จงั หวัดสตูล ส�ำนกั งานทรัพยากรเเละสิ่งแวดล้อม จงั หวัดสตูล แผนที่ สตูลมรดกทางวฒั นธรรมจงั หวัด โครงการจดั ท�ำแผนแมบ่ ทและผงั แม่บทการอนรุ กั ษ์และพัฒนาบริเวณเมอื งเก่าสตูล
ขอ้ มูลบรรณานุกรม โครงการจัดท�ำแผนแม่บทและผงั แม่บทการอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาบริเวณเมืองเก่าสตูล แผนท่มี รดกทางวัฒนธรรมเมอื งเกา่ สตลู ผู้จดั ทำ� สำ� นักงานทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมจงั หวัดสตูล 145 ถนนสตูลธานี ตำ� บลพิมาน อำ� เภอเมอื ง จังหวัดสตูล 91000 โทรศัพท์ 074 711 039 โทรสาร 074 721 391 ผู้ศกึ ษา บรษิ ัท เทสโก้ จ�ำกัด 21/11-14 ซอยสุขมุ วทิ 18 ถนนสขุ ุมวทิ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 โทรศพั ท์ 0 2258 1320 โทรสาร 0 2258 1313 การอ้างองิ สำ� นักงานทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มจงั หวดั สตลู , 2562 คำ� สืบค้น แผนทีม่ รดกทางวัฒนธรรมเมืองเกา่ สตลู พิมพเ์ มื่อ ธันวาคม 2562 จำ� นวนพิมพ์ 100 เล่ม จ�ำนวนหนา้ 38 หนา้ ผูพ้ มิ พ ์ ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด มีน เซอร์วิส ซพั พลาย (สำ� นกั งานใหญ่) 29/97 หมู่ 3 ถนนสุวนิ ทวงศ์ แขวงล�ำผกั ชี เขตหนองจอกก กรุงเทพฯ 10530 โทรศพั ท์ 0 9227 6417 7 สงวนลขิ สิทธิ์ในประเทศไทย ตาม พ.ร.บ. ลขิ สิทธ์ิ พ.ศ. 2537 โดย จงั หวัดสตลู เเละสำ� นักงานทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มจงั หวดั สตลู พ.ศ. 2562
ค�ำนำ� เมอื งเกา่ สตลู ในอดตี เปน็ ทา่ เรอื เชอื่ มตอ่ ไปยงั ทะเลอนั ดามนั มเีรอื เดนิ สนิ คา้ ระหวา่ งสงิ คโปร์ ปนี งั พมา่ มาใชเ้ปน็ จดุ ขนถา่ ยสนิ คา้ ทสี่ ำ� คญั ทำ� ให้ เมอื งสตลู ไดร้ บั การขนานนามวา่ “นครสี โตยมำ� บงั สครา” แปลวา่ “สตลู เมอื งของสมทุ รเทวา” ตอ่ มามคี นจนี อพยพเขา้ มาประกอบอาชพี คา้ ขาย เป็นหลักแหล่งจนเกดิ พัฒนาการเป็นเมืองข้ึน และมีพฒั นาการของเมอื งผ่านยุคสมยั ตา่ ง ๆ มาจนถงึ ปัจจบุ ัน มรดกทางวฒั นธรรมของเมอื งเกา่ สตลู ทสี่ ำ� คญั คอื พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตจิ งั หวดั สตลู (คฤหาสนก์ เู ดน็ ) ประกอบกบั ศาสนสถาน ท่สี ะท้อนความเปน็ พหวุ ฒั นธรรม ไดแ้ ก่ วัดชนาธปิ เฉลิม (วัดม�ำบงั ) มสั ยิดม�ำบงั ศาลเจ้าโป้เจเ้ ก้ง และศาลเจ้าปงึ เถา่ กง นอกจากน้ี ยังมี อาคารทีม่ คี ุณคา่ ทางประวตั ศิ าสตร์และสถาปัตยกรรม เช่น อาคารชิโน-โปรตกุ สี รมิ ถนนบรุ ีวานิชและถนนสมันตประดิษฐบ์ ้านขุนพนู พานชิ เรอื นมลายอู านะตกี าฮ์ บ้านพระยาสมนั ตรัฐบุรินทรบ์ า้ นตระกูลบินต�ำมะหงง บ้านหลงั ปเู ต๊ะเรอื นแถวไม้และบ้านเก่ารมิ ถนนสตลู ธานีและรมิ ถนน ศุลกานกุ ลู เปน็ ต้น สว่ นมรดกทางวฒั นธรรมท่ีจบั ต้องไม่ได้ท่เี ปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะ เชน่ การใชภ้ าษาถน่ิ ใตแ้ ละภาษาถนิ่ มลายแู ละศลิ ปะการแสดง ทส่ี ำ� คญั และเรมิ่ หาชมไดย้ าก เชน่ รองเงง็ ดาระ ลเิ กปา่ บสู ุ และสลิ ะ ซงึ่ มรดกทางวฒั นธรรมท้งั หลายนี้ ลว้ นมคี วามเปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ทส่ี �ำคญั ของชาติทีค่ วรรว่ มกันอนรุ กั ษแ์ ละพัฒนาให้ย่ังยืนตอ่ ไป จากคณุ คา่ ของเมอื งเกา่ สตลู มาสกู่ ารจดั ทำ� แผนแมบ่ ทเพอ่ื เปน็ กรอบแนวทางในการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาเมอื งเกา่ สตลู อยา่ งมสี ว่ นรว่ ม ของทกุ ภาคสว่ น ประเดน็ สำ� คญั ทต่ี อ้ งดำ� เนนิ การขบั เคลอื่ น คอื การสรา้ งการรบั รแู้ ละสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มในการบรหิ ารจดั การเมอื งเกา่ ของ ทกุ ภาคสว่ น อนั เปน็ รากฐานการจดั การเมอื งเกา่ อยา่ งยง่ั ยนื สำ� หรบั การอนรุ กั ษแ์ ละสง่ เสรมิ คณุ คา่ เมอื งเกา่ สตลู เพอ่ื เปน็ แหลง่ มรดกทางวฒั นธรรม ของชาติ จ�ำเป็นต้องครอบคลุมทั้งการสงวนและคุ้มครองแหล่งโบราณสถานการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งหรืออาคารท่ีมีคุณค่าทั้งทาง ประวัติศาสตร์ คุณค่าเฉพาะต่อชุมชน คุณค่าทางศิลปะและสถาปัตยกรรม และการฟื้นฟูสืบสานวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เปน็ อตั ลกั ษณ์ เฉพาะทส่ี ะทอ้ นความเปน็ พหวุ ฒั นธรรมอนั โดดเดน่ ของเมอื งเกา่ สตลู นน่ั เอง ทง้ั นี้ ควรตอ้ งควบคกู่ บั การบรหิ ารจดั การเมอื งและสภาพแวดลอ้ ม ทยี่ งั่ ยืน ท้ังด้านกายภาพโครงสร้างพ้ืนฐานของเมืองเก่าเชิงอนรุ กั ษแ์ ละรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละคณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ มของเมอื งเกา่ ใหม้ ี คณุ ภาพดี ซง่ึ จะชว่ ยเสรมิ สรา้ งคณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ขี องชาวเมอื งเกา่ สตลู ทำ� ใหเ้ มอื งสตลู เปน็ เมอื งนา่ อยู่ นา่ เทย่ี ว ยงั เปน็ การพฒั นาศกั ยภาพ และคณุ คา่ ดา้ นการท่องเท่ียวของย่านเมืองเก่าเช่ือมโยงการท่องเที่ยวกับเส้นทางหลัก เช่น การท่องเท่ียวทางธรรมชาติ การท่องเทยี่ ว ทางทะเลและการท่องเที่ยวเรียนรู้อุทยานธรณีโลกสตู โดยภาพรวมของกรอบในการด�ำเนินการนี้ จะสามารถเกิดรูปธรรมได้ด้วยการ ขับเคลอ่ื นผา่ นแผนงานและโครงการตา่ ง ๆ ภายใตแ้ ผนแมบ่ ทและผงั แมบ่ ทการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาเมอื งเกา่ สตลู โดยกำ� หนดวสิ ยั ทศั นว์ า่ “สรา้ ง การมสี ว่ นรว่ มทกุ ภาคี อนรุ กั ษว์ ถิ แี ละคณุ คา่ เมอื งเกา่ สบื สานเรอื่ งราวพหวุ ฒั นธรรม พฒั นาและกา้ วนำ� สเู่มอื งนา่ อยอู่ ยา่ งยง่ั ยนื ” สำ� นักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจงั หวัดสตูล ธันวาคม 2562
กติ ติกรรมประะกาศ ตลอดชว่ งระยะเวลาดำ� เนินการศกึ ษาของโครงการ ทค่ี รอบคลมุ การศึกษา คน้ ควา้ รวบรวม วิเคราะห์ วจิ ยั ทงั้ ดา้ นเอกสารวชิ าการ และ ด�ำเนินการในภาคสนาม คณะผู้ศึกษาให้ความส�ำคัญกับการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ท่ีจะเข้ามาร่วมกันวิเคราะห์และประเมิน คุณลกั ษณะ คุณค่าทมี่ คี วามสำ� คัญมเี อกลักษณโ์ ดดเดน่ ของพื้นทีศ่ ึกษา และศักยภาพของเมืองเกา่ ซ่งึ น�ำมาจัดท�ำแผนท่มี รดกทางวฒั นธรรม เมืองเก่าสตูล ซึ่งเป็นสาระส�ำคัญประกอบการจัดท�ำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าสตูลน้ี ตลอดการด�ำเนินงาน ดงั กลา่ ว กระบวนการมสี ว่ นร่วมของทุกภาคีทเี่ กยี่ วข้องมีความส�ำคัญเป็นอย่างยง่ิ ในการท�ำใหผ้ ลการศกึ ษา รวมทั้งแผนแม่บทและผงั แม่บทเป็น ไปอยา่ งถูกต้อง สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน การก�ำหนดแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเป็นไปตามความต้องการของคนในพื้นที่และ การนำ� แผนไปสู่การปฏิบัติสามารถเกิดเป็นรูปธรรมเม่ือมกี ารบรู ณาการกับแผนงานและโครงการของหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ กลา่ วโดยรวม คอื แผนแมบ่ ทและผงั แมบ่ ทการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาบรเิ วณเมอื งเกา่ สตลู ไดร้ บั ความรว่ มมอื และการสนบั สนนุ อยา่ งดยี ง่ิ จากทกุ ภาคสว่ น ผา่ นกจิ กรรม ตา่ ง ๆ ในการศึกษา ทั้งตัวแทนภาครฐั ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชารฐั ปราชญ์ชาวบา้ น ผู้น�ำศาสนา ผปู้ ระกอบการ และผูท้ ี่เขา้ รว่ ม กิจกรรมทุกทา่ น คณะผู้ศึกษา ขอขอบคุณจังหวัดสตูล โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านผู้อ�ำนวยการส�ำนักงาน ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มจงั หวดั สตลู ทไี่ ดใ้ หเ้ กยี รตเิ ปน็ ประธานการประชมุ สมั มนาและการประชมุ คณะอนกุ รรมการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาเมอื ง เก่าสตูลทุกคร้ัง และได้ให้ข้อคิดเห็นที่มีคุณค่ายิ่ง ขอขอบคุณอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าสตูลทุกท่าน ที่ได้ รว่ มกำ� กบั การศึกษาทางวิชาการและใหแ้ งค่ ิด มุมมอง และช่วยกลัน่ กรองการศึกษาใหม้ ีความเหมาะสมในการน�ำไปสู่การปฏบิ ตั ิ และคณะกรรมการ ตรวจรับฯ งาน พรอ้ มท้งั เจ้าหน้าที่ของส�ำนกั งานทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมจงั หวัดสตลู ทุกทา่ นท่ไี ด้ให้โอกาสในการดำ� เนินงาน ใหก้ าร สนับสนนุ ใหก้ ำ� ลังใจ ตลอดการดำ� เนินงานในครัง้ น้ี และตอ้ งขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ผแู้ ทนส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรภาคเอกชน ผูบ้ รหิ าร ท้องถ่นิ ผนู้ �ำชุมชน ประชาชน และผูเ้ ก่ียวขอ้ งในการบริหารจัดการเมอื งเกา่ สตลู ทุกท่าน ทีไ่ ดเ้ ข้าร่วมและมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการศึกษาจดั ท�ำ แผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าสตูลอย่างดียิ่ง จ�ำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่มากขึ้นโดยล�ำดับ การแลกเปล่ียน ความคิดเห็นที่เข้าถึงกรอบการจัดการเมืองเก่ามากข้ึนเรื่อย ๆ ตลอดจนความมุ่งมั่นและตั้งใจท่ีแสดงผ่านเวทีต่าง ๆ ท�ำให้คณะผู้ศึกษามีความ มัน่ ใจว่า การบริหารจัดการเมืองเก่าสตูลของชาวเมอื งเก่าสตูล จะเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาเชิงอนรุ กั ษ์ และการนำ� แผนแมบ่ ทและผงั แม่บท การอนุรกั ษ์และพฒั นาบริเวณเมืองเก่าสตูลไปสู่การปฏิบัติดว้ ยกลไกการมีสว่ นร่วมของทุกภาคสว่ นทเ่ี ขม้ แข็งนี้ จะเปน็ ส่วนส�ำคัญในการอนุรกั ษ์ และพฒั นาเมอื งเก่าสตูลให้เป็นไปตามแนวทางการพัฒนาทีย่ ั่งยืนตอ่ ไป บรษิ ทั เทสโก้ จ�ำกัด ธนั วาคม 2562
สารบัญ ส่วนที่ 1 บทนำ� 1 สว่ นที่ 2 2 ประวตั ิศาสตร์สตูล ป ระว ัติศาสตร์สตูลในยคุ ประวตั ิศาสตร์ 2 ประวตั ศิ าสตร์เมืองเก่าสตูล 5 ส่วนท่ี 3 10 มกรดกวฒั นธรรมเมืองเกา่ สตูล 12 โบราณสถานขน้ึ ทะเบียน 13 โบราณสถานท่ียังไม่ขน้ึ ทะเบียน 15 ศาสนสถาน 20 แหลง่ ธรรมชาตใิ นเมืองเก่า 22 อาคารสำ� คัญ/อาคารทีม่ ีคุณค่า บรรณานุกรม รายชอ่ื คณะด�ำเนินการ
แผนทีม่ รดก 8 ทางวัฒนธรรม เมอื งเก่าสตลู
ส่วนที่ บ1 ทน�ำ สืบพงศ์ จรรย์สืบศร และคณะ (2558) ได้สรุปนิยามของแผนท่ีมรดกทาง แผนทข่ี อบเขตเมืองเกา่ วัฒนธรรม (Cultural Mapping)โดยสรปุ นิยามจาก Commonwealth Department of Communication and the Arts ประเทศออสเตรเลียว่าการทําแผนทีว่ ัฒนธรรมเป็นสิ่งท่ี 1 เกี่ยวข้องกับการแสดงตัวตนของชุมชนและการบันทึกข้อมูลทรัพยากรวัฒนธรรมของท้อง ถ่ินเป็นการบันทึกองค์ประกอบทางวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นส่ิงที่เป็นรูปธรรมหรือส่ิงท่ีเป็น นามธรรมการให้คุณค่าในกระบวนการทําแผนที่ทางวัฒนธรรมจะทําให้ชุมชนเป็นหนึ่ง เดียวกันและยังเป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมหรือโครงการสําคัญสําหรับชุมชนหลายอย่างทั้ง การบันทึกการอนุรกั ษ์และการใช้ทรพั ยากรวฒั นธรรมเหลา่ นัน้ ในขณะที่ Nigel Crawhallอา้ งโดย สบื พงศ์ จรรย์สบื ศร และคณะ (2558) กล่าว ว่าจุดประสงค์ของการจัดทําแผนท่ีทางวัฒนธรรมไม่เป็นเพียงแผนท่ีแต่เป็นการสร้าง ศักดิ์ศรีและความภูมิใจให้กับคนในท้องถ่ินเท่านั้นแต่ยังเป็นกระบวนการและเครื่องมือท่ี ช่วยเสริมสร้างพลงั ให้ทอ้ งถน่ิ สว่ น Richard A. Engellhardt อา้ งโดย สบื พงศจ์ รรย์สืบศร และคณะ (2558) ได้กลา่ วถงึ ความหมายและประโยชน์ของการทําแผนท่ที างวัฒนธรรม ว่าคือวิธีการและเคร่ืองมือสําคัญท่ีจะช่วยรักษาสมบัติทางวัฒนธรรมของโลกทั้งท่ีจับต้อง ได้และจับต้องไม่ได้ประกอบด้วยวิธีการและกิจกรรมที่หลากหลายจากการเก็บข้อมูลอย่าง มีส่วนร่วมโดยท้องถ่ินและการจัดการด้วยระบบข้อมูลสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) จะช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบทางวัฒนธรรมกับสังคมและลักษณะทาง กายภาพที่ปรากฏโดยส่ิงท่ีระบุในแผนที่น้ันมีท้ังองค์ประกอบทางกายภาพความหมายและ ประเพณีแผนท่ีทางวัฒนธรรมช่วยในการวางแผนอนุรักษ์และจัดการด้านต่าง ๆ ทั้งการ ดูแลแหล่งมรดกวัฒนธรรมการพัฒนาการท่องเท่ียวการใช้ท่ีดินการพัฒนาสังคมและ เศรษฐกิจการจัดการความเสี่ยงและผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้นกับท้องถิ่นในอนาคต โดยสรุปนิยามของ แผนท่ีมรดกทางวัฒนธรรม คือ การจัดระบบและบันทึก ขอ้ มูลทางวัฒนธรรมทั้งสง่ิ ทจ่ี บั ต้องได้หรอื รปู ธรรม (Tangible) และสงิ่ ทีจ่ ับตอ้ งไม่ไดห้ รอื คณะกรรมการอนรุ ักษแ์ ละพฒั นากรงุ รัตนโกสนิ ทร์ และเมอื งเก่า มปี ระกาศเม่อื นามธรรม (Intangible) ของชมุ ชนลงในแผนที่โดยใชก้ ระบวนการมสี ว่ นร่วมของคนใน วันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2559 ประกาศเขตพ้ืนที่เมอื งเก่าสตลู เนื้อทีร่ วม 0.85 ตาราง ชุมชนเพ่อื ให้เกดิ ความภาคภมู ิใจความเขม้ แขง็ และใช้เป็นเครอื่ งมือในการวางแผนด้านการ กิโลเมตรตามมตคิ ณะรัฐมนตรใี นการประชุมเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559 รวมทง้ั อนรุ ักษแ์ หล่งมรดกทางวฒั นธรรมและการพัฒนาดา้ นอืน่ ๆ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าสตูล ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล “เมอื งเกา่ ” หมายถึง เมืองหรือบริเวณของเมอื งทมี่ ลี กั ษณะพเิ ศษเฉพาะแห่งสืบ เปน็ ประธาน และผอู้ �ำนวยการส�ำนกั งานทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มจงั หวดั สตลู ต่อมาแต่กาลก่อน หรือมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถ่ิน หรือมีลักษณะ เปน็ เลขานกุ าร ให้ด�ำเนินการอนรุ กั ษ์และพัฒนาเมอื งเกา่ สตลู โดยมีแนวทาง มาตรการ จ�ำเพาะของสมัยหน่ึงในประวัติศาสตร์มีคุณค่าทางศิลปะ โบราณคดีหรือประวัติศาสตร์ แผนแมบ่ ทและผงั แมบ่ ทการอนรุ กั ษแ์ ละพัฒนาบริเวณเมอื งเกา่ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล�้ำค่าของชาติท่ีรัฐบาลมีนโยบายการด�ำเนินงานเป็นพิเศษ เฉพาะพ้ืนท่ีภายใต้ระเบียบส�ำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุง ดงั นน้ั เพอ่ื ใหก้ ารอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาเมอื งเกา่ สตลู ของจงั หวดั สตลู ด�ำเนนิ การไป รัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 ให้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุง อย่างถูกหลักการและมีเอกภาพจึงเห็นควรจัดท�ำแผนแม่บทและผังแม่บทการ รัตนโกสนิ ทร์และเมอื งเกา่ ท�ำหนา้ ทว่ี างนโยบาย ก�ำหนดพนื้ ท่ี จดั ท�ำแผนแมบ่ ท แนวทาง อนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าสตูลที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากผู้ที่เก่ียวข้องทุก แผนปฏิบัตกิ าร และมาตรการต่าง ๆ โดยความเหน็ ชอบของคณะรัฐมนตรี เพอ่ื ให้บริเวณ ภาคสว่ น โดยเฉพาะชุมชนในพน้ื ที่ เพ่อื ใหแ้ ผนแม่บทและผงั แม่บทฯ เป็นแนวทางการ เมืองเก่าได้รับการคุ้มครองดูแลให้การพัฒนาพ้ืนท่ีที่ตอบสนองประโยชน์ใช้สอยในปัจจุบัน ด�ำเนินงานท่ีสามารถน�ำไปปฏิบัติได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลท่ีท�ำให้ สอดคล้องควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และด�ำรงคุณค่าความเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์และ บรเิ วณเมืองเกา่ สตลู ไดร้ บั การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาอยา่ งเหมาะสม รวมทงั้ เกดิ ประโยชนต์ อ่ การ วัฒนธรรมของประเทศไว้ได้ตลอดไป ทอ่ งเท่ียว เศรษฐกจิ และสงั คมแกช่ มุ ชนตอ่ ไป
ส่วนท่ี 2 ประวัตศิ าสตร์สตลู การด�ำเนินงานโครงการศึกษาทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และแรกเร่ิมประวัติศาสตร์ในเขตพื้นท่ีจังหวัดสตูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551-2555 สำ� รวจพบแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัตศิ าสตร์และแรกเริม่ ประวตั ิศาสตร์ในพนื้ ทจี่ ังหวดั สตูล ได้แก่ อำ� เภอทงุ่ หว้า อำ� เภอมะนงั อำ� เภอควนกาหลง อำ� เภอควนโดน และอ�ำเภอละงู โดยพบแหล่งโบราณคดีสำ� คญั มากกวา่ 10 แห่ง (กรมศิลปากร.โครงการเผยแพร่องค์ความรู้ ทางด้านโบราณคดสี มัยก่อนประวตั ศิ าสตรแ์ ละแรกเร่ิมประวตั ศิ าสตร์ในเขตพน้ื ที่จงั หวดั สงขลาและสตูล. 2557) ประวัตศิ าสตรส์ ตูล สตูลสมัยสุโขทยั และกรงุ ศรีอยุธยา ในยคุ ประวตั ิศาสตร์ 2 ตามหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ เมอื งสตลู เปน็ มเู กม็ (Mu kim) หรอื ตาํ บลหนงึ่ ของเมอื งไทรบรุ ี หรอื เคดาห์ (บางเอกสารใช้เคดะห)์ มากอ่ น ไทรบรุ เี ป็นเมอื งสําคญั ของแหลมมลายฝู า่ ยใต้ซ่ึงเคย เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย นับต้ังแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา โดยไทยปกครองดินแดน แหลมมลายูตลอดถึงเกาะสิงคโปร์ด้วย สําหรับเมืองไทรบุรีข้ึนต่อราชอาณาจักรไทยมาต้ังแต่สมัย กรุงสโุ ขทยั ครน้ั เมื่อกรุงศรีอยธุ ยาเสยี แก่พม่าเม่ือปี พ.ศ. 2310 ไทรบุรีต้งั ตวั เปน็ อสิ ระไมย่ อมขึ้น ต่อฝา่ ยไทย ตลอดสมยั กรุงธนบุรี ลว่ งมาสมัยพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชก็ถูก กองทัพไทยปราบได้ ไทรบุรีจึงตกเปน็ สว่ นหนง่ึ ของอาณาจักรไทยตามเดมิ แผนทม่ี �ำบงั สครา โดยสรปุ สมยั กรงุ สโุ ขทยั และกรงุ ศรอี ยธุ ยา สตลู เปน็ ทร่ี จู้ กั กนั ในนาม “ม�ำบงั สคารา” หมายถงึ ทม่ี า : เพจประวัติศาสตร์ทอ้ งถิน่ โดยคนสตูล ท้องท่ีทม่ี ีผ้ยู ิ่งใหญใ่ นมหาสมุทร ซง่ึ เปน็ ทีม่ าของค�ำว่า “สมุทรเทวา” ภายหลังเนือ่ งจากวา่ ทอ้ งถ่ินนี้มี ตน้ กระทอ้ นขึ้นอยูช่ ุกชมุ กระทอ้ นภาษามลายเู รยี กวา่ “สโตย” นาํ สองชอื่ มารวมกันเป็น “สโตยม�ำ บังสคารา” เปน็ การย้�ำว่า “ท้องถ่ินที่มกี ระทอ้ น” เมือ่ ชาวโปรตเุ กสเข้ามาติดตอ่ ค้าขายในภมู ิภาคน้ี เป็นชาติแรก เรียกชอ่ื เมืองไทรบรุ ีวา่ “เคดาห”์ (Kedah) และเรียก “สโตย” เพ้ยี นเปน็ “เสทตลู ” หรือ “สัทตูล” (Setool หรือ Sutool) ตั้งชอื่ คลองม�ำบังว่า “แม่นำ้� สตลู ” เชน่ เดยี วกับเรียก “บารา เกต” เปน็ “มรี ากติ ” (Meerakit) ส่วนคลองก็ต้ังชือ่ เป็น “แมน่ ำ�้ มีรากิต” ส่วนละงู ชาวตะวนั ตกเรียก “ลนั ก”ู (Lungoo) มแี มน่ ำ�้ ละงู เป็นหัวใจสําคญั เปน็ ท่นี า่ สังเกตว่า สตูล บาราเกต และละงู ต่างกต็ ั้งอยใู่ กล้ชายทะเล มีลาํ คลองไหลผา่ น ท้องที่ ชาวตะวนั ตกเข้าใจวา่ เปน็ “แมน่ ำ�้ ” กลายเป็นทอ้ งถิน่ ทีม่ ผี ้คู นอาศัยอยูห่ นาแน่น ตดิ ต่อกบั พอ่ คา้ เรอื ตา่ งชาติได้ คนจีนอพยพเขา้ มาประกอบอาชีพคา้ ขายเปน็ หลกั แหลง่ เมอื งนครศรีธรรมราช ใชท้ อ้ งท่ที ั้งสามแหง่ เปน็ ทีต่ ่อเรอื รบ สะสมกาํ ลงั ทางเรอื พร้อมรบกบั เมืองมลายูฝา่ ยใต้ ตาํ บลสโตย หรอื ม�ำบังสคารา เจริญกวา่ บาราเกตและละงู กลายเปน็ “นครีสโตยม�ำบังสคารา” ภายหลัง สว่ น ละงูมผี ้เู ขา้ ใจว่าเคยตั้งเป็นเมอื งมาก่อนสตูล กไ็ ม่ปรากฏหลักฐานท่ชี ดั เจนในประวัตศิ าสตร์ ดงั นน้ั เมอื งสตลู ในสมัยกรงุ สุโขทัยและกรุงศรอี ยุธยา ตลอดระยะเวลากว่า 500 ปี จึงเปน็ ดนิ แดนทผี่ นวก ไวท้ างภาคเหนือของเมืองไทรบุรี
สตลู สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ หวั เมืองฝ่ายใต้ เมอื งไทรบุรี เมืองสตลู เป็นส่วนหน่งึ ของเมอื งไทรบรุ ี สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์อังกฤษเริ่ม เมอื งไทรบุรถี ือเป็นหัวเมืองมลายู เน่ืองจาก สมัยก่อนเมืองไทรบุรีแบ่งเขตปกครองเป็น มีอํานาจในแหลมมลายูโดยมีการเข้าปกครอง ผคู้ นสว่ นใหญน่ บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม แตก่ ม็ คี นสยามนบั ถอื ตาํ บลกบั หมบู่ า้ นมากมาย (ตาํ บลเรยี กเปน็ ภาษามลายู เกาะปนี งั กอ่ น ตอ่ มาไดส้ ง่ ราชทตู ชอื่ เฮนร่ี เบอรน์ เ่ี ขา้ ศาสนาพทุ ธอยสู่ ว่ นหนงึ่ คนไทยเรยี กวา่ เมอื งไทรบรุ ี วา่ มเู กม็ สว่ นหมบู่ า้ นเรยี ก กาํ ปง) ตาํ บลและหมบู่ า้ นที่ มาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยโดยผ่านเจ้าเมือง หรอื เมอื งไทร แตช่ าวโปรตเุ กส กลบั เรยี กชอ่ื เคดาห์ สาํ คญั ตง้ั อยทู่ างเหนอื เมอื งไทรบรุ ี ไดแ้ ก่ ปะลสิ สตลู นครศรธี รรมราช ซง่ึ เปน็ หวั เมอื งเอกฝา่ ยใต้ เฮนร่ี เบอร์ (Gueda) ทม่ี าของชอ่ื เมอื งไทร เปน็ มาอยา่ งไรไมป่ รากฏ บาราเกต และละงู เนอื่ งจากวา่ หมบู่ า้ นและตาํ บลดงั กลา่ ว นี่ พ.ศ. 2368 ไดส้ าํ รวจดนิ แดนไทย ตง้ั แตไ่ ทรบรุ ี หลกั ฐานชดั เจน จากแผนทข่ี องเฮนร่ี เบอรน์ ่ี แสดงทต่ี ง้ั ตง้ั อยรู่ มิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ ลาํ คลอง มเี สน้ ทางเรอื ตดิ ตอ่ กนั ได้ สตลู ตรงั พงั งา ถลาง และนครศรธี รรมราช ตอ่ มา ของหัวเมืองฝ่ายใต้ แม้เขียนขึ้นในสมัยต้นกรุง ปะลสิ ตง้ั อยรู่ มิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ ปะลสิ บรเิ วณปากนำ�้ ปะลสิ เปน็ เฮนรี่ เบอรน์ ี่ ไดร้ า่ งแผนทห่ี วั เมอื งฝา่ ยใตข้ นึ้ ในปี รตั นโกสนิ ทรก์ ต็ าม แตก่ พ็ อเปน็ แนวสบื คน้ สภาพภมู ศิ าสตร์ ทา่ เรอื ใหญ่ สตลู หรอื ม�ำบงั สคารา ตง้ั อยรู่ มิ คลองบา้ ง พ.ศ. 2371 มชี อ่ื เมอื งตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ไชยา สะลงุ หรอื ทตี่ งั้ ของเมอื งไทรบรุ สี มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาได้ เมอื งไทรบรุ ี ทางตะวนั ตกเรยี กวา่ แมน่ ำ�้ สตลู ไหลลงสทู่ ะเลทบี่ า้ น (ถลาง) ลกิ อร์ (นครศรธี รรมราช) ตะลงุ (พทั ลงุ ) เปน็ เมอื งใหญต่ ดิ ทะเลชอ่ งมะละกา มเี สน้ ชายฝง่ั ทะเลยาว ตนั หยงโป อกี สายหนงึ่ แยกไปทางทะเลทบ่ี า้ นต�ำมะลงั สงั กอรา (สงขลา) เคดาห์ (ไทรบรุ )ี และกะลนั ตนั ไมน่ อ้ ยกวา่ 400 กโิ ลเมตร ทศิ เหนอื จดเมอื งตรงั ซง่ึ ถอื บาราเกต เพย้ี นเปน็ มรี ากติ (Meerakit) เปน็ หมบู่ า้ นตงั้ เปน็ ตน้ ตามหลกั ฐานปรากฏวา่ เฮนรี่ เบอรน์ ี่ ได้ เปน็ เมอื งทา่ เรอื ขนึ้ ตอ่ เมอื งนครศรธี รรมราช ไดแ้ ก่ พนื้ ท่ี อยรู่ มิ ฝง่ั คลองบาราเกต ชาวตะวนั ตกเรยี กวา่ แมน่ ำ�้ บา สาํ รวจเมอื งสตลู ระหวา่ งวนั ท่ี 18-23 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ด้านทิศตะวันตกของทิวเขานครศรีธรรมราช และ ราเกต หรอื แมน่ ำ�้ มรี ากติ (ทกุ วนั นคี้ อื คลองทา่ แพ ตงั้ 2368 จงึ มชี อ่ื สถานทเ่ี ขยี นไวใ้ นแผนที่ เชน่ ทรอตโต ตดิ ตอ่ กับเมืองพัทลุงด้านทิศตะวันออกของทิวเขา อยใู่ นตาํ บลทา่ แพ) สว่ นละงู ชาวตะวนั ตกเรยี ก ลนั กู (ตะรเุ ตา) ม�ำบงั (สตลู ) มรี ากติ (บาราเกต) ลนั กู นครศรธี รรมราช ทศิ ตะวนั ออกตดิ ตอ่ กบั เมอื งสงขลา (Lungoo) มีแม่น�้ำละงเู ปน็ เส้นทางคมนาคมสาํ คัญ (ละง)ู แมน่ ำ้� สตลู (คลองม�ำบงั ) แมน่ ำ้� มรี ากติ (คลอง เมอื งปตั ตานี และเมอื งกลนั ตนั สว่ นทศิ ใตจ้ ดเมอื งเปรคั (คลองละงู ตน้ นำ้� เกดิ จากภเู ขาในจงั หวดั ตรงั ) จากหลกั 3 บาราเกต) แมน่ ำ้� ลงั งู (คลองละง)ู ปรากฏในหนงั สอื ดังนั้น พ้ืนท่ีของไทรบุรีจึงกว้างใหญ่ไม่แพ้เมือง ฐานของเฮนรี่ เบอรน์ ี่ ซง่ึ เดนิ ทางผา่ นทอ้ งทส่ี ตลู บารา Map of Siam and Cochin China ของ ลารร์ ี ส นครศรีธรรมราช ไทรบุรีจึงเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ที่มี เกต และละงู เมอ่ื ปี พ.ศ. 2368 ตรงกบั สมยั รชั กาลท่ี เตนสไตน์ (Larry Sternstein 1993 : 47-50) แมจ้ ะ ความสําคัญ ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเมือง 3 แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เรยี กสถานทที่ งั้ สามแหง่ เปน็ วาดข้นึ ในตอนต้นสมัยกรุงรตั นโกสินทร์ แต่กแ็ สดง นครศรธี รรมราชมาชา้ นานเชน่ กนั “ตาํ บล” ทง้ั หมด แสดงถงึ สภาพทมี่ ผี คู้ นอาศยั อยเู่ ปน็ จาํ ใหเ้ หน็ ว่า หัวเมอื งฝ่ายใต้มีการจดั ตัง้ กันมาก่อนแล้ว นวนมาก และนา่ จะประกอบดว้ ยหลายหมบู่ า้ นดว้ ยกนั ตงั้ แตส่ มยั กรงุ สโุ ขทยั และกรงุ ศรอี ยธุ ยา แผนทเี่ มอื งละงู เมืองสตลู เมืองปะลิส เมอื งไทรบุรี ท่มี า : เพจประวัตศิ าสตรท์ ้องถ่ินโดยคนสตูล
กอ่ ตัง้ มูเกม็ สโตย เมืองสตูล ฝ่ายพระยานคร (นอ้ ย) ได้เกณฑก์ องทัพจากเมอื ง นครศรธี รรมราช พทั ลงุ ยกลงไปปราบขบถ ทงั้ ขอ เมอื งสตูลมฐี านะเปน็ “มูเกม็ ” หรอื ตําบล นับแต่ปี พ.ศ.2358 เปน็ ตน้ มา มูเก็มสโตย ละงู กําลังจากเจ้าเมืองสงขลาอีกทางหน่ึง แต่ไม่ได้รับ หน่ึงอยู่ในความปกครองของเมืองไทรบุรีตลอดมา ไม่มีผู้ปกครองดูแลในฐานะเจ้าเมือง ปล่อยให้เป็น ความร่วมมือเท่าที่ควร เมื่อความทราบเข้ามาถึง และข้ึนต่อราชอาณาจักรไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย หนา้ ที่ของแมท่ พั นายกองจากเมอื งสงขลา คอยคุม กรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า แต่เม่ือกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 สถานการณ์บ้านเมืองแถบปากน้�ำสตูลกับปากน้�ำ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั กองทพั ลงมา ไทรบุรีต้ังตัวเป็นอิสระไม่ยอมขึ้นต่อฝ่ายไทยตลอด ละงูเทา่ น้นั แตอ่ ํานาจแท้จรงิ ในการปกครองดูแลหัว ชว่ ยปราบปรามขา้ ศกึ รวม 4 กองทัพ เพราะต้อง สมยั กรงุ ธนบรุ ี เนอ่ื งจากสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ไี ม่ เมืองฝ่ายใต้ยังเป็นของเมืองนครศรีธรรมราชเช่น ปราบทงั้ เมอื งไทรบรุ แี ละขบถเมอื งปตั ตานดี ว้ ย แตเ่ มอื่ ไดย้ กกองทพั ลงไปปราบปรามจนสน้ิ รชั กาล ครน้ั ลว่ ง เดิม คือ ท้ังเมืองสตูลและไทรบุรีต้องขึ้นต่อเมือง กองทัพยกมาถึงเมืองสงขลาเห็นว่ากําลังท่ียกไปนั้น มาสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นครศรธี รรมราช เจา้ พระยานคร (น้อย) ไมค่ ่อยมี ไมเ่ พยี งพอท่จี ะปราบขบถได้ ทางกรุงเทพมหานคร มหาราช (รชั กาลท่ี 1) เมอื งไทรบรุ จี งึ ได้ กลบั มาเปน็ ความมั่นใจในความซ่ือสัตย์สุจริตของเจ้าพระยา จงึ จัดส่งกองทัพเรอื มาสมทบอกี ทางหนึง่ พอดีได้รบั ส่วนหนึ่งของไทยตามเดิมในฐานะหัวเมืองมลายู ไทรบุรี (ตนกูปะแงรัน) เน่ืองจากมีพฤติกรรม ความรว่ มมอื จากองั กฤษชว่ ยปราบขบถทเี่ มอื งไทรบรุ ี แสดงออกว่าฝกั ใฝ่กบั อังกฤษมากเกนิ ไป เมอื งสตูล ทําให้เจ้าพระยานคร (น้อย) ตีเมืองไทรบุรีคืนได้ (ขจัดภัย บุรษุ พัฒน์ 2519 : 87) อยา่ งรวดเรว็ ตนกเู ดน็ และบคุ คลสาํ คญั ฆา่ ตวั ตายใน มี ค ว า ม สั ม พั น ธ ์ ทั้ ง เ มื อ ง ไ ท ร บุ รี แ ล ะ เ มื อ ง สนามรบ พระยาอภัยธเิ บศร์จึงกลบั ไปเป็นเจา้ เมอื ง ในตอนปลายรัชกาลของพระบาทสมเด็จ นครศรีธรรมราช เมื่อไม่มีผู้ปกครองดูแลเมืองจึง ไทรบรุ เี ชน่ เดมิ ต้องแปรผันไปตามเหตุการณ์ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระยาไทรบุรีคือ ตนกอู บั ดุลละห์ มกู าราม ซาห์ ถึงแกอ่ นิจกรรม 4 มบี ุตรชาย 10 คน ตา่ งมารดากัน ตนกฎู ียาฮดุ ดีน ขบถเมืองไทรบุรี ยกฐานะเมอื งสตูล ผู้เป็นน้องได้ข้ึน ปกครองเมืองไทรบุรีแทน ว่า ราชการเมืองเพียงสองปีก็ถึงแก่อนิจกรรมอีก ปี พ.ศ. 2373 ตนกเู ดน็ หลานของเจา้ พระยาไทรบรุ ี เม่ือมีการก่อต้ังเมืองสตูลขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จ พระยาไทรบรุ คี นน้ไี มม่ ีบุตร ดงั นนั้ บรรดาบุตรของ (ตนกปู ะแงรัน) ซง่ึ หลบหนไี ปปีนงั ด้วยกนั กอ่ ขบถ พระน่ังเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ทรงเห็นว่า เมืองสตลู อยใู่ กล้ พระยาไทรบุรีคนก่อน (มูการาม ซาห์) จึงแย่ง ขน้ึ มา จดุ ประสงคเ์ พอ่ื ทจ่ี ะใหเ้ จา้ พระยาไทรบรุ ี (ตน เมืองสงขลามากกวา่ เมืองนครศรีธรรมราช การเดนิ ตําแหนง่ เจา้ เมืองกันเอง ตกลงกนั ไมไ่ ด้ เวลานัน้ กปู ะแงรนั ) กลบั ไปเปน็ เจา้ เมอื งไทรบรุ เี ชน่ เดมิ ขณะ ทางไปมากส็ ะดวกกวา่ อกี ทงั้ ขา้ ราชการเมอื งสงขลา เมืองไทรบุรีอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของเมือง น้ัน ปีนังอยู่ในความปกครองของอังกฤษ ทางฝ่าย เคยมาดแู ลเมืองสตูล สมยั เป็นเมอื งร้างอยรู่ ่วม 24 นครศรีธรรมราช เจ้าพระยานคร (พัฒน์) อังกฤษไม่ประสงค์ให้เกิดความขัดแย้งกับไทยใน ปี จึงยกเมืองสตูลให้ข้ึนต่อเมืองสงขลา ระหว่างปี สนบั สนนุ ตนกบู ิศนู แต่ชาวเมืองไทรบุรีไม่เหน็ ด้วย ขอ้ หาวา่ สนับสนนุ พวกขบถ จงึ แนะนาํ ให้เจ้าพระยา พ.ศ. 2382-2387 เปน็ เวลา 5 ปี ต่อมาได้ใหไ้ ปขนึ้ เพราะตั้งข้อรังเกียจว่ามมี ารดาเปน็ คนเชอื้ สายไทย ไทรบุรี ออกจากปีนังไปอยทู่ ่มี ะละกา ทําให้สะดวก ต่อเมืองนครศรีธรรมราช ซ่ึงเป็นเมืองใหญ่ฝ่ายใต้ ไมใ่ ชม่ ลายู แตส่ นับสนุนตนกู ปะแงรนั ซงึ่ เปน็ พจ่ี งึ มคี ู่ ต่อการสนับสนุนให้ตนกูเด็นก่อการขบถ ตนกูเด็น สมัยนั้น เมืองนครศรีธรรมราชปกครองเมืองสตูล แขง่ สาํ คญั เพยี งสองคนทจ่ี ะขนึ้ เปน็ เจา้ เมอื งไทรบรุ ี ปี เกล้ียกล่อมชาวมลายูตามหัวเมืองต่าง ๆ มาเป็น ระหวา่ งปี พ.ศ. 2387-2440 เปน็ เวลารว่ ม 52 ปี พ.ศ. 2340 เจา้ พระยานคร (พัฒน์) จึงนําบุคคล พรรคพวก และยกกาํ ลงั เขา้ ยึดเมืองไทรบุรีในเดอื น ลว่ งมาปี พ.ศ. 2440 มีการรวมเมืองไทรบุรี เมือง ท้ังสองเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า มกราคม พ.ศ. 2374 การเข้าตีครั้งน้ันประสบ ปะลสิ และเมืองสตูลเข้าอยใู่ นมณฑลเดียวกัน เมือง จุฬาโลกมหาราชปรากฏว่า ทรงพระกรุณาโปรด ผลสําเร็จ พระยาอภัยธิเบศร์ และกรมการเมือง สตลู จงึ ไปขน้ึ ต่อมณฑลไทรบรุ ี นับแตบ่ ัดนนั้ เกล้าฯ แต่งต้ังตนกูปะแงรันผู้พ่ีเป็น พระยารัตน สงคราม รามราชภักดี ศรสี ลุ ตา่ น มะหะหมดั รตั น ไทรบรุ ฝี ่ายไทยพากันถอยหนีขึ้นไปทางเหนือ ตนกู ราชบดนิ ทร์ สรุ นิ ทวงษา พระยาไทรบรุ ี เปน็ เจา้ เมอื ง เดน็ ยดึ เมอื งไทรบรุ ไี วไ้ ด้ เมอ่ื ตนกเู ดน็ ยดึ เมอื งไทรบรุ ไี ด้ สืบตอ่ จากบดิ า มีพระนามตามสายวงศ์ว่า สุลต่าน จากไทยแลว้ เปน็ เหตใุ หห้ วั เมอื งทง้ั 7 ของเมอื งปตั ตานี อะหมดั ตายดุ ดิน ฮาลิม ชาห์ท่ี 2 ส่วน ตนกู รวมทั้งกลันตัน ตรังกานู ก่อขบถขึ้นด้วย (ขจัดภัย บิศนู ผู้น้องเป็นพระยาอภัยนุราช ตําแหน่งรา บรุ ษุ พฒั น์ 2519 : 94-95) ยามูดา เทียบเท่าผู้ช่วยผู้ปกครองหรืออปุ ราช (ตน กูบิศนู บางเอกสารใช้ ตนกูปัศนู หรอื ตนกปู ัสนู) แผนท่มี �ำบังสครา ทีม่ า : เพจประวัตศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ โดยคนสตูล
ประวตั ิศาสตร์เมืองเกา่ สตูล ภูมหิ ลงั ความเปน็ มา 5 เมืองเกา่ สตูลตง้ั อยู่บนฝง่ั ตะวนั ออกของแม่น้�ำม�ำบัง อยู่ลึกเข้าไปจากปากอา่ วต�ำมะลงั ซึ่งเป็นปาก แม่นำ�้ ม�ำบงั ประมาณ 10 กิโลเมตร มีชื่อเดมิ ว่า “ม�ำบังสครา” (Membang Segara) ม�ำบงั สครา เป็นศนู ยก์ ลางการปกครองของเมืองสตูล-ละงู หลักฐานทางทางประวตั ศิ าสตร์ท่ีเกา่ ท่สี ดุ เทา่ ท่ีหา ได้ ยอ้ นไปได้ช่วงต้นรัชกาลท่ี 2 เป็นรา่ งตราลงวันท่ี 2 สงิ หาคม พ.ศ. 2354 กลา่ วถึงพระอภัยนุ ราช (ตนกบู ิศนู) ท่มี าครองเมืองสตูล-ละงูในสมยั รัชกาลที่ 1 และไดถ้ วายเมอื งคนื ในเวลาต่อมา ในร่างตราฉบับนั้นได้แต่งต้ังพระอภัยนุราชเป็นพระยาอภัยนุราชพร้อมพระราชทานเคร่ืองยศอีก หลายรายการ ระหวา่ งทเี่ กดิ สงคราม กองทพั ตนกเู ผาบา้ นเรอื นทกุ หลงั ชาวเมอื งม�ำบงั สคราตอ้ ง เอาตวั รอดดว้ ยการหนไี ปซอ่ นตวั ในปา่ เมอื งม�ำบงั สครากลายเปน็ เมอื งรา้ ง จนกระทง่ั สงครามสงบ เพราะทพั ตนกพู า่ ยแพต้ อ้ งถอยหนไี ปจากทกุ สมรภมู ิ แมฝ้ า่ ยสยามจะชนะสงคราม แต่พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ทรงมพี ระราช วินิจฉัยวา่ หากยังให้เจา้ เมืองชาวไทยไปปกครองไทรบรุ ี ก็จะยงั คงเกดิ สงครามต่อสู้เช่นนี้ไม่มวี นั จบ จึงโปรดให้แบง่ เมอื งไทรบรุ ีออกเปน็ สามเมือง ใหบ้ ตุ รหลานสลุ ตา่ นไทรบุรปี กครอง ไดแ้ ก่ 1. เมอื งไทรบุรใี หต้ นกูอาหนมุ่ (Tuanku Anom) เปน็ ผปู้ กครอง มีศูนย์กลางการปกครองท่ี ปูเลาปีสงั (Bandar Pulau Pisang) 2. มูเก็มเปอร์ลิส (ต�ำบลเปอรล์ สิ ) ยกฐานะขน้ึ เป็นเมือง โปรดเกลา้ ฯ ใหไ้ ซยิดฮุสเซ็น ยา มาลุลลาอีล (Tuan Syed Hussin Jamalullail) ซึง่ ขณะน้นั เป็นมเู กม็ ฮลู ู (ก�ำนนั ) เป็นผ้ปู กครอง มสี ถานะเป็น “รายา” (raja) ต้งั ศนู ยก์ ลางการปกครองท่อี ะราว (Bandar Arua) 3. มูเกม็ สโตย (ต�ำบลกระทอ้ น) ซ่ึงเดิมเปน็ แคต่ �ำบลหนึง่ ของไทรบรุ ี ยกฐานะข้ึนเป็นเมือง เรยี กว่านครีสโตย (Negeri Setul) ใหต้ นกมู ูฮ�ำหมดั อาเกบ็ บตุ รชายของตนกบู ศิ นเู ปน็ ผูป้ กครอง ต้งั ศนู ยก์ ลางการปกครองที่เมืองม�ำบังสครา (Bandar Membang Segara)
ฟ้ืนบ้านแปงเมอื ง ตนกูมูฮ�ำหมัดอาเก็บตั้งใจมาฟื้นฟูเมืองสตูลให้ สยามปกครองสตูลอยา่ งเมืองประเทศราช ไมแ่ ทรก รงุ่ เรอื งขน้ึ อกี ครง้ั หนงึ่ ทา่ นไดอ้ พยพครอบครวั บุตร แซงกจิ การภายใน ขอ้ ผกู พนั ทเี่ มอื งประเทศราชตอ้ ง หลาน และบรวิ ารมาเปน็ จ�ำนวนมาก ขา้ ราชการคน ปฏบิ ตั ติ อ่ เมอื งเจา้ ประเทศราช คอื ตอ้ งสง่ เครอื่ งราช สนิทของตนกูมูฮ�ำหมัดอาเก็บท่ีย้ายมาพร้อมท่าน บรรณาการและดอกไมท้ องดอกไมเ้ งนิ สามปตี อ่ ครง้ั คนหน่ึงชื่อ หวนั โอมาร์ บนิ หวันฮาดี ซง่ึ มีต�ำแหน่ง เจา้ เมอื งจะเกบ็ ภาษนี จ้ี ากราษฎรเรยี กวา่ คา่ รไิ พ มอี ตั รา เป็นเบนิ ดาฮารา (Bendahara ผู้ดูแลทรพั ย์สนิ ของ จดั เกบ็ สงู ตำ�่ ตามฐานะเศรษฐกจิ ถงึ ก�ำหนดสง่ ในปี 2419 พระยาอภยั นรุ าช (ตนกมู ฮู �ำหมดั อาเกบ็ ) ใหพ้ ระปกั ษา ราชการ, มุขมนตรี) ต้นสกลุ ”ฮะอรุ า” วาสวารณนิ ทร์ (ตนกอู สิ มาอลี ) บตุ รชายคนโต คมุ 6 ตนกมู ฮู �ำหมดั อาเกบ็ ไดร้ บั พระราชทานบรรดาศกั ดท์ิ ี่ เครอื่ งราชบรรณาการไปยงั เมอื งนครศรธี รรมราชตน้ พระยาอภัยนุราช ท่านสร้างท่ีพักอาศัยบริเวณทิศ สงั กดั ของเมอื งสตลู เพอ่ื ใหน้ ครศรธี รรมราชสง่ ตอ่ ไป เหนือของเมือง ปัจจุบันเป็นเว้ิงอ่าวซ่ึงเป็นท่ีต้ังของ ทลู เกลา้ ถวายฯ พรอ้ มกนั น้ี ตนกมู ฮู �ำหมดั อาเกบ็ ไดม้ ี ส�ำนกั งานพาณชิ ยจ์ งั หวดั สตลู -โชวร์ มู รถจกั รยานยนต์ หนงั สอื ถวายบงั คมลาออกจากต�ำแหนง่ วา่ ราชการเพอ่ื ฮอนด้า ไปจนถึงตลาดโต้รุ่งและวกกลับมาท่ีส�ำนัก สนับสนุนให้ตนกูอิสมาอีลบุตรชายคนโตว่าราชการ งานพาณชิ ยฯ์ ชาวสตลู เรยี กวา่ “วงั รายา” (Istana แทน ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ตามค�ำขอของตน Raja) ตัววังเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่สร้างตามแบบ กมู ฮู �ำหมดั อาเกบ็ โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานสญั ญา สถาปตั ยกรรมเรอื นไทรบรุ ี (Rumah Kedahan) ถดั ไป บตั รตงั้ พระปกั ษาวาสสะวารณนิ ทร์ (ตนกอู สิ มาอลี ) ทางใตเ้ ลก็ นอ้ ย ทา่ นมอบหมายให้ หวนั โอมาร์ หาทนุ เปน็ พระยาอภยั นรุ าชชาตริ ายาภกั ดี ศรอี นิ ดาราวยิ า สรา้ งมสั ยดิ กลางประจ�ำเมอื ง โดยน�ำรายไดจ้ ากการตอ่ หยา พระยาสตลู ใหเ้ อาเครอื่ งยศพระยาสตลู คนเกา่ เรอื มาด ตเี มาะหซ์ ดู ะน�ำไปขายใหช้ าวประมงทป่ี ากนำ้� พระราชทานพระยาสตูลคนใหม่ แล้วพระราชทาน ไทรบรุ ี (Kuala Kedah) วสั ดกุ อ่ สรา้ งจ�ำพวกอฐิ ปนู สญั ญาบตั รเพม่ิ ยศพระยาสตลู คนเกา่ ขนึ้ เปน็ พระยา กระเบ้ืองมุงหลังคาและกระเบ้ืองปูพื้นน�ำเข้าจาก สมนั ตรัฐบรุ นิ ทร์มหนิ ทราธิ รายานวุ ตั ร ศรีสกลรัฐ ไทรบรุ ี ใชช้ า่ งมะละกา เมอื่ สรา้ งเสรจ็ มสั ยดิ ถกู ตงั้ ชอ่ื มหาปธานาธกิ าร ไพศาลสนุ ทรจรติ สยามพชิ ติ ภกั ดี ตามนามของตนกมู ฮู �ำหมดั อาเกบ็ วา่ “มสั ยดิ อากบี ”ี มี จางวางเมอื งสตลู ฐานะเปน็ มสั ยดิ เตองะห์ (มสั ยดิ กลาง) ภายหลงั เมอื่ หวนั โอมารถ์ งึ แกก่ รรม รา่ งถกู ฝงั ไวก้ ลางลานดา้ นตะวนั ตกของมสั ยดิ อากบี ตี ามค�ำขอของทา่ นซงึ่ ตอ้ งการฝงั ศพไวท้ น่ี ี่ อวสานแผน่ ดนิ สองฝา่ ยฟา้ พ.ศ. 2452 มกี ารลงนามในสนธสิ ัญญา สตูลจึงเป็นเมืองเดียวที่ยังอยู่ในฝั่งสยาม Anglo-Siames Treaty เมอ่ื วนั ที่ 10 มนี าคม 2452 ตงั้ แต่ พ.ศ. 2440 ทส่ี ตลู เปลย่ี นตน้ สงั กดั จากมณฑล เพ่ือก�ำหนดหลักเขตระหว่างมลายูของอังกฤษกับ นครศรธี รรมราชมาอยใู่ นสงั กดั มณฑลไทรบรุ ี เมอื่ มี สยาม สยามยกสิทธเ์ หนือกลันตัน ตรังกานู ไทรบรุ ี การปักปันเขตแดนระหว่างสยามและมลายูของ และเปอร์ลิส เพื่อแลกกับการยกเลิกสนธสิ ัญญาลบั องั กฤษ สตลู กอ็ อกจากการดแู ลของมณฑลไทรบรุ สี ู่ ระหว่างสยามกับอังกฤษที่ระบุว่าสยามต้องไม่ท�ำ การดูแลของมณฑลภูเกต็ พระยารัษฎานุประดิษฐฯ์ สัญญาเก่ียวกับการเช่าซ้ือหรือถือกรรมสิทธ์ิเหนือ สมหุ เทศาภบิ าลมณฑลภเู กต็ มาตรวจราชการทส่ี ตลู ดินแดนกับประเทศใดโดยไม่ผ่านความเห็นชอบ ทกุ เดอื น ท�ำใหต้ อ้ งสรา้ งบา้ นพกั เทศาภบิ าลเปน็ อาคาร จากอังกฤษบนดินแดนในภาคใต้ต้ังแต่อ�ำเภอ สองชนั้ กอ่ อฐิ ถอื ปนู ทรงยโุ รป ตง้ั อยทู่ ถ่ี นนภมู จี รดล บางสะพานลงมา อังกฤษยอมยกเลิกยกเลิก หนั หนา้ ไปทางทศิ เหนอื ของเมอื ง อาคารนถ้ี กู รอ้ื ไปใน สิทธิสภาพนอกอาณาเขตและอ�ำนาจศาลกงสุลใน ชว่ งทส่ี รา้ งศาลากลางจงั หวดั ชว่ งปี 2505-2506 สยาม
คุณครูสิวเจยี ง เเซ่โกย้ 7 ที่มา : เพจชมรมอนรุ กั ษภ์ าพเก่าสตูล ยคุ ประชาธปิ ไตย หลังการเปลย่ี นแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 กระทรวงมหาดไทยยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาล แตล่ ะจังหวดั ข้ึนตรงต่อสว่ นกลาง ปี เดยี วกนั น้ัน พระยาภูมนิ ารถภกั ดถี งึ แก่อนิจกรรมในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 นางหวนั เตะ๊ ฮะอรุ า ภรรยาของท่านจึงไปสร้างบา้ นกอ่ อฐิ ถือปนู สองช้ันอยรู่ ิมถนนสตูลธานีฝ่ังตะวันออกดา้ นเหนอื ของเมือง มรี ั้วเหลก็ ลอ้ มรอบทุกดา่ น ชาวบ้านเรียกว่า “วังใหม่” ขณะท่ีเรยี กวงั เช้ือสาย พระยาอภัยนรุ าชว่า “วังเกา่ ” ราชการไดป้ รบั ปรุงคฤหาสน์กูเด็นเพอื่ ใช้เปน็ ศาลากลางจงั หวัดสตูล ปี พ.ศ. 2478 มกี ารกอ่ ตงั้ โรงเรยี นประชาบาลต�ำบลม�ำบงั ขน้ึ ตรงหวั มมุ ทงุ่ เฉลมิ สขุ เปน็ อาคารไมช้ นั้ เดยี วหลงั คาปน้ั หยา โรงเรยี นจงหวั ไดซ้ อื้ ทดี่ นิ บรเิ วณทเ่ี ปน็ ทตี่ งั้ แฟลตการเคหะในปจั จบุ นั เพอื่ สรา้ งสรา้ งอาคารไมช้ นั้ เดยี วเปน็ ทเี่ รยี นในปี พ.ศ. 2481 ภายหลงั รฐั บาลจอมพล ป.พบิ ลู สงครามมี ประกาศนโยบายรฐั นยิ มตง้ั แต่ พ.ศ. 2482-2485 รวม 12 ฉบบั โรงเรยี นจนี ทวั่ ประเทศถกู กวดขนั เขม้ งวดมากขน้ึ เมอื่ สงครามมหาเอเชยี บรู พาประ ทขุ น้ึ ในปี พ.ศ. 2484 ภาวะสงครามท�ำใหโ้ รงเรยี นตอ้ งหยดุ ท�ำการสอนเปน็ เวลานาน และดว้ ยนโยบายรฐั นยิ มจอมพล ป ชอื่ บา้ นนามเมอื งสถานที่ ตา่ งๆถกู เปลยี่ นเปน็ ภาษาไทยไปแทบทงั้ หมด ชอ่ื เมอื งเกา่ ม�ำบงั ถกู เปลย่ี นเปน็ ต�ำบลพมิ าน วดั ม�ำบงั เปลย่ี นเปน็ วดั ชนาธปิ เฉลมิ ปี พ.ศ. 2486 นายอ�ำเภอเมืองสตลู เวลาน้ัน ขอใหค้ ณะกรรมการโรงเรยี นยกทด่ี ินและอาคารใหร้ าชการโดยใหเ้ หตผุ ลวา่ โรงเรยี นจนี คงจะไมไ่ ด้ เปดิ ไปตลอดการ คณะกรรมการกลมุ่ หนง่ึ จึงยอมยกทด่ี นิ ใหใ้ นปี พ.ศ. 2488 ราชการไดส้ ร้างท่ีวา่ การอ�ำเภอบนท่ดี นิ แปลงนี้ อาคารศาลากลางจงั หวดั ดง้ั เดมิ นนั้ สรา้ งมาตงั้ แตส่ มยั พระยาภมู นิ ารถภกั ดี เมอื่ ศาลากลางจงั หวดั ไปยงั คฤหาสนก์ เู ดน็ อาคารนนั้ ถกู ใชเ้ ปน็ ทว่ี า่ การอ�ำเภอ เมอื่ ทวี่ า่ การอ�ำเภอยา้ ยมาทใี่ หมใ่ นชว่ งปี พ.ศ. 2488-2489 อาคารหลงั นถ้ี กู ใชเ้ ปน็ ส�ำนกั งานเทศบาลเมอื ง และเมอ่ื เทศบาลเมอื งยา้ ยทที่ �ำการไปอยู่ ณ ทตี่ ง้ั อทุ ยานการเรยี นรทู้ เี คพารค์ ในปจั จบุ นั อาคารหลงั นถี้ กู ใชเ้ ปน็ ส�ำนกั งานพาณชิ ยจ์ งั หวดั จนกระทงั่ ถกู รอ้ื เมอื่ ประมาณปี พ.ศ. 2515 ปี พ.ศ. 2475 นายสว้ิ เจียง แซโ่ กย ครูใหญโ่ รงเรียนจงหัว เปิดร้านถ่ายรูปรา้ นแรกในเมอื งเกา่ สตูล มีชอ่ื ว่าร้านถ่ายรปู ยี่จิง ต่อมาเปล่ยี นชอ่ื เป็น รา้ นนครศลิ ป์ หลงั ปี พ.ศ. 2475 เมอ่ื เลิกระบบมณฑลเทศาภิบาลแลว้ บ้านพกั เทศาริมถนนภมู จี รดลก็ว่างลง ผวู้ ่าราชการจังหวัดสมัยนน้ั นิยมใช้อาคารหลงั นั้น เปน็ จวนผูว้ ่า เพราะอาคารใหญแ่ ละสะดวกกว่าจวนผูว้ ่าราชการจงั หวดั ที่พระยาสมนั ตรฐั บรุ ินทร์สรา้ งไว้ จนถงึ ปี พ.ศ. 2494 จวนเรือนไมช้ ้ัน เดยี วหลงั คาจัว่ ทรุดโรมจนต้องรอื้ ลงและสร้างจวนใหม่เปน็ อาคารไมส้ องช้ันทาสีฟา้ จวนน้เี คยเป็นบ้านพกั แรมของนายกรฐั มนตรี จอมพล ป.พิบลู สงคราม เมอ่ื คราวมาเปดิ สมาคมวฒั นธรรมหญิงจังหวัดสตลู เมอ่ื วนั ท่ี 12 กุมภาพนั ธ์ 2498 และเคยเปน็ ทีป่ ระทบั เสวยพระกระยาหารกลางวนั เมอื่ คราวพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธเิ บศร มหาภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รชั กาลท่ี 9) เสด็จฯจงั หวัดสตลู คร้งั ที่ 1 เมอื่ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2502 จวนหลังนถ้ี กู รื้อเพ่อื สร้างใหมป่ ระมาณปี 2548 เปน็ จวนกอ่ อฐิ ฉาบปนู หลังปัจจุบัน ไฟฟ้าได้มาจุดความสว่างไสวให้ตวั เมอื งในราวปี พ.ศ. 2498 แรก ๆ การไฟฟ้าสตูลจะจา่ ยกระแสใหใ้ นชว่ งหัวค�ำ่ แล้วหยุดจ่ายในชว่ ง 21.00 น ภายหลังจงึ จ่ายกระแสไฟตลอดคืนในชว่ งปี พ.ศ. 2507 โดยประมาณ
พระมหากรุณาธคิ ณุ : เมอื งเก่าสตลู รับเสด็จ 3 คร้ัง 8 เปน็ การรบั เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มหาราช บรมนาถบพติ ร (รชั กาลท่ี 9) และสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรม นอกจากมีโอกาสได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จ ราชินนี าถ พระบรมราชชนนพี ันปีหลวงทง้ั สามคร้ัง บางคร้ังมพี ระราชวงศ์ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช พระองคอ์ น่ื โดยเสดจ็ ดว้ ย บรมนาถบพติ ร (รชั กาลที่ 9) สามครงั้ แลว้ เมอื งเกา่ 1) ครง้ั แรกในวนั ที่ 20 มนี าคม พ.ศ. 2502 พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกา สตูลยังมีโอกาสได้รับเสด็จสมเด็จพระศรีนครินทร์ ธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร (รชั กาลที่ 9) และ พระบรมราชชนนีหลายคร้ัง ทรงเสด็จเยี่ยมและ สมเด็จพระนางเจ้าสริ กิ ิต์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนพี ันปีหลวง ติดตามงาน พอ.สว. (แพทย์อาสาสมเด็จพระ เสดจ็ มาที่ท่งุ เฉลิมสุข ประชาชนท้ังจังหวดั มารอรบั ท่ีนัน่ แตป่ ระชาชนใน ศรีนครินทร์พระบรมราชชนน)ี หลายต่อหลายครงั้ เมอื งเกา่ สตลู รอรบั เสดจ็ บรเิ วณถนนสตลู ธานชี ว่ งมสั ยดิ ม�ำบงั และสมาคมจง ครง้ั หนง่ึ ทรงประทบั รถยนตผ์ า่ นถนนบรุ วี านชิ โปรด หวั ทเ่ี พงิ่ สรา้ งเสรจ็ เมอื่ ปี พ.ศ. 2500 ทรงแวะเยยี่ มสมาคมและมพี ระราชปฏิ ใหร้ ถพระทน่ี ง่ั จอดเพอ่ื ใหน้ ายสนิ จงึ พานชิ กรรมการ สนั ฐานกบั ประชาชนทมี่ ารอเฝา้ พอ.สว. เขา้ เฝา้ ถวายของทร่ี ะลกึ ถงึ รถพระนงั่ 2) ครงั้ ท่ี 2 เสดจ็ จากพระต�ำหนกั ทกั ษณิ ราชนเิ วศ พรอ้ มดว้ ยสมเดจ็ พระนาง เจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง (ในรชั กาลท่ี 9) ในขณะนน้ั มาพระราชทานธงใหแ้ กล่ กู เสอื ชาวบา้ น และตดิ ตามการกอ่ สรา้ ง มสั ยดิ ม�ำบงั เมอื่ วนั ที่ 8 กนั ยายน พ.ศ. 2518 ทง้ั สองพระองคท์ รงปลกู ตน้ ราชพฤกษท์ ม่ี สั ยดิ มำ� บงั 3) ครง้ั ท่ี 3 เสดจ็ พรอ้ มสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราช ชนนพี นั ปหี ลวง (ในรชั กาลท่ี 9) มายงั มสั ยดิ มำ� บงั เมอ่ื วนั ท่ี 20 กนั ยายน พ.ศ. 2522 ทรงประกอบพระราชพธิ เี ปดิ มสั ยดิ มำ� บงั หลงั ใหมแ่ ทนมสั ยดิ หลงั เกา่ เพราะ สรา้ งมานาน คบั แคบไมอ่ าจรบั ประชากรชาวมสุ ลมิ ทเ่ี พม่ิ ขนึ้ ได้
ลำ� ดับเวลาในพัฒนาการของเมืองเกา่ สตูล รชั สมัย ช่วงเวลา เหตุการณ์ส�ำคัญ พระบาทสมเด็จพระพุทธ พ.ศ. 2320 พ.ศ. 2325 - ไทรบรุ กี ลบั มาเป็นส่วนหนึ่งของไทยอกี ครง้ั ในฐานะหัวเมอื งมลายู ยอดฟ้าจุฬาโลก พ.ศ. 2330 พ.ศ. 2340 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ พ.ศ. 2350 พพพ...ศศศ... 222333556867 - รชั กาลท่ี 2 พระราชทานใหพ้ ระยาอภัยนรุ าชเป็นเจ้าเมืองในการปกครองสตูล เลิศหล้านภาลยั พ.ศ. 2360 พ.ศ. 2368 - พระยาอภยั นรุ าช (ตนกบู ศิ นู) ถึงแก่อนิจกรรมมเู กม็ สโตย ไมม่ ีผู้ปกครองทอ้ งท่ี พ.ศ. 2370 พ.ศ. 2382 - รอ้ ยโท เจมส์ โลว ฑูตองั กฤษเดินทางผ่านเมอื งสตลู พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ พ.ศ. 2380 พ.ศ. 2387 - รอ้ ยเอก เฮนรี เบอรน์ ้ี ฑตู อังกฤษ เดินทางผ่านเมอื งสตลู เจา้ อยู่หวั พ.ศ. 2390 - ยกฐานะมเู ก็มสโตยเป็นเมอื งสตูล หรอื นครีสโตย ตนกูมูฮ�ำหมดั อาเก็บ เป็นเจา้ เมอื งสตลู คนแรก อยูภ่ ายใต้การปกครองของเมืองสงขลา ระหวา่ งปี พ.ศ. 2382-2387 พระบาทสมเด็จ พ.ศ. 2400 พระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั - เมืองสตลู ข้ึนต่อเมอื งนครศรธรรมราช จนถงึ พ.ศ 2440 พ.ศ. 2410 พ.ศ. 2405 - ท�ำถนนเช่อื มเมืองสตลู กับเมืองสงขลาและไทรบรุ ี พระบาทสมเด็จพระ พ.ศ. 2420 พ.ศ. 2419 - พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) บตุ รชายคนโตของตนกมู ูฮ�ำหมัดอาเก็บ ข้ึนเป็นเจา้ เมอื ง จลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั พ.ศ. 2430 พ.ศ. 2423 - พวกอ้ังยก่ี ่อกวนปล้นสะดมท�ำลายประตูวังเจ้าเมือง พ.ศ. 2440 พพ..ศศ.. 22442275 - กอ่ สร้างวัดชนาธปิ เฉลมิ หรอื วดั ม�ำบัง - พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ถึงแก่อนจิ กรรม บตุ รชายคนโต ตนกอู ับดุลเราะห์มานขึน้ เป็นเจา้ เมืองเมืองไทรบุรี 9 พพ..ศศ.. 22443383 พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฏ พ.ศ. 2450 พ.ศ. 2443 - กอ่ สร้างศาลเจ้าโปเ้ จเ้ กง้ / รชั กาลที่ 5 เสดจ็ เกาะตะรเุ ตา เกล้าเจา้ อยหู่ วั พ.ศ. 2460 - กูเด็น บนิ กแู มะ มาช่วยราชการเมืองสตลู พ.ศ. 2470 พ.ศ. 2452 พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยหู่ ัว พ.ศ. 2480 พ.ศ. 2453 - รชั กาลที่ 5 โปรดเกลา้ ฯ แต่งต้ัง กูเดน็ บนิ กแู มะ๊ เปน็ เจ้าเมอื งสตลู โดยสมบรู ณ์ กอ่ สรา้ งอาคาร “คฤหาสน์กูเด็น” สร้างเสรจ็ ในปี พ.ศ. 2445 และใชเ้ ป็นศูนย์ราชการปกครอง พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล พ.ศ. 2457 พพพ...ศศศ... 222444667358 - ยกเมอื งสตลู ให้ไปขนึ้ กับมณฑลภูเก็ต พ.ศ. 2490 พ.ศ. 2475 - พระยารษั ฎานปุ ระดิษฐ์มหศิ รภักดี จัดตง้ั โรงเรยี นไทยมลายู โรงเรยี นประถมศกึ ษาแห่งแรก พ.ศ. 2476 - พระโกชาอิศหากด�ำรงต�ำแหนง่ ผู้วา่ ราชการเมอื งสตลู พพพ...ศศศ... 222444888532 - เปล่ยี นช่ือโรงเรีนยไทยมลายู เปน็ โรงเรยี นสตูล “สตลู วทิ ยา” พ.ศ. 2490 - เมืองสตูลขึน้ ตอ่ มณฑลนครศรธี รรมราช - สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้าบรพิ ตั รสุขุมพนั ธ์ุ กรมพระนครสวรรค์ วรพนิ ติ เสดจ็ เย่ยี มเมอื งสตลู พกั ทคี่ ฤหาสน์กูเดน็ - พระยาภมู ินารถภกั ดีถึงแก่อนจกรรม และพระยาพหลพลพยุหเสนาตรวจราชการทจี่ ังหวัดสตลู - พระยาสมนั ตรฐั บรุ ินทร์ได้รับการแต่งตง้ั เปน็ ส.ส.จงั หวัดสตูล - เปลี่ยนชอื่ อ�ำเภอม�ำบังเป็นอ�ำเภอเมืองสตลู - จอมพล ป.พบิ ูลสงคราม ตรวจราชการเมอื งสตูล รบั ประทานอาหารกลางวนั ที่คฤหาสนก์ ูเดน็ - ทหารญป่ี ุ่นตั้งกองบัญชาการท่คี ฤหาสนก์ เู ด็น - ตั้งศาลากลางจงั หวดั ที่คฤหาสน์กูเดน็ พ.ศ. 2500 พ.ศ. 2502 - รชั กาลท่ี 9 เสดจ็ จงั หวดั สตูล พ.ศ. 2503 - ก่อสร้างวัดสตูลสนั ตยาราม พระบาทสมเดจ็ พระบรม พ.ศ. 2510 พ.ศ. 2509 - ก่อสรา้ งศาลเจา้ ปงึ เถ่ากง ชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ย พ.ศ. 2520 พพพพ....ศศศศ.... 2222555511118379 - รชั กาลท่ี 10 เสด็จจังหวัดสตูล เดชมหาราช บรมนาถบพติ ร พ.ศ. 2530 พ.ศ. 2522 - ก่อสร้างมสั ยิดม�ำบงั พ.ศ. 2531 - รัชกาลท่ี 9 เสดจ็ จังหวัดสตลู - รัชกาลท่ี 9 เสดจ็ จังหวดั สตลู - รัชกาลที่ 9 เสด็จจงั หวัดสตูล - รชั กาลที่ 10 เสดจ็ จังหวัดสตลู พ.ศ. 2540 พ.ศ. 2543 - สมเดจ็ พระกนิษฐาธิราชเจา้ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิด พพิ ิธภณั ฑสถานแหช่ าติสตูล “คฤหาสน์กเู ดน็ ” พ.ศ. 2550 พ.ศ. 2454 - รัชกาลที่ 10 เสด็จจงั หวัดสตลู หมายเหตุ : สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี เมอื่ ปี พ.ศ. 2535 ไดเ้ สดจ็ มาเกาะหลเี ปะ๊ และเมอ่ื ปี พ.ศ. 2552 ณ เกาะสาหรา่ ย และเกาะปยู เู พอื่ ปลกู ตน้ ล�ำแพน จงั หวดั สตลู , เมอื่ ปี พ.ศ. 2475 พระยาพหลพลพยหุ เสนาตรวจราชการที่ จงั หวดั สตลู , เมอื่ ปี พ.ศ. 2483 จอมพล ป. พบิ ลู สงครามตรวจราชการเมอื งสตลู , พ.ศ. 2504 จอมพลสฤษดธ์ิ นรชั เดนิ ทางมาเขาโตะ๊ พญาวงั และชว่ งปี พ.ศ. 2511-2513 รชั กาลที่ 10 เสดจ็ พรอ้ มสมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี ณ เกาะยาว ทรงปลกู ตน้ ชยั พฤกษ์
ส่วนท่ี 3 มกดกวฒั นธรรมเมอื งเก่าสตูล มรดกทางวัฒนธรรม สามารถแบง่ ตามลกั ษณะทป่ี รากฏอยหู่ รอื ท่ีมีอยู่ (existence) ได้ 2 ประเภท ดังน้ี มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ (Tangible Cultural Heritage) มรดกทาง มรดกทางวฒั นธรรมทจี่ บั ตอ้ งไมไ่ ด้ (Intangible Cultural Heritage)คาํ วา่ “มรดก วฒั นธรรมทจี่ บั ตอ้ งไดเ้ ปน็ สง่ิ ทส่ี ามารถมองเหน็ สมั ผสั และจบั ตอ้ งไดท้ างกายภาพ ทางวฒั นธรรมทจี่ บั ตอ้ งไมไ่ ด”้ เรม่ิ เขา้ มาสแู่ วดวงการทาํ งานดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม โดยครอบคลุมท้ังมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุเคล่ือนที่ได้และที่เป็นวัตถุ เมอื่ องคก์ ารการศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ (ยเู นสโก) เคลอื่ นทไี่ มไ่ ด้ เชน่ โบราณวตั ถุ ศลิ ปวตั ถุ โบราณสถาน แหลง่ โบราณคดี อนสุ รณ์ ได้รับรองอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมท่ีจับต้องไม่ได้ สถานและแหล่งประวตั ศิ าสตร์ เครอื่ งแตง่ กาย ภาพจติ รกรรม ประติมากรรม (Convention for the Safeguarding of Intangible Cultural Heritage) ทง้ั หมด สถาปัตยกรรมศลิ ปหัตถกรรม รวมถงึ วัตถทุ ่ีมนษุ ยส์ ร้างสรรค์ขึน้ จากฝีมอื การ 40 มาตราในการประชมุ สมยั สามญั ครง้ั ที่ 32 เมอื่ วนั ที่ 17 ตลุ าคม พ.ศ. 2546 ประดษิ ฐ์การคดิ คน้ การดัดแปลง การอยู่อาศัย หรือการใช้ประโยชนจ์ ากมนุษย์ (ค.ศ. 2003) ณ กรงุ ปารสี ประเทศฝรงั่ เศสในปจั จบุ นั คณะรฐั มนตรมี มี ตเิ หน็ ซงึ่ ไดร้ บั การยอมรบั วา่ มคี ณุ คา่ ในทางวฒั นธรรมและสมควรไดร้ บั การสงวนรกั ษา ชอบให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดก ซ่ึงถูกจัดอยู่ในประเภทหนึ่งของมรดกโลกตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครอง ทางวฒั นธรรมทจี่ บั ตอ้ งไมไ่ ด้ รวมถงึ ไดม้ กี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ มรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ มรดกทางวัฒนธรรมตามอนุสัญญา และรกั ษามรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม พ.ศ. 2559 โดยประกาศในราชกจิ จา ดังกล่าวน้ี หมายความถึงสถานที่ซ่ึงเป็นโบราณสถานไม่ว่าจะเป็นงานด้าน นเุ บกษา เลม่ ที่ 133 ตอนท่ี 19 ก เมอื่ วนั ที่ 1 มนี าคม 2559 ซง่ึ เหตผุ ลในการ 10 สถาปตั ยกรรม ประตมิ ากรรม จติ รกรรม หรอื แหลง่ โบราณคดที างธรรมชาตเิ ชน่ ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี คอื โดยทม่ี รดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมเปน็ ถาํ้ หรอื กลมุ่ สถานทกี่ อ่ สรา้ ง ยกหรอื เชอื่ มตอ่ กนั อนั มคี วามเปน็ เอกลกั ษณ์ หรอื สมบตั ลิ าํ้ คา่ ทไ่ี ดม้ กี ารสรา้ งสรรค์ สง่ั สม ปลกู ฝงั และสบื ทอดในชมุ ชนจากคนรนุ่ แหลง่ สถานทสี่ าํ คญั อนั อาจเปน็ ผลงานฝมี อื มนษุ ยห์ รอื เปน็ ผลงานรว่ มกนั ระหวา่ ง หนง่ึ มายงั คนอกี รนุ่ หนง่ึ แตใ่ นปจั จบุ นั มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมดงั กลา่ ว ได้ ธรรมชาตกิ บั มนษุ ย์ รวมทงั้ พน้ื ทท่ี เี่ ปน็ แหลง่ โบราณคดี ซง่ึ สถานทเี่ หลา่ นมี้ คี ณุ คา่ รบั ผลกระทบจากความเปลยี่ นแปลงของสงั คมทง้ั ภายในประเทศและตา่ งประเทศ ความลาํ้ เลศิ ทางประวตั ศิ าสตร์ ศลิ ปะ มานษุ ยวทิ ยา หรอื วทิ ยาศาสตร์ มรดก บางครั้งมีการนํามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไปใช้ในทางที่บิดเบือนหรือไม่ ทางวฒั นธรรมทจ่ี บั ตอ้ งได้ สามารถแบง่ ออกเปน็ ประเภทยอ่ ย ๆ ตามลกั ษณะท่ี เหมาะสมและอาจเป็นเหตุให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเหล่านั้นต้องเส่ือม ปรากฏได้ 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ ประเภทวตั ถเุ คลอ่ื นทไี่ ดแ้ ละประเภทวตั ถทุ เี่ คลอ่ื นที่ สญู ไปอยา่ งนา่ เสยี ดาย สมควรจดั ใหม้ กี ารสง่ เสรมิ และรกั ษามรดกภมู ปิ ญั ญาทาง ไมไ่ ด้ วฒั นธรรมใหม้ คี วามสบื เนอื่ งและยง่ั ยนื สบื ไป โดยในมาตรา 2 แห่งอนสุ ัญญาวา่ ดว้ ยการสงวนรกั ษามรดกทางวัฒนธรรมทจี่ บั ต้องไม่ได้ ระบุนยิ ามของคาํ วา่ “มรดกทางวัฒนธรรมทจี่ ับตอ้ งไมไ่ ด”้ ว่าหมายถึง การปฏบิ ตั ิ (practices) การแสดงออก (expressions)การนาํ เสนอ (representations) ความรู้ (knowledge) ทกั ษะ (skills) ตลอดจนเครอ่ื งมอื วตั ถุ สง่ิ ประดษิ ฐ์ และพน้ื ทท่ี างวฒั นธรรมที่เกีย่ วเนื่องกบั ส่ิงเหลา่ นน้ั ซ่ึงชุมชน กลมุ่ ชน หรือในบางกรณปี ัจเจกบุคคลยอมรบั วา่ เป็นสว่ นหน่ึงของมรดกทางวฒั นธรรมของตน มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมซง่ึ ถา่ ยทอดจากคนรุน่ หนง่ึ ไปยังคนอีกร่นุ หนง่ึ นี้ เป็นสิ่งซ่งึ ชุมชนและกลมุ่ ชนสร้างข้นึ มาอย่างสม่ําเสมอ เพอ่ื ตอบสนองต่อสภาพ แวดล้อมของตน เป็นปฏสิ ัมพันธ์ของพวกเขาทม่ี ีตอ่ ธรรมชาตแิ ละประวัตศิ าสตรข์ องตน และทําใหค้ นเหล่านน้ั เกดิ ความภมู ใิ จในตัวตนและความรู้สกึ สบื เน่ืองกอ่ ให้เกิดความเคารพต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการคิดสร้างสรรคข์ องมนุษยน์ อกจากนี้ ในอนุสัญญาฯ ตามมาตรา 2 น้ันยงั ไดร้ ะบุถงึ ขอบข่ายของ มรดกทางวฒั นธรรมทจ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ด้ ดังตอ่ ไปนี้ 1) เรอ่ื งราวขอ้ มูลความรดู้ า้ นขนบธรรมเนียมประเพณวี ัฒนธรรมที่เปน็ มขุ ปาฐะและการแสดงออกในดา้ นตา่ ง ๆ รวมถงึ วัฒนธรรมดา้ นภาษาในฐานะทเ่ี ปน็ สอื่ สบื ทอดมรดกวัฒนธรรมทจ่ี ับตอ้ งไมไ่ ด้ (Oral traditions and expressions, including language as a vehicle of the intangible cultural heritage) 2) ศิลปะการแสดง (Performing arts) 3) แนวปฏิบัติทางสงั คม พธิ ีกรรม และงานเทศกาลต่าง ๆ (Social practices, rituals and festive events) 4) ความรู้และวถิ ปี ฏบิ ัตเิ ก่ยี วกับธรรมชาติและจักรวาล (Knowledge and practices conceding nature and the universe) 5) งานช่างฝมี ือดง้ั เดิม (Traditional craftsmanship)
กฎบัตรประเทศไทยว่าด้วยการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม (2554) เป็นแนวทางการปฏิบัติในการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม 11 ในประเทศไทยส�ำหรับทกุ ภาคส่วน ไดก้ �ำหนดนยิ ามศัพทท์ ีส่ �ำคญั เกี่ยวกับมรดกวัฒนธรรม ดังน้ี มรดกวฒั นธรรม หมายถงึ ผลงานสรา้ งสรรคข์ องชนในชาตทิ เี่ ปน็ สมบตั ทิ าง วัฒนธรรมอันมคี ุณคา่ ทต่ี กทอดมาจากรนุ่ กอ่ นเป็นประจกั ษ์พยานของ พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ หมายรวมถงึ สง่ิ แวดลอ้ มทมี่ นษุ ยไ์ ดส้ รา้ งขน้ึ และระบบนิเวศซ่ึงเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าไม่สามารถหาทดแทนได้ เป็นเครอ่ื งหมายที่สะทอ้ นให้เห็นถึงความส�ำเรจ็ ของผคู้ นในอดีตแสดงให้ เห็นถึงวัฒนธรรมที่โดดเด่นและเอกลักษณ์ของพ้ืนท่ีมีการสืบทอดมา ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและควรค่าแก่การสืบสานต่อไปในอนาคตมรดก วฒั นธรรมแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคอื มรดกวฒั นธรรมทจ่ี บั ตอ้ งได้ และ มรดกวฒั นธรรมทจ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ด้ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องได้ หมายถึง มรดกทางวัฒนธรรมท่ีเป็นรูป ธรรมซงึ่ เป็นสิง่ ทส่ี ามารถจับต้องและมองเหน็ ได้ ไดแ้ ก่ โบราณสถาน อนสุ าวรยี ์ สถาปตั ยกรรม อาคารกลมุ่ อาคาร ยา่ นชมุ ชนทอ้ งถนิ่ เมอื งเกา่ แหลง่ ประวตั ศิ าสตร์ แหลง่ โบราณคดี แหลง่ ภมู ทิ ศั นป์ ระวตั ศิ าสตร์ ภมู ทิ ศั น์ วฒั นธรรม โบราณวตั ถแุ ละผลงานศลิ ปะแขนงตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ หมายถึง มรดกทางวัฒนธรรมท่ีเป็น นามธรรมซ่ึงเป็นส่ิงที่ไม่สามารถจับต้องหรือแสดงออกมาทางกายภาพ ได้ ได้แก่ ภูมิปัญญาความรู้ ความหมาย ความเชื่อความสามารถ ขนบธรรมเนยี มประเพณจี ารตี ทบี่ ุคคลหรอื ชุมชนได้สรา้ งสรรค์ขน้ึ เพอ่ื เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการด�ำรงชวี ติ อยู่ และไดถ้ า่ ยทอดจากรนุ่ หนง่ึ ไปสอู่ กี รนุ่ หน่ึงมาจนถงึ ปัจจุบนั ทงั้ นี้ แหลง่ มรดกวฒั นธรรมคอื มรดกวฒั นธรรมทจี่ บั ตอ้ งไดท้ เ่ี ปน็ อสังหาริมทรพั ย์ ซึ่งมีความผูกพันเกี่ยวข้องกับมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้อย่างแยก ไมอ่ อก การบริหารจดั การมรดกวัฒนธรรม หมายถงึ กระบวนการคุ้มครองและ การจดั การองคป์ ระกอบทห่ี ลากหลายของมรดกวฒั นธรรมใหด้ �ำรงคณุ คา่ ไว้เพ่ือสร้างความเข้าใจและท�ำให้เกิดความตระหนักในความส�ำคัญทาง วัฒนธรรมโดยค�ำนึงถึงความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการณ์ของ สงั คมทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป
โบราณสถานขึน้ ทะเบยี น พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติจงั หวัดสตลู (คฤหาสน์กเู ดน็ ) เป็นอาคารเก่าแก่ของ จงั หวดั สตลู สรา้ งขน้ึ สมยั พระยาภมู นิ ารถภกั ดเี ปน็ ผวู้ า่ ราชการเมอื ง เรมิ่ กอ่ สรา้ งในปใี ดไม่ ปรากฏหลกั ฐานชดั เจน แตส่ รา้ งเสรจ็ ประมาณปี พ.ศ. 2445 จดุ ประสงคใ์ นการกอ่ สรา้ ง เพอ่ื เปน็ บา้ นพกั ของเจา้ เมอื ง เปน็ สถานทตี่ อ้ นรบั แขกบา้ น แขกเมอื ง และเตรยี มไวร้ บั เสดจ็ ฯ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื ครง้ั เสดจ็ ประพาสหวั เมอื งปกั ษใ์ ต้ ปี พ.ศ. 2448 แตพ่ ระองคไ์ มไ่ ดเ้ สดจ็ เมอื งสตลู ครง้ั นน้ั อาคารหลงั นจี้ งึ ไดใ้ ชเ้ ปน็ บา้ นพกั ของเจา้ เมอื ง เป็นศูนย์การปกครองเมืองสตูล ต่อมาสมัยสงครามโลกคร้ังท่ีสองญี่ปุ่นใช้เป็นท่ีต้ังกอง บัญชาการทหาร และสาํ นักงานเทศบาลเมอื งสตลู ใช้เป็นที่ทําการระยะหนง่ึ จากน้ันจงึ ใช้ เปน็ ศาลากลางจงั หวดั จนกลายเปน็ ทม่ี าของชอื่ “ศาลากลางเกา่ ” ตอ่ มาใชเ้ ปน็ ทวี่ า่ การอาํ เภอ เมืองสตูล เปดิ เปน็ ห้องเรียนของโรงเรยี นเทศบาล และกองอํานวยการรกั ษาความม่ันคง ภายใน (กอ.รมน.) ไดใ้ ชอ้ าคารหลงั นเี้ ปน็ หนว่ ยงานสดุ ทา้ ย คฤหาสน์กเู ด็นเปน็ สถาปตั ยกรรมยุโรปแบบโคโรเนยี ล เปน็ อาคารตกึ สองช้นั ผงั อาคารเปน็ สีเ่ หล่ยี มจัตุรสั หลงั คาเป็นทรงปั้นหยาแบบไทย อาคารชนั้ ลา่ งแบง่ เปน็ สีส่ ว่ น คือ 12 ระเบียง หอ้ งโถงกลาง ห้องปกี สองขา้ ง และโถงด้านหลงั มบี ันไดข้ึนชน้ั บนท่ีโถงกลางและโถงหลัง ช้นั บนแบง่ เปน็ สส่ี ว่ น คือมขุ ด้านหนา้ หอ้ งโถงกลาง และหอ้ งปกี สองขา้ งหอ้ งด้านหลัง และดาดฟ้า ประตูหนา้ ตา่ งสรา้ งเปน็ รปู โคง้ แบบโรมนั ชอ่ งลมทห่ี นา้ มขุ ชน้ั บน ตกแต่งเปน็ รปู ดาวอนั เป็นสญั ลกั ษณข์ องศาสนาอสิ ลาม สว่ นประกอบภายในสว่ นใหญ่ใช้ไม้ เช่น พนื้ บาน ประตู หน้าต่าง วงกบ บนั ได ราว บนั ได ลกู กรง และเพดานกระเบือ้ ง หลังคาเดมิ ใชก้ ระเบ้อื งกาบกล้วยซ่ึงเป็นดินเผา ภายหลังเปล่ยี นเป็นกระเบอ้ื งลอนคู่ นายชา่ งก่อสรา้ งเปน็ ชาว ปีนงั จงึ มอี ทิ ธพิ ลของสถาปตั ยกรรมแบบตะวนั ตกผสมผสานกับของไทยและอิสลาม เดมิ คฤหาสน์กูเด็นมชี อื่ เรยี กหลายชื่อ เช่น บ้านเจ้าเมอื ง บ้านเจ้าคุณภมู ิ บา้ นพระยาภูมนิ ารถภกั ดี ศาลากลางเก่า และสภา ปี พ.ศ. 2527สาํ นักงานการประถมศกึ ษาจงั หวัด สตลู จัดพมิ พ์หนงั สอื “รวมเรื่องเมอื งสตลู ” ไดต้ ง้ั ช่อื อาคารหลงั น้ีว่า “คฤหาสน์กเู ด็น” จนเป็นท่ียอมรับกันกระท่งั ทกุ วนั น้ี ผู้ตงั้ ชื่อคอื “นายอาํ นาจ สุธาประดษิ ฐ”์ ศกึ ษานเิ ทศก์ สาํ นกั งานการประถมศึกษาจังหวดั สตูล กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนคฤหาสน์กูเด็นเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อวันท่ี 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ตอ่ มาปี พ.ศ. 2537 กรมศลิ ปากรได้เริ่มดาํ เนินการ ปรบั ปรงุ อาคาร บรู ณะ ซอ่ มแซม ปรบั ปรงุ ภมู ทิ ศั นโ์ ดยรอบ รวมทงั้ ตดิ ตง้ั ระบบสาธารณปู โภค และระบบปรบั อากาศเสรจ็ สมบรู ณเ์ มอ่ื ปี พ.ศ. 2543 และวนั ที่ 9 มิถนุ ายน พ.ศ. 2543 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล คฤหาสน์กูเด็นเปิดให้ประชาชนเข้าชมและบริการด้าน การศึกษามากระทง่ั ทุกวันน้ี การจดั แสดงภายในพพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตสิ ตูล แบ่งตามหอ้ งตา่ งๆ รวม 10 หอ้ ง ได้แก่ หอ้ งท่ี 1 ห้องข้อมูลขา่ วสาร ห้องที่ 2 หอ้ งภมู ิหลังเมอื งสตูล หอ้ งท่ี 3 ห้อง ประชาสัมพนั ธ์ หอ้ งที่ 4 ห้องวถิ ีชวี ติ ชาวสตูล หอ้ งที่ 5 หอ้ งจัดแสดงนทิ รรศการช่วั คราว หอ้ งที่ 6 หอ้ งบา้ นเจ้าเมอื ง หอ้ งท่ี 7 หอ้ งเรือนชานชาวบา้ นสตลู ห้องท่ี 8 หอ้ งรับแขกร่วมสมยั คฤหาสนก์ เู ดน็ หอ้ งท่ี 9 ห้องวัฒนธรรมชาวไทยมุสลมิ ในจังหวดั สตลู หอ้ งท่ี 10 ส่วนชัน้ ดาดฟ้าและคาฟีเรยี
โบราณสถานทีย่ งั ไม่ขึน้ ทะเบยี น กโุ บรอ์ ัล–มัรฮมู ตนกมู ูฮ�ำหมัด อากบิ สนูบตุ ร (กโุ บรเ์ จา้ เมือง) ตวั กโุ บร์ใหญ่ตดิ ถนน 3 ด้าน คอื ถนนสตูลธานี 7 และถนนเรอื งฤทธิ์จรูญ เป็นท่ที พี่ ระยาสมนั ตรัฐ บุรินทร์ท่านแรก (ตนกูมูฮ�ำหมัดอาเก็บ) ให้เป็นท่ีฝังศพของชาวเมืองต้ังแต่สร้าง เมอื งเมอ่ื ปี 2382 มมุ ทศิ ตะวันตกเฉยี งใต้ ถกู กน้ั ดว้ ยก�ำแพงเปน็ สดั สว่ นตา่ งหาก เรยี นวา่ ลงั การ์ (Langngar) หมายถงึ ทฝี่ งั ศพของเจา้ เมอื งและเชอ้ื พระวงศ์ ตวั หลมุ ฝงั ศพกอ่ อฐิ ฉาบปนู แบบสสุ านไทรบรุ ี มลี วดลายปนู ปน้ั ตกแตง่ สวยงาม ซง่ึ เป็นที่ฝัง ศพของเจ้าเมืองในสายสกลุ “สนูบตุ ร” 3 ทา่ น ที่ปกครองสตลู ในช่วง พ.ศ.2382- 2440 ได้แก่ พระยาสมันตรฐั บุรินทร์(ตนกูมฮู �ำหมัดอาเก็บ) พ.ศ.2382-2419 พระยาอภัยนรุ าช (ตนกูอสิ มาอลี ) พ.ศ.2419-2427 • พระยาอภยั นุราช (ตนกอู บั ดลุ เราะห์มาน) พ.ศ.2427-2440 อาคารเก่าริมถนนบุรีวานิช เป็นอาคารแบบอาณานิคมช่องแคบของอังกฤษ (British Straits Settlements Building) หรือท่ีชาวสตูลเรียกว่าอาคารชิโนโปรตุกีส(Sino-Portuguese 13 Building) ลักษณะอาคารเป็นอาคารพาณิชย์สองช้ันใช้ค้าขายและอยู่อาศัยไปด้วยกัน ชาวจีนเรียกว่า“เตี่ยมฉู่” (Shop House) เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนระบบผนังรับน้�ำหนัก ห้องริมจะมีผนังช้ันล่างหนามากเพ่ือรับน้�ำหนักผนังช้ันบน ห้องกลางๆในชุดท่ีสร้างพร้อมกัน ผนังชั้นบนจะเป็นไม้ ช่วงหน้าอาคารมีทางเดินใต้ตัวบ้านช่วงหน้าท่ีเรียกว่า“หง่อก่าก่ี” (Five Foot Way) ในบา้ นมชี อ่ งเปิดเรยี กวา่ “จ่มิ แจ๊” ช่องเปดิ นจ้ี ะมีบ่อน�ำ้ ใช้เปน็ ลานซักลา้ ง สร้างครัง้ แรกสมยั พระยาภูมินารถภกั ดี ประมาณ พ.ศ.2440 สรา้ งทลี ะหลังบ้าง 2-3 หลัง บ้าง สามารถสังเกตอาคารรนุ่ ท่สี รา้ งพร้อมๆกนั ได้จากหลังคาและบวั หัวเสาของแตล่ ะชดุ อาคารหลงั แรกตง้ั อยทู่ ่ีเลขท่ี 17 ถนนบรุ ีวานิช ตดิ กับธนาคารกรงุ เทพสาขาสตลู ในปัจจุบัน สร้างโดยพระยาภูมินารถภักดีเม่ือครั้งมารับราชการในเมืองสตูลใหม่ๆ ช่วง พ.ศ.2440 อาคารเก่าบนถนนบุรีวานิช เดิมมีท้ังหมด 33 คูหา ถูกร้ือไปสร้างธนาคารกรุงเทพ 3 คูหา (เลขที่ 11,13,15) ร้ือสร้างใหม่เป็นแบบอื่นอีก 4 คูหา คือเลขท่ี 39-41 กับ 57-59 จึงยังคงเหลืออาคารเดิม 26 คูหาอาคารเก่าก่ออิฐถือปูนบนถนนบุรีวานิชมีเฉพาะฝั่งตะวันออกของถนนเท่านั้น ด้วยเหตุว่า ฝั่งตะวันตกไม่สามารถสร้างอาคารก่ออิฐได้ เน่ืองจากเป็นที่ลุ่มน้�ำในล�ำคลองม�ำบังข้ึนถึง ดินอ่อนไม่สามารถสร้างอาคารก่ออิฐถือปูนได้ การสร้างอาคารปูนเพิ่งมีคร้ังแรกใน พ.ศ.2517 เลขท่ี 80 ถนนบุรีวานิช เพราะเพิ่งมี เทคโนโลยีการถมดิน
14 แผนท่มี รดกวฒั นธรรมในเขตพื้นท่เี มืองเก่าสตลู
ศาสนสถาน วัดชนาธปิ เฉลิม พระอารามหลวง วัดชนาธิปเฉลมิ (วัดมำ� บงั ) ในอดตี (วัดม�ำบัง) สร้างมาต้งั แต่ พ.ศ.2425 สมยั พระยาอภัยนุ ราช(ตนกูอสิ มาอลี )เป็นเจา้ เมือง ในอดีตเป็นวัดขนาดเล็ก ไม่มีโบสถ์ และมีพระภิกษุจ�ำพรรษาน้อยรูป พ.ศ.2473 พระธรรมวโรดม แห่งวัดราชาธิวาส เจ้าคณะมณฑล นครศรีธรรมราชและมณฑลภูเก็ต ได้มีค�ำส่ังให้พระแสง และพระเปร่ืองจากจังหวัดสงขลามาจ�ำวัดที่วัดม�ำบัง เนื่องจากพระอธิการชุ่ม เจ้าอาวาสรูปที่ 3 ย้ายไปจ�ำ พรรษาทว่ี ัดหนา้ พระลาน นครศรธี รรมราช พระแสงมาด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าอาวาสและพระเปรื่องเป็นรองเจ้าอาวาส เมื่อพระท้ังสองรูปมาถึงก็เริ่มงานส�ำคัญคือการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา เพ่ือให้กุลบุตรในเมืองม�ำบังและท่ัวท้ังจังหวัดได้มีที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุใน พระพุทธศาสนา ความพยายามของพระภิกษุทั้งสองรูปส�ำเร็จ เมื่อวันท่ี 5 ธนั วาคม 2473 ปีเดียวกัน พระอโุ บสถของวดั ม�ำบังสรา้ งเสรจ็ ในปี พ.ศ. 2482 โดยได้ไมม้ าจาก 15 การหักร้างถางพงเพ่ือสร้างสถานกักกันนักโทษในเกาะตะรุเตาของกรม ราชทัณฑ์ ปีเดียวกันพระธรรมวโรดมเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสได้เปลี่ยนช่ือ ปี พ.ศ. 2534 วัดชนาธปิ เฉลมิ ได้รับพระราชทานพระบรมราชานญุ าต วัดม�ำบังเป็น “วัดชนาธิปเฉลิม” เพื่อขานรับนโยบายรัฐนิยมของจอมพล ใหย้ กฐานะจากวดั ราษฎรเ์ ปน็ พระอารามหลวงชนั้ ตรี จากการน�ำของ น.ท.นทิ ัศน์ ป. พิบูลสงคราม พิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตมีข้ึนในปีถัดมา พุทธบริษัทได้ รตั นดลิ ก ณภูเกต็ ที่ทมุ่ เทความพยายามในการน้มี าตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2432 ต่อ สร้างเหรียญที่ระลึกเน่ืองในพิธีผูกพัทธสีมาซึ่งกลายเป็นพระเคร่ืองหายาก มามีการสร้างพระบรมธาตเุ จดยี ศ์ รเี มืองใต้ ในปี พ.ศ. 2553 สร้างเสรจ็ ในปี เป็นท่ีต้องการของนักเลงพระและมีราคาแลกเปลี่ยนสูงมากในปัจจุบันต่อมาปี ถัดมาโดยไดแ้ บบมาจากพระธาตเุ จดยี ์ของวัดไทยกุสินาราเฉลมิ ราชย์ เมอื งกสุ ิ พ.ศ. 2507 ไฟไหม้ฐานชกุ ชที ่ปี ระดษิ ฐานพระประธาน และลามไปไหมต้ วั พระ นารา รัฐอุตรประเทศสาธารณรฐั อินเดีย เพอ่ื บรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุซึ่งรับ อโุ บสถบางส่วน มีการซอ่ มแซมปกปดิ รอ่ งรอยเดิม แต่ในปี พ.ศ. 2527 พระ พระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณสังวรเป็นสมเดจ็ อโุ บสถถูกรื้อท้ังหลังเพื่อซ่อมแซมใหม่แตย่ งั คงรักษารปู แบบเดิม มีการร้ือเสา พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายกพระองคท์ ่ี 19 แห่งกรงุ รัตนโกสินทร์และ จากประเทศพมา่ ไม้ช้ันล่างออกท�ำเปน็ เสาปูนเพ่อื แกป้ ญั หาปลวกกัดกินเน้ือไม้ วัดชนาธปิ เฉลิม (วดั มำ� บัง) ในปจั จบุ ัน
พระราชพิธีเปิดมัสยดิ มำ� บงั มสั ยดิ กลางจงั หวดั สตลู (มสั ยดิ มำ� บงั ) สรา้ งในชว่ งแรกๆของการสรา้ งบา้ นแปงเมอื งของตนกฮู �ำหมดั อาเกบ็ (พระยาอภยั นรุ าช ทา่ นท่ี 2 / พระยาสมนั ตรฐั บรุ นิ ทรท์ า่ นแรก) บตุ รชายของตนกบู ศิ นผู ไู้ ดร้ บั ค�ำสงั่ ใหม้ าฟน้ื ฟเู มอื ง สตลู หลงั สงครามไทรบรุ คี รงั้ สดุ ทา้ ยปพี .ศ. 2481 ใชเ้ วลากอ่ สรา้ งนานหลายปจี งึ แลว้ เสรจ็ ตงั้ ชอ่ื ตามนามของตนกมู ฮู �ำหมดั อาเกบ็ วา่ “มสั ยดิ อากบี ”ี ทุนการสร้างมสั ยดิ ไดจ้ ากการตอ่ เรือมาดตีเมาซูดะส่งไปขายไทรบรุ ี น�ำรายได้นั้น ซ้อื อิฐ ปูน กระเบือ้ งปพู ้นื และกระเบ้อื งกาบกล้วยมาจากไทรบรุ ี ตัวอาคารชน้ั เดยี วทรง สเ่ี หลยี่ มจตุรสั กวา้ ง 13 เมตรกอ่ อฐิ สอปูน ภายในมเี สาไมส้ เ่ี หลยี่ มขนาดใหญ่ 4 เสา มี หลงั คา2ชัน้ ทรงปริ ามิดเรียกวา่ Nusantara Roof ตามแบบท่ีนยิ มในคาบสมทุ รมลายชู ่วง น้ัน สถาปนิกผู้เขยี นแบบเป็นชาวมะละกา นายช่างก็เป็นชาวมะละกาเช่นกนั ผู้ควบคุมดูแลและจัดหาเงินทุนในการก่อสร้าง คือ หวันอูมาร์ บินหวันฮาดี ช่ึงเป็น “เบนดาฮารา”ข้าราชการระดับสูงเทียบเท่าปลัดเมือง ต้นตระกูล“ฮะอุรา” เม่ือ เสียชีวิต ร่างของท่านถกู ฝงั ไว้บริเวณมัสยิดดา้ นทศิ ตะวันตก ตามความประสงค์ของผ้วู าย ชนม์ ปจั จบุ ันกุโบร์หรือหลมุ ฝังศพนี้ยังคงอยทู่ เ่ี ดิม 16 มัสยดิ หลงั เกา่ มสั ยดิ ม�ำบงั ถกู รอ้ื ออกทง้ั หลงั ในปี พ.ศ. 2517 เพอ่ื สรา้ งมสั ยดิ ม�ำบงั หลงั ใหม่ ประกอบดว้ ยเสาสงู ชะลดู ทรงซมุ้ โคง้ แบบโกธคิ หลงั คาเปน็ ระหวา่ งกอ่ สรา้ งพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ย ดาดฟ้าคอนกรตี มีโดมกลบี มะเฟืองประดบั โมเสคสีทองจากอติ าลี หออา เดชมหาราช บรมนาถบพติ ร (รชั กาลท่ี 9) เสดจ็ พระราชด�ำเนนิ เยยี่ มมสั ยดิ เมอ่ื วนั ซานทรงโดมกลบี มะเฟอื งประดบั โมเสคสที องเชน่ เดยี วกนั มสั ยดิ นม้ี พี นื้ ผวิ ที่ 9 กนั ยายน พ.ศ. 2518 เมอ่ื สรา้ งเสรจ็ ในเดอื นพฤษภาคม พ.ศ. 2522 มสั ยดิ ท�ำดว้ ยโมเสค ชอ่ งลมท�ำดว้ ยดนิ เผาสอี ฐิ จงึ ดแู ลรกั ษาท�ำความสะอาดงา่ ย ถกู ตง้ั ชอื่ วา่ “มสั ยดิ ม�ำบงั ” มฐี านะเปน็ มสั ยดิ กลางประจ�ำจงั หวดั สตลู ไมต่ อ้ งทาสกี จ็ ะดใู หมอ่ ยเู่ สมอ ออกแบบโดยนายเจรญิ ลมิ่ สกลุ สถาปนกิ ชาวหาดใหญ่ กอ่ สรา้ งโดยบรษิ ทั ก�ำธรพานชิ สนิ้ เงนิ กอ่ สรา้ งในขณะนนั้ 12 พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรม ลา้ นบาท นาถบพิตร (รชั กาลท่ี 9) เสด็จพระราชด�ำเนนิ พรอ้ มดว้ ยสมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (ในรัชกาลท่ี 9) สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า เจา้ ฟา้ มหาจกั รสี ิ รนิ ธรฯ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเดจ็ พระเจ้านอ้ งนางเธอ เจา้ ฟ้าจฬุ าภรณ วลัยลักษณ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารี มาใน พระราชพิธเี ปดิ มัสยดิ ม�ำบงั เมอื่ วนั ที่ 20 กนั ยายน พ.ศ. 2522 มัสยิดม�ำบังในปัจจุบัน
ศาลเจา้ โป้เจเ้ ก้ง เปน็ ศาลเจ้าเก่าแกส่ ร้างเมอ่ื ปี พ.ศ. 2433 เดิม ในสมยั นน้ั ชาวสตลู สว่ นใหญเ่ ปน็ จนี อพยพจากมณฑลฮกเกยี้ น ไดร้ ว่ มแรง 17 รว่ มใจสรา้ งศาลเจา้ โปเซง่ ไตเ่ ต่ เพอื่ เปน็ ทพ่ี ง่ึ ทางใจและทางกายยามเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย ตั้งอยูท่ ถี่ นนศุลกานกุ ูล บรเิ วณตรงข้ามธนาคารกสิกรไทยสาขาสตูล ย้ายมาท่ี ศาลเจ้านี้มีต�ำรับยาของหงอจินหยินที่สืบทอดมานานนับพันปีถึง 104 ต�ำรับ ปจั จบุ ันบนถนนสมนั ตประดษิ ฐ์ ราวปี พ.ศ. 2468 ส�ำหรบั รกั ษาโรคต้ังแต่ศรี ษะจรดปลายเท้า เม่อื ใครไม่สบายจะมผี ้รู วู้ ิชาแพทย์ ชาวจีนสมัยนั้นสร้างศาลเจ้าน้ีเพ่ือการรักษาโรค พระโปเซ่งไต่เต่ซ่ึง แผนจีนประจ�ำศาลเจา้ คอยวินิจฉัยส่งั ยาใหต้ ามต�ำรับ ผปู้ ่วยจะน�ำ “เทยี บ” ยา เป็นพระประธานของศาลเจ้า เดิมเป็นคนท่ีมีชีวิตอยู่จริง เกิดในสมัยฮ่องเต้ ทไ่ี ดร้ บั จากศาลเจา้ ไปหาตวั ยาเอาเอง ซงึ่ อาจเปน็ พชื หรอื สว่ นประกอบสงิ่ อนื่ ๆ ซงึ่ ซ่งไท่จง ตายสมัยซ่งเจินจงแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ (พ.ศ.1522-1579) เป็นชาว นับว่ายุ่งยากพอควรกว่าจะหาได้ครบต่อมาความนิยมหาหมอยาศาลเจ้าลดลง เมืองจว่ นจวิ มณฑลฝเู จย้ี น เพราะมแี พทยแ์ ผนจนี ที่เปิดรา้ นมีสมนุ ไพรจ�ำหนา่ ยพร้อมกับการรกั ษาคนไขไ้ ม่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่โปเซ่งไต่เต่ได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา มีชื่อเมื่อแรกเกิด ตอ้ งเสยี เวลาไปหาตวั ยาเอง ตวั ต�ำรบั ยากใ็ ชต้ �ำรบั ยาของศาลเจา้ ไปจดั ยาใหล้ กู คา้ วา่ “หงอบนุ้ ” รำ่� เรยี นวชิ าจบั ชพี จรและการรกั ษาวชิ าแพทยแ์ ผนจนี จากครอบครวั ลกู คา้ กไ็ ดร้ บั ความสะดวกแลกกบั เงนิ ไมม่ ากนกั ปจั จบุ นั ต�ำรบั ยาของหงอจนิ หยนิ ซึ่งมีต�ำหรับยาจีนสืบต่อๆกันมานานนับร้อยปี ท�ำการรักษาผู้คนจนมีช่ือเสียง โปเซง่ ไตเ่ ต่ ทใี่ ชร้ กั ษาผปู้ ว่ ยของศาลเจา้ โปเจเ้ กง็ ยงั คงอยคู่ รบทง้ั 104 ต�ำรบั เลอื่ งลอื ครงั้ หนงึ่ พระมารดาของฮอ่ งเตซ้ ง่ เจนิ จงประชวร ใหม้ หาดเลก็ มาตามไป รักษาพระอาการหงอจินบุ้นไม่สามารถจับชีพจรของพระราชชนนีได้ด้วยกฎ มณเฑยี รบาล จงึ ตอ้ งใชเ้ สน้ ดา้ ยโยงจากมอื คนไขม้ ายงั มอื ของหมอ หมอหงอบนุ้ สามารถรกั ษาจนอาการทเุ ลาลงท�ำใหม้ ชี อ่ื เสยี งโดง่ ดงั ไปทว่ั หงอบุน้ เสยี ชีวติ ในวยั 59 ปี ขณะปีนเขาไปเก็บตัวยาสมนุ ไพรตา่ ง ๆ มาใชร้ กั ษาผคู้ น ชาวบา้ นจงึ สรา้ งศาลไวส้ กั การะบชู า ตอ่ มาไดก้ ลายเปน็ ต�ำนาน ผคู้ นเชอ่ื วา่ ทา่ นจตุ ไิ ปเปน็ เทพมนี ามวา่ “หงอจนิ หยนิ ” และ ”โปเซง่ ไตเ่ ต”่ เพอื่ โปรดสตั ว์รกั ษาคนเจ็บไขใ้ ห้หายปว่ ย ต่อมาอาคารศาลเจา้ เก่าทีส่ ร้างดว้ ยไมเ้ น้อื แข็งท้ังหลงั ถูกรอ้ื สรา้ งใหม่ ภาพแมพ่ ิมพ์เทียบยาของศาลเจ้าโปเ้ จ้เก้ง เปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถอื ปนู ทง้ั หลงั ตามแบบสถาปตั ยกรรมจนี เปน็ อาคารหลงั เดียวท่ี ต่อปกี ซ้ายเพือ่ ประดษิ ฐานเทพเจ้าเตาไฟและเทพช้นั รองอื่น การบรู ณะใหม่ใช้ เวลาไมน่ านกเ็ สรจ็ สนิ้ ในปี พ.ศ. 2512 ยงั เหลอื ชนิ้ สว่ นอาคารเกา่ เพยี งชนิ้ เดียว คอื เสาเอกตน้ เดยี วท่ีถูกเก็บรักษาไวเ้ ป็นทรี่ ะลกึ แมพ่ มิ พต์ �ำรับยาถกู ปลวกกิน ไปเปน็ จ�ำนวนมาก แตย่ ังเหลือตัวแม่พิมพท์ ีแ่ กะจากไมก้ ระดานให้ไดศ้ ึกษาวธิ ี การพมิ พ์ของคนโบราณอยู่จ�ำนวนหน่งึ
วดั สตูลสนั ตยาราม วดั สตลู สนั ตยาราม18 ตงั้ อยเู่ ลขท่ี 12 ถนนเรอื งฤทธจ์ิ �ำรญู ต�ำบล ด้วยเหตุท่ีเปน็ วัดซึ่งพฒั นามาจากฌาปนสถาน ประชาชนจึงนยิ มเรยี กวา่ เรียก พิมาน อ�ำเภอเมืองสตูล สังกัดคณะสงฆ์มหานิกายแต่เดิมเป็นสถานที่บริเวณ “วัดป่าช้าไทย” เริ่มสร้างให้เป็นวัดใน พ.ศ. 2497 โดยการริเร่ิมของคณะ ชานเมอื งส�ำหรบั เผาศพชาวไทยพทุ ธ มที ด่ี นิ ตง้ั วดั เนอื้ ท่ี 28 ไร่ 50 ตารางวา ทศิ จ่าต�ำรวจ ผู้คมุ เรือนจ�ำและขา้ ราชการบางแผนก ชักชวนกันแผว้ ถางสถานที่ เหนอื ตดิ กบั ทด่ี นิ นายชน่ื บรู พวลั ย์ ทศิ ใต้ ตดิ ตอ่ กบั ทดี่ นิ สมาคมฌาปนกจิ สตลู สรา้ งเปน็ ทพี่ กั สงฆ์ นมิ นตพ์ ระมหาเพมิ่ เลขานกุ ารเจา้ คณะจงั หวดั สตลู วัดชนาธิป ทิศตะวันออกติดต่อกับถนนเรืองฤทธิ์จ�ำรูญ ทิศตะวันตกติดต่อกับภูเขาโต๊ะ เฉลิมให้มาอยดู่ �ำเนินการสรา้ งวดั หยงกงพนื้ ทต่ี ง้ั วดั เปน็ ทร่ี าบเชงิ เขา รปู สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ อาคารเสนาสนะตา่ ง ๆ มี พ.ศ. 2503 หมน่ื ฉลาดเฉลยสารอดีตนายกเทศมนตรีเมืองสตูล ด�ำเนนิ การขอ ศาลาการเปรยี ญกวา้ ง 12 เมตร ยาว 24 เมตร สรา้ ง พ.ศ. 2503 โครงสรา้ ง อนญุ าตตอ่ ทางราชการ ไดร้ บั อนญุ าตใหส้ รา้ งวดั เมอื่ วนั ที่ 5 กนั ยายน พ.ศ. 2504 คอนกรตี เสรมิ ไมก้ ฎุ สิ งฆจ์ �ำนวน 9 หลงั โครงสรา้ งเปน็ อาคารไม้ 7 หลงั ครงึ่ ตกึ กระทรวงศกึ ษาธิการประกาศตงั้ เปน็ วัดเมื่อวันท่ี 30 มกราคม พ.ศ. 2509 ได้ ครงึ่ ไม้ 2 หลงั นอกจากนยี้ งั มศี าลาประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ศตวรรษท่ี 25 และ รบั พระราชทานวิสุงคามสมี า เม่ือวันท่ี 14 มนี าคม พ.ศ. 2510 เขตวิสุงคามสมี า มอี โุ บสถทจ่ี ดั วา่ มคี วามสวยงามหลงั หนง่ึ ของสตลู กว้าง40 เมตร ยาว 80 เมตร เจ้าอาวาสผู้ปกครองวดั ทา่ นแรก ต้งั แตเ่ ริ่มสร้างวดั เป็นต้นมาคือ พระมหาเพ่ิม ปกครองวัดขณะทย่ี ังเป็นท่พี ักสงฆ์อยู่ตอ่ มา พ.ศ. 2499 พระครบู ณั ฑติ านุวตั ร (พระมหาอำ่� ปณฑฺ โิ ต) ไดป้ กครองวดั สบื ตอ่ มา ในระหวา่ งทที่ า่ นไดป้ กครองดแู ล วดั ในฐานะเจา้ อาวาส ทา่ นพระครบู ัณฑิตานวุ ตั ร ไดพ้ ัฒนาวดั สร้างถาวรวัตถุ หลายอย่างให้แกว่ ดั เชน่ อโุ บสถ ศาลาการเปรียญ กฎุ ิสงฆ์ น�ำความเจรญิ มา สวู่ ดั สตลู สนั ตยารามเปน็ อยา่ งมาก ทา่ นไดท้ �ำนบุ �ำรงุ พระพทุ ธศาสนาตราบจนส้นิ อายขุ ยั ของทา่ น
ศาลเจา้ ปงึ เถา่ กง สรา้ งในปี พ.ศ. 2509 โดยการรว่ มแรงรว่ มใจ 19 ของชาวจนี แตจ้ ว๋ิ เปน็ หลกั น�ำโดยนายไฮเ้ ซง่ แซเ่ จง็ ตน้ สกลุ “จตรุ กั ษส์ มยั ” บนทดี่ นิ ซงึ่ ไดร้ บั บรจิ าคจากนายเฮงบู๊ แซต่ นั ตน้ สกลุ “อสมั ภณิ วฒั น”์ สรา้ งเสรจ็ ในปเี ดยี ว ศาลเจ้าปึงเถ่ากงไดท้ �ำพธิ ีฉลองศาลเจ้าในวนั ที่ 17 มกราคม 2510 มขี บวนแห่ สวยงามใหญโ่ ตรอบเมอื ง ภาพถา่ ยจ�ำนวนมากถกู ถา่ ยตามจดุ ตา่ งๆทข่ี บวนนเี้ ดนิ ทางไปถงึ เปน็ การบนั ทกึ ประวตั ศิ าสตรแ์ ละสภาพบา้ นเมอื งของเมอื งเกา่ สตลู ใน พ.ศ.2510 ทห่ี าชมไมไ่ ดง้ า่ ย ๆ ภาพเหลา่ นถี้ กู ใสก่ รอบรวมแขวนโชวไ์ วบ้ นผนงั โถง หนา้ ของอาคารประธานศาลเจา้ ปงึ เถา่ กง ศาลเจ้าปึงเถ่ากงมีพระประธานคือ “ปึงเถ้ากง” เป็นพระที่เปรียบเสมือน ศาลหลักเมืองคือ ปกปักรกั ษาคุ้มครองผคู้ นในอาณาบรเิ วณน้นั ๆให้มีความสงบ สุขร่มเย็น ปราศจากภยนั ตรายใด ๆ ปึงเถา่ กงต่างจากโปเซ่งไต่เตต่ รงที่ไมม่ ปี ึง เถ่ากงในเมืองจีน เช่ือกันว่าปึงเถ่ากงคือลูกเรือคนหน่ึงในกองเรือของเจ้ิงเหอ เสียชีวิตบนเกาะแห่งหน่ึงของฟิลิปปินส์จากการช่วยชาวเกาะสู้รบกับนักล่า อาณานคิ มชาวสเปนเปน็ ผูท้ ค่ี นจีนแตจ้ วิ๋ รุ่นแรก ๆ ที่อพยพมาเอเชยี ตะวันออก เฉยี งใตร้ ะลึกถึง จงึ กราบไหว้ขอพรใหค้ วามค้มุ ครองรักษา มกี ารตัง้ ห้ิงบูชาแลว้ คนรนุ่ ถดั ๆมากบ็ ชู าตาม ๆ กนั มา ในประเทศไทยมหี ลกั ฐานวา่ มกี ารบชู าปงึ เถ่า กงมาตง้ั แต่สมยั อยุธยาตอนปลาย ในขณะทีศ่ าลเจา้ โป้เจเ้ ก้งไมไ่ ด้ให้ความส�ำคญั กับความเช่ือเรอื่ งฮวงจุ้ย ศาลเจ้าปงึ เถา่ กงกลับเตม็ ไปด้วยส่งิ น้ี เบือ้ งหนา้ ศาลเจ้าเป็นทโี่ ลง่ มคี ลองม�ำบงั ไหลผา่ น อยู่ กลางชอ่ งเขาของภูเขาสองลูกคือเขาโต๊ะหยงกงอยู่ทางซ้ายมอื ซ่ึงเปรยี บเสมอื นเสอื ขาว และเขาโตะ๊ พญาวงั อยทู่ างขวาเปรียบเสมอื นมังกรเขียว ภายในโถงกลางก็ มีปฏมิ ากรรมนูนสงู กง่ึ ลอยตัวของสองส่ิงนีบ้ นผนังสิ่งก่อสรา้ งทงั้ หมดสร้างตามสถาปัตยกรรมจนี อาคารประธานตงั้ ตรงกลางลอ้ มรอบด้วยอาคารบริวาร 3 หลงั เปน็ รปู เกือกมา้ กลางลานด้านหน้าประดิษฐาน“หยกอ๋อง”ซึ่งเป็นเทพยดาสงู สดุ แหง่ ฟากฟา้ ด้านซา้ ยมศี าลเทพชั้นรองขนาดเล็กอีก 2-3 องค์ ดา้ นขวาเปน็ ทเ่ี ผา กระดาษทรงนำ�้ เต้า จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือตรงสุดปลายลานด้าน หน้าศาลเจ้ามีอาคารชั้นเดียวยกพื้นสูงขนาดใหญ่ พร้อมบันไดขึ้นลง ใช้เป็นเวทีงิ้ว อดีตมีการแสดงง้ิว ถวายเทพเจา้ ในเทศกาลตา่ ง ๆ แตป่ จั จบุ นั เลกิ ไปเพราะ ผคู้ นไมน่ ยิ มดู ท�ำใหเ้ วทที รดุ โทรมลงมากศาลเจา้ ปงึ เถา่ กงจัดงานประเพณีถือศีลกินเจถวายพระกิวอ๋องทุกวัน ที่ 1 ถงึ วนั ท่ี 9 เดอื น 9 ตามปฏทิ นิ จนั ทรคติจนี ของ ทกุ ปี เวทแี สดงงิ้วในอดตี บรเิ วณหน้าศาลเจา้ ปงึ เถา่ กง
แหล่งธรรมชาติในเมอื งเกา่ เขาโต๊ะหยงกง เขาโต๊ะหยงกงเป็นภูเขาหินปูนขนาดเล็กทอดตัว ตามแนวเหนอื ใต้ ขนานไปกบั คลองม�ำบงั ตง้ั อยทู่ างทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของ เมอื งเกา่ สตลู เปน็ สถานทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธขิ์ องชาวไทยและชาวไทยเชอ้ื สายจนี ชาวสตูล นิยมบนบานศาลกล่าวเพ่ือขอให้บรรลุวัตถุประสงค์ในหน้าท่ีการงาน และ ให้หายเจบ็ ป่วย มีเร่ืองเล่าต่อๆกันมาถึงต�ำนานของเขาโต๊ะหยงกงว่าเม่ือนานมาแล้วมี พอ่ คา้ ชาวจนี ชอ่ื “หยงกง” เปน็ พอ่ คา้ ส�ำเภา เดนิ ทางมาคา้ ขายแถบน้ี หยงกงได้ รจู้ กั และสนทิ สนมคนุ้ เคยกบั เจา้ เมอื งชอ่ื รายาอาวงั ในการพบกนั ครงั้ หนงึ่ รายาอา วังบอกหยงกงวา่ เขาก�ำลังสู่ขอเจา้ หญิงปตุ รี หยงกงจึงเดนิ ทางออกจากเมืองไป 20 เพือ่ หาของขวญั ล�้ำค่าส�ำหรบั การสู่ขอใหแ้ กร่ ายาอาวัง เมอื่ น�ำของลำ้� คา่ กลบั มาปรากฏวา่ มเี จา้ ชายอกี 2 คนทมี่ าสขู่ อเจา้ หญงิ ปตุ รี พธิ สี มรสจงึ ไมอ่ าจเกดิ ขน้ึ หยงกงทอดสมอเรอื รอสถานการณค์ ลค่ี ลาย แต่ รกั ส่ีเส้าของเจา้ ชาย 3 คนคอื รายาอาวัง รายากลวง รายาวังสา และเจ้าหญงิ ปตุ รี กบั ด�ำเนนิ ไปในทางรา้ ย เจา้ ชาย 3 คนรวมกบั หยงกงซง่ึ เปน็ พรรคพวกของ รายาอาวงั เกดิ สรู้ บกนั ขนึ้ จนท�ำใหเ้ ทพยดาลงมาหา้ มปรามกไ็ มม่ ใี ครฟงั ผเู้ ก่ียวข้องจึง ถกู สาบใหก้ ลายเป็นภูเขา หยงกงถูกสาบเปน็ เขาโตะ๊ หยงกง รายาอาวงั ถูกสาบเป็นเขาโต๊ะยาวงั หรือโต๊ะยาหวัง (เขาโต๊ะพญาวงั ) รายาวังสาก็ถกู สาปเปน็ ภเู ขาลกู หน่ึงช่อื เขา พญาวังสา ตอ่ มาชอื่ เพย้ี นเป็นพญาบงั สา อยูใ่ นท้องท่ีต�ำบลฉลงุ เจ้าหญิงปุตรี ถกู สาปใหเ้ ปน็ ภเู ขาชอ่ื เขาบเู กต็ ปตุ รี ซง่ึ กรอ่ นค�ำมาเปน็ ”เขาเกตร”ี ในทอ้ งทตี่ �ำบลเกตรี
เขาโตะ๊ พญาวงั เปน็ ภเู ขาขนาดเลก็ อยทู่ างทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของต�ำบลพิมาน อ�ำเภอเมือง จงั หวัดสตลู เทศบาลเมอื งสตูลได้ปรบั ปรงุ เป็น สวนสาธารณะ ใชเ้ ป็นพื้นท่ีสีเขยี วของเมือง เป็นท่อี ยขู่ องฝงู ลิงจ�ำนวนมาก มเี รอ่ื งเลา่ ตอ่ ๆกนั มาถงึ ต�ำนานของเขาโตะ๊ พญาวงั ซง่ึ เปน็ ต�ำนานเดยี วกบั เขาโต๊ะ หยงกงโดยหยงกงถกู สาบเปน็ เขาโตะ๊ หยงกง รายาอาวงั ถกู สาบเปน็ เขาโตะ๊ ยาวัง ซ่ึง ชาวสตลู ออกเสยี งหนกั วา่ ”เขาโตะ๊ ยาหวงั ” เรยี กภเู ขาเลก็ ๆนด้ี ว้ ยชอื่ นตี้ อ่ ๆ กนั มา ภายหลังมีชอื่ เป็นทางการวา่ “เขาโตะ๊ พญาวงั ” เขาโตะ๊ พญาวัง 21 คลองมำ� บัง คลองมำ� บงั เป็นล�ำน้�ำสายหลักของเมืองสตูลเป็นเส้น ในอดตี ลมุ่ นำ้� ม�ำบงั ชว่ งลโู บะ๊ บาตู โคกทราย คลองม�ำบังมีช่ือเรียกต่าง ๆ กันตามต�ำบล เลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเมืองสตูลเป็นแหล่งน้�ำจืดและ บา้ นควน ฉลงุ ควนโดน เปน็ ทร่ี าบลมุ่ เปน็ แหลง่ ผลิต บ้านที่ไหลผ่าน บางช่วงช่ือคลองน�้ำพระ บางช่วง เปน็ เสน้ ทางคมนาคมสายหลกั มรี ะยะทางจากตน้ นำ้� ข้าวเล้ียงพลเมือง ตามโคกควนเป็นที่ท�ำสวนท�ำไร่ ชอ่ื คลองบา้ นจนี บางชว่ งชอื่ คลองชา้ ง ไหลจากตน้ นำ�้ ถงึ ปากอา่ วกวา่ 60 กโิ ลเมตร มชี มุ ชนต�ำบลบา้ นเกา่ หากปราศจากลมุ่ นำ�้ ม�ำบงั เมอื งไมอ่ าจด�ำรงอยไู่ ดน้ �้ำ ทางทศิ เหนอื ออกสปู่ ากอา่ วต�ำมะลงั ทางทศิ ใต้ ชว่ งที่ แกต่ งั้ เรยี งรายตามฝง่ั นำ�้ ตง้ั แตป่ ากอา่ วต�ำมะลงั ผา่ น จากคลองม�ำบังไหลออกทะเลอันดามันท่ีปากอ่าวต�ำ ไหลผา่ นตวั เมอื งเกา่ สตลู คดเคย้ี วมาก พระยาอภัยนุ บา้ นเกาะนก บา้ นศาลากนั ตง ต�ำบลม�ำบงั ต�ำบลควน มะลังยามน้�ำลงน�้ำจืดจะไหลมาถึงบ้านศาลากันตง ราช (ตนกูอสิ มาอลี ) จึงขุดคลองลดั ชือ่ สุไหงตาโรส ขนั ลโู บะ๊ บาตู โคกทราย บา้ นควน ฉลงุ คลองชา้ ง ชาวประมงแถบนั้นสามารถตักน�้ำจืดในคลองข้ึน ระยะทางประมาณหนง่ึ กโิ ลเมตรระหวา่ งปี พ.ศ.2419- ควนโดน ดุสน ไปถงึ ต้นน�ำ้ ทีค่ ลองทมี คลองโตน มาบริโภคได้ยามน�้ำขึ้นน�้ำทะเลข้ึนไปถึงหลังวัดชนา 2427 เชือ่ มกับคลองเส้นเดมิ ทีช่ ุมชนม้าขาวและหัว คลองตูโบ๊ะ คลองเฉียงบนเทือกเขาระหว่างอ�ำเภอ ธปิ เฉลิม มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทศบาลเมืองสตูลใน ควนกาหลงกับอ�ำเภอควนโดน ซึ่งเป็นเทือกเขาต่อ ปัจจบุ ัน เขตทวิ เขานครศรธี รรมราช
อาคารส�ำคญั / อาคารทีม่ คี ุณค่า หอนาฬิกา อันเดิมตั้งภายในรั้วมัสยิดม�ำบัง สร้างตาม นโยบายของรฐั บาลจอมพล ป.พบิ ลู สงครามทปี่ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา มงุ่ หมายให้ประชาชนรู้เวลา เป็นคนตรงต่อเวลา และผูกติดกับเวลาโดยจังหวัด สตูลสรา้ งเสรจ็ ในปี พ.ศ. 2500 แบบของนายทองจูน สงิ หกุล นายช่างของ กรมโยธาธิการ แต่ปรับลดขนาดลงมาให้เหมาะกับงบประมาณที่มีผู้หางบ ประมาณมาสรา้ งคอื นายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลงั ปเู ตะ๊ รฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวง สาธารณสุขในขณะนนั้ หอหอนาฬิกาเก่าถกู รอ้ื ทง้ิ ในปี พ.ศ. 2522 โดยคณะกรรมการมัสยิดม�ำบังยคุ น้ันอ้างวา่ นาฬกิ าเสยี และไม่มงี บประมาณซอ่ มแซม ถึงปี พ.ศ. 2556 เทศบาลเมืองสตูลได้สรา้ งหอนาฬิกาใหมต่ ้งั ในวงเวียนกลางถนนบุรวี านชิ โดยพยายามออกแบบใหค้ ล้ายหอนาฬกิ าเก่าทีถ่ ูกร้อื ทิง้ ไปเมอื่ ปี พ.ศ. 2522 หอนาฬกิ า ใหมส่ รา้ งเสรจ็ และท�ำพธิ เี ปดิ ใช้เมือ่ วนั ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 สมาคมจงหวั ก่อต้งั อย่างเป็นทางการในฤดรู ้อนของปี พ.ศ. 2480 เรม่ิ จากชาวจนี ประมาณสบิ คน น�ำโดยขนุ พนู พานชิ (ลี กา อว้ ด) ขนุ ชนิ ธรุ ะการ 22 (เทียนอวิ้ ลิม่ กลุ พงษ์) และครูส้ิวเจียง แซ่โกย ครใู หญ่โรงเรยี นจงหวั เรม่ิ แรก ใชบ้ า้ นขุนพูนพานิชเลขท่ี 187 ถนนสตูลธานเี ป็นส�ำนกั งาน เม่ือเริ่มแรกก่อตง้ั ยังไม่ไดจ้ ดทะเบยี นสมาคม แต่รวมกนั เป็นชมรมต้ัง ชอื่ ว่า“ตัด หยน่ิ เสี่ย” แปลว่า “ชมรมปญั ญาชน” ตอ่ มาได้ขอจดทะเบียนก่อต้งั เป็นสมาคมในวันท่ี 10 ตุลาคมปีเดยี วกนั แตด่ ้วยนโยบายชาตินยิ มของรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม การจดทะเบยี นกลายเป็นโมฆะ ตอ่ มานายอดุ ม บณุ ย ประสพ ผู้วา่ ราชการจังหวดั ขณะนน้ั เล็งเหน็ ถึงประโยชนข์ องการรวมตัวกันเพ่อื ท�ำงานให้แก่สังคมของชาวจีน ได้ช่วยให้มีการจดทะเบียนสมาคมครั้งใหม่ใน ช่ื อ “สมาคมจงหัว” ส�ำเร็จในวันท่ี 27 กนั ยายน 2487 หลังจากทา่ นไดร้ ับค�ำ สั่งยา้ ยไปรับราชการทอี่ ืน่ เพียง 2 สปั ดาห์ สมาคมจงหัวมีขนุ พูนพานชิ เป็นนายกสมาคมคนแรก ปถี ัดมาเมื่อทา่ น ถงึ แกก่ รรมขนุ ชนิ ธรุ ะการเปน็ นายกสมาคมคนที่ 2 เมอื่ แรกกอ่ ตงั้ สมาคมจงหวั เชา่ บา้ นเลขที่ 19 ถนนบรุ วี านชิ เปน็ ทที่ �ำการสมาคม ใหบ้ รกิ ารงานพธิ ีแต่งงาน งานศพ มถี ้วยชามโต๊ะเกา้ อใ้ี หส้ มาชิกยืมใชใ้ นงานพิธแี ละงานเลยี้ งตา่ ง ๆ มเี จา้ หนา้ ทีแ่ ละกรรมการสมาคมเป็นพธิ กี รด�ำเนนิ การให้แกส่ มาชกิ จนถึงปี พ.ศ. 2499 สมาคมไดซ้ ื้อทดี่ ินซ่ึงเป็นทีต่ ้งั ของสมาคมในปัจจบุ ัน คณะกรรมการขณะน้ันซึง่ ประกอบด้วย นายศกั ด์ิ ตันตระการสกุล บดิ าของนายสจุ ินต์ ตันตระการสกุล นายอ้ัง จู กี๋ บิดาของนายไกรสีห์ อังสุภานิช ครูสิ้วเจียง แซ่โกย ครูใหญ่โรงเรียนจงหัว ได้สร้างอาคารส�ำนักงานของสมาคมเป็นอาคาร สถาปตั ยกรรมอารต์ เดคโค สูงสามชั้น แลว้ เสรจ็ ในปี พ.ศ. 2500 มีงานเฉลิมฉลองอาคารในวนั ที1่ 4 กมุ ภาพนั ธ์ ปเี ดียวกัน กจิ กรรมส�ำคญั ของสมาคมจงหวั ทโี่ ดดเดน่ ในชว่ งเวลาตง้ั แตป่ ี พ.ศ.2500 ถงึ 2525 คอื เปน็ สถานทจ่ี ดั พธิ แี ตง่ งานในชว่ งเชา้ เรยี กวา่ “พธิ เี กย๊ี ตฮนุ ” บา่ วสาว ครอบครัว บ่าวสาวและแขกผู้มีเกียรติซึ่งได้รับเชิญเป็นสักขีพยานรวมตัวกันอย่างมีระเบียบในห้องโถงใหญ่ของสมาคมมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นกรรมการของสมาคมคอยด�ำเนิน รายการตามระเบยี บพิธีจีน ซึ่งมีการคารวะซ่งึ กันและกนั ของบ่าวสาวมีการจดทะเบียนสมรสจีนตามแบบของสมาคม เปน็ พิธที ่ีโดดเดน่ ไม่เหมือนใครพอถึงช่วง เย็นสมาคมจงหวั ถกู ใช้เปน็ สถานท่ีจัดเลีย้ งฉลองสมรส แขกทมี่ างานแต่งกายสภุ าพตามสมัยนิยม สุภาพบรุ ุษใสเ่ สื้อเชติ้ ผกู เนคไท หรอื สวมสูท ขณะทีส่ ุภาพสตรี แตง่ กายด้วยเดรสเข้ารูป หลังจากรับประทานอาหารเสร็จจะมกี ารลีลาศ โดยมีวงดนตรบี รรเลงเพลงสด ๆ ช่อื วง “พิมานมติ ร” ซ่งึ ประกอบด้วยพ่อคา้ ข้าราชการ และหนมุ่ สาวซงึ่ มที กั ษะทางดนตรี งานแตง่ งานทสี่ มาคมจงหวั ใหบ้ รรยากาศนา่ ประทบั ใจ แตต่ อ่ มาลดนอ้ ยลงเพราะการเขา้ มาของพธิ สี มรสแบบไทยและการฉลองตาม ภัตตาคารในช่วงปี พ.ศ. 2525 เปน็ ต้นมา
เรอื นแถวไมร้ ิมถนนสตลู ธานี บ้านเลขที่ 149 151 153 และ 155 สรา้ งขนึ้ ประมาณ ปี พ.ศ. 2500 เป็นอาคารครงึ่ ปูนคร่งึ ไมส้ องชั้น ปัจจุบันตวั อาคารยงั คงสภาพสมบูรณ์ ได้รับ การดูแลรักษาอยา่ งดี ปจั จุบนั เปดิ เป็นร้านคา้ (ออาาคคาารรพา2น4ชิ9ร9ปู )แบบชโิ นโปตกุ สี สรา้ งเมอ่ื ปี พ.ศ. 2499 โดย เตยี ว เชง็ กงั คหบดชี าวปนี งั เขยี นแบบ สถาปตั ยกรรมโดยสถาปนกิ ปนี งั ควบคมุ การกอ่ สรา้ งโดยนายชา่ งชาวหาดใหญ่ วสั ดุส่วนท่เี ป็นกรอบประตแู ละบานหนา้ ต่างน�ำเขา้ จากปนี งั กรอบหน้าต่างชนั้ สองด้านหน้าท�ำจากเหล็กน�ำเข้าจากเมืองกลาสโกลว์ ประเทศอังกฤษ วัสดุ ก่อสร้างประเภทอิฐผลิตบริเวณสถานที่ก่อสร้างโดยใช้ทรายผสมปูนท�ำเป็น อฐิ ก้อนสเี่ หลีย่ มทบึ กอ่ ผนังด้วยอิฐสองชั้นท�ำใหผ้ นงั หนาเปน็ ฉนวนกันความ ร้อนไดด้ ี เป็นอาคารโครงสรา้ งคอนกรีตเสริมเหลก็ ลักษณะอาคารสร้างตามแบบแผนอาคารในอาณานิคมช่องแคบของอังกฤษ อาคารพาณชิ รปู แบบชิโนโปตุกีส (อาคาร 2499) 23 ตวั อาคารกวา้ งคหู าละ 5 เมตรแตล่ กึ ประมาณ 50 เมตร แบง่ เปน็ สามตอน สอง ตอนหน้าสงู สองชัน้ ตอนหลงั เปน็ อาคารช้ันเดียว มีจิม่ แจห๊ รอื ชอ่ งเปดิ 2 แห่ง หนา้ อาคารเปน็ ทางเดนิ เชอ่ื มหนา้ อาคารตอ่ กนั ทงั้ 4 คหู า เลขที่ 179/1 ถงึ 179/4 ถนนสตูลธานี คหู าแรกเลขท่ี 179/1 เคยเปน็ ส�ำนกั งานสาขาของธนาคารเกษตร จ�ำกดั เปดิ เมอ่ื วนั ท่ี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 นบั เปน็ ธนาคารพาณชิ ยแ์ หง่ แรกของจงั หวดั สตลู คหู าสดุ ทา้ ยเลขท่ี 179/4 มกี ารตบแตง่ ภายในตามแบบอาคารอาณานคิ มชอ่ งแคบ อยา่ งงดงาม ภายในบา้ นมชี ดุ โตะ๊ เกา้ อม้ี กุ 14 ชน้ิ อายกุ วา่ รอ้ ยปี เกา้ อมี้ กุ พรอ้ ม ถนนสตูลธานี บา้ นเก่าครึง่ ปูนคร่ึงไม้เลขท่ี 114โตะ๊ ข้าง 4 ชดุ เคยเปน็ เก้าอ้ที ปี่ ระทับของพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร (รชั กาลท่ี 9) และสมเดจ็ พระนาง สร้างโดยบิดาของนายห้ิน ไชยกลุ เป็นอาคารแบบ “เต่ยี มฉู่” (Shop House) เจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง (ในรชั กาลที่ 9) สมเดจ็ สรา้ งประมาณปี พ.ศ. 2480 เดมิ หนา้ บา้ นเปน็ แบบหน้ายักษค์ อื มีประตอู ยู่ตรง พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า เจา้ ฟา้ มหาจกั รสี ริ นิ ธรฯ กลางเปรยี บเสมอื นจมูกและปาก มหี นา้ ต่างสองขา้ งซา้ ยขวาเปรยี บเสมือนตา สยามบรมราชกมุ ารี และสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งนางเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณวลยั ลกั ษณ์ ยักษ์ ภายหลงั ไดม้ ีการปรับเปล่ียนเป็นประตูเหลก็ ยดื หน้าบ้านมที างเดินแบบ อคั รราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารีเม่ือคราวเสด็จจังหวัด หง่อก่าก่ี ในบ้านมีช่องเปดิ ทีเ่ รียกว่า “จมิ่ แจ๊” สตลู ในวนั ท่ี 9 กนั ยายน พ.ศ. 2518 เก้าอมี้ กุ องคเ์ ดียวกับทพ่ี ระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภมู ิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร (รชั กาล ท่ี 9) ประทบั เคยเปน็ พระเกา้ อท้ี ส่ี มเดจ็ พระราชชนนศี รสี งั วาลยป์ ระทบั เมอ่ื คราว เสดจ็ สตลู หลายครง้ั การสรา้ งอาคารแบบอาณานคิ มชอ่ งแคบอังกฤษหมดความนิยมไปต้งั แต่ พ.ศ. 2490 แตน่ ายเตยี ว เชง็ กงั เจา้ ของผสู้ รา้ งบา้ นนห้ี ลงใหลในสถาปตั ยกรรมชโิ น- โปรตุกีส จึงสร้างบ้านแบบน้ีข้ึนมานับเป็นอาคารแบบอาณานิคมช่องแคบรุ่น สุดท้ายในแถบทะเลตะวันตกน้ี บา้ นเกา่ ครงึ่ ปูนคร่ึงไมเ้ ลขที่ 114 ถนนสตูลธานี
อาคารชโิ นโปตุกสี ริมถนนสมันตประดิษฐ์อาคารนเี้ ดิมมี 7 บา้ นเกา่ ครงึ่ ปนู ครง่ึ ไม้ รมิ ถนนศลุ กานกุ ลู บา้ นเกา่ ครง่ึ ปนู ครง่ึ คูหา แตถ่ กู รอ้ื สรา้ งใหม่ 1 คูหา จึงเหลืออาคารเดิม 6 คูหา อาคารเหล่านม้ี ี ไมร้ มิ ถนนศลุ กานกุ ลู เดมิ มจี �ำนวน 14 คหู าจดั เปน็ อาคารรว่ มสมยั ชโิ น-โปรตกุ สี แบบแผนสถาปัตยกรรมเหมือนกับอาคารชิโน-โปรตุกีสริมถนนบุรีวานิช เพราะมชี อ่ งเปดิ ในอาคารทเี่ รยี กวา่ “จมิ่ แจ”๊ และมที างเดนิ หนา้ อาคารทเี่ รยี กวา่ “หงอ่ กา่ ก”ี่ (Five Food Way) อาคารแรกๆอยตู่ น้ ถนนศลุ กานกุ ลู คอ่ ย ๆ สรา้ ง เน่อื งจากสร้างในยุคสมยั ไล่เล่ียกนั เพม่ิ ไปทางใตต้ ามล�ำดบั โดยมที ง้ั หมด 14 คหู า คหู าแรกทส่ี รา้ งในราวปี พ.ศ. 2470 คอื บา้ นเลขที่ 3 ถนนศลุ กานกุ ลู สรา้ งโดยพอ่ คา้ จนี ชอ่ื ออ๋ ง งา ตา่ ย ถดั มา อกี 3 หลงั สรา้ งพรอ้ มกนั ผสู้ รา้ งคอื ออ๋ ง งา เสยี ง นอ้ งชายของออ๋ ง งา ตา่ ย ตน้ สกลุ “อคั รสตุ ”จ�ำนวน 3 คหู าเลขท่ี 5 เลขที่ 7 และเลขที่ 9ถดั จากนน้ั สรา้ งโดย ขนุ พนู พานชิ ในปี พ.ศ. 2475 โดยประมาณจ�ำนวน 10 คหู าตงั้ แตบ่ า้ นเลขท่ี 11-29 เพอื่ ปลอ่ ยเชา่ บา้ นเลขท่ี 27 เคยเปน็ โรงฝน่ิ เลกิ ไปใน พ.ศ. 2503 สมยั จอมพล สฤษด์ิ ธนะรชั ตเ์ ปน็ นายกรฐั มนตรี 24 อาคารชิโน-โปตกุ สี รมิ ถนนสมนั ตประดษิ ฐ์ บ้านเก่าครึ่งปนู คร่งึ ไม้ริมถนนศลุ กานุกูล ทม่ี า : ชมรมอนรุ กั ษ์ภาพเก่าสตูล ที่มา : ชมรมอนุรักษภ์ าพเก่าสตูล อาคารไมซ้ อยถนนศุลกานกุ ลู อาคารไม้ซอยถนนศุลกานกุ ลู สรา้ งประมาณปี พ.ศ. 2495 เมือ่ เทศบาลย้ายตลาดสดเทศบาลมาอยู่ ท่ีถนนศุลกานุกูลบริเวณท่ีเป็นธนาคารกสิกรไทยสาขาสตูล เป็นห้องแถวไม้ พืน้ ถิ่นลกึ ประมาณ 20 เมตร แบง่ ออกเป็น 2 ตอน ตอนหนา้ สงู 2 ชั้น ตอน หลงั เปน็ อาคารชั้นเดียวมีช่องเปิดใช้เป็นลานซักล้าง ทุกคูหามีบ่อน้�ำส่วนตัว อาคารไมท้ ั้งหมดมี 10 คูหา
บา้ นขนุ พูนพานชิ ย์ บา้ นขนุ พูนพานชิ สร้างราวปี พ.ศ. 2470 ใช้แรงงานนกั โทษทีใ่ กลพ้ ้นโทษ เพือ่ ผู้ตอ้ งโทษ เหลา่ นั้นจะได้มเี งนิ ทุนตง้ั ตวั หลังพ้นโทษ ออกแบบโดยพระยาสมนั ตรัฐบุรินทร์ เปน็ อาคารโครงสรา้ งคอนกรตี เสรมิ เหลก็ พนื้ บา้ นทกุ ชนั้ ปไู มก้ ระดาน สรา้ งโดย ไมใ่ ชอ้ ิฐแต่ใชว้ ธิ หี ล่อแบบผนังคอนกรตี ข้ึนทีละคร่ึงเมตรจนเต็มผนัง แรกสรา้ ง อาคารมคี วามสูงสีช่ นั้ ชนั้ ท่ี 4 ท�ำด้วยไม้ท้งั ชนั้ เจา้ ของบา้ นคอื ขนุ พนู พานชิ (ลี กา อว้ ด) ชาวจนี อพยพจากเมอื งหนาน อนั ประกอบอาชพี รบั สมั ปทานท�ำไมป้ า่ ชายเลนทคี่ ลองทา่ จนี ไดพ้ บและรูจ้ ักกบั พระยาสมันตรฐั บุรินทร์ในเวลาท่ที า่ นออกทอ้ งทีต่ รวจราชการบ่อย ๆ เมื่อพระ ยาสมันตรัฐบรุ นิ ทร์สร้างถนนสายสตูล-คลองกวั่ ส�ำเร็จในปี พ.ศ. 2466 ถนน สายนส้ี ดุ ปลายทางทส่ี ถานรี ถไฟควนเนยี ง ซงึ่ ตอ่ มากลายเปน็ ทางหลวงหมายเลข 406 ถนนยนตรการก�ำธรในปัจจุบัน เรอื นมลายอู านะตกี าฮ์์ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์จึงชักชวนให้ขุนพูนพานิชลงทุนท�ำรถประจ�ำ ทางบรกิ ารประชาชน เปน็ รถประจ�ำทางสายแรกของจงั หวัด การประสบความ ส�ำเร็จในธุรกิจใหม่ท�ำให้ขุนพูนพานิชย้ายเข้ามาอาศัยในตัวเมืองสตูล จึงสร้างบ้านหลังนเ้ี สรจ็ ประมาณ พ.ศ. 2470 เรอื นมลายหู ลงั นส้ี รา้ งเมอื่ ปี พ.ศ. 2510 โดยสามขี องนางรอตยิ ะห์ วาอาด สรา้ งตามแบบสถาปตั ยกรรมเรือนมลายูอานะติกาฮ์ ซ่ึงเปน็ แบบแผนของเรือน 25 สามหลังคา โดยมีหลังคาสามลูกหกจ่ัว หลังคาสองลูกแรกวางตัวขนานกันตาม ความยาวของตัวเรือน หลังคาลูกที่สามวางขวางเย้ืองไปด้านหลังของตัวเรือน ท�ำใหเ้ รอื นอานะตกิ าฮม์ แี ผนผงั เกอื บจะเปน็ สเ่ี หลย่ี มจตรุ สั เรอื นมลายอู านะตกี าฮ์ ความงามของเรอื นหลงั นอี้ ยทู่ หี่ นา้ ตา่ งมลู่ บี่ านเกลด็ ปรบั แสงได้ ยาวจากพนื้ จรด เพดาน ท�ำใหอ้ ากาศในเรอื นไหลเวยี นเยน็ สบาย เหนอื หนา้ ตา่ งเปน็ ชอ่ งแสงลาย ลกู ฟูกกรกุ ระจกสนี �ำเข้าจากปนี งั เปน็ เรอื นมลายเู พียงหลังเดยี วท่ียงั คงสภาพ เดมิ ในเขตต�ำบลพิมาน เรือนมลายอู านะตกี าฮ์ บา้ นตระกูล บนิ ตำ� มะหงง เปน็ บา้ นของบตุ รหลานพระยาภมู นิ ารถภกั ดี ที่เกดิ จากภรรยาคนแรก ของทา่ น ชอ่ื เจะ๊ โสม ซงึ่ แตง่ งานกบั พระยาภมู นิ ารถภกั ดตี ง้ั แตย่ งั เปน็ ขา้ ราชการ อยู่ที่ไทรบุรีบ้านหลังน้ีสร้างประมาณปีพ.ศ. 2490 ปัจจุบันอยู่ในความครอบ ครองของทายาทรนุ่ ที่ 4 ชอื่ นายสปุ ะพล บนิ ต�ำมะหงง
บา้ นพระยาสมนั ตรฐั บุรินทร์ สร้างราว พ.ศ. 2475 เพอื่ ใชเ้ ป็นทพ่ี �ำนักหลงั เกษยี ณอายรุ าชการของ พระยาสมันตรฐั บรุ นิ ทร์ ผ้วู ่าราชการท่านที่ 6 ออกแบบโดยเจา้ ของบ้านเอง บ้านพระยาสมันตรัฐบรุ ินทร์ไม่ใชเ่ รือนมลายู แตเ่ ปน็ เรือนไม้เมืองร้อน แบบท่นี ยิ มสรา้ งกันในอาณานิคมขององั กฤษ เป็นเรือนสองชั้น ชน้ั ลา่ งสงู สอง เมตรเศษ เดิมตผี นังไม้ระแนงเพ่ือเป็นการระบายอากาศ ปัจจบุ ันดัดแปลงบาง ส่วนกอ่ อิฐทบึ บางส่วนเป็นชอ่ งลมระบายอากาศ ชนั้ บนเป็นไมล้ ว้ น บ้านพระยาสมันตรัฐบุรนิ ทร เน่ืองจากพระยาสมันตรัฐบุรินทร์มีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพ จึงยึดคติสร้างบ้าน แบบคนภาคกลางคือการวางเรือนตามตะวัน เรือนพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ประกอบด้วยอาคารสองหลังเช่ือมดว้ ยระเบยี งยาวภายใตห้ ลังคาเดยี วกัน การ 26 วางเรือนตามแกนทิศตะวันออก-ตะวันตกท�ำให้บ้านร่มรื่นไม่โดนแดดท้ังวัน ภายในบา้ นมีเครือ่ งเรอื นโบราณทใี่ ชม้ าตง้ั แต่ทา่ นยังมีชวี ติ อยู่ ในห้องนอนของ ท่านมีตู้เสื้อผ้าไม้สักท่ีข้าราชการระดับกรมการเมืองสตูลร่วมกันมอบให้เป็น ของขวัญวันวิวาหข์ องทา่ นในปี 2465 เรอื นพระยาสมันตรฐั บุรนิ ทรร์ ่มรืน่ ด้วย ไม้สวนโบราณพ้ืนถิ่น ดินท่ีน่ีเป็นดินด้ังเดิมของเมืองเก่าสตูล เป็นดินทราย ภายในบา้ นพระยาสมันตรฐั บรุ ินทร์ สขี าวสะอาดตา ซง่ึ หาชมไดย้ ากในปัจจุบัน บ้านหลังปูเต๊ะ ต้ังอยู่ที่บ้านเลขที่ 7 ถนนเรืองฤทธ์ิจรูญ เป็น เรือนมลายใู ตถ้ นุ ตำ่� ทาสีฟ้ามาต้ังแต่แรกสรา้ งเมื่อกว่า 60 ปีกอ่ น ปจั จบุ นั บ้าน หลังน้กี ็ยังคงทาสเี ดิม เมอ่ื ก่อนนี้ชาวบา้ นเรยี กว่า “บ้านเขยี ว” เพราะชาวสตูล เรียกสีฟา้ วา่ สเี ขียวเจ๊ะอบั ดลุ ลาห์ หลงั ปเู ตะ๊ เป็นนักการเมอื งระดับชาติ เคย เป็น ส.ส.หลายสมัย เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในรฐั บาลนายพจน์ สารสนิ บา้ นหลงั ปเู ตะ๊ ตง้ั อยทู่ บี่ า้ นเลขที่ 7 ถนนเรอื งฤทธจ์ิ รญู เปน็ เรอื นมลายู ใต้ถนุ ต่ำ� ทาสีฟา้ มาต้งั แตแ่ รกสรา้ งเมื่อกว่า 60 ปกี อ่ น ปัจจบุ นั บ้านหลังน้กี ย็ งั คงทาสเี ดิม เมอ่ื กอ่ นน้ีชาวบ้านเรยี กวา่ “บา้ นเขียว” เพราะชาวสตลู เรียกสีฟ้า ว่าสีเขียวเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นนักการเมืองระดับชาติ เคยเป็น ส.ส.หลายสมยั เปน็ รฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงศกึ ษาธกิ ารในรฐั บาล จอมพล ป.พบิ ลู สงคราม และเปน็ รฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงสาธารณสขุ ในรฐั บาลนายพจน์ สารสิน
27
บรรณานกุ รม หนังสือและบทความในหนังสอื กรมศลิ ปากร.โครงการเผยแพรอ่ งค์ความรทู้ างดา้ นโบราณคดสี มยั ก่อนประวัติศาสตรแ์ ละแรกเรม่ิ ประวัตศิ าสตรใ์ นเขตพืน้ ทจ่ี งั หวัดสงขลาและสตลู . กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร,2557. กรมศลิ ปากร. ตำ� นานเมืองนครศรธี รรมราช. ในรวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช. พิมพเ์ ปน็ อนสุ รณ์งานพระราช ทานเพลิงศพพลเอกเจ้าพระยาบดนิ ทรเดชาฯ ,2505. หนา้ 46 - 63. กรมศลิ ปากร.กองจดหมายเหตุแห่งชาต,ิ “จดหมายเหตุ ร. 2 ท่ี 75 จากหอสมดุ วชิรญาณท้องตราถึง พระยาบรมศรีโศกราช เร่ือง ตัง้ พระยาอภยั นรุ าช เปน็ นายอากรรังนกฝง่ั ทะเลตะวนั ตก” จ.ศ.1176 ฉบบั กระทรวงมหาดไทย, พ.ศ. 2450. กรมศลิ ปากร.กองจดหมายเหตแุ ห่งชาติ. จดหมายเหตุ ร.2 จ.ศ. 177 ทอ้ งตราถึงพระยานครศรีธรรมราช เรอ่ื งเจ้าพระยาไทรกบั พระยาอภัยนุราชวิวาท กนั ท่วั เขตแดน เลขที่ 10, กระทรวงมหาดไทย, 2458. _____________. กองจดหมายเหตแุ ห่งชาติ, จดหมายเหตุ ร.2 จ.ศ. 177 ท้องตราถงึ พระยานครศรธี รรมราช เร่ืองเจา้ พระยาไทรกับพระยาอภยั นรุ าช วิวาทกันทั่วเขตแดน เลขท่ี 10, กระทรวงมหาดไทย, 2458. _____________.กองจดหมายเหตุแห่งชาติ, “จากหอสมุดวชิรญาณ ทอ้ งตราถึงพระยาศรบี รม โศกราช เร่ืองพระยาอภยั นุราชถึงแกก่ รรม และโปรด เกลา้ ฯ ให้ขา้ หลวงคุมเงิน ออกมาพระราชทานทําบญุ ฝังศพพระยาอภยั นรุ าช ใหจ้ ัดพาหนะส่งขา้ หลวงไปยัง เมืองไทรบุรี” จ.ศ.1176 ฉบบั กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2458. _____________. กอ่ นประวัติศาสตร์ ชุมพร ระนอง ตรัง สตูล. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ฉลองวัฒน์ จำ� กดั , 2534. _____________. จดหมายเหตุเจมส์ โลว์. กรุงเทพมหานคร : สำ� นักพมิ พ์บริษทั เอดิสันเพรส โพรดกั ส์ จำ� กดั , 2542. _____________. พจนานุกรม ภูมศิ าสตร์ไทย เล่ม 1 ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พค์ รุ ุสภา ลาดพร้าว, 2526. _____________. พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติสตูล คฤหาสนก์ เู ดน็ . กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท อมรินทร์ พรนิ ติง้ แอนดพ์ บั ลชิ ช่ิง จ�ำกดั (มหาชน), 2543. _____________. ประวตั ศิ าสตร์สจ่ี ังหวัดภาคใต.้ ยะลา: ศนู ยพ์ ัฒนาการศกึ ษาภาคสอง,2505. _____________. อกั ขรานกุ รมภูมิศาสตร์ไทย ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน (เลม่ 5, 6) กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ครุ สุ ภา ลาดพร้าว, 2528. _____________. แหลง่ โบราณคดีจงั หวัดสตลู , สตลู , 2544. . เอกสารของเฮนรี เบอร์นี่ เล่ม 2 ตอน 3. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำ� กดั , 2537. _____________. 70 นกั สแู้ ห่งตะรุเตา. กรุงเทพมหานคร, โรงพิมพก์ รงุ ธนพฒั นา, 2544 . _____________. (บรรณาธิการ) 90 ปี โรงเรียนสตูลวทิ ยา 2543. กรงุ เทพมหานคร : สํานกั พิมพ์ ที.พ.ี พริน้ ท์ จาํ กดั , 2543. การประถมศกึ ษาจงั หวัดสตูล, ส�ำนกั งาน, รวมเรื่องเมืองสตูล ท่ีระลกึ ครบรอบ 150 ป.ี พิมพ์ครงั้ ท่ี 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ ิตรสยาม, 2533. คณะกรรมการฝา่ ยประมวลเอกสารและจดหมายเหต,ุ วฒั นธรรมพฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ เอกลักษณ์ และภูมิปัญญา จังหวดั สตลู , กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว, 2543 ด�ำรงราชานุภาพ, สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ, กรมพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสินทร์ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รชั กาลที่ 2. กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั อมรนิ ทร์พรน้ิ ตง้ิ กรุ๊ฟ จ�ำกัด, 2533. ดาํ รงราชานภุ าพ. สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ, กรมพระยา. พระราชพงศาวดารกรงุ รัตนโกสินทรใ์ นสมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั รชั กาลท่ี 2. กรุงเทพมหานคร บรษิ ัทอมรนิ ทร์พรน้ิ ต้งิ กร๊ฟุ จาํ กดั , 2533 ตำ� นานเมอื งนครศรธี รรมราช. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2 นครศรธี รรมราช, ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ วิทยาลัยครู นครศรธี รรมราช, 2525. บญุ เสรมิ ฤทธาภิรมย.์ จดหมายจากตะรุเตา. พิมพ์ครง้ั ท่ี 5 (แกไ้ ขปรบั ปรุง) กรุงเทพมหานคร: บริษัทสำ� นักพิมพ์บรรณกิจ จำ� กัด, 2540. บุญเสรมิ ฤทธาภิรมย์ ประวัตศิ าสตรเ์ มืองสตูล. กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์โอเดยี น สโตร,์ 2546. ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์สายนั ต์ ไพรชาญจิตร์ การจัดการโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศลิ ปวตั ถุ และพพิ ธิ ภัณฑสถาน โดยองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ สถาบนั พระปกเกลา้ กรุงเทพ 2548 ฝา่ ยประมวลเอกสารและจดหมายเหต,ุ คณะกรรมการ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ เอกลกั ษณแ์ ละภูมิปัญญาจงั หวัดสตลู . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรสุ ภาพ ลาดพร้าว,2543. ศลิ ปากร, กรม, กองจดหมายเหตแุ ห่งชาต.ิ “จดหมายเหตุ ร. 2 ที่ 75 จากหอสมดุ วชิรญาณ ทอ้ งตราถึง พระยาบรมศรโี ศกราช เรือ่ ง ตัง้ พระยาอภัยนุ ราชเป็นนายอากรรังนกฝั่ง ทะเลตะวันตก” จ.ศ.1176 ฉบบั กระทรวงมหาดไทย, พ.ศ. 2450. แสงโสม เกษมศรี และวิมล พงศพ์ พิ ัฒน์, ประวตั ิศาสตรส์ มัยรัตนโกสินทร์ รชั กาลที่ 1 - รชั กาลท่ี 3 (พ.ศ.2325-2394) กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ สาํ นักงานเลขาธกิ าร คณะรฐั มนตรี,2523สภาวฒั นธรรมจังหวัดสตูล. เรารกั ษ์สตลู . หาดใหญ่ : ชาญเมอื งการพิมพ,์ 2543. แสงโสม เกษมศรี และวมิ ล พงศ์พิพฒั น.์ ประวตั ิศาสตร์สมัยรัตนโกสนิ ทร์ รชั กาลที่ 1 - รัชกาลท่ี 3 (พ.ศ.2325-2394) กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ ์ สำ� นกั งานเลขาธิการคณะรฐั มนตร,ี 2523. สำ� นกั งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม. รายงานผลการประชมุ สมั มนาวชิ าการ คณะอนกุ รรมการอนรุ ักษแ์ ละพัฒนาเมืองเกา่ และทะเบยี นขอ้ มูลเครอื ขา่ ยอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาเมืองเก่า. 2560. ส�ำนกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม. เอกสารประกอบการประชุมแนวทางการจดั ทำ� แผนแมบ่ ทและผงั แม่บทการอนุรกั ษ์ และพฒั นาบริเวณเมอื งเกา่ คร้ังที่ 3 วันท่ี 18 ตุลาคม 2561 อเนก ปะลาวนั . ท่รี ะลึกงานพธิ ีเปดิ มัสยิดกลางจังหวดั สตลู , กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์พิฆเณศ, 2522
บรรณานกุ รม ขอ้ มูลอินเทอร์เน็ต กองอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศลิ ปกรรม สำ� นกั งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม สบื คน้ ท่ี http://www.onep.go.th/ncecd/?name=onep_3&file=readnews&id=9 เมอ่ื วนั ที่ 9 พฤศจกิ ายน 2561 พระราชบัญญตั โิ บราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/038/12.PDF สำ� นักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ชุดความรดู้ า้ นการอนุรักษ์ พฒั นา และบรหิ ารจดั การเมอื งเก่า เล่มที่ 3 ระเบียบ กฎหมาย และข้อบังคับที่เกีย่ วขอ้ งกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมอื งเก่า ในประเทศไทย http://lib.mnre.go.th/index.php/2012-04-30-03-57- 01/2012-10-12-09-13-14/234-2012-10-29-07-15-05 ส�ำนกั นโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม 2554 อนุชาติ คงมาลยั กฎหมายว่าด้วยโบราณสถานและโบราณวัตถุ : คาวินจิ ฉยั ศาลฎกี าและอัยการสูงสุด http://www.ago.go.th/articles_58/article_040858.pdf สำ� นกั งานอยั การสงู สุด 2558
รายช่ือคณะด�ำเนินการ โครงการจดั ท�ำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนาบริเวณเมอื งเก่าสตลู แผนท่มี รดกทางวฒั นธรรมเมอื งเกา่ สตูล คณะอนุกรรมการอนรุ ักษแ์ ละพฒั นาเมืองเกา่ สตลู 1) เจา้ คณะจงั หวดั สตูล อนกุ รรมการทปี่ รึกษา 2) ผ้วู า่ ราชการจงั หวดั สตูล ประธานอนุกรรมการ 3) รองผูว้ ่าราชการจงั หวัดสตลู รองประธานอนกุ รรมการ 4) ปลดั จงั หวัดสตูล อนุกรรมการ 5) หัวหนา้ ส�ำนกั งานจงั หวดั สตลู อนุกรรมการ 6) โยธาธิการและผังเมอื งจงั หวดั สตูล อนุกรรมการ 7) ธนารักษ์พืน้ ท่ีสตลู อนกุ รรมการ 8) ผู้อ�ำนวยการสำ� นักศิลปากรท่ี 13 สงขลา อนกุ รรมการ 9) วัฒนธรรมจังหวัดสตลู อนุกรรมการ 10) ผู้อำ� นวยการส�ำนกั งานพระพุทธศาสนาจงั หวดั สตูล อนุกรรมการ 11) ท่องเทีย่ วและกฬี าจงั หวัดสตลู อนกุ รรมการ 12) ผู้อำ� นวยการการทอ่ งเท่ยี วแหง่ ประเทศไทย ส�ำนักงานหาดใหญ ่ อนุกรรมการ 13) ประชาสัมพนั ธ์จงั หวัดสตูล อนกุ รรมการ 14) หวั หน้าพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ สตลู อนกุ รรมการ 15) นายกองค์การบริหารส่วนจงั หวดั สตูล อนุกรรมการ 16) นายกเทศมนตรีเมือง อนุกรรมการ 17) ประธานกรรมการอิสลามประจ�ำจงั หวัดสตูล อนกุ รรมการ 18) ประธานหอการค้าจังหวัดสตลู อนุกรรมการ 19) ประธานสภาวัฒนธรรมจงั หวัดสตูล อนุกรรมการ 20) อิหม่ามมสั ยิดมำ� บัง อนกุ รรมการ 21) หัวหน้าหนว่ ยอนุรกั ษ์สิง่ แวดลอ้ มธรรมชาติและศลิ ปกรรมทอ้ งถนิ่ จงั หวัดสตูล อนุกรรมการ 22) นายอสุ มาน บินต�ำมะหงง อนกุ รรมการ 23) นายอภวิ ฒั น์ คฑายุทธ อนกุ รรมการ 24) นายนำ� ชัย กฤษณาสกุล อนุกรรมการ 25) วา่ ท่ี พันตรี พงศ์จกั รกฤษณ์ สิทธิบศุ ย์ อนุกรรมการ 26) นายบญุ เสรมิ ฤทธาภริ มย์ อนุกรรมการ 27) นายมนญู แสงเจริญ อนุกรรมการ 28) ผอู้ ำ� นวยการส�ำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มจังหวดั สตลู อนกุ รรมการและเลขานุการ 30) เจา้ หน้าทีส่ ำ� นกั งานทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมจังหวดั สตลู อนกุ รรมการและผูช้ ่วยเลขานกุ าร
คณะกรรมการตรวจรับพสั ดุในงานจ้างท่ีปรกึ ษา 1) นายพรชยั เพชรพิมพันธ์ุ ประธานกรรมการ ผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมจังหวัดสตลู กรรมการ 2) นายประคอง ชูนวล กรรมการ โยธาธิการและผังเมอื งจงั หวัดสตลู กรรมการ 3) นายประสทิ ธ์ิ สาระมาศ กรรมการ ครวู ทิ ยฐานะ/ครูชำ� นาญการ กรรมการ 4) นายวฒั นา บญุ ชยั กรรมการ ปลดั เทศบาลเมืองสตูล 5) นายเหมพงศ์ ทวกี าญจน ์ ผู้ทรงคุณวฒุ ิ 6) นายกัมพลศกั ดิ์ สัสด ี ผูท้ รงคณุ วฒุ ิ 7) นายอศั วยชุ เทศอาเลน็ ผู้ทรงคณุ วุฒิ ด�ำเนินการศึกษาโดย บรษิ ทั เทสโก้ จำ� กัด 21/11-14 ซอยสขุ ุมวทิ 18 ถนนสุขมุ วิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพ 10110 โทรศัพท์ 0 2258 1320 โทรสาร 0 2258 1313 รายชอื่ คณะผ้ศู ึกษา 1) นายพิเศษ เสนาวงษ ์ ผจู้ ดั การโครงการ 2) รศ.ดร.มิตรชยั จงเชี่ยวช�ำนาญ ท่ปี รกึ ษาโครงการ 3) นายพงศพ์ สิน รักใคร ่ รองผู้จดั การโครงการ 4) รศ.เลศิ วทิ ย์ รงั สิรกั ษ ์ ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นผังเมอื ง 5) รศ.ปฐเมศ ผาณติ พจมาน ผู้เชีย่ วชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง 6) ผศ.ดร.นิเวศน์ อรณุ เบิกฟ้า ผู้เชีย่ วชาญด้านสงั คมวทิ ยา พัฒนาชมุ ชน 7) นางสาวอรนุช ศิลปม์ ณีพันธ์ ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านการมสี ่วนร่วมและรบั ฟังความคดิ เห็น 8) ผศ.ชวลติ ขาวเขียว ผเู้ ชี่ยวชาญด้านอนรุ ักษ์โบราณสถาน 9) รศ.ดร.นติ ิชาญ ปลมื้ อารมณย ์ ผู้เช่ียวชาญสถาปัตยกรรมและภูมสิ ถาปตั ย์ 10) ผศ.จมุ พล ชน่ื จิตต์ศริ ิ ผเู้ ชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 11) รศ.ดร.ปาริชาติ วสิ ทุ ธสิ มาจาร ผู้เชยี่ วชาญดา้ นพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว 12) ดร.สนิ าด ตรีวรรณไชย ผู้เชย่ี วชาญด้านเศรษฐศาสตร์ 13) ผศ.ดร.วนั วิสาข์ ธรรมานนท ์ ผู้เชย่ี วชาญดา้ นดา้ นประวัตศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรม 14) นายเผ่าพงษ์ นติ เิ กษตรสุนทร ผเู้ ชย่ี วชาญด้านด้านส�ำรวจและจดั ท�ำแผนที่ บุคลากรสนบั สนนุ 1) นางสาวอารสิ า สาดิษฐ์ ผ้ชู ว่ ยนักวิจยั 2) นายยุทธนา ยาบาจ ิ สถาปนกิ 3) นางสาวสมฤดี แจ้งประจกั ษ ์ นกั วิชาการสิง่ แวดล้อม 4) นางสาวนันจริ า จรเดช นักวิชาการส่งิ แวดลอ้ ม 5) นางสาวไพลนิ แหยมสด นกั วิชาการสิ่งแวดล้อม 6) นายอนิรจุ น์ คำ� นล นักวชิ าการด้านสารสนเทศภูมศิ าสตร์ 7) นายไพรัช มามีเกต ุ เจา้ หน้าท่ปี ระสานงานโครงการ
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: