ความลบั พระพทุ ธเจา โดย เอกอสิ โร วรณุ ศรี ชมุ นมุ ฟน ธรรมฟน ไทยแหงยุคหลังกงึ่ พทุ ธกาล
สารบญั หนา บทนาํ ๓ บทท่ี ๑ ชมพูทวปี อยทู ไี่ หนกนั แน? ๔ บทท่ี ๒ พระพุทธศาสนาเกดิ ข้นึ ทไี่ หนกันแน? ๑๔ บทท่ี ๓ อนิ เดยี ในโลกน้มี ีอยู ๒ ท่ี มใี ครรูไหม? ๑๘ บทท่ี ๔ ทําไมหมอชวี กโกมารภจั จจ ึงไดชื่อวาบรมครแู หง แพทยแ ผนไทย? ๓๘ บทท่ี ๕ ตกลงพระเจา อโศกมหาราชเปน แขกหรอื เปน มอญกนั แน? ๔๔ บทท่ี ๖ ตกลงพระเจา มลิ นิ ทเ ปน ชาวกรกี หรอื เปน คนลาํ ปางกนั แน? ๕๔ บทท่ี ๗ ตกลงพระพทุ ธโฆษาจารยเ ปน แขกหรอื เปน มอญกนั แน? ๖๔ ๖๙ บทท่ี ๘ ลงั กาทวปี อยทู ี่ไหนกนั แน? บทท่ี ๙ แลว เราจะทาํ อยา งไรจงึ จะคนื ความจรงิ ใหแ ผน ดนิ ได? ๑๐๐ ๒
บทนาํ เคยมีผูกลาววา ชนชาติใดเปนผูเขียนประวตั ศิ าสตรกม็ กั จะเขยี นเขา ขางตวั เอง แตความเขาใจ เชนนไี้ มนา จะถูกตองนัก สําหรับประวตั ศิ าสตรพระพุทธศาสนา หรอื ประวตั ขิ ององคส มเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา ซง่ึ เปน พระบรมศาสดาเอกของโลก เมื่อครัง้ ท่ี ทาน ลาลแู บลรร าชทูตฝร่งั เศส ไดเ ขามาเจริญสัมพันธไมตรกี ับกรงุ ศรีอยุธยา ในรัชสมยั ของสมเด็จพระนารายณมหาราช นั้น ทานไดร ายงานกลบั ไปยังพระเจา กรุงฝร่งั เศส ปรากฏอยใู นจดหมาย เหตลุ าลแู บลร วา “พระพทุ ธเจา โคตมะเปนบรรพบุรุษของชาวสยาม” ซึง่ คงจะไมมีใครเช่อื อยางนน้ั และคงจะคดิ วา คนสยามในสมยั นน้ั คิดเขาขางตัวเอง และเลา ความ เท็จใหราชทูตฟง ดงั ทมี่ ีลกู หลานคนไทยเองไดแ สดงความคดิ เหน็ ตอบรรพบุรษุ ของตวั เอง วา เอกสาร โบราณของไทยทีก่ ลาวถงึ ประวตั พิ ระพุทธเจา สวนมากเปนตาํ นานพืน้ บา น โดยอางวาพระพุทธเจาเสดจ็ มา โปรดรบั ส่งั กบั ประชาชนวาพระบรมสารรี กิ ธาตุของพระองคจ ะมาประดิษฐานในทีน่ ัน้ ๆ หลังจากพระองค เสด็จดบั ขนั ธปรินพิ พาน ซึง่ เอกสารเหลานเ้ี กดิ จากความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเปน ทตี่ ง้ั มิไดเ ขียน ขนึ้ บนพืน้ ฐานทางประวตั ศิ าสตรแ ตเ ขยี นตามจนิ ตนาการท่ไี ดร บั อิทธพิ ลมาจากพระพทุ ธศาสนา โดยเปล่ยี นชมพูทวปี เปน ประเทศสยาม แตว นั น้ี ผมอยากจะเชิญชวนทานท้ังหลาย เปดใจใหก วา ง ลืมสงิ่ ที่เราเคยรับรูมากอ นหนา นี้ ทาํ ใจ ใหเ ปน กลางๆ แลว คอ ยๆ อา น เร่ืองราวท้ังหลาย ท่ผี มพยายามประมวลเรยี บเรียงมาทั้งหมด เพราะผมเหน็ วา ถงึ เวลาแลว ที่เราจะตอ ง ศึกษาประวตั ศิ าสตรอ ยา งมีสติ เพอ่ื คลค่ี ลายความจริงใหแผนดิน คน หา ความลับพระพุทธเจา เอกอิสโร วรณุ ศรี ชุมนมุ ฟน ธรรมฟน ไทยแหงยคุ หลงั ก่ึงพทุ ธกาล ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ๓
บทท่ี ๑ ชมพูทวีปอยทู ไ่ี หนกันแน? ในคมั ภรี อ รรถกถา พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย เอก-ทกุ -เอกนบิ าต ตอนหน่งึ พระอรรถกถา จารย รจนาไวว า ชมฺพูทเี ป ความวา ช่ือวา ชมพูทวีป เพราะเปนทวีปทรี่ ู กนั ทวั่ ไป คอื ปรากฏดวยตน หวาเปนสาํ คญั . เขาวาทวีปนม้ี ตี น หวา ใหญ ตระหงา นสงู ๑๐๐ โยชน กงิ่ ยาว ๕๐ โยชน ลาํ ตนกลม ๑๕ โยชน เกดิ อยทู ่ีเขาหมิ พานตต ั้งอยูช วั่ กัป. ทวีปน้เี รียกวา ชมพทู วีป เพราะมีตน หวา ใหญน น้ั . อน่งึ ในทวีปน้ี ตนหวา ตั้งอยูชั่วกัป ฉันใด แมตนไม เหลา น้ี คอื ตน กระทมุ ในอมรโคยานทวปี ตน กลั ปพฤกษ ในอตุ ตรกรุ -ุ ทวีป ตน ซีก ในบุพพวิเทหทวีป ตน แคฝอยของพวกอสรู ตน ง้ิวของ พวกครฑุ ตน ปารชิ าตของพวกเทวดา กต็ ง้ั อยูช่วั กปั เหมอื นกัน ฉนั น้ัน. “ชมพทู วีป” นม้ี คี วามสําคัญอยางไร ทาํ ไมจะตอ งคน หานั้น กเ็ ปนเพราะวา ชมพูทวีปนี้ เปน ทวปี ทต่ี ้งั ของมชั ฌมิ ประเทศ อนั เปนทท่ี ่ี สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา ท้ังหลาย ทรงบาํ เพญ็ แลวเสด็จ อุบัติในประเทศนี้ พระปจเจกพุทธเจา ท้งั หลาย ทรงบําเพญ็ บารมี แลวมาเกดิ พระมหาสาวก ทง้ั หลาย บาํ เพ็ญบารมี แลวมาเกิด พระเจา จกั รพรรดิ ยอ มเสดจ็ มาเกิด อกี ท้ังกษตั รยิ พราหมณ และคฤหบดผี มู หาศาล ผมู ศี กั ดิ์ใหญเหลาอืน่ กม็ าเกดิ ในประเทศนี้ ดงั ในคมั ภรี พ ระ อรรถกถา พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก ตอนหนึ่ง พระอรรถกถาจารย รจนาไววา แตน ั้นเมอ่ื จะทรงตรวจดูทวปี ไดทรงพิจารณาดทู วีปทงั้ ๔ พรอ มทง้ั ทวปี ท่เี ปน บริวาร ทรงเห็นวา พระพทุ ธเจา ทั้งหลายยอ มไมม าเกิดในทวปี ทั้ง ๓ จะเกดิ เฉพาะในชมพทู วีปเทานน้ั . แตน นั้ ทรงตรวจดปู ระเทศวา ขึน้ ชือ่ วา ชมพทู วีป จัดเปน ทวปี ใหญ มปี ระมาณถงึ หมืน่ โยชน พระพุทธเจาทั้งหลาย ยอ มมาเกดิ ในประเทศไหนหนอแล ทรงพจิ ารณาเหน็ มชั ฌมิ ประเทศแลว . ที่ชอื่ วา มัชฌิมประเทศ ไดแกประเทศทท่ี านกลาวไวแ ลว ในพระวนิ ยั โดยนยั เปน ตนวา มีนิคมชอื่ กชังคละอยใู นทศิ บรู พา ดงั น.้ี ก็มัชฌิมประเทศนน้ั มกี ําหนดวา ยาว ๓๐๐ โยชน กวา ง ๒๕๐ โยชน วดั โดยรอบได ๙๐๐ โยชน. ก็สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจาทัง้ หลาย ทรงบาํ เพญ็ บารมี ๔ อสงไขยแสนกปั บา ง ๘ อสงไขยแสนกปั บา ง ๑๖ อสงไขยแสนกปั บาง แลว เสดจ็ อบุ ตั ิใน ประเทศน้ี. พระปจ เจกพทุ ธเจา ทง้ั หลาย ทรงบาํ เพญ็ บารมี ๒ อสงไขยแสนกปั แลวมาเกิด. พระมหาสาวกทง้ั หลาย มพี ระสารบี ตุ รและพระมหาโมคคลั ลานะ เปนตน บาํ เพญ็ บารมี ๑ อสงไขยแสนกปั แลวมาเกิด. พระเจา จกั รพรรดิ ผูป ราบดาภเิ ษกเหนือทวีปใหญท ัง้ สี่ มีทวปี นอยสองพันเปน บรวิ ารยอ มเสด็จ มาเกิด. อกี ท้ังกษัตริย พราหมณ และคฤหบดผี ูมหาศาล ผูมศี กั ด์ใิ หญ ๔
เหลา อน่ื กม็ าเกดิ ในประเทศน้.ี ก็และในประเทศน้ี มพี ระนครชือ่ วา กบิลพัสดุ เปน ราชธานี พระองคจ งึ ตกลงพระทยั วา เราควรเกดิ ในนครกบลิ พสั ดนุ น้ั . แตในความเขาใจปจจุบัน ใน แบบเรียน หรอื หนงั สือประวตั ิศาสตรส มยั ใหม เมอื่ กลาวถงึ “ชมพู ทวีป” อนั เปน แดนเกิดของพระพทุ ธเจา ก็มักจะอธบิ าย วา ดินแดน ชมพูทวปี คือ แผน ดนิ ท่ีปจ จุบัน เปนทต่ี งั้ ของ ๔ ประเทศ คอื อนิ เดยี เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ทงั้ ท่ี บรรพชนคนในแถบ สวุ รรณภมู ิ ทงั้ คนไทย ลาว พมา มอญ สมัยโบราณ ตางก็รูว า ชมพทู วีป คอื ที่นี่ ซงึ่ เปน แผนดิน ที่ตง้ั ของ ประเทศ พมา มอญ ไทย และลาว แลวไมม ีใครสงสัยเลยหรือวาความเปน จรงิ แลว ชมพูทวปี อยูท ไ่ี หนกันแน? ความเขาใจ หรือการรบั รู เรื่อง ชมพทู วีป ของบรรพชนแตโบราณ ทปี่ รากฏอยูใน นทิ านพระพทุ ธ สหิ งิ ค วา ดว ยตาํ นานพระพุทธสิหงิ ค ซงึ่ พระโพธิรงั สี แตงไวเปน ภาษาบาลี เมือ่ กอ น พ.ศ. ๑๙๘๕ ในสมยั พระเจา สามฝง แกน ครองเมอื งเชียงใหม นน้ั อยูท่ีไหน? ผมจะขอคดั ลอก ความสาํ คัญแตพอสงั เขป ใน เหตกุ ารณทีพ่ ระรวงเจา หรือ พอ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช เมืองสโุ ขทยั ไปอัญเชิญพระพุทธสหิ ิงค จากเมอื ง นครศรีธรรมราช และไดทราบคําของพระเจา ศรธี รรมราช วา พระพุทธสหิ ิงค ไดแสดงปาฏิหาริย ลอยจาก บลั ลังกท ป่ี ระดิษฐานอยู ขน้ึ สอู ากาศ ประดษิ ฐานอยใู นทองฟา เปลง รศั มี ๖ ประการไปทัว่ ทุกทศิ ดังนี้ พระรว งไดทรงฟง แลวมีพระทยั เปยมไปดวยปติ ทรงยกอัญชลีขน้ึ เหนอื พระเศยี ร สรรเสรญิ พระ พทุ ธคณุ ทรงปา วประกาศพลนกิ ายท้งั หมดใหถอื เครอื่ งบชู า พระองคแ วดลอ มไปดวยอุปราช ยพุ ราช และ หมูอํามาตยมนี ายทหารผกู ลา หาญเปน หัวหนา เสด็จเขาไปในเมืองศรีธรรมราช ทรงดาํ เนนิ ดว ยพระบาท แหงนพระพกั ตรทอดพระเนตรดูเบ้อื งบน ทรงทําอญั ชลีเหนือพระเศียร ถวายนมัสการพระพุทธสิหงิ คอ งค ประเสริฐ เมอ่ื อาราธนาใหเ สดจ็ ลงมาไดตรสั เปนคาถาวา ภนฺเต ภนฺเต โลกนาถ ภนเฺ ต โลกมหิทฺธกิ ํ อหนตฺ ํ ติภวเสฏฐํ ปณมามิ อิโต ปุเรฯ อหนฺ กตฺตกุ าโมมฺหิ อาราเธตวฺ า ภวาลเย ชมฺพทู ีปมนสุ ฺสานํ เทวานจฺ านกุ มฺปตงุ ฯ ยาวตา สาสนา ตยุ หฺ ํ ติฏฐนฺติ อภวิ ฑฺฒิตุง มม วาเส สุโขเทยฺยํ อภริ มฺมตรํ อิโตฯ อมหฺ ากํ อนุกมฺปาย คฉฉฺ ตํ สริ ิยา ชลํ ชิโน โอรุยหฺ เม สเี ส นสิ ิทิ ชนสมมฺ เุ ขติฯ ขาแตพ ระผเู ปน ท่พี งึ่ ของโลก ขา แตพ ระผูทรงมหทิ ธิฤทธ์ใิ นโลก ขาแตพระองคผูเจรญิ ขา พระพุทธเจาขอนมสั การพระองคผ ูประเสริฐในสามภพ ขาพระพุทธเจา ใครจ ะอาราธนาอัญเชญิ พระองคจากทนี่ ีไ้ ปประดิษฐานอยูใ นเมืองโนน เพ่อื ทรงอนุเคราะหม นุษยชาวชมพทู วปี และเทวดา ทัง้ หลาย ตราบเทา ท่ีศาสนาของพระองคด าํ รงอยเู พอ่ื ความเจริญ เมอื งสโุ ขทยั เปนทอี่ ยูของขาพระพุทธเจา ๕
นา รน่ื รมยย ง่ิ กวา เมืองน้ี ขอพระองคไ ดโปรดเสดจ็ ไปเพอ่ื ทรงอนเุ คราะห ขาพระพทุ ธเจาขอพระพทุ ธผู รุงเรอื งดวยพระสริ ิวิลาส จงโปรดลงมาประทับบนศรีษะขา พระพุทธเจา ตอ หนา มหาชนเถดิ ฯ ขณะเมือ่ พระรว งเจาอาราธนาอยางนี้ พระพทุ ธรูปองคป ระเสรฐิ เสด็จลงมาจากอากาศประดิษฐาน บนพระเศยี รของพระองค” นอกจากน้ี ความเขา ใจ หรอื การรบั รู เรอื่ ง ชมพูทวีปอยทู ่ีไหน? ของบรรพชนคนไทยแตโบราณ ที่ ปรากฏอยใู น ตาํ นานมูลศาสนา ฉบับวัดปาแดง ซึง่ เปน บนั ทกึ เหตกุ ารณท ีพ่ ระมหาญาณคมั ภีร พระสงฆ จากเชียงใหมเ ดนิ ทางไปลังกา เมือ่ พ.ศ. ๑๙๖๖ ดังจะขอคัดลอกมาแสดงใหเ ปน ทป่ี ระจกั ษ ดงั นี้ พระมหาญาณคมั ภรี ะไปลงั กา เม่ือนั้น ญาณคมั ภรี ะจงิ่ เมอื เมตตาพระยาบรมราชาธริ าชบอกกจิ ทงั มวลด่งั อนั้ พระยาจงิ่ ไหวญาณ คมั ภรี ะเถรเจาวา ดนี กั เจา กูบอกแกข า นด้ี จี ิงนกั แล ขอเจากูอสหะไปเถงิ ทีเ่ คลา หือ้ ไดอ ันชอบธัมมวินยั มาไว เทอะ ขา จกั ห้อื อามาจผูช ่อื สุภรตไิ ปกบั ตามเจากชู ะแล พระยาแตง อามาจบา ว ๒ คน ไปกับญาณคัมภีรเถร เจา วา ดีนกั เจา กู เถรเจา ก็ลงไปไหวธ ัมคัมภรี ะสมเดจ็ ราชคุรุ ทา นยนิ ดีจง่ิ แตง ชาวเจา อนั เปน สกิ ไป ๕ ตน มธี ัมมานนั ทะเปนเคลาแกช าวเจาทงั หลาย ๑๒ ตน อุบาสก ๔ คนไปสูมะริดตะนาวสี ขึ้นเมตตาพระยา เมอื งทน่ี ั้น ยนิ ดกี ับดว ยญาณคัมภรี เถรเจาอันจักไปเอาสาสนานั้น พระยากร็ าธนาเถรเจาขอปฏิญญาณวา คันไดสาสนาและพอกมาขอเมตตาขา ทังหลายพายหนา แท อยา ลว งพน ทางอนื่ แดว าสนั น้ี ก็ห้อื ลงเรือไป ดว ยพอคาสําเภา ปก าเหมาสกั กราชได ๗๘๕ ตวั (พ.ศ. ๑๙๖๖) ไปนาน ๔ เดอื น กไ็ ปรอดเถิงลังกาทวปี ทา นก็เขา ไปไหวมหาสุรนิ ทเถรในเมืองอนรุ าธปรุ นคร วดั ถปู าราม ดวยกิจทงั มวล ๑๐ ประการ สรุ นิ ทเถร เจา กลา ววา ดง่ั สาสนาในลงั กา ๓๐ เมืองน้ี หากดูดัง่ กันเส้ียงแล เหตุวาทา นเจา มาน ทา นเจา เม็ง ทา นเจา กลุ าผาสี เจือจานกัน ไผใครวา อนั ใดกห็ ากวา ไผใครเยยี ะอันใดกห็ าเยยี ะตามใจอนั มกั บตามพระธัมมวินัย พระเจา สกั อันแล เปน ด่ังพระเชียงใหมสู ตนชอื่ สิทธนั ตะมาสตู แตกอนน้ันหากบแมนแทแล อันปฏบิ ัติ ตามธมั มวนิ ยั แท ตามอตั ถะแท เทามีในโรหณชนบท มหารัฐฐะส่งิ เดียว ดว ยสาสนาพระเจา ตั้งอยทู นี่ นั้ ยัง เปนถริ ทฬั หภาวะตอเทา ๕,๐๐๐ วสั สา บเ ปน ภนิ นาเภทกัมมเย่ืองใด เหตุพระพทุ ธเจา สง่ั พระยาอนิ ทไ วหอ้ื เทวดาอยูรกั สาดผู รู าย ผูด ีแทแล ทา วพระยาเสนาอามาจประชาพรอมกันรกั สาดว ยชอบธมั มแทแล อาวุโส ทานฉลาดดวยอตั ถะจุงอสหะเขา ไปเถงิ โรหณชนบทมหารฏั ฐะเทอะ เมตตาฉันนแ้ี ล ญาณคัมภีระก็เอา ปริวารแหง ตนไปเถงิ โรหณชนบท รอดประตูเวยี งชน้ั นอกเพ่ินก็แสงถามดว ยกจิ อันรายอันดีชอุ ันแลว จ่ิงมี เขา ตอกดอกไมเ ทยี น ๘ คู ปชู าเทวดา สจั จอธษิ ฐานวา ขา ทงั หลายจกั มาเอาสาสนาพระไตรรตั นะ มหาโพธิเมือถปน นาไวใ นชุมพทู วปี ดวยสวัสดีแท บมาเพือ่ กระทํารา ยสักอัน ผิวาขาทงั หลายมา กระทาํ รายแกบ า นเมอื งและสาสนา จุงหอื้ เปนอันตรายแกผ ขู าทงั หลายเทอะอยทู น่ี น้ั เดอื น ๑ บม อี ันตราย จิง่ ใชหนงั สือเขา เถงิ ช้ันถว น ๒ ก็แสง ถามฉนั เดียว กก็ ลาวฉันเดยี ว เถงิ ชนั้ ถวน ๓ ถว น ๔ ถว น ๕ ถว น ๖ ถว น ๗ ฉนั เดียว กถาคําจาบพัดบต าง ก็จงิ่ ใชเ ถงิ เสนาอามาจเจาปถวีสราชจิ่งมีอาชญารองเรยี กแลว เขา เถงิ เมตตาเสนาอามาจ เจา ปถวสี ราชวา สาธุ สาสนทายาท ดงั น้ี ๖
นอกจากนี้ ความเขา ใจ หรือการรบั รู เร่อื ง ชมพูทวปี อยูท ี่ไหน? ของบรรพชนมอญแตโ บราณ ท่ี ปรากฏอยใู น จารึกกัลยาณี ทีพ่ ระเจา ปฎกธร กษตั รยิ รามญั ไดใหจารึกไว หลังจากไดชําระ พระพทุ ธศาสนา เมือ่ ๕๐๐ กวา ปก อ น ดงั จะไดคัดลอกมา แตพ อสงั เขป มดี ังนว้ี า ภาพวาดการสรา งหออุปสมบทกลั ยาณสี มี า เมอื งพะโค ประเทศมอญในอดีต รามญั สมณวงศ …………………… พระโมคคลีบุตรดิสสเถระก็เลอื กคัดภิกขขุ ณี าสพ ผูทรงซ่งึ คณุ วิเศษ คอื ฉฬาภญิ ญาและจตุ ปฏสิ มั ภิทาญาณ ไดภ ิกษุประมาณ ๑๐๐๐ รปู แลว จึงกระทาํ ตติยสังคีติกรรม สิ้นกาล ๙ เดือนจึงเสรจ็ สงั คายนกิจ ก็ฉันนนั้ สังคตี กิ รณาวสาเน ปน ก็ในกาลเม่อื กระทําสงั คายนกิจเสร็จแลว พระผูเ ปนเจา พิจารณารูชดั วา ใน อนาคตกาลภายหนา พระพุทธสาสนาจกั ประดิษฐานอยูในปจจันตะประเทศดงั นแ้ี ลว จงึ สง ไปซง่ึ พระเถระ ท้ังหลายนัน้ ๆ บรรดาพระเถระทงั้ หลายทพี่ ระผเู ปนเจา สงไปเหลา น้ัน …สว นวาพระโสณเถระกับพระอตุ ร เถระไปอยรู ามญั ประเทศ ทเี่ รยี กวาแวนแควนสุวรรณภูมิ เพอ่ื จะประดษิ ฐานพระพุทธสาสนาไว ในรามญั ประเทศ ตทา สวุ ณฺณภมู ริ ฏเฐ ในกาลครั้งนั้น บรมกษัตราธิราชทรงพระนามวาพระเจาสิรมิ าโศก ไดเ สวย ราชสมบัติเปนใหญในแวน แควน สุวรรณภมู ิ ก็พระนครซึ่งเปนพระราชฐานท่อี ยูของพระเจา สริ ิมาโศกนัน้ มี อยูใ นทศิ นอ ยขา งปจฉิมทิศแหงเกลาสภะบรรพตเจดีย. .. เอวํ สมมฺ าสมพฺ ทุ ธสฺส ปรินิพพฺ านโต อนึ่งบณั ฑติ ชาติผมู ีปรีชาพงึ เห็นพึงรูเถดิ วา นับจําเดิมแตก าล ที่สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจาปรินิพพานแลว มา เมื่อพระพุทธสาสนาลว งแลวได ๒๓๖ พระวสั สา พระ เถระท้ังสองไดป ระดิษฐานพระพทุ ธสาสนาไว ในรามญั ประเทศน้ี ดว ยประการฉะน้ี .... ๗
เอวํ รามฺญเทเส สาสนปติฏฐานโต ปฏฐาย จาํ เดิมแตพ ระพุทธสาสนาประดิษฐานอยูในรามัญ ประเทศอยา งนี้ กร็ งุ เรืองดาํ เนริ ไปส้ินกาลนาน คร้นั เมอ่ื กาลลวงไปลว งไป รามญั สถานกท็ พุ พลภาพมกี ําลัง ลดนอ ยถอยลง ดวยเหตอุ นั ตรายตา งๆ คอื เพราะพวกทามริกโจรเขาทําลายแยง ชงิ ซ่งึ รามัญประเทศมี มณฑลอันกวางใหญ ทําใหเ ปนสวนของตนตา งๆ ๑ เพราะอหวิ าตกะโรคเบยี ดเบยี น ๑ เพราะทพุ ภกิ ขะภัย เบยี ดเบยี น ๑ เพราะพวกพยหุ เสนาของพระราชาทัง้ ๗ พระนครยกมาย่ํายี ใหม อี าณาจกั รอันประเสริฐยน ยอ นอยเขา ๑ เหตดุ งั น้ัน พระพทุ ธสาสนาจึงทุพพลภาพเสือ่ มซดุ ลง เพราะภกิ ษุท้งั หลายท่ีอยูในรามญั ประเทศนนั้ ไมส ามารถจะเลา เรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมได โดยสะดวก และไมส ามารถจะบําเพญ็ สมั มาปฏิบตั ิ ใหเ ต็มที่ได .... เอกตุ ตฺ รฉสตาธกิ วสสฺ สหสเฺ ส ปน กาเล กใ็ นกาลเมือ่ พระพทุ ธศกั ราชลวงแลว ๑๖๐๑ พระวสั สา ลุ รุทธรปู เพทศกั ราช ๔๑๙ ป ในปุกามนคร พระเจาอนรุ ุทธเทพผูเปนอิศรภาพในอริมัทนะบรุ ี ไดใ หนํามาซง่ึ ภิกษสุ งฆก ับทัง้ พระไตรปฎ กแลว จงึ ยงั พระพทุ ธสาสนาใหด าํ รงอยู ในอริมัททนะบุรคี อื ปกุ ามนคร ตโต สตฺตุตรวสฺสกาเล เบื้องหนาแตน ้นั มากาลลว งไปได ๑๐๗ ป ลรุ สยมปาณศกั ราช ๕๒๖ ป ใน ลงั กาทวปี พระเจา สริ ิสงั ฆโพธปิ รักกรมพาหุ ไดท รงชําระพระพทุ ธสาสนาในลังกาทวีป ใหบ ริสทุ ธค์ิ รัง้ หนงึ่ ตโต ปน ฉฏเฐ วสเฺ ส ก็ครนั้ ลยุ มสขิ ปี าณศักราช ๕๓๒ เปนปท ่ี ๖ นบั แตปท่ีพระเจา สิริสงั ฆโพธิ ปรกั กรมพาหุ ไดทรงชําระพระพุทธสาสนาแลวนนั้ ยงั มพี ระมหาเถระองคหนง่ึ ชอื่ วา อุตตรชวี ะ เปน อาจารยของพระเจาปกุ าม จึงมีดําริวาเราจะข้นึ นาวาไปพรอ มดว ยภิกษุเปนอนั มาก เพ่อื จะไปนมัสการพระ เจดยี ใ นลังกาทวปี เยน กสุ ิมนครํ เมืองกสุ มิ นครมอี ยูใ นทศิ าภาคใด พระผเู ปนเจาก็ไปสทู ิศาภาคนัน้ ...... อุตฺตราชวี มหาเถโร กุสมิ นครํ ปตฺวา ครั้นพระอตุ ราชีวมหาเถระไปถงึ เมอื งกุสิมนครแลว จงึ ขน้ึ นาวาพรอมกนั กบั ภิกษเุ ปนอันมากและสามเณรองคห น่ึง มอี ายุครบ ๒๐ ปบ ริบรู ณ ..... อตุ ตฺ ราชวี มหาเถโรป นาวํ อภิรูหติ วฺ า แมเ ม่อื พระอตุ ตราชีวมหาเถระขน้ึ สนู าวาไปถงึ ลงั กาทวปี แลว ในกาลนัน้ พระมหาเถระชาวลังกาทวีปทั้งหลาย ก็ชกั ชวนกนั มาสนทนาซักถามในขอ ธรรมกิ ถา กับดวยพระ อตุ ตราชีวมหาเถระนั้น ..... เมื่อพระอุตราชีวมหาเถระไดก ระทํากจิ มนี มัสการพระเจดยี เ ปน ตน ในลังกาทวีปแลว กก็ ลับมายังปุ กามนคร สวนฉปฏสามเณรไดร ับการอุปสมบทเปนพระภกิ ษุและอยเู ลา เรยี นพระไตรปฎ กและอรรถกถาใน เกาะลังกาตอ จนได ๑๐ พรรษา ไดเปนพระเถระแลว จงึ เดินทางกลับปุกามนคร พรอ มทั้งชกั ชวนพระเถระ ทีท่ รงพระไตรปฎกอีก ๔ รปู รวมเปน คณะวรรค ๕ รปู เพือ่ เดินทางไปสปู ุกามนครดว ยกัน ..... ๘
ทิพพฺ ตุ ชนิ จกกฺ ํ ------------------------ สมฺมาสมฺพุทธฺ ปรนิ พิ ฺพานโต นบั จําเดิมแตพระสัมมาสมั พทุ ธเจา ปรินิพพานแลวมา พระพุทธ สาสนาลว งแลว มาได ๒๐๐๒ พระวสั สา ลนุ ภยมนาคศกั ราช ๘๒๐ ป พระเจารามาธบิ ดี ศรบี วรมหาธรรม ราชาธิราชเปนพหุสูตรดวยอํานาจสุตคุณ คอื รูพระไตรปฎ ก และรูตกั กศาสตร พยากรณศาสตร ฉนั ทศา สตร อลงั การศาสตร โชตศิ าสตร แพทยศาสตร คณกิ ศาสตร ท้งั เปนผมู ศี ลิ ปศาสตรมาก ดวยอํานาจศิลปะ คณุ มชี างอฐิ และชางไมเปนตน และพระองคเ ปนผชู าํ นาญในภาษาชาวตางประเทศ และเปนคณสมงั คมี ี ความพรอมเพรียงดวยหมอู เนกศรัทธาทคิ ณุ บรบิ ูรณด วยคชบดสี ขี าวเสมอดวยดอกกมุทและดอกคลา หรอื มีสขี าวดงั พระจนั ทร ในฤดสู รทกาล และพระองคใหก ระทําคา ยรักษาประชมุ ชน ในรามญั ประเทศทั้ง สามมณฑล คือกสุ ิมมณฑล ๑ หงสวดีมณฑล ๑ มตุ ตมิ มณฑล ๑ ครนั้ พระองคใ หก ระทาํ การรักษาเสร็จ แลว ก็ทรงครองราชยสมบัตโิ ดยชอบธรรมอยใู นเมืองหงสวดี .... ตโต ราชา ในกาลนน้ั พระเจารามาธิบดไี ดทรงสดบั เถรวาทดงั น้นั จงึ ทรงพระดาํ ริวา ดงั เราสังเวช หนอ คําที่พระอรรถกถาจารยเจาผปู ระเสริฐกลา วไววา พระพทุ ธสาสนาจกั ดํารงอยูไ ด จนตลอดกาล ประมาณ ๕๐๐๐ พระวสั สา ก็ในกาลบัดนีน้ ับจําเดมิ แตกาลทีพ่ ระพุทธเจา ไดตรสั แกพ ระปรมาภิเษก สมั โพธญิ าณมา กาลลว งไปไดป ระมาณ ๒๐๔๗ ป ในกาลเพยี งเทา น้ี พระพุทธสาสนาสยิ งั เกดิ มมี ลทิน เปนเสี้ยนหนามประกอบดวยอันตราย การอุปสมบทกป็ ระกอบดวยความรังเกียจบังเกิดข้ึนดงั นี้แลว จะทํา อยา งไรหนอ พระพทุ ธสาสนาจงึ จะสามารถเปนไปไดจ นตลอดกาลทส่ี ดุ ประมาณ ๕๐๐๐ พระวสั สา .... พระเจารามาธิบดี จึงไดม คี วามปรวิ ิตก ถึงเร่อื งราวท่ีไดสดับมาถึง การประดษิ ฐานพระพทุ ธ สาสนาในลังกาทวปี ต้ังแต เมอ่ื พระโมคคั ลลบี ตุ รดิสสมหาเถระสงพระมหามหินทเถระไปยังเกาะ ลงั กา จนถงึ สมยั พระเจา สริ สิ ังฆโพธปิ รักกมพาหุมหาราช และในรัชกาลภายหลงั ตอ ๆ มา คอื พระเจาวิชยั พาหุ ๑ พระเจา ปรักกมพาหุ ๑ จึงไดมีพระราชดํารทิ จ่ี ะไปอาราธนาพระภกิ ษสุ งฆใหไ ปนํามาซงึ่ อปุ สมบท อนั บรสิ ุทธ์ใิ นลงั กาทวีป ทเ่ี ปนมหาวหิ ารวาสนี ิกายซง่ึ เปนธรรมวาทีปฏิบตั ดิ บี ริสทุ ธโ์ิ ดยแท มาประดษิ ฐาน อยใู นรามัญประเทศนี้ และไดส งราชทูตไป ๒ นาย คอื จิตรทูต ๑ และ รามทตู ๑ กับทงั้ บรวิ ารคนใช ใหนํา พระเถระ ๒๒ รูปกับท้งั ศิษย เพอ่ื เดนิ ทางไปยังลงั กาทวีป ท้งั ไดจ ดั เครอ่ื งบูชาสกั การพระสิริทาฐธาตุ พระ เจดีย และบชู าพระพทุ ธบาทวลญั ชะเจดยี และบชู าพระศรมี หาโพธเ์ิ จดีย นอกจากนน้ั ยังไดทรงจัดเครอื่ ง พระราชบรรณาการ ทีจ่ ะสง ไปถวายพระเจาภวู เนกพาหุ ผูเ ปนใหญในสงิ หฬทวปี .... ตโต สสสิ เฺ ส ในลาํ ดบั นัน้ พระเจา รามาธบิ ดี จงึ เสด็จสง พระเถระ ๑๑ รปู มพี ระโมคลั ลานเถระเปน ประธานกับท้งั ศิษย ใหข ึน้ นาวาลําเดียวกันกับรามทตู และเสดจ็ สง พระเถระอกี ๑๑ รปู มพี ระมหาสวิ ลี เถระเปน ประธานใหขึ้นนาวาลําเดยี วกันกับจิตรทตู ๙
อถ รามทูตาภิรฬุ ฺหา นาวา ในกาลนน้ั นาวาทร่ี ามฑตู กาํ กบั ไปแลน ออกอกจากปากนาํ้ ชอ่ื วา โยคะ ในวนั อาทิตยเดอื นสามแรม ๑๑ คํ่า ลมุ นิ ิสิขนี าคศกั ราช ๘๓๗ แลว แลนออกทะเลไป ก็แตนาวาท่ีจิตรทูต กํากับไปนัน้ แลนออกจากปากน้ําโยคะ ในวันจันทรเดือนสามแรม ๑๒ คาํ่ แลวแลนออกทะเลไป ตน หนเปนผชู าํ นาญรทู างทะเลชัดเจน นาํ นาวาไปถึงทากลมั พไุ ดก อน ในเดอื นสแี่ รม ๘ คาํ่ ตโต ภูวเนกพาหุ สหี ฬราชา ในสมัยกาลคร้ังนั้น พระเจากรงุ สงิ หฬทรงพระนามวา ภูวเนกพาหุ ทรง ทราบขา วนัน้ แลว จึงมีรับสงั่ ใหเจาพนักงา นออกไปรบั นาํ พระเถระ ๑๑ รปู นั้นกบั จติ ร ทูตเขา มาในวนั อโุ บสถแรมเดอื นส่ี .... อถ รามทตู าภริ ฬุ หฺ า นาวา ฝา ยวา นาวารามทตู เมอ่ื เคลอ่ื นออกจากทา แลว กบ็ า ยหนา แลน มาโดย ทางทจ่ี ะไปเมืองอนรุ าธบรุ ี ในกาลเมอ่ื แลนไปนนั้ แสนยากแสนลาํ บากเพราะแลน ทวนลม จงึ ไดแ ลน เลยไป ยังบา นวัลลคิ าม ในวันอาทติ ยเดอื นหาข้ึน ๙ คํา่ .... ตสฺมึ ปน นาคสขิ ีนาคสกราชภเู ต กใ็ นปน้ันลุนาคสขิ ีนาคศักราช ๘๓๘ ณ วันแรม ๒ คาํ่ ปฐมาสาธ พระเถระท้งั หลายกบั รามทูตจง่ึ ไดโ อกาสออกจากบา นวัลลิคามหยดุ แรมทาง ๕ ราตรี จึงถงึ ชยั วฒั นะนคร ตโต ภวู เนกพาหุสหี ฬมนชุ นิ โฺ ท ในกาลนัน้ พระเจา สหี ฬินทรภวู เนกพาหุไดท รงทราบขาววา พระเถระ ทงั้ หลายกบั รามทูตมาถึงแลว จงึ มีรบั ส่ังใหออกไปตอนรับนาํ มาสทู เ่ี ฝาแลว จึงใหเจา พนกั งานอานพระ สพุ รรณบฎั ของพระเจา รามาธิบดมี หาราชทร่ี ามทตู นํามานั้นจบแลว ก็มีพระกมลหฤทยั ปรดี าภิรมยย ่ิงนัก จงึ ใหจ ดั การตามควรดุจกลาวแลว พระราชทานอาหารบณิ ฑบาตและเสบียง แกพระเถระท้ังหลายกับราม ทตู แลว พระราชทานที่อยูต ามสมควร .... ตโต ปรํ สีหฬราชา ในกาลเบ้อื งหนา แตน ั้นไป พระเจา กรงุ สงิ หฬจึงทรงพระรําพึงวา เราจะจดั การ อีกอยางหนง่ึ ใหตอ งตามพระราชสาสนของพระเจาชา งเผือกเถิด จงึ มรี ับสัง่ บังคบั อํามาตยช าวสิงหฬ ทั้งหลาย ใหท ําเรือขนานในกัลยาณีคงคา ซึ่งเปนแมน ้ําอนั พระผมู พี ระภาคยเ คยสรงสนาน แลวใหท ําเปนป ราสารทขนึ้ ในเบอ้ื งบนแหง เรือขนานนัน้ และใหดาดเพดานดวยผา ขาว หอ ยยอ ยไปดวยพวงดอกไมตา งๆ เสรจ็ แลว จงึ มีรับส่ังใหว ทิ าคมมหาเถระ เลือกคัดคณะสงฆท เี่ ปนผปู ราศจากคาํ ครหาปรปู วาท แตสํานกั ภกิ ษสุ งฆท่สี ืบเช้อื มาแตภกิ ษผุ เู ปนมหาวิหารวาสนี ิกาย .... ตโต สีหฬราชา ในกาลลําดับนั้น พระเจา กรุงสงิ หฬจึงใหอ าราธนาพระรามญั เถระ ๒๒ รปู ที่ อปุ สมบทแลว มารบั พระราชทานฉนั อาหารบณิ ฑบาตในพระราชฐาน ครน้ั เสรจ็ ภตั ตกจิ แลว จึงพระราชทาน ของอนั ควรแกส มณะ .... ๑๐
ครน้ั ทรงประเคนของเสรจ็ แลว จงึ มพี ระราชดาํ รสั วา ขา แตพระผูเปนเจาผูเจรญิ ทง้ั หลาย พระผู เปนเจาท้ังหลายไปยังชมพทู วีปแลว จงึ ยงั พระสาสนาใหร งุ เรอื งในเมอื งหงสวดเี ถดิ นอกจากน้ี ในสมยั ตนรัตนโกสนิ ทร ของสยามประเทศ หรอื เมอื่ ๒๐๐ กวา ปท ผ่ี า นมา กอ นที่ ฝรั่ง ชาติตะวันตก จะยกชมพทู วีปไปใหอนิ เดยี เนปาล ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ น้นั ไดปรากฏหลักฐาน ครัง้ สังคายนาพระไตรปฎ ก ในสมัยรชั กาลสมเดจ็ พระพุทธยอดฟาจุฬาโลก วา ชมพทู วปี ในความ รับรขู องบรรพชนไทย น้นั อยูท ด่ี ินแดนสวุ รรณภูมปิ จ จุบนั นเ่ี อง ดงั ปรากฏใน คาํ ประกาศเทวดา กอนจะเร่มิ การสงั คายนา ตอนหน่ึงวา ครน้ั พระพทุ ธศาสนาลวงมาถงึ ๙๕๖ ป จึงพระพุทธโฆษาเถรเจา ออกไปแต ชมพทู วีป แปล พระไตรปฎกอันเปนสิงหฬภาษา จารึกลงลานใหม แปลงเปนมคธภาษา กระทําในโลหปราสาท ณ เมือง อนรุ าธบรุ ี มีพระเจามหานามเปน ศาสนูปถมั ภก ปหนึ่งจึงสาํ เรจ็ นับเน่ืองในฉัฏฐสงั คายนาย. ครน้ั พระพทุ ธศาสนาลวงมาถงึ ๑๕๘๗ ป ครัง้ นน้ั พระเจา ปรักมพาหมุ หาราชไดเ สวยราชสมบตั ิ ในลังกาทวปี ยา ยพระนครจากอนรุ าธบุรีมาตง้ั อยู ณ เมอื งจลตั ถมิ หานคร จึงพระมหากัสสปเถรกับ พระสงฆป ถุ ุชนมากกวา พนั ประชมุ กนั ชําระพระไตรปฎก ซ่งึ เปนสงิ หฬภาษาบา ง มคธภาษาบา ง แปลง แปลออกเปนมคธภาษาทงั้ ส้ิน จารึกลงในลานใหม มพี ระเจา ปรกั มพาหมุ หาราชเปนศาสนูปถมั ภก ปห นึ่ง จงึ สาํ เร็จบรบิ ูรณ นบั เน่อื งเขา ในสัตมสังคายนาย เบ้อื งหนาแตน้นั มาจึงพระเจา ธรรมา ผูเสวยราชสมบตั ิ ณ เมืองอริมะทะนะบุรี คือเมอื งพุกาม เสด็จออกไปลอกพระไตรปฎกในลังกาทวปี เชิญใสสําเภามายงั ชมพู ทวีปนี้ แตน น้ั มาพระปรยิ ัติธรรมจึงแผไพศาล ไปในนานาประเทศทั้งปวง บรรดาท่เี ปนสมั มาทฏิ ฐิ นับถือ พระรัตนตรยั น้ัน ไดลอกตอ ๆ กันไปเปล่ยี นแปลงอักขระตามประเทศภาษาแหงตน ๆ ก็ผดิ เพ้ยี นวิปลาสไป บา งทุก ๆ พระคัมภรี ที่มากบา งนอยบาง. ครัน้ พระพุทธศาสนาลว งมาได ๒,๐๒๐ ป จงึ พระธรรมทินเถรเจาผูเปนมหาเถรอยู ณ เมืองนพิ สีนคร คอื เมืองเชยี งใหม พจิ ารณาเห็นพระไตรปฎก พิรธุ มาก ทั้งพระบาลี อรรถกถา ฎกี า จึงถวายพระพร แกพ ระเจา ศริ ธิ รรมจกั รวรรดดิ ลิ กราชาธริ าช ผเู สวยราชสมบตั ิ ณ เมอื งเชยี งใหมว า จะชําระพระปริยตั ิให บรบิ รู ณ บรมกษัตรยิ จึงใหกระทํามณฑปในมหาโพธารามวหิ าร ในพระนคร พระธรรมทนิ เถรจงึ เลอื ก พระสงฆ ซ่ึงทรงพระไตรปฎกมากกวา รอยประชุมกนั ในมณฑปนน้ั กระทาํ ชําระพระไตรปฎก ตกแตมใหถ กู ถวนบริบูรณ ปห นึ่งจึงสาํ เร็จ มีพระเจาศิรธิ รรมจักรวรรดิดลิ กราชเปนศาสนปู ถัมภก นบั เนือ่ งในอัฐม สังคายนายอีกครงั้ หนงึ่ . เบอ้ื งหนาแตน้ันมาพระเถรานเุ ถระในชมพทู วปี ไดเ ลา เรยี นสรา งสบื ตอ กนั มา และทา วพระ ยาเศรษฐีคหบดี ศรัทธาสรางไวในเมอื งสมั มาทิฏฐิท้งั ปวง คอื เมืองไทย , ลาว, เขมร, พมา , มอญ เปน อกั ษรส่ําสมกันอยเู ปน อันมาก หาทา วพระยาและสมณะผใู ดทจ่ี ะศรทั ธา สามารถอาจจะชาํ ระ พระไตรปฎกข้นึ ไว ใหบรู ณะดุจทานแตก อนนนั้ มไิ ดมี ครน้ั พระพทุ ธศาสนาลวงมาได ๒ ,๓๐๐ ปเศษแลว ๑๑
บรรดาเมืองสมั มาทิฏฐิ ทง้ั ปวง ก็กอ เกดิ การยทุ ธสงครามแกกัน ถงึ พนิ าศฉบิ หายดว ยภัยแหงปจ จามิตร มี ผูรายเผาวดั วาอารามไตรปฎกก็สาบศูนยส ิน้ ไป จนถึงกรุงศรีอยธุ ยา กถ็ งึ กาลพนิ าศดวยภยั พมาขาศกึ พระไตรปฎ ก และเจดยี ฐานทง้ั ปวงกเ็ ปน อันตรายสาบศนู ย สมณะผจู ะรักษาร่ําเรียนพระไตรปฎ กน้นั ก็ พลัดพรากลมตายเปน อนั มาก หาผูใดที่จะเปนทพี่ ํานกั ปองกันขา ศกึ ศตั รูมิได เหตฉุ ะนพี้ ระไตรปฎ กจึงมไิ ด บรบิ ูรณ เสอื่ มศูนยล ว งโรยมาจนตราบเทากาลทกุ วันน.้ี พระบาทสมเดจ็ บรมบพิตรพระพุทธเจาอยูหวั ทั้งสองพระองค เมื่อไดทรงสดบั พระสงฆราชา คณะถวายพระพรโดยพิสดารดังนั้น จึงดาํ รัสวา ครง้ั น้ี ขออาราธนา พระผูเปน เจาทั้งปวง จงมอี ุตสาหะใน ฝา ยพระพุทธจักรใหพระไตรปฎกบรบิ ูรณขนึ้ จงได ฝายอาณาจักรทีจ่ ะเปนศาสนปู ถมั ภกนน้ั เปน พนกั งาน โยม โยมจะสเู สยี สละชวี ิตบชู าพระรตั นตรยั สุดแตจะใหพระปรยิ ตั ิ บรบิ ูรณเปนมูลที่ตั้งพระพทุ ธศาสนาให จงได จากคําประกาศเทวดาขา งตน ยอมจะเห็นเปนประจกั ษวา บรรพชนของไทย รับรูสืบตอกนั มา วา ชมพทู วปี เปน ทีต่ ง้ั ของเมืองสมั มาทฏิ ฐทิ ั้งปวง คือเมอื งไทย, ลาว, เขมร, พมา , มอญ นอกจากหลกั ฐาน ทเี่ ปนบันทกึ เอกสาร ท้งั ในรปู ตํานาน พงศาวดาร ของบรรพชนชาวไทย พมา มอญ และลาว ทีจ่ ะยกมาเปนเหตุผลสนบั สนนุ วา ชมพทู วปี คือ ผนื แผน ดนิ ทต่ี ้ังประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจจุบัน แลวหลกั ฐานช้ินหนึ่งก็คือ แผนทโ่ี บราณ ทแ่ี สดงใหเ หน็ รอ งรอยของ ปญ จ มหานที ไดแก แมน ้าํ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ซึง่ ถอื เปนสญั ลกั ษณข องชมพทู วีป ทีไ่ ดไ หล ผานเขามายงั ดนิ แดนทีเ่ ปนทต่ี ัง้ ของประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจ จบุ นั แตไ มไดไหลไปยงั ประเทศอนิ เดยี เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ในปจ จบุ ัน แมว า เวลาจะผา นมาสองพนั กวา ป ชอ่ื เรียกแมนํา้ แตล ะสายอาจจะเปลี่ยนไป แตรองรอยของแมน ้าํ ใหญท้งั ๕ สาย กย็ ังคงปรากฏอยู เพือ่ ยนื ยนั ความเปน ชมพทู วปี ทีแ่ ทจ ริง แลว ทาํ ไมชมพูทวปี ทีบ่ รรพบุรุษ มอญ ลาว และ ไทย เชื่อวา อยู ทด่ี ินแดนสวุ รรณภูมิปจ จบุ นั จึงถกู ยกใหเ ปนอินเดียปจ จุบัน? ๑๒
แผนทโี่ บราณ ทแี่ สดงใหเห็น ปญจมหานที แหงชมพูทวปี ทไ่ี หลจากเทือกเขาหิมาลยั มาสูดนิ แดนสวุ รรณภูมปิ จจบุ ัน แตไ มไ ดไ หลไปอินเดียปจ จุบนั ๑๓
บทท่ี ๒ พระพุทธศาสนาเกดิ ขนึ้ ท่ีไหนแน? เม่ือ ความเขาใจเร่ือง ทต่ี ้งั ของ “ชมพทู วปี ” เกิดความสับสน ดงั ที่ไดกลาวไวในบทท่ี ๑ แลว และก็ นาทีจ่ ะยุตจิ บลงไดโ ดยงา ย วา ชมพูทวปี คอื ผนื แผน ดนิ ทต่ี ั้งประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจ จบุ ัน เพราะเหตุวามมี หานทีทง้ั ๕ ไหลผานเขา มายังดนิ แดนแถบนี้ แต นกั ประวตั ิศาสตร ก็ตอ งสับสน จนไมอ าจ ท่จี ะไมเ ชอื่ ไดว า ชมพทู วปี คอื แผนดินท่ีในสมัยปจจุบนั เปน ทตี่ ง้ั ของ ๔ ประเทศ คอื อินเดยี เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ก็เพราะวา มี จดหมายเหตุการเดินทางของพระภิกษุจีนท่ีเดินทาง จารกิ มาสบื พระพุทธศาสนายังชมพทู วีป ซ่ึงไดมีการบนั ทกึ เสนทาง และสถานทีต่ า งๆ ยืนยันไวโ ดยละเอียด น่นั เอง นกั ประวัตศิ าสตรแ ละนกั โบราณคดชี าวตะวนั ตก ไดอาศยั บนั ทกึ การเดินทางมาสบื พระพทุ ธศาสนาของพระภกิ ษจุ ีน ในการทจี่ ะคน หา สถานทต่ี างๆ ในสมยั พทุ ธกาล โดยเฉพาะท่ีต้งั ของ สงั เวชนยี สถาน ๔ ตาํ บล คือ สถานทปี่ ระสูติ ตรัสรู แสดงปฐมเทศนา และปรนิ ิพพาน โดยบันทกึ การ เดินทางทส่ี าํ คัญ ๒ ฉบบั คือ ๑. บนั ทกึ การเดนิ ทางของพระภกิ ษฟุ าเหยี น ซง่ึ เดนิ ทางมายงั ชมพทู วปี -ลงั กาทวปี ระหวา ง พ.ศ. ๙๔๒-๙๕๗ ๒. บนั ทกึ การเดนิ ทางของพระภกิ ษเุ ฮย่ี นจงั หรอื พระถงั ซมั จง๊ั ซง่ึ เดนิ ทางมาอนิ เดยี ระหวา ง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘ ซง่ึ พระภิกษุจีนทง้ั ๒ รูป ไดเ ดนิ ทางมาสืบพระศาสนา ในชวงเวลาทีห่ างกันถงึ ๒๓๐ ป แตอ าจจะ ไมมีใครสงสยั วา พระภกิ ษุจีนทั้ง ๒ รปู น้ี ทานไดจ าริกไปยงั อินเดียท่ีเดียวกนั หรือเปลา ? ๑๔
แตถ า หากมใี ครทีไ่ ดอ านบันทกึ ทัง้ ๒ ฉบบั โดยละเอียด และไมไดมีอคตวิ า พระพุทธศาสนา เกดิ ขน้ึ ท่ีประเทศอินเดยี ในปจจุบนั กจ็ ะพบวา พระภกิ ษจุ ีน ๒ รปู ทา นเดนิ ทางไปอนิ เดยี คนละทก่ี นั และ แนน อนมีเพยี งรูปเดยี วท่ีเดินทางมาสชู มพูทวีปและอินเดยี ท่ีแทจ รงิ นั่นก็คือ “หลวงจนี ฟา เหยี น” ดังเชนที่ผมจะยก ตวั อยา งเสนทางการเดินทางของหลวงจนี ฟาเหยี น ทีท่ า นจะเดนิ ทางไป “เมอื ง กบิลพสั ด”ุ ซ่งึ เปน ทต่ี ้ังของ สถานท่ีประสตู ขิ อง “เจาชายสทิ ธตั ถะ ” โดยทานหลวงจีนได ตง้ั หลกั ท่ี นคร สาวัตถี แลว บันทึกไวดงั นี้ วา จากนครสาวตั ถไี ปทางอาคเนย เดิน ๑๒ โยชน ถงึ เมอื งหนึ่งชอื่ นะปะกะ ตอไปน้เี ดนิ ทางไปทางทศิ ตะวนั ออกทางไมถงึ โยชนถ ึง นครกบิลพสั ดุ จาก นครไปทางทิศตะวันออก ๕๐ ล้ี มีราชอทุ ยานช่อื ลุมพนิ ี สถานพุทธประสูติ เดนิ ไปทางตะวนั ออก ๕ โยชนม ี ประเทศชือ่ ราม (คาม) จากบนั ทึกเสนทางดังกลา ว เม่อื นาํ มาเขียนเปน แผนที่การเดนิ ทาง จะปรากฏ ดังแผนผงั ขา งลางนี้ ผงั แสดงเสน ทางจาริกของหลวงจนี ฟาเหียน จากเมืองสาวัตถี ไปลมุ พินี สถานทป่ี ระสูติ จากแผนผงั ขา งบน เมื่อเปรียบเทยี บกับ แผนผงั ทต่ี ั้ง เมืองและสงั เวชนยี สถานในประเทศอนิ เดยี และเนปาล ตามแผนท่ขี างลา งน้ี จะพบวา ลุมพนิ จี ะอยทู างตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของนครสาวตั ถี แทนทจ่ี ะอยทู างตะวนั ออกเฉยี งใต ๑๕
ผังแสดงสถานทีต่ ัง้ เมืองและสังเวชนยี สถาน ในประเทศอินเดยี ปจ จบุ ัน ดังน้ัน การท่ี นักประวตั ิศาสตรช าวตะวันตก ใชบันทกึ การเดินทางของพระภกิ ษจุ นี ทัง้ ๒ รปู ในการคน หาทต่ี ง้ั ของสงั เวชนยี สถาน ๔ ตาํ บล และเมอื งตา งๆ ในสมยั พทุ ธกาล จงึ เกดิ ความ ขัดแยง กันเอง โดยเฉพาะ ทีต่ ง้ั ของเมอื ง กบิลพัสดุ และสวนลมุ พินี ก็เพราะพระภกิ ษจุ ีนท้งั ๒ รปู เดนิ ทางไปคนละทนี่ ่นั เอง แตคนไทยก็ไมไดเ คยใสใ จทีจ่ ะคน หาความจรงิ คอื ใครวาที่ไหนกว็ าทน่ี นั่ ทาํ ไมเราจงึ ไมศกึ ษา เพอื่ ใหรแู นว า ความเขา ใจของ บรรพบรุ ษุ ของเรา ทีว่ า ชมพทู วปี คอื ดนิ แดนท่ีเปน ประเทศไทย ลาว และพมา ในปจจบุ ัน เปนความเขาใจที่ถกู ตอ ง หรอื ผดิ พลาด เพราะการที่เราจะทาํ การศึกษา คน ควา หาทตี่ ง้ั ทีแ่ ทจรงิ ของชมพทู วีปนน้ั ยอ มจะนาํ ไปสกู ารพิสจู นทราบวา พระพทุ ธศาสนา เกดิ ขนึ้ ที่ไหนกันแน? เพอื่ ทําใหเ กดิ ความเขาใจทางประวตั ศิ าสตรท ี่ถกู ตอ ง และเปน การปกปอ งศักดิ์ศรเี กนี ติภมู ขิ องบรรพชนของเราแตโ บราณกาล จากคํากลา วหาและดถู กู บรรพบุรุษของตน วา เปนผมู คี วามรใู นประวตั ิศาสตรในวงจํากดั ดงั ท่จี ะยกสาํ เนา คาํ ตอบกระทูถามทคี่ ณะรัฐบาลสมัยหนงึ่ ไดต อบกระทถู ามของสมาชิกสภาผแู ทนราษฎรจงั หวดั ขอนแกนทานหน่งึ ท่ตี ้งั กระทูถ าม เร่ือง การชําระ ประวตั ศิ าสตร พระพทุ ธศาสนา ในคาํ ถามทว่ี า รฐั บาลมนี โยบายทจ่ี ะสนบั สนนุ ใหม กี ารชาํ ระ ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนาเพ่อื คนหาความจรงิ ของการอุบตั แิ หง พระพุทธศาสนาในประเทศ ไทยหรอื ไม อยา งไร ขอทราบรายละเอยี ด มาใหท านทั้งหลายไดอ า น ดังน้วี า กอนทจ่ี ะตอบคาํ ถามนี้ตองทาํ ความเขา ใจกอนวา เอกสารโบราณของไทยท่ี กลาวถึงประวตั ิพระพทุ ธเจาสว นมากเปน ตาํ นานพืน้ บา นซึง่ เลา เรื่องวิถชี ีวติ ประชาชน ในถ่นิ นนั้ ๆ ทน่ี ับถือพระพุทธศาสนาแลว แตงเร่อื งแบบจนิ ตนาการไปไกลเพ่ือรองรบั ปู ชนียสถานทส่ี รา งขึ้นในถ่นิ นน้ั ๆ โดยอางวาพระพทุ ธเจา เสด็จมาโปรดรบั สั่งกบั ประชาชนวาพระบรมสารีริกธาตขุ องพระองคจ ะมาประดษิ ฐานในทน่ี นั้ ๆหลงั จาก พระองคเ สดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พาน เชน ตาํ นานอุรงั คธาตุ (ตาํ นานพระธาตุ พนม) ตาํ นานเมอื งโยนก ซง่ึ เอกสารเหลา นเ้ี กดิ จากความศรัทธาใน พระพทุ ธศาสนาเปน ที่ตั้ง มิไดเ ขียนข้นึ บนพน้ื ฐานทางประวัติศาสตรแ ตเ ขียน ๑๖
ตามจนิ ตนาการทไี่ ดรับอทิ ธิพลมาจากพระพทุ ธศาสนาโดยเปล่ียนชมพูทวีป เปน ประเทศสยาม เชน เรยี กเมอื งนครศรธี รรมราชเปน เมอื งปาฏลบี ตุ ร เรยี กเจาผู ครองนครศรธี รรมราชเปน ศรธี รรมาโศกทกุ พระองค เพราะการทจ่ี ะนําเอา เอกสารโบราณของไทยทผ่ี ูเขยี นมคี วามรูเรอื่ ง ประวตั ิศาสตรใ นวงจาํ กัดมาตดั สินประวตั พิ ระบรมศาสดาเอกของไตรโลกวา เสดจ็ อุบัตใิ นประเทศไทยนัน้ เปน ไปไมไ ด ไมสมควรทําอยา งยิง่ บัณฑติ ชน ไมส รรเสรญิ หากทาํ กจ็ ะเปน การบดิ เบือนพระพทุ ธศาสนาสรา งความอับอายขาย หนา แกช าวพทุ ธทวั่ โลก . ๑๗
บทท่ี ๓ อนิ เดยี ในโลกน้มี ีอยู ๒ ที่ มใี ครรไู หม? อาจเปนเพราะการท่ีนกั ประวตั ศิ าสตร ยคุ หลัง พทุ ธศักราช ๒๓๐๐ ปลายๆ ไดทําการโยกยายชมพู ทวปี ใหไปอยูท่ีอนิ เดีย เนปาล ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ ในปจ จบุ ัน เพราะความเขาใจผิดท่คี ิดวา สงั เวชนียสถานจําลอง ท่ีถกู สรางขึ้น ในดินแดนแถบประเทศทวี่ า นน้ั คือสถานที่จรงิ ตามท่ี พระ ภกิ ษเุ ฮ่ยี นจัง หรือพระถงั ซัมจัง๊ ไดเ ดนิ ทางมาสบื พระพทุ ธศาสนาในดินแดนชมพูทวปี และได บนั ทกึ เรอ่ื งราวการเดนิ ทางของทา นโดยละเอยี ดระหวา ง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘ เปน ของจรงิ จงึ ทํา ใหพ วกเขาพลาดโอกาสทจ่ี ะไดร จู กั ชมพทู วปี ทแ่ี ทจรงิ นอกจากแผนทโ่ี บราณ ทแ่ี สดงใหเ หน็ ปญ จมหานที คอื แมน าํ้ ใหญท ง้ั ๕ สาย ทไ่ี หลผา น เขามายงั ดนิ แดนสวุ รรณภมู ิ อนั เปน ทต่ี ้งั ของประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจจบุ นั ซึ่งเปน เคร่อื ง ยนื ยัน ที่ตง้ั ชมพูทวปี ท่ีแทจ ริง ในบทที่ ๑ แลว ยงั ปรากฏมแี ผนทโ่ี บราณ ทีอ่ าจทําใหนักประวัติศาสตร ยคุ คน หาทต่ี ้ัง สังเวชนยี สถาน ๔ ตําบล ในประเทศอนิ เดียปจ จบุ ัน อาจจะพลาดโอกาสที่จะไดพบเห็น สังเวชนียสถาน ๔ ตําบล ของจริง กเ็ พราะวา ในแผนทโ่ี บราณฉบบั ทไ่ี ดน าํ มาแสดงน้ี มปี ระเทศ อนิ เดียอยู ๒ ที่ ซึ่ง เรียกวา INDIA INTRA GANGES ท่คี รอบคลมุ พื้นท่ีประเทศอินเดยี เนปาล ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ ในปจจุบัน กบั INDIA EXTRA GANGES ทค่ี รอบคลุมพนื้ ที่ประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจจุบนั แตพวกเขากลบั สาละวน หลงทางในการคนหา สังเวชนยี สถานจาํ ลอง ใน ประเทศอินเดีย เนปาล ปากีสถาน และบงั คลาเทศ ในปจ จุบนั ดงั นั้น เพือ่ เปน การยืนยันวา ประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจ จุบัน คือ ชมพูทวปี ที่แทจริง และยังเปนที่ตั้งของ อินเดยี อันเปนท่ตี ง้ั ของสังเวชนียสถานที่แทจรงิ จึงตองสบื คน หาหลกั ฐาน ที่ จะกลา วถึง ทตี่ ั้งบานเมืองตา งๆ ในสมยั พุทธกาล หรอื รอ งรอยสงั เวชนยี สถาน ในเขตประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจ จุบนั เพอื่ มาพสิ ูจนท ราบตอ ไป แผนท่ีโบราณทีร่ ะบวุ า ดินแดนสุวรรณภมู ิ ซ่ึงเปนที่ตงั้ ของประเทศไทย พมา และลาว คือ อินเดีย เหมอื นกัน ๑๘
เรามาเรม่ิ ตนการคนหาทีต่ ั้งของ อนิ เดยี ทีแ่ ทจริง จากความสัมพันธ ระหวาง กษตั รยิ ในแถบ สุวรรณภูมิ กบั กษัตรยิ แหงมคธ ประเทศอินเดียโบราณ ทปี่ รากฏอยใู น ประวตั ศิ าสตรโหราศาสตร ดงั นี้ อญั ชนั ศักราช เมือ่ ใชศ กั ราชใหมห รือ “กาลศี กั ราช” ได ๒๔๑๑ ป กษตั ริยกรงุ กบลิ พัสดุ คือ พระเจาสหี ตราช ซึ่ง เปน ปูของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา พระเจา อญั ชนั ซงึ่ เปนพระราชบิดาของพระนางประชาบดโี คตมี หรือเปน ตาของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา (ภายหลงั ไดออกบวชเปน ฤาษชี ่อื อสติ ดาบส และไดเขา มาทํานายพุทธ ลักษณะเจาชายสทิ ธัตถะหลงั ประสตู ไิ ด ๕ วนั ) ซง่ึ กษตั รยิ ท ้ังสองสาํ เรจ็ จากสาํ นักตกั ศิลามีความ เชย่ี วชาญทางดา นโหราศาสตร จึงไดทาํ การลบศักราชกาลยี คุ เสยี ดวยชอื่ ไมเปนมงคล และต้งั ศกั ราชขึ้น ใหมช ือ่ วา “อัญชนั ศักราช” ไดใชเรื่อยมาจนพระสมั มาสัมพทุ ธเจาปรินพิ พาน สงิ่ ทน่ี า สงั เกตและควรทราบก็คือ พระสัมมาสมั พุทธเจาครงั้ ยังเปนเจาชายสทิ ธัตถะ (ยงั ไมไ ดอ อก ผนวช) ไดทรงศึกษา “คมั ภรี ม หาจกั รพรรดริ าช” จากพระเจาอญั ชันผูเปน ตาอยางเช่ยี วชาญ ในทางพุทธ ศาสนาจงึ ปรากฎเรือ่ งราวเกยี่ วกับโหราศาสตรอ ยูอ ยางมากมาย เชน การโคจรของดวงอาทิตย ระบบสรุ ิย จักรวาล ดวงดาวและฤกษ อนั ปราก ฏอยใู นพระบาลี คมั ภรี อคั คญั ญสูตร และปฐมกัลป (ตอ มาหลัง พุทธกาลสํานักตกั ศลิ าไดน ําไปทําเปน หลกั สูตรดาราศาสตรช อ่ื วา “ โชติกยศาสตร ” แมก ระทงั่ การใช ตําแหนง ของดวงจันทรเ ปน ตวั กําหนดใหเปน วนั ธรรมสวนะ หรอื วันอุโบสถ ถือศลี นน้ั กต็ องใชว ันที่จนั ทร เพ็ญและจนั ทรด บั การกาํ หนดภกิ ขปุ าฏโิ มกข และแมก ระท่งั การใชฤ กษเ ปน ตั วกาํ หนดนบั เวลาระยะวนั เขา พรรษาและปวารณา อนั ถือวาเปน พทุ ธบัญญัตทิ พ่ี ระภกิ ษุตอ งปฏิบัติ เรยี ก “อภสิ มาจารกิ าสกิ ขา ” อยู ในพระบาลวี นิ ัยปฎ ก หมวดขนั ธกะ วา ดวยสงั ฆกรรม อุปสมบท และสว นมหาวรรค อาทิ อโุ บสถขนั ธกะ วา ดว ยอโุ บสถ วสั สปู นายกิ ขนั ธกะ วา ดว ยวนั เขา พรรษา ปวารณาขนั ธกะ วา ดว ยการปวารณา เปน ตน พุทธศักราช พระสมั มาสัมพทุ ธเจาทรงประสูตเิ ม่อื วันขึน้ ๑๕ คํา่ เดอื น ๖ ปอ ญั ชันศักราชท่ี ๖๘ ทรงเผยแพร พระธรรมคาํ สอน เปน เวลา ๔๕ พรรษา เสดจ็ ปรินพิ พาน ณ กรงุ กสุ ินารา เม่อื วนั ขนึ้ ๑๕ คํา่ เดอื น ๖ ป อญั ชนั ศกั ราชที่ ๑๔๘ ในปเดียวกันกบั พระสมั มาสมั พุทธเจาทรงเสดจ็ ดบั ขันธปรินพิ พานนั้น พระเจา อชตุ ราช ซงึ่ เปนราช นัดดา (หลาน) ของพระเจาสงิ หนวัติ ข้ึนครองราชในอาณาจักรโยนก สิงหนวตั ินาคนคร ทรงเปนพระญาติ ของพระเจาอชาตศตั รู กษตั ริยแ ควน มคธ ราชโอรสของพระเจา พมิ พิสาร โดยพระเจา สิงหนวตั ิผูต้งั อาณาจกั รโยกนกเปนนอ งชายของพระเจา พิมพสิ าร พระเจาอชุตราช ครองราชยเม่อื เดอื นยี่ กอ นพุทธ ปรินิพพาน ๔ เดอื น ทรงเปน พทุ ธมามกะ เม่อื ไดทราบขาวพทุ ธปรินิพพาน จึงเดินทางไปเมืองกสุ นิ ารา เพอื่ ถวายสักการะพุทธสรรี ะ ของพระบรมศาสดา ในกาลนน้ั เหลากษตั รยิ ท ง้ั หลายในโคตมะโคตร จงึ ปรกึ ษากนั จักกาํ หนดใหตง้ั ศักราชข้ึนใหม โดยหมายเอานมิ ติ แหง การเสด็จปรนิ พิ พานของพระสมั มาสัมพทุ ธเจาอัน ๑๙
เปนกษัตรยิ แหง วงศโ คตมะน้ัน ราชวงศท ้งั หลายจงึ่ มอบหมายใหพ ระเจาอชุตราช ซึง่ เปน ผเู ชี่ยวชาญคมั ภีร สวุ รรณโคมคาํ สว นโหราศาสตร และพระเจา อชาตศตั รู ซึ่งเปนผู เชยี่ วชาญคมั ภีรสวุ รรณโคมคําสวนปราบ ไตรภพ วางศิลาฤกษย ามคํานวนตั้งศักราชขนึ้ ณ เมอื งกุสินารา นัน้ จึงไดท ําพิธีลบอญั ชันศกั ราชเสยี และ ใชศ ักราชใหมเ รียกวา “พุทธศักราช ” ประกาศตอ ทา วพระยาสามลราชอนั มาประชมุ รบั แบง พระบรม สารีรกิ ธาตใุ หทราบแลใหท ุกแควน ทุกนครในชมพทู วีปใช “พุทธศกั ราช” เปนเครอ่ื งหมายนบั เวลา นับตั้งแต ปอัญชันศักราชที่ ๑๔๘ เปน ตนไป การเร่มิ ตนแหง “พุทธศกั ราชท่ี ๑” จึงมขี ึ้นแตบัดนัน้ มา ความสมั พนั ธระหวา งดนิ แดนทางภาคเหนอื ของประเทศไทยกับเมืองราชคฤห แควนมคธ นอกจาก ปรากฏในสมยั ของ พระเจาสงิ หนวตั กิ ับพระเจาพมิ พิสาร และสมยั พระเจาอชตุ ราชกับพระเจา อชาตศัตรู แลว ใน ตาํ นานพระบรมธาตศุ รจี อมทอง ท่ี จังหวัดเชียงใหม ยังไดม กี ารกลาวถงึ การเดินทางไปมาหาสู กนั ระหวาง เมืองอังครฏั ฐะ ซ่งึ เปน ท่ตี ง้ั ของ วดั พระบรมธาตุศรจี อมทอง ในปจจบุ ัน กับเมอื งราชคฤห ดังท่ี จะขอคัดลอกความสาํ คัญบางตอนมาใหทา นท้งั หลายได พจิ ารณา ดงั นี้ ...ในสมัยเมอ่ื พระยา อังครัฏฐะ ครองเมืองอังครฏั ฐะอยูนั้น เปนสมยั ทพี่ ระพุทธเจา ไดตรัสรพู ระ สัมมาสัมโพธิญาณแลว และทรงเสด็จสาํ ราญพระอิรยิ าบถอยู ณ พระเวฬวุ นั วิหาร กรงุ ราชคฤห สวน พระ ยาองั ครัฎฐะนนั้ เปน ผูส นใจคอยสดบั ขา วสาสน ความบังเกดิ ขึ้นแหงพระพทุ ธเจา พระธรรมและพระสงฆอยู เสมอมา ครนั้ อยูมาวนั หนงึ่ ทา วเธอไดส ดับขาวจากพวกพอคา ซึ่งมาจากกรุงราชคฤหว า พระพุทธเจาไดบังเกิดข้ึนแลว ในโลกน้แี ละเสดจ็ ประทบั อยูที่พระเวฬุวันวหิ าร กรุงราชคฤห กม็ ใี จปติ ยนิ ดีมากนกั ไดพระราชทานขา วของเงินทองเสื้อผาแกพ อคา เหลานนั้ เปนอันมาก … ซึ่งจาก ขอความใน ตาํ นานพระบรมธาตศุ รจี อมทอง จะเห็นวาไดมกี ารเดินทางไปมาหาสูกัน ทางการคา ระหวา งบานเมืองทางตอนเหนือของประเทศไทย กบั เมอื งราชคฤห มาชา นานแลว แตที่ชวนให คดิ กค็ ือ เมอื งราชคฤห ตงั้ อยทู ่ไี หนแนร ะหวา ง INDIA INTRA GANGES ทค่ี รอบคลมุ พืน้ ที่ประเทศอินเดีย เนปาล ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ ในปจ จุบัน กับ INDIA EXTRA GANGES ท่คี รอบคลมุ พ้ืนที่ประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจจบุ ัน อีกเรื่องหนง่ึ คือ เรอื่ งของทา นหมอชวี กโกมารภจั จ ที่ไดเดินทางตดิ ตามองคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา เพื่อรกั ษาพระอาการประชวรจนกระทั่งพระพุทธองคเ สดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ท่ีกรงุ กสุ ินารา แควน มลั ละ ซงึ่ เปน เรอื่ งทีน่ า สบื คน ตอวา \"กสุ นิ ารา\" ที่ หมอชีวกโกมารภจั จ เดนิ ทางมา และทพี่ ระเจา อชุตราช กบั พระเจา อชาตศตั รู เดินทางมารวมกันลบอัญชนั ศกั ราช และตง้ั \"พระพทุ ธศกั ราช\" นนั้ อยูที่ไหน แน ถาเมืองกุสินารา ในสมยั พทุ ธกาล อยูท ปี่ ระเทศอนิ เดียปจ จุบนั คนไทยสมัยโบราณ จะ ไปรวมตัง้ พทุ ธศกั ราช รว มกับพระเจาอชาตศัตรู ไดจ รงิ หรือ? และเรื่องราวเหลาน้ี สญู หายไปจาก อนิ เดยี ปจ จุบนั ไดอ ยางไร? แตทาํ ไมเรื่องราวเหลาน้ี กลบั มีบนั ทกึ สบื ตอกนั มาของคนในแผน ดนิ สุวรรณภูมิ ปจจุบัน หรอื แทท ่จี ริงแลว เมอื งกสุ นิ ารา อยูในเขตแดนของประเทศไทย ในปจจุบนั ดงั ทม่ี คี วามเชื่อน้ี ปรากฏอยูในบทกวี ท่เี รยี กวา นริ าศพระแทน ดงรงั ซง่ึ นายมี หรือ หมื่นพรหมสมพตั สร ทา นไดแตงเอาไว ๒๐
เมือ่ ปวอก พ.ศ. ๒๓๗๙ กอ นที่ เซอร อเลก็ ซานเดอร คันน่งิ แฮม นกั โบราณคดีชาวอังกฤษ จะขุดคนพบ พระพทุ ธรปู ปางปรนิ พิ าน ที่ประเทศอนิ เดยี ในป พ.ศ. ๒๔๑๙ และประกาศวา สถานทีน่ น้ั เปนทป่ี รนิ ิพพาน ของพระพุทธเจา แลวตง้ั ชอื่ หมูบานท่นี ้ันวา กุเซีย หรือกาเซีย ใหใกลเคียงกบั กุสินารา ซง่ึ จะขอยก ความใน นริ าศพระแทน ดงรงั มาแตเพยี งบางตอน ดังน้ี พระแทน ปรินิพพาน ที่ วัดพระแทน ดงรงั วรวหิ าร อาํ เภอทามะกา จังหวดั กาญจนบรุ ี โอพ ระแทนแผนผาอยูปาดอน แตป างกอ นทน่ี เี้ ปน ทีเ่ มอื ง ชือ่ โกสนิ นารายสบายนกั เปน เอกอรรคออกชอ่ื ยอ มฤๅเลอ่ื ง ท้งั แกว แหวนเงนิ ทองก็นองเนือง ไมฝด เคอื งสมบัติกษัตรา มสี วนแกว อุทยานสาํ ราญรื่น ดูดาดดื่นดอกดวงพวงบปุ ผา ปลกู ไมร ังตงั้ แทนแผนศลิ า คอื แผน ผาอนั นท้ี า นนพี าน ของพระยามลราชประสาทไว ยอมแจง ใจทกุ ประเทศเขตสถาน ทส่ี ําคัญมั่นหมายหลายประการ สมนทิ านเร่ืองเทศนสังเกตฟง แตบานเมอื งสูญหายกลายเปนปา พยคั ฆาอาศัยเหมอื นใจหวงั พระอุทยานรางราเปนปา รงั อนจิ จงั อนาถจิตอนิจจา เดชะบญุ ไดนบอภิวาท ไมเ สยี ชาติทีไ่ ดพ บพระศาสนา ราํ พนั พลางทางกม บงั คมลา ถอยออกมาเทีย่ วชมพนมเนนิ ซงึ่ จาก นิราศพระแทนดงรงั ขางตน นี้ อาจจะเปน บนั ทึกประวัตศิ าสตรการกลา วถงึ สงั เวชนยี สถาน ทีต่ ้ังอยูในประเทศไทยทห่ี ลงเหลอื อยู และสบื ทอดกันมาปรากฎหลักฐานเปน ลายลกั ษณอักษรจนถึงรชั สมัยรชั กาลท่ี ๓ ที่เช่ือวา “สถานท่ีปรนิ ิพพานของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา อยทู ่ี วดั พระแทน ดงรงั ตําบลพระแทน อําเภอทามะกา จังหวดั กาญจนบรุ ”ี และ “เมอื งโกสนิ นาราย หรอื โกสนิ าราย ก็คอื ๒๑
ซากเมืองโบราณโกสินารายณ ท่ตี ั้งอยูริมแมน ํา้ แมกลอง ตําบลทา ผา อาํ เภอบา นโปง จงั หวดั ราชบรุ ”ี น่นั ก็หมายถงึ วา ท่ีต้งั ของเมืองกุสินารา และแควนมัลละ ในสมัยพุทธกาล ก็จะอยใู นพ้นื ที่ รอยตอรวมกนั ของ จงั หวดั กาญจนบุรี ราชบุรี และนครปฐม นเ่ี อง จากบนั ทกึ ท่หี ลงเหลืออยขู องบรรพชน ที่ไดย กมาอางขางตน น้ี นับไดวา เปน หลกั ฐาน ในการ เดนิ ทางมาจาริกแสวงบุญสงั เวชนียสถาน ๑ ใน ๔ ตาํ บล ของคนสมัยโบราณ กอนทจี่ ะถกู ยา ยไปอยูที่ ประเทศอนิ เดียในปจ จุบัน อกี หนึง่ หลักฐาน ที่เปน เครือ่ งแสดงวาไดมกี ารเดินทางมาจารกิ แสวงบญุ ยังสถานท่ปี รินิพพานของ องคสมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา นับตั้งแตไดมกี ารคนพบพระแทนดงรงั ในสมัยพระเจาทรงธรรม แหงกรงุ ศรีอยุธยา ก็คอื “รอยพระพทุ ธบาทไมป ระดบั มกุ ” ท่ีวดั พระแทนดงรงั วรวหิ าร จงั หวัดกาญจนบุรี รอยพระพทุ ธบาทไมประดับมกุ ทีว่ ดั พระแทนดงรงั วรวิหาร อําเภอทา มะกา จังหวดั กาญจนบุรี ซ่งึ ตามคําอธบิ ายความเปนมากลาวไวว า รอยพระพุทธบาทไมโ บราณชนิ้ น้ี ประดษิ ฐานประจาํ อยู ที่พระแทน มาเปนเวลานบั รอยป ประชาชนทีม่ านมัสการนบั แตอดีตมาไดปด ทองโดยไมขาดสาย ตาม แบบอยา งบรรพบุรษุ ปฏบิ ตั มิ า โดยไมมใี ครทราบวา ที่ปดทองทบั นน้ั มีลายมกุ ที่สวยงามอยูภ ายใน ตอมาเม่ือตนปนี้ (๒๕๓๗) คณะผูเช่ียวชาญการสืบคนรอยพระพุทธบาทนาํ โดย ดร. วอลเดมาร ซี. ไซเลอร รว มกับเจา หนาทก่ี รมศิลปากร ไดมาสาํ รวจรอยพระพทุ ธบาท ณ จังหวัดกาญจนบรุ ี จึงขออนุญาต ตรวจและลา งจึงเห็นรอยพระพทุ ธบาทไมน ้ปี ระดบั ดว ยเปลอื กหอยมุกทั้งแผน สนั นษิ ฐานวาเปน ฝม ือชา ง หลวงในสมยั พระเจา บรมโกศ แหง กรงุ ศรอี ยธุ ยา อนั สะทอนใหเ ห็นถงึ ความเชือ่ เรื่องสญั ลกั ษณอันเปน มงคล ๑๐๘ ประการ อนั เหมอื นกับลวดลายรอยพระพทุ ธบาททเี่ ขยี นบนผืนผา ทพ่ี ระเจา บรมโกศ ทรงสง เปนเครอ่ื งราชบรรณาการ เพอ่ื เจรญิ พระราชไมตรี กับ พระเจา สหี ะกติ ติ ประเทศศรลี ังกา เมอื่ พ.ศ. ๒๒๙๙ (ปจ จบุ ันอยูใ นพพิ ิธภณั ฑเ มอื งแคนดี)้ ๒๒
นอกจากนี้ ยังมี ตาํ นานพระประโทณเจดยี จงั หวัดนครปฐม ซึง่ ทา นเจา พระยาทพิ ากรวงศ (ขาํ บุนนาค) ไดเ รยี บเรียงไว และผมจะขอคดั ลอกมาใหทา นทั้งหลายไดอ า นแตพ อสงั เขป ดงั น้ี องคพระประโทณเจดยี วัดพระประโทณวรวิหาร อําเภอเมอื ง จังหวดั นครปฐม ...ไดค น หาเรื่องพระปฐมเจดยี แ ละเร่อื งพระประโทณเจดียไ ดความในหนงั สอื พงศาวดารเมืองเหนอื ไดทพี่ ระยามหาอรรคนกิ ร ฉบบั ๑ ไดท ่ีนายทอง ฉบบั ๑ รวม ๒ ฉบับ มีความคลา ยกัน จึงเกบ็ เอาความ รวมเปนฉบบั เดยี วกันเขา ไว เพ่ือจะใหส ัปบรุ ษุ ท้ังหลายรคู วามบุราณ จะเท็จจรงิ ประการใดขา พเจา ผูได จดหมายนี้ตัดสนิ ไมได ยังมีตํานานนิทานวา ไวสืบๆ กันมา แตกอ นพระนครไชยศรียงั มิไดตง้ั เมือง มี ตาํ บลบา นพราหมณอ ยู เรยี กวา บา นโทณะพราหมณซ ง่ึ เอาโทณะ คอื ทะนานทอง ทต่ี วงพระบรม ธาตพุ ระพทุ ธเจา มาบรรจไุ วใ นเรอื นหนิ นน้ั แล วา เมอ่ื พระพุทธศกั ราชลวงได ๑๑๓๓ พรรษา ยังมีพระยาองคหน่ึง ชือ่ ทาวศรสี ทิ ธิชยั พรหมเทพ มาแตเมอื งมโนหัน ตอเมืองยศโสธร ทา วเธอจงึ มาสรา งเมอื งนครไชยศรีขน้ึ เปน เมืองใหญ และอยมู าเจา เมอื งลังกาจะใครไดห นวยโทณะอนั ตวงพระธาตขุ องสมเด็จพระพุทธเจา นนั้ มาไวในลงั กาทวีป เธอจึงไปหา พระกัลยาดิศเถรเจา จึงวาขาพเจาจะขออาราธนาพระผูเ ปน เจา ไปวา กลาวดวยพระเจา เมอื งนครไชยศรี ขอ เอาโทณะท่ีตวงพระบรมธาตุมาไวใ นเมืองลังกานี้เถิด และชาวเมืองลงั กาท้ังปวงจะไดน มัสการไปเบอ้ื งหนา แล ดบั นน้ั พระมหากัลยาดศิ เถร กร็ บั อาราธนา แลวเธอก็มาแตลังกาทวปี ถึงพอจวนค่ํา เธอก็เขา อาศยั อยใู นอารามแหง หนง่ึ คร้นั รุง ข้นึ เพลาเชา พระกลั ยาดศิ เถรเจาก็ไปบณิ ฑบาต ทําภัตตากจิ เสรจ็ แลว กเ็ ขา ไปหาพระเจา ศรสี ทิ ธิไชยกร็ บั ปฏญิ ญาณซ่ึงกันและกนั แลว พระผเู ปน เจาก็กลบั ไปสเู มอื งลังกา จงึ เขา ไปแจงความแกพระเจา แผนดินลังกาวา พระยาศรีสิทธไิ ชยขอรับพระบรมสารรี กิ ธาตแุ หง สมเด็จ พระพทุ ธเจาสักทะนานหนึง่ จงึ จะใหหนว ยโทณะน้ันแล ดบั นั้น พระยาลงั กาไดฟง ถอยคําดงั นน้ั กม็ คี วามยนิ ดีจึงนาํ เอาพระบรมสารีรกิ ธาตุ ใหแกพระ กลั ยาดศิ เถรเจานนั้ ทะนานหน่งึ ครน้ั วาพระมหาเถรเจาไดร ับพระบรมสารรี ิกธาตแุ ลว เธอกก็ ลับมาถึงเมือง ๒๓
นครชยั ศรี พระผเู ปน เจาก็เอาพระบรมสารีรกิ ธาตุเขา ไปใหแกพ ระยาศรสี ทิ ธิไชยๆ ไดร บั พระบรมสารีริกธาตุ ทะนานหนงึ่ แลว จงึ หาหมพู ราหมณท ง้ั หลายมาจะขอเอาทะนานที่ตวงพระบรมธาตุใหแกพ ระกัลยาดิศเถร เจาและหมูพ ราหมณทง้ั หลายจงึ ขดั แขง็ ไวมิใหห นวยโทณะแกพ ระยา จงึ วาหมูพ ราหมณซ ึ่งเปน ปยู า ตา ยายแตก อ นสง่ั ไวว า ทา วพระยาสามลราชและเทวดาอนิ ทรพ รหม ทา นมาชงิ เอาพระบรม สารีริกธาตุไปสิ้นแลว ยังเหลือแตโทณะเปลาไดม าไวเ ปน ที่ไหวบูชาแตเทา น้ี และบดั นข้ี าพเจาจะ เอาหนว ยโทณะใหแ กพ ระองคม ไิ ดเ ลย โทณะพราหมณ ตวงแบง พระบรมสารรี กิ ธาตใุ หก ษตั รยิ ๘ เมืองท่มี าแยง ชงิ พระธาตุ ดับนน้ั พระยาศรสี ิทธไิ ชย ไดฟง หมพู ราหมณวา ก็ขดั เคืองจงึ ยกรพ้ี ลออกไปต้งั เปนเมอื งอยูตางหาก ใหช อ่ื วา ปาวัน แลว ทา นจงึ ใหสรา งพระปฐมไสยาสนองคห นึ่ง ใหญยาวมหมึ า จะเปน พระปฐมเจดียห รอื จะเปนพระพทุ ธรูปไสยาสนก ไ็ มไดความชัด พระยาศรสี ิทธิไชยเธอจงึ เอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไวใ น น้ันแลว พระยาจงึ หักหาญเอาหนว ยโทณะน้นั สงใหแ กพระกัลยาดศิ เถรเจา เธอกร็ บั เอาหนว ยโทณะน้ันไป เมืองลงั กา พระเจาแผน ดินลังกาก็บรรจุไวในสวุ รรณเจดยี และพระปฐมเจดยี น น้ั อยูเ หนอื พระประโทณ เจดีย อนั อยใู นเรอื นศิลานน้ั เดิมเมื่อแรกสรางพระปฐมเจดยี น ัน้ พระพทุ ธศักราชลวงไดพระวสั สาหน่ึง จะ เปน ผูใ ดสรางหาแจง ไม ครนั้ อยมู าถงึ พระพุทธศักราชลว งได ๑๑๙๙ พรรษา มกี ษตั ริยองคห นง่ึ เปนใหญอยูในเมอื งละโว ชือ่ กากะวรรณดศิ ราช นน้ั เธอไดกอ พระเจดียล อมเรือนศลิ าท่บี รรจุพระทะนานทอง คอื โทณะอนั ตวงพระ บรมธาตนุ นั้ แลว จงึ ใหนามวา พระประโทณเจดยี พระประโทณเจดียส รางเมือ่ พระพุทธศกั ราชลว งได ๑๑๙๙ พรรษา ไดความแตเ ทา น้ี จาก ตาํ นาน พระประโทณเจดยี ซ่ึงทานเจา พระยาทิพากรวงศ (ขาํ บนุ นาค) ซง่ึ เปนเสนาบดีใหญ ในสมยั รัชกาลท่ี ๔ ไดเ รียบเรียงไวขา งตน จะเห็นไดว า บรเิ วณรอบๆ ที่ต้งั องคพ ระประโทณเจดยี เปน ตาํ บลบา นพราหมณ เรยี กวา บา นโทณะพราหมณ ซ่ึงคงจะต้งั ชื่อตําบลตามชือ่ ของ ทานโทณะ ๒๔
พราหมณ ผูท ่ีไดทําหนาทีแ่ บง ตวงพระบรมสารีรกิ ธาตขุ ององคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา แจกจา ยใหก บั กษตั ริยท งั้ ๘ เมืองทยี่ กทพั มาแยง ชงิ พระบรมสารรี ิกธาตุ หลงั การถวายพระเพลงิ พระบรมศพ ท่เี มอื งกสุ ิ นารา บรเิ วณ เขาถวายพระเพลงิ วดั พระแทน ดงรังวรวหิ าร จังหวดั กาญจนบุรี ในปจ จุบนั ซง่ึ อยูหางจากวัด พระประโทณเจดยี ว รวหิ าร จังหวดั นครปฐม นป้ี ระมาณ ๖๐ กโิ ลเมตร นอกจาก ตํานานพระประโทณเจดยี ทีท่ านเจา พระยาทพิ ากรวงศ (ขาํ บนุ นาค) ซ่ึงเปนเสนาบดี ใหญใ นสมยั รชั กาลที่ ๔ เรยี บเรียงไว แลว ใน นริ าศพระแทน ดงรงั ซงึ่ นายมี หรอื หม่ืนพรหมสมพัตสร ทานไดแ ตง เอาไวเม่อื ปว อก พ.ศ. ๒๓๗๙ ตรงกับรชั สมยั รชั กาลท่ี ๓ ซง่ึ จะขอยกความใน นิราศพระแทนดง รงั มาแตเพยี งบางตอน ดงั นี้ ถึงประโทณารามพราหมเ ขาสรา ง เปนพระปรางคแตบุราณนานนักหนา แตค รัง้ ตวงพระธาตพุ ระศาสดา พราหมณศ รัทธาสรางสรรไวมนั่ คง บรรจุพระทะนานทองของวเิ ศษ ที่นอมเกศโมทนาอานิสงส จุดธปู เทียนอภวิ ันทด วยบรรจง ถวายธงแพรผา แลวลาจร เรื่อง ตาํ นานพระประโทณเจดยี น้ี นอกจากที่ ทานเจา พระยาทพิ ากรวงศ (ขาํ บนุ นาค) ไดเรยี บ เรยี งขนึ้ จากพงศาวดารเมอื งเหนอื แลว ยงั มี ตํานานพระประโทณเจดีย ฉบับของนายออง ไวกําลัง ซึ่งกรม ศิลปากรไดต รวจสอบและชําระใหม แลวนาํ มาจัดพมิ พใ นหนงั สอื เร่ือง พระปฐมเจดีย เมอ่ื ปพ ุทธศกั ราช ๒๕๐๖ ซึง่ จะมีเรือ่ งราวหลงั จากทพ่ี ระยากากะวรรณดศิ ราช ไดสรางพระประโทณเจดยี เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๑๑๙๙ ดังจะขอคัดลอกมา ดังน้ี ดบั นนั้ พระยากาวัณดิศราชจึงแตงตัง้ ใหทาวพระยาทง้ั หลาย ขึน้ ไปตัง้ บา นเมืองอยูทุกแหง แตฝ าย ขนุ นางขนึ้ ไป จงึ ถึงทวารบูรีสตั นาหะคือเมอื งลานชา งขนึ้ ไปถงึ อเุ ชนธิราช ยังเมืองโกลาํ (โกสมั พ?ี ) ครัน้ แลว กก็ ลบั ลงมา ไดน มัสการรอยพระพุทธิบาททเ่ี มอื งระแวกเมืองเม่ือพระเจาตง้ั บาตรฉนั ท่ีมแี มซ องนั้นแล เมื่อพระเจาเสด็จไปจากทงุ ยางน้นั พระเจา จงึ ใหพระอานนทก ับสงฆท้งั หลายหยุดยงั ทงุ ยาง แต พระตถาคตเขา ไปสอู าลพัดลาธิราช(กาลพตั ราธริ าช?) คร้ันแลวพระยากาลพัดธริ าชจงึ ถอยลงมายงั เมอื งวาลกบูรนี ้นั เดิมเมอ่ื ประจพุ ระรากขวัญขวาพระ เจา นัน้ พระยากาลพดั ธิราชอันพอ พระยากาวัณดศิ ราชนั้น เดิมพระยากาลพดั ธริ าช ใหท า นผูว ิเศษออกไป รบั มาแตเ มืองลงั กา พระรากขวัญขวาน้นั มาประจุไวในเมอื งละโวน ัน้ แล ธาตพุ ระพทุ ธิเจานนั้ เม่อื อยูใ น เมืองละโวนั้น กระทาํ ยมกปาฏหิ าริย ลอยขึน้ ไปเหนอื ทนมา (น้าํ ?)สูเ มอื งสวาลบรู ี(สวางคบรุ ี?)น้ัน อนั วา พระยากาวัณดิศราชไปสรางเมืองเหนือแลวกลับมาสรางเมืองสะวาบรู ี (สวางบุร?ี ) เธอก็ใหร บั เอาพระราก ขวญั ขวาพระเจามาประจไุ วใ นองคเ จดยี ก ับดว ยธาตุพระพุทธเิ จา อันวาพระอานนทก บั พระอนรุ ทุ เถรแลพระ ยาทาํ มะสโี สกราช(ศรธี รรมาโศกราช?) มาประจุไวแตก อ นนัน้ เมื่อพระยากาวณั ดสิ ราช ใหป ระจุรากขวญั ๒๕
ขวากบั ธาตุขอมอื พระพทุ ธเิ จานนั้ เมอื่ พระพทุ ธศกั ราชพระเจาไดพ นั สองรอ ยเกาป แลจุลศกั ราชไดส ิบสอง ศก แลดบั น้ันมาถงึ พระยาอินทราไชยธิราช ทา นมาเมอื งนครหลวงตอแดนเมอื งยศโสธร ทา นนนั้ วงศ กษตั ริยพ ระยาส่เี สา กลบตุ รทานนั้นอยูท ศิ บูรพา ลงมาสรางเมอื งโสกะทยั เมอ่ื พุทธศักราชพระเจา ไดพ ัน สองรอ ยย่สี ิบสองป จุลศกั ราชไดย ่ีสิบศกนน้ั สบื กนั มาจนถงึ พระยากรงุ ภาลธี ริ าชทา นน้นั สิไดโสกะทยั แล ยกพลมาแตเมอื งโสกะทัยมาประจนกบั เมืองนครไชยศรไี ดแลว ทานจงึ อุปภเิ ศกลูกชายทง้ั สองคน คนหนึง่ ชอ่ื พระยาภาลี ใหก นิ เมืองมหานครหลวง ตอ แดนเมอื งยศโสธร เธอเปนเชอ้ื วงศพระยาสเ่ี สา กลบตุ รทาน นัน้ อยทู ิศบูรพา ลงมาสรางเมอื งโสกะทัย เมอ่ื พระพทุ ธศักราชไดพันสองรอยสามสบิ ป จุลศกั ราชไดส ามสบิ สองศกน้ันแลสบื ๆ กันมาจนถึงพระยาภาลีบพิตร ไดก ินเมอื งนครไชยศรี มีลูกคนหน่งึ ชือ่ พระยาไสยทองสม ใหก ินเมอื งเทพบรู ี คือชอื่ เมอื งราชคฤห แลพ่ีนองสองคน ทานน้ันมเี งินทองมากนกั หนา อนั ทา นพ่ีนอง สองคนเปนเชือ้ สนั ดานพระยากาวัณดศิ ราช เปน เชื้อสนั ดานโทณพราหมณน้นั มาแตบรุ าณ แล พระยาภาลนี น้ั มีเหตุดวยมาฆาพระยากาวัณดศิ ราชผูเปน พอเสียใหถึงแกความตาย แลว มาทําแปลกดว ย มารดา ดวยทําตวั ทรุ าจารแลทา นสองพนี่ องกค็ ิดสังเวชนักหนา ทานพ่นี องจึงมาซอมแปลงปฏิสงั ขรณใ น อารามพระธาตพุ ระยาศรสี ิทธิชัยสรา งมาแตก อนโนนมาแล จากการประมวล รอ งรอยหลักฐาน จากเอกสาร และโบราณสถาน ทีม่ อี ยู จงึ เปนเครือ่ งยืนยัน วา ท่ีตงั้ ของเมอื งกุสินารา และแควนมัลละ ในสมัยพุทธกาล ก็คือพน้ื ที่รอยตอ รวมกนั ของ จังหวัด กาญจนบุรี ราชบรุ ี และนครปฐม นเี่ อง การทีจ่ ะคน หา ที่ต้งั ของ \"เมอื งราชคฤห\" ดอู าจจะมืดมน เหมือนงมเขม็ ในมหาสมุทร ดงั ที่ได กลา วมาแลว กอ นนว้ี า หลกั ฐาน หรือบันทึกท่ีเปนลายลกั ษณอกั ษร ท่รี ะบถุ ึงที่ต้ังของ สงั เวชนยี สถาน ท่ี เนือ่ งกบั องคสมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา ในดนิ แดนประเทศไทย ปจ จบุ นั มีเพยี ง \"สถานทป่ี รนิ พิ พาน\" ดงั ท่ี สามารถประมวลสรปุ ไดว า ที่ตัง้ ของเมอื งกุสินารา และแควน มัลละ ในสมัยพทุ ธกาล คือพน้ื ท่ี รอยตอ รว มกันของ จังหวัดกาญจนบรุ ี ราชบุรี และนครปฐม นี่เอง โดยอาจมีศูนยก ลางอยทู ่ี เมืองโบราณโกสนิ ารายณ ที่ อําเภอบา นโปง จงั หวดั ราชบรุ ี น้ัน แตก็ใชวา การคน หา ”เมอื งราชคฤห” จะไมม ีความหวงั เอาเสยี เลย ซง่ึ เมื่อเราไดอ าน พระอรรถ กถา แหง มหาปรินิพพานสตู ร จึงทําใหเรา พบความหวงั ท่จี ะคนหา ทีต่ ัง้ ของ \"เมอื งราชคฤห\" จาก ขอ ความ ในพระอรรถกถา ทว่ี า พระเจา อชาตศตั รู ไดท รงสรา งพระสถปู บรรจพุ ระสรรี ะ ของพระผมู ี พระภาคเจา และงานมหกรรมในกรงุ ราชคฤห. ถามวา ไดทรงทําอยางไร ? ตอบวา ไดทรงทําการมหกรรมตง้ั แตก รงุ กสุ นิ าราจนถงึ กรงุ ราชคฤหเ ปน ระยะ ทาง ๒๕ โยชน. ในระหวา งนั้น ทรงใหทาํ ทางกวาง ๘ อสุ ภะปราบพืน้ เรียบ ส่งั ใหทําการบูชาในทางแม ๒๕ โยชน เชน ที่เหลา เจามลั ละสง่ั ใหท าํ การบชู า ๒๖
ระหวางมกฏุ พนั ธนเจดียแ ละสณั ฐาคาร ทรงขยายไปในระหวา งตลาดในทีท่ ุก แหง เพือ่ อนเุ คราะหแ กชาวโลก ทรงใหล อ มพระบรมธาตทุ บี่ รรจุไวใ นราง ทองคาํ ดวยลูกกรงหอก ใหผคู นชุมนุมกันเปนปริมณฑล ๕๐๐ โยชน ใน แควน ของพระองค. ผคู นเหลา น้นั รบั พระบรมธาตุ เลนสาธุกฬี า ออกจาก กรุงกสุ นิ ารา พบเห็นดอกไมม สี ดี ั่งทองคําในที่ใด ๆ ก็เกบ็ ดอกไมเ หลานน้ั ในท่ีน้นั ๆ บูชาพระบรมธาตุในระหวา งหอก เวลาดอกไมเหลา นั้นหมดแลว กเ็ ดนิ ตอ ไป เมื่อถึงฐานแอกแหงรถในคันหลงั กพ็ ากนั เลนสาธุกฬี าแหง ละ ๗ วนั ๆ เมอ่ื ผูค นรบั พระบรมธาตุมากนั ดวยอาการอยา งนี้ เวลากล็ ว งไป ๗ ป ๗ เดอื น ๗ วนั . เหลา มจิ ฉาทฏิ ฐพิ ากันตเิ ตยี นวา ตั้งแตพระสมณโคดมปรนิ พิ พาน พวกเรากว็ นุ วาย ดว ยการเลน สาธกุ ฬี า โดยพลการ การงานของพวกเราเสยี หาย หมด แลว ก็ขุนเคอื งใจ ไปบงั เกดิ ในอบายประมาณ ๘๖,๐๐๐ คน. เหลาพระขีณาสพ ระลึกแลว เห็นวา มหาชนขนุ เคอื งใจ พากนั บังเกดิ ในอบาย แลว ดาํ รวิ า พวกเราจกั ใหทาวสักกะเทวราชทรงทําอุบายนําพระบรม ธาตุมา ดงั นี้ จงึ พากนั ไปยังสาํ นักทา วสักกะเทวราชนัน้ ทลู บอกเร่อื งนัน้ แลว ทลู วา ทา นมหาราช ขอไดโ ปรดทรงทาํ อบุ ายนาํ พระบรมธาตมุ าเถดิ . ทา ว สกั กะตรัสวา ทานเจา ขา ขึ้นช่ือวา ปุถชุ นที่มศี รัทธาเสมอดว ยพระเจาอชาต ศตั รูไมมี พระองคไมทรงเช่ือเราดอก กแ็ ตวา ขา พเจา จกั แสดงส่ิงทีน่ าสะพงึ กลวั . เสมือนมารท่ีนา สะพงึ กลัว จกั ประกาศเสยี งดงั ล่ัน จกั ทาํ เปน คนไขส ั่น ระรัว เหมือนคนผเี ขา ขอพระคุณเจาทูลวา มหาบพติ ร พวกอมนษุ ยเ ขา โกรธเคอื ง ไดโปรดใหน าํ พระบรมธาตุไปโดยเรว็ ดว ยอุบายอยางน้ี ทา วเธอ ก็จกั ทรงใหน าํ พระบรมธาตุไป. ครั้งนน้ั แล ทาวสกั กะ ก็ไดท รงทําทกุ ส่ิงทกุ อยา งดังกลา วน้ัน ฝายพระเถระท้งั หลายกเ็ ขา ไปเฝา พระราชาทลู วา ถวายพระพร พวกอมนุษยเ ขาโกรธเคือง โปรดใหน าํ พระบรมธาตุไปเถดิ . พระราชาตรสั วา ทา นเจา ขา จติ ของโยมยงั ไมยนิ ดกี อ น แตเ มือ่ เปนเชน นน้ั ก็จะใหเขานําพระ บรมธาตไุ ป. ในวนั ที่ ๗ ผูคนทั้งหลายก็นําพระบรมธาตมุ าถึง. ทา วเธอทรง รับพระบรมธาตทุ ่ีมาดวยอาการอยางน้ัน ทรงสรา งพระสถูปไว ณ กรงุ ราชคฤห และทรงทํามหกรรม แมเ หลา เจาพวกอนื่ ๆ กน็ ําไปตามสมควรแกกาํ ลังของ ตน ๆ สรางพระสถูปไว ณ สถานของตน ๆ แลว ทาํ มหกรรม. นน่ั หมายความวา \"เมอื งราชคฤห\" ตง้ั อยูหางจาก \"เมอื งกสุ นิ ารา\" หรอื \"เมอื งโบราณโกสิ นารายณ ท่ี อาํ เภอบานโปง จังหวดั ราชบรุ ี\" เปน ระยะทางหางกันเทากับ ๒๕ โยชน หรอื ๔๐๐ กิโลเมตร ๒๗
และเพอื่ ให การคน หาท่ตี ั้งของ “เมอื งราชคฤห ” จํากัดวงใหแคบลงมาอกี เราจําเปน ตอ งคนหา เมืองสาํ คัญๆ ในสมยั พทุ ธกาล ท่ีจะเชอ่ื มโยงไปหา “เมอื งราชคฤห ” อีกสักเมอื งหนึ่ง ซ่งึ นับวา เหมอื น สวรรคเปด ทางจรงิ ๆเพราะผลจากการท่คี น หาขอมูลจาก พระราชพงศาวดารเหนอื ทําใหเราไดพบขอมลู ท่ีตั้ง เมืองสาํ คัญอกี เมืองหน่ึง ซ่ึงมีความสมั พนั ธกันอยางดียง่ิ กบั “เมอื งราชคฤห ” ทง้ั ในระดบั กษัตรยิ ผูป กครองแควน และระดับเศรษฐคี หบดใี นแวน แควน นน้ั น่ันก็คือ “เมอื งสาวตั ถี ” ซึง่ เปน เมืองหลวงของ แควน โกศล ในสมัยพทุ ธกาล “เมืองสาวตั ถี ” มคี วามสําคญั ยงิ่ ตอ พระพทุ ธศาสนา ในพระไตรปฎ ก เราจะ พบวาพระพทุ ธองคไดท รงเทศนา คําสอน ท่ีเมอื งสาวตั ถีน้ี เปนจาํ นวนมาก ดัง พระอานนท จะยกมาอางวา ในตอนตน ของหลายๆ พระสตู ร วา ขา พเจาไดสดบั มาแลวอยา งนี้ สมัยหนงึ่ พระผูม พี ระภาคประทบั อยู ณ พระวหิ ารเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ทีน่ ัน้ แล พระผูมีพระภาคตรสั เรียกภกิ ษทุ งั้ หลายวา... ท่เี ปน เชน น้ี กเ็ พราะวา ในชว ง ๒๕ พรรษา สุดทาย กอ นที่พระพุทธองคจะเสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน น้นั พระพทุ ธองคไ ดประทบั จาํ พรรษา อยูท พี่ ระนครสาวตั ถีน้ี เปน ประจาํ จึงมีเศรษฐคี หบดีท่ีไดถ วายการ อปุ ฐาก ซ่งึ มีชอ่ื เสียงโดง ดังเปนที่รูจกั กนั ดีของชาวพุทธจนถงึ ทกุ วันน้ี แมเ วลาจะผานมานานกวา ๒,๕๐๐ ป มาแลว น่นั กค็ อื ทา นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี กบั นางวิสาขามิคารมาตา โดยทา น อนาถบณิ ฑิกเศรษฐี ไดส รางพระวหิ ารเชตวนั อารามถวายแดพ ระพุทธองค สว น นางวสิ าขามคิ ารมาตา ไดสรา งพระ วิหารบุพพารามถวายแดพ ระพุทธองค ซง่ึ ในเวลาตอ มาไมน านนักแควน โกศลกไ็ ดเ ส่อื มทรุดลงไป เมือ่ สนิ้ พระเจา ปเสนทโิ กศล และพระ เจาวฑิ ูฑภะ ทไ่ี ดแ ยง ชงิ ราชสมบัติ จากพระเจา ปเสนทโิ กศล ผเู ปนพระราชบิดา และตอ มาไมน านพระเจา วฑิ ฑู ภะ ก็มาสวรรคต เพราะถกู นํ้าทวมท่รี มิ ฝง แมน าํ้ อจริ วดี หลงั เดินทางกลบั จากการไปฆา ลา งเผา พันธุ ศากยะ ท่ีกรุงกบิลพสั ดุ โดยพระเจาวฑิ ูฑภะรบั ส่งั ใหฆา ทกุ คน ที่บอกวา ‘พวกเราเปนเจาศากยะ ’ เมอ่ื ถูกถาม ยกเวนที่รอดจากความตาย ก็คือ พวกท่ยี นื อยใู นสํานักของเจา ศากยะมหานาม ผูเปน พระเจาตา ของพระเจาวิฑูฑภะ ซึ่ง เจาศากยะท้งั หลาย ท่ยี ืนอยูน้ัน บางพวก ก็คาบเอาหญา บางพวกก็ถอื เอาไมอ อ ยืนอยู เม่อื ถกู ทหารพระเจาวิฑูฑภะ ถามวา \"ทา นเปนเจาศากยะหรอื ไมใช ?” เพราะเหตทุ ี่เจาศากยะ เหลาน้นั แมจ ะตายก็ไมพ ดู คําเทจ็ พวกท่ียืนคาบหญา อยูแลว จึงกลาววา \"ไมใ ชเ จา ศากยะ , หญา.\" พวกทย่ี ืนถือไมอ อ ก็กลาววา \"ไมใ ชเ จา ศากยะ, ไมอ อ .\" เจาศากยะเหลา น้ันเมื่อไดรอดชวี ติ จึงคงจะพากัน อพยพหนีไปสรางบานสรา งเมืองท่ีอืน่ ใหไ กลเสยี จากกรงุ กบิลพสั ดุ และกรุงสาวัตถี ซึง่ จะขอค่นั เกร็ดท่ีนาสนใจ และเปน ขอมลู เพื่อท่จี ะไดสืบคน หาขอเทจ็ จริงตอ ไปในภายหนา ก็คือ มี ความในพงศาวดารฉบับหอแกว ลําดับวงศกษัตรยิ พมา (The Glass Chronicle of Kings of Burmar) ไดก ลา ววา กษัตริยทกุ พระองคของพมาจนสิ้น ครสิ ตศ ตวรรษที่ ๑๘ ไดส บื ตอ มาจากราชวงศข อง เจาชายศากยะแหงเมอื งกบิลพสั ดุ สถานทปี่ ระสูตขิ องพระสัมมาสัมพุทธเจา ที่อพยพมาต้ัง ๒๘
อาณาจักรขนึ้ ที่ เมอื งตะกาวน (Tagaung) ต้งั แตสมยั พุทธกาล จึงไมแ นวา จะใชบรรดาเจา ศากยะท่ี ยืนคาบหญา กบั เจา ศากยะทยี่ ืนถือไมอ อ แลวรอดตาย จากการฆา ลา งเผาพนั ธุ ของกองทพั พระเจาวฑิ ูฑ ภะ หรอื ไม? เอาเปน วา ขอยอนกลับมาถึงการสบื คน หาท่ตี ัง้ ของ “เมอื งสาวตั ถี ” ตอ แตจ ะขอกลา วถงึ ความสัมพนั ธกันอยา งดยี ิ่งกบั “เมอื งราชคฤห ” ทั้งในระดบั กษตั ริยผ ปู กครองแควน และระดบั เศรษฐี คหบดีใน “เมอื งสาวัตถ”ี พอเปนสงั เขปกอนดงั นวี้ า พระเจาปเสนทิโกศล แหง กรุงสาวตั ถี นัน้ เปน พระ มาตุลา คือลงุ ของพระเจา อชาตศตั รู แหงกรงุ ราชคฤห เพราะเหตุทพ่ี ระเจาพิมพิสารไดอ ภเิ ษก สมรสกับพระขนิษฐาคอื นองสาวของพระเจาปเสนทิโกศล สว นในระดับเศรษฐคี หบดีก็คอื ทา น อนาถบิณฑกิ เศรษฐี แหงเมอื งสาวตั ถี กบั ราชคฤหเศรษฐี แหง เมืองราชคฤห ทเี่ ปนสหายกนั เพราะน่ีเปนเครือ่ งหมายที่แสดงใหเหน็ ถงึ การเดินทางไปมาหาสูกัน ระหวา ง ๒ เมอื งนี้ ดังน้นั หากหาท่ีต้งั “เมืองสาวตั ถ”ี ได การทจ่ี ะคนหา ทตี่ ง้ั “เมอื งราชคฤห” ก็จะงา ยขึ้นนั่นเอง ดังทีไ่ ดก ลา วไวกอ นหนา นีแ้ ลว วา เหมอื นสวรรคเ ปด ทางจรงิ ๆ เพราะผลจากการท่ีคนหาขอ มูล เรอื่ งอืน่ ๆ จาก พระราชพงศาวดารเหนอื ทาํ ใหเ ราไดพ บบนั ทึกของคณะทูตจากกรงุ ศรีอยธุ ยา ทไ่ี ด เดนิ ทางไปยงั “เมืองสาวตั ถ”ี เพอื่ ไปทาํ การถายแบบแปลน “พระวหิ ารเชตวนั ” เพื่อมาสรา งที่ กรุงอโยธ ยา และเพอ่ื นาํ เครอ่ื งสักการะบูชาไปถวายนมัสการ พระมาลเี จดยี ทพ่ี ระเจา อโศกมหาราช มาสรางไว กลางเมือง ดังปรากฏความในพงศาวดาร ทจี่ ะคดั ลอกมาแตเพียงยอๆ ดงั นี้ เรอื่ งพระมาลเี จดยี พระยาเชยี งทองเขาเฝา สมเดจ็ พระเจา ปราสาททอง วา ยังมีพระอาจารยพระองคห นง่ึ มาถวายพระ พรวา สมเดจ็ พระพทุ ธเจา ยงั ทรงพระทรมานอยนู น้ั เสดจ็ พระราชดาํ เนนิ ไปสลู งั กาทวปี เปนเหตุ ดว ยพระภกิ ขสุ ององคววิ าทกันสมเด็จพระพุทธเจา เสด็จออกจากเมืองลงั กาทวปี มาสพู ระเชตุพน เมืองสาวัตถี จงึ ตรัสธรรมเทศนาแกพ ระอานนทวา สบื ไปเมื่อนาเมืองสาวตั ถี จะกลายเปนเมอื ง หงษาวดี เหตวุ า จะมีกระษัตริยองคห น่งึ ทรงพระนามช่ือวาพระเจา ศรีธรรมาโสกราช จะสรางพระมาลเี จดีย องคหนงึ่ ในกลางพระนคร แลพระมหากระษตั ริยนั้นมศี รัทธายิง่ นกั ใหเปดประตูเมอื งทั้งสที่ ิศ ใหค นเขาสอง ประตู ออกสองประตู จงึ พระเจา ศรธี รรมาโสกราชตรสั ส่งั ชาวพระคลงั ให เอาทองคํามากองไวใ นพระนคร ๒๙
ถา คนเขา ไปชว ยทาํ พระมาลีเจดียน น้ั กใ็ หร ับเอาทองคําตาํ ลงึ หนง่ึ กอ น จงึ ใหชว ยทาํ การ แลทกุ วนั น้ยี ัง ปรากฎมีอยู แลพระมาลเี จดียน ้ันอยทู ศิ อดุ ร พระเจากรุงศรีอยทุ ธยา ครั้นแจงประพฤดเิ หตุแลว ก็มีพระไทย ยนิ ดีนัก จุลศกั ราช ๔๑๓ ปช วดตรศี ก จงึ มพี ระ ราชโองการตรสั สง่ั ขนุ การเวก แลพระยาศรธี รรมราชา ภู ดาษราชวตั รเมอื งอินทร ภูดาษกินเมืองพรหม ยกกระบตั รนายเพลิงกาํ จาย นายชํานององครักษ นายหาญ ใจเพ็ชร นายเด็จสงคราม ขา หลวงแปดนายกบั ไพร ๕๐๐ คมุ เอาเครื่องบูชาข้ึนไปถวายพระมาลีเจดยี แล ขา หลวงขุนการเวก ยกออกจากกรุงแต ณวนั พฤหศั บดี เดอื นอาย ขน้ึ สิบเอด็ คํา่ ไปทางสุพรรณบรุ ีไปถึง บา นชบา ยกแตบานชบาไปถงึ เมืองพระยาเจ็ดตน ยกจากเมอื งพระยาเจด็ ตนไปถงึ บา นรังงาม ยกจากบา น รงั งามไปดานทราง ยกจากดา นทรางไปถงึ เจาปูหิน ยกแตเจาปหู นิ ไปจากแมน าํ้ ชมุ เกรียวนนั้ มีพระพุทธ ไสยาศนองคห นึ่ง เปนทองสําริด องคพ ระยาวหา เสน ขุนการเวกแลขา หลวงทงั้ ปวงก็ชวนกนั เขา ไปนมัสการ จงึ ตั้งสจั จาธษิ ฐานวา ขอเดชะพระบารมีพระพทุ ธไสยาศนใ หข าพเจา ท้งั ปวงน้ีไปถึง ไดน มสั การ พระมาลเี จดยี ในเมืองหงษาวดสี าํ เร็จความปราถนาน้ันเถดิ ขาหลวงท้งั ปวงกราบถวายบังคม นมัสการกล็ าออกจากแมนาํ้ ชุมเกรยี ว กไ็ ปถงึ เขาฝร่ังยางหิน ไปถึงตําบลเขาหลวง พอสิน้ แดนกรุงศรีอยุทธ ยา ไปถึงดา นทงุ เขาหลวงสนิ้ เขตแดนนบั ได ๓๘ วัน ครัน้ แลวจึงตัง้ สัจจาธษิ ฐานอีกครั้งหนึ่ง ยกออกจากที่ ขนุ การเวกกบั ขาหลวงท้ังปวง จงึ ตั้งนมัสการพระศรีรัตนไตรยแลว กย็ กไปขาดระยะบา น ไมม ผี ูคนเดนิ เลย บายหนา ตอทิศอดุ ร เปนปา ใหญเดนิ ไปมาไมต องแดด เปนทงุ อยูก ลางเปนปาละเมาะ คนทง้ั ปวงส้นิ อาหาร กินแตผลไมเปนอาหาร สิ้นหนทาง ๓๐ วัน จึง เขา เมืองหงษาวดี มีดา นบานพราหมณรายไปบา ง ขุน การเวกกบั ขา หลวงทง้ั ปวงเดนิ ตอ ๆ กนั ไป สิ้นหนทางนนั้ ๓๐ วัน จงึ ถงึ เมอื ง หงษาวดีนนั้ คดิ เขากนั ส้นิ ทาง ๒ เดือนกับ ๒๑ วัน จงึ เขา เมอื ง หงษาวดี ขุนการเวกกับพระยาศรีธรรมราชา ขาหลวงทั้งปวงพากนั เขา ไปในพระอาราม พบปะขาวรปู หนง่ึ ขนุ การเวกจงึ ถามปะขาววา อารามนท้ี า นผใู ดเปนใหญ ปะขาวบอก วา พระสงั ฆราชา ขุนการเวกแลขาหลวงทั้งปวง จงึ เขาไปนมัสการพระสงั ฆราชา ๆ จงึ ซกั ไซไตถ ามวา อบุ าสกทง้ั ปวงนี้มาแตส ถานที่ใดฤๅ ขนุ การเวกกราบทลู พระสงั ฆราชาวาขาพระพทุ ธเจา ท้งั ปวงนี้ เปนขา ทลู ละอองสมเดจ็ พระพุทธเจา อยหู ัวกรุงศรีอยุทธยา ๆ มพี ระกมลหฤไทยเลอื่ มไสศรทั ธาในพระมาลเี จดียย ิ่ง นกั จงึ ตรัสใชใ หข า พระพทุ ธเจา ท้ังปวงนคี้ มุ เอาเครือ่ งสกั การบชู าพอสมควร ข้นึ มานมัสการพระมาลีเจดยี น้ัน พระสังฆราชา ปราไสวา อาตมภาพขออนุโมทนา ดว ยพระราชทรัพยแ หงพระองคนน้ั เถิด วันน้ีทานไป อยสู าํ นักใหส บายกอ นเถดิ ตอพรุงนจี้ ะใหป ะขาวนําไปนมสั การตามความปราถนา ครัน้ รุงเชาพระสงั ฆราชาใหปะขาวนําขาหลวงทงั้ ปวงเขา ไปในอาราม ทําประทักษณิ พระรเบียงนน้ั ไดรอบหนง่ึ แลพระรเบียงนัน้ เปนส่ีเหล่ียมจัตุรัศ ขนุ การเวกจึงใหนายนอ ยหาญใจเพ็ชรว ดั พระรเบียงขา ง หนึง่ แตย าวได ๒๐ เสน ชอ่ื พระรเบียงยาว ๒ เสน ๑๐ วา มีพระพุทธรูปรายรอบหลอดว ยทองสํารดิ ทงั้ สิน้ เปนพระพทุ ธรูปสูง ๑๐ วา เสาพระรเบยี งแปดเหล่ียม แตล ะเหลี่ยมนน้ั วดั ได ๙ ศอก สูงถงึ ทองขื่อวัดได ๒๐ วา กออิฐกระชบั รกั แลวถอื ปนู หมุ ดวยทองแดงหนาสามนิ้ว แลทแ่ี ปกลอนรแนงรเบียงทาํ ดวยไมแ กน พน้ื พระรเบยี งดาษดว ยดีบุกนาสบิ สองนิว้ ขุนการเวกแลขา หลวงท้ังปวง ก็เขานมสั การในพระรเบียง พอ เพลาพลบค่ําก็ชวนกันกลบั มาทีอ่ ยู ๓๐
ครัน้ เพลารงุ เชา พระสงั ฆราชาใหปะขาวนําขุนการเวกแลขาหลวงทัง้ ปวง ขน้ึ ไปนมัสการพระมาลี เจดยี คือองคพระมาลเี จดียธาตุ ขุนการเวกแลขาหลวงทงั้ ปวง ก็เขา ไปถงึ ตีนบนั ไดใตพระมหาธาตุ นาย หาญใจเพช็ รวดั ฐานพระมาลีเจดยี น้นั ดา นหนง่ึ ยาว ๓๕ เสน ๕ วา ทง้ั สี่ดา นยาว ๑๔๑ เสน บันไดขนึ้ พระ มาลีเจดยี น้ันทาํ ดวยทองแดงตัง้ ลงกับอิฐ แมบ ันไดรอบใหญ ๔ กําก่ึง ลกู บันไดใหญร อบ ๓ กาํ ปะขาวขนุ การเวก ขา หลวงทั้งปวง ขึน้ ไปดปู ระตูพระมหาธาตุน้ันกวาง ๒ เสน สูงได ๕ เสน มหี งษทองคาํ สี่ตวั เขา ประชมุ กนั เปนแทน รอง พระ พุทธรูปบนหลงั หงษสองรอ ยองค แตลวนทองคําทัง้ แทง สูงสองศอก แลขอ เทาหงษน ้นั ใหญร อบ ๑๑ กาํ ตวั หงษน ้ันสูง ๑๖ ศอกทําดวยทองคําท้งั แทง แลองคพ ระมหาธาตแุ ผท องคํา เปนแผน อฐิ หนานั้นสามนิ้วกวา งสามศอกยาวหาศอก ทองคําหุม องคพระมหาธาตขุ ึน้ ไปจนถงึ ยอด แลว เอาลวดทองแดงรอ ยหกู ันเขา เอาสายโซค ลอ งเขาเปนตาขายหุม รัดขา งหนวงขึ้นไปอกี ช้ันหน่งึ แลยอดพระ มาลเี จดียมีลกู แกว ใหญไดห าออมมชั ฌิมบุรษุ ขนุ การเวกแลขา หลวงทั้งปวง ขึ้นแตเ ชิงบนั ไดนัน้ แตเชา ข้ึน ไปถงึ ประตพู ระมาลเี จดยี พอเพลาเท่ียงกไ็ ดน มัสการแลวกลับลงมาถึงเชงิ บันไดกพ็ อคา่ํ พื้นพระมาลเี จดยี ซง่ึ รองหงษเหยียบอยูนน้ั ดาษดวยแผนเงินหนาสามน้วิ กวางสามศอกเปนสเี่ หลย่ี ม ปะขาวบอกขา หลวงวา เหลก็ กระดกู พระมาลีเจดียท ี่รอ ยลูกแกวน้นั ใหญรอบ ๑๑ กาํ ขนุ การเวกจงึ ถามวา พระมาลเี จดียใหญ นกั หนาฉนคี้ อื ทานผูใ ดสรา ง ปะขาวจงึ บอกวา พระพทุ ธศักราช ๒๑๘ ป ยงั มพี ระมหากระษตั รยิ อ งค หนง่ึ ทรงพระนามชอ่ื พระเจา ศรธี รรมาโสกราช สรา งพระมาลเี จดยี ไ วน น้ั ใหเ ปดประตเู มอื งทง้ั สท่ี ศิ ใหค นเขาสอง ประตู ใหอ อกสองประตู เอาทองกองไว ถา ผูใ ดรบั เอาทองคาํ ตาํ ลงึ หนงึ่ แลว จงึ ใหผ นู ั้นเขาไป ทาํ การ ถาผูใดมริ บั เอาทองคําตาํ ลึงหนึง่ น้ัน ก็มิไดใหเขา ไปทําการเลย ทําการพระมาลีเจดียนั้น แตคนตก ตายทาํ บาญชีไวไดถ ึง ๙ โกฏิ แลคนตายคร้งั นัน้ พระอัตถกถาจารยเ จาผูรวู ิสัชนาวา ไดไปสวรรคท ้งั ส้นิ แล ขุนการเวกจงึ ถามปะขาววา เมื่อกอ นน้นั กอ ดว ยอิฐฤๅ ศิลา ปะขาวบอกวากอ ดว ยอิฐ จึงนาํ ขุนการเวกไปดู อฐิ ทเี่ หลอื น้ันสกั รอ ยแผน ขุนการเวกก็ใหว ดั แผน อฐิ นัน้ นาสศ่ี อกหกน้วิ โดยกวางหา ศอก โดยยาวหาวาสอง ศอก ขนุ การเวกจงึ ถามปะขาววาในเมอื งหงษาวดีนยี้ งั มสี ิง่ ใดประหลาดอยูบาง ปะขาวจงึ นําขนุ การเวกกบั ขา หลวงทัง้ ปวงไปดูบอ นาํ้ มันดนิ นาํ้ มันงา ขุนการเวกจงึ ใหวัดบอน้ํามันดินนนั้ โดยยาวเสนหนึง่ กบั หา วา จัตุรัศท้งั สองบอ ขุนการเวกจงึ ถามวาผูใดทําไว ปะขาวบอกวา นํ้ามนั ดินนัน้ ทา วมหาพรหมประดิษฐานไว สําหรับพระภกิ ษสุ ามเณร ปะขาวนางชที ง้ั ปวง ใหเ ปนยาทาแกเ มอ่ื ยขบแกเ จบ็ หลงั กับแกถ นี ะมิทธะเงยี บ เหงาหาวนอน แลวกใ็ หท านสตั วท้ังหลายกินแกโรคตา ง ๆ มีเร่ียวแรงทําการไดสดวก แลบอน้ํามนั งานั้น พระอนิ ทราชาธิราชใชใหพระเวศุกรรมเทวบุตรลงมาประดิษฐานไวใ หพ ระสงฆตามดหู นงั สือแลบชู าพระศรี รัตนไตรยเจา แลใหท านสตั วท้งั หลายตามแตผ ใู ดจะปราถนา ขุนการเวกแลขาหลวงทั้งปวงกก็ ลบั มาหา พระสงั ฆราช ๆ วาพรงุ น้จี ะใหปะขาวนําไปนมัสการพระเชตพุ นมหา วหิ าร ขา หลวงทั้งปวงกก็ ลับมาท่ีอยู คร้นั เพลารุง เชา ปะขาวกน็ าํ ขุนการเวกแลขาหลวงท้ังปวงไปทีพ่ ระเชตุพนมหาวิหาร แลบันไดนัน้ ขุนการเวก ใหวัด บันไดกอ อิฐโดยกวา งได ๑๗ เสนกบั ๑๐ วา แตเชิงบนั ไดขนึ้ ไปบนถนน ๑๕ เสน ถนนยาวได ๑๗ เสน กบั ๑๐ วา ปะขาวก็พาเขา ไปในพระเชตุพนช้ันในกวาง ๓๐ เสน กบั ๑๐ วา เสากอ ดว ยอฐิ เปนแปด เหลีย่ ม วดั ดแู ตเหล่ียมหน่ึงไดเ จด็ วา แตป ระตูพระเชตุพนเขาไปจนถึงพระอาศนบัลลังก ทตี่ รสั พระธรรม ๓๑
เทศนา วัดได ๓๗ เสน กบั ๑๐ วา ดา นแปพระเชตพุ นยาวได ๗๕ เสน เสาสูงถึงทอ งขือ่ วดั ได ๑ เสน ๑๐ วา พระรัตนบลั ลงั กอ ยูห วา งกลางหอ งหนึ่งนั้น พื้นบนดาษดว ยทองคําหนาสามนิว้ มีพ้ืนลดลงมาอกี หอง หน่งึ ดาษดว ยนากหนาสามนิ้ว มีพื้นลดลงมาอีกช้ันหน่ึง ดาษดวยเงินหนาสามนิ้ว รอบรัตนบัลลังกท ั้งสี่ดา น ทีอ่ าศนพระสงฆกวางสามเสน พื้นนนั้ ดาษดวยเงนิ หนาสามน้ิว ทพ่ี ้ืนบรสิ ชั นง่ั นั้น ดาษดวยดบี ุกหนาหา นิว้ นับเสาพระเชตุพนได ๓๐๐๐ เสา มกี ําแพงแกว รอบพระเชตพุ นสูงสิบวา ขุนการเวกจงึ ถามปะขาววา พระเชตุพนนท้ี า นผใู ดสราง ปะขาวบอกวา อนาถบิณฑกิ มหาเศรษฐีสรางถวายแดส มเดจ็ พระพุทธเจา ท่ีอันนี้เปนทสี่ วนเจาเชต จึงใหช่อื พระเชตพุ น มหาวหิ าร ตามนามพระราชกมุ ารผเู จา ของสวน มหา เศรษฐสี รา งส้ินทรัพยถ ึง ๔๔ โกฏิ สรา งพระเชตพุ นข้ึนจนสําเร็จ มหาเศรษฐจี า งแตค นในเรือนแหงมหา เศรษฐีน้นั เองใหทําการจา ง ทองคําเสมอคนละตําลงึ ทอง คนในเรอื นมหาเศรษฐนี นั้ นับได ๑๒ อักโขภนิ ี มหา เศรษฐนี ั้นอยูปรางคปราสาทเจ็ดช้ัน มกี าํ แพงแกว สงู สองวา ขนุ การเวกจงึ ถามปะขาววา เมอื่ สมเด็จ พระพุทธเจาตรัสพระธรรมเทศนานน้ั พระสงฆแ ลบรสิ ชั นง่ั เตม็ พระเชตุพนฤๅมไิ ด ปะขาวบอกวา เมอ่ื สมเดจ็ พระพทุ ธเจา ตรสั พระธรรมเทศนาน้นั พระสงฆแ ลบริสชั เต็มออกไปจนกําแพงแกวแลว ยังมิพอ บรสิ ัชยงั เหลืออยูนน้ั กเ็ ปนอนั มากปะขาวกบั ขนุ การเวกแลคนทั้งปวงก็กลับมา ขนุ การเวกใหว ดั ทางแตพ ระเชตุ พนมาถงึ พระมาลเี จดยี เปนทาง ๒๕ เสน ก็พากันมานมสั การพระสงั ฆราชา ๆ ก็ปราไสวา อุบาสกไป นมัสการพระเชตุพนเหน็ สนุกดอี ยูฤๅ ขุนการเวกกบั ขาหลวงท้งั ปวงจึงกราบทูลวา ขา พระพุทธเจา ทง้ั ปวง ไดมาพบมาเหน็ ทั้งน้ี กเ็ ปนบญุ ลาภแกขา พระพทุ ธเจานักหนา ไดม านมัสการบูชาเกิดความยินดีหาท่สี ดุ มิได พระสังฆราชาจงึ สัง่ ใหปะขาวนาํ ไปดรู ฆังทองหลอ หนา ๑๑ นว้ิ ปากกวา ง ๕ วา ๒ ศอก สงู ๑๑ วา ไมตีรฆงั ใหญร อบ ๓ กาํ ยาว ๓ วา โรงรฆงั สูง ๑๕ วา เสาน้ันไมแกน ขา หลวงทง้ั ปวงกก็ ลบั มานมสั การพระ สังฆราชา ขนุ การเวกจึงถามวา พระสงฆเจา มีสกั กีอ่ าราม เปนพระสงฆมากนอยสกั เทา ใด พระสังฆราชาจงึ บอกวา พระสงฆม แี ตอ ารามเดียวเทา นี้ มีบาญชมี ีพระวรรษาเปนพระสงฆ ๒๐๐๐๐๐ กบั ๓ พระองค พระ สังฆราชาจงึ ถามขนุ การเวกวา พระสงฆเจา กรุงศรอี ยุทธยานั้น ผา อนั ใดเปนผา พระสมณะสาํ รวม ขุน การเวกกราบทูลวา พระสงฆในกรงุ ศรอี ยุทธยา ฝายคนั ถธุระทรงผารัตตกมั พลแดง ฝา ยวิปส นายอ มทรง เหลอื ง พระสังฆราชาก็วา ทรงผารัตตกมั พลแดงนั้นไดช อ่ื วาพระพทุ ธชิโนรสแทจริง แลพระสงั ฆราชาวา ในเมอื งหงษาวดนี น้ั ทรงผา แดงทง้ั สน้ิ พระสังฆราชาจึงเขยี นอักษร สงใหก บั ขุนการเวกนน้ั ตวั ๑ ถา จะ วา เปนอักษรขอมเรียกวา ตี วาตามอกั ษรไทยเรียกตามตัววาเลขเจ็ด กพ็ เิ คราะหโดยธงไชยกไ็ ดท้ังสามตัว นน้ั แล เลขเจด็ ตวั นัน้ ไดแกเ มอื งหงษาวดี ตีนนั้ ไดแกเมอื งลงั กาทวีป ตะน้นั ไดแกก รงุ ศรีอยทุ ธยาเหตวุ า เปน เมอื งทานํ้า ต่ํากวา เมืองเชยี งใหม ๑๕๐ เสน พระสังฆราชาจึงเขยี นเปนบาฬีแปลตัดบทพเิ คราะหเ ปนคํา ไทยสงใหขนุ การเวก ใหเอาลงไปถวายสมเดจ็ พระเจากรงุ ศรอี ยทุ ธยาโพนเถดิ ขนุ การเวกกบั ขา หลวงท้ัง ปวงอยไู ดประมาณ ๒๕ วัน แลคนซงึ่ ไปดวย ๕๐๐ น้ัน ทีป่ ระมาทไมต ง้ั อยใู นศีลกลาวมุสาทําปาณาตบิ าต ตายเสียท่ีตามระยะทาง ๓๐๐ คน ท่ีเหน็ สบายสนกุ น้ันก็ลาบวชอยู ณ เมอื งหงษาวดี ๕๐ คน ขนุ การเวกพระยาธรรมราชาขา หลวงแปดนาย กบั ไพร ๑๕๐ กก็ ราบลาพระสงั ฆราชา กลับคืนมายงั กรงุ ศรอี ยุทธยา ครั้นถึงแลว กเ็ ขาไปเฝา สมเดจ็ พระเจาอยูหวั แลวกก็ ราบทูลแจงประพฤดิเหตุ ซง่ึ พระสงั ฆราชา ๓๒
จดหมายส่งั มานั้น ทลู เกลา ทูลกระหมอ มถวายหนังสอื พระสังฆราชาน้ัน พระเจาอยูหัวมพี ระไทยปรดี า ภิรมยห รรษายงิ่ นกั ทรงพระกรุณาตรสั ถามขาหลวงทัง้ ปวงตา ง ๆ แลวพระราชทานรางวลั ตา ง ๆ ตามควร ขนุ การเวก พระยาธรรมราชา ภูดาษวัดเมืองอนิ ทร ภูดาษกนิ เมืองพรหม นายเพลิงกําจาย นายชาํ นอง องครกั ษ นายหาญใจเพช็ ร นายเด็จสงคราม กับไพร ๑๕๐ คน บรรดามาดวยกันทง้ั สน้ิ นัน้ ก็กราบถวาย บงั คมลาบวช ทรงพระกรณุ าโปรดใหบ รรพชา ตามเลอ่ื มไสศรทั ธา จบความในพระราชพงศาวดารเหนอื แตเพยี งเทาน้ี อาศัยซ่ึงบันทึกการเดนิ ทางฉบับสาํ คัญนี้ จึง สรปุ ลงไดเลยวา ทต่ี ัง้ “เมอื งสาวัตถ”ี อยูท ่ีเมืองหงสาวดี ประเทศพมา ในปจจุบนั นีเ้ อง และโดยอาศยั ความในพระอรรถกถา แหง พระไตรปฎ ก ซ่งึ พระอรรถกถาจารย ได รจนาไววา ในเวลาพระอาทติ ยต ก กุลบตุ รนัน้ ไปถึงกรุงราชคฤห จงึ ถามวา พระศาสดาทรงประทับ ณ ที่ไหน. ทานมาจากที่ไหนขอรับ. จากอตุ ตรประ- เทศนี.้ พระนครชอ่ื วา สาวตั ถี มอี ยใู นทางทท่ี า นมา ไกลจากพระนครราช- คฤหน ป้ี ระมาณ ๔๕ โยชน พระศาสดาประทบั อยู ณ กรงุ สาวัตถีนั้น. กลุ บตุ ร นน้ั คิดวา บดั น้ไี มใ ชกาล เราไมอาจกลบั วนั นี้เราพกั อยใู นทีน่ ีก้ อน พรงุ นจ้ี กั ไปสสู ํานกั พระศาสดา. แตน้ันจงึ ถามวา เหลาบรรพชิตทีม่ าถึงในยามวิกาล พัก ณ ที่ไหน. พัก ณ ศาลานายชางหมอนี้ ทาน. ลาํ ดบั น้นั กุลบุตรนั้น ขอพกั กะนายชา งหมอ น้ันแลว เขาไปน่ังเพอ่ื ประโยชนแกก ารพกั อาศยั ในศาลา ของนายชางหมอ นัน้ . จากพระอรรถกถา ท่ยี กมาขา งตน จึงทาํ ใหไ ดท ราบถึงระยะทางระหวา ง “เมอื งราชคฤห” กับ “เมอื งสาวตั ถ”ี หรอื “เมอื งหงสาวด”ี วา อยหู างกนั เทา กับ ๔๕ โยชน หรอื ๗๒๐ กิโลเมตร จากขอ มลู ระยะทางระหวา ง เมืองราชคฤห กับ เมืองกุสนิ ารา เทา กบั ๔๐๐ กิโลเมตร จากขอ มลู ระยะทางระหวาง เมอื งราชคฤห กับ เมอื งสาวตั ถี เทากบั ๗๒๐ กโิ ลเมตร โดยวธิ เี รขาคณิต กางวงเวยี นที่มีรัศมี ๔๐๐ กิโลเมตร โดยมจี ุดศนู ยกลาง อยทู ่ี เมอื งโบราณโกสิ นารายณ จงั หวัดราชบุรี โดยวธิ เี รขาคณติ กางวงเวยี นทม่ี ีรศั มี ๗๒๐ กโิ ลเมตร โดยมีจดุ ศนู ยกลาง อยูท ี่ เมอื งหงสาวดี (พะ โค) ประเทศพมา จะไดจุดตัดกนั ที่นาสนใจ อยใู นบรเิ วณ พ้นื ที่ จงั หวดั ชัยภูมแิ ละขอนแกน ของประเทศไทย เพราะ อีกจดุ ตดั หน่ึงจะอยูในมหาสมุทรอินเดยี ดัง แบบจําลองเพือ่ การคน หาท่ีต้งั เมืองราชคฤห ขางลา งน้ี และ น่นั หมายถึงวา เราอาจจะตง้ั สมมตฐิ านไดว า “เมืองราชคฤห อยใู นพ้ืนท่ี จงั หวัด ชัยภมู แิ ละขอนแกน ของประเทศไทย” ๓๓
แบบจําลอง เพอ่ื คนหาท่ีตั้งของ “เมอื งราชคฤห” มขี อมูลความสัมพนั ธ ระหวาง ดนิ แดนฝง ซา ยแมนาํ้ โขง ซึ่งเปน ทต่ี ง้ั ของประเทศลาว กับ เมอื ง ราชคฤห ปรากฏอยใู น \"ตาํ นานอรุ งั คธาต\"ุ ทีน่ า สนใจ ดงั จะขอคดั ลอกมาเพ่อื ใหไ ดอ า นประกอบการ พิจารณา ตอนหน่งึ วา ...ครงั้ เมอ่ื พระมหากสั สปเถระเจา พรอ มดวยพระอรหนั ตท ้ังหลายเมือ่ เสรจ็ การกอ อุโมงคแ ละ ประดิษฐานพระอรุ ังคธาตุ ทภ่ี กู าํ พรา แลว กก็ ลับไปสู เมอื งราชคฤห พระมหากัสสปเถระเจา มองเหน็ สามเณร ๓ องค เปน ผูท ี่ตัง้ อยูในการปฏิบัติ ถูกตองตามคําสง่ั สอน มคี วามเพยี รในการกระทาํ สมถะ วปิ ส สนา สามเณรทงั้ ๓ องคน้ี เม่อื บวชเปน ภิกษกุ ็ไดสาํ เรจ็ พระอรหันตพรอ มกนั ทง้ั ๓ องค องคหนงึ่ มีนาม วา พุทธรกั ขติ องคห นึ่งมนี ามวา ธรรมรกั ขิต อีกองคหน่ึงมนี ามวา สงั ฆรกั ขติ พระอรหนั ตท ง้ั ๓ องคน ้ี มาแตเ มอื งราชคฤหม าอยู “หนองกก” ใกลกับภูเขาหลวง ซ่งึ ในเวลาตอ มาพระอรหนั ตท ้งั ๓ องค กไ็ ดไปนําเอาพระยาทั้ง ๕ ซงึ่ ในเวลาตอ มาไดไปเกิดใน ตระกูลกษตั รยิ ใ นบา นเมืองตางๆ กันไปเพอ่ื นาํ มาบวชเปนภิกษุ และสอนวปิ สสนาภาวนา จนกระทงั่ พระ ลกู ศิษยทั้ง ๕ องคไ ดสาํ เร็จเปน พระอรหนั ต ผูเปนอาจารยจงึ นาํ เอาสานศุ ษิ ยท งั้ ๕ น้ี ไปสู เมอื งราชคฤห ในเวลาไลเ ล่ยี กนั นเ้ี อง ก็ไดมพี ระอรหนั ต ๒ องค มาจากเมอื งราชคฤห องคหนึง่ ช่อื มหาพทุ ธ วงศา อยทู ร่ี ิมน้าํ บึง องคหนึ่งชอื่ มหาสชั ชะดี อยปู า โพนเหนือนํา้ บึง ไมไกลจาก “หนองคนั แทเสอ้ื นาํ้ ” ท่ี “บุรีจนั อวยลว ย”ตงั้ บา นเรอื นอยู และเปน ผอู ปุ ฐากพระอรหนั ตท ้ัง ๒ องคด วยขาวบิณฑบาตและขาวสงฆ เปนปกติ ในเวลาตอมาไดร าชาภิเษกขนึ้ เปน พระยาจนั ทบรุ ี ครองราชสมบัติ ที่ เมืองจันทบุรีศรสี ตั ต นาค ซึ่งกค็ ือ พระยาจนั ทบุรี ท่ีพระพทุ ธองคไดพยากรณว า เปนพระเจาปสเสนทิโกศล กลับชาตมิ าเกิด ท้ัง ยังเปน หนอเนื้อพุทธังกรู ผจู ะมาตรสั รเู ปน พระพทุ ธเจา ในอนาคตกาลภายหนานน่ั เอง... ๓๔
ซ่งึ จากตํานานอุรังคธาตุ ซง่ึ พูดถงึ ความสมั พันธ และการเดนิ ทางไปมาหาสูกัน ระหวา ง ดินแดน ฟากซายแมน ํ้าโขง คอื ประเทศลาวในปจ จุบัน กับเมืองราชคฤหน ี้ สนบั สนุนความเปนไปไดของสมมตฐิ าน ทีว่ า “เมอื งราชคฤห อยใู นพื้นที่ จงั หวดั ชยั ภูมแิ ละขอนแกน ของประเทศไทย ” เพราะในสมยั ประวัตศิ าสตรปจ จุบนั กย็ งั มกี ารไปมาหาสูระหวางเวยี งจันทนก ับจังหวัดชัยภูมิ ในสมัยที่ พระยาชุมพล ภกั ด(ี แล) ผสู รางเมอื งชัยภูมิ และเปนเจาเมอื งชัยภูมคิ นแรก ไดอ พยพไพรพลขามแมน้ําโขง เขามาสราง บา นแปงเมือง ข้นึ แตท ้งั นจ้ี ะตองทาํ การคน หา หลกั ฐาน ทเ่ี กีย่ วของ เพือ่ มายืนยันสมมตฐิ านทีต่ ั้ง “เมอื ง ราชคฤห” ตอ ไป ซ่งึ เบาะแส หลักฐานทส่ี าํ คญั ทีจ่ ะยนื ยนั ทตี่ ง้ั ของ “เมอื งราชคฤห ” ในพน้ื ที่ จงั หวัด ชัยภูมิและ ขอนแกน นัน่ ก็คอื สถูปบรรจุพระบรมธาตุ ทเ่ี มืองราชคฤห ซง่ึ พระเจาอชาตศัตรูไดส รา งไว และเปน ท่ีมาของ “พระบรมสารรี กิ ธาตุ ” ที่พระเจา อโศกมหาราช ไดอัญเชญิ ไปประดิษฐานที่ วัดพระธาตศุ รี จอมทอง หรือ เจดยี ศาสนสักขี ทเ่ี มืองระแวกในเขตแดนอาณาจักรอยธุ ยา รวมทั้ง พระธาตเุ จดยี อ่นื ทงั้ ๘๔,๐๐๐ องค ทัว่ ทง้ั ชมพูทวีป โดยพระอรรถกถาจารย ไดร จนาไวใ นคมั ภีรอรรถกา วา พระเจาอโศก มหาราช ไดพระบรมสารรี ิกธาตจุ ากการขดุ คน สถปู บรรจุพระบรมธาตุ ท่ีเมอื งราชคฤห ซึง่ พระเจา อชาต ศัตรูไดส รางไว ตามคาํ แนะนําของพระมหากสั สปเถระ ในคัมภรี ถูปวงศ ไดก ลา วถงึ รายละเอยี ดการสรา ง พระสถูปในสมัยพระเจาอชาตศตั รูและการขดุ คนหาพระบรมสารีริกธาตสุ มัยพระเจา อโศกมหาราช ไว นาสนใจ ดังจะขอคัดลอกมาแตพอสังเขป ดังนี้ พระเจา อชาตศตั รโู ปรดใหส รา งพระสถปู ทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต ของกรงุ ราชคฤห โดย โปรดใหข ุดลึกลงไปถึง ๘๐ ศอก แลว ใหเ อาแผน โลหะปูขางลาง แลวใหส รางเรอื นทองแดงโตเทา เรือนพระ เจดียใ นถูปารามขน้ึ ในท่ีนน้ั (คมั ภีรน ้ีเขียนทล่ี งั กา จึงเปรียบเทยี บขนาดกับ พระถูปาราม ที่ ลังกา) ครั้น แลวจึงโปรดใหสรา งกลองและพระสถูปดว ยไมจนั ทนเหลืองเปน ตนอยา งละ ๘ อนั บนพระเจดยี แ กว ผลึกน้ัน โปรดใหสรางเรือนแกว ลว น บนนน้ั ขึ้นมาเปน เรอื นทองคาํ เรอื นเงนิ เรือน ทองแดง เปนชัน้ ๆ ขึ้นไป แลว ใหโ ปรยทรายแกว ลงไวใหท ่ัวบรเิ วณ แลวโปรยดอกไมนํา้ ดอกไมบกนบั เปน เรือนพนั ลงไว ทง้ั ใหห ลอ รปู ในเรอ่ื งพระเจา ๕๕๐ ชาติ พระอสีติมหาสาวก พระเจาสทุ โธทนะ มหาราช พระมหามายาพทุ ธมารดาและสหชาตทิ ง้ั ๗ ใหแ ลว ดว ยทองคาํ ทั้งนั้น แลวใหต ้งั หมอ นา้ํ อันเตม็ ไปดว ยน้ํา เปนหมอ ทองคํา ๘ หมอ เงนิ อยา งละ ๕๐๐ ไว ใหยกธงทอง ธงเงินข้นึ ไวอยาละ ๕๐๐ ใหต ามประทปี ทองประทปี เงนิ ไวอ ยา งละ ๕๐๐ ประทปี เหลา นน้ั ลวนแตใสเตม็ ดวยนํา้ มนั หอมทํา ไสดวยผาอยางดี ลาํ ดบั น้นั พระมหากัสสปเถระจงึ อธิษฐานวา ดอกไมท ัง้ หลายจงอยา รเู หีย่ ว กลิ่นหอมทัง้ หลายจง อยา หาย ประทปี ทัง้ หลายจงอยา รูด บั แลวใหจ ารกึ อกั ษรลงทแ่ี ผน ทองคําไววา ในขา งหนา โนน เมอ่ื ใด ปยทาสกุมารไดเสวยราชย เปน พระเจา อโศกธรรมราชา เมือ่ นั้น พระองคจกั ทําพระบรมธาตุ เหลา นใ้ี หแ พรห ลาย พระเจาอชาตศัตรูทรงบูชาดว ยเครือ่ งประดับสําหรบั กษัตรยิ ทงั้ ปวง แลวปดประตู เริม่ แตช นั้ แรกออกไปเปนลาํ ดับ พอปด ประตทู องแดงแลว ก็ใสกุญแจท่เี ชือกสายยู แลว วางแกว มณดี วง ๓๕
ใหญไวท ี่นนั้ ท้งั โปรดใหจ ารกึ อกั ษรไววา ในขา งหนาจงใหพระราชาผูเข็ญใจเอาแกว มณดี วงนีแ้ ลว สักการบูชาพระบรมธาตุเถิด ทาวสักกเทวราชกต็ รสั สั่งวิสสกุ รรมเทพบตุ รวา พระเจา อชาตศัตรไู ดจ ัดการบรรจุพระบรมธาตไุ ว แลว เธอจงไปจดั เครอ่ื งปองกนั ไว วิสสกุ รรมเทพบตุ รก็มาประกอบเครื่องยนตเ ปนรปู สตั วรา ยไว แลว ใหม รี ปู พยนตหลายรปู ถอื พระขรรคแ กวผลกึ วิ่งวนอยรู อบหอ งพระธาตุ รวดเร็วดังลมพัด ครัน้ ประกอบเคร่ืองยนต แลว ก็ลงสลกั ล่ิมอนั หนง่ึ ไวแลวลอ มดวยศิลา มอี าการเหมือนตกึ ทกี่ อดว ยอฐิ ปด ดวยศลิ ากอนหนึ่งไวเบอ้ื ง บน แลว โปรยฝนุ ลงทําพ้นื ดนิ ใหเสมอกนั แลว ต้ังพระสถูปศิลาไวเ บ้ืองบน เมอ่ื การเกบ็ พระบรมธาตุเสร็จเรยี บรอยอยา งน้แี ลว แมพ ระเถระดาํ รงอยูจ นตลอดอายกุ ป็ รินพิ พาน แมพระราชาก็เสด็จไปตามยถากรรม พวกมนุษยแ มเ หลานนั้ กต็ ายกนั ไป. วา ดว ยพระสถูป ๘๔๐๐๐ องค ตอ มาภายหลัง เมื่อครงั้ อโศกกุมารเถลิงถวัลยราชสมบัติเปน พระธรรมราชาพระนามวาอโศก ทรงรับพระบรมธาตเุ หลา นน้ั ไวแลว ไดทรงกระทาํ ใหแพรห ลาย. ทรงกระทาํ ใหแพรหลายอยางไร ? พระ เจาอโศกนั้น อาศัยนิโครธสามเณร ทรงไดความเลื่อมใสในพระศาสนา โปรดใหสรางวิหาร ๘๔ ,๐๐๐ วหิ ารแลว ตรัสถามภกิ ษุสงฆวา โยมใหส รางวิหาร ๘๔,๐๐๐ วหิ ารแลว จกั ไดพ ระบรมธาตมุ าจากไหน เลา ทานเจาขา . ภิกษุสงฆท ูลวา ถวายพระพรพวกอาตมภาพฟง มาวา ชอื่ วาที่เก็บพระบรมธาตมุ อี ยู แตไมทราบวาอยูท่ีไหน.พระราชาใหร ื้อพระเจดยี ในกรุงราชคฤห กไ็ มพ บ ทรงใหท าํ พระเจดยี คนื ดีอยาง เดมิ แลว ทรงพาบริษัท ๔ คอื ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสกิ า ไปยงั กรงุ เวสาลี แมใ นทีน่ น้ั ก็ไมได ก็ไปยังกรุงกบลิ พศั ดุ แมในท่นี นั้ ก็ไมไ ดแ ลวไปยงั รามคาม เหลานาคในรามคาม ก็ไมยอมใหร อื้ พระ เจดีย. จอบทีต่ กตองพระเจดยี ก็หกั เปนทอ นเล็กทอนนอ ย. ดวยอาการอยา งน้ี แมใ นท่นี น้ั ก็ไมไ ด กไ็ ป ยังเมอื งอัลลกัปปะเวฏฐทปี ะ ปาวา กสุ นิ ารา ในท่ที ุกแหง ดงั่ กลา วมานี้ ร้อื พระเจดยี แ ลว กไ็ มไดพ ระบรม ธาตเุ ลย ครัน้ ทําเจดียเหลา นั้นใหคืนดีดัง่ เดมิ แลว กก็ ลบั ไปยงั กรงุ ราชคฤหอีก ทรงประชมุ บริษทั ๔ แลวตรัสถามวา ใครเคยไดยินวา ทเี่ ก็บพระบรมธาตุ ในทชี่ ือ่ โนน มบี า งไหม. ในทป่ี ระชุมน้นั พระเถระ รปู หนงึ่ อายุ ๑๒๐ ป กลา ววา อาตมาภาพก็ไมร วู า ท่ีเก็บพระบรมธาตอุ ยูทโี่ นน แตพ ระมหาเถระบิดา อาตมภาพ ใหอาตมภาพคร้งั อายุ ๗ ขวบ ถือหีบมาลัย กลาววา มานี่ สามเณร ระหวางกอไมตรง โนน มีสถูปหินอยูเ ราไปกนั ที่น้นั เถดิ แลวไปบูชา ทานพดู วา สามเณร ควรพิจารณาทตี่ รงนี.้ ถวายพระ พร อาตมภาพรูเ ทานี้ พระราชาตรสั วา ท่ีนั่นแหละ แลวสั่งใหตัดกอไม แลว นาํ สถูปหนิ และฝนุ ออก ก็ ทรงเห็นพน้ื โบกปูนอยู แตนัน้ ทรงทําลายปนู โบกและแผน อฐิ แลว เสดจ็ สบู รเิ วณตามลําดับ ทอดพระเนตร เห็นทรายรัตนะ ๗ ประการ และรปู ไม (หุนยนต) ถอื ดาบ เดินวนเวียนอยู ทาวเธอรับส่ังใหเหลา คนผู ถือผีมา แมใหท าํ การเสนสวงแลว ก็ไมเห็นทส่ี ดุ โตง สดุ ยอดเลย จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลายแลว ตรัส วา ขา พเจา รบั พระบรมธาตเุ หลา นแี้ ลว บรรจุไวในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร จะทําสักการะ ขอเทวดาอยา ทาํ อนั ตรายแกขา พเจา เลย. ๓๖
ทาวสกั กะเทวราช เสดจ็ จาริกไปทรงเห็นพระเจา อโศกนัน้ แลว เรยี กวิสสุกรรมเทพบุตรมาส่ังวา พอ เอย พระธรรมราชาอโศก จกั ทรงนําพระบรมธาตไุ ป เพราะฉะนน้ั เจา จงลงสูบ ริเวณไปทาํ ลายรูปไม (หุนยนต) เสีย วิสสกุ รรมเทพบตุ รนนั้ กแ็ ปลงเพศเปน เดก็ ชาวบานไวจ ุก ๕ แหยม ยืนถอื ธนูตรงพระ พกั ตรข องพระราชาแลว ทลู วา ขาจะนําไป มหาราชเจา. พระราชาตรสั วานาํ ไปสิพอ . วสิ สกุ รรม เทพบุตรจับศรยิงตรงทีผ่ กู หนุ ยนตนนั้ แล ทําใหทุกอยางกระจดั กระจายไป. คร้งั นนั้ พระราชาทรงถอื ตรา กุญแจ ที่ติดอยทู ่เี ชอื กผกู ทอดพระเนตรเหน็ แทง แกวมณแี ละเหน็ อักษรจารึกวา ในอนาคตกาล เจา แผน ดนิ ทีย่ ากจนถอื เอาแกว มณีแทงน้แี ลว จงทาํ สกั การะพระบรมธาตุทั้งหลาย ทรงกรว้ิ วา ไมควร พูดหมนิ่ พระราชาเชน เราวา เจา แผนดินยากจน ดงั น้แี ลว ทรงเคาะซ้าํ ๆ กันใหเ ปดประตู เสด็จเขา ไป ภายในเรอื นประทีปที่ตามไวเม่ือ ๒๑๘ ป กโ็ พลงอยอู ยางนั้นน่ันเอง ดอกบวั ขาบก็เหมือนนาํ มาวางไว ขณะนน้ั เอง เครอื่ งลาดดอกไมก็เหมือนลาดไวข ณะนั้นเอง เครอื่ งหอมกเ็ หมือนเขาบดวางไวเ มอ่ื ครูนีเ้ อง. พระราชาทรงถือแผน ทอง ทรงอา นวา ตอ ไปในอนาคตกาล ครง้ั กมุ ารพระนามวา อโศก จกั เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ เปน พระธรรมราชาพระนามวา อโศก ทา วเธอจกั ทรงกระทาํ พระบรมธาตุ เหลา นใ้ี หแ พรห ลาย ดงั น้ี แลว ตรสั วา ทานผเู จรญิ พระผูเปนเจา มหากสั สปเถระเหน็ ตัวเราแลวทรงคู พระหตั ถซายปรบกับพระหัตถข วา. ทาวเธอเวน เพยี งพระบรมธาตุท่ปี กปด ไวใ นทนี่ น้ั ทรงทําพระบรมธาตุ ทเี่ หลือท้ังหมดมาแลว ปดเรือนพระบรมธาตุไวเ หมอื นอยา งเดิม ทรงทาํ ท่ที ุกแหง เปน ปกติอยางเกา แลว โปรดใหประดิษฐานปาสาณเจดยี ไวข า งบน บรรจพุ ระบรมธาตไุ วในวหิ าร ๘๔,๐๐๐ วหิ าร เมอ่ื ไดอ า นความพสิ ดารใน คมั ภรี ถ ปู วงศ แลว ทําใหเ กดิ ความคดิ วา ทาํ อยา งไร? จงึ จะคน พบ “สถานทต่ี ง้ั สถปู บรรจพุ ระบรมธาตทุ เ่ี มอื งราชคฤห ” ซึ่งพระเจา อชาตศตั รโู ปรดใหส รา ง ทางทศิ ตะวันออกเฉยี งใต ของกรงุ ราชคฤห นัน้ เพราะการคนพบ สถานท่ีตั้งสถปู บรรจพุ ระบรมธาตทุ ี่เมืองรา ชคฤห จะเปนเครอ่ื งยนื ยนั ที่ตงั้ ของ “เมอื งราชคฤห ” เพ่ือทจ่ี ะมายนื ยันขอสมมตฐิ าน ท่ีวา “เมอื ง ราชคฤห อยูในพื้นที่ จงั หวัด ชัยภูมแิ ละขอนแกน ของประเทศไทย” ๓๗
บทท่ี ๔ ทาํ ไมหมอชีวกโกมารภจั จจึงไดชอื่ วาบรมครูแหงแพทยแผนไทย? เร่อื งราวของทา นหมอชวี กโกมารภจั จ ก็เปน อกี เร่ืองหนง่ึ ทนี่ าสนใจใครศ กึ ษา ผมไมรูหรอกวา หมอ ยาสมัยโบราณกาล นานเทา ใดไมรูได ทไี่ ดอ าศัยตาํ รบั ตาํ รา ที่ ทานหมอชวี กโกมารภจั จ แตง ไว และใชใ น การรกั ษาโรค หรอื ปรุงยาแผนโบราณ รกั ษากันมา กอ นท่ีจะมีแพทยแผนใหม เมือ่ ชาตติ ะวันตกไดเ ริ่มแผ ขยายอทิ ธิพลทางการคา และศาสนา จนเกิดการลา อาณานคิ มและหลายประเทศตกเปน เมืองขน้ึ ของชาติ ตะวันตก ยกเวน ประเทศไทย ที่ยงั โชคดี รอดพน มาได และก็ยงั โชคดที สี่ รรพตํารา ทีบ่ รรพชนไดสบื รกั ษา ตกทอดกันมา ยงั ไมถ ูกทําลายไปจนหมดสนิ้ และเหลือใหเ ปนเชื้อใหลกู หลานในยคุ ปจ จุบัน ไดใชเปนเครอ่ื ง สบื คน เพ่อื คน หาขอ เทจ็ จริง วา แทท จ่ี รงิ แลว หมอชวี กโกมารภัจจ ทา นถอื กําเนดิ ในดนิ แดนแควน มคธ ท่ีตงั้ อยใู นประเทศอนิ เดียปจจบุ ัน หรอื ทเ่ี ปนทีต่ ง้ั ของสวุ รรณภมู ิปจจุบันกันแน? คนสวนใหญ จะรับรู ประวัติและเรอื่ งราวของหมอชีวกโกมารภัจจ จาก พระไตรปฎ กและคัมภรี อรรถกถา ดังท่จี ะประมวลมาใหท า นทัง้ หลายไดท ราบสักเล็กนอย ดงั น้ี วา หมอชวี กโกมารภจั จ เปนบตุ รของนางสาลวดี นางนครโสเภณีประจําเมอื งราชคฤห แควน มคธ ซง่ึ ตาํ แหนงนางนครโสเภณีสมัยนนั้ เปน ตาํ แหนง ท่มี ีเกยี รติเพราะพระมหากษตั รยิ ทรงแตงตั้ง นางสาลวดี ต้งั ครรภโดยบังเอิญ เมอื่ คลอดบุตรชายออกมาจงึ สัง่ ใหสาวใชนาํ ไปทงิ้ ท่กี องขยะนอกเมอื ง เคราะหด ที ีอ่ ภัย ราชกมุ าร พระราชโอรสของพระเจา พมิ พสิ ารไปพบเขาขณะเสดจ็ ออกไปนอกเมอื ง จึงทรงนํามาเลี้ยงเปน บตุ รบุญธรรม ช่อื “ชีวก” ตง้ั ขึ้นตามการกราบทลู ตอบคาํ ถามพระองคทีต่ รัสถามวา “เด็กยงั มีชวี ิตอยูร ึ เปลา ” มหาดเลก็ กราบทลู วา “ยังมีชวี ติ อยู ” (ชวี โก) สว นคาํ วา “โกมารภจั จ ” แปลวา “กุมารท่ีไดรบั การ เลีย้ งด”ู หรือ “กมุ ารในราชสาํ นกั ” อนั หมายถงึ “บตุ รบญุ ธรรม ” นนั้ เอง เมอ่ื ชีวกโกมารภจั จโตข้นึ ถกู พวก เดก็ ๆ ในวงั ลอเลียนวา \"เจาลกู ไมมพี อ\" ดว ยความมานะจึงหนพี ระบดิ าเลีย้ งไปเรยี นศลิ ปวิทยาทเี่ มอื งตัก ศลิ า เพื่อเอาชนะคําดหู ม่ินของพวกเดก็ ในวงั ใหไ ด วชิ าท่ชี วี กเรยี นคอื วิชาแพทย เน่อื งจากไมมีคาเลาเรียน ใหอาจารยจ ึงอาสาอยูร บั ใชอ าจารยส ารพดั แลวแตทานจะใช อาศยั เปน เด็กออ นนอ มถอมตน มคี วาม เคารพเชื่อฟงอาจารย จงึ เปนทโี่ ปรดปรานของอาจารยม าก มีศลิ ปวิทยาเทาไร อาจารยก ถ็ า ยทอดใหห มด ๓๘
โดยไมป ดบังอาํ พราง ชวี กเรยี นวชิ าแพทยอยู ๗ ป จงึ ไปกราบลาอาจารยก ลบั บา นอาจารยไ ดท ดสอบ ความรโู ดยใหเขา ปา ไปสาํ รวจดวู า ตนไมว าตนไหนวาทํายาไมไดใ หนําตวั อยางกลบั มาใหอาจารยดู ปรากฏ วา เขาเดินกลับมาตัวเปลา เพราะตนไมทกุ ตนใชทาํ ยาไดหมด อาจารยบ อกวา เขาไดเ รยี นจบแลว จงึ อนุญาตใหเขากลบั หลงั จากกลับมายงั เมืองราชคฤหแ ลว ชวี กไดถ วายการรกั ษาพระอาการประชวรของ พระเจาพมิ พสิ ารหายขาดจาก “ภคนั ทลาพาธ” (โรครดิ สดี วงทวาร) ไดร ับแตงต้ังใหเ ปน หมอหลวงพรอ มทั้ง ไดรบั พระราชทานสวนมะมวงใหเ ปนสมบัติอีกดว ย ตอ มาชีวกไดถวายสวนมะมวงแหง นใี้ หเปน วดั ทป่ี ระทับ ของพระพทุ ธเจาและพระสาวกทั้งหลาย ไดถวายการรักษาแดพระบรมศาสดาเมอื่ คราวพระองคทรง ประชวร และถวายตวั เปน แพทยป ระจําพระองคอ กี ดว ย ตลอดชวี ิตหมอชวี กไดบ าํ เพญ็ แตสิ่งทีด่ งี าม ชวยเหลอื ผเู จ็บปว ยไมเลอื กยากดมี ีจน จนไดร บั การ ยกยอ งจากพระพทุ ธเจา วา เปน เอตทัคคะ (ผูเ ปน เลิศกวา คนอน่ื ) ในทาง “เปน ที่รกั ของปวงชน ” ในวงการ แพทยแ ผนไทยนี้ ถือวา หมอชวี กโกมารภจั จเปน “บรมครแู หง การแพทยแ ผน ไทย” เปน ท่ีเคารพนบั ถือ ของประชาชนท่วั ไป หลายทานท่ยี งั ปก ใจเชือ่ วา กรงุ ราชคฤหอยทู ่ีประเทศอินเดยี ปจจบุ นั และไดเ ดนิ ทางไปแสวงบุญ ยังที่ประเทศอินเดยี ก็จะไดม โี อกาสไดไปเทีย่ วชม สถานทตี่ างๆ ทเ่ี กีย่ วกับทานหมอชวี กโกมารภัจจ เชนท่ี ชีวกัมพวนั ซ่ึง หมอชีวกโกมารภัจจไดถวายสวนมะมวงจดั สรา งใหเ ปนวดั ถวายแดพ ระภิกษุสงฆซง่ึ มี พระพุทธเจา เปน ประธาน แตน อกจากซากอฐิ ซากหิน ท่ีเห็นแลว มรี อ งรอยอะไรทสี่ ําคัญเกย่ี วกับหมอชวี ก โกมารภัจจ หลงเหลอื อยูบา ง? ชวี กัมพวัน ซึง่ หมอชีวกโกมารภัจจไดส รางเปน วัด ถวายไวใ นพระพทุ ธศาสนา ครนั้ สืบยอ นไปตามประวตั ทิ ่ที า นหมอชีวกโกมารภจั จ ไปศกึ ษาวชิ าการแพทย ยงั เมอื งตักศิลา ซ่งึ นักประวัตศิ าสตรช าวตะวันตก ก็ระบุวา เมืองตักศลิ าในสมัยพทุ ธกาลคือ เมือง Taxila ซง่ึ ปจจุบนั ต้ังอยูใน แควนปญจาบ ประเทศปากสี ถาน ซง่ึ ในสมัยพทุ ธกาล นน้ั วากนั วา เปนสาํ นักการศกึ ษาทยี่ ่ิงใหญ ไมใชแ ต ๓๙
เฉพาะดา นการแพทยเทา นั้น แตเปนสํานกั เรยี นดานศลิ ปะศาสตร อีกหลายแขนง แมพระราชโอรสของพระ เจา มหาโกศล ในพระนครสาวตั ถี พระนามวา ปเสนทกิ มุ าร พระกมุ ารของเจา ลจิ ฉวี ในพระนครเวสาลี พระนามวา มหาลิ และ โอรสของเจามัลละ ในพระนครกุสนิ ารา พระนามวา พนั ธลุ ะ กไ็ ดเสด็จไปนครตัก กสลิ านี้ เพอ่ื เรียนศิลปะในสาํ นกั อาจารยท ิศาปาโมกข ปจ จุบัน ก็ไดมกี ารขดุ พบหลักฐานทางโบราณคดี มากพอสมควร หน่งึ ในนั้น คือ ธรรมราชกิ า สถปู ซง่ึ วากนั วา เปน พทุ ธสถานในยุคแรกในปากีสถาน เชอ่ื กนั วา สรา งขน้ึ ในสมยั พระเจาอโศกมหาราชแหง ราชวงศโ มริยะ เพื่อเปนทป่ี ระดิษฐานพระบรมสารรี ิกธาตขุ องพระพุทธเจา ในเวลาตอ มาไดม ีการตอ เตมิ ขยายใหใ หญข ้นึ อกี ในราว ครสิ ตศตวรรษที่ ๒ ในสมยั พระเจากนิษกะ ธรรมราชิกาสถูป เมอื งปญจาป ประเทศปากีสถาน นอกจากซากโบราณสถาน ทีป่ รากฏใหเ หน็ แลว ทงั้ ท่ี เมอื งราชคฤห ประเทศอนิ เดยี ปจ จุบนั และท่ี เมือง Taxila แควน ปญ จาป ประเทศปากีสถาน ซึ่งเปน สาํ นักเรียนทางการแพทยทที่ า นหมอชวี กโกมารภัจจ เดนิ ทางไปร่ําเรียนนัน้ กลับไมหลงเหลอื อะไรทีเ่ กย่ี วกบั มรดกแพทยแผนโบราณเอาไวเลย ตรงกนั ขา ม ตาํ รบั ตาํ ราทางการแพทยแหงเมอื งตกั ศลิ า หรอื ตําราแพทยท ที่ านหมอชวี กโกมารภัจจ แตง ไว กลับถกู ถา ยทอด และสืบตอ กันอยา งแพรหลาย จนถงึ ปจจบุ นั นบั เปนเวลา ๒,๕๐๐ กวา ป ใน ดนิ แดนสวุ รรณภูมปิ จ จบุ ัน โดยเฉพาะประเทศไทย ซึง่ เปนท่ีมาของการยกยอ งให ทานเปน บรมครู แหง การแพทยแ ผนไทย ซึ่งผม จะขอยก เอาคัมภีรท างการแพทย ท่บี รรพบุรษุ ของเราไดเ กบ็ รักษา และเผยแพรส บื ตอ กัน มา อันเปนมรดกแหง สํานักแพทยตักศลิ า และบรมครูหมอชวี กโกมารภจั จ ดงั น้ี พระคมั ภรี ต ักกะศิลา สทิ ธิการยิ ะ จะกลาวถึงเมืองตักกะศิลา เกิดความไขว ิปริตเมื่อหา ลงเมอื ง ทา วพระยาไพรฟาขา แผนดนิ ทงั้ ปวง เกดิ ความไขล มตายเปนอนั มาก ซึง่ คนที่เหลือตายอยูนั้นออกจากเมืองตักกะศลิ าไป ยัง ๔๐
เหลอื แตเปลอื กเมอื งเปลา ยังมพี ระฤาษอี งคห นงึ่ มีนามมิไดปรากฎ เท่ยี วโคจรมาแตป า หมิ พานต จงึ เหน็ แตเ มืองเปลา มแี ตซ ากศพตายกา ยกองทั้งบา นเมือง เธอจึงต้ังพธิ ีชบุ ซากศพน้นั ข้ึน แลว ถามวา ทา น ทั้งหลายน้เี ปนเหตอุ ะไรจงึ ลมตายเปนอันมาก ฝงู คนทั้งหลายทช่ี บุ เปนขน้ึ นนั้ จึงแจง ความวา ขา แตพระผู เปนเจา บานเมอื งนีเ้ กดิ ความไขเ ปนพิกลตา งๆ ลางคนไขวนั ๑ บา ง ๒ วันบา ง ๓ วันบา ง ๔ วนั บา งตาย ลางคนนอนลางคนนัง่ ลางคนยืนลางคนตะแคงลางคนหงายตาย เปนเหตุเพราะความตายอยางนี้ พระ ดาบสไดฟง ถอยคําคนทง้ั หลายบอกดงั น้ัน กม็ ใี จกรณุ าแกสัตวท้ังหลาย เธอพิจารณาดวยฌานสมาบัตริ ูวา หา ลงเมอื ง จึงแตงพระคมั ภรี ไขเ หนอื แกไ ขพ ษิ ไขกาฬตกั กะศิลาสําหรับแพทยไ ปขา งนา ใหร ูป ระเภทอาการ เพอื่ จะใหสืบอายสุ ัตวไ ว ถาผใู ดจะเรยี นเปนแพทยรักษาโรคไขพ ษิ ไขเ หนือ กย็ อ มมมี าหลายจาํ พวกผจู ะเปนแพทยรกั ษาไข พิษไขเหนอื นัน้ ใหเอาดนิ โปง ๗ โปง ดนิ ทา ๗ ทา ดินปลวก ๗แหง ดินสระ ๗ สระ ดนิ ปา ชา ๗ ปา ชา เอา ข้ีเทา คนตายวนั เสารเผาวนั องั คาร แลว ใหเ อาใบราชพฤกษ ๑ ใบไชยพฤกษ ๑ ใบคันธพฤกษ ๑ ใบชุมแสง ๑ เผาประสมกบั ดนิ ปนเปนรปู พระดาบสไวบ ูชา เมือ่ จะบดยาเชิญรูปพระดาบสมาต้งั ไวเปนประธานจงึ ทาํ เครอ่ื งบูชาพระดาบส ดอกไม ธปู เทียนเครอื่ งกระยาบวช บายศรซี ายขวา ผาขาวปูเคารพสกั การะบชู าพระ ดาบสแลว เศกยาดว ยพระคาถาดงั น้ี อธิเจตโส อปมชั ช โต โมนปเถ สุสกิ ข โต โสกานัพภวนั ติ ตาทิโน อุปสนั ตสั ส สตีมโต เม่ือจะ ไปดไู ขก ็ใหวา พระคาถานี้ ใหเศกนํา้ ลางหนารดตวั ผทู ่จี ะเรียนเปนแพทยร ักษาไขพ ิษไขเ หนือนัน้ จงึ จะคุม อปุ ท ทะวะอันตรายแหง ตวั ได แลวใหเ ศกนํา้ มนตประคนไข แลวใหพจิ ารณาไขใ หถ อ งแท เม่ือผเู ปนเจาจะแสดงเภทไขพ ษิ ไขเ หนอื แลไขก าฬ ใหค นทัง้ หลายรปู ระจักษ คอื อันใดทจี่ ะเปนไข พษิ น้นั เปนตน ไขอ ดี ําอแี ดง ไขป านดําปานแดง ไขล ากสาด ไขสายฟาฟาด ไขร ะบชุ าติ ไขก ระดานหนิ ไข สงั วาลพระอินทร ไขม หาเมฆ ไขมหานิล ไขเขา ไหมใหญน อย ไขเ ขาไหมใบเตรยี ม ไขไ ฟเดอื นหา ไขเ ปลว ไฟฟา ไขหงษร ะทดดาวเรอื ง ไขจ นั ทรสูตร ไขส ุรยิ สูตร ไขเ มฆสูตร วา ดังนี้คนทัง้ หลายจึงวิงวอน วาขาแตผ ู เปนเจา จงไดโ ปรดสัตวทั้งหลายใหอายุยืนยาวไปขา งนานน้ั ขอผูเปนเจาโปรดใหขา พเจาทราบอาการไข เภทไขล ักษณไขท กุ ประการ ฯลฯ พระคัมภรี ธ าตวุ ภิ ังค ( อหํ ) อันวาขา ( ชวี กโกมารภจั โ จ ) มีนามปรากฎวา โกมารภัจแพทย ( อภวิ นั ท ติ ๎วา ) ถวาย นมสั การแลว ( พ,ุ ธ, สํ ) ซึ่งพระคุณแกว ท้งั ๓ ประการ (เสฏฐ )ํ อันประเสรฐิ โดยพิเศษ ( เทวินทํ ) อนั เปน ใหญแ ลเปนทีเ่ คารพยข องเทพยดาทงั้ หลาย (กิตตยสิ สาม)ิ จกั ตกแตง ไว (คันถํ ) ซ่ึงคัมภีรแ พทย ( โรคนิ ทานํ ) ชอ่ื วา โรคนทิ าน ( ปมขุ ํ ) จาํ เภาะหนา ( อิสสิ ิทธโิ น ) แหง ครุช่ือวาฤาษสี ทิ ธิดาบศ ( นาถัตถํ ) เพ่ือ จะใหเปนทพ่ี ึ่ง ( โลกสั ส ) แกส ัตวโลกยท้ังปวงคอื แพทยแลคนไข ( อิติ ) คอื วา ( อิมินา ปกาเรน ) ดว ย ประการดงั น้ี พระอาจารยเ จาจงึ ชักเอาพระบาฬี ในคมั ภีรพ ระบรมตั ถธรรม มาวา ซ่งึ บคุ คลจะถงึ แกค วาม ๔๑
ตายสน้ิ อายนุ ั้น เทวทตู ในธาตุท้งั ๔ มพี รรณสาํ แดง ออกใหแจง ปรากฎโดยมะโนทวาร วถิ อี นิ ทรียป ระสาท ทั้งปวง แลธาตุอันใดจะขาดจะหยอนจะพกิ ารอนั ตรธานใดๆ กด็ ี มีแจงอยูในคัมภรี ม รณะญาณสตู รนนั้ แลว แตถ งึ กระนั้นตอ งอาไศรยธาตุเปนหลักเปนประธาน ลกั ษณะคนตายดวยบุราณโรค นั้น เทวทตู ท้งั ๔ กห็ าก จะแสดงออกใหแ จง ดงั กลาวมานนั้ ลักษณะคนตายดว ยปจ จบุ ันกรรมน้ันก็มอี ยูต างๆ ถงึ ดังนนั้ กจ็ ริง เทวทตู มหศั จรรยก ห็ ากจะแสดงอยู แตแพทยท ่จี ะหยง่ั รูหย่งั เห็นเปนอนั ยากยิ่งหนัก โกมารแพทยผปู ระเสรฐิ จึง นิพนธลงไวใ นคัมภีรโ รคนทิ าน ฯลฯ พระคมั ภรี โ รคนทิ าน (อห)ํ อันวาขา (ชวิ กโกมารพัจโจ) ผูมีนามโกมารพัจแพทย (อภิวนั ทิต๎วา) ถวายนมสั การแลว (พทุ ธ คุณํ) ซึง่ คณุ แกว ๓ ประการ มีพระพุทธรัตนะเปนตน (เสฏฐ ํ) ประเสรฐิ โดยวริ ิยะยง่ิ นัก (เทวินท)ํ ยอ ม เปนทีน่ มสั การของเทพยดาทั้งหลาย (กติ ตยิสสาม)ิ จักตกแตง ไว (คันถํ) ซง่ึ คมั ภรี แ พทย (โรคนิทานํ นาม) ชอ่ื วา โรคนทิ าน (ปมขุ ํ) เฉภาะภกั ตร (อสิ ีสิทธ โิ น) แหงทา นมนี ามชอ่ื วาฤๅษสี ทิ ธิดาบศ (ปตฏิ ฐ ติ )ํ เพอ่ื จะให เปนทพี่ ่ึง (โลกานํ) แกส ัตวโลกทง้ั หลาย (อิติ เมาะ อิมินา ปกาเรนะ) ดว ยประการดงั นี้ ฯลฯ พระคมั ภรี ป ฐมจนิ ดาร นโม ตสั ส ภควโต อรหโต สมั มาสัมพทุ ธสั ส นมสั ส ิตว๎ า จ เทวนิ ทํ เทวราชสักก ํ อิว ชวี กโกมารภจั จํ โลกนาถํ ตถาคตํ ปฐมจินตารคันถ ํ ภาสสิ สํ ฉนั ทโสมุขํ สํเขเปน กิตตยิตํ ปุพเ พ โลกาน นาถตั ถ นั ต ิ แปล (อห)ํ อนั วา ขา (นมัสสิต๎วา) ถวายนมสั การแลว (ตถาคตํ) ซึ่งพระศรีสุคตทศพลญาณเจา (โลกนาถ)ํ เปนท่พี ึ่งของโลกย (จ) อน่งึ โสด (อห)ํ อนั วา ขา (อภวิ นั ทติ ว๎ า) ไหวแ ลว โดยพิเศษ (ชวี กโกมารภจั จ)ํ ซ่ึงชวี กโกมารภัจ แพทยผ ปู ระเสริฐ (เทวราชสักก ํ อิว) เปรียบดุจสมเด็จอมรินทราธริ าชบพิตร (เทวินท)ํ ผมู มี หศิ รภาพเปนจอมมกฎุ แกเ ทพยบ ุตยทั้งหลาย (ภาสสิ ส ํ) จกั แสดงบดั น้ี (คนั ถํ) ซ่งึ พระคมั ภีรแ พทยอ นั วเิ ศษ (ปฐมจินต าร)ํ ช่ือประถมจินดาร (ฉันทโสมขุ ํ) อันเปนหลักเปนประธานแหงพระคมั ภีรฉันทศาสตรท ้งั ปวง (กติ ตยิต)ํ อันพระอาจารยโกมารภัจ แตงไว (ปุพเพ) ในกาลกอ น (สังเขเปน) โดยสงั เขป (นาถตั ถํ) เพ่อื จะใหเ ปนทีพ่ งึ่ (โลกาน)ํ แกส ตั วโ ลกยทั้งหลาย (เอว)ํ ดว ยประการดงั น้ี ฯลฯ ๔๒
ตวั อยางขา งตน หยิบยกมาแตความข้นึ ตน ของแตละคัมภรี เทา นัน้ ซึง่ ความละเอียดโดยพสิ ดาร ผใู ดใครรู ก็สามารถท่จี ะสบื คน หาอา นไดไ มย าก ซ่งึ คัมภรี ดงั ทไ่ี ดอ างมาแลวนี้ ไมป รากฏวา จะหลงเหลอื อยใู นทง้ั ท่ี เมอื งราชคฤห ประเทศอนิ เดียปจจบุ ัน และทเ่ี มอื ง Taxila แควน ปญ จาป ประเทศปากสี ถาน หรอื ไมป รากฏหลงเหลือวิธกี ารรกั ษา หรือการปรงุ ตํารับยาแผนโบราณเลย ซึง่ หากทา นทัง้ หลายไดอาน รายละเอียด ของตัวยา คอื พชื สมนุ ไพรท่ีนํามาประกอบปรุงยา ก็ยิง่ จะเกิดความสงสัยตอไปวา พชื สมนุ ไพร ในตํารบั ยาของหมอชวี กโกมารภัจจ ลว นแลว แตเปน พชื สมนุ ไพรไทย ซึ่งไมป รากฏมีใน ทั้งที่ เมืองราชคฤห ประเทศอนิ เดียปจจุบนั และทเี่ มอื ง Taxila แควน ปญ จาป ประเทศปากีสถาน เหตุผลท่เี ปนเชนน้ี ก็เพราะวา ท้งั ท่ี เมอื งราชคฤห ประเทศอินเดียปจ จบุ ัน และทเ่ี มือง Taxila แควนปญจาป ประเทศปากสี ถาน ไมใ ช เมืองราชคฤห และเมอื งตักศิลา ในสมัยพุทธกาล ดงั ทไ่ี ดม ี การศกึ ษา และคน ควา ในบทกอ นหนา นแี้ ลว วา เมอื งราชคฤห แควน มคธ ในสมัยพทุ ธกาล ไมไดอยูที่ ประเทศอินเดยี ในปจจบุ ัน แตอยูในประเทศไทย หรืออาจจะบอกไดว า อยูในพ้นื ที่จังหวดั ชยั ภูมิ และขอนแกน นเ่ี อง และนัน่ กอ็ าจหมายถึงวา เมอื งตกั ศลิ า กอ็ าจจะอยใู นประเทศไทยของเราน่ีเอง น่ี กระมงั ทา นหมอชีวกโกมารภจั จ จึงไดช ิอ่ วา บรมครแู หงการแพทยแ ผนไทย ๔๓
บทท่ี ๕ ตกลงพระเจาอโศกมหาราชเปนแขกหรือเปนมอญกนั แน? นกั ศกึ ษาประวัตศิ าสตรพ ระพทุ ธศาสนาชาวไทย ไดเ กดิ ความสบั สน ในพระราชประวตั ขิ องพระเจา อโศกมหาราช ซึง่ เปนองคศ าสนูปถมั ภกผูย งิ่ ใหญ มาต้งั แตท ี่ ไดรับรู ผลการศึกษา ของนกั ประวตั ศิ าสตร ชาวตะวันตก เรื่องชว งเวลาที่พระเจา อโศกมหาราช เกิดขึ้นมาในโลก เพราะจากการลําดับประวตั ศิ าสตรใ น ลุมนํา้ สินธุ ประเทศอนิ เดยี ปจจุบัน โดยเริ่มตัง้ แต พระเจา อเลก็ ซานเดอรม หาราช กษัตริยช าวกรกี ผู ย่ิงใหญ ทเ่ี ร่ิมแผอิทธิพลเขา มายงั อนิ เดีย ในราวป พ.ศ. ๒ ๑๗ เทากบั วา ชวงเวลาน้ัน พระเจา อโศกองคศาสนปู ถมั ภกผูย่งิ ใหญ ยงั ไมไ ดเกดิ มาลมื ตามองดโู ลก ซ่งึ จะขดั แยงกบั พระราชประวัติ ของพระเจาอโศก ในความรบั รูข องชาวพทุ ธในแผน ดนิ สวุ รรณภมู ิปจจุบนั เพราะนอกจากเรอ่ื งราว ของพระเจา อโศกจะปรากฏอยูในพระอรรถกถาบาลีแลว ในพระราชพงศาวดาร ตํานาน ทส่ี ืบตอๆ กันมา ในแผน ดนิ สุวรรณภูมิ น้ี ยอ มเปนท่ีรบั รกู ันวา พระเจา อโศกศาสนปู ถัมภกผูยงิ่ ใหญ น้ี ไดถือกาํ เนดิ เกิดขน้ึ มาในโลกน้ี เม่ือ วันเพญ็ เดือนวสิ าขะ พ.ศ. ๑๘๘ และไดปราบดาภเิ ษกข้ึนเปน กษัตรยิ ห ลัง ผานสงครามชว งชงิ ราชสมบตั ิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๔ กอ นที่พระเจาอเล็กซานเดอรม หาราช จะยกทพั มายดึ ครอง อินเดีย เสยี อีก และแนนอนทีส่ ดุ เหตกุ ารณสําคัญในรัชสมัยพระเจา อโศกมหาราช ก็คือ การทาํ ตตยิ สงั คายนา หรอื การสังคายนาพระไตรปฎ ก ครงั้ ที่ ๓ เม่อื พ.ศ. ๒๓๕ และการสง คณะพระธรรมทตู ไปเผยแผ พระพทุ ธศาสนา ซึง่ จะปรากฏความไมล งรอยกนั ในประเทศ แวนแควน ท่ี คณะพระธรรมทตู ซ่งึ พระโมค คลั ลบี ตุ รตสิ สะ สง ไปประกาศพระพทุ ธศาสนา ระหวางความเหน็ ของนักประวัติศาสตรชาวตะวนั ตก กบั ท่ี พระปญญาสามี พระภิกษชุ าวพมาไดบ นั ทึกไวใ น คัมภีรศ าสนวงศ ทั้งน้ี กเ็ พราะ ความสบั สนใน ท่ตี ัง้ ของ ชมพูทวีป ท่ีต้ังของอินเดยี และทต่ี ้งั ของนครปาฏลีบตุ ของพระเจาอโศก นอกจากนใี้ นพงศาวดารมอญยัง บนั ทึกไววา กษตั ริยผ ูก อ ต้งั อาณาจกั รมอญทีเ่ มอื งตะโทง เปนเจาชายท่ีเปนราชบุตรของพระเจาติสสะ และ เปน ชว งเวลาที่ตรงกับรชั สมัยของพระเจาอโศกมหาราช จนเปนขอ สงสัยทีต่ อง คนหา และพิสูจนวา ตกลง พระเจาอโศกมหาราชเปนแขกหรือเปนมอญกนั แน? ดังจะขอยกหลักฐานความสับสนของนักประวตั ิศาสตรไ ทย ซ่ึงปรากฏอยใู นพระนพิ นธคอื งานเขยี น ของเจา นายชนั้ สงู ในสมยั น้นั คอื หนงั สือ ตาํ นานพระพทุ ธเจดยี ซึ่งเปน พระนพิ นธข อง สมเดจ็ พระเจา บรมวงศเ ธอ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ ซง่ึ ไดร บั การยกยองเชิดชวู าเปน พระบดิ าแหง ประวัติศาสตรไ ทย เรอ่ื งของพระเจา อโศกมหาราช ทป่ี รากฎอยใู นตอนที่ ๓ ของพระนิพนธ ตํานานพระ พทุ ธเจดีย ซึ่งพระองคทา นไดนพิ นธไ ววา ...ตรงนจ้ี ะแสดงวินจิ ฉัยเร่อื งราชประวัติแหง พระเจา อโศกมหาราชแทรกลงสักหนอ ย ดว ยแตกอ น มาเรารเู รอื่ งแตต ามท่ีปรากฎในหนงั สือซ่งึ แตง ในลังกาทวปี คือหนังสอื มหาวงศเปนตน คร้ัน นักปราชญตรวจคนของของโบราณในอนิ เดีย พบศิลาจารกึ ของพระเจา อโศก อานไดค วาม แตกตางกบั มหาวงศห ลายขอ อกี ประการหนง่ึ ในเรื่องมหาวงศเม่อื กลา วถงึ เหตุทีท่ าํ ใหพ ระเจา ๔๔
อโศกทรงเลอ่ื มใสพระพทุ ธศาสนา มกั อา งไปในทางขา งปาฏหิ ารยิ มิไดพ ิจารณาพฤตกิ ารณทางฝา ย อาณาจกั ร... เหตทุ ่พี ระองคทา นจะทรงวนิ จิ ฉัยไวก เ็ นือ่ งมาแตวาตามคมั ภีรมหาวงศก ็ดี ในอรรถกถากด็ ี กลาวถงึ สมัยพระเจาอโศกครองราชยวา เกดิ ขึ้นเมอ่ื ๒๑๘ ป นับแตปท ีพ่ ระสมั มาสัมพุทธเจา ปรนิ พิ พาน แต ตามลําดับท่นี ักปราชญต ะวันตกแตงพงศาวดารอนิ เดยี นั้น ในป พ .ศ. ๒๑๗ เปนชว งปลายสมัยพระเจา อ เลก็ ซานเดอร กวา พระเจาจนั ทรคปุ ตซ ่ึงเปนเสด็จปู และพระเจาพินทุสารซง่ึ เปนพระราชบิดาของพระเจา อโศก จะไดค รองราชยห ลงั จากนนั้ และทวิ งคตคอื ตายน้ัน พระเจา อโศกจึงไดราชสมบตั ิเมือ่ พ .ศ. ๒๗๐ ตรงนี้จึงไดขดั แยง กบั สงิ่ ท่ีบรรพบุรุษของไทยแตโบราณเชือ่ ถอื และสืบทอดกันมา เพราะปรากฏ อยใู นอรรถกถาพระไตรปฎ ก ปรากฏอยใู นตาํ นาน พงศาวดาร แมใ นไตรภมู พิ ระรว ง ทพ่ี ระยาลิ ไท แตงในสมัยสุโขทัย ก็อางมาจากคัมภีรม หาวงศแ ละอรรถกถาวา พระเจา อโศกครองราชยเ ม่ือ พุทธปรินิพพานได ๒๑๘ ป และครองราชยอยูได ๓๗ ป กส็ วรรคตคอื ตายเมื่อ พ .ศ. ๒๕๕ เร่อื ง ทงั้ หลายจงึ ขดั แยงกบั ฝรง่ั ซึ่งหากเราเช่ือตามฝร่งั นัน้ ก็คงตองกลบั ไปแกต าํ นาน พงศาวดาร และ อรรถกถา ไมวา จะเปนวันเดอื นป ทพ่ี ระเจาอโศกขึน้ ครองราชย ปท่ีพระเจา อโศกอุปถัมภก าร สงั คายนาพระไตรปฎ กครง้ั ท่ี ๓ รวมท้ังปท ่ีพระเจา อโศกสวรรคต ซ่งึ หากทําเชน นั้น ก็เทากบั เปน การลมลางคาํ ของพระอรหันตท่ไี ดแ ตงอรรถกถาไว ลบลางคาํ ของบรรพบุรษุ ทส่ี อู ุตสาหสืบรักษา ตอ ๆ กนั มาชานาน อกี เรื่องหน่งึ ทเ่ี ก่ยี วเน่อื งกับสมยั พระเจา อโศกมหาราชก็คอื การสง พระสมณฑตู ไปเผยแผพ ระ พระศาสนา หลงั จากไดก ระทําการสงั คายนาพระไตรปฎ กเสร็จสิ้นในปลายป พ .ศ. ๒๓๕ ท่ีกรมพระยา ดาํ รงราชานุภาพทานไดนิพนธไ วว า เรอ่ื งพระเจา อโศกมหาราช ใหส อนพระพทุ ธศาสนาแพรห ลาย ไปยงั นานาประเทศนน้ั มหี ลกั ฐานปรากฏทง้ั ในหนงั สอื มหาวงศแ ละศลิ าจารกึ ของพระเจา อโศก แตรายการทก่ี ลา วผิดกนั ชอบกล ในหนังสือมหาวงศก ลา ววา พระเจา อโศกทรงอาราธนาใหพระสงฆไ ป เทีย่ วสอนพระศาสนายังนานาประเทศ แสดงนามพระสงฆและนามประเทศตางๆ ทไ่ี ปสอนไว สว นศิลา จารกึ ของพระเจา อโศก มิไดกลา วถงึ การที่ใหพระสงฆไปเท่ยี วสอนพระศาสนา แตก ลา ววา ไดใ ห ราชทูตเชญิ พระธรรมไปแสดงถึงนานาประเทศ บอกนามไวตรงกับประเทศตริโปลี อียปิ ต ซเี รีย ตลอดจนถงึ ประเทศกรซี และมาซโิ ดเนยี ในยโุ รป เหตุท่หี นังสอื มหาวงศก ับคาํ จารกึ ของพระเจา อโศกแตกตา งกนั ดงั นี้ สนั นษิ ฐานวาเห็นจะเปนเพราะทานผแู ตงหนังสอื มหาวงศป ระสงคจ ะแสดงแตเร่อื งสวนที่ เกีย่ วดวยพระภกิ ษุสงฆ ฝายการจารกึ ศิลาประสงคจ ะแสดงพระเกียรตแิ กม หาชนในพระ ราชอาณาจักร จริงๆ แลว ความขดั แยงท่เี กดิ ขึ้นเมอื่ เกือบ ๑๐๐ ปทีแ่ ลว นาทจ่ี ะมใี ครเอะใจ หรือตั้งสติและโตแยง ส่ิงเหลา นีบ้ า ง แตการทอี่ นุโลมตามความเห็นหรือมตขิ องนกั ประวัติศาสตรช าวตะวันตกน้ัน ทําให ความ จรงิ ของแผน ดินถูกบิดเบือนไป จนถงึ ทกุ วนั น้ี ท้งั ชมพทู วีป ทง้ั อินเดยี โบราณอนั เปน ทต่ี ้งั ของสังเวชนียสถาน ๔ ตาํ บล จึงถกู ยกใหไ ปอยูท ่ปี ระเทศอินเดยี ในปจ จุบัน รวมทั้งพระเจา อโศกมหาราช จึงถกู แปลง ๔๕
สญั ชาตเิ ปนแขกไป ทส่ี ําคัญ คือ ตาํ นานตางๆ ทบี่ รรพชนของเราสูอ ตุ สาหส บื รักษาถา ยทอดกัน มาเปน เวลาหลายรอยป กถ็ กู เยย หยันหรือมองขาม โดยถูกมองขามเปนแคน ทิ านลวงโลกเทานนั้ พระเจา อโศกมหาราชถวายภตั ตาหารแดน โิ ครธสามเณรในพระบรมมหาราชวงั พระเจาอโศกเกดิ เม่อื ไหรแนต ามโคตรเหงา คนไทยรูจ ัก จาก ตาํ นานธรรมราชเกี่ยวดวย เมอื งเชยี งใหม ในหนงั สือ ประชุมตาํ นานพระธาตุ ภาคท่ี ๑ และ ภาคท่ี ๒ หนา ท่ี ๑๕๗ บนั ทกึ ไวว า “ปก าบสันศกั ราช ๖๐๔ ศาสนา ๑๘๘ วัสสาเดอื นวสิ าขะเพง็ ยามหาดลัน่ เชา พระยาธรรมา โศกเกิด ปกาบซงา ศักราช ๖๓๖ ศาสนา ๒๑๘ วัสสา เดือนวสิ าขะเพ็งพระยาอโศกปราบชมพูทวีป” เร่ืองของพระเจาอโศกมหาราช ในตํานาน พงศาวดาร หรือบันทึกเหตุการณของมอญและไทย ที่ พสิ ดารไปอกี ปรากฏใน “คําใหการชาวกรุงเกา ” ซึง่ เปนหนงั สอื พงศาวดารประวตั ิศาสตร ทไี่ ดร วบรวม เร่ืองราวตางๆ สมยั ครง้ั กรุงศรีอยุธยาเปน ราชธานี จากคาํ ใหก ารของเชลยศึกชาวไทยท่ีถกู พมา กวาดตอน ไป สมัยเสยี กรุงคร้งั ที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ เชื่อวาตน ฉบับเปนภาษารามญั ท่ถี กู แปลเปน ภาษาพมา และไทย ตามลําดบั นนั้ มีอยูต อนหนึง่ นาสนใจ บนั ทึกไวว า ๔๖
…ครน้ั แลว พระองคเ สดจ็ จากเขาสวุ รรณบรรพต ไปยังตําบลบานพอ แองในขา งทศิ ตะวนั ตก ตําบล น้นั มบี งึ ใหญแหงหนึง่ ใกลบึงนัน้ มีพฤกษชาติใหญตน หน่งึ มกี งิ่ กา นใบอันสมบรู ณ สมเด็จพระพุทธองคก ็ ทรงกระทาํ ปาฏิหารยิ อ ยเู หนอื ยอดพฤกษชาตนิ ั้น คือทรงนง่ั ทรงไสยาสน ทรงพระดาํ เนริ จงกรม แลทรงยนื บนยอดก่ิงไมใ หญ มีพระอริ ยิ าบถทั้งสี่เปรปรกติมิไดห ว่นั ไหว ในขณะนั้น ฝา ยพฤกษเทพยดาทง้ั หลายได เหน็ ปาฏหิ ารของพระองคเปนมหศั จรรยด งั นั้น กบ็ ังเกิดปติโสมนัสเลอ่ื มใสในพระคุณของพระองค จงึ นาํ ผล สมอดีงแู ลผลสมอไทยอนั เปนของเทพโอสถ มากระทาํ อภิวาท นอมเขา ไปถวายแดพระพทุ ธองค ในขณะ นัน้ พระองคท อดพระเนตรเหน็ แพะเลก็ ตัวหนงึ่ อยูใ นท่ีใกล กท็ รงแยมพระโอษฐ ฝา ยพระอานนทเถรพุทธ อนชุ าเห็นพระองคท รงแยมพระโอษฐใหป รากฏดังนนั้ จึงกราบทลู ถามถึงเหตุแหงการแยม พระโอษฐวาจะ มเี ปนประการใด สมเด็จพระสรรเพชญพ ุทธเจาจงึ ตรสั พยากรณวา ไปในอนาคตกาลเบอ้ื งหนา แพะ เล็กตวั น้จี ะไดบ งั เกิดเปนกษตั ริยครองราชยสมบัติในประเทศน้ี จะมเี ดชานภุ าพมาก แลจะไดท าํ นุ บาํ รงุ บทวลญั ชอ นั เปนรอยพระบาท กับรูปฉายาปฏิมากรของเราตถาคตสืบไป คร้นั ลว งกาลนานมา สมเดจ็ พระพทุ ธองคเสด็จดับขนั ธปรินิพพานแลว พระพุทธศกั ราช ลวงได ๒๑๘ ป จงึ บงั เกดิ พระเจา ศรธี รรมาโศกราช ไดค รองราชยส มบตั ใิ นกรงุ ปาตลบี ตุ รมหานคร พระองคท รงบําเพญ็ พระราชกศุ ลมกี ารสรา งพระอาราม พระสถูปเจดยี แลขุดบอ สระเปนตน เปนอันมาก พระองคไดเ สดจ็ ประพาสทว่ั ไปในสกลชมพทู วีปตราบเทา ถึงเมืองสงั ขบรุ ี เสด็จขึ้นครองราชยส มบัตอิ ยูใ น เมอื งน้ันตอไป พระองคมมี หทิ ธิฤทธเิ ดชานภุ าพมากลํ้าเลิศกวากษัตริยท ั้งหลาย ไดท รงบาํ รงุ พระพุทธศาสนาใหถาวรรุงเรอื งไปทวั่ สกลชมพทู วปี ในคราวหนง่ึ พระองคไ ดต รสั แกเ สนาอาํ มาตยร าช มนตรที ง้ั ปวงของพระองคว า พระองคไ ดม าบงั เกิดเปนกษตั ริยทง้ั น้ี ดวยบุญญาบารมีกฤดาธกิ าร ของพระองคตามพระพทุ ธทาํ นายซ่งึ ไดตรสั พยากรณไ วน ั้นทกุ ประการ จาก พงศาวดารขา งตนน้ี จะเหน็ วา “พระเจาอโศก” ไดมาปกครองแผนดิน “ในประเทศน้ี ” คอื ท่ี ๆ พระพุทธองคเ สด็จมาพยากรณ ซึง่ อยไู มห างจาก “เขาสวุ รรณบรรพต” ท่ี จงั หวัดสระบรุ ี ประเทศไทย ตาํ นาน ทีเ่ ก่ียวกบั พระเจา อโศกมหาราชในดินแดนแถบประเทศไทย พมา มอญ และลาว มีอยเู ปน จาํ นวนมาก แตเ ชื่อวา ทย่ี ังไมไ ดรบั การถา ยทอดออกมาเปน ภาษาไทยนา จะยงั มอี กี จาํ นวนไมน อ ย ดงั จะได ๔๗
หยบิ ยกตาํ นานท่ไี ดรับการถา ยทอดออกมาเปน ภาษาไทย สักตํานานหนึ่ง ซึ่งเปน ตาํ นาน พระธาตศุ รี จอมทอง ฉบบั ทแี่ ปลมาจากภาษาพื้นเมอื ง ทผ่ี มมอี ยนู ี้ เห็นวามีรายละเอียดที่นาสนใจ ซง่ึ เชือ่ วา ถา ฝร่งั ไดตาํ นานฉบับนี้ ในสมัยท่ี ประเทศไทยเรายังไมเ จริญขนาดน้ี พวกฝร่ังนักลาสมบัติ คงจะ พากันขดุ คน กรุ มหาสมบตั ิ ที่ฝง อยู ในบริเวณวดั พระธาตุศรีจอมทอง เปนแนแท ดังที่จะขอคดั ลอกมา แตเ พยี งสวนสําคญั ดงั นี้ ...จาํ เดมิ แตก าลทพ่ี ระสัมมาสัมพุทธเจา เสดจ็ ดับขนั ธปรนิ พิ พานไปแลวได ๒๑๘ ป มพี ระราชา องคห นง่ึ พระนามวา ศรีธรรมาโศกราชหรืออกี นยั หนึ่งวา พระเจาอโศกมหาราช เปนผทู รงเดชานภุ าพ ปราบชมพูทวปี ท้ังมวลไดเ สด็จไปสดู อยศรีจอมทอง พรอมดว ยทา วพระยาเสนามาตยร าชบรพิ าร เปน อนั มาก ดวยอานภุ าพแหง พระอนิ ทร เทพยดาและพระอรหันตแ ลว ไดใ หขดุ คูหาอุโมงคที่ใตพ ื้น ดอยศรจี อมทองลกึ นกั ใหญป ระมาณเทาทตี่ ง้ั พระคนั ธกุฏแิ หง พระสมั มาสัมพุทธเจา ในพระเช ตะวนั มหาวิหาร พระนครสาวตั ถใี นสมยั พทุ ธกาล แลว ใหส รางพระถูปองคห นึ่งแลวดวยทองคําสูง ๖ ศอก ไวในคูหานั้น หลอ พระพุทธรปู ยืนดว ยทองทพิ ยหนัก ๑ แสน ๒ องค ตัง้ ไวทางทศิ เหนอื พระสถูปองค ๑ ทิศใต ๑ องค หลอ พระพทุ ธรูปนัง่ ดวยทองคาํ ๒ องคห นักองคล ะ ๑ แสน ต้งั ไว ณ ทิศตะวันออกพระ สถปู องค ๑ ทิศตะวนั ตก องค ๑ และไดจัดสรางดุรยิ ดนตรี เครอ่ื งปลู าด เตยี งต้งั และฉตั รธงไวท ง้ั ๔ ดา น แหง พระสถปู น้ัน แลว ใหหลอรูปยกั ษ ๘ ตน ยืนเฝา ทีห่ นา มุขพระสถูปทัง้ ๔ ดา น ๆ ละตน และยืนเฝา ประตูแหง คูหาท้ัง ๔ ดาน ๆ ละตน แลวพระเจา อโศกมหาราชจงึ เอาโกศแกววชริ ะ หนัก ๑ พันน้ํา มา ตง้ั ไวเ หนอื อาสนะทองคาํ คร้นั ไดน กั ขตั ฤกษช ัยมงคล จึงพรอ มดวยพระอรหันต เทวดา นาค ครุฑ และสมณพราหมณ ทําการฉลองสมโภชบชู าพระบรมธาตุแหงสมั มาสมั พทุ ธเจาเปน มหาปางอัน ใหญต ลอด ๗ วัน ครนั้ แลว จงึ ไดท ําการอญั เชญิ พระทักษณิ โมลีธาตจุ อมพระเศยี รเบื้องขวาแหง พระพทุ ธเจา เทา เมล็ดในพุทราเสด็จเขาสูโ กศแกววชิระน้ัน พรอ มทง้ั พระธาตุกระดกู ดามมีด เบือ้ งขวา โตเทา เมลด็ ขา วสารหกั มสี ณั ฐานเปน สามเหลีย่ ม และพระบรมธาตุยอ ยอกี ๕ องคเ ทา เมลด็ พันธผ ักกาด รวมเปน พระธาตุ ๗ องค ใหเขาอยใู นโกศแกว วชริ ะนั้น จึงเชญิ โกศแกว วชริ ะให เขา ประดษิ ฐานไวในพระสถูปทองคําเสรจ็ แลว พระเจาอโศกมหาราช พรอ มดว ยทา วพระยาเสนามาตย เทพยดา และพระอรหันตท ั้งหลาย จงึ กลา วคาํ อธิษฐานไวว า ขา แตพระบรมธาตุเจา องคป ระเสรฐิ ใน กาลเม่ือพระสัมมาสมั พทุ ธเจาทรงพระชนมอยู พระองคไ ดเ คยเสดจ็ มาสทู น่ี ่ี และไดต รสั ทาํ นายไว แกพระยาอังครัฏฐะวา \"พระทักษิณโมลธี าตขุ องเราตถาคตจะมาประดิษฐานอยทู ่ีนี\"่ ดงั น้ี และ บัดนพ้ี ระบรมธาตุเจา กไ็ ดเ สดจ็ เขา ประดษิ ฐานอยูในท่นี ่ี สมดังพระพุทธทาํ นายแลว ในกาลตอ ไป ขางหนา แมวาคน เทวดาและครฑุ นาคใด ๆ ก็ดี จักมานําเอาพระบรมธาตุเจาไปในสถานที่ใดก็ดี ขอพระบรมธาตุเจาอยาไดเสดจ็ ไปเลย แมถ ึงวาไดเ สด็จไปแลว กข็ อจงได เสดจ็ กลบั คืนมาอยู ณ สถานทน่ี ต้ี ราบเทา ๕๐๐๐ พระวสั สา เพ่อื ไดเปนทส่ี กั การบูชาแกเ ทพยดาและมนุษยท งั้ หลายช่วั กาลนาน ขาแตพระบรมธาตุเจาในอนาคตกาลขางหนา หากมีพระราชาหรือมหาอํามาตยผูใด ไดมาสักการะพระบรมธาตเุ จา ณ ดอยศรจี อมทองท่ีน่ี ขอจงใหพระราชาเปน ตน พระองคน น้ั จงมี เดชานภุ าพเหมอื นดง่ั ขา พระพทุ ธเจา อโศกมหาราชธรรมราชานเ้ี ทอญ ขาแตพระบรมธาตุเจา ๔๘
เมื่อใดพระราชามหาอาํ มาตยผูเสวยราชบานเมือง มีบญุ วาสนาเสมอดงั่ ขา พระพทุ ธเจา ขา พระพุทธเจา ขอ นมิ นตพระบรมธาตุเจา จงเสดจ็ ออกมาจากพระสถปู ทองคาํ แสดงอภนิ หิ ารใหป รากฏแกค นและเทพยดา ท้งั หลาย เพ่ือใหพระพุทธศาสนารุงเรอื งตอ ไปตลอด ๕ ,๐๐๐ พระวสั สา ถา หากพระราชาและอาํ มาตย เสวยราชบา นเมืองทน่ี ี้ ปราศจากการเคารพนบั ถือพระรัตนตรยั กระทาํ แตบ าปอกศุ ลกรรมมปี ระการตา ง ๆ ไซร ขอพระบรมธาตเุ จา จงเสด็จประทบั อยใู นพระสถปู ทองคาํ แหง ขาพระพุทธเจา ขอจงอยาไดเสด็จ ออกมาใหป รากฏแกผ ูใดเลย ขา แตพ ระบรมธาตุเจา กาลใดเมื่อพระพุทธศาสนาตง้ั อยูตลอด ๕ ,๐๐๐ พระ วสั สา แลว พระธาตุแหง พระพุทธเจา ก็จกั เสด็จไปรวมกนั ในท่แี หงเดียว ขอพระสถปู ทองคาํ ของ ขา พระพุทธเจากับท้งั เครื่องสกั การบชู าท้งั หลาย จงอยาไดสญู หายเปนอนั ตรายไปเลย ขอจงต้ังอยูต ราบ เทาถึงศาสนาพระศรอี รยิ ะเมตไตรยผจู ะมาตรสั ในภายหนา และขอจงใหพระศรีอรยิ ะเมตไตรยพระองคน้นั จงนําพระสถปู ทองคาํ ของขา พระพุทธเจานี้ออกมาแสดงแกเ ทพยดา และมนุษยท้งั หลาย ไดก ระทาํ สักการบูชาทุก ๗ วันเทอญ เมื่อพระเจา อโศกมหาราชทรงอธษิ ฐานดังนแี้ ลว เหลาเทพยดา นาคครุฑ ทัง้ หลายจึงไปนาํ เอาหินจากปา หิมพานต เอามากอ แวดลอมพระสถปู ไว ๗ ช้ัน เพ่อื มิใหค นและสตั วมาทํา อนั ตรายได แลวจึงอาณตั ิส่งั เทวดา ๒ ตนและพญานาค ๒ ตน ใหอยพู ิทกั ษร ักษาพระบรมธาตุเจา ตอไป ในกาลใดถา หากพระราชามหาอาํ มาตยแ ละฝงู ชนทง้ั หลาย ประกอบดว ยบญุ สมภารมคี วามเลอ่ื มใสใน พระรัตนตรัย ในกาลนั้น เทพยดาและพระยานาคผรู กั ษาพระบรมธาตุ กด็ ลบันดาลใหช นท้ังหลายทราบวา พระบรมธาตเุ จามีอยใู นท่นี ้ี ถา ชนท้ังหลายมีใจหนาแนน ไปดวยกเิ ลสประกอบแตก รรมอนั เปน อกศุ ลบาป ธรรม เทพเจาผรู กั ษาพระบรมธาตกุ ็นิมนตพ ระบรมธาตใุ หเ ขาอยูในคหู าใตพ น้ื ดอยศรีจอมทองเสยี มใิ ห ออกมาปรากฏแกคนทง้ั หลาย และในกาลนน้ั พระเจา อโศกธรรมราชาไดร บั สง่ั ใหเ สนาอาํ มาตยร าช บรพิ ารทง้ั หลาย ใหข ดุ หลมุ ใหญฝ ง ทองคาํ ไวใ นทศิ ทง้ั ๘ แหง ดอยศรจี อมทอง ทรงอธษิ ฐานไววา เม่อื ใดพระบรมธาตเุ จา เจริญรงุ เรอื งไปภายหนา ขอจงใหผูอยปู ฏิบตั ริ ักษาพระบรมธาตนุ ี้ จงขุดเอา ทองคําท่ฝี งไวนอ้ี อกบํารุงกอสรา ง สถาปนาพระพทุ ธศาสนาใหเ จรญิ ถาวรตอ ไปชว่ั กาลนานเทอญ ครน้ั แลว ทา วเธอพรอ มดว ยเสนามาตยราชบริพารกเ็ สดจ็ คมนาการกลบั ไปสูพระนครของพระองค ณ กาลนั้นแล เร่ืองของ พระเจาอโศกมหาราช เสด็จมาสรา งพระธาตเุ จดียบ รรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตนุ ้ี ไมใชม แี ต เฉพาะ ในภาคเหนือของประเทศไทย แตใ นเขตแดนอาณาจกั รอยุธยา ก็มีปรากฏอยเู ชน เดยี วกัน ดงั จะยก มาประกอบ ใหท า นทง้ั หลายไดอาน แตพอสังเขป จาก “พุทธตํานานพระเจา เลยี บโลก ” ฉบบั ชาํ ระ สะสาง ดงั นี้ ...พระพุทธองคเสดจ็ จารกิ สง่ั สอนเวไนยสัตวท ัง้ หลายตามลําดับนคิ มราชธานี จนเสดจ็ บรรลถุ งึ เมืองระแวกอันควรเปน ศาสนสกั ขี คือ เปน ที่ตง้ั แหง พระเจดยี ธ าตุ ๕ หลงั เพอื่ เปน เคร่ืองกาํ หนดอายแุ หง พระพทุ ธศาสนา ณ ทีน่ น้ั พระพุทธองคไ ดท รงมพี ุทธฎีกาพยากรณ ไวว า “…ดูราอานนท เม่อื ตถาคต ปรินพิ พานไปแลว ได ๒๑๘ พรรษา จะมพี ระราชาพระองคหนงึ่ พระนามวา “อโศกราช” เสวยราชในเมอื ง ปาฏลีบุตร เปน ผูม ีเดชานุภาพแผไ ปในชมพูทวีปทงั้ มวล จะแบง แจก ธาตุแหงตถาคตมาประดิษฐานกอ เปน มหาเจดยี ๕ หลงั ใหเ ปน ทีบ่ รรจเุ กศาธาตุ ๕ องค ไวเ ปน ทสี่ ักการะบชู าแกคนและเทวดาทั้งหลาย ตลอด ๔๙
ถงึ พระอนิ ทร พระพรหม ครฑุ นาค ยักษ คนธรรพไอศวรท้ังหลาย จกั เปนท่กี าํ หนดหมายยังอายุแหง พระพทุ ธศาสนา ๕๐๐๐ วสั สา เจดยี ธาตุท้งั ๕ หลังน้แี บง ไวดังนี้ เจดียหลังท่ี ๑ เปน บรพุ นมิ ติ แหง พระพทุ ธศาสนาพนั ท่ี ๑, หลังท่ี ๒ เปนอายุแหง พระพุทธศาสนาพนั ท่ี ๒, หลงั ท่ี ๓ เปน พนั วสั สาที่ ๓, หลงั ท่ี ๔ เปนพันวัสสาที่ ๔ หลังที่ ๕ เปนพันวสั สาท่ี ๕ คอื วา เม่ือตถาคตปรนิ พิ พานไปแลว ได ๑๐๐๐ พรรษา บริบรู ณเ จดียห ลังที่ ๑ ก็จะจมลงไปในวงั น้าํ อันเปนทีอ่ ยูของพญานาค ในเม่ืออายุพระพทุ ธศาสนาลวงไป ได ๒๐๐๐ พรรษาบรบิ รู ณ เจดียห ลงั ที่ ๒ กจ็ ักจมลงไปในนํ้า ในเมอ่ื อายพุ ระพุทธศาสนาลวงไปได ๓๐๐๐ ปบ ริบรู ณ เจดียหลงั ที่ ๓ กจ็ ะจมลง ในเมอื่ อายุพระพุทธศาสนาลว งไปได ๔๐๐๐ ปบ รบิ ูรณ เจดีย หลงั ที่ ๔ กจ็ มลง ในเม่อื อายพุ ระพุทธศาสนาลวงไปได ๕๐๐๐ ปบ ริบูรณ เจดียหลังท่ี ๕ กจ็ ะจมลงไป… …หลังจากสมเดจ็ พระชินมารเสด็จดับขนั ขปรนิ พิ พานไปแลว เปน เวลานานถงึ ๒๑๘ ป จึงมี พระราชาองคหนึ่งพระนามวา “ธรรมาโศกมหาราช” ไดทรงฟน ฟพู ระพุทธศาสนาและพระชนิ ธาตใุ ห รงุ เรืองปรากฏทวั่ ไปทว่ั ชมพูทวปี และทรงทราบชดั วา สถานทอี่ ันมีอยใู นเมอื งระแวกน้นั เปนอดุ มสถานจัก ปรากฏเปนท่ีรุง เรอื งตอ ไปถงึ ๕๐๐๐ พระพรรษาเชนนน้ั พระองคจ ึงทรงมพี ระราชอาชญามอบ พระราช วัตถุทั้งหลาย คือ เงิน ทองคํา แกว แหวน วัตถาภรณและเครือ่ งอลงั การตาง ๆ แกม หาเสนาอาํ มาตย พรอ มดว ยบริวาร มาประชมุ ปรกึ ษากอ สรางเจดยี ๕ หลงั เปน ที่บรรจพุ ระเกศาธาตุไวแ ทนท่พี ระพทุ ธองค ประทับน่งั เพอ่ื เปน ท่กี าํ หนดอายุพระพทุ ธศาสนา ใหร วู า เปน อดีต ปจจุบนั และอนาคต จนกระท่งั ครบ ๕๐๐๐ พรรษา พระเจดียน ป้ี ระดษิ ฐานอยทู เ่ี วยี งระแวก ท่ีพระเจาอโศกธรรมราชทรงใหปฏสิ ังขรณม่ันคง ดีขน้ึ เพ่อื ใหเ ปนทเี่ ฝา รักษาพระเกศาธาตทุ งั้ ๕ องคนั้น มใิ หม ีอันตรายใด ๆ เกิดขน้ึ ได ดวยเหตนุ ี้ พระมหา เจดียธ าตุท้ัง ๕ องคน ี้ จึงหุม ดว ยแผน จังโกทองคําตัง้ แตชอ ฟาลงมาจรดถึงพ้ืนดินเหมอื นกันทกุ องค และ พระมหาเจดยี ๕ องคน ั้น แตละองคส ูง ๖๐ วา วดั รอบฐานธรณที ั้ง ๔ ดานได ๑๒๑ วา แตล ะดา นกวา ง ๓๐ วา ๑ ศอก ฐานธรณีกอ ต้ังฉากลดหลั่นสงู ข้ึนไป ๗ ชัน้ กวา งชน้ั ละ ๓ ศอก นบั แตข อบขนึ้ ถงึ หนาชาน สงู ๓ วา ปนรูปเทวดาไวส ี่มมุ พระเจดียทั้ง ๕ องค เทวดา ๒ องคถือหอยสังขเ ปา ฟอ นราํ อยู เทวดาอกี ๒ องคประนมมือไหวอ ยูใกลพ ระเจดีย ๑ วา ๑ ศอก ทกุ ๆ องค พระเจดยี ทง้ั ๕ องคน ้ัน ตั้งอยูห า งกนั องคละ ๑๐ วาเทา ๆ กนั …แลว พระองคท รงใหส รา งปราการกาํ แพงเมืองอนั มั่นคงยิ่งนกั ยาววดั ได ๓๔๒๐ วา กวา ง ๒๐๔๐ วา กอ ดว ยหินทัง้ สน้ิ กาํ แพงหนาประมาณ ๗ วา สงู ๗ วา ขุดรากลกึ ลงไปในดนิ ๙ วา แลว ขุดคูลอมรอบ ๓ ช้ัน คแู ตละชน้ั ลกึ ๒๐ วา กวา ง ๔๐ วา … ...ตั้งแตน นั้ มาอายพุ ระพุทธศาสนาลว งเขาสพู นั ทีส่ าม จนกระทง่ั มาถึงปกัดไสจลุ ศักราช ๙๓๑ อายพุ ระศาสนาลว งไปได ๒๑๑๒ พรรษา มกี ษตั ริยอ งคห นงึ่ พระนามวาฟามหาธาเสวยราชยในเมืองหง สาวดนี คร ไดยกจตุรงคเสนาโยธาเมอื งไดอ โยธยาและเมอื งลา นชาง ในกองทพั นน้ั มบี ณั ฑติ ผหู น่ึงเปนลกู ของ แสนเชยี งแลง เปนผูฉลาดมีปญญารพู ินิจพเิ คราะหอยา งย่งิ เม่ือกองทัพมาถึงเมืองระแวกไดห ยดุ ทัพ เพือ่ ใหพ น ฤดูฝนทเ่ี มืองระแวกน้นั บัณฑิตผนู ้ันไดเ ทยี่ วตรวจตราดบู ริเวณบา นเมืองและไดส กั การะบูชาพระ มหาเกศาธาตอุ นั ประเสรฐิ ไดอ านดูจาฤกษศ าสตร (ศลิ าจารกึ ) ทพ่ี ระยาอโศกธรรมราชและพระอรหนั ตเ จา ทง้ั หลายไดสลักไวท ่แี ผน หิน รูสึกอัศจรรยย ่งิ กพ็ จิ ารณากําหนดดตู ามศิลาจารึก ทปี่ ระดิษฐานแหงพระมหา ๕๐
Search