ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรอื วัดแขกสีลม กรุงเทพมหานคร กาเนิดศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ในสมัยโบราณแรกเรม่ิ เดิมทศี าสนาพราหมณ์-ฮินดู เรยี กกันวา่ “สนาตนธรรม” แปลวา่ “ศาสนาสนาตน” คาว่า “สนาตน” หมายถึง “เป็นนิตย์” คือไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้จักตายเรื่อย ๆ เสมอ ๆ นอกจากนั้นยังแปล ไดอ้ ีกอย่างหนงึ่ เม่ือแยกพยางค์ออกแล้ว คือ “สนา” แปลว่า ไม่รู้จักตาย หรือเป็นนิตย์ กับ “ตน” แปลว่า กาย เมือ่ รว่ มกนั เข้าแลว้ แปลตามศัพทห์ รอื แปลโดยพยัญชนะว่า กายอันไม่รู้จักตาย แปลเอาความหมายถึงพระวิษณุ หรือกายอันไม่รู้จักตายกล่าวคือพระวิษณุ เพราะฉะนั้นสนาตนธรรมจึงเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า วิษณุธรรม คือ คาส่ังสอนของพระวษิ ณุเป็นเจ้า นั้นเอง คร้ันเวลาล่วงเลยมาหลายพันปี ศาสนาน้ีได้มีช่ือเรียกกันในหลายชื่อว่า “ไวทกิ ธรรม” “อารยธรรม” “พราหมณธรรม” “ฮนิ ดูธรรม” หรอื “หนิ ทธู รรม” ปัญหาช่ือว่า “สนาตนธรรม” เกิดขึ้นมาต้ังแต่สมัยไหนนั้น ความจริงในโลกนี้ก็ยังไม่เคยมีใครสามารถตอบได้อย่างถูกต้องถ่องแท้เลย ได้แต่สันนิษฐานและอภิปรายให้ความเห็นกันไปต่าง ๆ ตามทรรศนานุทรรศนะแห่งตนๆ ในคัมภีร์พระเวท ตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “สนาตนธรรม” เป็นธรรมทั้งอนาทิและเนติ แปลว่าไม่มีต้นหรือไม่สามารถหาตอนปลายได้ หรือไม่รู้จบ กล่าวสรุปให้ง่าย สนาตนธรรมคือธรรมะอันไม่มีต้นและไม่มีปลายด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู เชอื่ ถือกันวา่ “สนาตนธรรม” เกดิ ขึ้นตงั้ แตเ่ ม่ือแรกเรม่ิ ตน้ สร้างโลกแล้ว ซ่งึ นบั ว่าเป็น
-๒- เวลาท่นี านแต่กระน้นั กย็ ังนบั จานวนปไี ดถ้ ึงเลข ๑๕ ตวั คอื ๑๕๕, ๕๒๘, ๖๔๓, ๘๙๓, ๐๘๕ (หน่ึงร้อยห้าสิบห้าล้าน ห้าแสนสองหมื่นแปดพันหกร้อยสี่สิบสามล้านแปดแสนเก้าหมื่นสามพันแปดสิบห้า) ตามหลักในคัมภีร์ โหราศาสตร์ “สุริยสิทธานตะ” การนั้นเช่นนี้ในภาษาฮินดีเป็นภาษาราษฎรภาษา คือภาษากลางแห่งชาติ ของประเทศอินเดยี ความเปน็ มาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาฮินดูมีจุดเริ่มต้นเมื่อชาวอารยะอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดียบริเวณลุ่มแม่นา้ สินธุ ซ่ึงเป็นที่มาของคาว่า “ฮินดู”เม่ือราว ๓,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว แม่นา้ สินธุปัจจุบันมีต้นน้าเกิดจากภูเขาหิมาลัย ในเขตประเทศอินเดีย ไหลผ่านประเทศปากีสถานไปลงทะเลอาหรับ ชาวอารยะมีคัมภีร์ทางศาสนาที่เก่าแก่ ท่ีสุดในโลกเรียกว่า เวทะ หรือพระเวท แรกทีเดียวมีเพียง ๓ คัมภีร์ คือ ฤคเวท สามเวท และยชุรเวท ต่อมามีคัมภีร์ อถรรพเวทเพ่ิมอีกคัมภีร์ เชื่อกันว่าคัมภีร์พระเวทไม่ใช่คัมภีร์ท่ีมนุษย์แต่งข้ึนแต่เป็นคัมภีร์ท่ีพวกฤาษีได้ยินมา โดยตรงจากพระเป็นเจ้า คัมภีร์นี้จึงมีชื่อเรียกรวมๆ ว่า ศรุติ “การได้ยิน” ผู้ที่ได้ยินคือฤาษีผู้มีญาณวิเศษ เหนอื มนษุ ย์ธรรมดา ศาสนาฮินดเู ป็นศาสนาที่สบื ทอดมาจากศาสนาที่นับถือคัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์ิ ทางศาสนา จึงเป็นศาสนาท่ีไม่มีศาสดาเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาเหมือนศาสนาอื่น ๆ ทั่วไป บางคร้ังชาวฮินดูจะเรียก ศาสนาของตนว่า สนาตนธรรม แปลวา่ ศาสนาทีม่ มี าแตน่ ิรนั ดรก์ าล คอื มีมาแต่ดัง้ เดิมไม่มีใครรู้ว่าเร่ิมต้นเม่ือไร ซ่งึ ศาสนาฮินดเู ป็นศาสนาท่ีประชาชนส่วนใหญ่ของอนิ เดียนบั ถอื ความเปน็ มาของศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ในประเทศไทย ในประเทศไทยคนรู้จักศาสนาฮินดูในช่ือ ศาสนาพราหมณ์ ดังน้ันช่ือทางราชการของศาสนาฮินดู ในประเทศไทย คือ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ได้เข้ามาสู่ ดินแดนสุวรรณภูมิก่อนสมัยทวารวดีคัมภีร์ชาดกในพระพุทธศาสนา เช่น พระมหาชนก คัมภีร์รามายณะ กก็ ล่าวถึงดนิ แดนในสุวรรณภมู แิ ละสุวรรณทวีปไว้ เมอื่ พ.ศ. ๓๐๓ คณาจารยพ์ ราหมณท์ ต่ี ิดตามพระโสณะเถระ กับพระอุตรเถระ ศาสนทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช เข้ามายังสุวรรณภูมิ จุดแรกท่ีท้ังสององค์มาประดิษฐาน พระพุทธศาสนาคือ นครปฐม ตอนน้ีนับเป็นยุคแรก ๆ ของพราหมณ์ในประเทศไทย ประจักษ์พยานในการ เ ผ ย แ พ ร่ ศ า ส น า พ ร า ห ม ณ์ คื อ แ ห ล่ ง โ บ ร า ณ ส ถ า น ซึ่ ง เ ป็ น ร่ อ ง ร อ ย ค ว า ม เ จ ริ ญ ข อ ง บ ร ร พ ช น ใ น อ ดี ต เป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง มีโบราณวัตถุ ส่ิงเคารพสักการะ ปฏิมากรรมและปูชนียวัตถุของศาสนา เชน่ เทวรูป เทวาลยั พบทจ่ี ังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี ซึ่งประจักษ์พยานน้ีเป็นการยืนยัน การนับถือศาสนา ดังได้ปรากฏความเจริญของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู อันแสดงถึงวัฒนธรรม ศรัทธา ความเช่ือ ในแผ่นดนิ ไทยท่ีมีมาแตโ่ บราณกาล โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงเมอื งสวุ รรณภูมิทมี่ ีอายยุ าวนานกว่า ๒,๐๐๐ ปี พื้นที่ราบระหว่างภูเขาในภาคใต้และอาณาบริเวณอื่น ๆ มีกลุ่มชุมชนโบราณที่นับถือศาสนา พราหมณ์ – ฮินดู หลายกลุ่มกระจายเป็นบริเวณกว้างบ่งบอกวัฒนธรรมอินเดียตอนใต้แพร่เข้ามาสู่ดินแดน ประเทศไทยดว้ ยเสน้ ทางการคา้ ทางเรอื หลายเส้นทาง ระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๔ ปรากฏหลักฐาน ประตมิ ากรรมเก่าทสี่ ุดในลทั ธไิ ศวนกิ ายและไวษณพนิกายในท้องท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราชอาเภอสิชล ท่าศาลา ร่อนพิบูลย์ และอาเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเทวสถาน เขาคา เรียกว่าวิมานแห่งพระศิวะมหาเทพ หรือไศวภมู ิมณฑลเปน็ การจาลองจักรวาลคือเขาพระสุเมรุ (ไกรลาส) ท่ีสถิตของพระศิวะ พระผู้เป็นเจ้าย่ิงใหญ่
-๓- พระองค์หนึ่งของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู นอกจากนี้ยังปรากฏประติมากรรมรูปเคารพทั่วผืนแผ่นดินไทย ท้ังภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนล่าง ชาวไทยต้ังอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี เมือ่ พ.ศ. ๑๘๐๐ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดูเจริญคู่อยู่กับพระพุทธศาสนาแล้ว แม้พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ จะแพร่เข้ามาอีกระลอกก็ตาม คติความเชื่อศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีอิทธิพลมากขึ้นในการปกครองของชาวไทย สมยั กรงุ ศรอี ยุธยายึดถอื วา่ พระมหากษตั รยิ ์คอื สมมุติเทวราช การพระราชพิธีและพิธีกรรมทั้งปวงเพ่ือความมั่นคง และความอุดมสมบูรณ์ จึงข้องอยู่ในธรรมเนียมจารีตของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ในลัทธิไวษณพซึ่งนับถือ พระนารายณเ์ ป็นเจ้า ดังน้ันสถานะของพระมหากษัตริย์จึงประดุจพระนารายณ์อวตาร สืบเนื่องต่อถึงสมัยกรุงธนบุรี และการสถาปนากรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ ปน็ ราชธานี พ.ศ. ๒๓๒๕ เม่ือพระมหากษัตริย์ทรงสร้างบ้านสร้างเมืองแล้วเสร็จ จึงสร้างเทวสถานสาหรับบูชาพระผู้เป็นเจ้าสาหรับพระนครในบริเวณที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ใจกลางพระนคร เพ่ือประกอบพิธีกรรมสาคัญของบ้านเมืองตามราชประเพณี อันจะนาความมั่นคง มั่งคั่งยั่งยืนในพระราชอาณาจักร ดังปรากฏรูปเคารพคือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาเป็นศิลา สาริด ในศิลปกรรมหลายสมัย ลักษณะท่ีแสดงพลานุภาพ สง่างาม แฝงไว้ด้วยศรัทธาความเชื่อที่มั่งคง ได้แก่ ศิวลึงค์ พระปรเมศวร พระพรหมธาดา พระนารายณ์ พระเทวกรรม พระพิฆเนศวร พระอุมาเทวี พระลักษมี เป็นอาทิ ภายในสถานสักการะ วัดเทพมณเฑียร ณ สมาคมฮนิ ดูสมาช พระนารายณ์และพระลักษมีอยู่กลาง พระพฆิ เนศวร อยู่ด้านซา้ ย และหนุมานอยดู่ ้านขวา ประวตั ศิ าสตรแ์ ละวัฒนธรรมของไทยที่ปรากฏถึงการเกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู จะเห็นได้จาก ชื่อสถานท่ี เช่น อโยธยา ลพบุรี ทรวารวดี ฯลฯ ในวรรณคดี ได้แก่ รามเกียรต์ิ อนิรุทธ์ิคาฉันท์ พาลีสอนน้อง กฤษณาสอนน้องคาฉันท์ แม้ในเทศกาลต่าง ๆ เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง โดยเฉพาะการพระราชพิธี ท่ีประกอบขึ้นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และความสวัสดิมงคลของบ้านเมือง เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
-๔- พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรปี วาย เปน็ ตน้ ประเทศไทยได้ให้การรับรองฐานะองค์การทางศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ได้แก่ สานักพราหมณ์ พระราชครใู นสานักพระราชวงั สมาคมฮินดูธรรมสภา และสมาคมฮนิ ดสู มาช คมั ภรี ์ หลักความเช่ือ หลักธรรมคาสอน คมั ภีร์ทีผ่ ู้นบั ถือศาสนาฮินดูนับถือมีจานวนมากมายไมส่ ามารถจะกล่าวได้ท้งั หมด ดังน้ันเพื่อให้เกิด การรับรู้อย่างกวา้ ง ๆ จึงขอกล่าวเฉพาะคัมภรี ท์ ่ีสาคัญใน ๓ สมยั คือ ๑. สมยั พระเวท คัมภีรท์ ่ีสาคญั คือ ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท อถรรพเวท พราหมณะ อารัณยกะ และอุปนิษัท ๒. สมยั อติ หิ าสะ มคี ัมภรี ์ ๒ คัมภรี ์ คือ รามายณะและมหาภารตะ แตใ่ นคัมภีร์มหาภารตะมคี าสอน ของพระกฤษณะแทรกอยู่ คาสอนดังกล่าวมีช่ือว่า “ภควัทคีตา” เป็นคาสอนที่ชาวฮินดูไม่ว่าจะอยู่นิกายใด ให้ความนับถืออย่างสูง ๓. สมยั ปุราณะ มีความสาคญั ที่สุดสาหรบั ศาสนาฮินดู ซง่ึ คมั ภรี ์ปุรณะแบ่งเปน็ มหาปุราณะและอุปปรุ าณะ มหาปุราณะมีท้ังหมด ๑๘ คัมภีร์ คือ วิษณุปุราณ ศิวปุราณ มัตสยปุราณ ภาควตปุราณ ครุฑปุราณ สกันทปุราณ พรหมาณฑปุราณ พรหมไววรตปุราณ ภวิษยปุราณ มารกัณเฑยปุราณ อัคนิปุราณ วายุปุราณ ปัทมปุราณ กรู มปุราณ พรหมปุราณ ลิงคปุราณ วราหปรุ าณ และวามนปุราณและคัมภรี ์อปุ ปุราณะ ซึ่งมีเป็นจานวนนับร้อย ในยุคนี้ศาสนาฮินดูแบ่งออกเป็นสองนิกายอย่างชัดเจน คือ นิกายที่นับถือพระศิวะว่าเป็นพระเจ้าสูงสุด เรียกว่าไศวะ และนิกายท่ีนับถือว่าพระวิษณุเป็นพระเจ้าสูงสุดเรียกว่า ไวษณวะข้อแตกต่างระหว่างสองนิกายคือ ฝ่ายไศวะบูชาศิวลึงค์ (ศิวลิงฺคหรือศิวลึงค์ เป็นวัตถุทรงกลมอาจจะทาด้วยหิน โลหะ หินมีค่า ไม้ ดิน ต้ังอยู่บนฐาน ทเ่ี รียกว่า “โยนิ” ศิวลึงค์เป็นวัตถุสัญลักษณ์ที่ชาวฮินดูไศวนิกายถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จะประดิษฐาน ไวใ้ นเทวาลยั ตรงส่วนที่เรียกว่า ครรภคฤหะ อันเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพหรือสัญลักษณ์ทางศาสนาที่สาคัญที่สุด) ส่วนฝ่ายไวษณวะบูชาอวตารปางต่างๆ ของพระวิษณุ ปางที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุด คือ พระราม และพระกฤษณะ ชาวไทยสว่ นใหญร่ จู้ ักพระองค์ในนามว่า “พระนารายณ์” ผู้นับถือศาสนาฮินดูไวษณวนิกายถือว่า พระองค์เป็นพระเจ้าสูงสุด แต่พระวิษณุในรูปท่ีต้องเก่ียวข้องกับโลกเป็นหนึ่งในตริมูลรติ (วิษณุ ศิวะ พรหมา) มีหนา้ ทรี่ กั ษาจักรวาลที่พระพรหมาไดส้ ร้างข้ึนก่อนท่ีจะถูกพระศิวะทาลายในท่ีสดุ คัมภรี ์ใน ๓ สมัยนี้ เป็นคัมภีรท์ ่ีใชภ้ าษาสนั สกฤตทั้งสนิ้ ผทู้ รี่ ู้ภาษาสันสกฤตและสามารถประกอบพธิ ี ทางศาสนาฮินดูคือพราหมณ์เท่าน้ัน ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึน ได้มีการแต่งคัมภีร์และบทสวดบูชา พระเป็นเจ้าและเทพเจ้าด้วยภาษาท้องถิ่นเพื่อให้คนในท้องถิ่นน้ัน ๆ มีความเข้าใจศาสนาที่ตนนับถือได้ง่ายข้ึน คัมภีร์ท่ีสาคัญหลักยุคปุราณะคือ คัมภีร์รามจริตมานัส ซึ่งเป็นเรื่องรามเกียรต์ิที่แต่งด้วยภาษาอวธี ผู้ท่ีนับถือ ศาสนาฮินดูนกิ ายไวษณวะจะใหค้ วามเคารพนับถือคัมภีร์น้มี าก หลกั ความเชือ่ ศาสนาฮนิ ดเู ปน็ ศาสนาท่เี ช่อื ในพระเจา้ พระเจ้ามีชือ่ เปน็ ภาษาสนั สกฤตวา่ พฺรหมฺ หลักธรรมคาสอน หลกั ปฏิบตั พิ ้ืนฐานจุดมุ่งหมายของชีวิตตามแนวทางของศาสนาฮินดูมี ๔ ประการ คือ ๑. อรถะ หรืออรรถะ การแสวงหาทรพั ยเ์ พอ่ื การดารงชวี ติ ภายใตก้ รอบคาสอนทางศาสนา ๒. ธรมะ หรอื ธรรมะ การดารงชีวติ ภายใตก้ รอบคาสอนทางศาสนา ๓. กามะ การแสวงหาความสขุ ทางโลก ภายใตก้ รอบคาสอนทางศาสนา
-๕- ๔. โมกษะ ในที่สดุ ตอ้ งแสวงหาความหลดุ พน้ จากการเวยี นว่ายตายเกิด จุดมุ่งหมาย ๓ ข้อแรก ต้องการให้ศาสนิกดารงชีวิตทางโลกเต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล แต่ต้องอยู่ภายใต้ กรอบคาสอนทางศาสนาของตนแต่เม่ือมีความสุขอย่างมีศีลธรรมในระดับโลกแล้ว ศาสนิกจะต้องแสวงหา เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตคือความพ้นไปจากการตายแล้วเกิด ซ่ึงเป็นผลของกรรมหรือการกระทาทุกอย่างในโลก ต้องคานึงอยู่เสมอว่าทุกอย่างในโลกเป็นส่ิงไม่คงอยู่ช่ัวนิรันดร อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติท่ีว่าเกิดขึ้นคงอยู่ช่ัวระยะหนึ่ง ในท่ีสุดกส็ ูญสลายไป สง่ิ ท่เี ป็นนริ ันดรคือความเจริญสงู สุดหรือพระเป็นเจา้ หลักธรรมคาสอน คาวา่ “หลกั ธรรม” แปลได้หลายอย่าง ธรรม แปลวา่ หน้าท่ีก็ได้ ส่ิงท่ีควรทาก็ได้ ลักษณะธรรมในพระธรรมศาสตร์ ๑๐ ประการ ในพระธรรมศาสตร์ของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู บัญญัติไว้ว่า ธรรมะย่อมมีลักษณะ ๑๐ ประการ คือ ธฤติ กฺษมา ทม อสฺเตย เศาจ อินฺทริยนิคฺรห ธี วิทยา สตฺย และ อโกรฺธ ผู้ใดปฏิบัติธรรมท้ัง ๑๐ ประการนี้ ผนู้ ้นั กไ็ ดช้ ่ือว่า “ธรมฺ าตมา” ลกั ษณะทง้ั ๑๐ ประการของธรรมะนน้ั มีความหมายดังน้ี ๑. ธฤติ แปลว่า ความพอใจ คล้าย ๆ กับคาว่า สันโดษ ความจริง ยังแปลได้อีกหลายอย่าง เช่น ความถือ ความมี ความม่ันคง ความกล้า ความสุข เป็นต้น การถือธรรมะตามลักษณะนี้ก็คือ มีความพยายาม อยู่ด้วยความมั่นคงเสมอ แม้ว่ายังไม่ได้สาเร็จประโยชน์ตามความประสงค์จากสิ่งไร ก็ไม่มีความหว่ันวิตก ประการใด ยังมีความพยายามอยู่ต่อไปเสมอ และก็มีความรู้สึกยินดี และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ โดยปราศจาก ความโลภ ๒. กษฺ มา แปลวา่ ความอดกลนั้ หรือความอดโทษ พูดโดยสรุปก็คอื มีความพากเพียรพยายามและอดทน โดยถอื เอาความเมตตากรณุ าเปน็ ทตี่ ้ัง ๓. ทม แปลว่า การระงับจิตใจ คือรู้จักข่มจติ ใจของตนเองด้วยความสานึกในเมตตาและมีสติอยเู่ สมอ ร้จู ักอดจิตอดใจ ไมป่ ล่อยให้หว่ันไหวไปตามอารมณไ์ ด้งา่ ย ๔. อสเฺ ตย แปลวา่ ไมล่ กั ไมข่ โมย ไมก่ ระทาโจรกรรม ๕. เศาจ แปลวา่ ความบริสุทธ์ิ หมายถงึ การทาตนเองให้มีความบริสุทธิ์ทง้ั จิตใจและร่างกาย ๖. อินฺทรนิ ครฺ ห นคิ ฺรห แปลว่า การปราบปราม เพราะฉะนั้น อินฺทริยนคิ รฺ ห จงึ หมายถงึ การปราบปราม อนิ ทรียท์ ง้ั สบิ ไดแ้ ก่ ก. พวกชญาเนนฺทรยิ ๕ ไดแ้ ก่ อินทรียค์ ือประสาทความรู้สกึ ทางความรู้ มี ตา หู จมูก ล้นิ และผวิ หนัง ข. พวกกรฺ เมนทรยิ ๕ ได้แก่ อินทรยี ์คือประสาทความร้สู ึกทางการกระทา มีมือ เท้า ทวารหนัก ทวารเบา และลาคอ ค. พวกอนตฺ รเรนทรยิ (อนฺตร+อนิ ทริย) ได้แก่ อินทรียค์ ือประสาทความรู้สึกภายในซง่ึ นับแยก ออกไปต่างหาก มี จิต ใจ และอหังการ รวม ๓ อย่างเพิ่มเข้ามา (ภาษาสันสกฤตเรียกว่า จิตตฺ มน อหงฺการ) ที่ว่าปราบปรามหรือระงับอินทรีย์น้ันก็หมายถึงให้หมั่นสารวจตรวจดูเสมอด้วยตนเองว่า อินทรีย์ทั้ง ๑๐ นั้น ได้รับการบริหารไปในทางท่ีถูกต้องดีหรือไม่ประการใด เพราะธรรมศาสตร์ของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ไม่ต้องการให้คนเราปล่อยอินทรีย์ไปในด้านมัวเมาอย่างไม่มีขอบเขต ต้องการให้คนเรารู้จักมีความพอ เช่น ให้แสวงหาความสุขทางอินทรยี ท์ ีม่ ขี อบเขต ดงั ตวั อย่าง อินฺทรฺ ยชหิ ฺวา (ประสาทความรู้สึกทางลิ้น) ชอบรสหวาน แต่ถ้าปล่อยตัวเองให้กินแต่ของหวานมากเกินไปอาจกลายเป็นโรคเบาหวานได้ ตรงกันข้ามถ้าบุคคลกินของหวาน ให้อยู่ในมาตรฐานหรือภายในขอบเขตจากัด ย่อมจะได้ผลดีแก่ร่างกายของบุคคลนั้น ดังนี้เป็นต้น
-๖- ๗. ธี แปลเหมอื นกบั ธติ ิ หรอื ธีร หรือพทุ ธิ หมายถึงปญั ญา สติ มติ ความคิด ความมน่ั คงยนื นาน เป็นลักษณะหนึ่งใน ๑๐ ประการของ “ธรรมาตมา” กล่าวคือควรจะมีความรู้ทั่วไป มีปัญญา และรู้จักระเบียบ วิธีการต่าง ๆ ท้งั ทางขนบธรรมเนยี มประเพณี ธรรมสงั คม และวัฒนธรรม ๘. วิทยา แปลเหมือนกบั ญาณ ในภาษาบาลีหรือชญาณ ในภาษาสนั สกฤต หมายถงึ ความรู้ทางปรชั ญาศาสตร์ คอื รู้ลึกซงึ้ และมีความร้เู กีย่ วข้องกับชีวะกบั มายา และกับพระพรหมอย่างไรบ้าง ๙. สตฺย แปลวา่ จริง หรือความจริง หรือศุทธมติ (ความเหน็ อนั บรสิ ทุ ธ์ิ) ความเหน็ อันสุจรติ กลา่ วคือ การแสดงความซอ่ื สตั ย์ต่อกันและกนั จนถึงทาใหเ้ ปน็ ท่ีไวว้ างใจและเชือ่ ถอื ได้ โดยไมค่ ิดคดทรยศต่อกนั ๑๐. อโกรธฺ แปลว่า ไมโ่ กรธ คนท่จี ะมีความไม่โกรธนน้ั ก็คือต้องมีขนั ติและโสรัจจะ นัยหนึง่ มีความอดทน มคี วามสงบเสง่ียม และรู้จักทาจิตใจให้สงบ ทส่ี าคัญท่สี ดุ กค็ ือ ใหเ้ อาชนะความโกรธได้ด้วยความไมโ่ กรธ ธรรม อรรถ กาม และโมกษ ทัง้ ๔ นีร้ วมกัน เรยี กวา่ “ปุรุษารฺถ” หรอื “ปรุ ุษารถฺ จตุรฺวธิ ” (อรรถสาหรับ ปรุ ุษรวม ๔ ประการ) ผู้ใดไดป้ ฏิบัตติ นสาเร็จข้ันปรุ ุษารฺถนี้แลว้ ก็เรยี กว่าสาเรจ็ ขั้นกรรมโยค กรมฺ โยค คือ หลักกรรม กรรม แปลว่า การกระทา หรือการงาน ส่วนโยค แปลวา่ ประกอบรว่ มการรวม หรืออาจจะแปลว่า ทิพย์ หรือนิโรธแห่งพฤติการณ์ของจิตก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อคาทั้งสองน้ีมารวมกันเข้าแล้ว จึงหมายความว่า กรรมทิพย์ หรือทิพยกรรม คือการกระทาดี กรรมโยค แปลได้อีกนัยหนึ่งว่า การนิโรธแห่งพฤติการณ์ของจิต แต่การที่จะทาให้พฤติการณ์ของจิตนิโรธไปได้นั้น เราต้องละเว้นกรรมช่ัวเสียให้ได้โดยส้ินเชิง และทาแต่กรรมดี โดยเฉพาะส่วนเดียว ในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูพระคัมภีร์ทุกเล่มอ้างไว้ว่า กรรมเป็นส่ิงที่สาคัญที่สุดในชีวิต ของคนเรา ชีวของคนแต่ละคนล้วนเวียนว่ายตายเกิด ล้วนประสบทุกข์ประสบสุขก็แต่โดยอาศัยกรรมทั้งสิ้น ในทานองเดียวกัน คนเราจะหลุดพ้นจากการเวยี นว่ายตายเกดิ ได้ก็ต้องอาศัยแรงกรรมอยู่อีกนั่นเอง ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ได้กล่าวไวว้ ่า กรรมใดที่ได้เลือกกระทาโดยใช้ชฺาณ และโดยถือเอาภกฺติ เป็นทางเลอื กกรรมน้ันย่อมเป็นเหตแุ ห่งความสุข แห่งยศ และแห่งเกียรติในยามท่ีบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ และทั้งจะได้ ประสบความสุขในชีวิตหน้าต่อไปอีกด้วย ไม่ว่าจะไปเกิดในภพไหน ตรงกันข้าม กรรมใดที่ได้เลือกทา โดยปราศจากชฺาณ และไม่ถือเอาภกฺติเป็นเกณฑ์เสียเลย กรรมน้ันก็ย่อมเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ความเสื่อมยศ และความเสอ่ื มเกียรติ ไมว่ า่ จะเป็นในภพนหี้ รือในภพหน้า จึงถือได้ว่ากรรมที่เลือกกระทาโดยใช้ชฺาณเป็นเกณฑ์ และโดยถือเอาภกฺติเป็นที่ตั้ง อย่างมิได้มีความประสงค์จะขอรับสิ่งใดเป็นเครื่องตอบแทน กรรมนั้นจึงจะ เปน็ เหตุแหง่ โมกษะ “กรรมทพิ ย”์ คือ ทิพยกรรม หรือกรรมโยค ดังได้กล่าวมาแล้วน้ี แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ ๑. สกามกรรมโยค ได้แก่ การกระทาทที่ าไปโดยปรารถนาสงิ่ ตอบแทน แบง่ ออกเป็น ๒ อยา่ ง คือ ก. สกามกรรมที่ปฏิบตั ติ ามหลักที่ถูกต้องโดยใช้ชฺาณและภกฺติเปน็ หลัก ข. สกามกรรมท่ีปฏบิ ัติอย่างไม่เป็นไปตามหลกั คือมิได้ใช้ชฺาณและภกฺติ หรือขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ๒. นิษกามกรรมโยค ได้แก่ การกระทาที่มิได้ปรารถนาผลตอบแทนแต่ปฏิบัติไปตามหลัก อันถูกต้องเท่านั้น แบ่งออกเปน็ ๒ อย่าง คอื ก. นิษกามกรรม โดยถือเอาหน้าที่เป็นหลัก คือถือวา่ เม่ือเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะกระทาการใด ๆ ก็ต้องทาไปโดยถอื ชฺาณและภกฺติเป็นเกณฑ์
-๗- ข. นิษกามกรรม โดยถือเอาพระพรหม หรืออาตฺมาเป็นหลัก คือ ถือว่าในโลกนี้ ชีวท้ังปวง เป็นรูปพระพรหม เพราะอาตฺมาของตน เป็นอังศะ ของปรมาตฺมา (พระพรหม) และดังได้กล่าวแล้วว่า อาตฺมา มีอยู่ในชีวท้ังปวง โดยทานองนี้แหละ ในโลกน้ีถ้าปราศจากพระพรหมย่อมจะไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรมีความเห็นชอบไว้เป็นหลัก และมีการปฏิบัติต่อสิ่งท้ังปวงโดยเสมอภาคกันเพราะว่าทุกสิ่ง ทกุ อยา่ งในโลกนก้ี ็คอื สงิ่ เดยี วกนั นัน่ เอง จะทาการอะไรลงไป จึงควรปฏิบัติโดยถือหลักชฺญาณแลภกฺติไว้ด้วยกัน เป็นเบื้องต้น ชฺญานโยค ชฺาน แปลวา่ ความรู้ ความเห็น ความชอบ ความถกู ต้อง ความวิเวก เปน็ เพราะฉะน้นั ชฺาณโยค ก็คือความเห็นชอบที่เป็นผลมาจากการพิจารณาโดยบริสุทธิ์ใจ หรือการลงมติโดยศุทธพุทธิ คือ พุทธิ หรือความรู้อันบริสุทธิ์ที่ไม่สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่บรรดาชีวทั้งหลาย หากคิดแต่จะสร้างผลประโยชน์ ความดีงามใหแ้ ก่ส่วนรวมเพียงฝ่ายเดียว ในคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู บ่งไว้ว่าผู้ใดท่ีต้องการจะปฏิบัติ เพ่อื “ศุทธพุทธิ” ผู้นนั้ ควรจะปฏบิ ตั ติ ามหลักธรรม ๘ ประการทีเ่ รยี กว่า “อษั ฏางคโยค” ได้แก่ ยม นิยม อาสน ปรฺ าณายาม ปรฺ ตยฺ าหาร ธารณา ธฺยาน และสมาธิ หลักธรรมทง้ั ๘ ประการนั้นมีความหมายดังนี้ ๑. ยม แบ่งออกเป็น ๑๐ อย่าง คือ (๑) พฺรหฺมจรยฺ ได้แก่ ภาวะของพรหมจารี ซงึ่ หมายถงึ ว่าควรสงวนรกั ษานา้ กามอนั เปน็ สาระสาคัญ ของร่างกายไว้ มิให้หล่งั ออกมา คาว่าพรหมจรรยน์ ี้แปลได้อีกนยั หนงึ่ วา่ อนุสรณข์ องพรหมมารคฺ (๒) ทยา ได้แก่ ความเมตตากรุณาต่อชีวท้งั หลาย (๓) กษานติ ไดแ้ ก่ ขนั ติ คอื ความเพียร ความอดกลน้ั หรือความอดทน (๔) ธฺยาน ได้แก่ ความเพง่ เลง็ ให้แนว่ แน่อยู่ท่จี ุดเดยี ว เพราะธรรมดาแล้วจติ ใจที่พะวงั วนเวียน อยเู่ สมอน้ัน ยากที่จะสกดั กนั้ ให้แนว่ แน่อยเู่ ปน็ จดุ เดียวได้เพราะฉะน้ัน ต้องพยายามรวบรวมใหเ้ ขา้ มาเปน็ จดุ เดยี วกนั (๕) สตยฺ ได้แก่ ความจรงิ หรือศุทธมติ คือความบริสุทธิ์ (๖) อกลฺกตา กลฺกตา แปลว่า ความชัว่ หรือความบาป เพราะฉะนั้นอกลฺกตาก็หมายถงึ ความปราศจาก ความชวั่ ไมม่ ีความชัว่ หรือไม่มบี าปดว้ ยประการใด ๆ (๗) อหิงสา ไดแ้ ก่ ความไม่เบียดเบยี น ไม่ฆ่าสตั ว์ ไมฆ่ า่ มนุษย์ตลอดจนกระทง่ั ไมใ่ หค้ วามทุกขเ์ วทนา แก่บรรดาชีวทั้งปวง (๘) อสฺเตย ได้แก่ ไม่ลัก ไม่ขโมย (๙) มาธรุ ย ได้แก่ การปฏบิ ตั ิตามวินัย และเคารพเชอ่ื ฟงั ตามคาสัง่ สอนของบดิ ามารดา ครูบาอาจารย์ และผมู้ อี าวุโสทั้งปวง รวมท้งั รูจ้ กั ทาจติ ใจให้สงบ กล่าวคือ ไมโ่ กรธตอบเมื่อถกู บรภิ าษ สามารถหกั ห้ามกิริยาอันน่าเกลียด มใิ ห้เกิดขน้ึ ได้ทัง้ ทางกายและทางวาจา (๑๐) ทม ได้แก่ การระงับจิตใจ ดว้ ยสานกึ ในเมตตา และมีสติอยู่เสมอ ๒. นิยม ขอ้ ปฏบิ ัติแบง่ ออกไดเ้ ป็น ๑๐ ประการ คอื (๑) สนาน ได้แก่ การอาบน้าชาระรา่ งกายใหส้ ะอาด (๒) เมาน ไดแ้ ก่ ความเงยี บ หมายถงึ มคู ภฺ าพ (ความใบ)้ หรือนโิ รธวาจา(การไมอ่ อกเสียง) จะออกเสียง ก็ให้ออกเสยี งอย่างปยิ วาจา คอื ให้มคี วามสารวมในการออกเสียง
-๘- (๓) อุปวาส ได้แก่ การอดอาหาร คือให้ร้จู ักอดกล้นั ต่อความหวิ ต่าง ๆ โดยตง้ั กติกาให้แก่ตนเองไว้ เปน็ ตน้ ว่า จะอดอาหารสัปดาหล์ ะ ๑ วนั หรือจะอดอาหารทกุ วนั อาทติ ย์ เป็นตน้ (๔) ชยา ได้แก่ การเคารพบูชา เช่น ควรเคารพบูชามารดา บิดา ครูบาอาจารย์ พระธรรม คัมภีร์พระเวท พระพรหม (ปรมาตมฺ า) หรืออะไรอนื่ ทค่ี วรเคารพด้วยทัง้ หมด (๕) สวาธยฺ าย ได้แก่ การอ่าน หรือการฟงั พระเวท และคัมภีรต์ า่ ง ๆ เพ่ือเป็นการเพิ่มพนู ความรู้ และเพือ่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจแจม่ แจง้ ยิ่งขึ้น (๖) อุปสถนคิ รฺ ห ได้แก่ การเวน้ จากความประพฤตผิ ิดทางกามารมณ์ (๗) คุรุสุศฺรูษา ได้แก่ การปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ หรือศาสนา ด้วยความเชื่อถือและคารวะ ด้วยความจงรกั ภกั ดี (๘) เศาจ ได้แก่ ความบรสิ ุทธ์ิ ทาตนเองใหม้ คี วามบรสิ ทุ ธ์ทิ งั้ จิตใจและรา่ งกาย (๙) อโกรฺธ ไดแ้ ก่ความไม่โกรธ ตอ้ งมีขันติและโสรจั จะ (๑๐) อปรมาท ได้แก่ ความไม่ประมาท ทั้งทางกาย วาจา และใจ ๑. อาสน แปลตามตัวว่า น่ัง ทนี่ ั่ง หรือวิธนี งั่ ต่างๆ ท่าทางทีน่ ่ังเป็นอย่างไรก็มชี ่อื เรยี กต่างๆ เช่น ท่าภัทราสน สุขาสน ปัทมาสน ภุชงคาสน วกาสน วีราสน ศีรษาสน เป็นต้น แต่ละอาสนก็มีประโยชน์ ในทางสมาธิ และมปี ระโยชน์ตอ่ ร่างกายดว้ ย ๒.ปราณายาม หมายถึง การระบายลมหายใจอย่างวิเศษทางจมูกด้วยการระงับ หรือบังคับลมปราณ (ลมแหง่ การหายใจ) กล่าวคือเมื่อหายใจเข้าไปลมปราณที่หายใจเข้าไปน่ันเรียกว่า “ปรูก” ครัน้ หายในเขา้ ไปเพิ่มแล้วก็กักก้ันลมภายในเสีย เวลาที่กักกั้นลมน้ีในขณะเดียวกันก็คอยเพิ่มการหายใจให้มาก ข้นึ แต่ให้สะดวกขึ้นด้วย การกนั้ ลมเชน่ นเ้ี รียกว่า “กมุ ภก” สว่ นการระบายลมหายใจออกเรยี กวา่ “เรจก” ๓.ปรตฺยาหาร หมายถึง การสกัดจิต หรือการระงับจิต ได้แก่การบังคับมิให้จิตใจ มีความนึกคดิ ในสงิ่ ท่ไี ม่ตอ้ งการคิด กลา่ วคือ การบงั คับข่มจิตใจของตนเอง หรอื อีกนยั หน่ึงการระงับองเคนทรยี ์ หรอื อนิ ทรยิ ารถของตนเอง ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ีตอ้ งใช้กาลังใจอย่างมากมาย ๔. ธารณา หมายถึง การทรงไว้ การถอื ไว้ การมีไว้ จะแปลวา่ ความม่ันใจ ความต้งั ใจ หรือการทา จิตใจใหต้ รงกับส่งิ ท่ีต้องการคิด หรอื ใหเ้ ปน็ ไปตามทีค่ ิดกไ็ ด้ ๕. ธฺยาน คือการทาจติ ใจให้แน่วแนอ่ ยู่เฉพาะท่ีจุดเดยี วกัน และเปน็ เวลานานเท่าทต่ี ้องการได้ ๖. สมาธิ ได้แก่การทาให้จิตใจและสมองคือความรู้ ความเฉลียวฉลาดมาสมานกันเข้า เป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ด้วยการเพ่งมนัสพิจารณาสภาพแห่งความเป็นจริง (สัตยชาติ) ของปราณหรืออศวะ เมอื่ ผ้ใู ดก็ตามไดท้ าจติ ใจให้ถึงสภาพเช่นน้ีแล้วก็แสดงว่าผู้น้ันมิได้มิเจตนา หรือไม่มีสติปัญญาทางภายนอกหลงเหลือ อยู่แล้ว จะรู้สึกก็แต่ความปิติสุขภายในจิตใจของตนเองเท่าน้ัน แม้ความหิวความกระหาย หรือความทุกขเวทนาใดๆ เขากจ็ ะไม่มีความรสู้ ึกเลย คตหิ รือหนทางไปอนั นี้เองท่เี รียกว่า “ปรมคติ” คือหนทางอนั เลอเลิศหรือเรยี กอกี ชื่อหน่ึงวา่ “ปรมานนทฺ ” หรือ “พรหมานันท”์ ก็ได้ ในภาพเช่นนีจ้ ะมีการพจิ ารณาและการลงความเห็นเกิดขึ้น การพิจารณาน้ันก็ย่อมจะ เป็นประโยชน์แก่ผู้สาธก คือ ผู้ที่ได้กระทาลุล่วงหรือผู้กระทาสาเร็จและแก่ผู้อ่ืนโดยทั่วไปด้วย และเพราะเหตุน้ีเอง ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู จึงได้ส่ังสอนว่าคนเราควรทาจิตใจให้บริสุทธ์ิด้วยอัษฎางคโยคน้ีแล้วใช้ความพิจารณา
-๙- หรอื ไตรต่ รองปฏิบตั ดิ ูด้วย โดยถือภกฺติโยคเป็นเคร่ืองสนับสนนุ อกี ช้ันหนง่ึ ภกฺติโยค คือ ความจงรักภักดี หรือความต้ังใจรับใช้ เม่ือมารวมกับคาว่าโยค เป็นภกฺติโยค จึงหมายถึงการบาเรอรับใช้กรรมด้วยความมั่นใจ ความจงรักภักดีต่อการกระทาท่ีกาลังปฏิบัติรับผิดชอบอยู่ กล่าวได้ว่า ภกฺตนี้เองเป็นเหตุให้พบปะกล่าวคือมีทั้งความสนใจและภควานกับภกฺต กล่าวคือระหว่างพระผู้เป็นเจ้า กบั สาวกผภู้ ักดี ภควาน คือ พระปรมาตมัน หมายถึงชวี ทั้งหลาย เพราะสรรพส่ิงทุกอย่างทุกประการล้วนเป็น “รปู ” ของพระปรมาตมันนั้นเอง ส่วนภกฺตคือชีว เฉพาะท่ีประพฤติปฏิบัติภกฺติต่อภกฺติภควาน เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ อีกอย่างหน่ึงว่าผู้ใดมีความปรารถนาจะได้ประสบพบพระปรมาตมันผู้นั้นควรจะปฏิบัติตนโดยการให้ความเห็น ใหค้ าแนะนาปรกึ ษา ตลอดจนให้ความช่วยเหลือในทางทดี่ ีงามแกช่ ีวทง้ั ปวง ภกตฺ โิ ยค จาแนกการบาเรอรบั ใช้ออกได้เป็น ๙ ประการ คือ ๑. ศรุ วณ ได้แก่ การฟงั เปน็ ธรรมดาสาหรับคนเรา ถา้ หากมคี วามประสงค์จะไดท้ ราบเร่ืองอันเปน็ ความรู้ เกยี่ วกับสิ่งใดส่ิงหน่งึ แล้ว กค็ วรท่จี ะพยายามฟังเกี่ยวกับส่ิงน้ัน หรือเรื่องนั้นให้มาก ๆ ไว้ การศึกษาหรือการเล่าเรียน ก็สรุปรวมอยใู่ นขอ้ การฟงั นีด้ ้วยเหมือนกัน ๒. กรี ตน เป็นการยอ่ ยในลาดับตอ่ มา คอื หลงั จากทไ่ี ดฟ้ ังมาแลว้ ก็ควรจะบอกกลา่ วหรือประกาศเกียรติ ให้เป็นท่ีปรากฏท่ัวไป หรือมิฉะนั้นก็พิจารณาตรวจสอบอภิปรายหาข้อยุติในส่ิงที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว ให้เป็นทเี่ ข้าใจกนั อยา่ งแจม่ แจ้งโดยปราศจากข้อสงสัย ๓. สฺมาณ ได้แก่ การหมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองในส่ิงที่ได้ฟังมาแล้วและฝึกฝนจดจาไว้โดยใช้ จนิ ตนาการบอ่ ย ๆ เพ่อื ใหค้ วามรคู้ วามคิดนั้นแตกฉานมากยิ่งขึน้ ๔. จรณเสวา หรือบางทีเรียกส้ัน ๆ ว่า “เสวา” จรณ แปลว่า เท้าหรือฝ่าเท้า เสวา แปลวา่ การรบั ใช้ เม่ือรวม ๒ คาเข้าด้วยกันแล้ว หมายถึงประพฤติปฏิบัติตามคาสั่งสอนโดยอยู่ที่ใกล้ ๆ ฝ่าเท้า หรืออยู่แทบเท้า ของพระเปน็ เจ้า ๕. ปชู า คือ การทาสักการบชู าต่อสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ เชน่ พระปรมาตมัน (พระพรหม) หรือกระทาการใด ๆ ก็ได้ทีไ่ ดต้ ั้งใจไว้แลว้ ดว้ ยความนับถือและเคารพบูชา ๖. วนทฺ นา คือ การนอบน้อมกราบไหว้ ๗. ทาสย คือ ภาวะแห่งความเป็นทาส คนเราควรถือว่าตนเป็นทาสของพระเป็นเจ้าเสมอ เพราะฉะนั้น ก็ควรปฏิบัติตามคาสั่งสอนของพระปรมาตมันไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลขนาดไหนก็ตาม มิบังควรจะให้ ขดั คาสง่ั สอนของพระเป็นเจ้าแมแ้ ตป่ ระการหน่ึงประการใด ๘. สขฺย คือ ภาวะแห่งความเป็นเพื่อนให้ถือว่าพระปรมาตมันเป็นมิตรที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราควรปฏิบัติต่อพระพรหมเสมือนเป็นมิตรที่ดี และเป็นเพ่ือนท่ีอยู่ใกล้ชิดตัวเราตลอดเวลา ด้วยเหตุที่ พระปรมาตมันอยู่ใกล้ชิดตัวเราตลอดเวลานี่เอง เราจึงควรพยายามกระทาแต่ความดีเท่าน้ัน เม่ือใดที่เราทาความช่ัว เม่ือนั้นก็อาจเป็นสาเหตุให้มิตรท่ีดีของเราคือ พระพรหมต้องจากเราไปได้ และใครจะเชื่อได้ว่าในอนาคต เราอาจจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์อื่นในภพอื่น แล้วเราจะมีอาสามาปฏิบัติตามหลักธรรมดังกล่าวนี้ได้หรือไม่ ในกรณีดังกลา่ วจึงตอ้ งตงั้ อยใู่ นความไม่ประมาทเสมอ
- ๑๐ - ๙. อาตมสมรปณ คอื ภาวะอันมีแลว้ หรอื เจรญิ แลว้ เป็นของตนเอง ไดแ้ ก่ กายของตน ทรัพย์สมบตั ิ ของตน ลูกหลานของตน เป็นต้น สิ่งทั้งหลายนี้ถือว่าเป็นพระปรมาตมัน พระปรมาตมันท่านย่อมมีสิทธิ์เต็มท่ี เม่ือใดที่ท่านตอ้ งการจะเอาคนื ก็ยอมคืนใหท้ ่านไปได้ หรือหากท่านจะยกให้แก่ผู้อ่ืนท่านก็ยอมยกให้ได้ สาหรับตัวเรา ก็ไม่ต้องวิตกหรือเศร้าหมอง หากควรจะแสดงความยินดีที่ท่านได้โปรดช่วยให้ภาระของเราลดน้อยลงไป ใหก้ ระทาความแยบคายไวใ้ นใจว่าส่ิงของท้งั หมดเป็นของพระปรมาตมนั ไมถ่ ือเปน็ ของเราเลยแมส้ ักอยา่ งเดยี ว กรรมท่ีบุคคลได้กระทาไป โดยมีทั้งชฺาณและภกฺติเข้าช่วยน้ัน ล้วนแต่เป็นกรรมดีทั้งสิ้น แต่ในคัมภีร์พระเวท คาว่า ชฺาน มีความหมายถึงทั้งชฺานและวิชฺานรวมเข้าด้วยกัน ชฺาน หมายถึงความรู้ทางปรัช ญา ส่วนวิชฺาน หมายถึงความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติทางกรรมโยคถ้าจะให้ได้ผลดีจริง ๆ ควรใช้ทั้งชฺาน วิชฺาน และภกฺติ รวมเข้าด้วยกันท้ัง ๓ ประการ จะขาดอันใดอันหนึ่งไปเสียมิได้ หากจะใช้อุปมาอุปไมย สมมุติว่าเรา จะต้องรักษาคนเจ็บสักคนหนึ่ง ให้หายปลอดภัยอย่างเรียบร้อยดี ในข้ันแรกเราก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับโรค หรือเกี่ยวกับชีววิทยาและรู้ตลอดแม้จนกระท่ังวิธีปฏิบัติต่อตัวคนเจ็บผู้น้ัน น่ีแหละคือ ชฺาน ส่วนขั้นต่อไป เราก็ต้องมีเครื่องอุปกรณ์เพื่อตรวจโรค และมียาเพ่ือรักษาโรคด้วยจะฉีดหรือจะกินก็แล้วแต่ความเหมาะสม ข้ันที่สองน้ีอุปมาได้ดังวิชฺาน คร้ันในขั้นสุดท้ายเราก็ควรมีคนพยาบาลหรือคนรับใช้ที่มีความเห็นอกเห็นใจ ต่อผู้ป่วย คนจาพวกน้ีจะเป็นนายแพทย์ผู้บริการทางโรงพยาบาลหรือเป็นพ่ีน้องกันมาอยู่ช่วยดูแลก็สุดแล้วแต่ อุปมาได้ดังภกฺติ เช่นนี้จึงจะบริบูรณ์ หากขาดไปเพียงประการใดประการหน่ึง ก็อาจทาให้ไม่ได้ประโยชน์ ตามความประสงค์ หรอื ได้ประโยชน์ไมเ่ ตม็ ที่ ดว้ ยเหตนุ ้ี จึงกล่าวเปน็ หลักได้วา่ การกระทาทกุ สิง่ ทุกอย่าง ถ้าจะให้ไดผ้ ลดสี าเรจ็ ตามความประสงคแ์ ลว้ ก็ควรต้องประกอบพร้อมด้วยองค์ ๓ นี้ คือ ชฺาน วิชฺาน และภกฺติ หากมีแต่ชฺาน ส่วนวิชฺานและภกฺติ ไมม่ ชี ฺานนั้นกเ็ พยี งเป็นไปเพ่อื การเจรจาพดู คยุ กันเลน่ ๆ เทา่ นนั้ หรือถา้ มแี ต่วชิ ฺาน ส่วนชฺานและภกฺติไม่มี วิชฺาน ก็รังแต่จะกลายเป็นเครื่องยังความพินาศหรือภยานฺกให้เกิดขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าหากจะมีแต่ภกฺติ ส่วนชฺาน และวิชาฺ นไม่มี ภกตฺ ินน้ั ก็จะตอ้ งกลายเปน็ อมั พาต ทาอะไรไมไ่ ดแ้ มแ้ ตจ่ ะเคล่อื นไหว จะทาไดก้ แ็ คก่ ารนั่งร้องไห้เท่านนั้ แต่โลกน้ียังมีอะไรแปลกประหลาดมหัศจรรย์อยู่มากเหมือนกัน บางทีการนั่งร้องไห้นี้อาจได้ผลอย่างท่ีไม่มีใคร คาดคิดก็เป็นได้ น่ันเป็นเพราะทฤษฎีแห่งอวตารวาท คือการทุจริตของเทพดาหรือการกาเนิดมาในร่างของพระวิษณุ อันเป็นเร่ืองเกี่ยวกับเทพเจ้า ยังมีอย่แู ละเป็นที่เช่ือถือกันอยู่อย่างแน่นแฟ้นว่าสามารถช่วยปกปักรักษาผู้ทุพพลภาพได้ มนษุ ยชาตจิ ะพบความสาเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ ถ้าสามารถนาเอาชฺาน วชิ ฺาน และภกฺติ มาใชใ้ นชีวิตจริง ท่านจะพ้นจากความเศร้าใจ และความยากลาบากนานัปการ การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์ ก็จะมี แต่ความเจริญก้าวหน้าทั้งในส่วนตัว ครอบครัว สมาคมหรือสังคม และกว้างขวางออกไปตลอดถึงระหว่าง ประเทศชาติ และทัว่ โลกด้วย เทพเจา้ ของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู มเี ทพเจ้าเปน็ จานวนมากและเพิ่มข้ึนเร่ือย ๆ เพราะศาสนิกชนมอี ิสรภาพ เสรีเตม็ ท่ีในการนบั ถอื และการจนิ ตนาการทางเทวรปู แต่ท้ิงหลักที่ว่า เทพเจ้าที่เราได้รู้แล้วหรือจะได้รู้ในอนาคต เป็นสว่ นของพระปรมาตมัน จึงถอื กนั ว่ามีเอกภาพในพหภุ าพคือมีเทพเจ้าองค์เดียวในรูปร่างต่าง ๆ กัน แต่ละสถานท่ี มีเทพเจ้าแต่ละองค์ดูไม่ออกว่าองค์ไหนสาคัญกว่าหรือสูงกว่าแต่ละกลุ่มนับถือแต่ละองค์ บางทีในครอบครัวเดียวกัน แตล่ ะคนในครอบครวั กน็ บั ถอื เทพเจา้ ตา่ ง ๆ กัน
- ๑๑ - สัญลักษณ์ทางศาสนา สัญลักษณ์สาคญั ที่สุดคือ ตวั อกั ษรที่อ่านวา่ “โอม” มาจาก อ + อุ + มะ เปน็ แทนพระตรมี ูรตเี ทพ คือ อ แทนพระนารายณ์หรือพระวิษณุ อุ แทนพระพรหมา ม แทนพระศิวะหรือพระอิศวร เม่ือรวมกันเข้าเป็น อักษรเดียวกลายเป็นอักษร “โอม”แทนพระปรมาตมัน พระเจ้าสูงสุด ไม่มีตัวตน สัญลักษณ์น้ีทุกนิกาย ทุกลัทธิ ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ตอ้ งใชเ้ ปน็ ประจา ตรีมรู ติ เทพเจ้าสามองคใ์ นร่างเดียวกนั พระศวิ ะหรอื พระอศิ วร เทพเจ้าผูท้ าลาย พระวิษณหุ รอื พระนารายณ์เทพเจ้าผู้รกั ษาโลก พระพรหมเทพเจา้ ผู้สร้างโลกและสรรพส่งิ กับพระลกั ษมี
- ๑๒ - ขอ้ ปฏบิ ัติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คนท่ีจะเรียกวา่ เป็นผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู อย่างแท้จริงต้องทาหน้าทแ่ี ละมีความรับผิดชอบ ตามขนั้ ตอนของชีวิตท่ีเรียกว่า “อาศรม” ที่คัมภีร์ทางศาสนากาหนดไว้ นอกเหนือจากหน้าท่ีและความรับผิดชอบ ตามอาชพี ปกตธิ รรมดาของตนแลว้ จะตอ้ งทาหนา้ ท่ี ๗ ข้อต่อไปนี้ ๑. บูชาเทพประจาครอบครัว (อิษฏเทวดา) โดยใชบ้ ทสวดบชู าที่ใช้ประจาทุกวัน ทาสมาธิ ไปไหวพ้ ระ ที่เทวาลัย เดินทางไปแสวงบุญยังสถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิ การกระทาอย่างน้ีมีความสาคัญเพราะจะช่วยให้ศาสนิก มใี จจดจ่อกบั พระเจ้าตลอดเวลาไม่ว่าจะทากจิ กรรมใด ๆ ๒. ศึกษาคมั ภีร์ทางศาสนา แล้วดาเนินชีวิตสว่ นตัวและชวี ติ ที่เกยี่ วกบั สังคมภายนอกใหเ้ ป็นไปตามคาสอน ของคมั ภรี ท์ างศาสนา จดจาให้ได้เสมอว่ามนุษย์มีจุดมุ่งหมายของชีวิต ๔ ประการ มีหน้ีที่ต้องชาระ ๓ ประการ และมีช่วงชีวิตซึ่งเรียกว่า อาศรม ๔ ช่วง ต้องใช้หลักศีลธรรมทางศาสนากากับการดาเนินไปสู่จุดมุ่งหมาย ของชวี ิต ๔ ประการ คือ ธรรมะ อรรถะ กามะ และโมกษะ ๓. เช่อื ในคาสอนทีส่ ืบทอดกนั ต่อ ๆ มา ๔. เช่ือว่าเทพจานวนหลายองค์ท้ังท่ีเป็นบุรุษและสตรีที่แท้จริงคือรูปหลายรูปของพระเป็นเจ้า สงู สดุ องค์เดียว และเชือ่ ว่าแนวทางปฏิบัติทางศาสนาท่แี ตกต่างกันแต่กม็ ุ่งไปยงั จดุ หมายเดียวกนั คอื พระเป็นเจ้า สงู สดุ องคเ์ ดียว เหมือนกบั เส้นรัศมขี องวงกลมท่ที ุกเส้นม่งุ ไปทจ่ี ุดศูนย์กลางจดุ เดียว ๕. ให้ความเคารพนับถือมุนี ผู้บรรลุธรรม นักพรต ทั้งที่เป็นบุรุษและสตรี ให้ความเคารพนับถือ ครู พอ่ แม่ และคนสงู อายุ ๖. ให้ความช่วยเหลือคนท่ีขาดแคลนส่ิงของจาเป็นในชีวิตคนพิการท่ีช่วยตัวเองไม่ได้ คนป่วย คนยากจน คนที่ดอ้ ยโอกาส ๗. ตอ้ นรับแขกด้วยความรกั ความนบั ถอื และพร้อมที่จะบรกิ ารใหค้ วามสะดวก ผ้นู บั ถือศาสนาทเ่ี ครง่ จะตอ้ งทากจิ ทางศาสนาประจาวันทีเ่ รียกว่า “ปัญจมหายชั ญะ” คือการบูชา ท่ียง่ิ ใหญ่ ๕ ประการ ได้แก่ ๑. พรหมยัชญะ จะต้องท่องคัมภีร์พระเวทและคัมภีร์ทางศาสนาอื่น ๆ ทุกวัน การปฏิบัติเช่นน้ี จะช่วยให้ไม่ลืมส่งิ ที่ร่าเรียนมาช่วงเป็นพรหมจารนิ (ชว่ งที่เปน็ นักเรยี น) เป็นการรักษาความรู้เก่าและเพิ่มความรู้ใหม่ ๒. ปติ ฤยัชญะ นึกถึงบรรพบุรุษผ้ลู ว่ งลับไปแล้วทุกวัน เพื่อให้คนเราแต่ละคนรวู้ ่าตนเองมีหน้าท่รี ักษา ทานบุ ารงุ และสบื ต่อมรดกทางวัฒนธรรมทบี่ รรพบุรษุ ได้สรา้ งไว้ ๓. เทวยัชญะ ระลึกถึงพระเปน็ เจา้ โดยการสวดมนต์ทกุ วนั และทาสมาธิ ๔. ภูตยัชญะ ใหอ้ าหารแก่คนทีห่ วิ โหย ข้อนี้ม่งุ ที่จะใหท้ กุ คนพัฒนาความมีน้าใจในการที่จะแบ่งปันผอู้ น่ื ธรรมข้อนเ้ี ปน็ ธรรมท่สี งู สดุ สาหรบั ทกุ อาศรม หรอื ขน้ั ตอนของการดาเนนิ ชวี ิต ภูตยัชญะ รวมการเอาใจใส่ดูแล สัตวแ์ ละพชื ไวด้ ว้ ย ถ้าปฏบิ ตั ิขอ้ นี้ได้ทุกวัน ก็จะเป็นการรักษาสงิ่ แวดลอ้ มได้เป็นอย่างดี ๕. นรยัชญะ ให้ความรกั ความเคารพ นบั ถือแขกผู้มาเยอื น ข้อนี้ถือวา่ เป็นหลักปฏบิ ตั ิที่ผูน้ ับถอื ศาสนาฮนิ ดูและเป็นเจ้าของบ้านจะต้องทาคือจะต้องให้การต้อนรบั แขกผู้มาเยือนอย่างดีที่สุด ถือว่าแขกผู้มาเยือน เปรยี บเหมอื นเทพ
- ๑๓ - ขนบธรรมเนยี มบางอยา่ งของชาวฮนิ ดู นมสั การ เปน็ ประเพณีการทักทายแบบฮินดเู ม่ือพบปะกัน เป็นการสะท้อนให้เหน็ ความเชอื่ ท่ีอยู่ลึก ๆ ในใจของชาวฮินดู ในทัศนะของผู้นับถือศาสนาฮินดู พรหม (พระเป็นเจ้า) การที่เราประนมมือไหว้ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าอาตมันได้พบตนเองในส่ิงมีชีวิตอ่ืน การประนมมือไหว้เป็นการแสดงออกถึง ความรู้สึกว่าตัวเราเองไม่ได้สูงส่งไปกว่าผู้หนึ่งผู้ใด ดังนั้นเม่ือผู้ท่ีนับถือศาสนาฮินดูประนมมือไหว้ผู้หน่ึงผู้ใด พร้อมกับกล่าวคาว่า “นมัสการแสดงว่าเขามีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สูงส่งไปกว่าผู้ที่เขาไหว้ แต่ที่จริงแล้ว เขาต้องการจะกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระเป็นเจ้าในตัวท่าน ข้าพเจ้ารักท่านและเคารพท่าน เนื่องจากว่าไม่มใี ครเหมอื นท่านอีกแลว้ ” ๑. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ความรู้ศาสนาเบื้องต้น. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พมิ พ์ครั้งท่ี ๒, ๒๕๕๗. ๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พมิ พ์คร้ังท่ี ๓, ๒๕๖๑. ๓. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. กรมการศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชมุ นุม สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, ๒๕๕๑. ๔. กรมการศาสนา และอนุกรรมการสง่ เสริมกิจการศาสนาและศาสนกิ สมั พันธ์ คณะกรรมาธกิ าร การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒสิ ภา. วิถชี วี ิต ๕ ศาสนิกในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ราไทยเพรส จากัด. พิมพ์ครัง้ ท่ี ๕, ๒๕๖๑.
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: