Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการดูแลสุขภาพด้วยแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก

คู่มือการดูแลสุขภาพด้วยแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก

Description: คู่มือการดูแลสุขภาพด้วยแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก.

Search

Read the Text Version

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก คมู่ อื การดแู ลสุขภาพด้วย การแพทยแ์ ผนไทย และการแพทย์ทางเลอื ก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก คำนำ การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นศาสตร์ท่ีกำลังได้รับ ความสนใจและเปน็ ศาสตรท์ ที่ า้ ทายสำหรบั บคุ ลากรดา้ นการสาธารณสขุ อยา่ งมาก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เมอ่ื มกี ารนำศาสตรน์ เี้ ขา้ สรู่ ะบบบรกิ ารสขุ ภาพในสถานบรกิ าร สาธารณสุขของรัฐท่ัวประเทศ เน่ืองจากองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย การแพทยพ์ นื้ บา้ นไทย ถกู ละเลยในการใหบ้ รกิ ารภาครฐั มานานนบั รอ้ ยปี การนำ ไปใช้ยังคงยึดหลักการส่ังสมจากประสบการณ์ของบรรพบุรุษเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการศึกษาวิจัยด้านวิชาการต้องใช้เวลาการศึกษานานพอสมควรใน การหาข้อสรุปยืนยันด้านประสิทธิผลและความปลอดภัย รวมถึงการนำไปใช้ ประโยชน์ แมก้ ระทงั่ ศาสตรด์ า้ นการแพทยท์ างเลอื กกเ็ ชน่ กนั ตอ้ งมกี ารพสิ จู น ์ ประสทิ ธิผลและความปลอดภัยเชน่ กนั จึงเป็นเหตุให้มคี ำถามเก่ยี วกับศาสตร์ ด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื กอยเู่ สมอ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก เลง็ เหน็ ความสำคญั ของบุคลากรด้านสาธารณสุข ซึ่งถือว่าเป็นกำลังสำคัญอย่างย่ิง ในการนำ องค์ความรู้เก่ียวกับศาสตร์ด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เข้าสู่ระบบสุขภาพในสถานพยาบาล จึงได้จัดทำคู่มือการดูแลสุขภาพด้วย การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเล่มน้ีขึ้น เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ ท่นี ่าสนใจแก่บุคลากรสาธารณสขุ หวังเปน็ อย่างยิ่งวา่ สาระภายในเลม่ นจี้ ะเปน็ ประโยชน์แก่บคุ ลากรด้าน สาธารณสขุ ที่สนใจงานดา้ นการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก และ สามารถนำไปใช้ประโยชน์เพ่ือการดูแลสุขภาพให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของ ประชาชนต่อไป แพทยห์ ญิงวลิ าวณั ย์ จึงประเสรฐิ อธบิ ดกี รมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ แพทยห์ ญงิ วลิ าวัณย์ จงึ ประเสรฐิ อธบิ ดกี รมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก น.พ.ประพจน์ เภตรากาศ น.พ.สญชัย วัฒนา นายแพทย์ทรงคุณวฒุ ิ กรมพัฒนารกอางรอแธพบิ ทดยี ์แผนไทย และการแพทยท์ างเลอื ก (ดา้ นสาธารณสุข สาขาพัฒนาระบบ บริหารทางการแพทย์) กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก พระโอวาท สมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก เน่ืองในโอกาสท่ี ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ได้นำคณะบุคคลซ่ึงเป็นผู้บริหารระดับสูง ของกระทรวงสาธารณสุขและผแู้ ทนจากมูลนธิ ฯิ และหน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้องกับ งานการแพทย์แผนไทยเข้าเฝ้า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก เมอื่ วันท่ี 1 กันยายน 2536 ณ วัดบวรนเิ วศวหิ าร ได้พระราชทานความคดิ เห็นตอ่ การพัฒนาการแพทย์แผนไทย โดยสรปุ ดังน ี้ 1. ขอใหด้ ำเนินการพฒั นาการแพทย์แผนไทยอย่างต่อเนอ่ื ง 2. ใหใ้ ชว้ ทิ ยาศาสตรส์ มยั ใหมใ่ นการพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยใหส้ ะดวก ทันสมัย และเป็นทย่ี อมรับแพรห่ ลายโดยทว่ั กนั 3. ในการตรวจวินิจฉัยด้วยการแพทย์แผนไทย ควรให้ประยุกต์ใช้ ข้อมูลการตรวจจากอุปกรณ์และเครื่องมอื ของแผนปัจจบุ นั ประกอบด้วย 4. สถาบันสงฆ์ ยนิ ดีให้ความสนบั สนนุ การพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทย คัดลอกจาก สรุปรายงานการเขา้ เฝา้ ถวายรายงาน เรอ่ื ง การพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทย เอกสารประกอบการจัดงานพิธีเปิดสถาบันการแพทย์แผนไทยและการเสวนาทางวิชาการ วันท่ี 20 ตลุ าคม พ.ศ. 2536 กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก พระราโชวาท สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เน่ืองในโอกาสท่ี ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ได้นำคณะบุคคลซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง ของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ และผู้แทนจากมูลนิธิฯ และหน่วยงาน ท่ีเก่ียวข้องกับงานการแพทย์แผนไทย เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เม่ือวนั ท่ี 1 กนั ยายน พ.ศ. 2536 ณ ตำหนักจิตรลดา- รโหฐาน เพอื่ ถวายรายงานเรอื่ งการพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทย สมเดจ็ พระเทพ รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไดพ้ ระราชทานความคดิ เหน็ ตอ่ การพฒั นา การแพทยแ์ ผนไทย โดยสรุปดงั นี ้ 1. แนวคดิ การดแู ลสขุ ภาพตนเอง 1.1 การท่ีจะให้มีสุขภาพดี ควรคำนึงถึงการปรับวิถีชีวิตใน พฤติกรรมต่าง ๆ ตามแบบแผนการใช้ชีวิตประจำวัน อันจะส่งผลต่อการ ป้องกนั ไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย และทำให้มีสขุ ภาพดี พฤตกิ รรมดงั กลา่ ว ไดแ้ ก่ การออกกำลงั กาย การพักผ่อน การรบั ประทานอาหารและการทำงาน 1.2 การดแู ลสุขภาพของตนเองเมอ่ื เจ็บปว่ ยเลก็ ๆ น้อย ๆ นนั้ ถ้าเราสามารถส่งเสริมให้มีการดูแลรักษาตนเอง โดยใช้ยาสมุนไพรหรือ การนวดไทย กจ็ ะทำใหป้ ระหยัดรายจ่ายและยงั เปน็ การพึ่งตนเองได้ด้วย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 2. ความคิดเหน็ เก่ยี วกับการแพทย์แผนไทย 2.1 การถ่ายทอดการแพทย์แผนไทยน้ัน ครูแพทย์แผนโบราณ จะต้องมีการคัดเลือกคุณสมบัติของผู้เรียนคือ ต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์และ มคี ณุ ธรรม (พระองคร์ บั สง่ั วา่ มญี าตผิ ใู้ หญช่ วนพระองคเ์ รยี นการแพทยแ์ ผนไทย) 2.2 การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี หเ้ หมาะสมกบั ทอ้ งถน่ิ เรอื่ งเทคโนโลย ี ทางการแพทยต์ ะวนั ตกเปน็ สงิ่ ทท่ี นั สมยั และมคี ณุ ภาพ แตร่ าคาแพงเพราะฉะนนั้ ถา้ เราสามารถประยกุ ตห์ รอื เลยี นแบบเทคโนโลยตี า่ งๆ ใหเ้ หมาะสมกบั ประเทศ ของเรา ก็น่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและประหยัดค่าใช้จ่ายในการให้บริการ ผปู้ ว่ ยไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เชน่ การเลยี นแบบการประดษิ ฐเ์ ตยี งสำหรบั ผปู้ ว่ ยอมั พาต ซง่ึ พบว่าได้ผลดีและประหยัด 2.3 คุณสมบัติของยาไทย ยาสมุนไพรบางชนิดสามารถใช้ได้ผลดี กบั คนหนึ่ง แต่อาจใชไ้ มไ่ ด้ผลกับอีกคนหนง่ึ ดงั นนั้ การจะใชย้ าสมุนไพรจงึ ต้อง คำนงึ ถึงลักษณะเช่นนี้ของยาไทย 3. ข้อจำกัด / ปญั หาของการแพทย์แผนไทย 3.1 การนำยาแผนปัจจบุ ันเข้าไปผสมในตำรับยาแผนโบราณ เช่น ผสม Steroid ในยาลกู กลอนนน้ั พระองคร์ บั สง่ั เพม่ิ เตมิ วา่ “เคยเอายาสมนุ ไพร ท่ีเคยได้มาและส่งตรวจ พบว่ามี Steroid ผสมในยาสมนุ ไพรดว้ ย” 3.2 การรกั ษากระดกู แบบพนื้ บา้ น เกดิ ผลแทรกซอ้ นอนั ไมพ่ งึ ประสงค ์ เช่น อวัยวะนน้ั เสียรปู ไป คดั ลอกจาก สรุปรายงานการเขา้ เฝ้าถวายรายงาน เร่อื ง การพฒั นาการแพทย์แผนไทย เอกสารประกอบการจัดงานพิธีเปิดสถาบันการแพทย์แผนไทยและการเสวนาทางวิชาการ วนั ที่ 20 ตลุ าคม พ.ศ. 2536 กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

นโยบายด้านสาธารณสขุ นโยบายรัฐบาล นโยบายกระทรวงสาธารณสขุ นโยบายกรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทย (แถลงต่อรัฐสภา วันท่ี 29 ธันวาคม 2551) และการแพทยท์ างเลือก นโยบาย ประกอบด้วย 1. ส่งเสริมบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 1. ให้ยึดนโยบายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ (อสม.) ท่ัวประเทศให้ปฏิบัติงานเชิงรุกในการส่งเสริม สงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 10 พ.ศ. 2550 - 2554 และ 1. นโยบายเรง่ ดว่ นทจ่ี ะเร่มิ ดำเนนิ การในปแี รก สุขภาพในท้องถ่ินและชุมชน การดูแลเด็ก ผู้สูงอาย ุ นโยบายรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสขุ และ 2. นโยบายความม่นั คงของรฐั คนพิการ การดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลและการเฝ้าระวัง รัฐมนตรชี ว่ ยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการจัด 3. นโยบายสังคมและคณุ ภาพชีวติ โรคในชุมชน โดยจัดให้มีสวัสดิการค่าตอบแทนให้แก่ อสม. ทำโครงการคำของบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 4. นโยบายเศรษฐกจิ 5. นโยบายท่ดี ิน ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม เพ่ือสร้างแรงจูงใจหนุนเสริมให้ปฏิบัติงานได้อย่างคล่องตัว 2554 - 2555 6. นโยบายวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวจิ ยั และนวตั กรรม และมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. สนับสนุนการศึกษาวิจยั ให้ครอบคลุมท้ัง การวิจัย 7. นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศ 2. ปรบั ปรงุ ระบบบรกิ ารดา้ นสาธารณสขุ โดยลงทนุ พฒั นา พัฒนาองค์ความรู้ การวิจัยพัฒนากระบวนการ, 8. นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมอื งท่ีด ี คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ ระบบบริการสุขภาพของภาครัฐทุกระดับให้ได้มาตรฐาน การถ่ายทอดองค์ความรู้ การพัฒนาบุคลากร และ นโยบายที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสขุ ได้แก่ ยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพ การเผยแพรค่ วามรูแ้ ละข้อมูล จัดทำเป็น 3 ภาษา นโยบายสังคมและคณุ ภาพชวี ติ ประกอบด้วย ประจำตำบล คือ ภาษาไทย องั กฤษ และจนี 1. สนับสนุนการดำเนินการตามแนวทางของกฎหมาย 3. เปดิ โอกาสใหค้ ลนิ กิ เขา้ เปน็ เครอื ขา่ ยของระบบบรกิ าร เพอื่ 3. ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยเก่ียวกับโรคทเ่ี ป็น สุขภาพแห่งชาติ โดยเร่งดำเนินมาตรการสร้างเสริมสุข ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการในโรคพื้นฐานได้ง่ายขึ้น ปัญหาสาธารณสุขอันดับต้นๆ โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ ภาพและลดปัจจัยเส่ียงท่ีมีผลต่อสุขภาพและการเจ็บป่วย 4. พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขโดยใช้บัตรประชาชนใน ติดต่อ เช่น โรคของกล้ามเน้ือกระดูกและ เรื้อรัง โดยประสานความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจาก การเขา้ รับบรกิ าร โครงสร้าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ ์ ภาคีพัฒนาในสาขาต่างๆ ตลอดจนภาคเอกชน องค์กร 5. ลงทุนผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และ อัมพาต และมะเร็ง เปน็ ต้น ปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ชมุ ชน และอาสาสมัครสาธารณสขุ สาธารณสุขควบคู่ไปกับการสร้างขวัญกำลังใจให้มีความ 4. การบูรณาการโครงการภายในกรม เพื่อให้เกิด ร่วมสรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจ สร้างแรงจงู ใจ รณรงค์ให ้ กา้ วหนา้ ในอาชพี เปน็ ภาพรวมท่ชี ดั เจนในการนำไปใชป้ ระโยชน์

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย นโยบายกระทรวงสาธารณสุข การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ นโยบายรฐั บาล นโยบายกรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทย (แถลงต่อรัฐสภา วนั ที่ 29 ธันวาคม 2551) และการแพทย์ทางเลอื ก เกิดการพัฒนาและปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพอนามัย 6. ส่งเสริมบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินให้มีส่วนร่วม 5. การสร้างเครือข่ายด้านการแพทย์แผนไทยและ รวมท้ังส่งเสริมบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มี ในการผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และ การแพทย์ทางเลือกในทุกระดับ ท้ังในประเทศและ สว่ นรว่ มในการผลติ และพฒั นาบคุ ลากรทางการแพทยแ์ ละ สาธารณสุข โดยจัดสรรทุนให้เพ่ือกลับมาทำงานใน ต่างประเทศ สาธารณสขุ โดยจดั สรรทนุ ใหเ้ พอ่ื กลบั มาทำงานในท้องถิน่ ทอ้ งถิ่น 6. การสง่ เสรมิ ใหม้ บี คุ ลากรดา้ นการแพทยแ์ ผนไทย 2. สรา้ งขดี ความสามารถในการเฝา้ ระวงั ปอ้ งกนั ควบคมุ 7. ผลักดันการขับเคล่ือนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน และการแพทย์ทางเลือกในระบบบริการของ โรค วินิจฉัย และดูแลรักษาพยาบาลอย่างเป็นระบบ สุขภาพและการรักษาพยาบาลในระดับนานาชาติ โดยม ี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล เชือ่ มโยงกบั ทุกภาคสว่ น ทุกสาขาที่เกยี่ วข้อง เพอ่ื ปอ้ งกนั ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วม มีการ 7. การศึกษาทบทวนกฎหมายและกฎระเบียบที่ ปัญหาการป่วยและตายด้วยโรคอุบัติใหม่ท่ีรวมถึงโรคท่ีมี ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เก่ียวข้องท้ังภาครัฐ เกี่ยวข้องเพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัว มี การกลายพันธ์ุเป็นสายพันธ์ุใหม่ และโรคระบาดซ้ำในคน และเอกชน รวมทั้งปรบั ปรงุ กฎ ระเบยี บ มาตรฐาน มปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล อย่างทันต่อสถานการณ ์ 8. รณรงค์ให้เกิดการพัฒนาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 8. การเรง่ จดั ระบบรวบรวมขอ้ มลู การแพทยแ์ ผนไทย 3. ปรบั ปรงุ ระบบบรกิ ารดา้ นสาธารณสขุ โดยลงทนุ พฒั นา สุขภาพอนามัย เช่น อาหารปลอดภัย ส้วมสาธารณะ การแพทยพ์ นื้ บา้ น และการแพทยท์ างเลอื กครอบคลมุ ระบบบริการสุขภาพของภาครัฐในทุกระดับให้ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนโดยประสานความร่วมมือกับ ทั้งข้อมูลบุคลากร ตำรับตำรา สมุนไพร และ ยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร อุปกรณ์ทางการแพทย์ในอดีต ครอบคลุมทุกพื้นที่ ประจำตำบล และพัฒนาระบบเครือข่ายการส่งต่อในทุก 9. สรา้ งความสามารถในการเฝา้ ระวงั ปอ้ งกนั ควบคมุ โรค ท่วั ไทย ระดับให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงกันทั้งในภาครัฐและภาค เช่ือมโยงกับทุกภาคส่วน เพ่ือป้องกันปัญหาการป่วยและ 9. การเชิญผู้รู้ต่างๆมาร่วมในการวิเคราะห์และ เอกชน เพ่ือให้ระบบหลักประกันสุขภาพมีคุณภาพอย่าง ควบคุมโรคอุบัติใหม่ที่รวมถึงโรคที่มีการกลายพันธุ์ และ สงั คยนา เพ่อื นำความรตู้ ่างๆ ไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ ง เพียงพอ ท่ัวถึง มีทางเลือกหลากหลายรูปแบบ และ โรคระบาดซำ้ ในคนอยา่ งทันตอ่ เหตกุ ารณ ์ เหมาะสม ครอบคลมุ ไดถ้ งึ การรกั ษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชน ท่เี ข้าร่วมโครงการ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย นโยบายรฐั บาล นโยบายกระทรวงสาธารณสุข นโยบายกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย (แถลงตอ่ รัฐสภา วันที่ 29 ธันวาคม 2551) และการแพทยท์ างเลอื ก การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ 4. ลงทุนผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และ 10. สรา้ งความสามารถในการเฝา้ ระวงั ปอ้ งกนั ควบคมุ โรค สาธารณสุข ควบคู่กับการสร้างขวัญกำลังใจให้มีความ เช่ือมโยงกับทุกภาคส่วน เพ่ือป้องกันปัญหาการป่วย กา้ วหนา้ ในอาชพี มกี ารปรบั ปรงุ กฎระเบยี บเพอ่ื ใหม้ รี ายได ้ และควบคุมโรคอุบัติใหม่ท่ีรวมถึงโรคท่ีมีการกลายพันธุ ์ จากเงนิ เดือนและคา่ ตอบแทนอื่นๆ ทเ่ี หมาะสม เป็นธรรม และโรคระบาดซำ้ ในคนอยา่ งทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ รวมท้ังปรับปรุงกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการประกอบอาชีพ ด้านการแพทย์ มกี ารกระจายบุคลากรทางการแพทย์และ 11. สนับสนุนโรงพยาบาลในเขตพ้ืนที่พิเศษ ใช้การบริหาร สาธารณสุขอย่างสอดคล้องกับความต้องการของพ้ืนท่ี ในรูปแบบองคก์ ารมหาชน ตลอดจนการลงทนุ พฒั นาและเชอื่ มโยงระบบขอ้ มลู เทคโนโลย ี สารสนเทศดา้ นสขุ ภาพให้ทันสมัย มีมาตรฐาน สามารถใช้ 12. สนับสนุนการดำเนินการตามแนวทางของกฎหมาย ประโยชน์ร่วมกันไดอ้ ย่างคมุ้ คา่ สุขภาพแห่งชาติ โดยมีส่วนร่วมจากการพัฒนาสาขา ต่างๆ ตลอดจนภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5. ผลักดันการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน ทุกภาค และอาสาสมคั รสาธารณสุข สุขภาพและการรักษาพยาบาลในระดับนานาชาติ โดยมี ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วม มีการ ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนท่ีเกี่ยวข้อง มีการใช้ ทรพั ยากรทางการแพทย์ร่วมกนั ระหวา่ งภาครฐั และเอกชน รวมทัง้ ปรับปรงุ กฎระเบยี บท่เี ก่ยี วขอ้ ง

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ประวัตกิ ารจดั ตัง้ กรม การแพทย์แผนไทยเป็นการแพทย์ที่ดูแลสุขภาพประชาชนมานาน นับพันปี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีการระบุถึงพันธุ์พืชสมุนไพรใน สมัยพุทธกาลหลายชนิด เช่น กุ่มบก แก่นจันทน์แดง แก่นจันทน์เหลือง ชะเอม ฯลฯ นอกจากน้ันยังพบในพระไตรปิฎกระบุว่า พระพุทธเจ้าทรง อนุญาตให้พระภิกษุรักษาโรคด้วยสมุนไพรจากพืชได้แก่ ขม้ิน ขิง ว่านน้ำ ว่านเปราะ ข่า แห้วหมู และแฝก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว เป็นสิ่งยืนยันว่า การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคมีมาช้านาน ทั้งที่มีบันทึกไว้ เปน็ หลกั ฐาน และไมม่ บี นั ทกึ อกี มากมาย ดงั นน้ั การทจี่ ะนำงานการแพทยแ์ ผนไทย และสมนุ ไพร มาพฒั นาปรบั ใชก้ บั สขุ ภาพคนไทย จงึ เปน็ ประเดน็ หนงึ่ ทนี่ า่ สนใจ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ แต่ด้วยองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย ทขี่ าดการพัฒนามาเปน็ เวลานาน จงึ ทำให้การแพทยแ์ ผนไทยถกู ลดบทบาทลง กอปรกับการแพทย์แผนตะวันตกได้เข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพของ คนไทย ย่ิงทำให้การพัฒนางานการแพทย์แผนไทยชะงกั งันมากข้นึ จนกระทั่งในปี 2520 ได้มีการจัดประชุมขององค์การอนามัยโลก ณ ประเทศรสั เซยี ผลของการประชมุ ครง้ั นนั้ ไดก้ ำหนดใหม้ กี ารพฒั นาภมู ปิ ญั ญาไทย ในงานการสาธารณสุขมลู ฐานเพ่ือสุขภาพดีถว้ นหนา้ ปี 2543 จากผลการประชุมขององค์การอนามัยโลกดังกล่าว ทำให้ การแพทยแ์ ผนไทย ถกู หยบิ ยกขน้ึ มาเปน็ ประเดน็ ทส่ี ำคญั ตอ่ การพฒั นาอกี ครงั้ หนงึ่ และรฐั บาลไดก้ ำหนดแผนการดำเนนิ งานใหม้ กี ารพฒั นางานดา้ นสมนุ ไพรตง้ั แต่ ปี 2520 เปน็ ตน้ มา จนกระทงั่ ในแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ท่ี 7 ได้ระบุให้มีการส่งเสริมสุขภาพและจะต้องส่งเสริมให้มีการดำเนินการพัฒนา ภมู ปิ ญั ญาทางดา้ นการรกั ษาพยาบาลแบบพนื้ บา้ น เชน่ แพทยแ์ ผนไทย สมนุ ไพร กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก และการนวด ประสานเข้ากับแพทย์แผนปัจจุบันและในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 8 ได้ระบุในหัวข้อยุทธวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพ และความสามารถในการเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข “ให้สนับสนุนการ พัฒนาเภสัชกรรมและการแพทย์แผนไทยอย่างจริงจัง โดยสนับสนุน งบประมาณปีละไมต่ ำ่ กวา่ รอ้ ยละ 2 ของงบประมาณด้านสุขภาพ” ในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้มีการพยายาม พฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยทง้ั ระบบ โดยในปี พ.ศ. 2532 กระทรวงสาธารณสขุ จากมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้จัดต้ัง “ศูนย์ประสานงานการแพทย์และ เภสัชกรรมแผนไทย” ข้ึนเป็นองค์กรประสานการพัฒนาการแพทย์แผนไทย ภายในกองแผนงาน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมีหน้าท่ี ประสานงานการพัฒนาและดูแลโครงการวิจัยเพ่ือพัฒนาการแพทย์แผนไทย แต่ด้วยความจำกัดของขนาดและโครงสร้างขององค์กร ตลอดจนความจำกัด ด้านงบประมาณทำให้องค์กร มิอาจรองรับการพัฒนาการแพทย์แผนไทยได้ อยา่ งเตม็ ท ี่ ดังน้ันกระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีดำริในการจัดตั้ง “สถาบัน การแพทย์แผนไทย” เปน็ หนว่ ยงานระดบั กองขน้ึ โดยให้สังกดั กรมการแพทย์ และโอนบทบาทหน้าทแี่ ละเจ้าหนา้ ทขี่ อง ศูนย์ประสานงานการแพทยแ์ ผนไทย มาสังกัด “สถาบันการแพทย์แผนไทย” และได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบัน การแพทย์แผนไทยเป็นหน่วยงานภายในกรมการแพทย์อย่างไม่เป็นทางการ เมอื่ วนั ที่ 24 มนี าคม พ.ศ. 2536 และจดั งานพธิ เี ปดิ “สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย” อย่างเป็นทางการ เม่ือวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2536 โดยใช้สำนักงาน โรงพยาบาลสงฆ์ เขตราชเทวี กรงุ เทพมหานคร เป็นท่ีปฏิบัตงิ าน ตอ่ มา นายแพทยว์ ทิ รุ แสงสงิ แกว้ สมยั ดำรงตำแหนง่ อธบิ ดกี รมการแพทย ์ ได้มีคำส่ังการจัดต้ัง สถาบันการแพทย์แผนไทย เป็นหน่วยงานระดับกอง กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก มาสังกัดกรมการแพทย์ เมอ่ื วันท่ี 24 มนี าคม 2536 ต่อมามกี าร ผลกั ดนั พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ซึ่งเร่ิม ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2537 สำเรจ็ ในปี พ.ศ. 2542 และประกาศใชใ้ นราชกจิ จานเุ บกษา เมอื่ วนั ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 เลม่ 110 ตอน 120 ซง่ึ พระราชบญั ญัติฯ ฉบบั น้ี มาตรา 12 ไดก้ ำหนดให้ สถาบันแพทย์แผนไทยสังกดั สำนักงานปลดั กระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการต่างๆ เก่ียวกับการ ค้มุ ครองและส่งเสรมิ ภมู ิปัญญาการแพทยแ์ ผนไทยและสมุนไพรไทย ซงึ่ ไดย้ า้ ย จากอาคารชนั้ 4 กรมการแพทย์ มาอยู่ ณ อาคารพพิ ธิ ภณั ฑแ์ ละศนู ยฝ์ กึ อบรม ดา้ นการแพทยแ์ ผนไทย (อาคารหมอเพญ็ นภา ทรพั ยเ์ จรญิ ในปจั จบุ นั ) เมอื่ เดอื น ธนั วาคม 2544 จากนั้นจุดก้าวกระโดดของสถาบันการแพทย์แผนไทย สู่การเป็น กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก จึงเกดิ ขึน้ เมอ่ื ผู้บริหาร เหน็ ความสำคญั ของการแพทยแ์ ผนไทย ประกอบกบั มตคิ ณะรฐั มนตรี เมอื่ วนั ท ่ี 5 มนี าคม 2545 โดยรฐั บาลกำหนดความจำเปน็ และขอบเขตเกย่ี วกบั การปฏริ ปู ระบบราชการ จงึ มผี ลทำใหเ้ กดิ มกี ารปฏริ ปู โครงสรา้ งบทบาทภารกจิ อตั รากำลงั ดา้ นการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือกขนึ้ โดยโอนหน่วยงานสถาบัน การแพทยแ์ ผนไทย ศนู ยค์ วามรว่ มมอื การแพทยไ์ ทย-จนี และศนู ยป์ ระสานงาน การแพทย์ทางเลือก มาสังกัดกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก ที่ต้ังข้ึนใหม่ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2545 และพระราชบัญญัติ กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 (วันที่ 3 ตุลาคม 2545) และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพัฒนา การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (วันที่ 9 ตุลาคม 2545) กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก บทบาทภารกจิ ด้านการแพทยแ์ ผนไทย และ การแพทยท์ างเลือก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนไทย ความหมาย ตามพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริม ภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย พ.ศ. 2542 หมายถงึ กระบวนการทางการแพทย ์ เก่ียวกับการตรวจ วินิจฉัย บำบัด รักษาหรือป้องกันโรค หรือการส่งเสริม ฟื้นฟูสุขภาพของมนุษย์หรือสัตว์ การผดุงครรภ์ การนวดไทย และให้ หมายความรวมถึงการเตรียมการผลิตยาแผนไทย และการประดิษฐ์อุปกรณ์ และเครือ่ งมือทางการแพทย์ ทั้งน้โี ดยอาศัยความรู้หรือตำราทไี่ ดถ้ า่ ยทอดและ พฒั นาสบื ต่อกันมา “ตำราการแพทยแ์ ผนไทย” หมายความวา่ หลกั วชิ าการตา่ งๆ เกย่ี วกบั การแพทย์แผนไทยทั้งที่ได้บันทึกไว้ในสมุดไทย ใบลาน ศิลาจารึก หรือวัสด ุ อื่นใดหรือท่ีมิได้มีการบันทึกไว้แต่เป็นการเรียนรู้หรือถ่ายทอดสืบต่อกันมา ไมว่ ่าดว้ ยวิธใี ด “ยาแผนไทย” หมายความว่า ยาที่ได้จากสมุนไพร โดยตรงหรือท่ีได้ จากการผสม ปรุง หรือแปรสภาพสมุนไพร และให้หมายความรวมถึง ยาแผนโบราณตามกฎหมายว่าด้วยยา “ตำรบั ยาไทย” หมายความวา่ สตู รซง่ึ ระบุกรรมวธิ ีการผลิตและส่วน ประกอบส่ิงปรุงทีม่ ยี าแผนไทยรวมอย่ดู ว้ ยไมว่ ่าส่ิงปรุงน้นั จะมรี ูปลักษณะใด “สมนุ ไพร” หมายความวา่ พชื สตั ว์ จลุ ชพี ธาตวุ ถั ตุ สารสกดั ดง้ั เดมิ จากพืชหรือสัตว์ท่ีใช้หรือแปรสภาพหรือผสมหรือปรุงเป็นยาหรืออาหารเพ่ือ การตรวจวนิ ิจฉยั บำบดั รกั ษา หรอื ป้องกันโรคหรอื ส่งเสริมสุขภาพรา่ งกาย ของมนุษย์หรือสัตว์ และให้ความหมายรวมถึงถิ่นกำเนิดหรือถ่ินท่ีอยู่ของ สิ่งดังกลา่ วด้วย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก หลักการดูแลสขุ ภาพดดี ว้ ยการแพทยแ์ ผนไทย ทอี่ ยอู่ าศยั กาลเวลา อายุ ๓ วยั ฤดกู าล ๔ ๓ ๓ ธาตเุ จา้ เรอื น เสยี สมดลุ ๔ พฤตกิ รรม นวด อบ ประคบ ๘ ยา อาหารปรบั สมดลุ คนไทยสขุ ภาพด ี เมอื งไทยสขุ ภาพด ี เกดิ โรค กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก หลกั และทฤษฎีการแพทยแ์ ผนไทย ตามหลกั ทฤษฏกี ารแพทยแ์ ผนไทย กลา่ ววา่ คนเราเกดิ มาในร่างกาย ประกอบดว้ ยธาตทุ ั้งสี่ คือ ธาตุดิน ธาตนุ ้ำ ธาตลุ ม ธาตุไฟ ซง่ึ ในแต่ละคน จะมธี าตเุ ด่น เปน็ ธาตุประจำตัว เรยี กวา่ “ธาตเุ จา้ เรอื น” ธาตุเจ้าเรือน หมายถึง องค์ประกอบของธาตุท้ัง 4 ท่ีรวมกันอย่าง ปกติแต่จะมีธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเด่น หรือมากกว่าธาตุอ่ืน ๆ ซึ่งจะเป็น บุคลิกลักษณะและอุปนิสัยติดตัวมาต้ังแต่แรกเกิด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ธาตุกำเนิด” ภายหลังอาจเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากพฤติกรรมการเลี้ยงดู และสงิ่ แวดล้อม ซงึ่ ทฤษฎกี ารแพทยแ์ ผนไทย ใหค้ วามหมายของชวี ติ ว่า ชวี ติ คอื ขนั ธ์ 5 (อนั ไดแ้ ก่ รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ) รา่ งกาย ประกอบดว้ ยธาตุทง้ั 4 ได้แก่ ธาตดุ นิ (20 ประการ) ธาตุนำ้ (12 ประการ) ธาตุลม (6 ประการ) ธาตุไฟ (4 ประการ) การวิเคราะห์ธาตุเจ้าเรอื นของแตล่ ะบคุ คล สามารถวเิ คราะห์ได้ดังนี้ 1. วเิ คราะหจ์ าก วนั เดือน ปเี กดิ แบบไทย 1.1 ใชแ้ ผน่ วงกลมวเิ คราะหธ์ าตเุ จา้ เรอื น หรอื โปรแกรม Pen Diag จากคอมพิวเตอร์ ซึง่ คดิ คน้ โดย แพทย์หญิงเพญ็ นภา ทรัพย์เจริญ 1.2 วเิ คราะห์จากเดือนเกดิ ธาตุดนิ คือ คนที่เกิดเดือน 11, 12, 1 หรือ เดือนตุลาคม พฤศจกิ ายน ธันวาคม ธาตนุ ำ้ คือ คนที่เกิดเดือน 8, 9, 10 หรือ เดือนกรกฎาคม สงิ หาคม กันยายน ธาตุลม คือ คนท่ีเกิดเดือน 5, 6, 7 หรือเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถนุ ายน ธาตไุ ฟ คือ คนที่เกิดเดือน 2, 3, 4 หรือเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มนี าคม กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ภาวะธาตุ 4 เสียสมดลุ หากร่างกายเกิดภาวะเสียสมดุลของธาตุทั้ง 4 บุคคลน้ันจะมีปัญหา ดา้ นสขุ ภาพ ทำใหเ้ กดิ การเจบ็ ปว่ ยไดง้ า่ ยดว้ ยอาการทแี่ ตกตา่ งกนั ไป ขนึ้ อยกู่ บั ธาตนุ นั้ ๆ โดยอาการเจบ็ ปว่ ยทปี่ รากฏจะแสดงอาการใหเ้ หน็ ตามธาตตุ า่ งๆ ดงั น ้ี ธาตดุ นิ มกั จะเจบ็ ป่วยดว้ ยโรคทีเ่ ก่ยี วกบั อวยั วะตา่ งๆ ของร่างกาย โดยมี สง่ิ ทคี่ วบคุมความเจบ็ ปว่ ยของธาตุดนิ 3 ประการ ดว้ ยกนั คือ หทยัง หรือหทัยวัตถุ (หวั ใจ) หมายถงึ ความสมบูรณ์ของหวั ใจ การทำงาน การเตน้ ความสมบรู ณ์ของกล้ามเนื้อหวั ใจ เปน็ ต้น โรคที่เกิดมกั เกิดจากการทำงานของหวั ใจ อุทริยงั (อาหารใหม)่ หมายถึง อาหารท่ีรบั ประทานเข้าไปใหมๆ่ โรคทเี่ กิดมกั เกดิ จากการกินอาหารทผี่ ดิ ปกติเรยี กวา่ “กนิ ผิด” คือกินไมถ่ กู กับธาตุ กนิ อาหารไม่สะอาด กินอาหารแสลงโรค เปน็ ต้น กรีสัง (อาหารเกา่ ) หมายถงึ กากอาหารในลำไส้ใหญท่ ่ีจะออกมา เปน็ อจุ จาระ ลักษณะหรือกลิ่นของอจุ จาระเปน็ ตัวบ่งบอกสขุ ภาพ อุจจาระหยาบ ละเอยี ด แข็ง เหลว กลิ่นเหมอื นปลาเน่า ธาตุนำ้ เปน็ เหตุ กลน่ิ เหมือนหญ้าเน่า ธาตุไฟเปน็ เหตุ กลน่ิ เหมือนข้าวบูด ธาตุลมเป็นเหตุ กลิน่ เหมือนซากศพ ธาตุดินเป็นเหตุ เป็นต้น กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ธาตุน้ำ มักจะเจ็บป่วยด้วยของเหลว หรือน้ำภายในร่างกาย โดยมีส่ิงที่ ควบคมุ ความเจบ็ ปว่ ยของธาตุน้ำ 3 ประการ ดว้ ยกันคือ ศอเสมหะ หมายถงึ เสมหะหรือเสลดทอี่ ย่บู รเิ วณลำคอ โรคที่เกดิ มักเกย่ี วกบั ระบบทางเดนิ หายใจส่วนบน เมือกในจมกู ลำคอ หลอดลมตอนตน้ เช่น มเี สมหะ ไซนัส ไขห้ วดั เป็นต้น อุระเสมหะ หมายถึง เสมหะหรอื เสลดท่ีอยู่บริเวณทรวงอก และช่องทอ้ งส่วนบน ไดแ้ ก่ เสมหะ นำ้ ยอ่ ยในกระเพาะอาหาร โรคท่เี กดิ มกั เก่ียวกับทรวงอกและปอด เชน่ หอบหดื หลอดลมอกั เสบ ปอดบวม โรคกระเพาะ เป็นตน้ คถู เสมหะ หมายถงึ ของเหลวท่ีอยู่ในช่องทอ้ งสว่ นลา่ งหรอื ระบบขับถ่ายอุจจาระ ปสั สาวะ โรคทีเ่ กิดมักเก่ยี วขอ้ งกับ ระบบทางเดนิ อาหารสว่ นปลาย เมอื กมกู ในลำไส้ นำ้ ในกระเพาะปสั สาวะ เช่น ท้องเสีย บิดมูกเลือด ริดสีดวงทวาร กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปสั สาวะผดิ ปกติ เป็นตน้ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ธาตุลม มกั จะเจบ็ ป่วยดว้ ยระบบการไหลเวียนโลหติ และระบบประสาท โดยมสี ิง่ ท่ีควบคมุ ความเจ็บป่วยของธาตลุ ม 3 ประการ ด้วยกันคือ หทยั วาตะ หมายถงึ ภาวะจติ ใจ โรคทีเ่ กิดมักเกิดจาก การเปลยี่ นแปลงของสภาพจิตใจ อารมณ์ ความหว่ันไหว ความกงั วล ทำให้เกิดการแปรปรวนด้านอารมณ์ได้ สัตถกะวาตะ หมายถึง ลมในรา่ งกาย ทีแ่ หลมคม เหมอื น ศัสตราวธุ ซ่ึงเกยี่ วกบั ระบบประสาทต่างๆ และเส้นเลือดฝอย ภาวะหัวใจขาดเลือด โรคทเ่ี กิดมกั จะเกยี่ วกับเสน้ เลอื ดฝอยแตก ตีบตนั หรือเปน็ อมั พาต อาการปวด อาการชา เป็นตน้ สุมนาวาตะ หมายถงึ การไหลเวียนของโลหติ และระบบการทำงาน ของประสาท สมอง ไขสันหลัง โรคทีเ่ กิดมักเกีย่ วกบั การเจบ็ หลงั การชัก การกระตกุ ความดนั โลหติ ลมจากหัวใจ และหลอดเลือดใหญก่ ลางลำตวั กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ธาตุไฟ มักจะเจ็บป่วยด้วยโรคท่ีเกิดจากขบวนการเผาผลาญพลังงานใน รา่ งกาย โดยมสี งิ่ ที่ควบคุมความเจบ็ ปว่ ยของธาตไุ ฟ 3 ประการคอื พทั ธปิตตะ (ดใี นฝัก) หมายถึง ขบวนการผลิตนำ้ ดีของตับ โรคท่ีเกดิ มกั เกย่ี วกับระบบน้ำดีภายในถุงน้ำดี ท่อนำ้ ดีอุตตัน ภาวะการผลติ นำ้ ดขี องตบั ผดิ ปกติ ตับอกั เสบเกดิ อาการ ตัวเหลอื ง ตาเหลือง เกดิ นำ้ ดอี ักเสบ เป็นนว่ิ เป็นตน้ อพทั ธปติ ตะ (ดนี อกฝกั ) หมายถงึ ขบวนการย่อยอาหารโดย นำ้ ดีหรือน้ำดีในลำไส้ โรคที่เกิดมกั เก่ียวกบั การทำงานของ น้ำดีในลำไส้ ระบบการย่อยอาหาร อาการคอื จกุ เสียด อดื เฟ้อ อาหารไมย่ ่อย ดซี ่าน เหลืองทงั้ ตวั ถ่ายเปน็ สเี ขยี ว เป็นตน้ กำเดา หมายถึง ความร้อนทเี่ กิดจากขบวนการเผาผลาญ การทำงานของร่างกาย โรคที่เกิดมักเก่ียวกบั อาการตวั ร้อน เปน็ ไข้ รอ้ นใน ตดิ เชือ้ อักเสบ เปน็ ต้น กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก หลกั การตรวจวินจิ ฉัยและรกั ษาโรคตามทฤษฎ ี การแพทยแ์ ผนไทยเบ้อื งต้นมีดังน้ ี 1. รู้ที่ตง้ั ทแ่ี รกเกดิ ของโรค 2. ร้จู ักช่อื ของโรคทเี่ กดิ ขึน้ 3. รจู้ ักสรรพคุณยาสำหรบั บำบัดโรค 4. ร้จู กั เลอื กใชย้ าตามอาการ รทู้ ่ตี ั้งท่แี รกเกิดของโรค สมุฏฐาน หมายถงึ ทตี่ ั้งที่แรกเกดิ ของโรค สมุฏฐานทางการแพทย์แผนไทย แบง่ เป็น 5 ประการ 1. ธาตสุ มฏุ ฐาน 2. อตุ สุ มฏุ ฐาน 3. อายสุ มฏุ ฐาน 4. กาลสมุฏฐาน 5. ประเทศสมฏุ ฐาน หมายถงึ ธาตุท่ ี หมายถงึ ฤดกู าล หมายถึง อายุที่ หมายถงึ เวลาท ่ี หมายถึงถิน่ ทอ่ี ยู่ เปน็ ทตี่ ั้งทแ่ี รกเกดิ ทเ่ี ปน็ ท่ีตั้งท่ีแรก เปน็ ท่ตี ัง้ ทแ่ี รก เป็นท่ีตงั้ ท่ีแรก อาศัยทเ่ี ป็นทตี่ ้ัง ของโรคมี 4 เกดิ ของโรค เกิดของโรค เกดิ ของโรค ท่แี รกเกิดของ ประการคือ มี 3 ฤดู คอื แบง่ เป็น 3 วยั แบง่ เป็น 3 โรค แบ่งเปน็ 4 1. ปถวีธาต ุ 1. ฤดรู อ้ น คือ ช่วงเวลา คือ ลักษณะ คอื (ธาตุดิน) 2. ฤดูฝน 1. ปฐมวยั 1. 06.00-10.00 น. 1. ประเทศรอ้ น 2. อาโปธาตุ 3. ฤดหู นาว (แรกเกดิ -16 ปี) 18.00-22.00 น. 2. ประเทศเยน็ (ธาตุนำ้ ) 2. มัชฌมิ วยั 2. 10.00-14.00 น. 3. ประเทศอ่นุ 3. วาโยธาต ุ (16 ป-ี 32 ป)ี 22.00-02.00 น. 4. ประเทศหนาว (ธาตลุ ม) 3. ปจั ฉมิ วยั 3. 14.00-18.00 น. 4. เตโชธาต ุ (32 ปขี ึ้นไป) 02.00-06.00 น. (ธาตุไฟ) กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก รายละเอียดของธาตุทเ่ี ป็นทีต่ ้งั ที่แรกเกิดของโรค ธาตดุ ิน(20 ประการ) ธาตนุ ำ้ (12 ประการ) ธาตุลม(6 ประการ) ธาตไุ ฟ(4 ประการ) 1. เกศา (ผม) 1. ปิตตัง (นำ้ ดี) 1. อทุ ธงั คมาวาตา 1. สนั ตัปปคั คี 2. โลมา (ขน) มี 2 อย่างคือ (ลมพัดขึน้ ) (ไฟสำหรบั 3. นขา (เลบ็ ) 1.1 พทั ธปิตตะ 2. อโธคมาวาตา อบอุ่นกาย) 4. ทนั ตา (ฟนั ) (น้ำดีในฝกั ) (ลมพัดลง) 2. ปรทิ ัยหคั ค ี 5. ตะโจ (หนงั ) 1.2 อพัทธปติ ตะ 3. กุจฉสิ ยาวาตา (ไฟให้ร้อน 6. มงั สงั (เน้อื ) (นำ้ ดนี อกฝกั ) (ลมในท้อง) ระส่ำระสา่ ย) 7. นหารู (เส้นเอ็น) 2. เสมหงั (น้ำเสลด) 4. โกฏฐาสยาวาตา 3. ชิรณคั คี 8. อฐั ิ (กระดูก) มี 3 อยา่ งคอื (ลมในลำไส)้ (ไฟเผากายให ้ 9. อฐั มิ ญิ ชงั 2.1 ศอเสมหะ 5. องั คมงั คานสุ ารีวาตา แก่คร่ำคร่า) (เย่อื ในกระดกู ) 2.2 อุระเสมหะ (ลมพัดในกาย) 4. ปริณามัคคี 10. วกั กัง (ม้าม) 2.3 คถู เสมหะ 6. อัสสาสะปสั สาสะ (ไฟสำหรับ 11. หทยงั (หวั ใจ) 3. บพุ โพ (นำ้ หนอง) วาตา ย่อยอาหาร) 12. ยกนัง (ตบั ) 4. โลหิตงั (น้ำเลือด) (ลมหายใจ) 13. กิโลกงั (พงั ผืด) 5. เสโท (น้ำเหง่ือ) 14. ปิหกงั (ไต) 6. เมโท (มันข้น) 15. ปบั ผาสงั (ปอด) 7. อสั สุ (น้ำตา) 16. อนั ตัง (ลำไสใ้ หญ)่ 8. วสา (มนั เหลว) 17. อนั ตคณุ ัง (ลำไสน้ อ้ ย) 9. เขโฬ (นำ้ ลาย) 18. อุทรยิ งั (อาหารใหม่) 10. สงั ฆานิกา (นำ้ มูก) 19. กรีสัง (อาหารเกา่ ) 11. ลสกิ า (นำ้ ในไขขอ้ ) 20. มตั ถเกมัตถลงุ คัง 12. มตู ตงั (นำ้ ปสั สาวะ) (มนั สมอง) เมื่อธาตุทัง้ 4 เกดิ ภาวะเสียสมดุล คือ กำเรบิ หย่อน พิการ ทำให้ เกิดอาการเจ็บปว่ ยได ้ กำเรบิ หมายถงึ ธาตุต่าง ๆ ทำหน้าที่มากกวา่ ปกติ เชน่ ธาตุไฟ กำเริบทำให้ ตวั ร้อน เปน็ ไข้ เป็นตน้ หยอ่ น หมายถงึ ธาตตุ า่ ง ๆ ทำหนา้ ทนี่ อ้ ยกวา่ ปกติ เชน่ ธาตไุ ฟหยอ่ น ทำใหอ้ าหารไมย่ ่อย ตัวเยน็ เปน็ ตน้ พิการ หมายถึง ธาตุต่าง ๆ ทำหน้าท่ีได้น้อยมากหรือไม่สามารถทำ หนา้ ท่ีได้เลย เช่น ไตพกิ าร (ธาตดุ ินพิการ) กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก พฤติกรรมทเ่ี ปน็ มูลเหตกุ ารเกิดโรค พฤติกรรมทีเ่ ปน็ มลู เหตุการเกิดโรค กินอาหารมากหรือน้อยเกินไป กินอาหารบูดหรืออาหารที่ไม่เคยกิน กนิ อาหารไมถ่ กู กบั ธาตุ กินอาหารแสลงกบั โรค ฝืนอิริยาบถ ได้แก่ การน่ัง ยืน เดิน นอน ไม่สมดุลกัน ทำให้ โครงสร้างร่างกายเสยี สมดลุ และเสื่อมโทรม อากาศไมส่ ะอาด อยู่ในทีท่ ี่มีอากาศร้อนหรือเยน็ เกินไป การอด ไดแ้ ก่ การอดข้าว อดนอน อดน้ำ อดหรอื ขาดอาหาร การกล้ันอจุ จาระ ปสั สาวะ การทำงานเกินกำลัง ทำงานมากเกินไป หรือมีกิจกรรมทางเพศ มากเกินไป มีความโศกเศรา้ เสียใจหรอื ดีใจจนเกนิ ไป ขาดอเุ บกขา มโี ทสะมากเกนิ ไป ขาดสต ิ นอกจากน้ี ตามองคค์ วามรใู้ นเรอ่ื งการใชส้ มนุ ไพร จะใชร้ สของสมนุ ไพร เปน็ ยารกั ษาโรค รสยา 9 รส คอื ฝาด หวาน มัน เคม็ เมาเบอ่ื เปรีย้ ว ขม เผ็ดร้อน หอมเย็น โดยรสของสมุนไพรจะมีผลต่อการปรับสมดุลของร่างกาย เม่ือธาตุทง้ั ส่ใี นร่างกายสมดุลบคุ คลจะไมเ่ จ็บป่วย หากขาดความสมดุล มักจะ เกิดความเจ็บป่วยด้วยโรคท่ีเกิดจากจุดอ่อนด้านสุขภาพของแต่ละคนตามธาตุ ต่างๆ ทีข่ าดความสมดุล ดังนน้ั เพ่อื เป็นการป้องกนั ปญั หาความเจบ็ ป่วยที่อาจ เกิดขึ้น สิ่งที่สามารถช่วยได้ในเบื้องต้นคือ การบริโภคอาหารของแต่ละคนใน ชีวิตประจำวัน โดยใช้การประยุกต์รสของ พืช ผัก ผลไม้ ท่ีนำมาปรุงเป็น อาหาร (เปรียบเทียบกับรสของสมุนไพรท่ีใช้เป็นยา) มาปรับสมดุลของ รา่ งกาย เพอ่ื ปอ้ งกนั ความเจบ็ ปว่ ยและสง่ เสริมสุขภาพได้ในระดบั หนึ่ง กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก การใชร้ สของอาหารเพอ่ื ปรบั สมดลุ ของรา่ งกาย เพอ่ื ป้องกนั ความเจ็บปว่ ยและส่งเสรมิ สุขภาพ การเลือกรับประทาน พืชผัก ผลไม้ อาหารรสต่างๆ ให้เหมาะกับ ธาตเุ จา้ เรอื น หรอื ธาตทุ เี่ จบ็ ปว่ ย (เสยี สมดลุ ) ของบคุ คลนน้ั ๆ จะทำใหบ้ คุ คลนน้ั มีธาตทุ ่สี มดลุ ซงึ่ สามารถเลือกไดด้ ังน ้ี ธาตุดิน ควรรบั ประทาน รส ฝาด หวาน มนั เค็ม เชน่ ฝรง่ั ดิบ หวั ปลี กลว้ ย มะละกอ เผือก มัน กระหล่ำปลี ผกั กะเฉด มงั คดุ ฟักทอง ถว่ั ตา่ งๆ เงาะ หวั มนั เทศ เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งอาหารปรบั สมดลุ ธาตดุ นิ ผดั สะตอ ยำหัวปลี น้ำพริก ผักจ้มิ ท่ีมีรสฝาด รสมนั อาหารว่าง เชน่ เตา้ ส่วน ว้นุ กะทิ กลว้ ยบวชชี ตะโกเ้ ผือก เครือ่ งดื่ม เช่น นมถ่วั เหลอื ง น้ำมะพร้าว น้ำฝรงั่ เปน็ ต้น ธาตุน้ำ ควรรับประทาน รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขอื เทศ มะยม มะกอก มะดนั กระทอ้ น ตวั อยา่ งอาหารปรบั สมดลุ ธาตนุ ำ้ แกงส้มดอกแค ลาบ หรอื ยำที่มีรสเปร้ยี ว ผัดเปรยี้ วหวาน อาหารวา่ ง เช่น มะยมเชอื่ ม สบั ปะรดกวน กระทอ้ นลอยแกว้ มะมว่ งนำ้ ปลาหวาน มะมว่ งกวน เครื่องดม่ื เช่น นำ้ มะนาว นำ้ ส้มค้นั นำ้ มะเขือเทศ เป็นต้น ธาตุลม ควรรับประทาน รสเผ็ดร้อน เช่น กระเพรา โหระพา กระเทยี ม ขนึ้ ฉา่ ย ยห่ี รา่ ขงิ ขา่ ตะไคร้ กระชาย พรกิ ไทย ขมนิ้ ชนั ผกั คราด ช้าพลู พริกขี้หนู ตัวอย่างอาหารปรับสมดุลธาตุลมเช่น ผัดกะเพรา ผัดขิง กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ค่ัวกล้ิง แกงเผ็ด หรืออาหารที่มีรสเผ็ด อาหารว่าง เช่น บัวลอยน้ำขิง เตา้ ฮวย เตา้ ทึง มนั ตม้ ขิง ถ่วั เขียวตม้ ขิง เมี่ยงคำ เครอื่ งดมื่ เชน่ น้ำขิง นำ้ ตะไคร้ นำ้ มะตูม เปน็ ต้น ธาตไุ ฟ ควรรบั ประทาน รส ขม เยน็ จดื เชน่ บวั บก มะระ มะรมุ สะเดา ผักบุ้ง ตำลึง สายบัว แตงกวา คะน้า บวบ มะเขือ ผักกาดจีน ตวั อยา่ งอาหารปรบั สมดลุ ธาตไุ ฟ แกงจดื ตำลงึ ผดั บวบ มะระผดั ไข่ ผดั ผกั บงุ้ หรืออาหารท่ีมีรสจืด อาหารว่าง ซาหร่ิม ไอศกรีม น้ำแข็งไส เคร่ืองด่ืม น้ำแตงโมป่ัน น้ำใบเตย น้ำเกก็ ฮวย เปน็ ต้น การรับประทานอาหารควรรับประทานอาหารให้หลากหลายครบทุกรส ท้ัง 4 ธาตุ ไมค่ วรเลอื กรับประทานเฉพาะรสใดรสหนง่ึ ตามธาตุเจ้าเรือนของ ตนเอง หรือธาตุท่ีเจ็บป่วย (เสียสมดุล) เท่านั้น เน่ืองจากร่างกายต้องการ อาหารบำรุงธาตุท้ัง 4 ด้วย หากธาตุหนงึ่ ธาตุใดขาดการบำรุงจะเจ็บป่วยได้ การรบั ประทานอาหารทเ่ี หมาะกับธาตุเจ้าเรอื นของตนเอง หรือธาตุทเ่ี จ็บป่วย (เสียสมดลุ ) ควรรับประทานให้มากกว่าธาตอุ นื่ ๆ ท่สี มดลุ อยู่แล้ว พฤติกรรม ดังกล่าวจะทำให้ การปรบั สมดุลได้ผลด ี กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก การแพทยพ์ ้ืนบา้ นไทย (Thai Indigenous Medicine) 1. ความหมายของการแพทยพ์ ้นื บา้ นไทย การแพทยพ์ ืน้ บา้ นไทย (Thai indigenous Medicine) ตามพระราช บัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ว่า “การดูแลสุขภาพกันเองในชุมชนแบบดั้งเดิม จนกลายเป็นส่วนหน่ึงของวิถี ชวี ิต เกีย่ วขอ้ งกบั ความเชอ่ื พธิ ีกรรม วฒั นธรรม ประเพณี และทรัพยากรที่ แตกต่างกันในแต่ละท้องถ่ินและเป็นท่ียอมรับของชุมชนนั้น” ความหมายน้ี ครอบคลุมทั้งการแพทย์พื้นบ้านท่ีมีหมอพื้นบ้านช่วยเหลือและดูแลชาวบ้าน ในชุมชน และประชาชนในชมุ ชนทใ่ี ช้ภูมปิ ญั ญาและประสบการณใ์ นการดูแล ตนเอง เช่น การใช้ยาต้มสมุนไพรรักษาอาการปวดเม่ือย ปวดหลัง การใช้ ยากวาดสมุนไพรรักษาอาการเจ็บคอของเด็ก การนวดในครอบครัว การใช้ อาหารพื้นบ้านเพื่อดูแลรกั ษาสขุ ภาพ เป็นต้น 2. แนวคิดพืน้ ฐานท่สี ำคัญ : ว่าดว้ ยระบบการแพทยท์ ่หี ลากหลาย ในสังคมมีระบบการแพทย์แบบพหุลักษณ์ (Pluralistic Medical System) ดังแผนภาพ 1 กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ระบบการแพทย ์ พืน้ บา้ น (Folk sector) ระบบการแพทยแ์ บบวชิ าชพี ระบบการแพทย ์ (Professional sector) ของประชาชน (Popular sector) ( Kleinman, 1980 : 49-60 ) แผนภาพ 1 : แสดงความสัมพนั ธข์ องระบบการแพทย์ จะพบว่าแบบแผนการแสวงหาวธิ ีการดแู ลสขุ ภาพของประชาชน นน้ั มี ลักษณะของการผสมผสานหรือมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง การดูแลใน 3 ระบบ ระหวา่ งการดแู ลสขุ ภาพตนเอง หรอื การใชค้ วามรปู้ ระสบการณข์ องประชาชน (Popular sector) การแสวงหาวธิ กี ารดแู ลโดยการพงึ่ พาหมอพน้ื บา้ นในชมุ ชน (Folk sector) และการไปรบั บรกิ ารจากระบบบริการการแพทยท์ เ่ี ปน็ ทางการ หรือผู้ประกอบวิชาชีพ (Professional sector) สำหรับสังคมไทยก็ยังพบ ลักษณะการผสมผสานการดูแลสุขภาพเช่นน้ีในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเจ็บ ป่วยเฉพาะท้องถ่ินที่มีการอธิบายการเจ็บป่วย บนวิถีความเช่ือ ประเพณี วฒั นธรรม (Culture - bounded Syndromes) เชน่ การดแู ล การผดิ สำแดง ลมผิดเดือน ฯลฯ หรอื ความเจ็บป่วยเรื้อรัง เบาหวาน มะเรง็ ภูมิแพ้ เป็นตน้ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

3. สถานะองคค์ วามรู้และศักยภาพของภูมิปัญญาพนื้ บา้ นด้านสขุ ภาพ / การแพทย์พืน้ บ้าน คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การดูแลสขุ ภาพหญงิ มีครรภแ์ ละหลงั คลอด* การใชย้ าสมนุ ไพรของประชาชน การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก งานวิจยั เชงิ คุณภาพและผสมผสาน/ปฏิบตั ิการ งานวจิ ยั แบบสำรวจ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ แรงจงู ใจ ความเช่ือและแบบแผนการดแู ลสุขภาพตนเองของ ยาดองเหล้า สตู รยาดองเหลา้ 91 สูตร/พฤตกิ รรมการบรโิ ภค หญิงตั้งครรภแ์ ละหญงิ หลังคลอด ประชาชนซ้อื ยารักษาอาการปวดเม่อื ย อาการเลอื ดลม รอ้ นใน โรคสตรี กินผดิ การสืบทอดภูมิปญั ญาโดยปรบั เปล่ยี นความร ู้ และยาบำรุง +พฤตกิ รรม การปลอมปน/ปนเปอ้ื นของยา ด้านอาหารธรรมชาติ/อาหารพืน้ บา้ น 10 เรอ่ื ง 6 เรื่อง 22 เรอ่ื ง งานสว่ นใหญ่เปน็ งานวิจัยเชงิ คณุ ภาพ การสำรวจอนกุ รมวธิ านผกั พ้นื บ้าน สมนุ ไพร แมลง และเห็ด>100 ชนดิ /ภูมภิ าค การแสวงหาการบรโิ ภค การคงอยูข่ องอาหารธรรมชาตแิ ละปจั จยั ด้านสขุ ภาพชาตพิ ันธ์ุ ภูมปิ ัญญาด้านสุขภาพพื้นบา้ น ท่เี ก่ียวขอ้ ง งานวจิ ัยเชงิ คุณภาพ (ภาคเหนอื /อีสาน) คุณคา่ ดา้ นสุขภาพ เศรษฐกิจ และพธิ ีกรรม ระบบคดิ แบบแผนชีวติ และการดแู ลสขุ ภาพตนเอง 38 เร่อื ง ภมู ิปัญญาการรกั ษาโรค การดแู ลหญิงตง้ั ครรภ/์ หลงั คลอด การแพทย์พื้นบ้าน* 28 เรอ่ื ง สถานะขององคค์ วามร้ ู การแพทยพ์ ื้นบ้านไทยในสังคมไทย ศึกษาตำรา/คัมภีร์/สังคายนา สำรวจและการกระจายตวั ของหมอพ้ืนบา้ น แนวคิด การวนิ จิ ฉัย-รักษาโรค 116 เรอ่ื ง บทบาทและการปรบั บทบาทและปจั จัยท่เี ก่ยี วข้อง ภูมปิ ญั ญาการแพทยพ์ น้ื บ้าน พธิ ีกรรมท่มี ีความเชือ่ แบบพทุ ธ- พราหมณ์-ผ ี แนวทาง/แนวคิดการพฒั นา 78 เรื่อง 43 เรื่อง หมอพิธีกรรมทม่ี ีบทบาท 19 เร่ือง การแพทยพ์ ื้นบ้านแบบ การแพทย์พ้ืนบา้ นแบบพิธกี รรม รักษาความเจ็บปว่ ย เสริมกำลังใจ หมอพนื้ บา้ น/ยาสมุนไพรพ้นื บา้ น* ประสบการณเ์ ชิงปฏบิ ตั ิ /ศาสนา ความมน่ั คงของชีวิต เสยี่ งทาย การใช้ยาสมนุ ไพรของหมอพ้ืนบ้าน/ชมุ ชน และเสริมความสมั พนั ธ์ของสังคม การศึกษาหมอ/ผูป้ ่วย 6 เรอ่ื ง หมอพระและการดูแลผู้ป่วย การศกึ ษายาสมุนไพรแบบวทิ ยาศาสตร ์ ดา้ นกาย-ใจ หมองู 5 เรอื่ ง / หมอกระดูก 4 เร่ือง 20 เรอื่ ง การนวดพื้นบา้ น* การทำขวญั และคาถาอาคม แนวคดิ โรคและสาเหต ุ การตรวจและเทคนิคการนวด ผลการนวด แผนภาพ 2 : สถานะขององค์ความรู้การแพทยพ์ ้ืนบา้ นในสงั คมไทย

4. การสง่ เสรมิ และพฒั นาระบบการดูแลสขุ ภาพดว้ ยภมู ิปญั ญา การแพทย์พื้นบา้ น การบูรณาการแพทยพ์ ้นื บ้าน ระบบการสง่ ตอ่ การฟ้ืนฟแู ละส่งเสรมิ การดูแลสุขภาพ ในระบบบริการสขุ ภาพภาครัฐ ในระดบั ชมุ ชน (Integration in Primarycare) (Community care) คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ การรบั รองสทิ ธหิ มอพนื้ บา้ น การสงั คายนาองคค์ วามร ู้ โรงเรยี น (การสบื ทอดองคค์ วามรกู้ ารเรยี นร)ู้ แหล่งสมุนไพร / ฐานทรพั ยากรชมุ ชน แผนภาพ 3 : การส่งเสริมและพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพด้วยภูมปิ ญั ญาการแพทยพ์ ้ืนบา้ น

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 5. ชดุ โครงการสำนกั การแพทยพ์ น้ื บา้ นไทย ปงี บประมาณ 2553 มดี งั น้ี คอื โครงการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาการแพทย์พ้ืนบ้าน ใน ระบบสุขภาพชุมชน และระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ประกอบด้วย โครงการยอ่ ย 8 โครงการ 1. โครงการจัดการความรู้และพัฒนากระบวนการแม่และเด็กด้วย ภมู ปิ ญั ญาการแพทยพ์ ื้นบ้าน 2. โครงการพัฒนาต้นแบบการดูแลสุขภาพชุมชนด้วยสมุนไพรพ้ืนบ้าน และอาหารทอ้ งถน่ิ บนฐานแนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี ง 3. โครงการศึกษาและพัฒนาศักยภาพหมอพ้ืนบ้านในการรักษาผู้ป่วย กระดูกหักช่วงการศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมผสานความร่วมมือ การรกั ษากระดูกหักระหวา่ งหมอพื้นบ้านกับสถานบริการสาธารณสุขของรฐั 4. โครงการจัดการความร้แู ละพัฒนากระบวนการรกั ษาสัตวพ์ ษิ กดั และ งกู ัดแบบผสมผสานระหว่างหมอพนื้ บ้านกับสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ 5. โครงการศึกษาและพัฒนาตำรับยาสมุนไพรพ้ืนบ้านและการใช ้ ภูมปิ ัญญาของหมอพื้นบ้านในการรกั ษาผู้ป่วยมะเรง็ 6. โครงการจัดการความรู้และพัฒนากระบวนการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ดว้ ยภูมปิ ญั ญาการแพทยพ์ ้นื บ้าน 7. โครงการจัดการความรู้และพัฒนากระบวนการดูแลผู้ป่วยอัมพฤกษ ์ อัมพาตดว้ ยภูมปิ ญั ญาการแพทย์พืน้ บ้าน 8. โครงการพัฒนาศักยภาพองค์กรของสำนักการแพทย์พื้นบ้านไทย ประจำปี 2553 กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก การแพทย์ทางเลือก การแพทยท์ างเลือก คอื การแพทยท์ ่ีไมใ่ ช่ การแพทย์แผนปจั จบุ ัน การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พ้ืนบ้านไทย การแพทย์อ่ืนๆ ท่ีเหลือ ถือเปน็ การแพทยท์ างเลือกทง้ั หมด การจำแนกการแพทย์ทางเลือกน้ัน จำแนกได้หลายแบบ วิธีแรก จำแนกตามการนำไปใช้มดี งั น้ี Complementary Medicine คอื การแพทยท์ างเลอื กทน่ี ำไปใชเ้ สรมิ หรอื ใช้ร่วมกบั การแพทย์แผนปัจจบุ ัน Alternative Medicine คือ การแพทยท์ างเลือกทส่ี ามารถนำไปใช้ ทดแทนการแพทย์แผนปจั จบุ นั ได้ โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบนั การจำแนกตามกลมุ่ ของการแพทยท์ างเลอื ก โดย National Center of Complementary And Alternative Medicine ( NCCAM )ของ สหรัฐอเมริกา เมอ่ื ปี ค.ศ. 2005 ไดจ้ ำแนกออกเปน็ 5 กลมุ่ ดงั น้ ี 1. Alternative Medical Systems คือ การแพทย์ทางเลือกที่มี วิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้าน การให้ยา การใชเ้ ครอื่ งมอื และหัตถการตา่ งๆ ไดแ้ ก่ การแพทยแ์ ผนโบราณ ของจนี (Traditional Chinese Medicine) การแพทยแ์ บบอายรุ เวช ของอนิ เดยี การแพทยโ์ ฮมีโอพาธีย์ เปน็ ต้น 2. Mind-Body Interventions คือ วิธกี ารบำบดั รกั ษาแบบใชก้ าย และใจ เช่น สมาธบิ ำบดั โยคะ ชี่กง เป็นตน้ 3. Biologically Based Therapies คอื วิธีบำบัดรกั ษาโดยการใช้ สารชวี ภาพ สารเคมตี า่ งๆ เขา้ สรู่ า่ งกายดว้ ยวธิ กี ารกนิ ทา ดม ฉดี เหนบ็ อบ ไดแ้ ก่ การใชส้ มนุ ไพร วติ ามินบำบดั คีเลชัน่ บำบดั อาหารสขุ ภาพ เปน็ ตน้ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 4. Manipulative and Body-Based Methods คอื วธิ กี ารบำบดั รกั ษาโดยการใช้หัตถการตา่ งๆ เชน่ การนวด การดดั การจดั กระดูก ได้แก่ การนวดแบบต่างๆ ไคโรแพร็คตกิ ส์ เป็นตน้ 5. Energy Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาท่ีใช้พลังงานในการ บำบดั รกั ษา ซงึ่ มที งั้ พลงั งานชวี ภาพ ไดแ้ ก่ พลงั กายทพิ ย์ พลงั จกั รวาล โยเร เรกิ เปน็ ตน้ และพลงั งานแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ไดแ้ ก่ เตยี งหรอื เกา้ อแี้ มเ่ หลก็ ไฟฟา้ เตยี งพลังควนั ตม้ั เปน็ ต้น หลักในการพิจารณาใช้การแพทย์ทางเลือก สำหรับประเทศไทยน้ัน ถอื หลักสำคญั 4 ประการดังนี้ 1. หลกั ของความนา่ เช่อื ถือ (RATIONAL) โดยดจู ากที่ว่า วิธกี าร หรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การ ยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานานแค่ไหน มีการบนั ทึกไว้หรือไม่ อย่างไร 2. หลกั ของความปลอดภยั (SAFETY) เป็นเรอ่ื งสำคญั มากว่ามผี ล กับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบ เร้ือรังมีเพียงไร อันตรายท่ีจะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่ หรือ วิธีการทำให้ เกิดอันตรายตอ่ รา่ งกายหรอื ไม่ เป็นต้น 3. หลกั ของการมปี ระสทิ ธผิ ล (EFFICACY) เปน็ เรอื่ งทจ่ี ะตอ้ งพสิ จู น ์ หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้ว ว่ามีการใช้ได้จริง ซ่ึงอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้ มาเป็นเวลานานจนเปน็ ทย่ี อมรับ จากการศกึ ษาวิจัยหลากหลายวิธกี ารเปน็ ต้น 4. หลักของความคุ้มค่า (COST-BENEFIT-EFFECTIVENESS) โดยเทยี บวา่ คา่ ใชจ้ า่ ยทเี่ กดิ ดว้ ยวธิ นี นั้ ๆ คมุ้ คา่ สำหรบั ผปู้ ว่ ยหรอื ไมใ่ นโรคทผี่ ปู้ ว่ ย ตอ้ งทนทกุ ขท์ รมาน โดยอาจเทยี บกบั เศรษฐฐานะของผ้ปู ว่ ยแตล่ ะคน เป็นต้น กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก CHIROPRACTIC CHIROPRACTIC เป็นวิธีการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยโดยการจัด กระดกู สนั หลังของผปู้ ่วย โดยมีพ้ืนฐานความเชอ่ื ท่ีว่า ความเจบ็ ป่วยมีสว่ นมา จากกระดกู สนั หลงั ท่ีผิดสมดุลร่างกาย หากจดั ให้ถกู ต้องตรงแนว แล้วอาการ เจ็บป่วยก็จะสามารถหายได้เอง เป็นศาสตร์ท่ีได้รับการยอมรับจากองค์การ อนามยั โลก ว่าใช้ได้ มี World Federation of Chiropractic ซง่ึ เป็นเครือ ข่ายของ WHO ดแู ลเรือ่ งมาตรฐานวิชาชีพและการศึกษามกี ารใช้แพร่หลาย ในอเมริกาและยุโรปมีการเรียนการสอนถึงขั้นปริญญา ในอเมริกาและยุโรป ในประเทศไทยกรรมการประกอบโรคศลิ ปะยอมรับแล้ว แมคโครไบโอติกส ์ แมคโครไบโอติกส์ เป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกแขนงหนึ่งที่ เป็นการดูแลรกั ษาสุขภาพและดำเนินชีวติ แบบองค์รวม เพื่อให้บุคคลมสี ขุ ภาพ ชีวิตที่ดีข้ึน โดยผ่านทางอาหารและวิถีชีวิตที่สมดุล การทานอาหารที่เน้น สุขภาพเปน็ หลัก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก สถาบันการแพทยไ์ ทย-จีน เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ บทบาทหนา้ ที่ 1. ประสานความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทยและจีน และทบวงการแพทยแ์ ผนจนี ในการผลติ และพฒั นาสมรรถนะบคุ ลากรการวจิ ยั และการบริการการแพทยแ์ ผนจีน 2. ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้ และ เทคโนโลยดี ้านการแพทย์แผนจนี ในประเทศไทย 3. กำหนด พัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน และเสนอแนะการคุ้มครอง ผบู้ ริโภคด้านการแพทยแ์ ผนจนี ในประเทศไทย 4. สนับสนุนการผสมผสานการแพทย์แผนจีนที่เหมาะสม เข้าสู่ระบบ บรกิ ารสขุ ภาพไทย ความหมายของการแพทยแ์ ผนจนี ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ 1/2543 ซ่ึงออกตามพระราช บญั ญตั กิ ารประกอบโรคศลิ ปะ พ.ศ. 2542 คำวา่ การแพทยแ์ ผนจนี หมายถงึ การกระทำต่อมนษุ ย์เก่ียวกบั การตรวจวนิ ิจฉยั การบำบัดโรค การป้องกนั โรค หรอื การฟน้ื ฟสู มรรถภาพของรา่ งกายตามศาสตร์ และความรแู้ บบแพทยแ์ ผนจนี ที่ถ่ายทอดและพฒั นาสบื ต่อกนั มา หรือตามการศึกษาจากสถาบันการศึกษาใน ระดับอุดมศึกษาในหลักสูตรการแพทย์แผนจีนไม่ต่ำกว่า 5 ปี ที่กรรมการ การประกอบโรคศิลปะใหก้ ารรบั รอง กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก การแพทยแ์ ผนจนี มกี ารดแู ลรกั ษาสขุ ภาพ 2 สว่ นคอื สว่ นของการปอ้ งกนั และส่วนของการรักษาโรค ในด้านการป้องกัน การแพทย์แผนจีนจะเน้น สุขภาพจิตและกายท่ีแข็งแรง หลีกเล่ียงความแปรปรวนของสภาพอากาศ นอกจากนีย้ ังมีการป้องกนั เม่อื เกิดโรคแล้ว เพ่ือไมใ่ หโ้ รคลุกลามไปสู่อวัยวะอื่น ในด้านการรกั ษา จะมกี ารรักษาโรคหรอื สาเหตุทีแ่ ท้จริงของอวยั วะนั้นๆ หรือ รักษาอาการของโรคอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือรักษาทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน โดยมวี ธิ ที ใ่ี ชร้ กั ษา เชน่ การใชย้ า การฝงั เขม็ การรมยา การนวดจนี (ทยุ หนา่ ) เป็นตน้ การผสมผสานการแพทยแ์ ผนจนี ในระบบบรกิ ารสุขภาพไทย การนำศาสตร์การแพทย์แผนจีนเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพไทย จะมุ่งเน้นถึง ความปลอดภยั มปี ระสทิ ธผิ ล ประหยดั และมคี วามเหมาะสม การแพทยแ์ ผนจนี ท่ไี ด้รบั ความนยิ มในระบบบริการสขุ ภาพไทยปจั จุบันคือ 1. ฝังเขม็ 2. ตรวจรกั ษาดว้ ยสมุนไพรจนี (แมะ) 3. นวดแบบจนี (ทุยหน่า) บุคลากรที่ให้บริการศาสตร์การแพทย์แผนจีน ในระบบบริการ สขุ ภาพไทย ประกอบด้วย 1. กลุ่มแพทย์แผนตะวันตก ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร “การฝังเข็ม” ขั้นพ้ืนฐาน (หลักสูตร 3 เดือน) และผ่านการอบรมหลักสูตรฝังเข็มต่อยอด จากหลักสูตรข้นั พืน้ ฐาน 2. กลมุ่ แพทยแ์ ผนจนี ทีส่ บื ทอดจากบรรพบรุ ุษ 3. ผสู้ ำเรจ็ การศกึ ษาหลกั สตู ร “การแพทยแ์ ผนจนี ” จากสถาบนั การศกึ ษา ในหลักสูตรไม่น้อยกว่า 5 ปี จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะต้องม ี ใบอนุญาตประกอบโรคศลิ ปะ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ปจั จุบนั มแี พทย์แผนปัจจบุ ันที่สำเรจ็ การอบรม หลักสตู รฝังเข็ม 3 เดือน จำนวน 21 รุ่น รวม 909 คน กระจายอย่ใู นโรงพยาบาลตา่ งๆ ท่วั ประเทศ และมีกลุ่มแพทย์จีนท่ีได้รับหนังสือรับรองจากกองการประกอบโรคศิลปะโดย อาศยั ศาสตรก์ ารแพทยแ์ ผนจนี จำนวนประมาณ 200 คน และมสี ถาบนั การศกึ ษา ที่เปดิ สอนหลกั สูตรการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ในปัจจบุ ัน (พ.ศ. 2551) 2 แหง่ คอื 1. มหาวทิ ยาลัยหวั เฉยี วเฉลิมพระเกียรติ 2. มหาวิทยาลยั ราชภัฏจนั ทรเกษม แผนการดำเนินงานการพัฒนาการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ปี 2551 - 2554 ของกรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 1. แผนงานวจิ ยั พฒั นาองคค์ วามรดู้ า้ นการแพทยไ์ ทย - จนี ในการ บำบัดรกั ษาผ้ปู ่วย ในปีงบประมาณ 2551 - 2554 จะเน้นในกลุม่ โรคเรือ้ รงั ไดแ้ ก่ มะเรง็ เบาหวาน ความดนั โลหิตสงู โรคหวั ใจ ซง่ึ ประกอบด้วยงานวิจยั หลกั ๆ ดงั น ี้ 1.1 การวิจัย พฒั นาสมุนไพรไทย และจีน ท่มี ีศกั ยภาพทางเศรษฐกจิ เพื่อลดการนำเขา้ และเพ่อื แกป้ ญั หาสาธารณสขุ ของประเทศ 1.2 การศึกษาวิจยั และพัฒนาศาสตร์การแพทยแ์ ผนจีน เพ่อื ผสมผสาน การแพทยแ์ ผนจีนทเ่ี หมาะสมในระบบบรกิ ารสุขภาพไทย 2. แผนงานการถ่ายทอดองค์ความรู ้ ด้านการแพทย์แผนจีน ในประเทศไทยเพอ่ื การคมุ้ ครองผ้บู รโิ ภค เป็นการนำองคค์ วามรู้ศาสตร์การแพทยแ์ ผนจีน ที่ผ่านการศกึ ษา วจิ ัย แล้วมาทำการเผยแพร่ต่อโดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ บุคลากรสุขภาพและ ประชาชน โดยจัดทำเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น การฝึกอบรม การจัดทำเป็น หนงั สอื เอกสารทางวิชาการ และเผยแพร่ผา่ นทางเวบ็ ไซต์ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 3. แผนงานพัฒนามาตรฐานการบริการ ด้านการแพทย์แผนจีน ในประเทศไทยเพอ่ื การคุ้มครองผูบ้ รโิ ภค ในปงี บประมาณ 2551 - 2554 ไดก้ ำหนดแผนการดำเนนิ งานการพฒั นา มาตรฐาน การให้บริการการแพทย์แผนจีนในสถานพยาบาลภาครัฐ 3 ด้าน ได้แก่ มาตรฐานการใหบ้ รกิ าร คุณภาพของบุคลากรท่ใี ห้บรกิ าร การวิจยั และพฒั นาการให้บริการด้านศาสตรก์ ารแพทย์แผนจนี โดยการแพทย์แผนจีนที่จะนำมาพัฒนาเพ่ือให้มีมาตรฐานในการบริการ ทง้ั 3 ดา้ น และผสมผสานเขา้ สรู่ ะบบบรกิ ารสขุ ภาพเปน็ ลำดบั แรกคอื การฝงั เขม็ รกั ษาโรค ผลงานการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนจีน ของ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ตงั้ แตป่ งี บประมาณ พ.ศ. 2545 - 2551 ทไี่ ด้มีการจัดทำเป็นรูปเลม่ และเผยแพรไ่ ปแล้วมดี งั น ี้ 1. แนวทางการผลติ วตั ถุดิบปัญจขันธใ์ นประเทศไทย 2. หนงั สือการพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 3. ตำรบั ยาจีนท่ใี ช้บ่อยในประเทศไทย เล่ม 1 และ 2 4. คู่มือการใชส้ มนุ ไพรไทย-จนี 5. ตำราความรูศ้ าสตร์การแพทยแ์ ผนจนี เบื้องต้น 6. ตำราการฝังเขม็ รมยา กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก สำนกั คมุ้ ครองภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทยและสมนุ ไพร กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ความเป็นมา พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ไดป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ 116 ตอนท่ี 120 ก ลงวนั ท ่ี 29 พฤศจิกายน 2542 และมผี ลบังคับใชต้ ั้งแตว่ นั ท่ี 27 พฤศจิกายน 2543 โดยพระราชบัญญัติน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการ แพทย์แผนไทยและสมุนไพร สถาบันการแพทย์แผนไทยจึงได้เปล่ียนแปลง โครงสร้างภายใน กำหนดให้มีกลุ่มงานคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และสมุนไพรข้ึนต้ังแตป่ ี 2544 เปน็ ต้นมา ตอ่ มาเมอื่ วนั ท่ี 11 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการพฒั นาโครงสรา้ งระบบ ราชการของกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบการยกฐานะกลุ่มงานคุ้มครอง ภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทยและสมนุ ไพร เปน็ สำนกั คมุ้ ครองภมู ปิ ญั ญาการแพทย ์ แผนไทยและสมุนไพร กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงมีคำสั่งท่ี 179/2551 ลงวนั ท่ี 25 กรกฎาคม 2551 เร่อื ง การกำหนดส่วนราชการและ การปฏบิ ตั ิราชการ กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกโดย ได้กำหนดให้สำนักคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร เป็น หนว่ ยงานไมต่ ำ่ กวา่ กองหรอื เทยี บเทา่ กอง มผี อู้ ำนวยการสำนกั เปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชา และรับผิดชอบการปฏิบัติราชการ และมีการแบ่งงานภายในเป็น 1 ฝ่าย 3 กล่มุ งาน คอื 1. ฝ่ายบริหารทวั่ ไป 2. กลุ่มงานนายทะเบยี นกลาง 3. กลมุ่ งานสนบั สนนุ การคมุ้ ครองภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทยและสมนุ ไพร กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก อำนาจหนา้ ท่ี 1. ส่งเสริม สนับสนุน และดำเนินการให้มีการบังคับใช้กฎหมายตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 2. รบั ผดิ ชอบในงานธรุ การและงานวชิ าการของคณะกรรมการคมุ้ ครอง และส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทยแ์ ผนไทย 3. เป็นสำนักงานนายทะเบียนกลาง ดำเนินการรวบรวม อนุรักษ์ คุ้มครอง และส่งเสรมิ ภูมิปญั ญาการแพทยแ์ ผนไทยและสมนุ ไพร 4. เฝา้ ระวงั ตดิ ตาม และตรวจสอบสทิ ธใิ นภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย รวมทัง้ ประสานความร่วมมือดา้ นกฎหมาย ตามทพี่ ระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองและสง่ เสรมิ ภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย พ.ศ.2542 ได้ประกาศในราชกิจจานเุ บกษา เล่ม 116 ตอนท่ี 120 ก ลงวนั ท่ี 29 พฤศจกิ ายน 2542 และมีผลบังคับใช้ตัง้ แต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2543 โดยพระราชบัญญัติน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการ แพทย์แผนไทยและสมุนไพร นบั ตง้ั แตพ่ ระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครอง และสง่ เสรมิ ภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย พ.ศ. 2542 มผี ลบงั คบั ใช้ ไดม้ กี ารออกกฎหมายลำดบั รองรวมทงั้ สนิ้ 12 ฉบบั ดงั น ้ี 1. กฎหมายลำดบั รองเก่ยี วกบั การสรรหากรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ิ 1.1 กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหากรรมการ ผูท้ รงคุณวฒุ ิ พ.ศ. 2546 1.2 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เร่ือง การกำหนดพื้นท่ีภูมิภาค พ.ศ. 2546 1.3 ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ (ฉบบั ที่ 1 ) พ.ศ. 2546 เรือ่ ง การกำหนดแบบเสนอชอ่ื แบบประวตั ิและบัตรเลอื กกรรมการผทู้ รงคุณวฒุ ิ 2. กฎหมายลำดับรองเกีย่ วกับพนักงานเจ้าหน้าท ี่ 2.1 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แต่งต้ังพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2548 กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 2.2 ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ เรอ่ื ง แบบบตั รประจำตวั พนกั งาน เจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ. 2548 3. กฎหมายลำดับรอง เกี่ยวกับการจัดทำทะเบียนภูมิปัญญาการ แพทย์แผนไทย 3.1 กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม เก่ียวกับภูมิปัญญาการแพทย์ แผนไทย พ.ศ. 2549 3.2 ระเบียบคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์ แผนไทย เรอื่ ง การจัดทำทะเบยี นภูมิปญั ญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2547 4. กฎหมายลำดบั รองเกยี่ วกับสมนุ ไพรควบคมุ กวาวเครอื 4.1 ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ เรื่องสมนุ ไพรควบคุม (กวาวเครือ) พ.ศ. 2549 4.2 ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์ แผนไทย เร่อื ง การกำหนดแบบแจ้งและบญั ชีแสดงรายละเอียดตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข เร่ือง สมุนไพรควบคมุ (กวาวเครือ) พ.ศ. 2549 5. กฎหมายลำดับรองเกย่ี วกบั พ้นื ทคี่ ุ้มครองสมุนไพร ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ (ฉบบั ท่ี 1) พ.ศ. 2551 เรอ่ื งแผนจดั การ เพื่อคุ้มครองสมุนไพร ในพ้ืนท่ีเขตอนุรักษ์ภูผากูด จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. 2551-2553 6. กฎหมายลำดบั รองเกยี่ วกบั กองทนุ ภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย 6.1 ระเบียบคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญา การแพทย์แผนไทยว่าด้วย การบริหาร การจัดหาผลประโยชน์ และการใช้ จา่ ยเงินกองทนุ ภมู ิปัญญาการแพทยแ์ ผนไทย พ.ศ. 2548 6.2 ประกาศคณะกรรมการคุ้มครอง และส่งเสริมภูมิปัญญา การแพทยแ์ ผนไทย เรือ่ ง หลกั เกณฑ์และวิธีการ ในการให้การชว่ ยเหลือหรอื สนับสนุนกิจกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2549 กองทุนภูมิปญั ญาการแพทย์แผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กฎหมายและระเบยี บอน่ื ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการเข้าไปศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการ ในพ้นื ท่ปี า่ ไม้ พ.ศ.2542 ระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการอนุญาตให้กระทำการเพ่ือประโยชน ์ ในการศึกษา หรือวจิ ัยทางวิชาการภายในเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2548 ระเบียบสภาวิจัยแห่งชาติ ว่าด้วยการอนุญาตให้นักวิจัย ชาวตา่ งประเทศเขา้ มาทำการวิจยั ในประเทศไทย พ.ศ. 2550 ระบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ ความหลากหลายทางชีวภาพ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2548 พระราชบัญญตั ิคมุ้ ครองพันธ์พุ ชื พ.ศ.2542 ขณะนมี้ ีกฎหมายลำดับรอง กำลังอยรู่ ะหว่างการพิจารณา จำนวน 8 ฉบับ 1. ร่างกฎกระทรวง ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการประกาศ กำหนดตำรับยาแผนไทยของชาติหรือตำราการแพทย์แผนไทยของชาติ พ.ศ....... 2. ร่างกฎกระทรวง ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการประกาศ กำหนดตำรบั ยาแผนไทยทัว่ ไปหรอื ตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ........ 3. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขการขอรับ อนุญาต และการอนญุ าตข้อจำกัดสทิ ธิ และค่าตอบแทนการใช้ประโยชนจ์ าก ตำรับยาแผนไทย หรือตำราการแพทย์แผนไทยของชาติ พ.ศ....... กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 4. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และเงื่อนไขการขอรับ มอบอนญุ าตและการออกใบอนญุ าตให้ศึกษาวจิ ยั หรือสง่ ออกสมนุ ไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า การต่ออาย ุ ใบอนญุ าต และการออกใบแทน พ.ศ...... 5. ร่างกฎกระทรวง ว่าด้วยการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญา การแพทย์แผนไทย การสอบสวนและการพิจารณาวินิจฉัย และแบบหนังสือ สำคัญแสดงการจดสิทธใิ นภมู ปิ ญั ญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.... 6. รา่ งกฎกระทรวง กำหนดการอนุญาตของผทู้ รงสทิ ธใิ นการใหบ้ คุ คล อน่ื ใชส้ ทิ ธิในภูมปิ ัญญาการแพทยแ์ ผนไทยของนายทะเบยี น พ.ศ.... 7. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอข้ึนทะเบียน การออกใบสำคัญการ ขึ้นทะเบียน และการเพิกถอนการข้ึนทะเบียนที่ดินของเอกชนที่เป็นถ่ินกำเนิด สมนุ ไพรหรอื ทีด่ ินท่ีจะใชป้ ลูกสมุนไพร พ.ศ.... 8. ร่างกฎกระทรวงการยื่นอทุ ธรณ์และวิธีพจิ ารณาอุทธรณ์ พ.ศ...... กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก แนวทางการให้บริการของ สำนกั งานบริหารกองทนุ ภูมิปญั ญาการแพทย์แผนไทย สำนักงานบริหารกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย จัดต้ังขึ้นใน กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ตามพระราชบัญญัต ิ ค้มุ ครองและสง่ เสริมภมู ิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 มีวตั ถปุ ระสงค์ หลัก เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับ การคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย บริหารจัดการกองทุน โดยคณะอนกุ รรมการกองทนุ ภมู ิปัญญาการแพทย์แผนไทย ขอบเขตการสนบั สนนุ ได้แก่ การสำรวจ รวบรวม ศึกษาและวิจัยองค์ความรู้ภูมิปัญญา การแพทย์แผนไทย / การเพาะปลูก ผลิต แปรรูปหรือขยายพันธ์ุ อนุรักษ์ ใชป้ ระโยชน์สมนุ ไพรอยา่ งย่งั ยนื / พัฒนาบคุ ลากรและองค์การเอกชนพัฒนา ด้านการแพทย์แผนไทย / แผนจัดการเพ่ือคุ้มครองสมุนไพร / สนับสนุนให้ เอกชนมสี ่วนร่วมในการคุม้ ครอง สง่ เสรมิ และพฒั นาสมุนไพร และการอ่ืน ๆ ทเี่ ก่ียวข้องกับการสนบั สนนุ ของกองทุน แบ่งเปน็ 2 ประเภท 1. ประเภทแผนงานหรือโครงการทั่วไป 2. ประเภทแผนงานหรอื โครงการวิจัย โดยผู้ขอรับทุนต้องเสนอแผนงานหรือโครงการฉบับสมบูรณ์ และสรุปย่อ แผนงานหรอื โครงการทม่ี คี วามยาวไมเ่ กนิ 3 หนา้ กระดาษเอ 4 จำนวน 5 ชดุ ตอ้ งมรี ายละเอยี ดดงั น้ี กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 1. ประเภทแผนงานหรอื โครงการทั่วไป ประกอบด้วย ความเป็นมาและความสำคัญ วัตถุประสงค์ทั่วไป, วัตถุประสงค์เฉพาะ, กลวิธีและกิจกรรมดำเนินงาน, กลุ่มเป้าหมาย, พ้ืนที่ ดำเนนิ การ, การประเมนิ ผล, ระยะเวลา, งบประมาณ (คา่ ตอบแทน - คา่ จา้ ง / คา่ ใชส้ อยวสั ดุ / คา่ สาธารณปู โภค / คา่ ครภุ ณั ฑเ์ ทา่ ทจ่ี ำเปน็ และคา่ ใชจ้ า่ ยอนื่ ๆ ) องค์กรภาคี (ถ้าม)ี , ผลทีค่ าดว่าจะได้รบั , การขยายผล 2. ประเภทแผนงานหรือโครงการวิจัย ประกอบด้วย ความเป็นมาและความสำคัญ, การทบทวนเอกสาร วรรณกรรมทางวิชาการทเ่ี กยี่ วข้อง, กรอบแนวคดิ ของการวจิ ัย, วตั ถปุ ระสงค์ ทวั่ ไป, วตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ ระเบยี บวธิ วี จิ ยั หรอื แผนการวจิ ยั (วธิ กี าร ตวั แปร การวเิ คราะหผ์ ล), ผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั , กลไกหรอื วธิ ใี ชผ้ ลงาน (ระบกุ ระบวนการ และบคุ คลท่เี ก่ยี วข้อง), แผนกจิ กรรมและระยะเวลาการศึกษา, ผู้รบั ผดิ ชอบ โครงการ (ประวัติผลงาน), งบประมาณ (ค่าตอบแทน - ค่าจ้าง / คา่ ใชส้ อย วัสดุ / คา่ สาธารณปู โภค / ค่าครุภณั ฑเ์ ทา่ ทีจ่ ำเป็นและค่าใช้จ่ายอืน่ ๆ) และ คำรบั รองของผูเ้ สนอโครงการวจิ ัย การขอรับทุนจากสำนกั งานบรหิ ารกองทุนภมู ิปัญญาการแพทย์แผนไทย สามารถติดตอ่ สอบถามได้ท่ีหมายเลขโทรศพั ท์ / โทรสาร 0-2588-5743 ใน วันและเวลาราชการ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก สาระน่ารเู้ กย่ี วกบั การแพทยแ์ ผนไทย และ การแพทย์ทางเลือก กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กฎหมายน่าร ู้ ดา้ นการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก 1. พระราชบญั ญตั ิการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 2. พระราชบัญญตั ิสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 3. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดสถานท่ีเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมสวย มาตรฐานของ สถานทกี่ ารบรกิ ารผใู้ ห้บรกิ ารหลักเกณฑ์ และวธิ กี ารตรวจสอบเพือ่ การรบั รอง ใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรฐานสำหรบั สถานทเี่ พอ่ื สขุ ภาพ หรอื เพอ่ื เสรมิ สวยตามพระราช บญั ญตั สิ ถานบรกิ าร พ.ศ. 2509 และประกาศ กระทรวงสาธารณสขุ (ฉบบั ท่ี 2) 1. พระราชบญั ญัติการประกอบโรคศลิ ปะ พ.ศ. 2542 1.1 บทนยิ าม มาตรา 4 การประกอบโรคศิลปะ หมายความว่า การประกอบวิชาชีพท่ีกระทำ หรือมุ่งหมายจะกระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจโรค การวินิจฉัยโรค การบำบดั โรค การปอ้ งกนั โรค การสง่ เสรมิ และการฟนื้ ฟสู ขุ ภาพ การผดงุ ครรภ ์ แตไ่ มร่ วมถงึ การประกอบวชิ าชพี ทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ อนื่ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการนั้นๆ การแพทย์แผนไทย หมายความว่า การประกอบโรคศิลปะตาม ความรู้สึกหรือตำราแบบไทย ท่ีถ่ายทอดและพัฒนาสืบต่อกันมา หรือตาม การศกึ ษาจากสถานศึกษาทีค่ ณะกรรมการรบั รอง เวชกรรมไทย หมายความวา่ การตรวจ การวนิ ิจฉัย การบำบัด หรือ การปอ้ งกนั โรคด้วยกรรมวธิ กี ารแพทย์แผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก เภสชั กรรมไทย หมายความวา่ การกระทำในการเตรยี มยา การผลติ ยา การประดษิ ฐย์ า การเลอื กสรรยา การควบคมุ และการประกนั คณุ ภาพยา การปรงุ ยา และการจ่ายยาตามใบส่ังยาของผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทย และการจดั จำหนา่ ยยาตามกฎหมายวา่ ดว้ ยยา ทงั้ นด้ี ว้ ยกรรมวธิ กี ารแพทยแ์ ผนไทย การผดงุ ครรภไ์ ทย หมายความวา่ การตรวจ การบำบดั การแนะนำและ การส่งเสริมสุขภาพ หญิงมีครรภ์ การป้องกันความผิดปกติในระยะตั้งครรภ์ และระยะคลอด การทำคลอด การดูแลและสง่ เสรมิ สขุ ภาพมารดาและทารก ในระยะหลงั คลอด ทง้ั น้ีดว้ ยกรรมวิธกี ารแพทย์แผนไทย การนวดไทย หมายความวา่ การตรวจประเมนิ การวนิ จิ ฉยั การบำบดั การปอ้ งกนั โรค การสง่ เสรมิ สขุ ภาพและการฟน้ื ฟสู ขุ ภาพ ดว้ ยวธิ กี ารกด การคลงึ การบบี การจบั การดดั การดงึ การประคบ การอบ หรอื วธิ กี ารอน่ื ตามศลิ ปะ การนวดไทย หรือการใช้ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา ทั้งนี้ด้วยกรรมวิธี การแพทยแ์ ผนไทย 1.2 สาขาของการประกอบโรคศลิ ปะ มาตรา 5 (1) การแพทย์แผนไทย และการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เป็นสาขาการประกอบโรคศลิ ปะและมีอีกหลายสาขาตามมาตรา 5 (5) 1.3 องคก์ รบรหิ ารตามพระราชบญั ญตั กิ ารประกอบโรคศลิ ปะ พ.ศ. 2542 (1) คณะกรรมการประกอบโรคศิลปะ ตามมาตรา 8 (2) คณะกรรมการวิชาชพี สาขาตา่ งๆ ตามมาตรา 14 1.4 คณะกรรมการวชิ าชีพสาขาการแพทยแ์ ผนไทย องคป์ ระกอบ มาตรา 15 ประกอบดว้ ย (1) กรรมการวิชาชีพซึ่งเป็นผู้แทนจากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และการแพทยท์ างเลอื ก กรมการแพทย์ กรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ สำนกั งาน คณะกรรมการอาหารและยา และกระทรวงศกึ ษาธิการ แหง่ ละหน่งึ คน กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก (2) กรรมการวชิ าชพี ซงึ่ รฐั มนตรแี ตง่ ตง้ั จากผทู้ รงคณุ วฒุ จิ ำนวนไมเ่ กนิ สามคน (3) กรรมการวิชาชีพซ่ึงได้รับเลือกตั้งโดยผู้ประกอบโรคศิลปะสาขา การแพทยแ์ ผนไทย มีจำนวนเทา่ กับจำนวนกรรมการวิชาชีพใน (1) และ (2) รวมกนั ในขณะเลอื กตงั้ แตล่ ะคราว ให้ผู้อำนวยการกองการประกอบโรคศลิ ปะเปน็ กรรมการเลขานกุ าร อำนาจหนา้ ท่ี มาตรา 23 คณะกรรมการวชิ าชพี แตล่ ะสาขามอี ำนาจหนา้ ท ่ี ดังต่อไปน้ี (1) รบั ขนึ้ ทะเบยี นและออกใบอนญุ าตใหแ้ กผ่ ขู้ อเปน็ ผปู้ ระกอบโรคศลิ ปะ ในสาขาน้นั ๆ (2) เพกิ ถอนในอนญุ าตกรณผี ปู้ ระกอบโรคศลิ ปะในสาขานนั้ ขาดคณุ สมบตั ิ (3) เสนอความเหน็ ต่อคณะกรรมการเพอ่ื ใชอ้ ำนาจตามมาตรา 13 (2) (4) ใชอ้ ำนาจตามมาตรา 44 ในกรณที ผ่ี ปู้ ระกอบโรคศลิ ปะในสาขานั้น ประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ (5) ใหค้ ำปรกึ ษาและใหค้ ำแนะนำแกส่ ถานศกึ ษาเกย่ี วกบั หลกั สตู รการศกึ ษา การประกอบโรคศิลปะสาขานัน้ (6) แจ้งหรือโฆษณาข่าวสารด้วยวิธีใดๆ ตามท่ีเห็นสมควร เพ่ือมิให้ ประชาชนหลงเข้าใจผิด ซึ่งอาจเป็นอันตรายเนื่องจากการประกอบโรคศิลปะ ในสาขานนั้ (7) ส่งเสริม พัฒนา และกำหนดมาตรฐานการประกอบโรคศิลปะใน สาขานัน้ (8) ออกหนงั สอื รบั รองความรคู้ วามชำนาญเฉพาะทาง ในการประกอบโรค ศิลปะในสาขานัน้ (9) พิจารณาและเสนอชื่อผู้แทนคณะกรรมการวิชาชีพในสาขาน้ันเป็น กรรมการการประกอบโรคศิลปะ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก (10) แต่งต้ังคณะอนุกรรมการวิชาชีพเพ่ือกระทำการใดๆ อันอยู่ใน อำนาจและหนา้ ท่ีของคณะกรรมการวิชาชีพในสาขานน้ั (11) ปฏิบัติการอ่ืนใดตามท่ีกฎหมายกำหนดไว้ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ ของคณะกรรมการวชิ าชีพในสาขานนั้ (12) พิจารณาหรือดำเนินการในเร่ืองอื่น ตามที่รัฐมนตรีหรือ คณะกรรมการมอบหมาย Regulation : ของการแพทยท์ างเลอื ก 1. พระราชบญั ญตั กิ ารประกอบโรคศลิ ปะ พ.ศ. 2542 มาตรา 31 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจ อนุญาตให้บุคคลใดทำการประกอบวิชาชีพท่ีกระทำต่อมนุษย์ หรือมุ่งหมายจะ กระทำต่อมนุษย์เก่ียวกับการตรวจโรค การวินิจฉัยโรค การบำบัดโรค การปอ้ งกนั โรค การสง่ เสรมิ และการฟน้ื ฟสู ขุ ภาพ และการผดงุ ครรภ์ โดยอาศยั ศาสตร์ หรือความรู้จากต่างประเทศซ่ึงวิชาชีพดังกล่าวยังมิได้มีกฎหมาย รับรองในประเทศไทย ทั้งนี้ ตามเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศ กำหนด 2. ศาสตรท์ ่ไี ด้รบั การรบั รองจากรัฐมนตรี 2.1 ศาสตร์การแพทย์แผนจนี 2.2 ทัศนมาตรศาสตร ์ 2.3 ศาสตรไ์ คโรแพรกติก แหลง่ ทีม่ าขอ้ มูล : กองประกอบโรคศิลปะ กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

คมู่ อื การดแู ลสขุ ภาพดว้ ย การแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก พระราชกฤษฎีกา กำหนดใหส้ าขาการแพทยแ์ ผนจีน เปน็ สาขาการประกอบโรคศลิ ปะตามพระราชบัญญตั ิ การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2552 ภูมิพลอดลุ ยเดช ป.ร. ใหไ้ ว้ ณ วันท่ี 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เป็นปีท่ี 64 ในรชั กาลปัจจบุ นั พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ใหป้ ระกาศว่า โดยท่ีเป็นการสมควรกำหนดให้สาขาการแพทย์แผนจีนเป็นสาขาการ ประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการประกอบโรคศิลปะ อาศยั อำนาจตามความในมาตรา 187 ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย และมาตรา 5 (5) มาตรา 14 (5) มาตรา 19 และมาตรา 33 (5) แหง่ พระราช บญั ญตั กิ ารประกอบโรคศลิ ปะ พ.ศ. 2542 อนั เปน็ กฎหมายทมี่ บี ทบญั ญตั บิ างประการ เกยี่ วกบั การจำกดั สทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คล ซงึ่ มาตรา 29 ประกอบกบั มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 41 มาตรา 43 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนญู แหง่ ราช อาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาข้ึนไว้ ดังต่อไปน้ ี กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ