จงั 3) มาตราส่วนประมาณค่าแบบกราฟ (Graphic Type) โดยแจกแจง คณุ ภาพของคุณลักษณะหรือพฤติกรรมที่จะประมาณค่าดว้ ยเส้นตรง จะมีคาอธบิ ายระดับคุณภาพไว้ ใตเ้ ส้นตรง เมอื่ ผู้ประมาณค่าพจิ ารณาแล้วเหน็ ว่าคุณลกั ษณะหรอื พฤติกรรมที่จะประเมนิ ของผูเ้ รยี นมี คณุ ภาพตรงกบั ระดับใด ก็ทาเครอ่ื งหมายบนเสน้ ตรงทแี่ สดงคุณภาพของคณุ ลักษณะหรือพฤตกิ รรมที่ จะประมาณคา่ เชน่ ความเป็นผู้นา ไม่ชอบ โดยทวั่ ๆ ไป ถ้าไดร้ บั การ แล้วแต่โอกาส ชอบเป็น อยา่ งย่ิง ไมช่ อบเป็น ขอรอ้ งกจ็ ะรบั เป็นหรือไมก่ ็ได้ ผนู้ า
72 2. การสมั ภาษณ์ การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นวิธีการท่ีสาคัญวิธีหน่ึงของบริการน้ี ถ้าครูสามารถ ปฏิบัติได้ถูกต้องตามเทคนิคและวิธีการแล้ว จะช่วยให้ผู้เรียนที่เข้ารับการสัมภาษณ์เกิดความร้สู ึกว่า ตวั เขามีคณุ ค่าอันจะมีผลสืบเน่ืองไปถงึ ความเชื่อม่ันในตนเอง เกดิ ความรู้สกึ อบอุน่ ปลอดภัย และให้ ความไวว้ างใจครู มีรายละเอยี ดดังน้ี 2.1 ความหมายของการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์เป็นการสนทนาหรือพูดคุยกัน ระหว่างบุคคลสองฝ่ายอย่างมหี ลกั การและจุดมงุ่ หมาย โดยบคุ คลหน่ึงเป็นผู้สัมภาษณ์ (Interviewer) และบุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ (Interviewee) วิธีนี้จะช่วยให้ผู้สัมภาษณ์ได้ข้อมูลเพิ่มเดิม เพราะทาให้ผูส้ ัมภาษณ์เห็นสีหน้า อากัปกิริยา ท่าที ความรู้สึกตลอดจนได้ยนิ คาพูดที่แสดงอารมณ์ ของผรู้ บั การสัมภาษณ์ได้ ซ่งึ ไม่สามารถรวบรวมได้จากเครือ่ งมอื อืน่ ๆ ทง้ั ยังช่วยสร้างความสัมพนั ธ์ท่ีดี ระหว่างผสู้ มั ภาษณ์กบั ผู้รับการสมั ภาษณ์ และนาผลท่ีไดจ้ ากการสังเกตและการสัมภาษณ์ไปใช้ในการ วิเคราะห์หาขอ้ มูลทแี่ ท้จรงิ ตามทีต่ ้องการได้ (กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2532, น. 12) 2.2 จุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ได้นามาใช้เพ่ือจุดมุ่งหมายทั่วไป 3 ประการ คอื (จาเนียร ช่วงโชติ, 2547, น. 133) 2.2.1 เพือ่ ต้องการคน้ หาขอ้ เท็จจรงิ (Fact Finding) ซึ่งหมายถึงการเรียนรูบ้ างสิ่ง บางอยา่ งจากผถู้ ูกสัมภาษณ์ (Interviewee) 2.2.2 เพื่อต้องการบอกใหท้ ราบ (Informing) ซงึ่ หมายถงึ การบอกบางสิง่ บางอย่าง ใหก้ ับผ้มู าขอสมั ภาษณห์ รือผู้ถูกสมั ภาษณ์ 2.2.3 เพอ่ื ตอ้ งการให้การจูงใจ (Motivating) ซึง่ หมายถึงการกอ่ ใหเ้ กดิ อิทธพิ ลต่อ ความรสู้ กึ หรือพฤติกรรม อนั มผี ลทาให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงเจตคติของผถู้ กู สัมภาษณ์ ดังนัน้ การสัมภาษณจ์ ึงเป็นเคร่ืองมอื ข้นั ตน้ ของการตดิ ตอ่ เก่ยี วขอ้ งกนั ท่ีนามาใชไ้ ด้ กบั บุคคลหนง่ึ ผู้ซงึ่ ต้องการติดตอ่ กบั บุคคลอ่นื อย่างมีจุดมุง่ หมาย 2.3 ประเภทของการสมั ภาษณ์ การสมั ภาษณท์ ใี่ ชใ้ นการแนะแนว สามารถจาแนกตาม วตั ถปุ ระสงค์ของการสมั ภาษณ์ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 2.2.1 การสัมภาษณ์เพ่ือหาข้อเท็จจริง (Fact-Finding Interview) เป็นการ สมั ภาษณ์เพื่อการรู้จักผู้เรยี น โดยการรวบรวมขอ้ มลู ขอ้ เท็จจริง ทัง้ ปัญหาและความต้องการ เพื่อให้ เข้าใจเด็กได้ดีขึ้นนาไปสู่การวินิจฉัยปัญหาและแนวทางการแนะแนวได้อย่างถูกต้อง และให้ความ ช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอาจทาได้ 2 ทาง คือ สัมภาษณ์ผู้เรียนโดยตรง และสัมภาษณ์ผู้ที่ เก่ยี วข้อง เช่น เพื่อนของผูเ้ รียน สมั ภาษณ์ครทู ่เี คยสอน พอ่ แม่ หรอื ผปู้ กครอง เปน็ ตน้ 2.2.2 การสัมภาษณ์ เพื่อให้ คาปรึกษา (Counseling Interview) เป็นการ สัมภาษณ์ท่ีมจี ุดมงุ่ หมายให้ผู้มาขอรับคาปรึกษาร้จู ักตนเองและสภาพแวดล้อมดขี น้ึ เข้าใจปญั หาของ
73 ตนเอง ยอมรับสภาพของตนตามท่ีเป็นจริงมากข้ึน และสามารถตัดสินแก้ปัญหาของตนได้อย่าง เหมาะสม มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ การตดั สินใจของตน และปฏิบัติตามการตัดสินใจนน้ั การสัมภาษณ์เพื่อหาข้อเท็จจริงน้ันแตกต่างกับการสัมภาษณ์เพื่อให้คาปรกึ ษาเพราะ การสัมภาษณ์อย่างแรกเน้นให้ความถูกต้องของข้อมูล แต่อย่างหลังเน้นความรู้สึกและการช่วยให้ ผูถ้ กู สมั ภาษณ์เขา้ ใจตนเองมากขึ้น 2.4 หลักการของการสมั ภาษณ์ สามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี 2.4.1 ต้องพยายามทาให้ช่วงเวลาในระหวา่ งการสมั ภาษณ์เปน็ เวลาแห่งการเรียนรู้ ทงั้ ของผ้สู ัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ แต่ตอ้ งไม่คาดหวังวา่ ผ้เู รยี นจะเปลี่ยนพฤติกรรมทันทีหลังจาก การสัมภาษณ์ 2.4.2 กาหนดนดั หมาย วนั เวลา และสถานท่ีกับผูถ้ ูกสัมภาษณ์ โดยเฉพาะถ้าเป็น การสัมภาษณ์หลงั เลิกเรยี นจะต้องนดั ผู้เรียนลว่ งหน้าและแจ้งใหผ้ ้ปู กครองทราบก่อน 2.4.3 ตอ้ งเตรยี มการสัมภาษณ์โดยการศึกษาข้อมูลของผู้เรียนใหเ้ พียงพอ และไม่ ใช้เวลามากไป เพราะจะทาให้ผเู้ รยี นเบื่อหนา่ ย 2.4.4 ในการสัมภาษณ์แต่ละครัง้ พยายามเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้พูดคยุ บ้าง อย่า พยายามเรยี นร้หู รือสง่ั สอนผู้เรยี นมากเกนิ ไป แต่พยายามให้เป็นไปตามข้นั ตอน 2.4.5 องคป์ ระกอบสาคัญทีส่ ุดในการสัมภาษณ์คือตวั ผสู้ ัมภาษณเ์ อง โดยเฉพาะถ้า ตอ้ งการข้อมูลเกย่ี วกบั เจตคติค่านิยม ความมุ่งหวังในชีวติ ผู้สมั ภาษณจ์ าเป็นตอ้ งมที ักษะมากกวา่ การ สมั ภาษณ์เพ่ือเก็บขอ้ มลู ทั่วไป 2.5 ขั้นตอนของการสัมภาษณ์ ในการสัมภาษณ์ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์เพื่อหา ขอ้ เทจ็ จรงิ หรือการสัมภาษณเ์ พอื่ ให้คาปรึกษา มขี ้ันตอนการสมั ภาษณ์อยู่ 5 ข้ันตอน คอื 2.5.1 ข้ันเตรียมการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องเตรียมในสิ่งต่อไปน้ี คือ วตั ถุประสงค์ของการสมั ภาษณ์ คาถาม การนัดหมาย วิธีพูด การสร้างบรรยากาศ และเตรียมศึกษา ข้อมลู ของผู้ท่ีจะไปสัมภาษณ์ 2.5.2 ข้ันเริ่มต้นการสัมภาษณ์ ในช่วงเริ่มต้นครูหรือผู้แนะแนวต้องสร้างความ สัมพันธ์ที่ดีกับผู้รับการสัมภาษณ์ ซึ่งจะทาให้การสัมภาษณ์ดาเนินไปอย่างดีมีประสิทธิภาพ และได้ ขอ้ มูลที่ถูกต้อง เพราะผู้รบั การสัมภาษณ์เกิดความรู้สึกคุ้นเคยเป็นกันเอง อบอุ่น สบายใจ ไว้วางใจ แต่ถ้าผู้รับการสัมภาษณ์เกิดความวิตกกังวล รสู้ ึกไม่ปลอดภัย ไม่ไว้วางใจ จะป้องกันตนเอง ไม่ยอม เปดิ เผยเร่ืองส่วนตวั หรอื ขอ้ มูลบางอยา่ งเกยี่ วกับตน 2.5.3 ขน้ั ดาเนนิ การสมั ภาษณ์ การสมั ภาษณ์เพ่ือหาขอ้ เทจ็ จรงิ ครูหรอื ผู้แนะแนว ตอ้ งใชค้ าถามท่ไี ด้เตรียมมา ส่วนการสัมภาษณ์เพื่อให้คาปรึกษา คาถามต่างๆ ข้ึนอยู่กบั สถานการณ์ และเร่ืองราวที่ไดพ้ ดู คยุ กนั ในข้ันเร่มิ การสัมภาษณ์
74 2.5.4 ข้ันยุติการสัมภาษณ์ ต้องยุติการสัมภาษณ์เม่ือเสร็จส้ินตามเป้าหมายหรือ หมดเวลา 2.5.5 ขั้นการบันทึกผลการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์เพ่ือหาข้อเท็จจริง เช่น ข้อมูล เก่ียวกับตัวผู้เรียนต้องบันทึกระหวา่ งการสัมภาษณ์ แต่การหาข้อมูลชนิดน้อี าจทาเปน็ แบบสอบถาม แล้วให้ผู้รับการสัมภาษณ์กรอกข้อความตามคาถามที่อยากทราบก่อน ส่วนการสัมภาษณ์เพื่อให้ คาปรึกษาน้นั ไมค่ วรมกี ารบนั ทกึ ต่อหน้าผู้รับการสัมภาษณ์ จะทาใหก้ ารสมั ภาษณ์ดาเนนิ ไปไดผ้ ลไม่ดี เตม็ ทนี่ ัก เพราะความสนใจในสาระท่ีจะพูดคยุ กนั น้ันถูกหนั เหไป และผู้ถกู สัมภาษณ์อาจรู้สึกว่าเร่อื ง ของตนอาจไมเ่ ป็นความลบั ฉะน้นั ควรบันทกึ หลังจากเสร็จสนิ้ การสมั ภาษณแ์ ลว้ ข้อควรระวังในการสัมภาษณ์ ผู้ถูกสัมภาษณ์อาจจะบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับตัวเอง ปฏิกิริยา และประสบการณ์ต่างๆ ของตนเอง นอกจากน้ี ผ้สู ัมภาษณอ์ าจจะบนั ทึกขอ้ มูลคลาดเคล่อื น เนอื่ งจากเก็บขอ้ มูลไดไ้ มห่ มดหรือเกิดความพล้ังเผลอในขณะสัมภาษณไ์ ด้ ตัวอย่างแบบบันทึกการสัมภาษณ์ ครัง้ ท.ี่ .......เร่ิมเวลา...................สิ้นสุดเวลา...................วนั ที่..........เดอื น..................พ.ศ. ............ ช่อื -นามสกลุ .................................................................................................... อายุ ................. ปี ชั้นและห้อง........................................ครูประจาชนั้ ....................................................................... จุดม่งุ หมายของการสมั ภาษณ.์ ...................................................................................................... ...................................................................................................................................................... สรุปผลจากการสัมภาษณ.์ ............................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ความคดิ เห็นของผ้สู มั ภาษณ.์ ........................................................................................................ ...................................................................................................................................................... ขอ้ เสนอแนะ.................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................... การนัดหมายสมั ภาษณ์ครั้งตอ่ ไป วัน .............. เดือน ..................................พ.ศ. ...................... เวลา..............................น. สถานที่ ............................................................................................ ชือ่ ผสู้ ัมภาษณ์....................................................... ตาแหนง่ ................................................................
75 3. การใชแ้ บบสอบถาม แบบสอบถาม (Questionnaire) เปน็ เครอ่ื งมอื อยา่ งหนง่ึ ทางการแนะแนว สาหรบั ใช้ใน การรวบรวมขอ้ มูลต่างๆ ของผู้เรียนจานวนมากๆ ในรยะวลาอันสั้น ซ่งึ เป็นการประหยัดเวลา อีกทั้ง ประหยัดแรงงานและคา่ ใช้จ่ายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังช่วยให้ไดม้ าซ่ึงข้อมูลท่ีจะทาให้เข้าใจได้ อย่างกว้างขวางเก่ียวกับปัญหา ความต้องการ เจตคติของบุคคลแต่ละคน รวมท้ังข้อมูลทางด้าน ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว สภาพของครอบครัว ความพึงพอใจ ความสนใจ สุขนสิ ัย การทางาน ตลอดจนโครงการทางการศึกษา และการวางแผนทางอาชีพในอนาคต ซ่ึงข้อมูลดังกล่าว สามารถ นามาใช้ในการแนะแนวไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 3.1 ความหมายของแบบสอบถาม ลักขณา สรวิ ฒั น์ (2551, น. 209) ไดใ้ ห้ความหมาย ของแบบสอบถามไว้ว่า แบบสอบถาม หมายถึง ข้อความต่างๆ ท่ีสร้างข้ึนเพ่ือให้ได้คาตอบจากผู้ท่ี ถูกถามโดยการกรอกข้อมูลลงไป อาจเป็นข้อความสั้นๆ หรือยาวก็ได้ตามท่ผี ู้ตอ้ งการจะตอบ หรอื อาจ เลือกข้อคาถามที่อยู่ในลักษณะของข้อความต่างๆ ตามความรู้สึก หรือความคิดเห็นที่ตรงกับตนคิด ด้วยการเขียนเครอื่ งหมายหน้าข้อความน้ันๆ ซ่ึงข้อมูลที่ได้มานั้นจะช่วยให้เกิดความรู้สึกและความ เข้าใจในตัวผู้ถูกศกึ ษาเพ่ิมขึ้น สาหรับแบบสอบถามท่ีใช้ในการแนะแนวน้ันในเรือ่ งข้อความต่างๆ ท่ี ผเู้ รียนกรอกนนั้ จะช่วยให้ครูหรอื ผแู้ นะแนวร้จู ักและเข้าใจผู้เรยี นเพ่มิ ขนึ้ 3.2 จุดมงุ่ หมายของแบบสอบถาม การใชแ้ บบสอบถามในการแนะแนวน้ันมีความมุ่ง หมายเพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ มลู ในลักษณะ 4 ประการ ดังนี้ 3.2.1 เพอื่ รวบรวมรายละเอียดตา่ งๆ เกย่ี วกบั ตวั ผู้เรยี น ซึง่ เปน็ ข้อเท็จจรงิ เกี่ยวกับ ตัวผู้เรียนผู้นั้นโดยเฉพาะ เช่น ประวัติส่วนตัว ด้านครอบครัว สุขภาพปัญหา ความต้องการ ความ คดิ เหน็ ความสนใจ เป็นต้น 3.2.2 เพื่อทราบเจตคติ ความคิดเห็น ปญั หา และความต้องการของผู้เรียนท่ีมีต่อ สิ่งใดสิง่ หน่งึ เชน่ การสอนของครู บรกิ ารตา่ งๆ ของสถานศกึ ษา ความเอาใจใส่ของผ้ปู กครอง เป็นต้น 3.2.3 เพ่ือติดตามผู้เรียนที่จบไปแล้ว ว่าประสบปัญหาหรือต้องการให้ทาง สถานศึกษาปรับปรงุ แก้ไขสว่ นใดบา้ ง ซึง่ จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้เรียนปจั จบุ นั 3.2.4 เพือ่ ช่วยให้ครู ผบู้ รหิ ารหรอื บคุ คลท่ีเก่ียวขอ้ งได้เข้าใจผู้เรียนดขี ้ึน ได้ขอ้ มูล ดา้ นต่างๆ ของนกั เรยี น ท่จี ะนามาจัดการแนะแนวไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมยง่ิ ขนึ้ 3.3 หลักการในการสร้างแบบสอบถาม วิธีสร้างแบบสอบถาม มีหลักท่ีควรยึดถือ ดังตอ่ ไปน้ี 3.3.1 ตั้งวัตถุประสงคส์ าหรบั การถามให้ชัดเจน ว่าตอ้ งการได้ข้อมูลอะไรบ้างจาก ผู้ตอบ เปน็ ข้อมลู ประเภทไหน ละเอียดมากนอ้ ยเพียงใด
76 3.3.2 วางโครงเร่ืองว่าจะถาม เพ่ือกาหนดเน้ือหาให้ได้ข้อเท็จจริงตรงตาม จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ และตอ้ งศึกษาด้วยว่าผ้ตู อบคอื ใคร 3.3.3 แยกเรื่องท่ีจะถามออกเป็นหัวข้อใหญ่ ให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการได้ ข้อมูล แลว้ จึงแยกออกเปน็ คาถามรายละเอียดในแต่ละขอ้ โดยเรียงลาดับความสาคญั ความตอ่ เน่ือง ตามความเหมาะสม 3.3.4 แบบสอบถามทุกฉบบั ควรมีคาสง่ั หรอื คาชีแ้ จงให้ชัดเจน เพ่ือใหผ้ ูต้ อบทราบ วตั ถปุ ระสงค์ในการตอบแบบสอบถามครั้งน้ี ซง่ึ จะเปน็ ประโยชน์สาหรับเขา และตอ้ งทาความเขา้ ใจว่า การตอบแบบสอบถามมิใชก่ ารสอบ ดังนัน้ จงึ ไม่มผี ลเกยี่ วกบั คะแนนใดๆ 3.3.5 คาถามท่ีใช้ในแบบสอบถาม ควรได้รับการพิจารณาให้เหมาะสม เช่น ใช้ภาษาง่ายเหมาะกบั ระดับของผเู้ รยี น ไมค่ วรใช้ขอ้ คาถามจานวนมาก เพราะจะทาให้ผู้ตอบเกดิ ความ เบือ่ หน่าย ไม่อยากตอบ หากจาเป็นต้องใช้ขอ้ คาถามจานวนมากๆ ควรแบง่ ออกเป็นชุดยอ่ ยๆ หลาย ชดุ และหลกี เลย่ี งการใชค้ าถามที่ช้ีนาคาตอบ เปน็ ตน้ 3.4 ข้อเสนอแนะในการใช้แบบสอบถาม เพื่อช่วยใหก้ ารใช้แบบสอบถามได้ผลอย่าง เต็มที่ ครูหรือผู้แนะแนวควรจะตอ้ งปฏบิ ัติดังน้ี 3.4.1 ควรสร้างความสัมพันธ์กับผู้เรียน ให้อยู่ในระดับที่ผู้เรียนมีความเชื่อถือ ไว้วางใจ ซง่ึ จะทาให้ผู้เรียนใหค้ วามรว่ มมอื ตอบแบบสอบถามดว้ ยความจรงิ ใจ เพราะจะทาใหไ้ ด้ขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ การแนะแนวอยา่ งแทจ้ ริง 3.4.2 ควรนัดหมายเวลาใหแ้ น่นอนทีจ่ ะทาแบบสอบถาม และชแี้ จงให้ผู้เรยี นทราบ ถึงจุดมุ่งหมายของการทาแบบสอบถาม เพื่อผู้เรียนจะได้ไม่วิตกกังวล จนทาให้ขาดความร่วมมือใน การให้ข้อเทจ็ จริงได้ 3.4.3 สร้างความม่ันใจให้ผู้เรียนเห็นว่า ข้อเท็จจริงต่างๆ ท่ีรวบรวมได้ในครั้งนี้ มีระบบและระเบียบในการเก็บรักษาไว้อย่างเป็นความลับ หากจาเป็นจะตอ้ งนาข้อมูลไปใช้ ร่วมกับ ฝา่ ยอนื่ ๆ ก็จะตอ้ งขอความเห็นชอบจากผู้เรียนกอ่ น 3.5 ชนิดของแบบสอบถาม สาหรับการแนะแนวสามารถจาแนกแบบสอบถามได้เป็น 3 ประเภท คอื 3.5.1 แบบสอบถามแบบกรอกข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Blank Questionnaire) เป็นแบบสอบถามเพอ่ื รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนในด้านต่างๆ เชน่ ด้านประวัติ ส่วนตัว ครอบครัว การศึกษา สุขภาพ ความสนใจ การเข้าร่วมกิจกรรม แผนการศึกษาและอาชีพ เป็นต้น แบบสอบถามประเภทนี้ จะนามาใช้เพื่อยืนยันหรือตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของผู้เรียนท่ีได้ รวบรวมมาก่อนแล้วไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 472
Pages: