Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การปลูกไม้ดอกสกุลหน้าวัว

การปลูกไม้ดอกสกุลหน้าวัว

Description: การปลูกไม้ดอกสกุลหน้าวัว.

Search

Read the Text Version

การปลกู ไมด อกสกลุ หนาววั เอกสารเผยแพร อนั ดบั ท่ี 56 ศูนยสงเสรมิ และฝก อบรมการเกษตรแหง ชาติ สาํ นกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร วิทยาเขตกําแพงแสน โดย ผศ.ดร.สรุ วชิ วรรณไกรโรจน ภาควชิ าพชื สวน คณะเกษตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร จัดทําเอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ สโ ดย : สาํ นกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร สารบญั ✾ ความสาํ คญั ✾ ลักษณะทั่วไป ✾ พนั ธุ ✾ โรงเรือน ✾ การปลกู ✾ การดแู ลรกั ษา ✾ การขยายพนั ธุ ✾ การตดั ดอก ✾ ศตั รแู ละการปอ งกนั กําจดั

การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั ✾ 2 ความสําคญั ในบรรดาไมประดับท่ีเปนพืช ใบเลี้ยงเดี่ยวดวยกันนั้น ไมประดับสกุลหนาวัวนับวาเปนไม ประดับที่นาสนใจมากสกุลหนึ่งสาหรับผูเลี้ยงไมประดับชาวไทยเนื่องจากมีถิ่นกําเนิดในเขตรอนชื้นของ ทวีปอเมริกาเหนือ ไมป ระดบั สกลุ นจ้ี งึ มคี วามทนทานตอ สภาพอากาศทร่ี อ นชน้ื ในประเทตไทยเปน อยา ง ดีความสวยงาม ของไมป ระดบั สกลุ หนา ววั จะอยทู ส่ี สี นั และผวิ สมั ผสั ของใบ ดอก และผล ดวยเหตุน้ี เอง จึงทําใหนิยมนาํ ไมป ระดบั สกลุ นม้ี าใชป ระโยชนท ง้ั ในดา นการตดั ดอก ดา นการจดั สวน และในดา นการ ใชเปนไมกระถาง อยา งไรกต็ าม ไมป ระดบั สกลุ นเ้ี ปน ทร่ี จู กั กนั อยา งแพรห ลายทส่ี ดุ ในรปู ของไมต ดั ดอก ที่มีสีสดใส และมอี ายกุ ารใชง านทย่ี าวนาน การที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติฉบับที่ 7 ไดระบุไววาควร สง เสรมิ ใหม กี ารปลกู ไม ประดับสกุลหนาวัวในลกั ษณะของการเปนไมต ดั ดอกเพ่อี การ สง ออก กเ็ พราะดอกหนา ววั และดอกเปลว เทียนซ่ึงเปนไมประดับสกุลหนาวัวท่ีใชตัดดอกไดดีนั้นกําลังเปนท่ีตองการของตลาดโลก แตการผลิต ภายในประเทศในขณะ นย้ี งั มไี มเ พยี งพอทจ่ี ะตอบสนองตอ ความตอ งการดงั กลา วไดน อกจากนย้ี งั พบวา ดอกหนา วัวทํารายไดส งู กวา ดอกไมช นดิ อน่ื ๆ ที่ปลูกในพื้นที่ที่เทากันแมปลูกเพียง เพอ่ื ตดั ดอกจาํ หนา ย ในตลาดทองถน่ิ การทด่ี อกหนา ววั สามารถทาํ รายไดตอหนวยพื้นที่ ในอตั ราทส่ี งู ทส่ี ดุ นเ้ี อง ทําใหอ ตุ สาห กรรมการผลิตดอกหนาวัวและดอกเปลวเทียนเปนธุรกิจที่นาสนใจ แมว า จะตอ งใชเ งนิ ลงทุนในระยะ แรกคอนขางสูง และมรี ะยะเวลา คนื ทนุ นานถงึ เกอื บ 4 ป กต็ าม ทง้ั นด้ี อกเปลวเทยี นซง่ึ เปน ดอกไมช นดิ ใหมที่กําลังไดรับความสนใจอยางมากจากตลาดตางประเทศ นา จะมีศักภาพในตลาดสงู กวา หนา ววั นอกจากน้ีเปลวเทยี นซง่ึ ออกดอกดกยงั มที รงตน ใบและดอกทเ่ี หมาะอยา งยง่ิ สา หรบั การนาํ มาใชเ ปน ไม กระถางประดบั ภายในอาคารอกี ดว ย ลักษณะท่ัวไป หนา ววั และเปลวเทียนเปนไมด อกสกลุ หนา วัวเพยี ง 2 ชนดิ เทา นน้ั ทม่ี กี าร ปลกู เปน การคา ใน เขตรอนชื้นโดยเปนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีเนื้อไมออนและมีอายุยืน ลาํ ตน ตง้ั ตรง ความยาวของปลอ งจะ แตกตางกันใปขี้นอยูกับชนิดหรือพันธุเมี่อยอดเจริญสูงข้ึนอาจพบรากบริเวณลําตนและรากเหลานี้จะ เจริญยืดยาวลงสเู ครอ่ื งปลกู ไดก ต็ อ เมอ่ื โรงเรอื นมคี วามชน้ื สงู พอ ลาํ ตน อาจเจรญิ เปน ยอดเดย่ี วหรอื แตก เปนกอก็ได ใบมรี ปู รา งตา งๆ กัน เชน รูปหัวใจ ดงั เชนทพ่ี บในหนา ววั หรือ รปู พายคลา ยใบของเขยี ว หมื่นป และรูปรางคลายส่ีเหล่ียมขาวหลามตัดดังที่พบในเปลวเทียน แตไมวาจะมีรูปรางอยางไรจะ

การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั ✾ 3 สังเกตเห็นวาปลายใบแหลมในพวกท่ีมี ใบกวา งเสน ใบจะเรยี งตวั คลา ยรา งแห ขณะที่พวกซึ่งมีใบแคบ เสนใบจะเรียงตวั คลา ยเสน ขนาน แตท ง้ั นเ้ี สน ใบมกั จะนนู ขน้ึ อยา งชดั เจน ดอกหนา ววั และดอกเปลวเทียนเปน ดอกสมบรู ณเ พศคอื ดอกแตล ะดอกจะมที ง้ั เกสรตวั ผแู ละ เกสรตัวเมีย ดอกมลี กั ษณะเปน ดอกชอ โดยดอกรปู สเ่ี หลย่ี มขา วหลามตดั จะเรยี งอดั กนั แนน อยบู นสว นท่ี เรียกวาปลี ดอกมกี ลีบดอก 4 กลบี สขี องกลบี ดอกมกั จะเปลย่ี นไปเมอ่ื ดอกบานเชน ในปลขี องดอก หนาวัว สวนใหญ จะพบวา เมอ่ื ดอกบาน สขี องกลบี ดอกจะเปลย่ี นจากสเี หลอื งไปเปน สขี าวสา หรบั จาน รองดอกซึ่งมีสีสันที่สวยงามนั้น แททีจ่ รงิ แลว ก็คอื ใบประดบั ทีต่ ดิ อยูกับโคนชอดอกหรอื ปลี จานรองดอก อาจมีสีขาว สม ชมพอู มสม ชมพู แดง มว ง และ สเี ขยี วหรอื บางครง้ั อาจพบจานรองดอกทม่ี สี เี ขยี วและ สี อ่ืนปนกันก็ได ปกตจิ านรอง ดอกจะมอี ายกุ ารใชง านไดไ มต า่ํ กวา 7 วัน โดยจานรองดอกจะมีคุณภาพทั้ง ในดานสี และอายุการใชง านดที ส่ี ดุ เมอ่ื ตดั ในขณะทด่ี อกจรงิ บานไดค รง่ึ ปลี สา หรบั จานรอง ดอกของ หนาวัวท่ีเหมาะสา หรบั ในการตดั ดอกเพอ่ื การสง ออกนน้ั ควรมรี อ งนา้ํ ตาตน้ื หดู อกชอ นกนั เพยี งเลก็ นอ ย และขอบจานรองดอกตอ งไมมวนงอ เนอ่ื งจากลกั ษณะ ดงั กลา วจะชว ยปอ งกนั ไมใ หจ านรองดอกหกั ใน ระหวางการบรรจแุ ละการขนสง อนง่ึ จานรองดอกและปลคี วรชไ้ี ปในแนวเดยี วกนั สา หรบั จานรองดอก ของดอกเปลวเทียนน้ัน ควรอยชู ดิ กบั โคนปลแี ละโอบรอบปลเี อาไว พันธุ พันธุหนาวัวของไทยท่ีมีผูนิยมปลูกเพื่อตัดดอกคือพันธุดวงสมร ซึ่งมีจานรองดอกสีแดง หนาวัวพันธุนี้มีสีสดใส รูปรางจานรองดอกสวยและใหดอกดก แตมีขอเสียตรงที่วาจานรองดอกของ หนาวัวพันธุนี้มักมีรอยเวา ฉกี ขาดในชว ง ทส่ี ภาพอากาศมกี ารเปลย่ี นแปลงนอกจากพนั ธดุ วงสมรแลว ก็ อาจจะมีผูปลูกพันธุ ผกามาศซง่ึ มจี านรองดอกสสี ม และพนั ธขุ าวนายหวานซง่ึ มจี านรองดอกสขี าวอยบู า ง พันธุไทยอื่น ๆ เชน พนั ธจุ กั รพรรดแ์ิ ดงนุกูล กษัตริยศ ึก กรงุ ธน นครธน ศรสี งา ผกาทอง ดาราทอง สหรานากง โพธิ์ทอง ประไหมสุหรี ผกาวลี ศรยี าตราและ วยิ ะดานน้ั ไมเ ปน ทน่ี ยิ มในการปลกู เพอ่ื ตดั ดอกนักสาํ หรับหนาวัวพนั ธุตา งประเทศก็ มผี ปู ลกู อยบู า งเหมอื นกนั ไดแกพันธุ Nagai พันธุ Avo- Anneke พันธุ Sunset (ตั้งชื่อโดยคนไทยที่นาํ เขา ) และ พันธุ Dusty Rose เปน ตน สาํ หรับพันธุเปลวเทียนที่ปลูกกันนั้นไดแกพันธุไทย 2 พนั ธุด ว ยกนั คอื พันธุภูเก็ตซึ่งมีจาน รองดอกสีแดงและพันธุลาํ ปาง ซง่ึ มจี านรองดอกสชี มพสู ว นพนั ธุ ตา งประเทศทน่ี าํ เขา มาปลกู เพ่ีอเปน ไม กระถางไดแกพันธุ ARCS ซง่ึ มจี านรองดอก สมี ว งพนั ธุ Lady Jane ซง่ึ มจี านรองดอกสชี มพแู ละ A. Amni-oquiense ซง่ึ มี จานรองดอกสมี ว งออ นแมป จ จบุ นั พนั ธไุ มด อกสกลุ หนา ววั มอี ยคู อ นขา งจาํ กัด แต

การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั ✾ 4 กรมสงเสริมการเกษตรและมลู นธิ โิ ครงการหลวงกําลงั นําพนั ธตุ า งประเทศเขา มาศกึ ษาเพอ่ื เตรยี มเผย แพรใ นอนาคตอนั ใกล โรงเรือน ธรรมชาติของไมด อกสกลุ หนา ววั ตอ งการสภาพทม่ี คี วามชน้ื สงู และมแี สงแดดราํ ไร แตต อ งมี การถายเทอากาศไดด ี ดงั นน้ั โรงเรอื นจงึ ตอ งมคี วามสงู ไมต า่ํ กวา 3.0 เมตร หลงั คาคลมุ ดว ยตาขา ย พลาสติกพรางแสงชนดิ ทย่ี อมใหแ สงผา นได 20-30% โดยจะเลอื กใชช นดิ ใดขน้ี อยกู บั สภาพแวดลอ ม บริเวณดังกลาว รอบโรงเรอื นควรปด ดว ยตาขา ยพรางแสงใหเ วน ดา นบนไวเ ลก็ นอ ย เพอ่ื ระบายอากาศ ปองกันไมใ หอ ากาศในโรงเรอื นรอ นเกนิ ไป สภาพภายในโรงเรอื นทใ่ี ชป ลกู หนา ววั พ้ืนโรงเรือนควรเกบ็ ความชน้ื ไดด ขี ณะเดยี วกนั จะตอ งระบายนา้ํ ไดด ดี ว ย ดงั นน้ั พน้ื โรงเรอื นจงึ อาจใชอิฐมอญหรือกาบมะพราวปูพ้ืนก็ไดอยางไรก็ตาม อาจใชพื้นคอนกรีตเพื่อความทนทานโดยพื้น คอนกรีตท่ีสรางข้ึนจะตองทํารองระบายน้ําใหสามารถขังน้ําไวชวยเพ่ิมความชื้นภายในโรงเรือนไดดวย พื้นโรงเรือนใน ลกั ษณะทก่ี ลา วมานจ้ี ําเปน มากสา หรบั การปลกู ในกระถางแตก ารปลกู ในแปลงไมจ าํ เปน ตองใชพ้ืนโรงเรอื นทเ่ี กบ็ ความชน้ื ไดเ นอ่ื งจากเครอ่ื งปลกู ชว ยเกบ็ ความชน้ื ไดม ากอยแู ลว

การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั ✾ 5 การปลกู ไมดอกสกุลหนาวัวสามารถปลูกไดท้ังในกระถางและปลูกลงแปลง สาหรับเกษตรกรไทยนั้น นิยมปลูกในกระถาง เนอ่ื งจากสะดวกในการจาํ หนา ยตน พนั ธุ อยา งไรกต็ ามไมว า จะปลกู ในกระถางหรอื ปลูกลงแปลงควรเลือกเครี่องปลกู ให เหมาะสม สาหรบั ในประเทศไทยเครื่องปลูกทด่ี ีท่สี ดุ คือ อฐิ มอญ ทุบขนาดเสนผาศูนยกลาง l.5 - 3.0 เชนตเิ มตร เพราะสามารถเกบ็ ความชน้ื ไดด แี ละมคี วามคงทนสงู นอกจากนี้การเลือกขนาดอิฐทุบทเี่ หมาะสม ยังทาํ ใหส ามารถควบคมุ การระบาย อากาศไดต ามตอ งการ อีกดวย อน่ึงการปลกู ดว ยอฐิ มอญทบุ ในสภาพทค่ี อ นขา ง แหง อาจเตมิ ถา นแกลบหรอื กาบมะพรา วสบั ชวยเก็บความชน้ื ดว ยกไ็ ด อยา งไรก็ ตาม ผปู ลกู ควรทดลองปลกู ดว ยอฐิ มอญทบุ จํานวนนอ ยตน กอ น เนื่องจากคุณภาพดินที่ใชทําอิฐมอญชี่งแตกตางกันไปในแตละทองถ่ินมีผลตอการเจริญเติบโตของพืช ดวยนอกจากอิฐมอญทุบแลวอาจใชกาบมะพราวเปนเครื่องปลูกก็ได แตต อ งหมน่ั เตมิ เครอ่ื งปลกู บอ ยๆ เพราะกาบมะพรา วผพุ งั งา ย 1. การปลกู ในกระถาง กระทําไดโดยวางอิฐหักเปดรูระบายน้ําที่บริเวณกนกระถางเสียกอน จากนั้นวางโคนตนบน เศษอิฐหักนน้ั โดยใหต น อยตู รงกลางกระถางและรากกระจาย อยโู ดยรอบ นาํ อฐิ มอญทบุ ขนาดใหญที่แต ละกอนมีความยาวดานละประมาณ 4 เชนตเิ มตร ใสร อบโคนตน ประมาณครง่ึ กระถาง แลวนาํ อฐิ มอญ ทุบท่ีมีกอนขนาดเลก็ กวา เดมิ ครง่ึ หนง่ึ มาใสจ นมรี ะดบั ตา่ํ กวา ปลายยอดประมาณ 2 เชนตเิ มตร หรือ ใส จนเต็มกระถางในกรณีท่ีตนคอนขางสูงหากโรงเรือนตั้งอยูในบริเวณท่ีมีสภาพ อากาศที่คอนขางแหง อาจใสใยมะพรา วบนผวิ เครอ่ื งปลกู เพอ่ื ชว ยเพม่ิ ความชมุ ชน้ื ทง้ั นก้ี ารใชจ านรองกระถางกเ็ ปน อกี วธิ หี นง่ึ ที่ชวยเพิ่มความชื้นใหแกพืชได 2. การปลกู ลงแปลง กระทําไดโ ดยกน้ั ขอบแปลงดว ยอฐิ บลอ็ กหรอื ตาขา ยกรงไกใ ห มคี วามสงู ราว 30 เซนตเิ มตร พื้นแปลงควรทําเปนสันนูนมีลักษณะคลายหลังเตาเพื่อ ใหน ้าํ สามารถระบายออกทางดา นขา งแปลงได โดยไมขังแฉะและควรใชผาพลาสตกิ ปพู น้ื แปลงเพอ่ื ปอ งกนั ไสเ ดอื นดนิ จากนน้ั จงึ ใสเ ครอ่ื งปลกู ลงใน แปลงใหมีความหนาประมาณ 5 - 10 เซนตเิ มตร เสรจ็ แลว ปก หลกั ลงในแปลง ผกู ตน ใหต ง้ั ตรงและ โคนตนชิดกับเคร่ีองปลูกโดยใหรากแผกระจายบนเครื่องปลูกแลวจึงเติมเดรี่องปลูกลงไปคลายกับการ ปลูกในกระถาง คอื ใสใ หม ากทส่ี ดุ โดยไมก ลบยอดโดยปกตแิ ลว การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั น้ี จะปลูกให แตละตนหางกันไมนอ ยกวา 30 เชนตเิ มตร ซง่ึ ถา เปน การปลกู ในกระถาง กอ็ าจปลกู ในกระถาง ขนาด

การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั ✾ 6 12 นิ้วแลวนํามาวางชดิ กนั หลงั จากปลกู แลว จะตอ งหมน่ั เตมิ เครอ่ื งปลกู อยเู สมอ อยา ปลอ ยใหเ ครอ่ื ง ปลูกอยูในระดับที่หางจากยอดเกิน 30 เซนตเิ มตร เพราะ การทย่ี อดอยสู งู เหนอื เดรอ่ี งปลกู มากๆ จะมี ผลทาํ ใหตนเจริญเตบิ โตไดไมดเี ทาท่คี วร การดแู ลรกั ษา 1. การใหน า้ํ ควรเลอื กใชร ะบบสปรงิ เกอรห รอื ระบบน้าํ เหวี่ยง โดยอาจใชระบบที่หัวพนนาํ้ ตง้ั บนพน้ื การ ใหน้ําระบบนจ้ี ะชว ยใหค วามชน้ื ในโรงเรอื นอยใู นระดบั สงู ปกติจะใหนาํ้ วนั ละ 2 ครง้ั โดยในแตละครั้งจะ เปด นา้ํ ใหค ราวละ 10 – 15 นาที การใหน า้ํ ควรแบงทยอยเปด นา้ํ ภายในโรงเรอื นเปน สว นๆ ไปเพื่อ รักษาความช้ืนในโรงเรอื นไมค วรใหน า้ํ พรอ มกนั ทง้ั โรงเรอื น อนง่ึ ในชว งทม่ี สี ภาพอากาศแหง อาจจะตอ ง ใหน า้ํ ถงึ วนั ละ 3 ครง้ั 2. การใหป ยุ ควรใหป ยุ เมด็ สตู รเสมอ เชน ปุยสูตร 15 -15-15 โรยรอบชายพุม หรอื รอบโคนตน เดอื นละ คร้ังในอตั ราตน ละ 1 ชอ นโตะ (20 กรัม) และอาจใชปยุ เกรด็ ละลายนา้ํ สตู ร 15-30-15 หรือ 17- 34-17 อตั รา 40 กรมั ตอ นา้ํ 20 ลติ ร (1 ปบ) ฉีดพนเสริมใหทุก 15 วัน จะชวยใหตนเจริญเติบโตได ดีและออกดอกดก 3. การตดั แตง ควรตัดแตง ใบออกบา งในชว งปลายเดอื นพฤษภาคมของทกุ ป โดยตดั ใหเ หลอื เพยี งยอดละ 3 - 4 ใบ ท้ังนก้ี เ็ พอ่ื ใหบ รเิ วณโคนตน มกี ารระบายอากาศไดด ขี น้ึ ในชว งฤดฝู น อีกทั้งการตัดใบจะชวยให มีโรคและแมลงลดลง โดยไมทาํ ใหการเจริญเติบโตหรือจาํ นวนดอกลดลงแตอ ยา งใด การขยายพนั ธุ ในการปลูกไมดอกสกุลหนาวัวเพื่อการคานิยมการขยายพันธุแบบไมอาศัยเพศหรือท่ีเรียกวา การขยายโคลน เพราะตน ทไ่ี ดจ ากการเพาะเมลด็ มโี อกาสทจ่ี ะกลายพนั ธไุ ปจากตน เดมิ ไดส งู มาก การ ขยายโคลนใหไ ดต น ทต่ี รงตามพนั ธเุ ดมิ อาจกระทาํ ไดด งั น้ี

การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั ✾ 7 1. การตดั ยอด เปนวิธีที่นิยมทาํ กนั มาก สามารถทาํ ไดท ง้ั ในขณะทย่ี งั เปน ตน กลา ขนาดเลก็ ชง่ึ ไดจ าการเพาะ เล้ียงเนื้อเย่ีอ และตน ขนาดใหญท ส่ี งู เกนิ ไปคอื ยอดสงู กวา เครอ่ื งปลกู เกนิ 60 เชนตเิ มตร โดยตดั ใหม ี ใบติดยอดมาดว ยประมาณ 4 - 5 ใบ และหากมรี ากตดิ ยอดทต่ี ดั มาดว ย จะทาํ ใหต น ตง้ั ตวั และเจรญิ เติบโตเร็ว แตถ า ไมม รี ากตดิ ยอดมาเลย ในชว งแรกจะตอ งนาํ ยอดทต่ี ดั มานไ้ี ปชําไวใ นทซ่ี ง่ึ มคี วามชน้ื สงู มากกอน รอจนยอดแตกรากและรากมขี นาดใหญพ อสมควรแลว จงึ ยา ยไปไวใ นโรงเรอื นตามปกติ 2. การตดั หนอ นิยมตัดหนอ ทม่ี รี ากแลว 2-3 ราก ซง่ึ หนอ ทต่ี ดั นอ้ี าจเกดิ มาจากโคนตน ของพนั ธทุ ม่ี หี นอ ดอก หรือเกิดจากตอที่ตัดยอดและหนอไปแลวหรือเกิดจากการชาํ การรบี ตดั หนอ ในขณะทย่ี งั มขี นาด เล็กจะทําใหต น ตง้ั ตวั ชา จงึ ควรทง้ิ ใหห นอ มขี นาดใหญแ ละมรี ากพอสมควรกอ น 3. การปกชาํ วิธีน้ีจะทํากับตนตอท่ีเมื่อตัดยอดไปแลวไมเหลือใบติดอยู ซง่ึ ปกตจิ ะเปน ตน ทม่ี อี ายมุ ากอาจ ปกชําท้ังตนหรือตัดตนเปนทอนๆ กอนแลวจึงนําไปปกชําโดยที่แตละทอนจะตองมีขอติดไปดวยอยา ง นอย 3 ขอ ในการปกชาํ จะตอ งวางตน ใหท าํ มมุ กบั วัสดุปก ชาํ 30-45 องศา โดยใหตาหนั ออกดานขา ง เพราะจะทําใหไดหนอ ในปรมิ าณมาก วัสดุปกชาํ อาจใชอ ฐิ มอญทบุ ละเอยี ด หรือทรายหยาบผสมถาน แกลบก็ได ควรปกชําในบริเวณที่มีแสงนอยกวาปกติ ถาเปนการปกชําในกระบะชํา จะตองควบคมุ ความช้ืนใหอ ยใู นระดบั สงู อยเู สมอแตไ มแ ฉะ 4. การเพาะเลย้ี งเนอ้ื เยอ่ื วิธีน้ีเกษตรกรจะตอ งพง่ึ บรกิ ารจากหอ งปฏบิ ตั กิ ารเชงิ การคา โดยจะใช ใบออ นทย่ี งั มว นอยไู ป ขยายพันธุ ซง่ึ ตน พนั ธทุ ค่ี ดั เลอื ก ไวเ พอ่ื ขยายพนั ธโุ ดยวธิ เี พาะเลย้ี งเนอ้ื เยอ่ื น้ี จะตอ งไดร บั การดแู ลรักษา เปนพิเศษ คอื ในการรดน้าํ จะตอ งรดเฉพาะบรเิ วณโคนตน เทา นน้ั การขยายพันธุวิธีนี้จะกระทาํ ในกรณที ่ี ตองการตน พนั ธใุ นปรมิ าณมาก เชน 10,000 ตน ในเวลา 2 - 2.5 ป อยา งไรกต็ ามตน พนั ธทุ ไ่ี ดจ าก การ เพาะเล้ียงเนอ้ื เยอื จะมขี นาดเลก็ จงึ ตอ งปลกู ในบรเิ วณทร่ี ม และมคี วามชน้ื สงู โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ใน ระยะท่ีนําออกจากขวดใหมๆ การขยายพนั ธโุ ดยวธิ ตี า งๆ ทก่ี ลา วมาน้ี ตนพันธุที่ไดจะมีลักษณะที่แตก ตางกันไป คือ การตัดยอดจะไดตนพันธุที่ใหดอกไดเร็วที่สุดแตไดจํานวนตนนอยการตัดหนอจะได จํานวนตนพันธุมากข้ึนโดยตนจะเล็กลง ในขณะที่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะไดตนพันธุจาํ นวนมากทส่ี ดุ แตตนกม็ ขี นาดเลก็ กวา การขยายโคลนโดยวธิ อี น่ื

การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั ✾ 8 การตดั ดอก ไมดอกสกุลน้ีมอี ายุการใชงานคอ นขา งนาน คอื ไมค วรตา่ํ กวา 10 วัน ในระยะทจ่ี านรองดอก เร่ิมคล่ีจะมีสีสดใสมากแตค วามสดใสจะลดลงเมอ่ื อายมุ ากขน้ึ สาํ หรบั อายกุ ารปก แจกนั นน้ั จะเพม่ิ ขน้ึ เมอ่ื รอใหดอกบานบนตนนานขึ้นจนถึงระยะที่ปลีเปลี่ยนสีทั้งปลีแลวจากนั้นอายุการปกแจกันของดอกจะลด ลง ปกติระยะท่ีเหมาะสมท่ีสุดในการตัดดอกคือในระยะที่ปลีเปล่ียนสีหรือเกสรตัวเมียชูข้ึนเหนือดอก แลว ครง่ึ ปลซี ง่ึ เมอ่ื ตดั ดอกแลว ควรจมุ มดี ในน้ํายาฆาเชอื้ เชน ฟายแชน -20 (Physan-20) ในอตั รา 5 ชีชีตอนํ้า 1 ลติ ร ทุกครั้ง เพอ่ื ปอ งกนั กนั การแพรร ะบาดของเชอ้ื แบคทเี รยี และไวรัส ดอกทต่ี ดั มาแลว ก็ ควรแชในน้ําสะอาดและวางไวในรมกอนที่จะจัดสง ไปจําหนายตอไปทั้งน้ีตองระวงั อยาวางดอกไวในที่ แหง โดยไมแ ชน า้ํ ศัตรแู ละการปอ งกนั กําจัด ปกติไมดอกสกุลนี้มีศตั รูรบกวนนอ ยมาก เนอ่ื งจากสามารถผลติ สารเคมมี า ปอ งกนั ตวั ไดอ ยา ง ไรก็ตาม หากจดั สภาพแวดลอ มไมเ หมาะสม กอ็ าจพบโรคและศตั รบู างอยา ง เชน 1. โรคใบแหง โรคนี้หากไมไดเกิดจากการไดรับแสงมากเกินไป อาจเกดิ จากเชอ้ื รา เปน สาเหตขุ องโรคแอน แทรคโนสหรืออาจเกิดจากเช้ือราท่ีเปนสาเหตุของโรค ไฟทอพโธรา อาการของโรคแอนแทรคโนสจะ สังเกตเห็นไดชัดเพราะแผลจะแหง เปน วงชอ นกนั ในขณะทอ่ี าการใบแหง จากโรคไฟทอพโธราจะไมเ ปน วง หากมีโรค ใบแหง เกดิ ขน้ึ ควรลดแสงเพม่ิ ความชน้ื และการระบายอากาศใหม ากขน้ึ แลวฉีดพน ดว ย อาลเี อท หากเปนโรคไฟทอพโธราหรือฉีดพนดวยบาวิสติน หากเปน โรคแอนแทรคโนส 2. โรคใบไหม โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยจะทาํ ใหเ กดิ อาการช้าํ และไหมซ ง่ึ อาจทาํ ใหต น ตายได โรคนจ้ี ะ แสดงอาการรุนแรงมากเม่ีอมีความชื้นและอากาศไมถายเทหากพบอาการในระยะเริ่มแรกควรนําตนที่ เปนโรคไปเผาทาํ ลายเสียและฉีดพน ดวยแคงเกอรเอกชหรือสเตรป 1 คอื ใบทแ่ี สดงอาการโรคใบแหง ทเ่ี กดิ จากเชอ้ื ราซง่ึ เปน สาเหตขุ องโรคไฟทอพโธรา 2 คอื ใบทแ่ี สดงอาการโรคใบไหมท เ่ี กดิ จากเชอ้ื แบคทเี รยี

การปลกู ไมด อกสกลุ หนา ววั ✾ 9 3. โรคใบดา ง โรคนเ้ี กดิ จากเชอ้ื ไวรัส ทําใหใ บหนาและดา น ใบจะมขี นาดเลก็ ลงเรอ่ื ย ๆ จึง ตอ งรบี นําตน ทม่ี ี อาการของโรคไปเผาทาํ ลายทันที 4. ไร พบท้ังไรแดงและไรขาว ซึ่งจะทําลายท้ังใบและจานรองดอก ทาํ ใหผิว ใบและจานรองดอกมี ลักษณะดา น หากพบอาการเขาทําลายของไรควรฉดี พน ดว ย โอไมทหรือกํามะถนั หรอื ไวทอ อยล จากท่ีกลาวมาทง้ั หมด จะเหน็ ไดว า ไมด อกสกลุ หนา ววั เลย้ี งดงู า ย ผทู สี่ นใจ อาจเลอื กปลกู พนั ธุ พื้นเมือง เชน หนา ววั พนั ธดุ วงสมรผกามาศและขาวนายหวาน หรือ เปลวเทยี นพนั ธลุ ําปาง และภูเก็ต หรือเลือกพนั ธตุ า งประเทศจากรฐั ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือจากประเทศเนเธอรแลนดก็ได