Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการทำสัญญากู้ยืมเงินและตัวอย่างแบบสัญญายืมเงิน

คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการทำสัญญากู้ยืมเงินและตัวอย่างแบบสัญญายืมเงิน

Description: สัญญาเงินกู้ คือ สัญญาสำหรับการหยิบยืมเงินสดด้วยเหตุผลต่าง ๆ ถือเป็นเอกสารสำคัญที่​เป็นประโยชน์ต่อการยืมเงินทั้งฝั่งผู้กู้แลผู้ให้กู้.

Search

Read the Text Version

กลุ่มส่งเสริมการปฏิรูปกฎหมายฯ โทร. 0 2141 5297 โทรสาร. 0 2143 7770

คานา สภาพปัญหาท่เี กิดขนึ้ จากสญั ญากู้ยืมเงิน ซ่งึ เป็นมูลเหตุแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะ ทาให้เกดิ ขอ้ พพิ าทระหว่างบุคคล นิติบคุ คล สถาบนั ทางการเงนิ หรือผปู้ ระกอบธุรกิจสินเชื่อ ส่วนบุคคลภายใต้การกากับท่ีมิใช่สถาบันทางการเงิน (Non-Bank) พบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น จากสัญญากยู้ ืมเงนิ โดยส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกยู้ ืมเงนิ ในระบบสถาบันทางการเงิน หรือการกยู้ มื เงนิ จากผปู้ ระกอบธรุ กจิ สนิ เชือ่ สว่ นบคุ คลภายใต้การกากับที่มิใช่สถาบันทางการเงิน (Non-Bank) เนือ่ งจากการกูย้ ืมเงนิ รปู แบบดังกลา่ วมีหนว่ ยงานของรฐั ได้แก่ กระทรวง การคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บรโิ ภค เปน็ หนว่ ยงานผู้ใช้ อานาจหนา้ ท่ตี ามกฎหมายในการกากบั ดูแลผปู้ ระกอบกิจการก้ยู มื เงนิ ในระบบ แต่ปัญหา ท่ีเกดิ ข้นึ จากสญั ญากูย้ ืมเงนิ ปรากฏในรปู แบบของการประกอบกจิ การกยู้ มื เงินนอกระบบ เน่อื งจากไมม่ หี น่วยงานของรฐั เปน็ ผใู้ ชอ้ านาจหนา้ ทีต่ ามกฎหมายในการกากบั ดูแลผปู้ ระกอบ กจิ การก้ยู มื เงนิ นอกระบบ จึงมีกลุ่มนายทนุ ท่มี ุ่งหวังผลประโยชน์จากการกยู้ มื เงินเกินสมควร และมพี ฤติการณ์การทวงหน้ีที่ใชค้ วามรุนแรง หรือทีเ่ รียกวา่ “แกง๊ ค์หมวกกันน็อค” มีการใช้ ช่องวา่ งจากความไม่รู้ข้อกฎหมายของประชาชน และภาวะจายอมจากการไม่สามารถเข้าถึง แหลง่ เงินทุนในระบบ ซึ่งสามารถแยกสรปุ ประเภทของปัญหาที่เกิดข้ึนจากสัญญากู้ยืมเงิน ได้เปน็ 2 กรณี ไดแ้ ก่ 1. ปญั หาทเ่ี กิดข้นึ จากสัญญากู้ยืมเงิน มีลกั ษณะเป็นการฉ้อฉลหรอื เอารัดเอาเปรียบ ลูกหน้ี เช่น การลงลายมอื ช่ือของผ้กู ้ลู งในเอกสารเปล่า การปลอมหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ทั้งฉบบั หรอื บางส่วน การใหก้ ู้ยืมเงนิ โดยคานวณผลประโยชนต์ อบแทนในรปู ของดอกเบี้ย ทสี่ ูงเกนิ กว่าท่ีกฎหมายกาหนด การรวมอัตราดอกเบ้ียท่ีเกินอัตรากว่าที่กฎหมายกาหนด เข้ากบั เงนิ ต้นโดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือหลกี เลีย่ งกฎหมาย เป็นตน้ 2. ปัญหาที่เกดิ ขึ้นจากวิธีปฏิบัติตามสัญญากู้ยืมเงิน มีลักษณะเป็นการไม่ปฏิบัติ ตามข้อตกลงในสญั ญาก้ยู มื เงนิ หรือมีพฤติการณ์ในการติดตามทวงหน้ีที่มิชอบด้วยกฎหมาย และไม่เปน็ ธรรม เชน่ การสง่ มอบเงนิ ที่กยู้ มื ไมต่ รงสญั ญากู้ยืมเงนิ ลกู หนี้ชาระหน้ีครบตามจานวน

แหง่ การกยู้ มื เงนิ แลว้ แต่เจา้ หนไ้ี ม่เวนคนื เอกสารและแทงเพิกถอนในเอกสารสัญญากู้ยืมเงิน การตดิ ตามทวงหนี้โดยมีลักษณะเปน็ การข่มขู่ มีการใช้ความรุนแรงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทาใหเ้ กดิ ความเสียหายตอ่ รา่ งกายหรือทรัพย์สนิ ของลูกหน้ี เปน็ ตน้ เพอื่ แก้ไขปัญหาดงั กลา่ วข้างตน้ กองกฎหมาย สานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม จงึ จดั ทาคาแนะนาเบื้องต้นสาหรับการทาสัญญากู้ยืมเงิน และตัวอย่างแบบสัญญากู้ยืมเงิน โดยมวี ตั ถุประสงค์เพอื่ เป็นเครือ่ งมอื เชงิ ขอ้ มลู เบอ้ื งต้นสาหรับการทาสัญญากู้ยืมเงิน อย่างไรก็ดี ปัญหาท่ีเกิดขน้ึ จากสัญญากยู้ มื เงินมีการเปลีย่ นแปลงตามกาลสมยั และการตกลงทาสัญญา กยู้ มื เงนิ อยภู่ ายใตห้ ลกั ความศกั ด์ิสิทธิ์แห่งการแสดงเจตนาของคู่สัญญาเป็นสาคัญ ตลอดจน กฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการกู้ยืมเงินฉบับต่าง ๆ ท่ีใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น ท่านผู้อ่าน พงึ ตระหนักถงึ ขอ้ จากดั ดงั กล่าวในการใช้คาแนะนาเบื้องต้นสาหรับการทาสัญญากู้ยืมเงิน และตวั อยา่ งแบบสัญญากู้ยมื เงินดว้ ย การจัดทาคาแนะนาเบ้อื งตน้ สาหรับการทาสัญญากู้ยืมเงิน และตัวอย่างแบบสัญญา กูย้ มื เงนิ น้ี กองกฎหมาย สานกั งานปลดั กระทรวงยุติธรรม ได้จัดทาเพ่ือเผยแพร่เป็นครั้งแรก จงึ อาจมีเน้ือหาทย่ี งั ไม่สมบรู ณ์ครบถ้วน ซงึ่ จะได้ดาเนินการแก้ไขปรับปรุงในโอกาสต่อไป และยนิ ดีรับฟังความคิดเหน็ หรอื ข้อเสนอแนะจากท่านผู้อ่านเพ่อื ประโยชน์ในการแกไ้ ขปรับปรงุ ใหค้ าแนะนาเบอื้ งตน้ สาหรบั การทาสญั ญากู้ยมื เงนิ และตัวอยา่ งแบบสัญญากูย้ ืมเงินนส้ี มบูรณ์ ยงิ่ ขนึ้ ตอ่ ไป กองกฎหมาย สานักงานปลัดกระทรวงยุตธิ รรม

สารบญั หน้า 1 ตอนที่ 1 ความรเู้ บ้อื งต้นเก่ียวกับสญั ญากยู้ ืมเงนิ 5 ตอนท่ี 2 โครงสรา้ งของสัญญาก้ยู ืมเงนิ 5 9 2.1 ส่วนนาของสญั ญา 18 2.2 เนอื้ หาของสญั ญา 2.3 ส่วนลงท้ายของสัญญา 20 2.4 ข้อสัญญาท่ีมีลกั ษณะหรอื มคี วามหมายทานอง 21 เดียวกนั ทต่ี อ้ งพึงระมดั ระวงั ตอนท่ี 3 ตวั อยา่ งแบบสัญญาก้ยู ืมเงนิ

ตอนท่ี 1 ความรเู้ บ้อื งตน้ เกี่ยวกบั สญั ญากยู้ มื เงิน สัญญากยู้ มื เงิน เปน็ สัญญาทางแพ่งประเภทหน่ึงที่มีกฎหมายกาหนดหลักเกณฑ์ไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มีคูก่ รณีสองฝา่ ย คอื ฝา่ ยหน่ึงเรยี กวา่ “ผกู้ ู้” ตกลง กยู้ ืมเงนิ จากอีกฝ่ายเรียกวา่ “ผูใ้ ห้ก”ู้ โดยโอนกรรมสิทธิ์ในเงินน้ันให้แก่ผู้กู้ และผู้กู้ตกลง จะชดใชเ้ งินทม่ี มี ลู ค่าเทา่ เทยี มกนั ให้แกผ่ ใู้ หก้ ู้ สาหรับการตอบแทนการให้ก้ยู ืมเงินหรือเรยี กวา่ “ดอกเบ้ีย” นั้น ไม่ใช่สาระสาคัญของการก้ยู มื เงิน ผกู้ ูแ้ ละผู้ให้กู้อาจตกลงกันคิดดอกเบี้ย หรอื ไมก่ ็ได้ แตห่ ากมกี ารคดิ ดอกเบยี้ ตอ่ กนั ต้องเป็นไปตามบทบัญญัตขิ องกฎหมายในส่วนที่ เกยี่ วขอ้ งด้วย ลักษณะท่ัวไปของสัญญากู้ยืมเงิน เน่ืองจากผู้ให้กู้ได้โอนกรรมสิทธิ์ในเงินที่กู้ยืม ให้แก่ผู้กแู้ ละผู้กู้เองกต็ กลงจะชดใชเ้ งนิ ท่มี ีมูลคา่ เทา่ เทียมกนั ให้แก่ผใู้ ห้กู้ ซง่ึ ประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณิชย์ มาตรา 650 บัญญัติวา่ “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใชไ้ ปส้ินไปนัน้ เปน็ ปริมาณมีกาหนดให้ไปแก่ผยู้ ืม และผู้ยมื ตกลงว่าจะคนื ทรพั ย์สินเป็นประเภท ชนดิ และปรมิ าณเชน่ เดียวกนั ให้แทนทรัพยส์ ินซ่งึ ให้ยมื นัน้ สญั ญานย้ี อ่ มบรบิ ูรณต์ ่อเมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินทยี่ ืม”

-2- จากบทบัญญัตดิ ังกล่าวข้างตน้ สัญญากู้ยมื เงินสามารถแยกองค์ประกอบท่ีสาคัญ ได้ 4 ประการ ได้แก่ 1. คสู่ ัญญา ค่สู ัญญาในสญั ญากู้ยืมเงินสามารถแบ่งได้เป็น 2 ฝ่าย คือ ผู้กู้ ฝ่ายหน่ึง และ ผใู้ ห้กู้ อีกฝ่ายหนึ่ง โดยแต่ละฝ่ายเปน็ บุคคลธรรมดาคนเดยี ว บุคคลหลายคน นิติบุคคล หรือ อาจเป็นการมอบอานาจใหม้ กี ารกู้ยมื ก็ได้ ตวั อยา่ งเชน่ นายแดงตกลงกยู้ มื เงินจากนายดา จานวน 10,000 บาท โดยนายแดงตกลงว่าจะคนื เงินจานวนดังกล่าวภายใน 1 ปีนับแต่ วนั ทีม่ ีการก้ยู ืมเงิน ซง่ึ นายดาได้สง่ มอบเงนิ ทก่ี ยู้ มื ให้แก่นายแดงเรยี บร้อยแล้ว หรือนายแดง มอบอานาจให้นายเขยี วดาเนินการก้ยู มื เงนิ จากดา เปน็ ต้น 2. เงินทก่ี ยู้ ืม สญั ญากู้ยมื เงนิ เป็นการโอนไปซ่ึงกรรมสิทธิ์ในเงินที่กู้ยืม ผู้กู้ไม่จาต้องคืนเงิน เป็นเงินสว่ นท่ียืมไป แตเ่ อาเงนิ จากทใี่ ดมาคืนกไ็ ด้ ขอใหเ้ ป็นเงนิ ทมี่ จี านวนเทา่ กับเงนิ ที่ยมื กใ็ ชไ้ ด้ อย่างไรก็ดี เงินทีก่ ้ยู มื อาจเปลยี่ นเปน็ สิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอ่ืนก็ได้ หากการกู้ยืม เงินนน้ั ๆ ผูก้ ยู้ อมรบั เอาส่ิงของหรือทรัพยส์ นิ อย่างอื่นไวแ้ ทนจากผู้ให้กู้ ซ่ึงประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณิชย์ มาตรา 656 บญั ญตั วิ ่า “ถา้ ทาสัญญากยู้ ืมเงินกนั และผกู้ ยู้ ืมยอมรับเอาส่ิงของ หรือทรัพย์สินอยา่ งอื่น แทนจานวนเงินนั้นไซร้ ทา่ นให้คิดเปน็ หน้ีเงิน ค้างชาระโดยจานวนเท่ากับราคาท้องตลาด แห่งส่งิ ของ หรอื ทรัพย์สนิ น้ันในเวลาและ ณ สถานทีส่ ง่ มอบ ถ้าทาสัญญากยู้ ืมเงนิ กันและผใู้ หก้ ูย้ มื ยอมรับเอาสิง่ ของหรอื ทรัพย์สนิ อย่างอน่ื เป็นการชาระหนี้แทนเงินท่ีกู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไป เพราะการชาระเช่นนั้นท่านให้คิดเป็น จานวนเท่ากบั ราคาทอ้ งตลาด แห่งสงิ่ ของ หรอื ทรัพยส์ นิ นนั้ ในเวลาและ ณ สถานที่สง่ มอบ ความตกลงกนั อย่างใด ๆ ขัดกบั ขอ้ ความดั่งกลา่ วมานีท้ า่ นว่าเป็นโมฆะ”

-3- 3. สญั ญาก้ยู มื เงนิ จะบริบูรณต์ ่อเมอ่ื สง่ มอบเงินที่ยืม สญั ญากยู้ มื เงินจะบรบิ ูรณต์ อ่ เมอื่ มีการส่งมอบเงนิ ทีย่ ืม ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 วรรคสอง ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ต้องมีการส่งมอบเงินที่ยืม ใหแ้ ก่ฝ่ายผู้กู้ หากสัญญากู้ยืมเงินที่ผู้ให้กู้ไม่มีการส่งมอบเงินให้แก่ผู้กู้ แม้มีการทาสัญญา ระหว่างกันเอาไว้เป็นหนังสือหรือลายลักษณ์อักษร สัญญาฉบับน้ันก็ไม่สมบูรณ์ ผู้กู้สามารถ ยกขอ้ ตอ่ สู้เร่ืองการไมม่ ีการส่งมอบเงินท่ยี ืมมาปฏิเสธความรบั ผดิ ตามสัญญาก้ยู มื เงินได้ การสง่ มอบเงนิ ทย่ี มื อาจแบ่งได้ 2 วิธกี าร ไดแ้ ก่ (1) การสง่ มอบเงินใหแ้ ก่กัน คอื การส่งมอบเงนิ โดยวธิ กี ารสง่ มอบถงึ มือผกู้ ู้ โดยตรงหรอื ผ่านตวั แทนผรู้ บั มอบอานาจของผกู้ ู้ (2) การส่งมอบเงินโดยการแปลงหนี้อย่างอ่ืนหรือประเภทอ่ืนมาเป็นหน้ี เงินกู้ คือ จะไม่มีการส่งมอบเงินให้แก่กัน เนื่องจากเป็นการที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลง แปลงหน้ีเดิมท่ีมีอยู่ระหว่างกันมาเป็นหน้ีเงินกู้ โดยมูลหนี้เดิมจะเป็นหน้ีอะไรก็ได้ เช่น หน้ีซ้ือขาย หน้ีเชา่ ซอ้ื หรือแม้แต่หนล้ี ะเมิด เปน็ ต้น 4. สัญญากู้ยมื เงินเปน็ สัญญาไมม่ แี บบ สญั ญากู้ยืมเงินเปน็ สญั ญาไมม่ ีแบบ กฎหมายไม่ได้บงั คับให้ต้องทาตามแบบ แห่งนติ ิกรรม แตใ่ นสญั ญากยู้ มื เงนิ บางกรณกี ฎหมายต้องการหลักฐานเป็นหนังสือ เพ่ือเป็น หลักฐานแห่งการฟ้องร้องบังคับคดี ซ่ึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก บญั ญตั วิ า่ “การกยู้ ืมเงินกวา่ สองพนั บาทข้ึนไปน้นั ถา้ มิไดม้ ีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็น หนงั สอื อย่างใดอยา่ งหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยมื เป็นสาคัญ จะฟ้องร้องใหบ้ ังคบั คดหี าได้ไม่” จากบทบัญญัติดังกล่าว มีข้อสงั เกตดังนี้ (1) การกยู้ มื เงินทตี่ อ้ งการหลกั ฐานเป็นหนังสอื ในการฟอ้ งร้องบังคับคดีนั้น ต้องเปน็ การกยู้ ืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขน้ึ ไป ดงั น้นั การก้ยู ืมเงนิ เพยี ง 2,000 บาท พอดี

-4- หรือต่ากวา่ จึงไมต่ ้องการหลักฐานเปน็ หนังสือในการฟ้องร้องบงั คับคดีแตอ่ ยา่ งใด (2) หลกั ฐานเปน็ หนงั สือ เปน็ เพียงหนังสือท่ีกฎหมายบังคับให้ต้องมี มิฉะน้ัน จะฟ้องร้องบังคบั คดีกนั ไมไ่ ดเ้ ทา่ นน้ั (3) หลักฐานเป็นหนังสือ ไม่จาเป็นต้องมีในขณะกู้ยืมกัน แม้จะมีหลักฐาน เป็นหนังสือภายหลัง แตก่ อ่ นฟ้องบังคับคดกี ็เปน็ อนั ใช้ได้

ตอนที่ 2 โครงสร้างของสญั ญาก้ยู มื เงนิ โครงสร้างของสัญญากู้ยมื เงนิ สามารถแบง่ ออกได้ 3 สว่ น คอื 1. ส่วนนา ได้แก่ ข้อกาหนดของชื่อสัญญา สถานท่ีทาสัญญา วันทาสัญญา ชื่อ และท่ีอยขู่ องคสู่ ญั ญาแต่ละฝ่าย 2. ส่วนเน้อื หา เป็นสว่ นที่ระบุถึงข้อกาหนดและเงื่อนไขที่คู่สัญญาตกลงกัน เช่น วตั ถปุ ระสงค์ของสญั ญา ดอกเบ้ีย การชาระหน้ี การผิดนัดชาระหน้ี การบอกกล่าวทวงถาม เป็นตน้ 3. ส่วนลงท้ายของสัญญา เป็นส่วนที่แสดงถึงการรับรู้และเข้าใจของคู่สัญญา ถึงข้อสัญญาตา่ ง ๆ ว่าถูกตอ้ งตรงกับเจตนาของคสู่ ญั ญาทุกฝา่ ย การลงลายมอื ช่อื ของคู่สญั ญา หรือตราประทับของค่สู ัญญา และการลงลายมือช่อื ของพยาน โดยรายละเอยี ดของโครงสรา้ งสญั ญาแตล่ ะสว่ น มีดังตอ่ ไปน้ี 1. สว่ นนา สว่ นนาของสัญญาเปน็ ส่วนทแี่ สดงรายละเอยี ดของชื่อสัญญา สถานที่ทาสัญญา วันทาสญั ญา ชื่อและทีอ่ ยู่ของค่สู ญั ญา ดังน้ี

-6- 1.1 ชอื่ สญั ญา ชอ่ื สัญญาเป็นสว่ นทมี่ คี วามสาคญั ทจี่ ะต้องพจิ ารณาในเบือ้ งตน้ และมผี ล ตอ่ การตคี วามสญั ญาแต่ละฉบับ โดยบ่งถึงเจตนาในการทาสัญญา เนื้อหาโดยรวม ลักษณะ ของสญั ญา และวตั ถุประสงคใ์ นการทาสัญญา ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ของสัญญาในแต่ละ ประเภท ดงั นน้ั ในการกาหนดชื่อสัญญาจะต้องมีความชัดเจน กะทัดรัด และตรงตามเน้ือหา ของสญั ญาน้ัน ข้อสังเกต เร่ืองการตีความสัญญาจากช่ือสัญญา แม้ว่าโดยหลักแล้ว กรณีปรากฏวา่ ใชช้ ื่อสัญญาอย่างหนึ่ง แต่ข้อความในสัญญาไม่สอดคล้องตรงกันแล้ว หากมี กรณีเกดิ ขอ้ สงสัยการตีความ หรือบังคับใช้ให้เปน็ ไปตามสัญญาต้องพจิ ารณาจากสาระสาคัญ ของสัญญาหรือเน้ือความในสัญญาเปน็ หลกั กต็ าม แต่การกาหนดช่ือของสัญญาไม่ตรงกับ เนื้อความหรือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของสัญญา อาจทาให้เกิดความเข้าใจผิด ซ่ึงอาจส่งผล กระทบต่อความสะดวกในการอ้างอิง รวมถึงการกาหนดเน้ือหาของสัญญาแต่ละประเภท ทเ่ี ก่ยี วกบั สทิ ธแิ ละหน้าที่ของคสู่ ญั ญาใหค้ ลาดเคล่อื นไปจากวัตถทุ ี่ประสงคอ์ ยา่ งแท้จรงิ 1.2 สถานท่ที าสัญญาหรือสถานทีล่ งนามในสญั ญา สถานทที่ าสญั ญาหรอื สถานท่ลี งนามในสญั ญา โดยหลกั แลว้ เปน็ การแสดง ใหเ้ ห็นวา่ สัญญานัน้ เกดิ ขน้ึ ทใ่ี ด ซ่ึงสถานทท่ี าสัญญาทก่ี าหนดนีจ้ ะมีผลในทางกฎหมายเม่อื เกดิ ข้อพิพาทข้ึนว่าอยู่ในเขตอานาจของศาลใดในการพิจารณาคดี อีกทั้งยังมีความสาคัญในแง่ การใช้กฎหมายในกรณเี ป็นเรือ่ งกฎหมายขัดกนั หรือกรณีเรอื่ งการติดอากรแสตมป์อกี ดว้ ย ข้อสังเกต เรือ่ งการไมร่ ะบสุ ถานที่ทาสัญญาไมม่ ผี ลทาให้สญั ญาทที่ าขึ้น เสียไปทั้งฉบับ แต่อาจมผี ลในประเด็นเกีย่ วกับเขตอานาจศาลท่ีจะพิจารณาคดีได้โดยตรง เนื่องจากสถานทท่ี าสัญญาเป็นขอ้ กาหนดตกลงระหว่างคู่สัญญาวา่ กรณเี กิดข้อพพิ าทและ มีการฟอ้ งรอ้ งท่ีจะต้องบังคบั กันตามสญั ญา นอกเหนือจากภมู ลิ าเนาของจาเลยแลว้ คูส่ ญั ญา จะต้องยนื่ ฟอ้ งต่อศาลใด ซ่ึงโดยหลักแล้วบุคคลย่อมมีสิทธิเสนอคาฟ้องต่อศาลที่จาเลยมี ภูมิลาเนาอยใู่ นเขตศาล หรอื ต่อศาลท่มี ลู คดีเกิดข้ึนในเขตศาลกไ็ ด้ ตามประมวลกฎหมาย

-7- วธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา 4 (1) โดยกรณีนี้ถือได้ว่าสถานท่ีทาสัญญาเป็นท้องที่ที่มูล คดเี กิดข้ึน ค่สู ัญญาย่อมมีสิทธิเสนอคาฟอ้ งคดีตอ่ ศาลทม่ี ีเขตอานาจเหนอื ทอ้ งทีท่ าสญั ญา อนั เป็นทอ้ งทีท่ มี่ ลู คดีเกิดขน้ึ ได้ดว้ ย 1.3 วันทท่ี าสญั ญา การระบุวนั ทท่ี าสัญญามีความสาคญั ในผลทางกฎหมายหลายประการ ไมว่ ่าจะเปน็ การเรมิ่ ต้นมีนิติสัมพันธร์ ะหว่างกัน การนับระยะเวลาผูกพันตามสัญญา หรือ การบงั คบั ของสญั ญา โดยปกติวันท่ีทาสัญญาจะเป็นวันที่มีการลงนามในสัญญาน้ันเพื่อมี ผลบงั คับ วนั ที่ทาสญั ญาจงึ เป็นวนั ที่เรมิ่ ต้นนบั ระยะเวลาตา่ ง ๆ ท่กี าหนดในเนือ้ หาของสญั ญา ใหค้ ู่สัญญาตอ้ งปฏบิ ตั ิตอ่ กนั ข้อสังเกต เรื่องการไม่ระบุวันท่ีทาสัญญาจะไม่ทาให้สัญญาท่ีทาข้ึน เสียไปท้งั ฉบบั แต่อยา่ งใด แต่อาจกอ่ ใหเ้ กิดปญั หาขอ้ กฎหมายตามมาได้ เช่น จะถือว่าสัญญา ก้ยู ืมเงนิ นัน้ เร่ิมตน้ หรอื สิ้นสุดลงเม่ือใด หรอื ทานองเดยี วกันอาจมีประเด็นว่าอายุความจะ เริม่ ตน้ หรือสนิ้ สุดลงเมอื่ ใด อยา่ งไรกต็ ามเพอ่ื เป็นการป้องกันมิให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้ สัญญา ควรระบุวันที่ทาสญั ญาแตล่ ะฉบบั ใหช้ ดั เจนทุกคร้งั 1.4 ชอื่ และท่อี ยขู่ องคู่สัญญา โดยทว่ั ไปแล้วชื่อและท่ีอยู่ของคู่สัญญาจะปรากฏอยู่ในวรรคแรกหรือ สว่ นตน้ ของสญั ญา ซ่ึงขอ้ มูลส่วนนี้จะต้องระบุชอ่ื และท่อี ยตู่ ามกฎหมายของผมู้ ีอานาจลงนาม ในสัญญา รวมถึงระบุสถานะท่ีจะใช้เรียกขานคู่สัญญาแต่ละฝ่าย เพ่ือให้ทราบถึงสถานะ ของคู่สัญญาวา่ อย่ใู นสถานะใดในสญั ญา คือ ผู้ก้หู รอื ผใู้ ห้กู้ ซง่ึ จะระบสุ ถานะเอาไวท้ ้ายชือ่ และท่ที ี่อยขู่ องคู่สญั ญาฝา่ ยนน้ั เพอ่ื ใชเ้ รยี กขานคูส่ ญั ญาและเปน็ การบ่งบอกสิทธิและหน้าที่ ของคู่สัญญาแตล่ ะฝ่ายไดอ้ ยา่ งชัดเจน ซง่ึ ในการทาสญั ญา คู่สญั ญาผู้เข้าทาสัญญาจะต้อง เป็นบุคคลตามกฎหมายโดยอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ซึ่งบุคคลที่จะเป็น คู่สัญญาในการทาสัญญาฉบับหน่ึง ๆ จะต้องเป็นผู้มีอานาจกระทาการและมีความสามารถ ในการทานติ ิกรรมตามกฎหมายด้วย กล่าวคอื หากคสู่ ัญญาเปน็ บคุ คลธรรมดา บุคคลน้นั

-8- จะตอ้ งเปน็ บคุ คลผมู้ คี วามสามารถในการทานติ กิ รรมตามกฎหมาย และหากคู่สัญญาเป็น นิติบุคคล ผู้ท่ีเข้าเป็นคู่สัญญาและมีอานาจลงนามในสัญญาได้จะต้องเป็นบุคคลท่ีมีอานาจ กระทาการแทนนิตบิ ุคคลตามกฎหมายด้วย ในการระบุชื่อคูส่ ญั ญาถอื เป็นองคป์ ระกอบท่ีเปน็ สาระสาคัญประการหนงึ่ ของสญั ญาและเป็นสว่ นทขี่ าดไม่ได้ เนอ่ื งจากเป็นการระบุบุคคล ผเู้ ข้าทาสญั ญาและสรา้ งนิตสิ มั พันธใ์ หผ้ ลของสัญญาท่ีทาข้ึนนั้นตกอยู่แก่ตนเอง กล่าวคือ เป็นการระบสุ ่วนทเี่ ปน็ สาระสาคญั เพ่ือทราบวา่ คู่สญั ญาเป็นใคร เป็นสัญญาที่ทาขึ้นกาหนด นิติสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลใดบ้าง หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการบังคับตามสัญญา คู่กรณีอีก ฝา่ ยหนึ่งจะใชส้ ทิ ธิเรยี กรอ้ งโดยยน่ื ฟอ้ งคสู่ ญั ญาอีกฝา่ ยหนึ่งต่อศาลให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ อยา่ งถูกตอ้ ง ทานองเดยี วกันกับสถานท่ีในการติดต่อและรับส่งคาบอกกล่าวต่าง ๆ ไม่ว่า จะเปน็ คาบอกกลา่ วกรณีผิดนดั ชาระหนีห้ รือผิดสัญญา รวมทั้งเป็นส่ิงท่ีวินิจฉัยถึงเขตอานาจ ของศาลเม่ือเกิดข้อพิพาทกรณีท่ีต้องฟ้องคดีต่อศาลท่ีจาเลยมีภูมิลาเนาอยู่ในเขตอานาจ ศาลอกี ดว้ ย ข้อสังเกต เรอื่ งช่อื และท่อี ยู่ของคสู่ ัญญาในกรณีที่คู่สัญญาเป็นบุคคล ธรรมดาจะตอ้ งมีการระบุชือ่ นามสกุล ฐานะของคสู่ ญั ญา อายุ เลขทบ่ี ัตรประจาตัวประชาชน และที่อยู่ของคู่สัญญาให้ถูกต้องชัดเจน เพ่ือประโยชน์ในการตรวจสอบสถานะของคู่สัญญา เปน็ บคุ คลตามทะเบยี นราษฎรจริง รวมถงึ ความสามารถในการทาสญั ญาตามกฎหมาย และ ภมู ิลาเนาของคู่สญั ญา ซ่งึ จะเป็นประโยชน์ในแงข่ องการส่งคาบอกกล่าว การส่งหมายบังคับคดี หรือบ่งบอกถึงเขตอานาจศาลในกรณีที่ต้องฟ้องคดีที่ภูมิลาเนาของคู่สัญญาด้วย แต่หาก คู่สญั ญาเป็นนติ บิ ุคคล ผทู้ จี่ ะเข้าเปน็ คู่สญั ญาไดต้ ้องเป็นบุคคลที่มีอานาจกระทาการแทน นิติบุคคลน้ันตามกฎหมาย ซึ่งอาจตรวจสอบได้จากหนังสือรับรองการจดทะเบียนจัดตั้ง ห้นุ ส่วนบรษิ ัท หรอื ขอ้ บงั คบั ของบรษิ ทั ดงั นั้น สัญญาทีท่ าขนึ้ จะตอ้ งมีการระบุรายละเอียด เกีย่ วกับหนงั สอื รับรองการจดทะเบียนจัดตั้งหุ้นส่วนบริษัท หรือข้อบังคับของบริษัทลงไว้ ในสัญญาทที่ าขึ้นดว้ ย เพ่อื ให้ง่ายต่อการตรวจสอบและเนือ่ งจากไม่มขี ้อจากดั ว่าในการทา สัญญาหรอื การลงนามในสญั ญา บคุ คลซงึ่ จะเขา้ ทาสญั ญาต้องกระทานนั้ ด้วยตนเอง จงึ อาจมี การมอบอานาจให้บุคคลอน่ื กระทาการหรือลงนามในสญั ญาแทนตวั การซง่ึ เป็นคู่สัญญาท่ี แทจ้ รงิ ได้ ดงั นน้ั หากมีกรณีทค่ี ู่สญั ญาท้ังที่เป็นบคุ คลธรรมดาหรือนติ บิ คุ คลโดยผ้มู ีอานาจ

-9- กระทาการแทนนิติบุคคลตามกฎหมายน้ันมอบอานาจให้บุคคลอื่นกระทาการแทน จะต้อง ระบรุ ายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลที่รับมอบอานาจให้กระทาการให้ถูกต้องและชัดเจน รวมถึง ตอ้ งระบอุ ้างอิงหนังสอื มอบอานาจใหก้ ระทาการไว้ในสัญญาด้วย คู่สัญญาต้องตรวจสอบ รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้มอบอานาจ ตัวผู้รับมอบอานาจ ขอบเขตในการมอบอานาจให้ กระทาการแทน การตดิ อากรแสตมป์ เปน็ ต้น 2. ส่วนเนื้อหา ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก กาหนดให้ การกู้ยืมเงนิ เกนิ กวา่ สองพันบาทขน้ึ ไปต้องมหี ลักฐานเป็นหนังสอื เปน็ เพียงหนังสือท่ีกฎหมาย บังคบั ใหต้ ้องมี มิฉะน้นั จะฟ้องร้องบังคับคดีกนั ไม่ไดเ้ ท่านั้น ซึ่งไม่มีคานิยามหรือความหมาย ในลกั ษณะเครง่ ครดั เพียงแต่ใหค้ วามสาคญั กับการทาสัญญากู้ยืมเงินในรูปแบบลายลักษณ์ อักษรและมีข้อความหรือถ้อยคาแสดงให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกันก็เพียงพอ ซ่ึงส่วนเนื้อหา เปน็ ส่วนทร่ี ะบถุ ึงข้อกาหนดและเงื่อนไขท่ีคู่สัญญาตกลงกัน ได้แก่ วัตถุประสงค์ของสัญญา ดอกเบย้ี การชาระหน้ี การผิดนัดชาระหน้ี โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ 2.1 วตั ถุประสงคข์ องสัญญา เนือ่ งจากสญั ญากู้ยืมเงินเปน็ สัญญาทางแพ่งประเภทหนึ่ง วัตถุประสงค์ ของการทาสญั ญากู้ยืมเงนิ จงึ ต้องภายใตบ้ งั คบั แหง่ หลักการแสดงเจตนาตามประมวลกฎหมาย

-10- แพง่ และพาณิชย์ กลา่ วคอื การแสดงเจตนาระหว่างคู่สัญญาในการทาสัญญากู้ยืมเงินจะต้อง ไมม่ วี ัตถปุ ระสงคเ์ ป็นการต้องหา้ มชัดแจง้ ดว้ ยกฎหมาย เปน็ การพ้นวิสยั หรอื ขดั ต่อความสงบ เรยี บรอ้ ยและศีลธรรมอนั ดีของประชาชน อันจะมีผลทาให้นิติกรรมหรือสัญญานั้นเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 150 ซึ่งการพิจารณาต้องดูจากเจตนาหรือ วัตถปุ ระสงค์ของคสู่ ญั ญาวา่ มีกฎหมายห้ามไว้หรอื ไม่ เป็นการพน้ วิสยั หรือไม่ หรอื เป็นการขดั ต่อความสงเรียบรอ้ ยและศลี ธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ ตัวอย่างเช่น นายแดงตกลงทา สัญญากู้ยมื เงินจากนายดา โดยนายดาทราบอยูแ่ ลว้ ว่านายแดงจะนาเงินดงั กลา่ วไปลงทุน เกย่ี วกับการรับพนนั ทายผลฟุตบอลโลก ซึ่งเป็นการต้องห้ามชัดแจง้ ดว้ ยกฎหมาย เปน็ ตน้ ขอ้ สังเกต หากในขณะทม่ี ีการกยู้ มื เงินหรอื ขณะทาสัญญากู้ยืมเงิน ผู้ให้กู้ ไม่ทราบเจตนาหรือวัตถปุ ระสงค์ของผกู้ วู้ า่ จะนาเงนิ กู้ดังกลา่ วไปใช้ในเรื่องขัดตอ่ กฎหมาย สัญญากูย้ อ่ มสมบรู ณ์ ผู้กจู้ ะยกขอ้ กล่าวอา้ งในการนาเงินไปใช้ขัดต่อกฎหมายขึ้นต่อสู้ไม่ต้อง รับผิดไมไ่ ด้ 2.2 ดอกเบี้ย การตอบแทนการให้กู้ยืมเงินท่ีเรียกว่า “ดอกเบี้ย” ไม่ใช่สาระสาคัญ ของการกูย้ มื เงิน ผู้ก้แู ละผใู้ ห้กู้อาจตกลงกนั คิดดอกเบ้ียหรือไม่ก็ได้ แต่หากมีการคิดดอกเบ้ีย ต่อกนั ตอ้ งเปน็ ไปตามบทบญั ญัตขิ องกฎหมาย การกาหนดอัตราดอกเบย้ี ไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน และการฟ้องร้องเรียกค่าดอกเบ้ียคืนจะต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของกฎหมาย ซ่ึงปัญหา เกี่ยวกบั การคดิ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมมักจะเกิดข้ึนบ่อยคร้ังในกรณีท่ีมีการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคล ธรรมดา เนื่องจากการไม่รู้กฎหมายหรือรู้แต่เกิดการพลั้งเผลอ รวมถึงอาจเป็นการจงใจ ในการระบอุ ัตราดอกเบีย้ เกินกวา่ ทีก่ ฎหมายกาหนด

-11- ข้อพจิ ารณาเก่ยี วกบั อตั ราดอกเบย้ี แบง่ ได้เปน็ 3 สว่ น ดงั น้ี 2.2.1 อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย การคิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่าง บคุ คลธรรมดาหรอื นิติบคุ คลทวั่ ไปน้ัน ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 654 กาหนดห้ามมใิ หค้ ดิ ดอกเบ้ียเกินอตั ราร้อยละสิบหา้ ต่อปี ถ้าในสัญญากาหนดดอกเบ้ียเกิน กว่านัน้ ก็ใหล้ ดลงมาเป็นอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ซ่ึงแตกต่างกับกรณีท่ีเป็นการกู้ยืมเงินจาก สถาบันทางการเงนิ หรือผูป้ ระกอบธรุ กจิ ทไ่ี มใ่ ชส่ ถาบนั ทางการเงนิ แต่อยู่ภายใต้การกากับ ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมสี ทิ ธเิ รียกดอกเบี้ยได้เกนิ กวา่ อัตราร้อยละสบิ หา้ ต่อปี ตัวอย่างเชน่ สัญญาบัตรเครดิต ผู้ให้บริการสามารถเรียกดอกเบ้ีย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และค่าบรกิ าร รวมกนั แล้วไม่เกินอัตราร้อยละสิบแปดถึงยี่สิบต่อปี สัญญา สินเช่ือเงนิ สด รวมกนั แล้วไมเ่ กินอัตราร้อยละยี่สิบแปดต่อปี ตามท่ีธนาคารแห่งประเทศไทย กาหนดหลักเกณฑ์ไว้ อัตราดอกเบ้ียตามกฎหมาย แบ่งพจิ ารณาได้ดงั นี้ 2.2.1.1 ไมม่ ีข้อตกลงเร่อื งใหค้ ดิ ดอกเบ้ีย คือ กรณีที่มีการกู้ยืม เงินกัน แต่คูส่ ัญญาไม่ไดร้ ะบหุ รือไม่มขี อ้ ตกลงเร่ืองการคิดดอกเบย้ี ระหว่างกันไวใ้ นสญั ญา กู้ยมื เงิน ตวั อย่างเช่น นายแดงตกลงกยู้ ืมเงนิ จากนายดาจานวน 10,000 บาท โดยนายดา ตกลงท่ีจะไมค่ ดิ ดอกเบ้ยี กบั นายแดง กรณีการกูย้ มื เงินดังกลา่ วจงึ ไมม่ ีการกาหนดเรอ่ื งการคดิ ดอกเบีย้ ไว้ในสัญญา เปน็ ต้น ขอ้ สงั เกต ผใู้ ห้กู้ไมม่ ีสทิ ธิเรียกดอกเบีย้ ในระหว่างที่สัญญามีผล นบั ตัง้ แตว่ นั ทท่ี าสัญญาไปจนวนั ครบกาหนดชาระคืน แตจ่ ะสามารถเรยี กดอกเบี้ยจากผู้กู้ ได้หากผูก้ ้ผู ดิ นดั ชาระคืน โดยมสี ิทธิคิดดอกเบี้ยจากการผิดนัดชาระคืนได้ในอัตราร้อยละ เจ็ดคร่ึงต่อปีนับตั้งแต่วันที่ครบกาหนดชาระและผู้กู้ไม่ชาระเงินคืน ซึ่งประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณิชย์ มาตรา 224 บญั ญตั วิ ่า “หน้เี งินนัน้ ท่านใหค้ ดิ ดอกเบ้ียในระหว่างเวลาผดิ นดั ร้อยละเจ็ดก่ึง

-12- ตอ่ ปี ถา้ เจา้ หนอี้ าจจะเรยี กดอกเบยี้ ได้สงู กว่าน้ันโดยอาศัยเหตุอย่างอืน่ อันชอบด้วยกฎหมาย กใ็ ห้คงสง่ ดอกเบ้ียตอ่ ไปตามน้นั ท่านหา้ มมิใหค้ ิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบย้ี ในระหว่างผิดนดั การพิสจู นค์ ่าเสยี หายอย่างอน่ื นอกนัน้ ท่านอนุญาตให้พิสูจนไ์ ด”้ จากตวั อยา่ งข้างตน้ สญั ญากู้ยืมเงินระหว่างนายแดงและนายดา ระบวุ ่า นายแดงจะต้องชาระเงนิ กจู้ านวน 10,000 บาท ภายในวันท่ี 1 กันยายน 2560 ตอ่ มาเมอ่ื ครบกาหนดเวลานายแดงผิดนัดไม่นาเงนิ มาชาระคืน ดังน้ี นายดามสี ทิ ธเิ รียกดอกเบยี้ ฐานผิดนดั ในอัตราร้อยละเจด็ กง่ึ ต่อปี นบั ตงั้ แต่วันที่ 2 เมษายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่า จะมีการชาระหนีค้ ืนจนครบ 2.2.1.2 ข้อตกลงใหค้ ดิ ดอกเบ้ีย แตไ่ ม่ได้กาหนดอัตราดอกเบ้ียไว้ คือ กรณขี องการกู้ยมื เงนิ ทคี่ ู่สญั ญามีขอ้ ตกลงให้คดิ ดอกเบีย้ ระหวา่ งกนั แต่ไมม่ กี าหนดอตั รา ดอกเบี้ยไวใ้ นสญั ญา ตัวอย่างเชน่ นายแดงตกลงกู้ยืมเงินจากนายดาจานวน 10,000 บาท โดยนายแดงกับนายดาตกลงท่ีจะคิดและยินยอมเสียดอกเบ้ียระหว่างกัน แต่ไม่ได้ระบุหรือ กาหนดอตั ราดอกเบีย้ ไวใ้ นสญั ญา ข้อสังเกต ผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างที่สัญญามีผล นับแตว่ ันท่ที าสญั ญาไปจนถงึ วนั ที่มกี ารชาระเงนิ คนื จนครบ โดยคดิ ดอกเบ้ียได้ในอตั รารอ้ ยละ เจด็ ครึง่ ต่อปี ซ่ึงประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 224 บญั ญัติวา่ “ถา้ จะต้องเสยี ดอกเบีย้ แกก่ ันและมิไดก้ าหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ โดยนิติกรรมหรอื โดยบทกฎหมายอันชดั แจ้ง ให้ใชอ้ ตั ราร้อยละเจด็ ครง่ึ ตอ่ ปี” จากตวั อยา่ งข้างต้น นายดามีสิทธเิ รียกดอกเบย้ี จากนายแดงได้ อัตราร้อยละเจด็ คร่งึ ต่อปี จากเงินต้นจานวน 10,000 บาท นับแต่วันทาสญั ญาเปน็ ต้นไป จนกว่านายแดงจะนาเงินมาชาระคืนจนครบ โดยไม่ต้องคานึงว่านายแดงจะผิดนัดชาระหนี้ หรือไม่ เพราะแม้จะผิดนัดชาระ นายแดงก็ต้องรับผิดในค่าดอกเบ้ียอัตราร้อยละเจ็ดก่ึงต่อปี เช่นเดียวกัน

-13- 2.2.2 อัตราดอกเบ้ยี ขดั ต่อกฎหมาย การคิดดอกเบ้ียเงินกยู้ มื ระหวา่ ง บคุ คลธรรมดาหรือนิตบิ ุคคลทัว่ ไปสามารถเรียกได้เพยี งไม่เกินรอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปีเท่านน้ั หากมี การคดิ เกินกว่าอตั รานี้ ถือวา่ เป็นการคดิ ดอกเบย้ี เกนิ กวา่ กฎหมายกาหนดและขดั ต่อกฎหมาย มผี ลทาให้ดอกเบย้ี ที่เรยี กกันเปน็ โมฆะ เสยี ไปท้งั หมด แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 บัญญัตวิ ่า “ทา่ นหา้ มมใิ ห้คดิ ดอกเบี้ยเกินรอ้ ยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากาหนด ดอกเบย้ี เกินกว่านน้ั ก็ให้ลดลงมาเปน็ รอ้ ยละสิบห้าตอ่ ป”ี แต่การเรียกดอกเบย้ี เกินกว่าอัตราร้อยละสบิ หา้ ต่อปี กฎหมายกาหนดให้ ผูเ้ รยี กมีความผดิ ฐานเรยี กดอกเบี้ยเกินอตั รา ตามพระราชบญั ญัตหิ ้ามเรียกดอกเบ้ยี เกนิ อัตรา พ.ศ. 2560 ดังน้ี การเรียกดอกเบ้ยี เกินอตั ราจงึ เปน็ การกระทาทขี่ ดั ต่อกฎหมาย เป็นความผิด และมีโทษทางอาญา ข้อกาหนดเกย่ี วกบั ดอกเบ้ียจงึ ตกเป็นโมฆะเสียไปทั้งหมด ไม่ใช่ลดลงมา เป็นอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีตามท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 654 ตัวอย่างเช่น นายแดงตกลง ก้ยู มื เงินจากนายดาจานวน 10,000 บาท โดยตกลงดอกเบี้ยท่อี ัตรารอ้ ยละสองต่อเดือน (ซึ่งคิดเป็นอัตราร้อยละยี่สิบส่ีต่อปี) ดังน้ี ข้อตกลงเรื่องดอกเบ้ียจึงเป็นโมฆะเท่ากับเป็น การกู้ยืมเงินที่ไม่มีข้อตกลงให้คิดดอกเบ้ียระหว่างกัน นายดาจะมาอ้างว่ามีสิทธิลดอัตรา ดอกเบย้ี ลงมาและเรยี กไดใ้ นอตั ราร้อยละสบิ หา้ ต่อปไี ม่ได้ นอกจากน้ี ในกรณที ีผ่ ู้ให้กู้เรยี กดอกเบย้ี เกินอัตรากว่าร้อยละสิบห้าต่อปี แต่เป็นการคานวณรวมไว้กับหนี้เงินต้น แล้วระบุลงไปในสัญญากู้ยืมหรือมีการหักดอกเบ้ีย ออกจากเงินต้น แต่ระบุเงินต้นเต็มในสัญญา จะมีผลทาให้ข้อตกลงเร่ืองดอกเบี้ยเป็นโมฆะ เทา่ กบั เป็นการกยู้ ืมเงินท่ีไมม่ ีข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยระหว่างกัน ตัวอย่างเช่น นายแดงตกลง กู้ยมื เงินจากนายดาจานวน 10,000 บาท โดยตกลงดอกเบีย้ ท่ีอัตราร้อยละสองต่อเดือน มีกาหนดชาระคืนภายในหน่ึงปี (สามารถคานวณค่าดอกเบ้ียได้ปีละ 2,400 บาท) นายดา ได้ระบุจานวนเงินกู้ลงในสัญญาว่า นายแดงทาสัญญากู้ยืมเงินไปจานวน 12,400 บาท ซึ่งในความเป็นจริงนายแดงได้รับเงินไปเพียง 10,000 บาทเท่าน้ัน หรือในทางกลับกัน นายดาได้ส่งมอบเงินกู้ให้แก่นายแดงเพียง 7,600 บาท เพราะนาค่าดอกเบี้ยไปหักออก

-14- จากเงินต้นตามสัญญาก่อน ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกาหนด ขอ้ ตกลงในส่วนทเี่ ปน็ เรื่องดอกเบ้ยี จึงเปน็ โมฆะ ข้อสังเกต แม้การเรยี กดอกเบีย้ เกินอตั ราจะขัดต่อกฎหมายและทาให้ การเรียกดอกเบ้ียเป็นโมฆะ แต่จะไม่กระทบถึงมูลหนี้ในส่วนเงินต้น เพราะสามารถแยก ความสมบรู ณ์ออกจากกันได้ กลา่ วคอื ผูก้ ยู้ ังคงตอ้ งมคี วามรบั ผิดชาระหนี้เงนิ ตน้ คืนแก่ผู้ให้กู้ การคิดดอกเบี้ยเกินอัตราหรือขัดต่อกฎหมาย ซึ่งมีผลเท่ากับว่าไม่มีการตกลงเร่ืองดอกเบ้ีย ระหวา่ งกนั ไว้ ผู้ใหก้ ู้จงึ ไมม่ สี ทิ ธเิ รยี กดอกเบีย้ ในระหว่างที่สญั ญามีผลนับตั้งแต่วนั ท่ที าสญั ญา ไปจนถึงวันครบกาหนดชาระคืน แต่ผู้ให้กู้จะสามารถเรียกดอกเบี้ยจากผู้กู้ได้หากผู้กู้ผิดนัด ชาระคนื โดยมีสิทธิคิดเพียงอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีนับแต่วันที่ครบกาหนดชาระและผู้กู้ ไมช่ าระเงินคนื หรือนับตั้งแตว่ นั ผดิ นัดนัดชาระคืนเป็นต้นไป ตัวอย่างเช่น นายแดงตกลง กู้ยืมเงินจากนายดาจานวน 10,000 บาท โดยตกลงดอกเบ้ียอัตราร้อยละสองต่อเดือน มีกาหนดชาระเงินคืนภายใน ภายในวันท่ี 1 กันยายน 2560 ข้อตกลงเร่ืองดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละสองต่อเดือนเปน็ โมฆะ นายดาไมอ่ าจเรยี กให้นายแดงชาระดอกเบี้ยนับแต่วันท่ีทา สัญญาได้ แต่หากนายแดงผิดนัดไมช่ าระเงินคืนภายในวนั ท่ี 1 กนั ยายน 2560 นายดามี สิทธิเรยี กรอ้ งใหน้ ายแดงคนื เงินตน้ จานวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบ้ยี อัตรารอ้ ยละเจ็ดก่ึง ต่อปี นบั แตว่ ันท่ี 2 กนั ยายน 2560 ไปจนกว่าจะครบ อย่างไรก็ดี การคิดดอกเบี้ยเกินอัตราหรือขัดต่อกฎหมายเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติห้ามเรยี กดอกเบย้ี เกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณิชย์ มาตรา 654 มผี ลให้ดอกเบี้ยตกเปน็ โมฆะ จึงถอื ไมไ่ ด้ว่าผู้กชู้ าระหน้ีโดยจงใจ ฝา่ ฝืนขอ้ ห้ามตามกฎหมายหรือเปน็ การกระทาอนั ใดตามอาเภอใจเสมือนหน่งึ ว่าเพ่อื ชาระหนี้ โดยรอู้ ยวู่ ่าตนไม่มีความผกู พันตามกฎหมายท่ีตอ้ งชาระอันจะเปน็ เหตุให้ผู้กไู้ มม่ สี ทิ ธไิ ด้รับ ทรัพย์นั้นคืน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 เมื่อดอกเบี้ยของผู้ให้กู้ เป็นโมฆะเทา่ กับสัญญากูย้ มื มไิ ด้มีการตกลงเร่ืองดอกเบี้ยกันไว้ ผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ย กอ่ นผดิ นัด และไมอ่ าจนาเงินท่ีผกู้ ชู้ าระแกผ่ ู้ให้กู้มาแลว้ ไปหักออกจากดอกเบ้ียท่ีผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิ คิดได้ จึงตอ้ งนาเงินที่ผ้กู ชู้ าระหนีไ้ ปชาระตน้ เงินทั้งหมด

-15- 2.2.3 ดอกเบี้ยทบต้น หมายถึง การนาดอกเบ้ียท่ีค้างชาระอยู่มาบวก รวมเข้ากับยอดหนเ้ี งนิ ต้น จากนัน้ จงึ คดิ ดอกเบย้ี จากยอดเงินที่บวกได้ใหม่ดังกล่าวในฐาน ทีเ่ ปน็ เงนิ ต้น ตวั อยา่ งเช่น นายแดงตกลงกู้ยืมเงินจากนายดาจานวน 10,000 บาท มีกาหนด เวลาหนงึ่ ปี ตกลงดอกเบ้ยี อตั ราร้อยละสิบห้าต่อปี ครบกาหนดเวลากู้จะคิดเป็นค่าดอกเบ้ีย 1,500 บาท หากสัญญากู้ไม่มีข้อตกลงให้คิดดอกเบ้ียทบต้น การคิดดอกเบี้ยในปีถัดไป จะต้องคิดจากเงนิ ต้น 10,000 บาท แต่หากมีข้อตกลงเป็นหนังสือระหว่างคู่สัญญาให้คิด ดอกเบี้ยทบตน้ ได้ เชน่ นี้ การคิดดอกเบ้ียในปีถัดไปกใ็ ห้นาเงินต้น 10,000 บาท บวกกับ ดอกเบ้ยี ค้างชาระ 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 15,000 บาท เป็นฐานเงินต้นใหม่ ในการ คานวณดอกเบย้ี อตั รารอ้ ยละสิบห้าตอ่ ปี ดงั น้นั ในปีทสี่ องจะคดิ เปน็ คา่ ดอกเบี้ย 2,250 บาท จะเห็นไดว้ ่า การคดิ ดอกเบ้ียทบตน้ มีผลทาใหผ้ ใู้ ห้กู้ได้รบั ผลประโยชน์จากการใหก้ ู้ยืมเงนิ มากกว่าการคดิ ดอกเบีย้ แบบปกติธรรมดา แต่สทิ ธใิ นการคดิ จะต้องมีข้อตกลงกันเอาไว้ต้ังแต่ ขณะทาสญั ญา เนอื่ งจากประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 655 วรรคหนึ่ง บญั ญัติว่า “ท่านหา้ มมใิ หค้ ิดดอกเบีย้ ในดอกเบี้ยทค่ี ้างชาระ แต่ทว่าเม่ือดอกเบ้ีย ค้างชาระไม่น้อยกว่าปีหน่ึง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบ้ียนั้นทบเข้ากับต้นเงิน แลว้ ใหค้ ิดดอกเบย้ี ในจานวนเงินทท่ี บเขา้ กนั น้ันก็ได้ แต่การตกลงเช่นนัน้ ตอ้ งทาเปน็ หนงั สือ” หลักเกณฑ์การคดิ ดอกเบี้ยทบตน้ สามารถแบ่งไดด้ ังน้ี 2.2.3.1 การตกลงตอ้ งทาเปน็ หนงั สือ 2.2.3.2 จะนาดอกเบี้ยที่ค้างชาระน้อยกว่าหนึ่งปีมาทบเข้ากับ เงนิ ต้นแล้วคิดดอกเบีย้ ไมไ่ ด้ 2.2.3.3 การคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยไม่มีข้อตกลงเป็นหนังสือ ถือวา่ ดอกเบีย้ ท้ังหมดตกเปน็ โมฆะ แตจ่ ะไม่กระทบกับสัญญาส่วนที่สมบูรณ์ คือ หนี้เงินต้น และผูใ้ หก้ ู้ก็ยงั มีสิทธเิ รียกดอกเบี้ยในฐานลูกหนผี้ ิดนัดได้ในอตั รารอ้ ยละเจ็ดก่ึงตอ่ ปี 2.2.3.4 ถา้ ผูก้ ชู้ าระดอกเบ้ยี ทบต้นใหผ้ ู้ให้กู้ไปแล้ว ผู้กู้ไม่มีสิทธิ เรยี กเงนิ ดอกเบี้ยคนื เพราะเป็นการชาระหนตี้ ามอาเภอใจหรือสมคั รใจ

-16- 2.3 การชาระหนี้ การชาระหนตี้ ามสัญญากู้ยืมคืนแก่ผู้ให้กู้ ถือเป็นวัตถุประสงค์หลักของ การก้ยู มื เงิน ลักษณะของการใช้เงนิ สามารถแบ่งพิจารณาได้ 3 ลกั ษณะ คือ 2.3.1 การชาระหนคี้ ืนดว้ ยเงิน หมายถึง การใช้เงินหรือการชาระหนี้ เงินกู้ยืมด้วยการนาเงินไปชาระ ซ่ึงการกู้ยืมเงินที่ใหลักฐานเป็นหนังสือนั้น มีบทบัญญัติ กฎหมายบังคบั ไว้เป็นพิเศษว่า ผกู้ ้จู ะนาสบื การใช้เงินได้เฉพาะเทา่ ท่ีบัญญตั ิไวใ้ นมาตรา 653 วรรคสอง แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยเ์ ท่านั้น กล่าวคือ ในการก้ยู ืมเงนิ ทม่ี หี ลกั ฐาน เป็นหนังสือจะนาสืบการใชเ้ งนิ ไดต้ อ่ เมอื่ มหี ลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหน่ึง ลงลายมือช่ือ ผใู้ หก้ ู้มาแสดง หรือเอกสารอนั เป็นหลักฐานแห่งการกยู้ ืมเงนิ นนั้ ไดเ้ วนคนื แล้ว หรือไดม้ กี ารแทง เพิกถอนลงในเอกสารน้นั แล้ว หากผ้กู ้ไู มม่ ีหลกั ฐานดงั กลา่ วข้างตน้ ก็ไมม่ ีสทิ ธิจะนาพยานบุคคล เข้าสบื เพอ่ื แสดงใหเ้ หน็ ว่ามีการชาระหนีเ้ งินตน้ แลว้ เพราะขัดตอ่ สงิ่ ทกี่ ฎหมายกาหนด เมื่อไม่มี หลกั ฐานการใชเ้ งินมาแสดง ผู้กูต้ ้องแพ้คดีและต้องชาระเงนิ ตน้ คืนให้แกผ่ ใู้ หก้ ตู้ ามท่ีมีการ ฟ้องรอ้ งคดกี นั อีกครงั้ หนึง่ ดังนัน้ จงึ เป็นเรื่องทสี่ าคญั อยา่ งมากทีผ่ กู้ ูค้ วรจะใส่ใจและใชค้ วาม ระมดั ระวังในขณะทมี่ กี ารนาเงินไปชาระหน้คี ืน กลา่ วคือ ผู้กู้ควรตอ้ งขอใหผ้ ู้ให้ก้อู อกหลกั ฐาน เปน็ หนังสอื แสดงการรับชาระหนี้ หรือใบเสร็จรับเงิน หรือต้องขอคืนต้นฉบับสัญญากู้ หรือ ขอใหผ้ กู้ ูแ้ ทงเพกิ ถอนสัญญากู้ทเี่ กบ็ ไว้ หากผู้ให้กู้ปฏิเสธไมย่ อมออกหรอื ทาหลกั ฐานดังกลา่ ว ผกู้ กู้ ไ็ ม่ควรยอมที่จะชาระเงนิ คนื 2.3.2 การชาระหนี้คืนด้วยวิธีอ่ืน หมายถึง การชาระหน้ีกู้ยืมในส่วน ของเงินต้นด้วยวิธีการอย่างอื่น นอกจากการนาเงินไปชาระ ได้แก่ การโอนเงินเข้าบัญชี ธนาคาร การมอบบัตรเอทีเอ็มให้แก่ผู้ให้กู้นาไปเบิกถอน การออกเช็คเพ่ือชาระหนี้และ การโอนทรพั ยส์ นิ ตีราคาใช้หน้ี เปน็ ต้น การชาระหน้ดี ้วยวธิ ีอน่ื นี้ ไมอ่ ยู่ในบังคับตามประมวล กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 653 วรรคสอง กลา่ วคอื ผูก้ ้มู สี ทิ ธจิ ะนาสืบการชาระหนี้ได้ แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืม หรือ ไม่มีเอกสาร อนั เป็นหลักฐานแหง่ การกู้ยืมน้ันได้เวนคนื แล้ว หรอื ไม่มกี ารแทงเพิกถอนลงในเอกสารก็ตาม

-17- 2.3.3 การชาระดอกเบีย้ เนอื่ งจากการชาระเงินท่ีต้องมีหลักฐานเป็น หนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดง หรือมีการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม หรือแทงเพิกถอนในเอกสาร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง หมายถึง การนาสืบถึงการชาระเงินต้นเท่านน้ั ไม่รวมถึงการชาระดอกเบี้ยด้วย ดงั น้ี การนาสืบ ถงึ การชาระดอกเบี้ยผู้กู้มีสทิ ธนิ าพยานบุคคลหรอื พยานเอกสารอ่ืน ๆ มาสืบถึงจานวนดอกเบี้ย ทีช่ าระไปแล้วได้ 2.4 การผิดนดั ชาระหน้ี การชาระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินถือเป็นองค์ประกอบและวัตถุประสงค์ ทส่ี าคัญอย่างหนง่ึ ของการกู้ยืมเงนิ และยังถอื เป็นหน้าทีห่ ลกั ของผกู้ ูอ้ กี ดว้ ย หากผกู้ ไู้ มค่ นื เงิน หรอื ไมช่ าระหนค้ี ืนยอ่ มตกเปน็ ผผู้ ดิ นัด แต่การจะพิจารณาวา่ ผกู้ ู้ผดิ นดั แลว้ หรือไมน่ น้ั ตอ้ งดูว่า ผู้ก้มู ีหน้าท่ตี อ้ งชาระหนห้ี รอื คนื เงนิ ณ เวลาใด ซึ่งต้องอาศัยข้อตกลงที่กาหนดไว้ในสัญญา เป็นหลกั ซึง่ สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ 2.4.1 สญั ญากู้มีกาหนดเวลาชาระคืน หมายถงึ ผู้กู้และผู้ให้กู้ตกลงกัน ไว้ในสัญญากชู้ ัดเจนว่าผู้กจู้ ะต้องชาระเงินคนื ณ วนั เดือนปีท่ีเท่าใด หรือภายในวันเดือนปี ที่เทา่ ใด หรอื มกี าหนดเวลาคืนเงินก่ีวัน กี่เดือน หรือกี่ปี ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 นายแดงตกลงกู้ยืมเงนิ จากนายดาจานวน 10,000 บาท ตกลงดอกเบ้ียท่อี ัตราร้อยละ สิบห้าต่อปี มกี าหนดชาระเงินต้นและดอกเบ้ียคืนภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ดังนี้ เมือ่ ครบกาหนดในวันที่ 31 สงิ หาคม 2561 แล้ว นายแดงไม่นาเงินมาชาระคนื ถือได้ว่า นายแดงผดิ นดั ชาระหนี้ทันที นายดาไม่จาต้องบอกกล่าว ทวงถาม หรอื แจ้งเตอื นใหช้ าระหน้อี กี โดยถือวา่ นายแดงเรม่ิ ผดิ นดั ในวนั ที่ 1 กันยายน 2561 และถือเปน็ วนั เร่มิ ต้นท่นี ายดาสามารถ ใชส้ ทิ ธิเรยี กร้องในการนาคดมี าฟ้องบงั คบั ใหม้ ีการชาระเงินคนื อันเป็นวนั เรม่ิ ตน้ นบั อายคุ วาม การฟ้องคดี 2.4.2 สัญญากูไ้ มม่ กี าหนดเวลาชาระคนื หมายถงึ ผกู้ ูแ้ ละผใู้ ห้กู้ไม่ได้ ตกลงกันไวใ้ นสญั ญากู้ว่า ผกู้ ้จู ะต้องชาระเงินคนื ณ วันเดือนปีท่ีเทา่ ใด หรือภายในวนั เดอื น

-18- ปีที่เท่าใด ซ่ึงจะมีผลทาให้ไม่อาจทราบได้ว่าผู้กู้จะต้องคืนเงินยืมเม่ือใด ดังนั้น กฎหมาย จึงกาหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ให้กู้ในการท่ีจะต้องบอกกล่าวทวงถามแก่ผู้กู้ให้คืนเงินภายใน เวลาอันสมควร โดยต้องกาหนดระยะเวลาพอสมควร เพื่อให้ผู้กู้ปฏิบัติการชาระภายใน เวลาดงั กล่าว ซ่งึ เมื่อครบกาหนดแล้วหากผู้กไู้ มช่ าระ จึงจะถือว่าเป็นผู้ผิดนัดนับตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นไป ตัวอย่างเช่น เม่ือวันท่ี 1 กันยายน 2560 นายแดงตกลงกู้ยืมเงินจากนายดา จานวน 10,000 บาท ตกลงดอกเบยี้ ทอ่ี ตั ราร้อยละสิบห้าต่อปี แต่ไม่มีข้อตกลงเก่ียวกับ กาหนดเวลาชาระเงินต้นและดอกเบี้ยเอาไว้ ดังน้ี นายดามีสิทธิเรียกร้องให้นายแดงคืนเงิน ที่ยืมไปได้ทันทีด้วยการบอกกล่าวทวงถามไปยังนายแดง และกาหนดระยะเวลาพอสมควร ใหค้ ืนเงนิ ภายในเวลาน้นั หากครบกาหนดแลว้ ไม่มกี ารชาระคนื ถอื ว่านายแดงผดิ นัดชาระหน้ี และถอื เปน็ วันเริ่มตน้ ทน่ี ายดาสามารถใชส้ ิทธเิ รียกร้องในการนาคดมี าฟ้องบังคับให้มีการ ชาระเงนิ คนื อันเป็นวนั เริม่ ต้นนบั อายคุ วามการฟ้องคดี เป็นต้น นอกจากนี้ ในกรณีท่ีสัญญา กู้ยมื เงนิ ไมไ่ ด้กาหนดเวลาชาระหน้ีไว้ ผใู้ ห้กู้กอ็ าจใช้การยนื่ ฟ้องคดีต่อศาลเป็นการบอกกล่าว ทวงถามได้เพื่อเรียกร้องใหช้ าระหน้ีคืน และถือวา่ ผู้ก้ผู ดิ นดั ในวันทม่ี กี ารฟ้องคดนี ่ันเอง 3. สว่ นลงทา้ ยของสญั ญา ส่วนลงท้ายของสัญญาเป็นส่วนที่แสดงถึงการรับรู้และเข้าใจของคู่สัญญาถึง ข้อสัญญาต่าง ๆ วา่ ถกู ตอ้ งตรงกบั เจตนาของคสู่ ัญญาทกุ ฝา่ ย การลงลายมอื ชอ่ื ของคู่สัญญา หรือตราประทบั ของคูส่ ัญญา และการลงลายมือชื่อของพยาน ซ่ึงมีรายละเอยี ดดังนี้

-19- 3.1 ขอ้ ความสว่ นท้ายของสญั ญา เม่ือคู่สัญญาได้กาหนดเน้ือหา ซ่ึงมีสาระสาคัญตามที่ได้ตกลงกันแล้ว ในส่วนทา้ ยของสัญญาก็จะระบเุ ปน็ การปดิ ท้ายสัญญาใหท้ ราบว่า สญั ญาที่ได้ทากันนั้นได้ ทาไวก้ ีฉ่ บบั ซึง่ ถา้ มคี ู่สัญญาสองฝ่าย คูส่ ญั ญาก็จะยึดถือไว้เป็นหลักฐานฝ่ายละฉบับ ซึ่งมี ข้อความถูกตอ้ งตรงกนั พร้อมกนั น้ันก็จะระบุข้อความเปน็ การยนื ยนั วา่ คสู่ ัญญาไดท้ าสัญญา ด้วยใจสมัครมไิ ดถ้ กู บังคับหลอกลวงและมีเจตนาที่จะผูกพันกันตามกฎหมาย โดยมีข้อความ ทีแ่ สดงวา่ คูส่ ญั ญาได้อ่านและเข้าใจข้อความในสัญญาดีแลว้ หรอื โดยตลอดแลว้ จงึ ได้ลงลายมือ ชอ่ื ไวเ้ ปน็ หลักฐานต่อหน้าพยาน 3.2 ลายมอื ช่ือคสู่ ัญญา แม้ว่าในสัญญาจะมีการระบุช่ือคู่สัญญาไว้ในส่วนแรกของสัญญาก็ตาม แต่ถา้ คู่สญั ญามไิ ด้ลงลายมือช่ือในสัญญาด้วยแลว้ สญั ญาน้ันจะไมม่ ีผลบงั คบั ไดต้ ามกฎหมาย เพราะตามหลักเหตุผลเพยี งแต่มขี อ้ ความของสญั ญาเท่านั้น ผู้หน่ึงผู้ใดย่อมเขียนหรือทาข้ึนเองได้ โดยท่ีผ้ถู ูกอ้างวา่ เปน็ คู่สัญญาอาจไม่มสี ว่ นรู้เห็นหรอื ตกลงด้วย ดังนั้น การลงลายมือช่ือในสัญญา จึงเปน็ สว่ นท่ีสาคัญมาก เพราะเปน็ การแสดงให้เห็นว่า คสู่ ัญญาซึง่ ได้ตกลงทาสัญญากนั แลว้ นัน้ ผูกพนั กนั ตามกฎหมายทกุ ประการ 3.3 พยานในการทาสัญญา แม้กฎหมายจะมิได้บังคับให้การทาสัญญาโดยทั่วไปจะต้องมีพยานใน การ ทาสัญญากต็ าม แตก่ ารมีพยานรับรแู้ ละรับรองการทาสญั ญา กจ็ ะทาใหม้ ีความน่าเชือ่ ถอื และ คู่สัญญาจะมีความระมัดระวังในการปฏิบัติตามสัญญามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในกรณีที่มี ขอ้ ความโตแ้ ยง้ เกีย่ วกับสัญญา คู่สญั ญาแตล่ ะฝ่ายก็อาจใหพ้ ยานมายืนยันความถกู ต้องได้ ซึง่ เป็นการปอ้ งกนั การบิดพล้ิวหรอื ไมป่ ฏบิ ัตติ ามสัญญาได้ สาหรับพยานน้ันในทางปฏิบัติ มกั นยิ มให้มพี ยานในสัญญาเพยี งสองคน

-20- 4. ข้อสัญญาท่มี ีลักษณะหรอื มีความหมายทานองเดยี วกันที่ตอ้ งพึงระมัดระวงั 4.1 ข้อสัญญาท่ีเป็นการยกเว้นหรือจากัดความรับผิดจากการผิดสัญญาของ ผู้ให้กู้ 4.2 ข้อสัญญาทีใ่ ห้สิทธผิ ู้ให้กบู้ อกเลิกสญั ญากบั ผู้กู้ หรอื เรียกร้องให้ผู้กู้ชาระหน้ี ทัง้ หมดหรือแต่บางสว่ นก่อนกาหนดเวลาในสญั ญา โดยผ้กู ู้มไิ ดผ้ ดิ นดั ชาระหน้ี หรอื ผดิ สญั ญา หรอื ผิดเง่ือนไขอนั เป็นสาระสาคัญขอ้ ใดขอ้ หน่งึ ในสญั ญา 4.3 ขอ้ สัญญาทใ่ี ห้สทิ ธผิ ้ใู หก้ เู้ ลิกสัญญากับผู้กู้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวเป็น หนงั สือไปยงั ผูก้ ู้ 4.4 ขอ้ สัญญาที่ใหส้ ทิ ธิผใู้ หก้ เู้ ปลย่ี นแปลงคา่ อัตราค่าบริการตา่ ง ๆ เก่ียวกับ สญั ญากยู้ ืมเงิน

ตอนท่ี 3 ตัวอย่างแบบสญั ญาก้ยู ืมเงนิ

หนงั สอื สญั ญากู้ยืมเงิน สัญญาฉบับนี้ทาขึน้ เมอ่ื วันที่ .......... เดือน ................................. พ.ศ. ................ ณ เลขที่ ................ หมู่บ้าน/อาคาร ....................... ตรอก/ซอย ....................... ถนน .................... ตาบล/แขวง ................................ อาเภอ/เขต ................................ จงั หวัด ................................... ระหวา่ งขา้ พเจ้า ........................................................................ อายุ .............. ปี สัญชาติ ............... เลขประจาตัวประชาชน .......................................... ออกโดย ............................ วันท่อี อกบัตร .............................. วันบัตรหมดอายุ ................................ อยู่บ้านเลขท่ี .................. หม่บู ้าน/อาคาร .................................... ตรอก/ซอย ................................. ถนน ............................. ตาบล/แขวง ................................ อาเภอ/เขต ................................ จังหวัด ................................... ซึ่งตอ่ ไปในสญั ญาเรยี กว่า “ผใู้ หก้ ู้” ฝา่ ยหนึง่ กับขา้ พเจ้า ................................................................................ อายุ .............. ปี สัญชาติ .............. เลขประจาตัวประชาชน ........................................ ออกโดย ........................... วนั ทอ่ี อกบตั ร .............................. วนั บตั รหมดอายุ ............................... อยู่บ้านเลขที่ ................... หมู่บา้ น/อาคาร ................................... ตรอก/ซอย .................................. ถนน ............................. ตาบล/แขวง ................................ อาเภอ/เขต ................................ จังหวัด ................................... ซงึ่ ตอ่ ไปในสญั ญาเรยี กว่า “ผกู้ ู้” อีกฝา่ ยหนึง่ ทั้งสองฝา่ ยตกลงทาสญั ญากนั โดยมขี ้อความสาคญั ดังต่อไปน้ี ขอ้ 1 ผู้ก้ไู ด้กูย้ ืมเงินจากผู้ให้กู้เป็นเงินจานวน .......................................... บาท (.....................................................) โดยผ้ใู ห้กู้ได้ส่งมอบเงินท่กี ้ยู มื ดว้ ยวธิ กี ารดงั นี้  ผูใ้ หก้ ไู้ ด้โอนเงินเขา้ บัญชเี งินฝากธนาคาร ................................................ ชอ่ื บญั ชี ................................................ สาขา .................................... ประเภท ............................. เลขที่ ...................................... จานวน ................................ บาท (.................................................) ลงชอ่ื ............................................... ผูก้ ู้ ลงชือ่ .............................................. ผูใ้ หก้ ู้

-2-  ผใู้ หก้ ู้ได้ส่งมอบเชค็ ของธนาคาร............................................................... สาขา ...................................... เชค็ เลขท่ี ..................................... ลงวันท่ี ....................................... จานวน ...................................... บาท (........................................................)  ผู้ให้กู้ได้ส่งมอบเงินให้แก่ผู้กู้ต่อหน้าเจ้าหน้าที่สานักงานยุติธรรมจังหวัด (ผกู้ ู้และเจ้าหน้าทส่ี านกั งานยุติธรรมจังหวดั ลงช่อื กากบั ความขอ้ น้ี) ด้วยวิธีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมดังกล่าวข้างต้น ผู้กู้ได้รับเงินดังกล่าวเรียบร้อย แล้วต้ังแต่เวลาทาสญั ญาฉบับนี้ ข้อ 2 ผูก้ ู้ตกลงชาระดอกเบีย้ ใหแ้ กผ่ ู้ให้กใู้ นอตั ราร้อยละ ........ ต่อปี จนถึงวันที่ ชาระหนเี้ สร็จส้ิน ขอ้ 3 ผกู้ ู้ตกลงยินยอมชาระหนเี้ งินกยู้ ืมใหแ้ กผ่ ู้ให้กู้ด้วยวธิ ีการดังนี้  ชาระเงินต้นพร้อมดอกเบย้ี ภายในวนั ที่ ........... เดอื น ............................. พ.ศ. ..............  ชาระเงินต้นภายในวนั ที่ ........... เดอื น ............................ พ.ศ. .............. ส่วนดอกเบย้ี ชาระเป็นรายเดือน ๆ ละ ......................... บาท (........................................................) ภายในวนั ท่ี ............ ของทกุ ๆ เดือน  ผ่อนชาระเงนิ ต้นพร้อมดอกเบ้ียเป็นรายเดือน ๆ ละ ...................... บาท (........................................................) โดยจะชาระภายในวันท่ี .................. ของทุก ๆ เดือน เริ่มชาระ งวดแรกในวันที่ ........... เดือน ............................ พ.ศ. .............. ท้ังนี้ เมื่อผใู้ หก้ ไู้ ด้รับชาระหนง้ี วดหน่ึงงวดใดด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้น ผู้ให้กู้ จะออกใบเสรจ็ รบั เงินให้แก่ผกู้ ู้ไว้เป็นหลกั ฐานหน่งึ ฉบบั ทันที ข้อ 4 ในกรณีท่ีผู้กู้ชาระเงินต้นคืนท้ังหมดให้แก่ผู้ให้กู้ก่อนเวลาที่กาหนดไว้ใน สญั ญาน้ี การคิดดอกเบย้ี ให้คดิ เพียงวันที่ชาระต้นเงินกนั เทา่ น้ัน ลงช่ือ ............................................... ผูก้ ู้ ลงช่ือ .............................................. ผูใ้ หก้ ู้

-3- ขอ้ 5 ผู้ใหก้ ู้จะไม่มกี ารคิดเบย้ี ปรับ คา่ ธรรมเนียม หรือประโยชน์อยา่ งอื่นนอกจาก ดอกเบ้ีย ไม่วา่ จะเปน็ เงินหรือสง่ิ ของ หรือโดยวิธีการใด ๆ จากผูก้ ู้ เพื่อชาระหนที้ งั้ หมดหรอื บางส่วน ข้อ 6 ในกรณีทผ่ี กู้ ้จู ะชาระหน้ีเงินต้นและหรือดอกเบ้ียให้แก่ผู้ให้กู้ ไม่ว่าท้ังหมด หรืองวดหนึ่งงวดใด แต่ผู้ให้กู้ปฏิเสธการรับชาระหน้ีเงินต้นและหรือดอกเบี้ยโดยปราศจากมูลเหตุ อนั จะอ้างกฎหมายได้ ผู้กู้สามารถชาระหนี้ดังกล่าวโดยการวางทรัพย์ ณ สานักงานวางทรัพย์ และ ผกู้ ้จู ะบอกกลา่ วการชาระหน้โี ดยการวางทรพั ย์ให้ผ้ใู หก้ ทู้ ราบโดยพลนั ขอ้ 7 เพือ่ เป็นประกนั การชาระหน้ี  ผ้กู ู้ไดม้ อบ ............................................................................................... ซึ่งทรพั ย์สนิ ดังกล่าว ผ้กู เู้ ป็นเจ้าของกรรมสทิ ธ์โิ ดยชอบด้วยกฎหมายนามาจานาให้ไว้แก่ผู้ให้กู้ โดยยินยอม ให้ผู้ให้กเู้ ปน็ ผู้ดูแลรักษาหรอื บุคคลอื่นท่ผี ้ใู หก้ มู้ อบหมายเปน็ ผู้ดูแลรักษา และหากผู้กู้ผิดสัญญา ผู้กู้ ยินยอมใหผ้ ใู้ หก้ ้บู งั คบั จานาเอาแก่ทรัพย์สนิ ดังกล่าวได้ทันที โดยไม่จาต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ผใู้ ห้กูต้ อ้ งรบั ผดิ ในความเสียหายเม่ือทรัพย์สินซ่ึงจานานั้น สูญหาย บุบสลาย ชารุดบกพร่อง วินาศภัย หรือความเสียหายอย่างใด ๆ ซ่ึงทรัพย์สินที่จานาอันอยู่ในความครอบครอง ดแู ลรกั ษาของผู้ใหก้ ้หู รอื บคุ คลอืน่ ใดซึ่งผ้ใู ห้กู้ได้มอบหมายให้ดูแลรักษาแทน หากความเสียหายนั้น เกดิ ขน้ึ จากความจงใจหรือประมาทเลินเลอ่ อย่างร้ายแรงจากผู้ให้กู้หรือบุคคลอ่ืนใดซ่ึงผู้ให้กู้ได้มอบหมาย ใหด้ แู ลรกั ษาแทน  ผกู้ ูข้ อให้ ................................................................ เป็นผู้ค้าประกันสัญญาน้ี ต่อผใู้ หก้ ู้ โดยทาหนังสอื ค้าประกันต่างหากใหผ้ ู้ใหก้ ้ยู ดึ ถือไวเ้ ป็นประกัน ข้อ 8 การจาหนา่ ยหรือการโอนสทิ ธเิ รยี กร้องในสัญญาของผู้ให้กู้ ไม่ว่าท้ังหมด หรือแต่บางสว่ นใหแ้ ก่บุคคลภายนอก ผู้ใหก้ ู้จะแจง้ เป็นหนังสอื ไปยงั ผ้กู ้ทู ราบล่วงหนา้ ไม่นอ้ ยกวา่ หนึง่ งวด ของการชาระหน้ีเงินตน้ หรือดอกเบี้ย หรอื จะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้กู้มิเช่นนั้นจะยก เป็นข้อต่อสู้ผ้กู ู้มไิ ด้ ลงช่อื ............................................... ผู้กู้ ลงช่อื .............................................. ผู้ใหก้ ู้

-4- ข้อ 9 การส่งคาบอกกล่าวซ่ึงตามกฎหมายหรือตามสัญญากาหนดให้ต้องแจ้ง หรือต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือ ให้ส่งทางส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับตามที่อยู่ท่ีระบุในสัญญา หรือท่อี ยูท่ ่ผี กู้ แู้ ละผูใ้ ห้กแู้ จ้งการเปล่ียนแปลงไว้เป็นหนงั สอื หลงั สดุ การแจง้ เปล่ียนแปลงท่ีอยตู่ ามท่ีระบุในสัญญานี้ ให้แจ้งแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหน่ึง ทราบภายในกาหนด 15 วันนับแต่วนั ท่ีเปลี่ยนแปลงท่ีอยู่ ข้อ 10 หากผกู้ ู้ผดิ สัญญาข้อหน่ึงข้อใด ผู้กู้ยินยอมรับผิดในความเสียหายของบรรดา ทีผ่ ู้ให้กู้จะพึงได้รับจากการผิดสัญญาของผู้กู้ รวมถงึ การบังคบั หนี้จนครบเต็มจานวนหน้ีและดอกเบ้ีย ข้อ 11 ในสัญญาฉบบั นี้ ไม่มขี อ้ ความท่ีมีลกั ษณะหรอื มคี วามหมายทานองเดียวกัน ดงั ต่อไปนี้ 11.1 ข้อสัญญาท่ีเป็นการยกเว้นหรือจากัดความรับผิดจากการผิด สัญญาของผใู้ ห้กู้ 11.2 ข้อสัญญาที่ให้สิทธิผู้ให้กู้บอกเลิกสัญญากับผู้กู้ หรือเรียกร้อง ให้ผู้กู้ชาระหน้ีทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก่อนกาหนดเวลาในสัญญา โดยผู้กู้มิได้ผิดนัดชาระหนี้ หรือ ผิดสญั ญา หรอื ผดิ เง่ือนไขอนั เปน็ สาระสาคัญข้อใดขอ้ หนง่ึ ในสัญญา 11.3 ขอ้ สัญญาท่ใี ห้สิทธผิ ู้ใหก้ ู้เลกิ สญั ญากบั ผู้ก้ไู ดโ้ ดยไม่ต้องบอกกล่าว เป็นหนังสือไปยังผกู้ ู้ 11.4 ข้อสญั ญาทใี่ ห้สิทธผิ ใู้ ห้กู้เปล่ียนแปลงค่าอัตราค่าบริการต่าง ๆ เกี่ยวกับสญั ญากู้ยมื เงนิ ข้อ 12 เม่ือผู้กู้ได้ชาระหน้ีเงินกู้ให้แก่ผู้ให้กู้เสร็จส้ินตามสัญญาแล้ว ผู้ให้กู้จะ เวนคนื หรือแทงเพกิ ถอนลงในสญั ญากูย้ มื เงนิ ให้แกผ่ ู้กู้ ข้อ 13 ผู้กแู้ ละผู้ใหก้ ู้ตกลงให้การแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงขอ้ สญั ญาแห่งสัญญากู้ยืมเงิน ต้องทาเป็นหนงั สอื ลงลายมอื ช่ือผูก้ ้เู ป็นสาคญั ลงช่ือ ............................................... ผู้กู้ ลงชื่อ .............................................. ผใู้ ห้กู้

-5- ข้อ 14 หากผกู้ หู้ รือผู้ใหก้ ู้ผิดสญั ญาขอ้ หน่ึงข้อใด คู่สัญญาฝา่ ยนั้นยินยอมรับผิด ในความเสยี หายของบรรดาท่ีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนงึ่ พงึ ได้รับจากการผิดสญั ญา ขอ้ 15 ผู้ใหก้ ู้จะส่งมอบสาเนาหรือคู่ฉบับสญั ญากู้ยืมเงนิ ใหแ้ ก่ผู้กู้ไว้เป็นหลกั ฐาน หนง่ึ ฉบับทนั ทีทผ่ี ู้ก้ลู งนามในสัญญา สญั ญาน้ีทาข้นึ สองฉบบั มีข้อความถูกต้องตรงกัน คู่สัญญาอ่านและเข้าใจข้อความ ในสญั ญาโดยตลอดดีแลว้ จงึ ลงลายมอื ชอ่ื ไว้เป็นหลักฐานตอ่ หน้าพยานเป็นสาคัญ ลงช่ือ ............................................... ผ้กู ู้ ลงช่ือ .............................................. ผู้ให้กู้ (………………………….……………) (………………………….……………) ลงช่อื ............................................... พยาน ลงชอื่ .............................................. พยาน (………………………….……………) (………………………….……………) ลงชือ่ ............................................... (………………………….……………) เจ้าหน้าท่สี านักงานยตุ ธิ รรมจังหวดั คาเตือนสาหรับคู่สญั ญา 1. กอ่ นที่จะลงนามในสญั ญากูย้ ืมเงิน คู่สัญญาควรอ่านและตรวจสอบรายละเอียด ของสัญญาให้เข้าใจชดั เจน หากคสู่ ญั ญามขี ้อสงสัยใด ๆ ควรปรกึ ษาเจ้าหนา้ ท่ีสานกั งานยตุ ธิ รรมจงั หวดั 2. สญั ญากู้ยืมเงินต้องปิดอากรแสตมป์จานวนหนึ่งบาทของจานวนเงินต้นทุก ๆ สองพันบาท หรือเศษของสองพันบาท