Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความลับพระพุทธเจ้า

ความลับพระพุทธเจ้า

Description: ความลับพระพุทธเจ้า.

Search

Read the Text Version

ความลบั พระพทุ ธเจา โดย เอกอสิ โร วรณุ ศรี ชมุ นมุ ฟน ธรรมฟน ไทยแหงยุคหลังกงึ่ พทุ ธกาล

สารบญั หนา บทนาํ ๓ บทท่ี ๑ ชมพูทวปี อยทู ไี่ หนกนั แน? ๔ บทท่ี ๒ พระพุทธศาสนาเกดิ ข้นึ ทไี่ หนกันแน? ๑๔ บทท่ี ๓ อนิ เดยี ในโลกน้มี ีอยู ๒ ท่ี มใี ครรูไหม? ๑๘ บทท่ี ๔ ทําไมหมอชวี กโกมารภจั จจ ึงไดชื่อวาบรมครแู หง แพทยแ ผนไทย? ๓๘ บทท่ี ๕ ตกลงพระเจา อโศกมหาราชเปน แขกหรอื เปน มอญกนั แน? ๔๔ บทท่ี ๖ ตกลงพระเจา มลิ นิ ทเ ปน ชาวกรกี หรอื เปน คนลาํ ปางกนั แน? ๕๔ บทท่ี ๗ ตกลงพระพทุ ธโฆษาจารยเ ปน แขกหรอื เปน มอญกนั แน? ๖๔ ๖๙ บทท่ี ๘ ลงั กาทวปี อยทู ี่ไหนกนั แน? บทท่ี ๙ แลว เราจะทาํ อยา งไรจงึ จะคนื ความจรงิ ใหแ ผน ดนิ ได? ๑๐๐ ๒

บทนาํ เคยมีผูกลาววา ชนชาติใดเปนผูเขียนประวตั ศิ าสตรกม็ กั จะเขยี นเขา ขางตวั เอง แตความเขาใจ เชนนไี้ มนา จะถูกตองนัก สําหรับประวตั ศิ าสตรพระพุทธศาสนา หรอื ประวตั ขิ ององคส มเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา ซง่ึ เปน พระบรมศาสดาเอกของโลก เมื่อครัง้ ท่ี ทาน ลาลแู บลรร าชทูตฝร่งั เศส ไดเ ขามาเจริญสัมพันธไมตรกี ับกรงุ ศรีอยุธยา ในรัชสมยั ของสมเด็จพระนารายณมหาราช นั้น ทานไดร ายงานกลบั ไปยังพระเจา กรุงฝร่งั เศส ปรากฏอยใู นจดหมาย เหตลุ าลแู บลร วา “พระพทุ ธเจา โคตมะเปนบรรพบุรุษของชาวสยาม” ซึง่ คงจะไมมีใครเช่อื อยางนน้ั และคงจะคดิ วา คนสยามในสมยั นน้ั คิดเขาขางตัวเอง และเลา ความ เท็จใหราชทูตฟง ดงั ทมี่ ีลกู หลานคนไทยเองไดแ สดงความคดิ เหน็ ตอบรรพบุรษุ ของตวั เอง วา เอกสาร โบราณของไทยทีก่ ลาวถงึ ประวตั พิ ระพุทธเจา สวนมากเปนตาํ นานพืน้ บา น โดยอางวาพระพุทธเจาเสดจ็ มา โปรดรบั ส่งั กบั ประชาชนวาพระบรมสารรี กิ ธาตุของพระองคจ ะมาประดิษฐานในทีน่ ัน้ ๆ หลังจากพระองค เสด็จดบั ขนั ธปรินพิ พาน ซึง่ เอกสารเหลานเ้ี กดิ จากความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเปน ทตี่ ง้ั มิไดเ ขียน ขนึ้ บนพืน้ ฐานทางประวตั ศิ าสตรแ ตเ ขยี นตามจนิ ตนาการท่ไี ดร บั อิทธพิ ลมาจากพระพทุ ธศาสนา โดยเปล่ยี นชมพูทวปี เปน ประเทศสยาม แตว นั น้ี ผมอยากจะเชิญชวนทานท้ังหลาย เปดใจใหก วา ง ลืมสงิ่ ที่เราเคยรับรูมากอ นหนา นี้ ทาํ ใจ ใหเ ปน กลางๆ แลว คอ ยๆ อา น เร่ืองราวท้ังหลาย ท่ผี มพยายามประมวลเรยี บเรียงมาทั้งหมด เพราะผมเหน็ วา ถงึ เวลาแลว ที่เราจะตอ ง ศึกษาประวตั ศิ าสตรอ ยา งมีสติ เพอ่ื คลค่ี ลายความจริงใหแผนดิน คน หา ความลับพระพุทธเจา เอกอิสโร วรณุ ศรี ชุมนมุ ฟน ธรรมฟน ไทยแหงยคุ หลงั ก่ึงพทุ ธกาล ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ๓

บทท่ี ๑ ชมพูทวีปอยทู ไ่ี หนกันแน? ในคมั ภรี อ รรถกถา พระสตุ ตันตปฎก อังคตุ รนิกาย เอก-ทกุ -เอกนบิ าต ตอนหน่งึ พระอรรถกถา จารย รจนาไวว า ชมฺพูทเี ป ความวา ช่ือวา ชมพูทวีป เพราะเปนทวีปทรี่ ู กนั ทวั่ ไป คอื ปรากฏดวยตน หวาเปนสาํ คญั . เขาวาทวีปนม้ี ตี น หวา ใหญ ตระหงา นสงู ๑๐๐ โยชน กงิ่ ยาว ๕๐ โยชน ลาํ ตนกลม ๑๕ โยชน เกดิ อยทู ่ีเขาหมิ พานตต ั้งอยูช วั่ กัป. ทวีปน้เี รียกวา ชมพทู วีป เพราะมีตน หวา ใหญน น้ั . อน่งึ ในทวีปน้ี ตนหวา ตั้งอยูชั่วกัป ฉันใด แมตนไม เหลา น้ี คอื ตน กระทมุ ในอมรโคยานทวปี ตน กลั ปพฤกษ ในอตุ ตรกรุ -ุ ทวีป ตน ซีก ในบุพพวิเทหทวีป ตน แคฝอยของพวกอสรู ตน ง้ิวของ พวกครฑุ ตน ปารชิ าตของพวกเทวดา กต็ ง้ั อยูช่วั กปั เหมอื นกัน ฉนั น้ัน. “ชมพทู วีป” นม้ี คี วามสําคัญอยางไร ทาํ ไมจะตอ งคน หานั้น กเ็ ปนเพราะวา ชมพูทวีปนี้ เปน ทวปี ทต่ี ้งั ของมชั ฌมิ ประเทศ อนั เปนทท่ี ่ี สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา ท้ังหลาย ทรงบาํ เพญ็ แลวเสด็จ อุบัติในประเทศนี้ พระปจเจกพุทธเจา ท้งั หลาย ทรงบําเพญ็ บารมี แลวมาเกดิ พระมหาสาวก ทง้ั หลาย บาํ เพ็ญบารมี แลวมาเกิด พระเจา จกั รพรรดิ ยอ มเสดจ็ มาเกิด อกี ท้ังกษตั รยิ  พราหมณ และคฤหบดผี มู หาศาล ผมู ศี กั ดิ์ใหญเหลาอืน่ กม็ าเกดิ ในประเทศนี้ ดงั ในคมั ภรี พ ระ อรรถกถา พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก ตอนหนึ่ง พระอรรถกถาจารย รจนาไววา แตน ั้นเมอ่ื จะทรงตรวจดูทวปี ไดทรงพิจารณาดทู วีปทงั้ ๔ พรอ มทง้ั ทวปี ท่เี ปน บริวาร ทรงเห็นวา พระพทุ ธเจา ทั้งหลายยอ มไมม าเกิดในทวปี ทั้ง ๓ จะเกดิ เฉพาะในชมพทู วีปเทานน้ั . แตน นั้ ทรงตรวจดปู ระเทศวา ขึน้ ชือ่ วา ชมพทู วีป จัดเปน ทวปี ใหญ มปี ระมาณถงึ หมืน่ โยชน พระพุทธเจาทั้งหลาย ยอ มมาเกดิ ในประเทศไหนหนอแล ทรงพจิ ารณาเหน็ มชั ฌมิ ประเทศแลว . ที่ชอื่ วา มัชฌิมประเทศ ไดแกประเทศทท่ี านกลาวไวแ ลว ในพระวนิ ยั โดยนยั เปน ตนวา มีนิคมชอื่ กชังคละอยใู นทศิ บรู พา ดงั น.้ี ก็มัชฌิมประเทศนน้ั มกี ําหนดวา ยาว ๓๐๐ โยชน กวา ง ๒๕๐ โยชน วดั โดยรอบได ๙๐๐ โยชน. ก็สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจาทัง้ หลาย ทรงบาํ เพญ็ บารมี ๔ อสงไขยแสนกปั บา ง ๘ อสงไขยแสนกปั บา ง ๑๖ อสงไขยแสนกปั บาง แลว เสดจ็ อบุ ตั ิใน ประเทศน้ี. พระปจ เจกพทุ ธเจา ทง้ั หลาย ทรงบาํ เพญ็ บารมี ๒ อสงไขยแสนกปั แลวมาเกิด. พระมหาสาวกทง้ั หลาย มพี ระสารบี ตุ รและพระมหาโมคคลั ลานะ เปนตน บาํ เพญ็ บารมี ๑ อสงไขยแสนกปั แลวมาเกิด. พระเจา จกั รพรรดิ ผูป ราบดาภเิ ษกเหนือทวีปใหญท ัง้ สี่ มีทวปี นอยสองพันเปน บรวิ ารยอ มเสด็จ มาเกิด. อกี ท้ังกษัตริย พราหมณ และคฤหบดผี ูมหาศาล ผูมศี กั ด์ใิ หญ ๔

เหลา อน่ื กม็ าเกดิ ในประเทศน้.ี ก็และในประเทศน้ี มพี ระนครชือ่ วา กบิลพัสดุ เปน ราชธานี พระองคจ งึ ตกลงพระทยั วา เราควรเกดิ ในนครกบลิ พสั ดนุ น้ั . แตในความเขาใจปจจุบัน ใน แบบเรียน หรอื หนงั สือประวตั ิศาสตรส มยั ใหม เมอื่ กลาวถงึ “ชมพู ทวีป” อนั เปน แดนเกิดของพระพทุ ธเจา ก็มักจะอธบิ าย วา ดินแดน ชมพูทวปี คือ แผน ดนิ ท่ีปจ จุบัน เปนทต่ี งั้ ของ ๔ ประเทศ คอื อนิ เดยี เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ทงั้ ท่ี บรรพชนคนในแถบ สวุ รรณภมู ิ ทงั้ คนไทย ลาว พมา มอญ สมัยโบราณ ตางก็รูว า ชมพทู วีป คอื ที่นี่ ซงึ่ เปน แผนดิน ที่ตง้ั ของ ประเทศ พมา มอญ ไทย และลาว แลวไมม ีใครสงสัยเลยหรือวาความเปน จรงิ แลว ชมพูทวปี อยูท ไ่ี หนกันแน? ความเขาใจ หรือการรบั รู เรื่อง ชมพทู วีป ของบรรพชนแตโบราณ ทปี่ รากฏอยูใน นทิ านพระพทุ ธ สหิ งิ ค วา ดว ยตาํ นานพระพุทธสิหงิ ค ซงึ่ พระโพธิรงั สี แตงไวเปน ภาษาบาลี เมือ่ กอ น พ.ศ. ๑๙๘๕ ในสมยั พระเจา สามฝง แกน ครองเมอื งเชียงใหม นน้ั อยูท่ีไหน? ผมจะขอคดั ลอก ความสาํ คัญแตพอสงั เขป ใน เหตกุ ารณทีพ่ ระรวงเจา หรือ พอ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช เมืองสโุ ขทยั ไปอัญเชิญพระพุทธสหิ ิงค จากเมอื ง นครศรีธรรมราช และไดทราบคําของพระเจา ศรธี รรมราช วา พระพุทธสหิ ิงค ไดแสดงปาฏิหาริย ลอยจาก บลั ลังกท ป่ี ระดิษฐานอยู ขน้ึ สอู ากาศ ประดษิ ฐานอยใู นทองฟา เปลง รศั มี ๖ ประการไปทัว่ ทุกทศิ ดังนี้ พระรว งไดทรงฟง แลวมีพระทยั เปยมไปดวยปติ ทรงยกอัญชลีขน้ึ เหนอื พระเศยี ร สรรเสรญิ พระ พทุ ธคณุ ทรงปา วประกาศพลนกิ ายท้งั หมดใหถอื เครอื่ งบชู า พระองคแ วดลอ มไปดวยอุปราช ยพุ ราช และ หมูอํามาตยมนี ายทหารผกู ลา หาญเปน หัวหนา เสด็จเขาไปในเมืองศรีธรรมราช ทรงดาํ เนนิ ดว ยพระบาท แหงนพระพกั ตรทอดพระเนตรดูเบ้อื งบน ทรงทําอญั ชลีเหนือพระเศียร ถวายนมัสการพระพุทธสิหงิ คอ งค ประเสริฐ เมอ่ื อาราธนาใหเ สดจ็ ลงมาไดตรสั เปนคาถาวา ภนฺเต ภนฺเต โลกนาถ ภนเฺ ต โลกมหิทฺธกิ ํ อหนตฺ ํ ติภวเสฏฐํ ปณมามิ อิโต ปุเรฯ อหนฺ กตฺตกุ าโมมฺหิ อาราเธตวฺ า ภวาลเย ชมฺพทู ีปมนสุ ฺสานํ เทวานจฺ านกุ มฺปตงุ ฯ ยาวตา สาสนา ตยุ หฺ ํ ติฏฐนฺติ อภวิ ฑฺฒิตุง มม วาเส สุโขเทยฺยํ อภริ มฺมตรํ อิโตฯ อมหฺ ากํ อนุกมฺปาย คฉฉฺ ตํ สริ ิยา ชลํ ชิโน โอรุยหฺ เม สเี ส นสิ ิทิ ชนสมมฺ เุ ขติฯ ขาแตพ ระผเู ปน ท่พี งึ่ ของโลก ขา แตพ ระผูทรงมหทิ ธิฤทธ์ใิ นโลก ขาแตพระองคผูเจรญิ ขา พระพุทธเจาขอนมสั การพระองคผ ูประเสริฐในสามภพ ขาพระพุทธเจา ใครจ ะอาราธนาอัญเชญิ พระองคจากทนี่ ีไ้ ปประดิษฐานอยูใ นเมืองโนน เพ่อื ทรงอนุเคราะหม นุษยชาวชมพทู วปี และเทวดา ทัง้ หลาย ตราบเทา ท่ีศาสนาของพระองคด าํ รงอยเู พอ่ื ความเจริญ เมอื งสโุ ขทยั เปนทอี่ ยูของขาพระพุทธเจา ๕

นา รน่ื รมยย ง่ิ กวา เมืองน้ี ขอพระองคไ ดโปรดเสดจ็ ไปเพอ่ื ทรงอนเุ คราะห ขาพระพทุ ธเจาขอพระพทุ ธผู รุงเรอื งดวยพระสริ ิวิลาส จงโปรดลงมาประทับบนศรีษะขา พระพุทธเจา ตอ หนา มหาชนเถดิ ฯ ขณะเมือ่ พระรว งเจาอาราธนาอยางนี้ พระพทุ ธรูปองคป ระเสรฐิ เสด็จลงมาจากอากาศประดิษฐาน บนพระเศยี รของพระองค” นอกจากน้ี ความเขา ใจ หรอื การรบั รู เรอื่ ง ชมพูทวีปอยทู ่ีไหน? ของบรรพชนคนไทยแตโบราณ ที่ ปรากฏอยใู น ตาํ นานมูลศาสนา ฉบับวัดปาแดง ซึง่ เปน บนั ทกึ เหตกุ ารณท ีพ่ ระมหาญาณคมั ภีร พระสงฆ จากเชียงใหมเ ดนิ ทางไปลังกา เมือ่ พ.ศ. ๑๙๖๖ ดังจะขอคัดลอกมาแสดงใหเ ปน ทป่ี ระจกั ษ ดงั นี้ พระมหาญาณคมั ภรี ะไปลงั กา เม่ือนั้น ญาณคมั ภรี ะจงิ่ เมอื เมตตาพระยาบรมราชาธริ าชบอกกจิ ทงั มวลด่งั อนั้ พระยาจงิ่ ไหวญาณ คมั ภรี ะเถรเจาวา ดนี กั เจา กูบอกแกข า นด้ี จี ิงนกั แล ขอเจากูอสหะไปเถงิ ทีเ่ คลา หือ้ ไดอ ันชอบธัมมวินยั มาไว เทอะ ขา จกั ห้อื อามาจผูช ่อื สุภรตไิ ปกบั ตามเจากชู ะแล พระยาแตง อามาจบา ว ๒ คน ไปกับญาณคัมภีรเถร เจา วา ดีนกั เจา กู เถรเจา ก็ลงไปไหวธ ัมคัมภรี ะสมเดจ็ ราชคุรุ ทา นยนิ ดีจง่ิ แตง ชาวเจา อนั เปน สกิ ไป ๕ ตน มธี ัมมานนั ทะเปนเคลาแกช าวเจาทงั หลาย ๑๒ ตน อุบาสก ๔ คนไปสูมะริดตะนาวสี ขึ้นเมตตาพระยา เมอื งทน่ี ั้น ยนิ ดกี ับดว ยญาณคัมภรี เถรเจาอันจักไปเอาสาสนานั้น พระยากร็ าธนาเถรเจาขอปฏิญญาณวา คันไดสาสนาและพอกมาขอเมตตาขา ทังหลายพายหนา แท อยา ลว งพน ทางอนื่ แดว าสนั น้ี ก็ห้อื ลงเรือไป ดว ยพอคาสําเภา ปก าเหมาสกั กราชได ๗๘๕ ตวั (พ.ศ. ๑๙๖๖) ไปนาน ๔ เดอื น กไ็ ปรอดเถิงลังกาทวปี ทา นก็เขา ไปไหวมหาสุรนิ ทเถรในเมืองอนรุ าธปรุ นคร วดั ถปู าราม ดวยกิจทงั มวล ๑๐ ประการ สรุ นิ ทเถร เจา กลา ววา ดง่ั สาสนาในลงั กา ๓๐ เมืองน้ี หากดูดัง่ กันเส้ียงแล เหตุวาทา นเจา มาน ทา นเจา เม็ง ทา นเจา กลุ าผาสี เจือจานกัน ไผใครวา อนั ใดกห็ ากวา ไผใครเยยี ะอันใดกห็ าเยยี ะตามใจอนั มกั บตามพระธัมมวินัย พระเจา สกั อันแล เปน ด่ังพระเชียงใหมสู ตนชอื่ สิทธนั ตะมาสตู แตกอนน้ันหากบแมนแทแล อันปฏบิ ัติ ตามธมั มวนิ ยั แท ตามอตั ถะแท เทามีในโรหณชนบท มหารัฐฐะส่งิ เดียว ดว ยสาสนาพระเจา ตั้งอยทู นี่ นั้ ยัง เปนถริ ทฬั หภาวะตอเทา ๕,๐๐๐ วสั สา บเ ปน ภนิ นาเภทกัมมเย่ืองใด เหตุพระพทุ ธเจา สง่ั พระยาอนิ ทไ วหอ้ื เทวดาอยูรกั สาดผู รู าย ผูด ีแทแล ทา วพระยาเสนาอามาจประชาพรอมกันรกั สาดว ยชอบธมั มแทแล อาวุโส ทานฉลาดดวยอตั ถะจุงอสหะเขา ไปเถงิ โรหณชนบทมหารฏั ฐะเทอะ เมตตาฉันนแ้ี ล ญาณคัมภีระก็เอา ปริวารแหง ตนไปเถงิ โรหณชนบท รอดประตูเวยี งชน้ั นอกเพ่ินก็แสงถามดว ยกจิ อันรายอันดีชอุ ันแลว จ่ิงมี เขา ตอกดอกไมเ ทยี น ๘ คู ปชู าเทวดา สจั จอธษิ ฐานวา ขา ทงั หลายจกั มาเอาสาสนาพระไตรรตั นะ มหาโพธิเมือถปน นาไวใ นชุมพทู วปี ดวยสวัสดีแท บมาเพือ่ กระทํารา ยสักอัน ผิวาขาทงั หลายมา กระทาํ รายแกบ า นเมอื งและสาสนา จุงหอื้ เปนอันตรายแกผ ขู าทงั หลายเทอะอยทู น่ี น้ั เดอื น ๑ บม อี ันตราย จิง่ ใชหนงั สือเขา เถงิ ช้ันถว น ๒ ก็แสง ถามฉนั เดียว กก็ ลาวฉันเดยี ว เถงิ ชนั้ ถวน ๓ ถว น ๔ ถว น ๕ ถว น ๖ ถว น ๗ ฉนั เดียว กถาคําจาบพัดบต าง ก็จงิ่ ใชเ ถงิ เสนาอามาจเจาปถวีสราชจิ่งมีอาชญารองเรยี กแลว เขา เถงิ เมตตาเสนาอามาจ เจา ปถวสี ราชวา สาธุ สาสนทายาท ดงั น้ี ๖

นอกจากนี้ ความเขา ใจ หรือการรบั รู เร่อื ง ชมพูทวปี อยูท ี่ไหน? ของบรรพชนมอญแตโ บราณ ท่ี ปรากฏอยใู น จารึกกัลยาณี ทีพ่ ระเจา ปฎกธร กษตั รยิ รามญั ไดใหจารึกไว หลังจากไดชําระ พระพทุ ธศาสนา เมือ่ ๕๐๐ กวา ปก อ น ดงั จะไดคัดลอกมา แตพ อสงั เขป มดี ังนว้ี า ภาพวาดการสรา งหออุปสมบทกลั ยาณสี มี า เมอื งพะโค ประเทศมอญในอดีต รามญั สมณวงศ …………………… พระโมคคลีบุตรดิสสเถระก็เลอื กคัดภิกขขุ ณี าสพ ผูทรงซ่งึ คณุ วิเศษ คอื ฉฬาภญิ ญาและจตุ ปฏสิ มั ภิทาญาณ ไดภ ิกษุประมาณ ๑๐๐๐ รปู แลว จึงกระทาํ ตติยสังคีติกรรม สิ้นกาล ๙ เดือนจึงเสรจ็ สงั คายนกิจ ก็ฉันนนั้ สังคตี กิ รณาวสาเน ปน ก็ในกาลเม่อื กระทําสงั คายนกิจเสร็จแลว พระผูเ ปนเจา พิจารณารูชดั วา ใน อนาคตกาลภายหนา พระพุทธสาสนาจกั ประดิษฐานอยูในปจจันตะประเทศดงั นแ้ี ลว จงึ สง ไปซง่ึ พระเถระ ท้ังหลายนัน้ ๆ บรรดาพระเถระทงั้ หลายทพี่ ระผเู ปนเจา สงไปเหลา น้ัน …สว นวาพระโสณเถระกับพระอตุ ร เถระไปอยรู ามญั ประเทศ ทเี่ รยี กวาแวนแควนสุวรรณภูมิ เพอ่ื จะประดษิ ฐานพระพุทธสาสนาไว ในรามญั ประเทศ ตทา สวุ ณฺณภมู ริ ฏเฐ ในกาลครั้งนั้น บรมกษัตราธิราชทรงพระนามวาพระเจาสิรมิ าโศก ไดเ สวย ราชสมบัติเปนใหญในแวน แควน สุวรรณภมู ิ ก็พระนครซึ่งเปนพระราชฐานท่อี ยูของพระเจา สริ ิมาโศกนัน้ มี อยูใ นทศิ นอ ยขา งปจฉิมทิศแหงเกลาสภะบรรพตเจดีย. .. เอวํ สมมฺ าสมพฺ ทุ ธสฺส ปรินิพพฺ านโต อนึ่งบณั ฑติ ชาติผมู ีปรีชาพงึ เห็นพึงรูเถดิ วา นับจําเดิมแตก าล ที่สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจาปรินิพพานแลว มา เมื่อพระพุทธสาสนาลว งแลวได ๒๓๖ พระวสั สา พระ เถระท้ังสองไดป ระดิษฐานพระพทุ ธสาสนาไว ในรามญั ประเทศน้ี ดว ยประการฉะน้ี .... ๗

เอวํ รามฺญเทเส สาสนปติฏฐานโต ปฏฐาย จาํ เดิมแตพ ระพุทธสาสนาประดิษฐานอยูในรามัญ ประเทศอยา งนี้ กร็ งุ เรืองดาํ เนริ ไปส้ินกาลนาน คร้นั เมอ่ื กาลลวงไปลว งไป รามญั สถานกท็ พุ พลภาพมกี ําลัง ลดนอ ยถอยลง ดวยเหตอุ นั ตรายตา งๆ คอื เพราะพวกทามริกโจรเขาทําลายแยง ชงิ ซ่งึ รามัญประเทศมี มณฑลอันกวางใหญ ทําใหเ ปนสวนของตนตา งๆ ๑ เพราะอหวิ าตกะโรคเบยี ดเบยี น ๑ เพราะทพุ ภกิ ขะภัย เบยี ดเบยี น ๑ เพราะพวกพยหุ เสนาของพระราชาทัง้ ๗ พระนครยกมาย่ํายี ใหม อี าณาจกั รอันประเสริฐยน ยอ นอยเขา ๑ เหตดุ งั น้ัน พระพทุ ธสาสนาจึงทุพพลภาพเสือ่ มซดุ ลง เพราะภกิ ษุท้งั หลายท่ีอยูในรามญั ประเทศนนั้ ไมส ามารถจะเลา เรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมได โดยสะดวก และไมส ามารถจะบําเพญ็ สมั มาปฏิบตั ิ ใหเ ต็มที่ได .... เอกตุ ตฺ รฉสตาธกิ วสสฺ สหสเฺ ส ปน กาเล กใ็ นกาลเมือ่ พระพทุ ธศกั ราชลวงแลว ๑๖๐๑ พระวสั สา ลุ รุทธรปู เพทศกั ราช ๔๑๙ ป ในปุกามนคร พระเจาอนรุ ุทธเทพผูเปนอิศรภาพในอริมัทนะบรุ ี ไดใ หนํามาซง่ึ ภิกษสุ งฆก ับทัง้ พระไตรปฎ กแลว จงึ ยงั พระพทุ ธสาสนาใหด าํ รงอยู ในอริมัททนะบุรคี อื ปกุ ามนคร ตโต สตฺตุตรวสฺสกาเล เบื้องหนาแตน ้นั มากาลลว งไปได ๑๐๗ ป ลรุ สยมปาณศกั ราช ๕๒๖ ป ใน ลงั กาทวปี พระเจา สริ ิสงั ฆโพธปิ รักกรมพาหุ ไดท รงชําระพระพทุ ธสาสนาในลังกาทวีป ใหบ ริสทุ ธค์ิ รัง้ หนงึ่ ตโต ปน ฉฏเฐ วสเฺ ส ก็ครนั้ ลยุ มสขิ ปี าณศักราช ๕๓๒ เปนปท ่ี ๖ นบั แตปท่ีพระเจา สิริสงั ฆโพธิ ปรกั กรมพาหุ ไดทรงชําระพระพุทธสาสนาแลวนนั้ ยงั มพี ระมหาเถระองคหนง่ึ ชอื่ วา อุตตรชวี ะ เปน อาจารยของพระเจาปกุ าม จึงมีดําริวาเราจะข้นึ นาวาไปพรอ มดว ยภิกษุเปนอนั มาก เพ่อื จะไปนมัสการพระ เจดยี ใ นลังกาทวปี เยน กสุ ิมนครํ เมืองกสุ มิ นครมอี ยูใ นทศิ าภาคใด พระผเู ปนเจาก็ไปสทู ิศาภาคนัน้ ...... อุตฺตราชวี มหาเถโร กุสมิ นครํ ปตฺวา ครั้นพระอตุ ราชีวมหาเถระไปถงึ เมอื งกุสิมนครแลว จงึ ขน้ึ นาวาพรอมกนั กบั ภิกษเุ ปนอันมากและสามเณรองคห น่ึง มอี ายุครบ ๒๐ ปบ ริบรู ณ ..... อตุ ตฺ ราชวี มหาเถโรป นาวํ อภิรูหติ วฺ า แมเ ม่อื พระอตุ ตราชีวมหาเถระขน้ึ สนู าวาไปถงึ ลงั กาทวปี แลว ในกาลนัน้ พระมหาเถระชาวลังกาทวีปทั้งหลาย ก็ชกั ชวนกนั มาสนทนาซักถามในขอ ธรรมกิ ถา กับดวยพระ อตุ ตราชีวมหาเถระนั้น ..... เมื่อพระอุตราชีวมหาเถระไดก ระทํากจิ มนี มัสการพระเจดยี เ ปน ตน ในลังกาทวีปแลว กก็ ลับมายังปุ กามนคร สวนฉปฏสามเณรไดร ับการอุปสมบทเปนพระภกิ ษุและอยเู ลา เรยี นพระไตรปฎ กและอรรถกถาใน เกาะลังกาตอ จนได ๑๐ พรรษา ไดเปนพระเถระแลว จงึ เดินทางกลับปุกามนคร พรอ มทั้งชกั ชวนพระเถระ ทีท่ รงพระไตรปฎกอีก ๔ รปู รวมเปน คณะวรรค ๕ รปู เพือ่ เดินทางไปสปู ุกามนครดว ยกัน ..... ๘

ทิพพฺ ตุ ชนิ จกกฺ ํ ------------------------ สมฺมาสมฺพุทธฺ ปรนิ พิ ฺพานโต นบั จําเดิมแตพระสัมมาสมั พทุ ธเจา ปรินิพพานแลวมา พระพุทธ สาสนาลว งแลว มาได ๒๐๐๒ พระวสั สา ลนุ ภยมนาคศกั ราช ๘๒๐ ป พระเจารามาธบิ ดี ศรบี วรมหาธรรม ราชาธิราชเปนพหุสูตรดวยอํานาจสุตคุณ คอื รูพระไตรปฎ ก และรูตกั กศาสตร พยากรณศาสตร ฉนั ทศา สตร อลงั การศาสตร โชตศิ าสตร แพทยศาสตร คณกิ ศาสตร ท้งั เปนผมู ศี ลิ ปศาสตรมาก ดวยอํานาจศิลปะ คณุ มชี างอฐิ และชางไมเปนตน และพระองคเ ปนผชู าํ นาญในภาษาชาวตางประเทศ และเปนคณสมงั คมี ี ความพรอมเพรียงดวยหมอู เนกศรัทธาทคิ ณุ บรบิ ูรณด วยคชบดสี ขี าวเสมอดวยดอกกมุทและดอกคลา หรอื มีสขี าวดงั พระจนั ทร ในฤดสู รทกาล และพระองคใหก ระทําคา ยรักษาประชมุ ชน ในรามญั ประเทศทั้ง สามมณฑล คือกสุ ิมมณฑล ๑ หงสวดีมณฑล ๑ มตุ ตมิ มณฑล ๑ ครนั้ พระองคใ หก ระทาํ การรักษาเสร็จ แลว ก็ทรงครองราชยสมบัตโิ ดยชอบธรรมอยใู นเมืองหงสวดี .... ตโต ราชา ในกาลนน้ั พระเจารามาธิบดไี ดทรงสดบั เถรวาทดงั น้นั จงึ ทรงพระดาํ ริวา ดงั เราสังเวช หนอ คําที่พระอรรถกถาจารยเจาผปู ระเสริฐกลา วไววา พระพทุ ธสาสนาจกั ดํารงอยูไ ด จนตลอดกาล ประมาณ ๕๐๐๐ พระวสั สา ก็ในกาลบัดนีน้ ับจําเดมิ แตกาลทีพ่ ระพุทธเจา ไดตรสั แกพ ระปรมาภิเษก สมั โพธญิ าณมา กาลลว งไปไดป ระมาณ ๒๐๔๗ ป ในกาลเพยี งเทา น้ี พระพุทธสาสนาสยิ งั เกดิ มมี ลทิน เปนเสี้ยนหนามประกอบดวยอันตราย การอุปสมบทกป็ ระกอบดวยความรังเกียจบังเกิดข้ึนดงั นี้แลว จะทํา อยา งไรหนอ พระพทุ ธสาสนาจงึ จะสามารถเปนไปไดจ นตลอดกาลทส่ี ดุ ประมาณ ๕๐๐๐ พระวสั สา .... พระเจารามาธิบดี จึงไดม คี วามปรวิ ิตก ถึงเร่อื งราวท่ีไดสดับมาถึง การประดษิ ฐานพระพทุ ธ สาสนาในลังกาทวปี ต้ังแต เมอ่ื พระโมคคั ลลบี ตุ รดิสสมหาเถระสงพระมหามหินทเถระไปยังเกาะ ลงั กา จนถงึ สมยั พระเจา สริ สิ ังฆโพธปิ รักกมพาหุมหาราช และในรัชกาลภายหลงั ตอ ๆ มา คอื พระเจาวิชยั พาหุ ๑ พระเจา ปรักกมพาหุ ๑ จึงไดมีพระราชดํารทิ จ่ี ะไปอาราธนาพระภกิ ษสุ งฆใหไ ปนํามาซงึ่ อปุ สมบท อนั บรสิ ุทธ์ใิ นลงั กาทวีป ทเ่ี ปนมหาวหิ ารวาสนี ิกายซง่ึ เปนธรรมวาทีปฏิบตั ดิ บี ริสทุ ธโ์ิ ดยแท มาประดษิ ฐาน อยใู นรามัญประเทศนี้ และไดส งราชทูตไป ๒ นาย คอื จิตรทูต ๑ และ รามทตู ๑ กับทงั้ บรวิ ารคนใช ใหนํา พระเถระ ๒๒ รูปกับท้งั ศิษย เพอ่ื เดนิ ทางไปยังลงั กาทวีป ท้งั ไดจ ดั เครอ่ื งบูชาสกั การพระสิริทาฐธาตุ พระ เจดีย และบชู าพระพทุ ธบาทวลญั ชะเจดยี  และบชู าพระศรมี หาโพธเ์ิ จดีย นอกจากนน้ั ยังไดทรงจัดเครอื่ ง พระราชบรรณาการ ทีจ่ ะสง ไปถวายพระเจาภวู เนกพาหุ ผูเ ปนใหญในสงิ หฬทวปี .... ตโต สสสิ เฺ ส ในลาํ ดบั นัน้ พระเจา รามาธบิ ดี จงึ เสด็จสง พระเถระ ๑๑ รปู มพี ระโมคลั ลานเถระเปน ประธานกับท้งั ศิษย ใหข ึน้ นาวาลําเดียวกันกับรามทตู และเสดจ็ สง พระเถระอกี ๑๑ รปู มพี ระมหาสวิ ลี เถระเปน ประธานใหขึ้นนาวาลําเดยี วกันกับจิตรทตู ๙

อถ รามทูตาภิรฬุ ฺหา นาวา ในกาลนน้ั นาวาทร่ี ามฑตู กาํ กบั ไปแลน ออกอกจากปากนาํ้ ชอ่ื วา โยคะ ในวนั อาทิตยเดอื นสามแรม ๑๑ คํ่า ลมุ นิ ิสิขนี าคศกั ราช ๘๓๗ แลว แลนออกทะเลไป ก็แตนาวาท่ีจิตรทูต กํากับไปนัน้ แลนออกจากปากน้ําโยคะ ในวันจันทรเดือนสามแรม ๑๒ คาํ่ แลวแลนออกทะเลไป ตน หนเปนผชู าํ นาญรทู างทะเลชัดเจน นาํ นาวาไปถึงทากลมั พไุ ดก อน ในเดอื นสแี่ รม ๘ คาํ่ ตโต ภูวเนกพาหุ สหี ฬราชา ในสมัยกาลคร้ังนั้น พระเจากรงุ สงิ หฬทรงพระนามวา ภูวเนกพาหุ ทรง ทราบขา วนัน้ แลว จึงมีรับสงั่ ใหเจาพนักงา นออกไปรบั นาํ พระเถระ ๑๑ รปู นั้นกบั จติ ร ทูตเขา มาในวนั อโุ บสถแรมเดอื นส่ี .... อถ รามทตู าภริ ฬุ หฺ า นาวา ฝา ยวา นาวารามทตู เมอ่ื เคลอ่ื นออกจากทา แลว กบ็ า ยหนา แลน มาโดย ทางทจ่ี ะไปเมืองอนรุ าธบรุ ี ในกาลเมอ่ื แลนไปนนั้ แสนยากแสนลาํ บากเพราะแลน ทวนลม จงึ ไดแ ลน เลยไป ยังบา นวัลลคิ าม ในวันอาทติ ยเดอื นหาข้ึน ๙ คํา่ .... ตสฺมึ ปน นาคสขิ ีนาคสกราชภเู ต กใ็ นปน้ันลุนาคสขิ ีนาคศักราช ๘๓๘ ณ วันแรม ๒ คาํ่ ปฐมาสาธ พระเถระท้งั หลายกบั รามทูตจง่ึ ไดโ อกาสออกจากบา นวัลลิคามหยดุ แรมทาง ๕ ราตรี จึงถงึ ชยั วฒั นะนคร ตโต ภวู เนกพาหุสหี ฬมนชุ นิ โฺ ท ในกาลนัน้ พระเจา สหี ฬินทรภวู เนกพาหุไดท รงทราบขาววา พระเถระ ทงั้ หลายกบั รามทูตมาถึงแลว จงึ มีรบั ส่ังใหออกไปตอนรับนาํ มาสทู เ่ี ฝาแลว จึงใหเจา พนกั งานอานพระ สพุ รรณบฎั ของพระเจา รามาธิบดมี หาราชทร่ี ามทตู นํามานั้นจบแลว ก็มีพระกมลหฤทยั ปรดี าภิรมยย ่ิงนัก จงึ ใหจ ดั การตามควรดุจกลาวแลว พระราชทานอาหารบณิ ฑบาตและเสบียง แกพระเถระท้ังหลายกับราม ทตู แลว พระราชทานที่อยูต ามสมควร .... ตโต ปรํ สีหฬราชา ในกาลเบ้อื งหนา แตน ั้นไป พระเจา กรงุ สงิ หฬจึงทรงพระรําพึงวา เราจะจดั การ อีกอยางหนง่ึ ใหตอ งตามพระราชสาสนของพระเจาชา งเผือกเถิด จงึ มรี ับสัง่ บังคบั อํามาตยช าวสิงหฬ ทั้งหลาย ใหท ําเรือขนานในกัลยาณีคงคา ซึ่งเปนแมน ้ําอนั พระผมู พี ระภาคยเ คยสรงสนาน แลวใหท ําเปนป ราสารทขนึ้ ในเบอ้ื งบนแหง เรือขนานนัน้ และใหดาดเพดานดวยผา ขาว หอ ยยอ ยไปดวยพวงดอกไมตา งๆ เสรจ็ แลว จงึ มีรับส่ังใหว ทิ าคมมหาเถระ เลือกคัดคณะสงฆท เี่ ปนผปู ราศจากคาํ ครหาปรปู วาท แตสํานกั ภกิ ษสุ งฆท่สี ืบเช้อื มาแตภกิ ษผุ เู ปนมหาวิหารวาสนี ิกาย .... ตโต สีหฬราชา ในกาลลําดับนั้น พระเจา กรุงสงิ หฬจึงใหอ าราธนาพระรามญั เถระ ๒๒ รปู ที่ อปุ สมบทแลว มารบั พระราชทานฉนั อาหารบณิ ฑบาตในพระราชฐาน ครน้ั เสรจ็ ภตั ตกจิ แลว จึงพระราชทาน ของอนั ควรแกส มณะ .... ๑๐

ครน้ั ทรงประเคนของเสรจ็ แลว จงึ มพี ระราชดาํ รสั วา ขา แตพระผูเปนเจาผูเจรญิ ทง้ั หลาย พระผู เปนเจาท้ังหลายไปยังชมพทู วีปแลว จงึ ยงั พระสาสนาใหร งุ เรอื งในเมอื งหงสวดเี ถดิ นอกจากน้ี ในสมยั ตนรัตนโกสนิ ทร ของสยามประเทศ หรอื เมอื่ ๒๐๐ กวา ปท ผ่ี า นมา กอ นที่ ฝรั่ง ชาติตะวันตก จะยกชมพทู วีปไปใหอนิ เดยี เนปาล ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ น้นั ไดปรากฏหลักฐาน ครัง้ สังคายนาพระไตรปฎ ก ในสมัยรชั กาลสมเดจ็ พระพุทธยอดฟาจุฬาโลก วา ชมพทู วปี ในความ รับรขู องบรรพชนไทย น้นั อยูท ด่ี ินแดนสวุ รรณภูมปิ จ จุบนั นเ่ี อง ดงั ปรากฏใน คาํ ประกาศเทวดา กอนจะเร่มิ การสงั คายนา ตอนหน่ึงวา ครน้ั พระพทุ ธศาสนาลวงมาถงึ ๙๕๖ ป จึงพระพุทธโฆษาเถรเจา ออกไปแต ชมพทู วีป แปล พระไตรปฎกอันเปนสิงหฬภาษา จารึกลงลานใหม แปลงเปนมคธภาษา กระทําในโลหปราสาท ณ เมือง อนรุ าธบรุ ี มีพระเจามหานามเปน ศาสนูปถมั ภก ปหนึ่งจึงสาํ เรจ็ นับเน่ืองในฉัฏฐสงั คายนาย. ครน้ั พระพทุ ธศาสนาลวงมาถงึ ๑๕๘๗ ป ครัง้ นน้ั พระเจา ปรักมพาหมุ หาราชไดเ สวยราชสมบตั ิ ในลังกาทวปี ยา ยพระนครจากอนรุ าธบุรีมาตง้ั อยู ณ เมอื งจลตั ถมิ หานคร จึงพระมหากัสสปเถรกับ พระสงฆป ถุ ุชนมากกวา พนั ประชมุ กนั ชําระพระไตรปฎก ซ่งึ เปนสงิ หฬภาษาบา ง มคธภาษาบา ง แปลง แปลออกเปนมคธภาษาทงั้ ส้ิน จารึกลงในลานใหม มพี ระเจา ปรกั มพาหมุ หาราชเปนศาสนูปถมั ภก ปห นึ่ง จงึ สาํ เร็จบรบิ ูรณ นบั เน่อื งเขา ในสัตมสังคายนาย เบ้อื งหนาแตน้นั มาจึงพระเจา ธรรมา ผูเสวยราชสมบตั ิ ณ เมืองอริมะทะนะบุรี คือเมอื งพุกาม เสด็จออกไปลอกพระไตรปฎกในลังกาทวปี เชิญใสสําเภามายงั ชมพู ทวีปนี้ แตน น้ั มาพระปรยิ ัติธรรมจึงแผไพศาล ไปในนานาประเทศทั้งปวง บรรดาท่เี ปนสมั มาทฏิ ฐิ นับถือ พระรัตนตรยั น้ัน ไดลอกตอ ๆ กันไปเปล่ยี นแปลงอักขระตามประเทศภาษาแหงตน ๆ ก็ผดิ เพ้ยี นวิปลาสไป บา งทุก ๆ พระคัมภรี  ที่มากบา งนอยบาง. ครัน้ พระพุทธศาสนาลว งมาได ๒,๐๒๐ ป จงึ พระธรรมทินเถรเจาผูเปนมหาเถรอยู ณ เมืองนพิ สีนคร คอื เมืองเชยี งใหม พจิ ารณาเห็นพระไตรปฎก พิรธุ มาก ทั้งพระบาลี อรรถกถา ฎกี า จึงถวายพระพร แกพ ระเจา ศริ ธิ รรมจกั รวรรดดิ ลิ กราชาธริ าช ผเู สวยราชสมบตั ิ ณ เมอื งเชยี งใหมว า จะชําระพระปริยตั ิให บรบิ รู ณ บรมกษัตรยิ จึงใหกระทํามณฑปในมหาโพธารามวหิ าร ในพระนคร พระธรรมทนิ เถรจงึ เลอื ก พระสงฆ ซ่ึงทรงพระไตรปฎกมากกวา รอยประชุมกนั ในมณฑปนน้ั กระทาํ ชําระพระไตรปฎก ตกแตมใหถ กู ถวนบริบูรณ ปห นึ่งจึงสาํ เร็จ มีพระเจาศิรธิ รรมจักรวรรดิดลิ กราชเปนศาสนปู ถัมภก นบั เนือ่ งในอัฐม สังคายนายอีกครงั้ หนงึ่ . เบอ้ื งหนาแตน้ันมาพระเถรานเุ ถระในชมพทู วปี ไดเ ลา เรยี นสรา งสบื ตอ กนั มา และทา วพระ ยาเศรษฐีคหบดี ศรัทธาสรางไวในเมอื งสมั มาทิฏฐิท้งั ปวง คอื เมืองไทย , ลาว, เขมร, พมา , มอญ เปน อกั ษรส่ําสมกันอยเู ปน อันมาก หาทา วพระยาและสมณะผใู ดทจ่ี ะศรทั ธา สามารถอาจจะชาํ ระ พระไตรปฎกข้นึ ไว ใหบรู ณะดุจทานแตก อนนนั้ มไิ ดมี ครน้ั พระพทุ ธศาสนาลวงมาได ๒ ,๓๐๐ ปเศษแลว ๑๑

บรรดาเมืองสมั มาทิฏฐิ ทง้ั ปวง ก็กอ เกดิ การยทุ ธสงครามแกกัน ถงึ พนิ าศฉบิ หายดว ยภัยแหงปจ จามิตร มี ผูรายเผาวดั วาอารามไตรปฎกก็สาบศูนยส ิน้ ไป จนถึงกรุงศรีอยธุ ยา กถ็ งึ กาลพนิ าศดวยภยั พมาขาศกึ พระไตรปฎ ก และเจดยี ฐานทง้ั ปวงกเ็ ปน อันตรายสาบศนู ย สมณะผจู ะรักษาร่ําเรียนพระไตรปฎ กน้นั ก็ พลัดพรากลมตายเปน อนั มาก หาผูใดที่จะเปนทพี่ ํานกั ปองกันขา ศกึ ศตั รูมิได เหตฉุ ะนพี้ ระไตรปฎ กจึงมไิ ด บรบิ ูรณ เสอื่ มศูนยล ว งโรยมาจนตราบเทากาลทกุ วันน.้ี พระบาทสมเดจ็ บรมบพิตรพระพุทธเจาอยูหวั ทั้งสองพระองค เมื่อไดทรงสดบั พระสงฆราชา คณะถวายพระพรโดยพิสดารดังนั้น จึงดาํ รัสวา ครง้ั น้ี ขออาราธนา พระผูเปน เจาทั้งปวง จงมอี ุตสาหะใน ฝา ยพระพุทธจักรใหพระไตรปฎกบรบิ ูรณขนึ้ จงได ฝายอาณาจักรทีจ่ ะเปนศาสนปู ถมั ภกนน้ั เปน พนกั งาน โยม โยมจะสเู สยี สละชวี ิตบชู าพระรตั นตรยั สุดแตจะใหพระปรยิ ตั ิ บรบิ ูรณเปนมูลที่ตั้งพระพทุ ธศาสนาให จงได จากคําประกาศเทวดาขา งตน ยอมจะเห็นเปนประจกั ษวา บรรพชนของไทย รับรูสืบตอกนั มา วา ชมพทู วปี เปน ทีต่ ง้ั ของเมืองสมั มาทฏิ ฐทิ ั้งปวง คือเมอื งไทย, ลาว, เขมร, พมา , มอญ นอกจากหลกั ฐาน ทเี่ ปนบันทกึ เอกสาร ท้งั ในรปู ตํานาน พงศาวดาร ของบรรพชนชาวไทย พมา มอญ และลาว ทีจ่ ะยกมาเปนเหตุผลสนบั สนนุ วา ชมพทู วปี คือ ผนื แผน ดนิ ทต่ี ้ังประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจจุบัน แลวหลกั ฐานช้ินหนึ่งก็คือ แผนทโ่ี บราณ ทแ่ี สดงใหเ หน็ รอ งรอยของ ปญ จ มหานที ไดแก แมน ้าํ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ซึง่ ถอื เปนสญั ลกั ษณข องชมพทู วีป ทีไ่ ดไ หล ผานเขามายงั ดนิ แดนทีเ่ ปนทต่ี ัง้ ของประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจ จบุ นั แตไ มไดไหลไปยงั ประเทศอนิ เดยี เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ในปจ จบุ ัน แมว า เวลาจะผา นมาสองพนั กวา ป ชอ่ื เรียกแมนํา้ แตล ะสายอาจจะเปลี่ยนไป แตรองรอยของแมน ้าํ ใหญท้งั ๕ สาย กย็ ังคงปรากฏอยู เพือ่ ยนื ยนั ความเปน ชมพทู วปี ทีแ่ ทจ ริง แลว ทาํ ไมชมพูทวปี ทีบ่ รรพบุรุษ มอญ ลาว และ ไทย เชื่อวา อยู ทด่ี ินแดนสวุ รรณภูมิปจ จบุ นั จึงถกู ยกใหเ ปนอินเดียปจ จุบัน? ๑๒

แผนทโี่ บราณ ทแี่ สดงใหเห็น ปญจมหานที แหงชมพูทวปี ทไ่ี หลจากเทือกเขาหิมาลยั มาสูดนิ แดนสวุ รรณภูมปิ จจบุ ัน แตไ มไ ดไ หลไปอินเดียปจ จุบนั ๑๓

บทท่ี ๒ พระพุทธศาสนาเกดิ ขนึ้ ท่ีไหนแน? เม่ือ ความเขาใจเร่ือง ทต่ี ้งั ของ “ชมพทู วปี ” เกิดความสับสน ดงั ที่ไดกลาวไวในบทท่ี ๑ แลว และก็ นาทีจ่ ะยุตจิ บลงไดโ ดยงา ย วา ชมพูทวปี คอื ผนื แผน ดนิ ทต่ี ั้งประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจ จบุ ัน เพราะเหตุวามมี หานทีทง้ั ๕ ไหลผานเขา มายังดนิ แดนแถบนี้ แต นกั ประวตั ิศาสตร ก็ตอ งสับสน จนไมอ าจ ท่จี ะไมเ ชอื่ ไดว า ชมพทู วปี คอื แผนดินท่ีในสมัยปจจุบนั เปน ทตี่ ง้ั ของ ๔ ประเทศ คอื อินเดยี เนปาล ปากีสถาน และบังคลาเทศ ก็เพราะวา มี จดหมายเหตุการเดินทางของพระภิกษุจีนท่ีเดินทาง จารกิ มาสบื พระพุทธศาสนายังชมพทู วีป ซ่ึงไดมีการบนั ทกึ เสนทาง และสถานทีต่ า งๆ ยืนยันไวโ ดยละเอียด น่นั เอง นกั ประวัตศิ าสตรแ ละนกั โบราณคดชี าวตะวนั ตก ไดอาศยั บนั ทกึ การเดินทางมาสบื พระพทุ ธศาสนาของพระภกิ ษจุ ีน ในการทจี่ ะคน หา สถานทต่ี างๆ ในสมยั พทุ ธกาล โดยเฉพาะท่ีต้งั ของ สงั เวชนยี สถาน ๔ ตาํ บล คือ สถานทปี่ ระสูติ ตรัสรู แสดงปฐมเทศนา และปรนิ ิพพาน โดยบันทกึ การ เดินทางทส่ี าํ คัญ ๒ ฉบบั คือ ๑. บนั ทกึ การเดนิ ทางของพระภกิ ษฟุ าเหยี น ซง่ึ เดนิ ทางมายงั ชมพทู วปี -ลงั กาทวปี ระหวา ง พ.ศ. ๙๔๒-๙๕๗ ๒. บนั ทกึ การเดนิ ทางของพระภกิ ษเุ ฮย่ี นจงั หรอื พระถงั ซมั จง๊ั ซง่ึ เดนิ ทางมาอนิ เดยี ระหวา ง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘ ซง่ึ พระภิกษุจีนทง้ั ๒ รูป ไดเ ดนิ ทางมาสืบพระศาสนา ในชวงเวลาทีห่ างกันถงึ ๒๓๐ ป แตอ าจจะ ไมมีใครสงสยั วา พระภกิ ษุจีนทั้ง ๒ รปู น้ี ทานไดจ าริกไปยงั อินเดียท่ีเดียวกนั หรือเปลา ? ๑๔

แตถ า หากมใี ครทีไ่ ดอ านบันทกึ ทัง้ ๒ ฉบบั โดยละเอียด และไมไดมีอคตวิ า พระพุทธศาสนา เกดิ ขน้ึ ท่ีประเทศอินเดยี ในปจจุบนั กจ็ ะพบวา พระภกิ ษจุ ีน ๒ รปู ทา นเดนิ ทางไปอนิ เดยี คนละทก่ี นั และ แนน อนมีเพยี งรูปเดยี วท่ีเดินทางมาสชู มพูทวีปและอินเดยี ท่ีแทจ รงิ นั่นก็คือ “หลวงจนี ฟา เหยี น” ดังเชนที่ผมจะยก ตวั อยา งเสนทางการเดินทางของหลวงจนี ฟาเหยี น ทีท่ า นจะเดนิ ทางไป “เมอื ง กบิลพสั ด”ุ ซ่งึ เปน ทต่ี ้ังของ สถานท่ีประสตู ขิ อง “เจาชายสทิ ธตั ถะ ” โดยทานหลวงจีนได ตง้ั หลกั ท่ี นคร สาวัตถี แลว บันทึกไวดงั นี้ วา จากนครสาวตั ถไี ปทางอาคเนย เดิน ๑๒ โยชน ถงึ เมอื งหนึ่งชอื่ นะปะกะ ตอไปน้เี ดนิ ทางไปทางทศิ ตะวนั ออกทางไมถงึ โยชนถ ึง นครกบิลพสั ดุ จาก นครไปทางทิศตะวันออก ๕๐ ล้ี มีราชอทุ ยานช่อื ลุมพนิ ี สถานพุทธประสูติ เดนิ ไปทางตะวนั ออก ๕ โยชนม ี ประเทศชือ่ ราม (คาม) จากบนั ทึกเสนทางดังกลา ว เม่อื นาํ มาเขียนเปน แผนที่การเดนิ ทาง จะปรากฏ ดังแผนผงั ขา งลางนี้ ผงั แสดงเสน ทางจาริกของหลวงจนี ฟาเหียน จากเมืองสาวัตถี ไปลมุ พินี สถานทป่ี ระสูติ จากแผนผงั ขา งบน เมื่อเปรียบเทยี บกับ แผนผงั ทต่ี ั้ง เมืองและสงั เวชนยี สถานในประเทศอนิ เดยี และเนปาล ตามแผนท่ขี างลา งน้ี จะพบวา ลุมพนิ จี ะอยทู างตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของนครสาวตั ถี แทนทจ่ี ะอยทู างตะวนั ออกเฉยี งใต ๑๕

ผังแสดงสถานทีต่ ัง้ เมืองและสังเวชนยี สถาน ในประเทศอินเดยี ปจ จบุ ัน ดังน้ัน การท่ี นักประวตั ิศาสตรช าวตะวันตก ใชบันทกึ การเดินทางของพระภกิ ษจุ นี ทัง้ ๒ รปู ในการคน หาทต่ี ง้ั ของสงั เวชนยี สถาน ๔ ตาํ บล และเมอื งตา งๆ ในสมยั พทุ ธกาล จงึ เกดิ ความ ขัดแยง กันเอง โดยเฉพาะ ทีต่ ง้ั ของเมอื ง กบิลพัสดุ และสวนลมุ พินี ก็เพราะพระภกิ ษจุ ีนท้งั ๒ รปู เดนิ ทางไปคนละทนี่ ่นั เอง แตคนไทยก็ไมไดเ คยใสใ จทีจ่ ะคน หาความจรงิ คอื ใครวาที่ไหนกว็ าทน่ี นั่ ทาํ ไมเราจงึ ไมศกึ ษา เพอื่ ใหรแู นว า ความเขา ใจของ บรรพบรุ ษุ ของเรา ทีว่ า ชมพทู วปี คอื ดนิ แดนท่ีเปน ประเทศไทย ลาว และพมา ในปจจบุ ัน เปนความเขาใจที่ถกู ตอ ง หรอื ผดิ พลาด เพราะการที่เราจะทาํ การศึกษา คน ควา หาทตี่ ง้ั ทีแ่ ทจรงิ ของชมพทู วีปนน้ั ยอ มจะนาํ ไปสกู ารพิสจู นทราบวา พระพทุ ธศาสนา เกดิ ขนึ้ ที่ไหนกันแน? เพอื่ ทําใหเ กดิ ความเขาใจทางประวตั ศิ าสตรท ี่ถกู ตอ ง และเปน การปกปอ งศักดิ์ศรเี กนี ติภมู ขิ องบรรพชนของเราแตโ บราณกาล จากคํากลา วหาและดถู กู บรรพบุรุษของตน วา เปนผมู คี วามรใู นประวตั ิศาสตรในวงจํากดั ดงั ท่จี ะยกสาํ เนา คาํ ตอบกระทูถามทคี่ ณะรัฐบาลสมัยหนงึ่ ไดต อบกระทถู ามของสมาชิกสภาผแู ทนราษฎรจงั หวดั ขอนแกนทานหน่งึ ท่ตี ้งั กระทูถ าม เร่ือง การชําระ ประวตั ศิ าสตร พระพทุ ธศาสนา ในคาํ ถามทว่ี า รฐั บาลมนี โยบายทจ่ี ะสนบั สนนุ ใหม กี ารชาํ ระ ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนาเพ่อื คนหาความจรงิ ของการอุบตั แิ หง พระพุทธศาสนาในประเทศ ไทยหรอื ไม อยา งไร ขอทราบรายละเอยี ด มาใหท านทั้งหลายไดอ า น ดังน้วี า กอนทจ่ี ะตอบคาํ ถามนี้ตองทาํ ความเขา ใจกอนวา เอกสารโบราณของไทยท่ี กลาวถึงประวตั ิพระพทุ ธเจาสว นมากเปน ตาํ นานพืน้ บา นซึง่ เลา เรื่องวิถชี ีวติ ประชาชน ในถ่นิ นนั้ ๆ ทน่ี ับถือพระพุทธศาสนาแลว แตงเร่อื งแบบจนิ ตนาการไปไกลเพ่ือรองรบั ปู ชนียสถานทส่ี รา งขึ้นในถ่นิ นน้ั ๆ โดยอางวาพระพทุ ธเจา เสด็จมาโปรดรบั สั่งกบั ประชาชนวาพระบรมสารีริกธาตขุ องพระองคจ ะมาประดษิ ฐานในทน่ี นั้ ๆหลงั จาก พระองคเ สดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พาน เชน ตาํ นานอุรงั คธาตุ (ตาํ นานพระธาตุ พนม) ตาํ นานเมอื งโยนก ซง่ึ เอกสารเหลา นเ้ี กดิ จากความศรัทธาใน พระพทุ ธศาสนาเปน ที่ตั้ง มิไดเ ขียนข้นึ บนพน้ื ฐานทางประวัติศาสตรแ ตเ ขียน ๑๖

ตามจนิ ตนาการทไี่ ดรับอทิ ธิพลมาจากพระพทุ ธศาสนาโดยเปล่ียนชมพูทวีป เปน ประเทศสยาม เชน เรยี กเมอื งนครศรธี รรมราชเปน เมอื งปาฏลบี ตุ ร เรยี กเจาผู ครองนครศรธี รรมราชเปน ศรธี รรมาโศกทกุ พระองค เพราะการทจ่ี ะนําเอา เอกสารโบราณของไทยทผ่ี ูเขยี นมคี วามรูเรอื่ ง ประวตั ิศาสตรใ นวงจาํ กัดมาตดั สินประวตั พิ ระบรมศาสดาเอกของไตรโลกวา เสดจ็ อุบัตใิ นประเทศไทยนัน้ เปน ไปไมไ ด ไมสมควรทําอยา งยิง่ บัณฑติ ชน ไมส รรเสรญิ หากทาํ กจ็ ะเปน การบดิ เบือนพระพทุ ธศาสนาสรา งความอับอายขาย หนา แกช าวพทุ ธทวั่ โลก . ๑๗

บทท่ี ๓ อนิ เดยี ในโลกน้มี ีอยู ๒ ที่ มใี ครรไู หม? อาจเปนเพราะการท่ีนกั ประวตั ศิ าสตร ยคุ หลัง พทุ ธศักราช ๒๓๐๐ ปลายๆ ไดทําการโยกยายชมพู ทวปี ใหไปอยูท่ีอนิ เดีย เนปาล ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ ในปจ จบุ ัน เพราะความเขาใจผิดท่คี ิดวา สงั เวชนียสถานจําลอง ท่ีถกู สรางขึ้น ในดินแดนแถบประเทศทวี่ า นน้ั คือสถานที่จรงิ ตามท่ี พระ ภกิ ษเุ ฮ่ยี นจัง หรือพระถงั ซัมจัง๊ ไดเ ดนิ ทางมาสบื พระพทุ ธศาสนาในดินแดนชมพูทวปี และได บนั ทกึ เรอ่ื งราวการเดนิ ทางของทา นโดยละเอยี ดระหวา ง พ.ศ. ๑๑๗๒-๑๑๘๘ เปน ของจรงิ จงึ ทํา ใหพ วกเขาพลาดโอกาสทจ่ี ะไดร จู กั ชมพทู วปี ทแ่ี ทจรงิ นอกจากแผนทโ่ี บราณ ทแ่ี สดงใหเ หน็ ปญ จมหานที คอื แมน าํ้ ใหญท ง้ั ๕ สาย ทไ่ี หลผา น เขามายงั ดนิ แดนสวุ รรณภมู ิ อนั เปน ทต่ี ้งั ของประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจจบุ นั ซึ่งเปน เคร่อื ง ยนื ยัน ที่ตง้ั ชมพูทวปี ท่ีแทจ ริง ในบทที่ ๑ แลว ยงั ปรากฏมแี ผนทโ่ี บราณ ทีอ่ าจทําใหนักประวัติศาสตร ยคุ คน หาทต่ี ้ัง สังเวชนยี สถาน ๔ ตําบล ในประเทศอนิ เดียปจ จบุ ัน อาจจะพลาดโอกาสที่จะไดพบเห็น สังเวชนียสถาน ๔ ตําบล ของจริง กเ็ พราะวา ในแผนทโ่ี บราณฉบบั ทไ่ี ดน าํ มาแสดงน้ี มปี ระเทศ อนิ เดียอยู ๒ ที่ ซึ่ง เรียกวา INDIA INTRA GANGES ท่คี รอบคลมุ พื้นท่ีประเทศอินเดยี เนปาล ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ ในปจจุบัน กบั INDIA EXTRA GANGES ทค่ี รอบคลุมพนื้ ที่ประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจจุบนั แตพวกเขากลบั สาละวน หลงทางในการคนหา สังเวชนยี สถานจาํ ลอง ใน ประเทศอินเดีย เนปาล ปากีสถาน และบงั คลาเทศ ในปจ จุบนั ดงั นั้น เพือ่ เปน การยืนยันวา ประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจ จุบัน คือ ชมพูทวปี ที่แทจริง และยังเปนที่ตั้งของ อินเดยี อันเปนท่ตี ง้ั ของสังเวชนียสถานที่แทจรงิ จึงตองสบื คน หาหลกั ฐาน ที่ จะกลา วถึง ทตี่ ั้งบานเมืองตา งๆ ในสมยั พุทธกาล หรอื รอ งรอยสงั เวชนยี สถาน ในเขตประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจ จุบนั เพอื่ มาพสิ ูจนท ราบตอ ไป แผนท่ีโบราณทีร่ ะบวุ า ดินแดนสุวรรณภมู ิ ซ่ึงเปนที่ตงั้ ของประเทศไทย พมา และลาว คือ อินเดีย เหมอื นกัน ๑๘

เรามาเรม่ิ ตนการคนหาทีต่ ั้งของ อนิ เดยี ทีแ่ ทจริง จากความสัมพันธ ระหวาง กษตั รยิ ในแถบ สุวรรณภูมิ กบั กษัตรยิ แหงมคธ ประเทศอินเดียโบราณ ทปี่ รากฏอยใู น ประวตั ศิ าสตรโหราศาสตร ดงั นี้ อญั ชนั ศักราช เมือ่ ใชศ กั ราชใหมห รือ “กาลศี กั ราช” ได ๒๔๑๑ ป กษตั ริยกรงุ กบลิ พัสดุ คือ พระเจาสหี ตราช ซึ่ง เปน ปูของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา พระเจา อญั ชนั ซงึ่ เปนพระราชบิดาของพระนางประชาบดโี คตมี หรือเปน ตาของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา (ภายหลงั ไดออกบวชเปน ฤาษชี ่อื อสติ ดาบส และไดเขา มาทํานายพุทธ ลักษณะเจาชายสทิ ธัตถะหลงั ประสตู ไิ ด ๕ วนั ) ซง่ึ กษตั รยิ ท ้ังสองสาํ เรจ็ จากสาํ นักตกั ศิลามีความ เชย่ี วชาญทางดา นโหราศาสตร จึงไดทาํ การลบศักราชกาลยี คุ เสยี ดวยชอื่ ไมเปนมงคล และต้งั ศกั ราชขึ้น ใหมช ือ่ วา “อัญชนั ศักราช” ไดใชเรื่อยมาจนพระสมั มาสัมพทุ ธเจาปรินพิ พาน สงิ่ ทน่ี า สงั เกตและควรทราบก็คือ พระสัมมาสมั พุทธเจาครงั้ ยังเปนเจาชายสทิ ธัตถะ (ยงั ไมไ ดอ อก ผนวช) ไดทรงศึกษา “คมั ภรี ม หาจกั รพรรดริ าช” จากพระเจาอญั ชันผูเปน ตาอยางเช่ยี วชาญ ในทางพุทธ ศาสนาจงึ ปรากฎเรือ่ งราวเกยี่ วกับโหราศาสตรอ ยูอ ยางมากมาย เชน การโคจรของดวงอาทิตย ระบบสรุ ิย จักรวาล ดวงดาวและฤกษ อนั ปราก ฏอยใู นพระบาลี คมั ภรี อคั คญั ญสูตร และปฐมกัลป (ตอ มาหลัง พุทธกาลสํานักตกั ศลิ าไดน ําไปทําเปน หลกั สูตรดาราศาสตรช อ่ื วา “ โชติกยศาสตร ” แมก ระทงั่ การใช ตําแหนง ของดวงจันทรเ ปน ตวั กําหนดใหเปน วนั ธรรมสวนะ หรอื วันอุโบสถ ถือศลี นน้ั กต็ องใชว ันที่จนั ทร เพ็ญและจนั ทรด บั การกาํ หนดภกิ ขปุ าฏโิ มกข และแมก ระท่งั การใชฤ กษเ ปน ตั วกาํ หนดนบั เวลาระยะวนั เขา พรรษาและปวารณา อนั ถือวาเปน พทุ ธบัญญัตทิ พ่ี ระภกิ ษุตอ งปฏิบัติ เรยี ก “อภสิ มาจารกิ าสกิ ขา ” อยู ในพระบาลวี นิ ัยปฎ ก หมวดขนั ธกะ วา ดวยสงั ฆกรรม อุปสมบท และสว นมหาวรรค อาทิ อโุ บสถขนั ธกะ วา ดว ยอโุ บสถ วสั สปู นายกิ ขนั ธกะ วา ดว ยวนั เขา พรรษา ปวารณาขนั ธกะ วา ดว ยการปวารณา เปน ตน พุทธศักราช พระสมั มาสัมพทุ ธเจาทรงประสูตเิ ม่อื วันขึน้ ๑๕ คํา่ เดอื น ๖ ปอ ญั ชันศักราชท่ี ๖๘ ทรงเผยแพร พระธรรมคาํ สอน เปน เวลา ๔๕ พรรษา เสดจ็ ปรินพิ พาน ณ กรงุ กสุ ินารา เม่อื วนั ขนึ้ ๑๕ คํา่ เดอื น ๖ ป อญั ชนั ศกั ราชที่ ๑๔๘ ในปเดียวกันกบั พระสมั มาสมั พุทธเจาทรงเสดจ็ ดบั ขันธปรินพิ พานนั้น พระเจา อชตุ ราช ซงึ่ เปนราช นัดดา (หลาน) ของพระเจาสงิ หนวัติ ข้ึนครองราชในอาณาจักรโยนก สิงหนวตั ินาคนคร ทรงเปนพระญาติ ของพระเจาอชาตศตั รู กษตั ริยแ ควน มคธ ราชโอรสของพระเจา พมิ พิสาร โดยพระเจา สิงหนวตั ิผูต้งั อาณาจกั รโยกนกเปนนอ งชายของพระเจา พิมพสิ าร พระเจาอชุตราช ครองราชยเม่อื เดอื นยี่ กอ นพุทธ ปรินิพพาน ๔ เดอื น ทรงเปน พทุ ธมามกะ เม่อื ไดทราบขาวพทุ ธปรินิพพาน จึงเดินทางไปเมืองกสุ นิ ารา เพอื่ ถวายสักการะพุทธสรรี ะ ของพระบรมศาสดา ในกาลนน้ั เหลากษตั รยิ ท ง้ั หลายในโคตมะโคตร จงึ ปรกึ ษากนั จักกาํ หนดใหตง้ั ศักราชข้ึนใหม โดยหมายเอานมิ ติ แหง การเสด็จปรนิ พิ พานของพระสมั มาสัมพทุ ธเจาอัน ๑๙

เปนกษัตรยิ แหง วงศโ คตมะน้ัน ราชวงศท ้งั หลายจงึ่ มอบหมายใหพ ระเจาอชุตราช ซึง่ เปน ผเู ชี่ยวชาญคมั ภีร สวุ รรณโคมคาํ สว นโหราศาสตร และพระเจา อชาตศตั รู ซึ่งเปนผู เชยี่ วชาญคมั ภีรสวุ รรณโคมคําสวนปราบ ไตรภพ วางศิลาฤกษย ามคํานวนตั้งศักราชขนึ้ ณ เมอื งกุสินารา นัน้ จึงไดท ําพิธีลบอญั ชันศกั ราชเสยี และ ใชศ ักราชใหมเ รียกวา “พุทธศักราช ” ประกาศตอ ทา วพระยาสามลราชอนั มาประชมุ รบั แบง พระบรม สารีรกิ ธาตใุ หทราบแลใหท ุกแควน ทุกนครในชมพทู วีปใช “พุทธศกั ราช” เปนเครอ่ื งหมายนบั เวลา นับตั้งแต ปอัญชันศักราชที่ ๑๔๘ เปน ตนไป การเร่มิ ตนแหง “พุทธศกั ราชท่ี ๑” จึงมขี ึ้นแตบัดนัน้ มา ความสมั พนั ธระหวา งดนิ แดนทางภาคเหนอื ของประเทศไทยกับเมืองราชคฤห แควนมคธ นอกจาก ปรากฏในสมยั ของ พระเจาสงิ หนวตั กิ ับพระเจาพมิ พิสาร และสมยั พระเจาอชตุ ราชกับพระเจา อชาตศัตรู แลว ใน ตาํ นานพระบรมธาตศุ รจี อมทอง ท่ี จังหวัดเชียงใหม ยังไดม กี ารกลาวถงึ การเดินทางไปมาหาสู กนั ระหวาง เมืองอังครฏั ฐะ ซ่งึ เปน ท่ตี ง้ั ของ วดั พระบรมธาตุศรจี อมทอง ในปจจบุ ัน กับเมอื งราชคฤห ดังท่ี จะขอคัดลอกความสาํ คัญบางตอนมาใหทา นท้งั หลายได พจิ ารณา ดงั นี้ ...ในสมัยเมอ่ื พระยา อังครัฏฐะ ครองเมืองอังครฏั ฐะอยูนั้น เปนสมยั ทพี่ ระพุทธเจา ไดตรัสรพู ระ สัมมาสัมโพธิญาณแลว และทรงเสด็จสาํ ราญพระอิรยิ าบถอยู ณ พระเวฬวุ นั วิหาร กรงุ ราชคฤห สวน พระ ยาองั ครัฎฐะนนั้ เปน ผูส นใจคอยสดบั ขา วสาสน ความบังเกดิ ขึ้นแหงพระพทุ ธเจา พระธรรมและพระสงฆอยู เสมอมา ครนั้ อยูมาวนั หนงึ่ ทา วเธอไดส ดับขาวจากพวกพอคา ซึ่งมาจากกรุงราชคฤหว า พระพุทธเจาไดบังเกิดข้ึนแลว ในโลกน้แี ละเสดจ็ ประทบั อยูที่พระเวฬุวันวหิ าร กรุงราชคฤห กม็ ใี จปติ ยนิ ดีมากนกั ไดพระราชทานขา วของเงินทองเสื้อผาแกพ อคา เหลานนั้ เปนอันมาก … ซึ่งจาก ขอความใน ตาํ นานพระบรมธาตศุ รจี อมทอง จะเห็นวาไดมกี ารเดินทางไปมาหาสูกัน ทางการคา ระหวา งบานเมืองทางตอนเหนือของประเทศไทย กบั เมอื งราชคฤห มาชา นานแลว แตที่ชวนให คดิ กค็ ือ เมอื งราชคฤห ตงั้ อยทู ่ไี หนแนร ะหวา ง INDIA INTRA GANGES ทค่ี รอบคลมุ พืน้ ที่ประเทศอินเดีย เนปาล ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ ในปจ จุบัน กับ INDIA EXTRA GANGES ท่คี รอบคลมุ พ้ืนที่ประเทศ ไทย ลาว พมา ในปจจบุ ัน อีกเรื่องหนง่ึ คือ เรอื่ งของทา นหมอชวี กโกมารภจั จ ที่ไดเดินทางตดิ ตามองคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา เพื่อรกั ษาพระอาการประชวรจนกระทั่งพระพุทธองคเ สดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ท่ีกรงุ กสุ ินารา แควน มลั ละ ซงึ่ เปน เรอื่ งทีน่ า สบื คน ตอวา \"กสุ นิ ารา\" ที่ หมอชีวกโกมารภจั จ เดนิ ทางมา และทพี่ ระเจา อชุตราช กบั พระเจา อชาตศตั รู เดินทางมารวมกันลบอัญชนั ศกั ราช และตง้ั \"พระพทุ ธศกั ราช\" นนั้ อยูที่ไหน แน ถาเมืองกุสินารา ในสมยั พทุ ธกาล อยูท ปี่ ระเทศอนิ เดียปจ จุบนั คนไทยสมัยโบราณ จะ ไปรวมตัง้ พทุ ธศกั ราช รว มกับพระเจาอชาตศัตรู ไดจ รงิ หรือ? และเรื่องราวเหลาน้ี สญู หายไปจาก อนิ เดยี ปจ จุบนั ไดอ ยางไร? แตทาํ ไมเรื่องราวเหลาน้ี กลบั มีบนั ทกึ สบื ตอกนั มาของคนในแผน ดนิ สุวรรณภูมิ ปจจุบัน หรอื แทท ่จี ริงแลว เมอื งกสุ นิ ารา อยูในเขตแดนของประเทศไทย ในปจจุบนั ดงั ทม่ี คี วามเชื่อน้ี ปรากฏอยูในบทกวี ท่เี รยี กวา นริ าศพระแทน ดงรงั ซง่ึ นายมี หรือ หมื่นพรหมสมพตั สร ทา นไดแตงเอาไว ๒๐

เมือ่ ปวอก พ.ศ. ๒๓๗๙ กอ นที่ เซอร อเลก็ ซานเดอร คันน่งิ แฮม นกั โบราณคดีชาวอังกฤษ จะขุดคนพบ พระพทุ ธรปู ปางปรนิ พิ าน ที่ประเทศอนิ เดยี ในป พ.ศ. ๒๔๑๙ และประกาศวา สถานทีน่ น้ั เปนทป่ี รนิ ิพพาน ของพระพุทธเจา แลวตง้ั ชอื่ หมูบานท่นี ้ันวา กุเซีย หรือกาเซีย ใหใกลเคียงกบั กุสินารา ซง่ึ จะขอยก ความใน นริ าศพระแทน ดงรงั มาแตเพยี งบางตอน ดังน้ี พระแทน ปรินิพพาน ที่ วัดพระแทน ดงรงั วรวหิ าร อาํ เภอทามะกา จังหวดั กาญจนบรุ ี โอพ ระแทนแผนผาอยูปาดอน แตป างกอ นทน่ี เี้ ปน ทีเ่ มอื ง ชือ่ โกสนิ นารายสบายนกั เปน เอกอรรคออกชอ่ื ยอ มฤๅเลอ่ื ง ท้งั แกว แหวนเงนิ ทองก็นองเนือง ไมฝด เคอื งสมบัติกษัตรา มสี วนแกว อุทยานสาํ ราญรื่น ดูดาดดื่นดอกดวงพวงบปุ ผา ปลกู ไมร ังตงั้ แทนแผนศลิ า คอื แผน ผาอนั นท้ี า นนพี าน ของพระยามลราชประสาทไว ยอมแจง ใจทกุ ประเทศเขตสถาน ทส่ี ําคัญมั่นหมายหลายประการ สมนทิ านเร่ืองเทศนสังเกตฟง แตบานเมอื งสูญหายกลายเปนปา พยคั ฆาอาศัยเหมอื นใจหวงั พระอุทยานรางราเปนปา รงั อนจิ จงั อนาถจิตอนิจจา เดชะบญุ ไดนบอภิวาท ไมเ สยี ชาติทีไ่ ดพ บพระศาสนา ราํ พนั พลางทางกม บงั คมลา ถอยออกมาเทีย่ วชมพนมเนนิ ซงึ่ จาก นิราศพระแทนดงรงั ขางตน นี้ อาจจะเปน บนั ทึกประวัตศิ าสตรการกลา วถงึ สงั เวชนยี สถาน ทีต่ ้ังอยูในประเทศไทยทห่ี ลงเหลอื อยู และสบื ทอดกันมาปรากฎหลักฐานเปน ลายลกั ษณอักษรจนถึงรชั สมัยรชั กาลท่ี ๓ ที่เช่ือวา “สถานท่ีปรนิ ิพพานของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา อยทู ่ี วดั พระแทน ดงรงั ตําบลพระแทน อําเภอทามะกา จังหวดั กาญจนบรุ ”ี และ “เมอื งโกสนิ นาราย หรอื โกสนิ าราย ก็คอื ๒๑

ซากเมืองโบราณโกสินารายณ ท่ตี ั้งอยูริมแมน ํา้ แมกลอง ตําบลทา ผา อาํ เภอบา นโปง จงั หวดั ราชบรุ ”ี น่นั ก็หมายถงึ วา ท่ีต้งั ของเมืองกุสินารา และแควนมัลละ ในสมัยพุทธกาล ก็จะอยใู นพ้นื ที่ รอยตอรวมกนั ของ จงั หวดั กาญจนบุรี ราชบุรี และนครปฐม นเ่ี อง จากบนั ทกึ ท่หี ลงเหลืออยขู องบรรพชน ที่ไดย กมาอางขางตน น้ี นับไดวา เปน หลกั ฐาน ในการ เดนิ ทางมาจาริกแสวงบุญสงั เวชนียสถาน ๑ ใน ๔ ตาํ บล ของคนสมัยโบราณ กอนทจี่ ะถกู ยา ยไปอยูที่ ประเทศอนิ เดียในปจ จุบัน อกี หนึง่ หลักฐาน ที่เปน เครือ่ งแสดงวาไดมกี ารเดินทางมาจารกิ แสวงบญุ ยังสถานท่ปี รินิพพานของ องคสมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา นับตั้งแตไดมกี ารคนพบพระแทนดงรงั ในสมัยพระเจาทรงธรรม แหงกรงุ ศรีอยุธยา ก็คอื “รอยพระพทุ ธบาทไมป ระดบั มกุ ” ท่ีวดั พระแทนดงรงั วรวหิ าร จงั หวัดกาญจนบุรี รอยพระพทุ ธบาทไมประดับมกุ ทีว่ ดั พระแทนดงรงั วรวิหาร อําเภอทา มะกา จังหวดั กาญจนบุรี ซ่งึ ตามคําอธบิ ายความเปนมากลาวไวว า รอยพระพุทธบาทไมโ บราณชนิ้ น้ี ประดษิ ฐานประจาํ อยู ที่พระแทน มาเปนเวลานบั รอยป ประชาชนทีม่ านมัสการนบั แตอดีตมาไดปด ทองโดยไมขาดสาย ตาม แบบอยา งบรรพบุรษุ ปฏบิ ตั มิ า โดยไมมใี ครทราบวา ที่ปดทองทบั นน้ั มีลายมกุ ที่สวยงามอยูภ ายใน ตอมาเม่ือตนปนี้ (๒๕๓๗) คณะผูเช่ียวชาญการสืบคนรอยพระพุทธบาทนาํ โดย ดร. วอลเดมาร ซี. ไซเลอร รว มกับเจา หนาทก่ี รมศิลปากร ไดมาสาํ รวจรอยพระพทุ ธบาท ณ จังหวัดกาญจนบรุ ี จึงขออนุญาต ตรวจและลา งจึงเห็นรอยพระพทุ ธบาทไมน ้ปี ระดบั ดว ยเปลอื กหอยมุกทั้งแผน สนั นษิ ฐานวาเปน ฝม ือชา ง หลวงในสมยั พระเจา บรมโกศ แหง กรงุ ศรอี ยธุ ยา อนั สะทอนใหเ ห็นถงึ ความเชือ่ เรื่องสญั ลกั ษณอันเปน มงคล ๑๐๘ ประการ อนั เหมอื นกับลวดลายรอยพระพทุ ธบาททเี่ ขยี นบนผืนผา ทพ่ี ระเจา บรมโกศ ทรงสง เปนเครอ่ื งราชบรรณาการ เพอ่ื เจรญิ พระราชไมตรี กับ พระเจา สหี ะกติ ติ ประเทศศรลี ังกา เมอื่ พ.ศ. ๒๒๙๙ (ปจ จบุ ันอยูใ นพพิ ิธภณั ฑเ มอื งแคนดี)้ ๒๒

นอกจากนี้ ยังมี ตาํ นานพระประโทณเจดยี  จงั หวัดนครปฐม ซึง่ ทา นเจา พระยาทพิ ากรวงศ (ขาํ บุนนาค) ไดเ รยี บเรียงไว และผมจะขอคดั ลอกมาใหทา นทั้งหลายไดอ า นแตพ อสงั เขป ดงั น้ี องคพระประโทณเจดยี  วัดพระประโทณวรวิหาร อําเภอเมอื ง จังหวดั นครปฐม ...ไดค น หาเรื่องพระปฐมเจดยี แ ละเร่อื งพระประโทณเจดียไ ดความในหนงั สอื พงศาวดารเมืองเหนอื ไดทพี่ ระยามหาอรรคนกิ ร ฉบบั ๑ ไดท ่ีนายทอง ฉบบั ๑ รวม ๒ ฉบับ มีความคลา ยกัน จึงเกบ็ เอาความ รวมเปนฉบบั เดยี วกันเขา ไว เพ่ือจะใหส ัปบรุ ษุ ท้ังหลายรคู วามบุราณ จะเท็จจรงิ ประการใดขา พเจา ผูได จดหมายนี้ตัดสนิ ไมได ยังมีตํานานนิทานวา ไวสืบๆ กันมา แตกอ นพระนครไชยศรียงั มิไดตง้ั เมือง มี ตาํ บลบา นพราหมณอ ยู เรยี กวา บา นโทณะพราหมณซ ง่ึ เอาโทณะ คอื ทะนานทอง ทต่ี วงพระบรม ธาตพุ ระพทุ ธเจา มาบรรจไุ วใ นเรอื นหนิ นน้ั แล วา เมอ่ื พระพุทธศกั ราชลวงได ๑๑๓๓ พรรษา ยังมีพระยาองคหน่ึง ชือ่ ทาวศรสี ทิ ธิชยั พรหมเทพ มาแตเมอื งมโนหัน ตอเมืองยศโสธร ทา วเธอจงึ มาสรา งเมอื งนครไชยศรีขน้ึ เปน เมืองใหญ และอยมู าเจา เมอื งลังกาจะใครไดห นวยโทณะอนั ตวงพระธาตขุ องสมเด็จพระพุทธเจา นนั้ มาไวในลงั กาทวีป เธอจึงไปหา พระกัลยาดิศเถรเจา จึงวาขาพเจาจะขออาราธนาพระผูเ ปน เจา ไปวา กลาวดวยพระเจา เมอื งนครไชยศรี ขอ เอาโทณะท่ีตวงพระบรมธาตุมาไวใ นเมืองลังกานี้เถิด และชาวเมืองลงั กาท้ังปวงจะไดน มัสการไปเบอ้ื งหนา แล ดบั นน้ั พระมหากัลยาดศิ เถร กร็ บั อาราธนา แลวเธอก็มาแตลังกาทวปี ถึงพอจวนค่ํา เธอก็เขา อาศยั อยใู นอารามแหง หนง่ึ คร้นั รุง ข้นึ เพลาเชา พระกลั ยาดศิ เถรเจาก็ไปบณิ ฑบาต ทําภัตตากจิ เสรจ็ แลว กเ็ ขา ไปหาพระเจา ศรสี ทิ ธิไชยกร็ บั ปฏญิ ญาณซ่ึงกันและกนั แลว พระผเู ปน เจาก็กลบั ไปสเู มอื งลังกา จงึ เขา ไปแจงความแกพระเจา แผนดินลังกาวา พระยาศรีสิทธไิ ชยขอรับพระบรมสารรี กิ ธาตแุ หง สมเด็จ พระพทุ ธเจาสักทะนานหนึง่ จงึ จะใหหนว ยโทณะน้ันแล ดบั นั้น พระยาลงั กาไดฟง ถอยคําดงั นน้ั กม็ คี วามยนิ ดีจึงนาํ เอาพระบรมสารีรกิ ธาตุ ใหแกพระ กลั ยาดศิ เถรเจานนั้ ทะนานหน่งึ ครน้ั วาพระมหาเถรเจาไดร ับพระบรมสารรี ิกธาตแุ ลว เธอกก็ ลับมาถึงเมือง ๒๓

นครชยั ศรี พระผเู ปน เจาก็เอาพระบรมสารีรกิ ธาตุเขา ไปใหแกพ ระยาศรสี ทิ ธิไชยๆ ไดร บั พระบรมสารีริกธาตุ ทะนานหนงึ่ แลว จงึ หาหมพู ราหมณท ง้ั หลายมาจะขอเอาทะนานที่ตวงพระบรมธาตุใหแกพ ระกัลยาดิศเถร เจาและหมูพ ราหมณทง้ั หลายจงึ ขดั แขง็ ไวมิใหห นวยโทณะแกพ ระยา จงึ วาหมูพ ราหมณซ ึ่งเปน ปยู า ตา ยายแตก อ นสง่ั ไวว า ทา วพระยาสามลราชและเทวดาอนิ ทรพ รหม ทา นมาชงิ เอาพระบรม สารีริกธาตุไปสิ้นแลว ยังเหลือแตโทณะเปลาไดม าไวเ ปน ที่ไหวบูชาแตเทา น้ี และบดั นข้ี าพเจาจะ เอาหนว ยโทณะใหแ กพ ระองคม ไิ ดเ ลย โทณะพราหมณ ตวงแบง พระบรมสารรี กิ ธาตใุ หก ษตั รยิ  ๘ เมืองท่มี าแยง ชงิ พระธาตุ ดับนน้ั พระยาศรสี ิทธไิ ชย ไดฟง หมพู ราหมณวา ก็ขดั เคืองจงึ ยกรพ้ี ลออกไปต้งั เปนเมอื งอยูตางหาก ใหช อ่ื วา ปาวัน แลว ทา นจงึ ใหสรา งพระปฐมไสยาสนองคห นึ่ง ใหญยาวมหมึ า จะเปน พระปฐมเจดียห รอื จะเปนพระพทุ ธรูปไสยาสนก ไ็ มไดความชัด พระยาศรสี ิทธิไชยเธอจงึ เอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไวใ น น้ันแลว พระยาจงึ หักหาญเอาหนว ยโทณะน้นั สงใหแ กพระกัลยาดศิ เถรเจา เธอกร็ บั เอาหนว ยโทณะน้ันไป เมืองลงั กา พระเจาแผน ดินลังกาก็บรรจุไวในสวุ รรณเจดยี  และพระปฐมเจดยี น น้ั อยูเ หนอื พระประโทณ เจดีย อนั อยใู นเรอื นศิลานน้ั เดิมเมื่อแรกสรางพระปฐมเจดยี น ัน้ พระพทุ ธศักราชลวงไดพระวสั สาหน่ึง จะ เปน ผูใ ดสรางหาแจง ไม ครนั้ อยมู าถงึ พระพุทธศักราชลว งได ๑๑๙๙ พรรษา มกี ษตั ริยองคห นง่ึ เปนใหญอยูในเมอื งละโว ชือ่ กากะวรรณดศิ ราช นน้ั เธอไดกอ พระเจดียล อมเรือนศลิ าท่บี รรจุพระทะนานทอง คอื โทณะอนั ตวงพระ บรมธาตนุ นั้ แลว จงึ ใหนามวา พระประโทณเจดยี  พระประโทณเจดียส รางเมือ่ พระพุทธศกั ราชลว งได ๑๑๙๙ พรรษา ไดความแตเ ทา น้ี จาก ตาํ นาน พระประโทณเจดยี  ซ่ึงทานเจา พระยาทิพากรวงศ (ขาํ บนุ นาค) ซง่ึ เปนเสนาบดีใหญ ในสมยั รัชกาลท่ี ๔ ไดเ รียบเรียงไวขา งตน จะเห็นไดว า บรเิ วณรอบๆ ที่ต้งั องคพ ระประโทณเจดยี  เปน ตาํ บลบา นพราหมณ เรยี กวา บา นโทณะพราหมณ ซ่ึงคงจะต้งั ชื่อตําบลตามชือ่ ของ ทานโทณะ ๒๔

พราหมณ ผูท ่ีไดทําหนาทีแ่ บง ตวงพระบรมสารีรกิ ธาตขุ ององคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา แจกจา ยใหก บั กษตั ริยท งั้ ๘ เมืองทยี่ กทพั มาแยง ชงิ พระบรมสารรี ิกธาตุ หลงั การถวายพระเพลงิ พระบรมศพ ท่เี มอื งกสุ ิ นารา บรเิ วณ เขาถวายพระเพลงิ วดั พระแทน ดงรังวรวหิ าร จังหวดั กาญจนบุรี ในปจ จุบนั ซง่ึ อยูหางจากวัด พระประโทณเจดยี ว รวหิ าร จังหวดั นครปฐม นป้ี ระมาณ ๖๐ กโิ ลเมตร นอกจาก ตํานานพระประโทณเจดยี  ทีท่ านเจา พระยาทพิ ากรวงศ (ขาํ บนุ นาค) ซ่ึงเปนเสนาบดี ใหญใ นสมยั รชั กาลที่ ๔ เรยี บเรียงไว แลว ใน นริ าศพระแทน ดงรงั ซงึ่ นายมี หรอื หม่ืนพรหมสมพัตสร ทานไดแ ตง เอาไวเม่อื ปว อก พ.ศ. ๒๓๗๙ ตรงกับรชั สมยั รชั กาลท่ี ๓ ซง่ึ จะขอยกความใน นิราศพระแทนดง รงั มาแตเพยี งบางตอน ดงั นี้ ถึงประโทณารามพราหมเ ขาสรา ง เปนพระปรางคแตบุราณนานนักหนา แตค รัง้ ตวงพระธาตพุ ระศาสดา พราหมณศ รัทธาสรางสรรไวมนั่ คง บรรจุพระทะนานทองของวเิ ศษ ที่นอมเกศโมทนาอานิสงส จุดธปู เทียนอภวิ ันทด วยบรรจง ถวายธงแพรผา แลวลาจร เรื่อง ตาํ นานพระประโทณเจดยี  น้ี นอกจากที่ ทานเจา พระยาทพิ ากรวงศ (ขาํ บนุ นาค) ไดเรยี บ เรยี งขนึ้ จากพงศาวดารเมอื งเหนอื แลว ยงั มี ตํานานพระประโทณเจดีย ฉบับของนายออง ไวกําลัง ซึ่งกรม ศิลปากรไดต รวจสอบและชําระใหม แลวนาํ มาจัดพมิ พใ นหนงั สอื เร่ือง พระปฐมเจดีย เมอ่ื ปพ ุทธศกั ราช ๒๕๐๖ ซึง่ จะมีเรือ่ งราวหลงั จากทพ่ี ระยากากะวรรณดศิ ราช ไดสรางพระประโทณเจดยี เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๑๑๙๙ ดังจะขอคัดลอกมา ดังน้ี ดบั นนั้ พระยากาวัณดิศราชจึงแตงตัง้ ใหทาวพระยาทง้ั หลาย ขึน้ ไปตัง้ บา นเมืองอยูทุกแหง แตฝ าย ขนุ นางขนึ้ ไป จงึ ถึงทวารบูรีสตั นาหะคือเมอื งลานชา งขนึ้ ไปถงึ อเุ ชนธิราช ยังเมืองโกลาํ (โกสมั พ?ี ) ครัน้ แลว กก็ ลบั ลงมา ไดน มัสการรอยพระพุทธิบาททเ่ี มอื งระแวกเมืองเม่ือพระเจาตง้ั บาตรฉนั ท่ีมแี มซ องนั้นแล เมื่อพระเจาเสด็จไปจากทงุ ยางน้นั พระเจา จงึ ใหพระอานนทก ับสงฆท้งั หลายหยุดยงั ทงุ ยาง แต พระตถาคตเขา ไปสอู าลพัดลาธิราช(กาลพตั ราธริ าช?) คร้ันแลวพระยากาลพัดธริ าชจงึ ถอยลงมายงั เมอื งวาลกบูรนี ้นั เดิมเมอ่ื ประจพุ ระรากขวัญขวาพระ เจา นัน้ พระยากาลพดั ธิราชอันพอ พระยากาวัณดศิ ราชนั้น เดิมพระยากาลพดั ธริ าช ใหท า นผูว ิเศษออกไป รบั มาแตเ มืองลงั กา พระรากขวัญขวาน้นั มาประจุไวในเมอื งละโวน ัน้ แล ธาตพุ ระพทุ ธิเจานนั้ เม่อื อยูใ น เมืองละโวนั้น กระทาํ ยมกปาฏหิ าริย ลอยขึน้ ไปเหนอื ทนมา (น้าํ ?)สูเ มอื งสวาลบรู ี(สวางคบรุ ี?)น้ัน อนั วา พระยากาวัณดิศราชไปสรางเมืองเหนือแลวกลับมาสรางเมืองสะวาบรู ี (สวางบุร?ี ) เธอก็ใหร บั เอาพระราก ขวญั ขวาพระเจามาประจไุ วใ นองคเ จดยี ก ับดว ยธาตุพระพุทธเิ จา อันวาพระอานนทก บั พระอนรุ ทุ เถรแลพระ ยาทาํ มะสโี สกราช(ศรธี รรมาโศกราช?) มาประจุไวแตก อ นนัน้ เมื่อพระยากาวณั ดสิ ราช ใหป ระจุรากขวญั ๒๕

ขวากบั ธาตุขอมอื พระพทุ ธเิ จานนั้ เมอื่ พระพทุ ธศกั ราชพระเจาไดพ นั สองรอ ยเกาป แลจุลศกั ราชไดส ิบสอง ศก แลดบั น้ันมาถงึ พระยาอินทราไชยธิราช ทา นมาเมอื งนครหลวงตอแดนเมอื งยศโสธร ทา นนนั้ วงศ กษตั ริยพ ระยาส่เี สา กลบตุ รทานนั้นอยูท ศิ บูรพา ลงมาสรางเมอื งโสกะทยั เมอ่ื พุทธศักราชพระเจา ไดพ ัน สองรอ ยย่สี ิบสองป จุลศกั ราชไดย ่ีสิบศกนน้ั สบื กนั มาจนถงึ พระยากรงุ ภาลธี ริ าชทา นน้นั สิไดโสกะทยั แล ยกพลมาแตเมอื งโสกะทัยมาประจนกบั เมืองนครไชยศรไี ดแลว ทานจงึ อุปภเิ ศกลูกชายทง้ั สองคน คนหนึง่ ชอ่ื พระยาภาลี ใหก นิ เมืองมหานครหลวง ตอ แดนเมอื งยศโสธร เธอเปนเชอ้ื วงศพระยาสเ่ี สา กลบตุ รทาน นัน้ อยทู ิศบูรพา ลงมาสรางเมอื งโสกะทัย เมอ่ื พระพทุ ธศักราชไดพันสองรอยสามสบิ ป จุลศกั ราชไดส ามสบิ สองศกน้ันแลสบื ๆ กันมาจนถึงพระยาภาลีบพิตร ไดก ินเมอื งนครไชยศรี มีลูกคนหน่งึ ชือ่ พระยาไสยทองสม ใหก ินเมอื งเทพบรู ี คือชอื่ เมอื งราชคฤห แลพ่ีนองสองคน ทานน้ันมเี งินทองมากนกั หนา อนั ทา นพ่ีนอง สองคนเปนเชือ้ สนั ดานพระยากาวัณดศิ ราช เปน เชื้อสนั ดานโทณพราหมณน้นั มาแตบรุ าณ แล พระยาภาลนี น้ั มีเหตุดวยมาฆาพระยากาวัณดศิ ราชผูเปน พอเสียใหถึงแกความตาย แลว มาทําแปลกดว ย มารดา ดวยทําตวั ทรุ าจารแลทา นสองพนี่ องกค็ ิดสังเวชนักหนา ทานพ่นี องจึงมาซอมแปลงปฏิสงั ขรณใ น อารามพระธาตพุ ระยาศรสี ิทธิชัยสรา งมาแตก อนโนนมาแล จากการประมวล รอ งรอยหลักฐาน จากเอกสาร และโบราณสถาน ทีม่ อี ยู จงึ เปนเครือ่ งยืนยัน วา ท่ีตงั้ ของเมอื งกุสินารา และแควนมัลละ ในสมัยพุทธกาล ก็คือพน้ื ที่รอยตอ รวมกนั ของ จังหวัด กาญจนบุรี ราชบรุ ี และนครปฐม นเี่ อง การทีจ่ ะคน หา ที่ต้งั ของ \"เมอื งราชคฤห\" ดอู าจจะมืดมน เหมือนงมเขม็ ในมหาสมุทร ดงั ที่ได กลา วมาแลว กอ นนว้ี า หลกั ฐาน หรือบันทึกท่ีเปนลายลกั ษณอกั ษร ท่รี ะบถุ ึงที่ต้ังของ สงั เวชนยี สถาน ท่ี เนือ่ งกบั องคสมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา ในดนิ แดนประเทศไทย ปจ จบุ นั มีเพยี ง \"สถานทป่ี รนิ พิ พาน\" ดงั ท่ี สามารถประมวลสรปุ ไดว า ที่ตัง้ ของเมอื งกุสินารา และแควน มัลละ ในสมัยพทุ ธกาล คือพน้ื ท่ี รอยตอ รว มกันของ จังหวัดกาญจนบรุ ี ราชบุรี และนครปฐม นี่เอง โดยอาจมีศูนยก ลางอยทู ่ี เมืองโบราณโกสนิ ารายณ ที่ อําเภอบา นโปง จงั หวดั ราชบรุ ี น้ัน แตก็ใชวา การคน หา ”เมอื งราชคฤห” จะไมม ีความหวงั เอาเสยี เลย ซง่ึ เมื่อเราไดอ าน พระอรรถ กถา แหง มหาปรินิพพานสตู ร จึงทําใหเรา พบความหวงั ท่จี ะคนหา ทีต่ ัง้ ของ \"เมอื งราชคฤห\" จาก ขอ ความ ในพระอรรถกถา ทว่ี า พระเจา อชาตศตั รู ไดท รงสรา งพระสถปู บรรจพุ ระสรรี ะ ของพระผมู ี พระภาคเจา และงานมหกรรมในกรงุ ราชคฤห. ถามวา ไดทรงทําอยางไร ? ตอบวา ไดทรงทําการมหกรรมตง้ั แตก รงุ กสุ นิ าราจนถงึ กรงุ ราชคฤหเ ปน ระยะ ทาง ๒๕ โยชน. ในระหวา งนั้น ทรงใหทาํ ทางกวาง ๘ อสุ ภะปราบพืน้ เรียบ ส่งั ใหทําการบูชาในทางแม ๒๕ โยชน เชน ที่เหลา เจามลั ละสง่ั ใหท าํ การบชู า ๒๖

ระหวางมกฏุ พนั ธนเจดียแ ละสณั ฐาคาร ทรงขยายไปในระหวา งตลาดในทีท่ ุก แหง เพือ่ อนเุ คราะหแ กชาวโลก ทรงใหล อ มพระบรมธาตทุ บี่ รรจุไวใ นราง ทองคาํ ดวยลูกกรงหอก ใหผคู นชุมนุมกันเปนปริมณฑล ๕๐๐ โยชน ใน แควน ของพระองค. ผคู นเหลา น้นั รบั พระบรมธาตุ เลนสาธุกฬี า ออกจาก กรุงกสุ นิ ารา พบเห็นดอกไมม สี ดี ั่งทองคําในที่ใด ๆ ก็เกบ็ ดอกไมเ หลานน้ั ในท่ีน้นั ๆ บูชาพระบรมธาตุในระหวา งหอก เวลาดอกไมเหลา นั้นหมดแลว กเ็ ดนิ ตอ ไป เมื่อถึงฐานแอกแหงรถในคันหลงั กพ็ ากนั เลนสาธุกฬี าแหง ละ ๗ วนั ๆ เมอ่ื ผูค นรบั พระบรมธาตุมากนั ดวยอาการอยา งนี้ เวลากล็ ว งไป ๗ ป ๗ เดอื น ๗ วนั . เหลา มจิ ฉาทฏิ ฐพิ ากันตเิ ตยี นวา ตั้งแตพระสมณโคดมปรนิ พิ พาน พวกเรากว็ นุ วาย ดว ยการเลน สาธกุ ฬี า โดยพลการ การงานของพวกเราเสยี หาย หมด แลว ก็ขุนเคอื งใจ ไปบงั เกดิ ในอบายประมาณ ๘๖,๐๐๐ คน. เหลาพระขีณาสพ ระลึกแลว เห็นวา มหาชนขนุ เคอื งใจ พากนั บังเกดิ ในอบาย แลว ดาํ รวิ า พวกเราจกั ใหทาวสักกะเทวราชทรงทําอุบายนําพระบรม ธาตุมา ดงั นี้ จงึ พากนั ไปยังสาํ นักทา วสักกะเทวราชนัน้ ทลู บอกเร่อื งนัน้ แลว ทลู วา ทา นมหาราช ขอไดโ ปรดทรงทาํ อบุ ายนาํ พระบรมธาตมุ าเถดิ . ทา ว สกั กะตรัสวา ทานเจา ขา ขึ้นช่ือวา ปุถชุ นที่มศี รัทธาเสมอดว ยพระเจาอชาต ศตั รูไมมี พระองคไมทรงเช่ือเราดอก กแ็ ตวา ขา พเจา จกั แสดงส่ิงทีน่ าสะพงึ กลวั . เสมือนมารท่ีนา สะพงึ กลัว จกั ประกาศเสยี งดงั ล่ัน จกั ทาํ เปน คนไขส ั่น ระรัว เหมือนคนผเี ขา ขอพระคุณเจาทูลวา มหาบพติ ร พวกอมนษุ ยเ ขา โกรธเคอื ง ไดโปรดใหน าํ พระบรมธาตุไปโดยเรว็ ดว ยอุบายอยางน้ี ทา วเธอ ก็จกั ทรงใหน าํ พระบรมธาตุไป. ครั้งนน้ั แล ทาวสกั กะ ก็ไดท รงทําทกุ ส่ิงทกุ อยา งดังกลา วน้ัน ฝายพระเถระท้งั หลายกเ็ ขา ไปเฝา พระราชาทลู วา ถวายพระพร พวกอมนุษยเ ขาโกรธเคือง โปรดใหน าํ พระบรมธาตุไปเถดิ . พระราชาตรสั วา ทา นเจา ขา จติ ของโยมยงั ไมยนิ ดกี อ น แตเ มือ่ เปนเชน นน้ั ก็จะใหเขานําพระ บรมธาตไุ ป. ในวนั ที่ ๗ ผูคนทั้งหลายก็นําพระบรมธาตมุ าถึง. ทา วเธอทรง รับพระบรมธาตทุ ่ีมาดวยอาการอยางน้ัน ทรงสรา งพระสถูปไว ณ กรงุ ราชคฤห และทรงทํามหกรรม แมเ หลา เจาพวกอนื่ ๆ กน็ ําไปตามสมควรแกกาํ ลังของ ตน ๆ สรางพระสถูปไว ณ สถานของตน ๆ แลว ทาํ มหกรรม. นน่ั หมายความวา \"เมอื งราชคฤห\" ตง้ั อยูหางจาก \"เมอื งกสุ นิ ารา\" หรอื \"เมอื งโบราณโกสิ นารายณ ท่ี อาํ เภอบานโปง จังหวดั ราชบรุ ี\" เปน ระยะทางหางกันเทากับ ๒๕ โยชน หรอื ๔๐๐ กิโลเมตร ๒๗

และเพอื่ ให การคน หาท่ตี ั้งของ “เมอื งราชคฤห ” จํากัดวงใหแคบลงมาอกี เราจําเปน ตอ งคนหา เมืองสาํ คัญๆ ในสมยั พทุ ธกาล ท่ีจะเชอ่ื มโยงไปหา “เมอื งราชคฤห ” อีกสักเมอื งหนึ่ง ซ่งึ นับวา เหมอื น สวรรคเปด ทางจรงิ ๆเพราะผลจากการท่คี น หาขอมูลจาก พระราชพงศาวดารเหนอื ทําใหเราไดพบขอมลู ท่ีตั้ง เมืองสาํ คัญอกี เมืองหน่ึง ซ่ึงมีความสมั พนั ธกันอยางดียง่ิ กบั “เมอื งราชคฤห ” ทง้ั ในระดบั กษัตรยิ  ผูป กครองแควน และระดับเศรษฐคี หบดใี นแวน แควน นน้ั น่ันก็คือ “เมอื งสาวตั ถี ” ซึง่ เปน เมืองหลวงของ แควน โกศล ในสมัยพทุ ธกาล “เมืองสาวตั ถี ” มคี วามสําคญั ยงิ่ ตอ พระพทุ ธศาสนา ในพระไตรปฎ ก เราจะ พบวาพระพทุ ธองคไดท รงเทศนา คําสอน ท่ีเมอื งสาวตั ถีน้ี เปนจาํ นวนมาก ดัง พระอานนท จะยกมาอางวา ในตอนตน ของหลายๆ พระสตู ร วา ขา พเจาไดสดบั มาแลวอยา งนี้ สมัยหนงึ่ พระผูม พี ระภาคประทบั อยู ณ พระวหิ ารเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ทีน่ ัน้ แล พระผูมีพระภาคตรสั เรียกภกิ ษทุ งั้ หลายวา... ท่เี ปน เชน น้ี กเ็ พราะวา ในชว ง ๒๕ พรรษา สุดทาย กอ นที่พระพุทธองคจะเสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน น้นั พระพทุ ธองคไ ดประทบั จาํ พรรษา อยูท พี่ ระนครสาวตั ถีน้ี เปน ประจาํ จึงมีเศรษฐคี หบดีท่ีไดถ วายการ อปุ ฐาก ซ่งึ มีชอ่ื เสียงโดง ดังเปนที่รูจกั กนั ดีของชาวพุทธจนถงึ ทกุ วันน้ี แมเ วลาจะผานมานานกวา ๒,๕๐๐ ป มาแลว น่นั กค็ อื ทา นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี กบั นางวิสาขามิคารมาตา โดยทา น อนาถบณิ ฑิกเศรษฐี ไดส รางพระวหิ ารเชตวนั อารามถวายแดพ ระพุทธองค สว น นางวสิ าขามคิ ารมาตา ไดสรา งพระ วิหารบุพพารามถวายแดพ ระพุทธองค ซง่ึ ในเวลาตอ มาไมน านนักแควน โกศลกไ็ ดเ ส่อื มทรุดลงไป เมือ่ สนิ้ พระเจา ปเสนทโิ กศล และพระ เจาวฑิ ูฑภะ ทไ่ี ดแ ยง ชงิ ราชสมบัติ จากพระเจา ปเสนทโิ กศล ผเู ปนพระราชบิดา และตอ มาไมน านพระเจา วฑิ ฑู ภะ ก็มาสวรรคต เพราะถกู นํ้าทวมท่รี มิ ฝง แมน าํ้ อจริ วดี หลงั เดินทางกลบั จากการไปฆา ลา งเผา พันธุ ศากยะ ท่ีกรุงกบิลพสั ดุ โดยพระเจาวฑิ ูฑภะรบั ส่งั ใหฆา ทกุ คน ที่บอกวา ‘พวกเราเปนเจาศากยะ ’ เมอ่ื ถูกถาม ยกเวนที่รอดจากความตาย ก็คือ พวกท่ยี นื อยใู นสํานักของเจา ศากยะมหานาม ผูเปน พระเจาตา ของพระเจาวิฑูฑภะ ซึ่ง เจาศากยะท้งั หลาย ท่ยี ืนอยูน้ัน บางพวก ก็คาบเอาหญา บางพวกก็ถอื เอาไมอ อ ยืนอยู เม่อื ถกู ทหารพระเจาวิฑูฑภะ ถามวา \"ทา นเปนเจาศากยะหรอื ไมใช ?” เพราะเหตทุ ี่เจาศากยะ เหลาน้นั แมจ ะตายก็ไมพ ดู คําเทจ็ พวกท่ียืนคาบหญา อยูแลว จึงกลาววา \"ไมใ ชเ จา ศากยะ , หญา.\" พวกทย่ี ืนถือไมอ อ ก็กลาววา \"ไมใ ชเ จา ศากยะ, ไมอ อ .\" เจาศากยะเหลา น้ันเมื่อไดรอดชวี ติ จึงคงจะพากัน อพยพหนีไปสรางบานสรา งเมืองท่ีอืน่ ใหไ กลเสยี จากกรงุ กบิลพสั ดุ และกรุงสาวัตถี ซึง่ จะขอค่นั เกร็ดท่ีนาสนใจ และเปน ขอมลู เพื่อท่จี ะไดสืบคน หาขอเทจ็ จริงตอ ไปในภายหนา ก็คือ มี ความในพงศาวดารฉบับหอแกว ลําดับวงศกษัตรยิ พมา (The Glass Chronicle of Kings of Burmar) ไดก ลา ววา กษัตริยทกุ พระองคของพมาจนสิ้น ครสิ ตศ ตวรรษที่ ๑๘ ไดส บื ตอ มาจากราชวงศข อง เจาชายศากยะแหงเมอื งกบิลพสั ดุ สถานทปี่ ระสูตขิ องพระสัมมาสัมพุทธเจา ที่อพยพมาต้ัง ๒๘

อาณาจักรขนึ้ ที่ เมอื งตะกาวน (Tagaung) ต้งั แตสมยั พุทธกาล จึงไมแ นวา จะใชบรรดาเจา ศากยะท่ี ยืนคาบหญา กบั เจา ศากยะทยี่ ืนถือไมอ อ แลวรอดตาย จากการฆา ลา งเผาพนั ธุ ของกองทพั พระเจาวฑิ ูฑ ภะ หรอื ไม? เอาเปน วา ขอยอนกลับมาถึงการสบื คน หาท่ตี ัง้ ของ “เมอื งสาวตั ถี ” ตอ แตจ ะขอกลา วถงึ ความสัมพนั ธกันอยา งดยี ิ่งกบั “เมอื งราชคฤห ” ทั้งในระดบั กษตั ริยผ ปู กครองแควน และระดบั เศรษฐี คหบดีใน “เมอื งสาวัตถ”ี พอเปนสงั เขปกอนดงั นวี้ า พระเจาปเสนทิโกศล แหง กรุงสาวตั ถี นัน้ เปน พระ มาตุลา คือลงุ ของพระเจา อชาตศตั รู แหงกรงุ ราชคฤห เพราะเหตุทพ่ี ระเจาพิมพิสารไดอ ภเิ ษก สมรสกับพระขนิษฐาคอื นองสาวของพระเจาปเสนทิโกศล สว นในระดับเศรษฐคี หบดีก็คอื ทา น อนาถบิณฑกิ เศรษฐี แหงเมอื งสาวตั ถี กบั ราชคฤหเศรษฐี แหง เมืองราชคฤห ทเี่ ปนสหายกนั เพราะน่ีเปนเครือ่ งหมายที่แสดงใหเหน็ ถงึ การเดินทางไปมาหาสูกัน ระหวา ง ๒ เมอื งนี้ ดังน้นั หากหาท่ีต้งั “เมืองสาวตั ถ”ี ได การทจ่ี ะคนหา ทตี่ ง้ั “เมอื งราชคฤห” ก็จะงา ยขึ้นนั่นเอง ดังทีไ่ ดก ลา วไวกอ นหนา นีแ้ ลว วา เหมอื นสวรรคเ ปด ทางจรงิ ๆ เพราะผลจากการท่ีคนหาขอ มูล เรอื่ งอืน่ ๆ จาก พระราชพงศาวดารเหนอื ทาํ ใหเ ราไดพ บบนั ทึกของคณะทูตจากกรงุ ศรีอยธุ ยา ทไ่ี ด เดนิ ทางไปยงั “เมืองสาวตั ถ”ี เพอื่ ไปทาํ การถายแบบแปลน “พระวหิ ารเชตวนั ” เพื่อมาสรา งที่ กรุงอโยธ ยา และเพอ่ื นาํ เครอ่ื งสักการะบูชาไปถวายนมัสการ พระมาลเี จดยี  ทพ่ี ระเจา อโศกมหาราช มาสรางไว กลางเมือง ดังปรากฏความในพงศาวดาร ทจี่ ะคดั ลอกมาแตเพียงยอๆ ดงั นี้ เรอื่ งพระมาลเี จดยี  พระยาเชยี งทองเขาเฝา สมเดจ็ พระเจา ปราสาททอง วา ยังมีพระอาจารยพระองคห นง่ึ มาถวายพระ พรวา สมเดจ็ พระพทุ ธเจา ยงั ทรงพระทรมานอยนู น้ั เสดจ็ พระราชดาํ เนนิ ไปสลู งั กาทวปี เปนเหตุ ดว ยพระภกิ ขสุ ององคววิ าทกันสมเด็จพระพุทธเจา เสด็จออกจากเมืองลงั กาทวปี มาสพู ระเชตุพน เมืองสาวัตถี จงึ ตรัสธรรมเทศนาแกพ ระอานนทวา สบื ไปเมื่อนาเมืองสาวตั ถี จะกลายเปนเมอื ง หงษาวดี เหตวุ า จะมีกระษัตริยองคห น่งึ ทรงพระนามช่ือวาพระเจา ศรีธรรมาโสกราช จะสรางพระมาลเี จดีย องคหนงึ่ ในกลางพระนคร แลพระมหากระษตั ริยนั้นมศี รัทธายิง่ นกั ใหเปดประตูเมอื งทั้งสที่ ิศ ใหค นเขาสอง ประตู ออกสองประตู จงึ พระเจา ศรธี รรมาโสกราชตรสั ส่งั ชาวพระคลงั ให เอาทองคํามากองไวใ นพระนคร ๒๙

ถา คนเขา ไปชว ยทาํ พระมาลีเจดียน น้ั กใ็ หร ับเอาทองคําตาํ ลงึ หนง่ึ กอ น จงึ ใหชว ยทาํ การ แลทกุ วนั น้ยี ัง ปรากฎมีอยู แลพระมาลเี จดียน ้ันอยทู ศิ อดุ ร พระเจากรุงศรีอยทุ ธยา ครั้นแจงประพฤดเิ หตุแลว ก็มีพระไทย ยนิ ดีนัก จุลศกั ราช ๔๑๓ ปช วดตรศี ก จงึ มพี ระ ราชโองการตรสั สง่ั ขนุ การเวก แลพระยาศรธี รรมราชา ภู ดาษราชวตั รเมอื งอินทร ภูดาษกินเมืองพรหม ยกกระบตั รนายเพลิงกาํ จาย นายชํานององครักษ นายหาญ ใจเพ็ชร นายเด็จสงคราม ขา หลวงแปดนายกบั ไพร ๕๐๐ คมุ เอาเครื่องบูชาข้ึนไปถวายพระมาลีเจดยี  แล ขา หลวงขุนการเวก ยกออกจากกรุงแต ณวนั พฤหศั บดี เดอื นอาย ขน้ึ สิบเอด็ คํา่ ไปทางสุพรรณบรุ ีไปถึง บา นชบา ยกแตบานชบาไปถงึ เมืองพระยาเจ็ดตน ยกจากเมอื งพระยาเจด็ ตนไปถงึ บา นรังงาม ยกจากบา น รงั งามไปดานทราง ยกจากดา นทรางไปถงึ เจาปูหิน ยกแตเจาปหู นิ ไปจากแมน าํ้ ชมุ เกรียวนนั้ มีพระพุทธ ไสยาศนองคห นึ่ง เปนทองสําริด องคพ ระยาวหา เสน ขุนการเวกแลขา หลวงทงั้ ปวงก็ชวนกนั เขา ไปนมัสการ จงึ ตั้งสจั จาธษิ ฐานวา ขอเดชะพระบารมีพระพทุ ธไสยาศนใ หข าพเจา ท้งั ปวงน้ีไปถึง ไดน มสั การ พระมาลเี จดยี ในเมืองหงษาวดสี าํ เร็จความปราถนาน้ันเถดิ ขาหลวงท้งั ปวงกราบถวายบังคม นมัสการกล็ าออกจากแมนาํ้ ชุมเกรยี ว กไ็ ปถงึ เขาฝร่ังยางหิน ไปถึงตําบลเขาหลวง พอสิน้ แดนกรุงศรีอยุทธ ยา ไปถึงดา นทงุ เขาหลวงสนิ้ เขตแดนนบั ได ๓๘ วัน ครัน้ แลวจึงตัง้ สัจจาธษิ ฐานอีกครั้งหนึ่ง ยกออกจากที่ ขนุ การเวกกบั ขาหลวงท้ังปวง จงึ ตั้งนมัสการพระศรีรัตนไตรยแลว กย็ กไปขาดระยะบา น ไมม ผี ูคนเดนิ เลย บายหนา ตอทิศอดุ ร เปนปา ใหญเดนิ ไปมาไมต องแดด เปนทงุ อยูก ลางเปนปาละเมาะ คนทง้ั ปวงส้นิ อาหาร กินแตผลไมเปนอาหาร สิ้นหนทาง ๓๐ วัน จึง เขา เมืองหงษาวดี มีดา นบานพราหมณรายไปบา ง ขุน การเวกกบั ขา หลวงทง้ั ปวงเดนิ ตอ ๆ กนั ไป สิ้นหนทางนนั้ ๓๐ วัน จงึ ถงึ เมอื ง หงษาวดีนนั้ คดิ เขากนั ส้นิ ทาง ๒ เดือนกับ ๒๑ วัน จงึ เขา เมอื ง หงษาวดี ขุนการเวกกับพระยาศรีธรรมราชา ขาหลวงทั้งปวงพากนั เขา ไปในพระอาราม พบปะขาวรปู หนง่ึ ขนุ การเวกจงึ ถามปะขาววา อารามนท้ี า นผใู ดเปนใหญ ปะขาวบอก วา พระสงั ฆราชา ขุนการเวกแลขาหลวงทั้งปวง จงึ เขาไปนมัสการพระสงั ฆราชา ๆ จงึ ซกั ไซไตถ ามวา อบุ าสกทง้ั ปวงนี้มาแตส ถานที่ใดฤๅ ขนุ การเวกกราบทลู พระสงั ฆราชาวาขาพระพทุ ธเจา ท้งั ปวงนี้ เปนขา ทลู ละอองสมเดจ็ พระพุทธเจา อยหู ัวกรุงศรีอยุทธยา ๆ มพี ระกมลหฤไทยเลอื่ มไสศรทั ธาในพระมาลเี จดียย ิ่ง นกั จงึ ตรัสใชใ หข า พระพทุ ธเจา ท้ังปวงนคี้ มุ เอาเครือ่ งสกั การบชู าพอสมควร ข้นึ มานมัสการพระมาลีเจดยี  น้ัน พระสังฆราชา ปราไสวา อาตมภาพขออนุโมทนา ดว ยพระราชทรัพยแ หงพระองคนน้ั เถิด วันน้ีทานไป อยสู าํ นักใหส บายกอ นเถดิ ตอพรุงนจี้ ะใหป ะขาวนําไปนมสั การตามความปราถนา ครัน้ รุงเชาพระสงั ฆราชาใหปะขาวนําขาหลวงทงั้ ปวงเขา ไปในอาราม ทําประทักษณิ พระรเบียงนน้ั ไดรอบหนง่ึ แลพระรเบียงนัน้ เปนส่ีเหล่ียมจัตุรัศ ขนุ การเวกจึงใหนายนอ ยหาญใจเพ็ชรว ดั พระรเบียงขา ง หนึง่ แตย าวได ๒๐ เสน ชอ่ื พระรเบียงยาว ๒ เสน ๑๐ วา มีพระพุทธรูปรายรอบหลอดว ยทองสํารดิ ทงั้ สิน้ เปนพระพทุ ธรูปสูง ๑๐ วา เสาพระรเบยี งแปดเหล่ียม แตล ะเหลี่ยมนน้ั วดั ได ๙ ศอก สูงถงึ ทองขื่อวัดได ๒๐ วา กออิฐกระชบั รกั แลวถอื ปนู หมุ ดวยทองแดงหนาสามนิ้ว แลทแ่ี ปกลอนรแนงรเบียงทาํ ดวยไมแ กน พน้ื พระรเบยี งดาษดว ยดีบุกนาสบิ สองนิว้ ขุนการเวกแลขา หลวงท้ังปวง ก็เขานมสั การในพระรเบียง พอ เพลาพลบค่ําก็ชวนกันกลบั มาทีอ่ ยู ๓๐

ครัน้ เพลารงุ เชา พระสงั ฆราชาใหปะขาวนําขุนการเวกแลขาหลวงทัง้ ปวง ขน้ึ ไปนมัสการพระมาลี เจดยี  คือองคพระมาลเี จดียธาตุ ขุนการเวกแลขาหลวงทงั้ ปวง ก็เขา ไปถงึ ตีนบนั ไดใตพระมหาธาตุ นาย หาญใจเพช็ รวดั ฐานพระมาลีเจดยี น้นั ดา นหนง่ึ ยาว ๓๕ เสน ๕ วา ทง้ั สี่ดา นยาว ๑๔๑ เสน บันไดขนึ้ พระ มาลีเจดยี น้ันทาํ ดวยทองแดงตัง้ ลงกับอิฐ แมบ ันไดรอบใหญ ๔ กําก่ึง ลกู บันไดใหญร อบ ๓ กาํ ปะขาวขนุ การเวก ขา หลวงทั้งปวง ขึน้ ไปดปู ระตูพระมหาธาตุน้ันกวาง ๒ เสน สูงได ๕ เสน มหี งษทองคาํ สี่ตวั เขา ประชมุ กนั เปนแทน รอง พระ พุทธรูปบนหลงั หงษสองรอ ยองค แตลวนทองคําทัง้ แทง สูงสองศอก แลขอ เทาหงษน ้นั ใหญร อบ ๑๑ กาํ ตวั หงษน ้ันสูง ๑๖ ศอกทําดวยทองคําท้งั แทง แลองคพ ระมหาธาตแุ ผท องคํา เปนแผน อฐิ หนานั้นสามนิ้วกวา งสามศอกยาวหาศอก ทองคําหุม องคพระมหาธาตขุ ึน้ ไปจนถงึ ยอด แลว เอาลวดทองแดงรอ ยหกู ันเขา เอาสายโซค ลอ งเขาเปนตาขายหุม รัดขา งหนวงขึ้นไปอกี ช้ันหน่งึ แลยอดพระ มาลเี จดียมีลกู แกว ใหญไดห าออมมชั ฌิมบุรษุ ขนุ การเวกแลขา หลวงทั้งปวง ขึ้นแตเ ชิงบนั ไดนัน้ แตเชา ข้ึน ไปถงึ ประตพู ระมาลเี จดยี พอเพลาเท่ียงกไ็ ดน มัสการแลวกลับลงมาถึงเชงิ บันไดกพ็ อคา่ํ พื้นพระมาลเี จดยี  ซง่ึ รองหงษเหยียบอยูนน้ั ดาษดวยแผนเงินหนาสามน้วิ กวางสามศอกเปนสเี่ หลย่ี ม ปะขาวบอกขา หลวงวา เหลก็ กระดกู พระมาลีเจดียท ี่รอ ยลูกแกวน้นั ใหญรอบ ๑๑ กาํ ขนุ การเวกจงึ ถามวา พระมาลเี จดียใหญ นกั หนาฉนคี้ อื ทานผูใ ดสรา ง ปะขาวจงึ บอกวา พระพทุ ธศักราช ๒๑๘ ป ยงั มพี ระมหากระษตั รยิ อ งค หนง่ึ ทรงพระนามชอ่ื พระเจา ศรธี รรมาโสกราช สรา งพระมาลเี จดยี ไ วน น้ั ใหเ ปดประตเู มอื งทง้ั สท่ี ศิ ใหค นเขาสอง ประตู ใหอ อกสองประตู เอาทองกองไว ถา ผูใ ดรบั เอาทองคาํ ตาํ ลงึ หนงึ่ แลว จงึ ใหผ นู ั้นเขาไป ทาํ การ ถาผูใดมริ บั เอาทองคําตาํ ลึงหนึง่ น้ัน ก็มิไดใหเขา ไปทําการเลย ทําการพระมาลีเจดียนั้น แตคนตก ตายทาํ บาญชีไวไดถ ึง ๙ โกฏิ แลคนตายคร้งั นัน้ พระอัตถกถาจารยเ จาผูรวู ิสัชนาวา ไดไปสวรรคท ้งั ส้นิ แล ขุนการเวกจงึ ถามปะขาววา เมื่อกอ นน้นั กอ ดว ยอิฐฤๅ ศิลา ปะขาวบอกวากอ ดว ยอิฐ จึงนาํ ขุนการเวกไปดู อฐิ ทเี่ หลอื น้ันสกั รอ ยแผน ขุนการเวกก็ใหว ดั แผน อฐิ นัน้ นาสศ่ี อกหกน้วิ โดยกวางหา ศอก โดยยาวหาวาสอง ศอก ขนุ การเวกจงึ ถามปะขาววาในเมอื งหงษาวดีนยี้ งั มสี ิง่ ใดประหลาดอยูบาง ปะขาวจงึ นําขนุ การเวกกบั ขา หลวงทัง้ ปวงไปดูบอ นาํ้ มันดนิ นาํ้ มันงา ขุนการเวกจงึ ใหวัดบอน้ํามันดินนนั้ โดยยาวเสนหนึง่ กบั หา วา จัตุรัศท้งั สองบอ ขุนการเวกจงึ ถามวาผูใดทําไว ปะขาวบอกวา นํ้ามนั ดินนัน้ ทา วมหาพรหมประดิษฐานไว สําหรับพระภกิ ษสุ ามเณร ปะขาวนางชที ง้ั ปวง ใหเ ปนยาทาแกเ มอ่ื ยขบแกเ จบ็ หลงั กับแกถ นี ะมิทธะเงยี บ เหงาหาวนอน แลวกใ็ หท านสตั วท้ังหลายกินแกโรคตา ง ๆ มีเร่ียวแรงทําการไดสดวก แลบอน้ํามนั งานั้น พระอนิ ทราชาธิราชใชใหพระเวศุกรรมเทวบุตรลงมาประดิษฐานไวใ หพ ระสงฆตามดหู นงั สือแลบชู าพระศรี รัตนไตรยเจา แลใหท านสตั วท้งั หลายตามแตผ ใู ดจะปราถนา ขุนการเวกแลขาหลวงทั้งปวงกก็ ลบั มาหา พระสงั ฆราช ๆ วาพรงุ น้จี ะใหปะขาวนําไปนมัสการพระเชตพุ นมหา วหิ าร ขา หลวงทั้งปวงกก็ ลับมาท่ีอยู คร้นั เพลารุง เชา ปะขาวกน็ าํ ขุนการเวกแลขาหลวงท้ังปวงไปทีพ่ ระเชตุพนมหาวิหาร แลบันไดนัน้ ขุนการเวก ใหวัด บันไดกอ อิฐโดยกวา งได ๑๗ เสนกบั ๑๐ วา แตเชิงบนั ไดขนึ้ ไปบนถนน ๑๕ เสน ถนนยาวได ๑๗ เสน กบั ๑๐ วา ปะขาวก็พาเขา ไปในพระเชตุพนช้ันในกวาง ๓๐ เสน กบั ๑๐ วา เสากอ ดว ยอฐิ เปนแปด เหลีย่ ม วดั ดแู ตเหล่ียมหน่ึงไดเ จด็ วา แตป ระตูพระเชตุพนเขาไปจนถึงพระอาศนบัลลังก ทตี่ รสั พระธรรม ๓๑

เทศนา วัดได ๓๗ เสน กบั ๑๐ วา ดา นแปพระเชตพุ นยาวได ๗๕ เสน เสาสูงถึงทอ งขือ่ วดั ได ๑ เสน ๑๐ วา พระรัตนบลั ลงั กอ ยูห วา งกลางหอ งหนึ่งนั้น พื้นบนดาษดว ยทองคําหนาสามนิว้ มีพ้ืนลดลงมาอกี หอง หน่งึ ดาษดว ยนากหนาสามนิ้ว มีพื้นลดลงมาอีกช้ันหน่ึง ดาษดวยเงินหนาสามนิ้ว รอบรัตนบัลลังกท ั้งสี่ดา น ทีอ่ าศนพระสงฆกวางสามเสน พื้นนนั้ ดาษดวยเงนิ หนาสามน้ิว ทพ่ี ้ืนบรสิ ชั นง่ั นั้น ดาษดวยดบี ุกหนาหา นิว้ นับเสาพระเชตุพนได ๓๐๐๐ เสา มกี ําแพงแกว รอบพระเชตพุ นสูงสิบวา ขุนการเวกจงึ ถามปะขาววา พระเชตุพนนท้ี า นผใู ดสราง ปะขาวบอกวา อนาถบิณฑกิ มหาเศรษฐีสรางถวายแดส มเดจ็ พระพุทธเจา ท่ีอันนี้เปนทสี่ วนเจาเชต จึงใหช่อื พระเชตพุ น มหาวหิ าร ตามนามพระราชกมุ ารผเู จา ของสวน มหา เศรษฐสี รา งส้ินทรัพยถ ึง ๔๔ โกฏิ สรา งพระเชตพุ นข้ึนจนสําเร็จ มหาเศรษฐจี า งแตค นในเรือนแหงมหา เศรษฐีน้นั เองใหทําการจา ง ทองคําเสมอคนละตําลงึ ทอง คนในเรอื นมหาเศรษฐนี นั้ นับได ๑๒ อักโขภนิ ี มหา เศรษฐนี ั้นอยูปรางคปราสาทเจ็ดช้ัน มกี าํ แพงแกว สงู สองวา ขนุ การเวกจงึ ถามปะขาววา เมอื่ สมเด็จ พระพุทธเจาตรัสพระธรรมเทศนานน้ั พระสงฆแ ลบรสิ ชั นง่ั เตม็ พระเชตุพนฤๅมไิ ด ปะขาวบอกวา เมอ่ื สมเดจ็ พระพทุ ธเจา ตรสั พระธรรมเทศนาน้นั พระสงฆแ ลบริสชั เต็มออกไปจนกําแพงแกวแลว ยังมิพอ บรสิ ัชยงั เหลืออยูนน้ั กเ็ ปนอนั มากปะขาวกบั ขนุ การเวกแลคนทั้งปวงก็กลับมา ขนุ การเวกใหว ดั ทางแตพ ระเชตุ พนมาถงึ พระมาลเี จดยี  เปนทาง ๒๕ เสน ก็พากันมานมสั การพระสงั ฆราชา ๆ ก็ปราไสวา อุบาสกไป นมัสการพระเชตุพนเหน็ สนุกดอี ยูฤๅ ขุนการเวกกบั ขาหลวงท้งั ปวงจึงกราบทูลวา ขา พระพุทธเจา ทง้ั ปวง ไดมาพบมาเหน็ ทั้งน้ี กเ็ ปนบญุ ลาภแกขา พระพทุ ธเจานักหนา ไดม านมัสการบูชาเกิดความยินดีหาท่สี ดุ มิได พระสังฆราชาจงึ สัง่ ใหปะขาวนาํ ไปดรู ฆังทองหลอ หนา ๑๑ นว้ิ ปากกวา ง ๕ วา ๒ ศอก สงู ๑๑ วา ไมตีรฆงั ใหญร อบ ๓ กาํ ยาว ๓ วา โรงรฆงั สูง ๑๕ วา เสาน้ันไมแกน ขา หลวงทง้ั ปวงกก็ ลบั มานมสั การพระ สังฆราชา ขนุ การเวกจึงถามวา พระสงฆเจา มีสกั กีอ่ าราม เปนพระสงฆมากนอยสกั เทา ใด พระสังฆราชาจงึ บอกวา พระสงฆม แี ตอ ารามเดียวเทา นี้ มีบาญชมี ีพระวรรษาเปนพระสงฆ ๒๐๐๐๐๐ กบั ๓ พระองค พระ สังฆราชาจงึ ถามขนุ การเวกวา พระสงฆเจา กรุงศรอี ยุทธยานั้น ผา อนั ใดเปนผา พระสมณะสาํ รวม ขุน การเวกกราบทูลวา พระสงฆในกรงุ ศรอี ยุทธยา ฝายคนั ถธุระทรงผารัตตกมั พลแดง ฝา ยวิปส นายอ มทรง เหลอื ง พระสังฆราชาก็วา ทรงผารัตตกมั พลแดงนั้นไดช อ่ื วาพระพทุ ธชิโนรสแทจริง แลพระสงั ฆราชาวา ในเมอื งหงษาวดนี น้ั ทรงผา แดงทง้ั สน้ิ พระสังฆราชาจึงเขยี นอักษร สงใหก บั ขุนการเวกนน้ั ตวั ๑ ถา จะ วา เปนอักษรขอมเรียกวา ตี วาตามอกั ษรไทยเรียกตามตัววาเลขเจ็ด กพ็ เิ คราะหโดยธงไชยกไ็ ดท้ังสามตัว นน้ั แล เลขเจด็ ตวั นัน้ ไดแกเ มอื งหงษาวดี ตีนนั้ ไดแกเมอื งลงั กาทวีป ตะน้นั ไดแกก รงุ ศรีอยทุ ธยาเหตวุ า เปน เมอื งทานํ้า ต่ํากวา เมืองเชยี งใหม ๑๕๐ เสน พระสังฆราชาจึงเขยี นเปนบาฬีแปลตัดบทพเิ คราะหเ ปนคํา ไทยสงใหขนุ การเวก ใหเอาลงไปถวายสมเดจ็ พระเจากรงุ ศรอี ยทุ ธยาโพนเถดิ ขนุ การเวกกบั ขา หลวงท้ัง ปวงอยไู ดประมาณ ๒๕ วัน แลคนซงึ่ ไปดวย ๕๐๐ น้ัน ทีป่ ระมาทไมต ง้ั อยใู นศีลกลาวมุสาทําปาณาตบิ าต ตายเสียท่ีตามระยะทาง ๓๐๐ คน ท่ีเหน็ สบายสนกุ น้ันก็ลาบวชอยู ณ เมอื งหงษาวดี ๕๐ คน ขนุ การเวกพระยาธรรมราชาขา หลวงแปดนาย กบั ไพร ๑๕๐ กก็ ราบลาพระสงั ฆราชา กลับคืนมายงั กรงุ ศรอี ยุทธยา ครั้นถึงแลว กเ็ ขาไปเฝา สมเดจ็ พระเจาอยูหวั แลวกก็ ราบทูลแจงประพฤดิเหตุ ซง่ึ พระสงั ฆราชา ๓๒

จดหมายส่งั มานั้น ทลู เกลา ทูลกระหมอ มถวายหนังสอื พระสังฆราชาน้ัน พระเจาอยูหัวมพี ระไทยปรดี า ภิรมยห รรษายงิ่ นกั ทรงพระกรุณาตรสั ถามขาหลวงทัง้ ปวงตา ง ๆ แลวพระราชทานรางวลั ตา ง ๆ ตามควร ขนุ การเวก พระยาธรรมราชา ภูดาษวัดเมืองอนิ ทร ภูดาษกนิ เมืองพรหม นายเพลิงกําจาย นายชาํ นอง องครกั ษ นายหาญใจเพช็ ร นายเด็จสงคราม กับไพร ๑๕๐ คน บรรดามาดวยกันทง้ั สน้ิ นัน้ ก็กราบถวาย บงั คมลาบวช ทรงพระกรณุ าโปรดใหบ รรพชา ตามเลอ่ื มไสศรทั ธา จบความในพระราชพงศาวดารเหนอื แตเพยี งเทาน้ี อาศัยซ่ึงบันทึกการเดนิ ทางฉบับสาํ คัญนี้ จึง สรปุ ลงไดเลยวา ทต่ี ัง้ “เมอื งสาวัตถ”ี อยูท ่ีเมืองหงสาวดี ประเทศพมา ในปจจุบนั นีเ้ อง และโดยอาศยั ความในพระอรรถกถา แหง พระไตรปฎ ก ซ่งึ พระอรรถกถาจารย ได รจนาไววา ในเวลาพระอาทติ ยต ก กุลบตุ รนัน้ ไปถึงกรุงราชคฤห จงึ ถามวา พระศาสดาทรงประทับ ณ ที่ไหน. ทานมาจากที่ไหนขอรับ. จากอตุ ตรประ- เทศนี.้ พระนครชอ่ื วา สาวตั ถี มอี ยใู นทางทท่ี า นมา ไกลจากพระนครราช- คฤหน ป้ี ระมาณ ๔๕ โยชน พระศาสดาประทบั อยู ณ กรงุ สาวัตถีนั้น. กลุ บตุ ร นน้ั คิดวา บดั น้ไี มใ ชกาล เราไมอาจกลบั วนั นี้เราพกั อยใู นทีน่ ีก้ อน พรงุ นจ้ี กั ไปสสู ํานกั พระศาสดา. แตน้ันจงึ ถามวา เหลาบรรพชิตทีม่ าถึงในยามวิกาล พัก ณ ที่ไหน. พัก ณ ศาลานายชางหมอนี้ ทาน. ลาํ ดบั น้นั กุลบุตรนั้น ขอพกั กะนายชา งหมอ น้ันแลว เขาไปน่ังเพอ่ื ประโยชนแกก ารพกั อาศยั ในศาลา ของนายชางหมอ นัน้ . จากพระอรรถกถา ท่ยี กมาขา งตน จึงทาํ ใหไ ดท ราบถึงระยะทางระหวา ง “เมอื งราชคฤห” กับ “เมอื งสาวตั ถ”ี หรอื “เมอื งหงสาวด”ี วา อยหู างกนั เทา กับ ๔๕ โยชน หรอื ๗๒๐ กิโลเมตร จากขอ มลู ระยะทางระหวา ง เมืองราชคฤห กับ เมืองกุสนิ ารา เทา กบั ๔๐๐ กิโลเมตร จากขอ มลู ระยะทางระหวาง เมอื งราชคฤห กับ เมอื งสาวตั ถี เทากบั ๗๒๐ กโิ ลเมตร โดยวธิ เี รขาคณิต กางวงเวยี นที่มีรัศมี ๔๐๐ กิโลเมตร โดยมจี ุดศนู ยกลาง อยทู ่ี เมอื งโบราณโกสิ นารายณ จงั หวัดราชบุรี โดยวธิ เี รขาคณติ กางวงเวยี นทม่ี ีรศั มี ๗๒๐ กโิ ลเมตร โดยมีจดุ ศนู ยกลาง อยูท ี่ เมอื งหงสาวดี (พะ โค) ประเทศพมา จะไดจุดตัดกนั ที่นาสนใจ อยใู นบรเิ วณ พ้นื ที่ จงั หวดั ชัยภูมแิ ละขอนแกน ของประเทศไทย เพราะ อีกจดุ ตดั หน่ึงจะอยูในมหาสมุทรอินเดยี ดัง แบบจําลองเพือ่ การคน หาท่ีต้งั เมืองราชคฤห ขางลา งน้ี และ น่นั หมายถึงวา เราอาจจะตง้ั สมมตฐิ านไดว า “เมืองราชคฤห อยใู นพ้ืนท่ี จงั หวัด ชัยภมู แิ ละขอนแกน ของประเทศไทย” ๓๓

แบบจําลอง เพอ่ื คนหาท่ีตั้งของ “เมอื งราชคฤห” มขี อมูลความสัมพนั ธ ระหวาง ดนิ แดนฝง ซา ยแมนาํ้ โขง ซึ่งเปน ทต่ี ง้ั ของประเทศลาว กับ เมอื ง ราชคฤห ปรากฏอยใู น \"ตาํ นานอรุ งั คธาต\"ุ ทีน่ า สนใจ ดงั จะขอคดั ลอกมาเพ่อื ใหไ ดอ า นประกอบการ พิจารณา ตอนหน่งึ วา ...ครงั้ เมอ่ื พระมหากสั สปเถระเจา พรอ มดวยพระอรหนั ตท ้ังหลายเมือ่ เสรจ็ การกอ อุโมงคแ ละ ประดิษฐานพระอรุ ังคธาตุ ทภ่ี กู าํ พรา แลว กก็ ลับไปสู เมอื งราชคฤห พระมหากัสสปเถระเจา มองเหน็ สามเณร ๓ องค เปน ผูท ี่ตัง้ อยูในการปฏิบัติ ถูกตองตามคําสง่ั สอน มคี วามเพยี รในการกระทาํ สมถะ วปิ ส สนา สามเณรทงั้ ๓ องคน้ี เม่อื บวชเปน ภิกษกุ ็ไดสาํ เรจ็ พระอรหันตพรอ มกนั ทง้ั ๓ องค องคหนงึ่ มีนาม วา พุทธรกั ขติ องคห นึ่งมนี ามวา ธรรมรกั ขิต อีกองคหน่ึงมนี ามวา สงั ฆรกั ขติ พระอรหนั ตท ง้ั ๓ องคน ้ี มาแตเ มอื งราชคฤหม าอยู “หนองกก” ใกลกับภูเขาหลวง ซ่งึ ในเวลาตอ มาพระอรหนั ตท ้งั ๓ องค กไ็ ดไปนําเอาพระยาทั้ง ๕ ซงึ่ ในเวลาตอ มาไดไปเกิดใน ตระกูลกษตั รยิ ใ นบา นเมืองตางๆ กันไปเพอ่ื นาํ มาบวชเปนภิกษุ และสอนวปิ สสนาภาวนา จนกระทงั่ พระ ลกู ศิษยทั้ง ๕ องคไ ดสาํ เร็จเปน พระอรหนั ต ผูเปนอาจารยจงึ นาํ เอาสานศุ ษิ ยท งั้ ๕ น้ี ไปสู เมอื งราชคฤห ในเวลาไลเ ล่ยี กนั นเ้ี อง ก็ไดมพี ระอรหนั ต ๒ องค มาจากเมอื งราชคฤห องคหนึง่ ช่อื มหาพทุ ธ วงศา อยทู ร่ี ิมน้าํ บึง องคหนึ่งชอื่ มหาสชั ชะดี อยปู า โพนเหนือนํา้ บึง ไมไกลจาก “หนองคนั แทเสอ้ื นาํ้ ” ท่ี “บุรีจนั อวยลว ย”ตงั้ บา นเรอื นอยู และเปน ผอู ปุ ฐากพระอรหนั ตท ้ัง ๒ องคด วยขาวบิณฑบาตและขาวสงฆ เปนปกติ ในเวลาตอมาไดร าชาภิเษกขนึ้ เปน พระยาจนั ทบรุ ี ครองราชสมบัติ ที่ เมืองจันทบุรีศรสี ตั ต นาค ซึ่งกค็ ือ พระยาจนั ทบุรี ท่ีพระพทุ ธองคไดพยากรณว า เปนพระเจาปสเสนทิโกศล กลับชาตมิ าเกิด ท้ัง ยังเปน หนอเนื้อพุทธังกรู ผจู ะมาตรสั รเู ปน พระพทุ ธเจา ในอนาคตกาลภายหนานน่ั เอง... ๓๔

ซ่งึ จากตํานานอุรังคธาตุ ซง่ึ พูดถงึ ความสมั พันธ และการเดนิ ทางไปมาหาสูกัน ระหวา ง ดินแดน ฟากซายแมน ํ้าโขง คอื ประเทศลาวในปจ จุบัน กับเมืองราชคฤหน ี้ สนบั สนุนความเปนไปไดของสมมตฐิ าน ทีว่ า “เมอื งราชคฤห อยใู นพื้นที่ จงั หวดั ชยั ภูมแิ ละขอนแกน ของประเทศไทย ” เพราะในสมยั ประวัตศิ าสตรปจ จุบนั กย็ งั มกี ารไปมาหาสูระหวางเวยี งจันทนก ับจังหวัดชัยภูมิ ในสมัยที่ พระยาชุมพล ภกั ด(ี แล) ผสู รางเมอื งชัยภูมิ และเปนเจาเมอื งชัยภูมคิ นแรก ไดอ พยพไพรพลขามแมน้ําโขง เขามาสราง บา นแปงเมือง ข้นึ แตท ้งั นจ้ี ะตองทาํ การคน หา หลกั ฐาน ทเ่ี กีย่ วของ เพือ่ มายืนยันสมมตฐิ านทีต่ ั้ง “เมอื ง ราชคฤห” ตอ ไป ซ่งึ เบาะแส หลักฐานทส่ี าํ คญั ทีจ่ ะยนื ยนั ทตี่ ง้ั ของ “เมอื งราชคฤห ” ในพน้ื ที่ จงั หวัด ชัยภูมิและ ขอนแกน นัน่ ก็คอื สถูปบรรจุพระบรมธาตุ ทเ่ี มืองราชคฤห ซง่ึ พระเจาอชาตศัตรูไดส รา งไว และเปน ท่ีมาของ “พระบรมสารรี กิ ธาตุ ” ที่พระเจา อโศกมหาราช ไดอัญเชญิ ไปประดิษฐานที่ วัดพระธาตศุ รี จอมทอง หรือ เจดยี ศาสนสักขี ทเ่ี มืองระแวกในเขตแดนอาณาจักรอยธุ ยา รวมทั้ง พระธาตเุ จดยี อ่นื ทงั้ ๘๔,๐๐๐ องค ทัว่ ทง้ั ชมพูทวีป โดยพระอรรถกถาจารย ไดร จนาไวใ นคมั ภีรอรรถกา วา พระเจาอโศก มหาราช ไดพระบรมสารรี ิกธาตจุ ากการขดุ คน สถปู บรรจุพระบรมธาตุ ท่ีเมอื งราชคฤห ซึง่ พระเจา อชาต ศัตรูไดส รางไว ตามคาํ แนะนําของพระมหากสั สปเถระ ในคัมภรี ถูปวงศ ไดก ลา วถงึ รายละเอยี ดการสรา ง พระสถูปในสมัยพระเจาอชาตศตั รูและการขดุ คนหาพระบรมสารีริกธาตสุ มัยพระเจา อโศกมหาราช ไว นาสนใจ ดังจะขอคัดลอกมาแตพอสังเขป ดังนี้ พระเจา อชาตศตั รโู ปรดใหส รา งพระสถปู ทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต ของกรงุ ราชคฤห โดย โปรดใหข ุดลึกลงไปถึง ๘๐ ศอก แลว ใหเ อาแผน โลหะปูขางลาง แลวใหส รางเรอื นทองแดงโตเทา เรือนพระ เจดียใ นถูปารามขน้ึ ในท่ีนน้ั (คมั ภีรน ้ีเขียนทล่ี งั กา จึงเปรียบเทยี บขนาดกับ พระถูปาราม ที่ ลังกา) ครั้น แลวจึงโปรดใหสรา งกลองและพระสถูปดว ยไมจนั ทนเหลืองเปน ตนอยา งละ ๘ อนั บนพระเจดยี แ กว ผลึกน้ัน โปรดใหสรางเรือนแกว ลว น บนนน้ั ขึ้นมาเปน เรอื นทองคาํ เรอื นเงนิ เรือน ทองแดง เปนชัน้ ๆ ขึ้นไป แลว ใหโ ปรยทรายแกว ลงไวใหท ่ัวบรเิ วณ แลวโปรยดอกไมนํา้ ดอกไมบกนบั เปน เรือนพนั ลงไว ทง้ั ใหห ลอ รปู ในเรอ่ื งพระเจา ๕๕๐ ชาติ พระอสีติมหาสาวก พระเจาสทุ โธทนะ มหาราช พระมหามายาพทุ ธมารดาและสหชาตทิ ง้ั ๗ ใหแ ลว ดว ยทองคาํ ทั้งนั้น แลวใหต ้งั หมอ นา้ํ อันเตม็ ไปดว ยน้ํา เปนหมอ ทองคํา ๘ หมอ เงนิ อยา งละ ๕๐๐ ไว ใหยกธงทอง ธงเงินข้นึ ไวอยาละ ๕๐๐ ใหต ามประทปี ทองประทปี เงนิ ไวอ ยา งละ ๕๐๐ ประทปี เหลา นน้ั ลวนแตใสเตม็ ดวยนํา้ มนั หอมทํา ไสดวยผาอยางดี ลาํ ดบั น้นั พระมหากัสสปเถระจงึ อธิษฐานวา ดอกไมท ัง้ หลายจงอยา รเู หีย่ ว กลิ่นหอมทัง้ หลายจง อยา หาย ประทปี ทัง้ หลายจงอยา รูด บั แลวใหจ ารกึ อกั ษรลงทแ่ี ผน ทองคําไววา ในขา งหนา โนน เมอ่ื ใด ปยทาสกุมารไดเสวยราชย เปน พระเจา อโศกธรรมราชา เมือ่ นั้น พระองคจกั ทําพระบรมธาตุ เหลา นใ้ี หแ พรห ลาย พระเจาอชาตศัตรูทรงบูชาดว ยเครือ่ งประดับสําหรบั กษัตรยิ ทงั้ ปวง แลวปดประตู เริม่ แตช นั้ แรกออกไปเปนลาํ ดับ พอปด ประตทู องแดงแลว ก็ใสกุญแจท่เี ชือกสายยู แลว วางแกว มณดี วง ๓๕

ใหญไวท ี่นนั้ ท้งั โปรดใหจ ารกึ อกั ษรไววา ในขา งหนาจงใหพระราชาผูเข็ญใจเอาแกว มณดี วงนีแ้ ลว สักการบูชาพระบรมธาตุเถิด ทาวสักกเทวราชกต็ รสั สั่งวิสสกุ รรมเทพบตุ รวา พระเจา อชาตศัตรไู ดจ ัดการบรรจุพระบรมธาตไุ ว แลว เธอจงไปจดั เครอ่ื งปองกนั ไว วิสสกุ รรมเทพบตุ รก็มาประกอบเครื่องยนตเ ปนรปู สตั วรา ยไว แลว ใหม รี ปู พยนตหลายรปู ถอื พระขรรคแ กวผลกึ วิ่งวนอยรู อบหอ งพระธาตุ รวดเร็วดังลมพัด ครัน้ ประกอบเคร่ืองยนต แลว ก็ลงสลกั ล่ิมอนั หนง่ึ ไวแลวลอ มดวยศิลา มอี าการเหมือนตกึ ทกี่ อดว ยอฐิ ปด ดวยศลิ ากอนหนึ่งไวเบอ้ื ง บน แลว โปรยฝนุ ลงทําพ้นื ดนิ ใหเสมอกนั แลว ต้ังพระสถูปศิลาไวเ บ้ืองบน เมอ่ื การเกบ็ พระบรมธาตุเสร็จเรยี บรอยอยา งน้แี ลว แมพ ระเถระดาํ รงอยูจ นตลอดอายกุ ป็ รินพิ พาน แมพระราชาก็เสด็จไปตามยถากรรม พวกมนุษยแ มเ หลานนั้ กต็ ายกนั ไป. วา ดว ยพระสถูป ๘๔๐๐๐ องค ตอ มาภายหลัง เมื่อครงั้ อโศกกุมารเถลิงถวัลยราชสมบัติเปน พระธรรมราชาพระนามวาอโศก ทรงรับพระบรมธาตเุ หลา นน้ั ไวแลว ไดทรงกระทาํ ใหแพรห ลาย. ทรงกระทาํ ใหแพรหลายอยางไร ? พระ เจาอโศกนั้น อาศัยนิโครธสามเณร ทรงไดความเลื่อมใสในพระศาสนา โปรดใหสรางวิหาร ๘๔ ,๐๐๐ วหิ ารแลว ตรัสถามภกิ ษุสงฆวา โยมใหส รางวิหาร ๘๔,๐๐๐ วหิ ารแลว จกั ไดพ ระบรมธาตมุ าจากไหน เลา ทานเจาขา . ภิกษุสงฆท ูลวา ถวายพระพรพวกอาตมภาพฟง มาวา ชอื่ วาที่เก็บพระบรมธาตมุ อี ยู แตไมทราบวาอยูท่ีไหน.พระราชาใหร ื้อพระเจดยี ในกรุงราชคฤห กไ็ มพ บ ทรงใหท าํ พระเจดยี คนื ดีอยาง เดมิ แลว ทรงพาบริษัท ๔ คอื ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสกิ า ไปยงั กรงุ เวสาลี แมใ นทีน่ น้ั ก็ไมได ก็ไปยังกรุงกบลิ พศั ดุ แมในท่นี นั้ ก็ไมไ ดแ ลวไปยงั รามคาม เหลานาคในรามคาม ก็ไมยอมใหร อื้ พระ เจดีย. จอบทีต่ กตองพระเจดยี  ก็หกั เปนทอ นเล็กทอนนอ ย. ดวยอาการอยา งน้ี แมใ นท่นี น้ั ก็ไมไ ด กไ็ ป ยังเมอื งอัลลกัปปะเวฏฐทปี ะ ปาวา กสุ นิ ารา ในท่ที ุกแหง ดงั่ กลา วมานี้ ร้อื พระเจดยี แ ลว กไ็ มไดพ ระบรม ธาตเุ ลย ครัน้ ทําเจดียเหลา นั้นใหคืนดีดัง่ เดมิ แลว กก็ ลบั ไปยงั กรงุ ราชคฤหอีก ทรงประชมุ บริษทั ๔ แลวตรัสถามวา ใครเคยไดยินวา ทเี่ ก็บพระบรมธาตุ ในทชี่ ือ่ โนน มบี า งไหม. ในทป่ี ระชุมน้นั พระเถระ รปู หนงึ่ อายุ ๑๒๐ ป กลา ววา อาตมาภาพก็ไมร วู า ท่ีเก็บพระบรมธาตอุ ยูทโี่ นน แตพ ระมหาเถระบิดา อาตมภาพ ใหอาตมภาพคร้งั อายุ ๗ ขวบ ถือหีบมาลัย กลาววา มานี่ สามเณร ระหวางกอไมตรง โนน มีสถูปหินอยูเ ราไปกนั ที่น้นั เถดิ แลวไปบูชา ทานพดู วา สามเณร ควรพิจารณาทตี่ รงนี.้ ถวายพระ พร อาตมภาพรูเ ทานี้ พระราชาตรสั วา ท่ีนั่นแหละ แลวสั่งใหตัดกอไม แลว นาํ สถูปหนิ และฝนุ ออก ก็ ทรงเห็นพน้ื โบกปูนอยู แตนัน้ ทรงทําลายปนู โบกและแผน อฐิ แลว เสดจ็ สบู รเิ วณตามลําดับ ทอดพระเนตร เห็นทรายรัตนะ ๗ ประการ และรปู ไม (หุนยนต) ถอื ดาบ เดินวนเวียนอยู ทาวเธอรับส่ังใหเหลา คนผู ถือผีมา แมใหท าํ การเสนสวงแลว ก็ไมเห็นทส่ี ดุ โตง สดุ ยอดเลย จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลายแลว ตรัส วา ขา พเจา รบั พระบรมธาตเุ หลา นแี้ ลว บรรจุไวในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร จะทําสักการะ ขอเทวดาอยา ทาํ อนั ตรายแกขา พเจา เลย. ๓๖

ทาวสกั กะเทวราช เสดจ็ จาริกไปทรงเห็นพระเจา อโศกนัน้ แลว เรยี กวิสสุกรรมเทพบุตรมาส่ังวา พอ เอย พระธรรมราชาอโศก จกั ทรงนําพระบรมธาตไุ ป เพราะฉะนน้ั เจา จงลงสูบ ริเวณไปทาํ ลายรูปไม (หุนยนต) เสีย วิสสกุ รรมเทพบตุ รนนั้ กแ็ ปลงเพศเปน เดก็ ชาวบานไวจ ุก ๕ แหยม ยืนถอื ธนูตรงพระ พกั ตรข องพระราชาแลว ทลู วา ขาจะนําไป มหาราชเจา. พระราชาตรสั วานาํ ไปสิพอ . วสิ สกุ รรม เทพบุตรจับศรยิงตรงทีผ่ กู หนุ ยนตนนั้ แล ทําใหทุกอยางกระจดั กระจายไป. คร้งั นนั้ พระราชาทรงถอื ตรา กุญแจ ที่ติดอยทู ่เี ชอื กผกู ทอดพระเนตรเหน็ แทง แกวมณแี ละเหน็ อักษรจารึกวา ในอนาคตกาล เจา แผน ดนิ ทีย่ ากจนถอื เอาแกว มณีแทงน้แี ลว จงทาํ สกั การะพระบรมธาตุทั้งหลาย ทรงกรว้ิ วา ไมควร พูดหมนิ่ พระราชาเชน เราวา เจา แผนดินยากจน ดงั น้แี ลว ทรงเคาะซ้าํ ๆ กันใหเ ปดประตู เสด็จเขา ไป ภายในเรอื นประทีปที่ตามไวเม่ือ ๒๑๘ ป กโ็ พลงอยอู ยางนั้นน่ันเอง ดอกบวั ขาบก็เหมือนนาํ มาวางไว ขณะนน้ั เอง เครอื่ งลาดดอกไมก็เหมือนลาดไวข ณะนั้นเอง เครอื่ งหอมกเ็ หมือนเขาบดวางไวเ มอ่ื ครูนีเ้ อง. พระราชาทรงถือแผน ทอง ทรงอา นวา ตอ ไปในอนาคตกาล ครง้ั กมุ ารพระนามวา อโศก จกั เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ เปน พระธรรมราชาพระนามวา อโศก ทา วเธอจกั ทรงกระทาํ พระบรมธาตุ เหลา นใ้ี หแ พรห ลาย ดงั น้ี แลว ตรสั วา ทานผเู จรญิ พระผูเปนเจา มหากสั สปเถระเหน็ ตัวเราแลวทรงคู พระหตั ถซายปรบกับพระหัตถข วา. ทาวเธอเวน เพยี งพระบรมธาตุท่ปี กปด ไวใ นทนี่ น้ั ทรงทําพระบรมธาตุ ทเี่ หลือท้ังหมดมาแลว ปดเรือนพระบรมธาตุไวเ หมอื นอยา งเดิม ทรงทาํ ท่ที ุกแหง เปน ปกติอยางเกา แลว โปรดใหประดิษฐานปาสาณเจดยี ไวข า งบน บรรจพุ ระบรมธาตไุ วในวหิ าร ๘๔,๐๐๐ วหิ าร เมอ่ื ไดอ า นความพสิ ดารใน คมั ภรี ถ ปู วงศ แลว ทําใหเ กดิ ความคดิ วา ทาํ อยา งไร? จงึ จะคน พบ “สถานทต่ี ง้ั สถปู บรรจพุ ระบรมธาตทุ เ่ี มอื งราชคฤห ” ซึ่งพระเจา อชาตศตั รโู ปรดใหส รา ง ทางทศิ ตะวันออกเฉยี งใต ของกรงุ ราชคฤห นัน้ เพราะการคนพบ สถานท่ีตั้งสถปู บรรจพุ ระบรมธาตทุ ี่เมืองรา ชคฤห จะเปนเครอ่ื งยนื ยนั ที่ตงั้ ของ “เมอื งราชคฤห ” เพ่ือทจ่ี ะมายนื ยันขอสมมตฐิ าน ท่ีวา “เมอื ง ราชคฤห อยูในพื้นที่ จงั หวัด ชัยภูมแิ ละขอนแกน ของประเทศไทย” ๓๗

บทท่ี ๔ ทาํ ไมหมอชีวกโกมารภจั จจึงไดชอื่ วาบรมครูแหงแพทยแผนไทย? เร่อื งราวของทา นหมอชวี กโกมารภจั จ ก็เปน อกี เร่ืองหนง่ึ ทนี่ าสนใจใครศ กึ ษา ผมไมรูหรอกวา หมอ ยาสมัยโบราณกาล นานเทา ใดไมรูได ทไี่ ดอ าศัยตาํ รบั ตาํ รา ที่ ทานหมอชวี กโกมารภจั จ แตง ไว และใชใ น การรกั ษาโรค หรอื ปรุงยาแผนโบราณ รกั ษากันมา กอ นท่ีจะมีแพทยแผนใหม เมือ่ ชาตติ ะวันตกไดเ ริ่มแผ ขยายอทิ ธิพลทางการคา และศาสนา จนเกิดการลา อาณานคิ มและหลายประเทศตกเปน เมืองขน้ึ ของชาติ ตะวันตก ยกเวน ประเทศไทย ที่ยงั โชคดี รอดพน มาได และก็ยงั โชคดที สี่ รรพตํารา ทีบ่ รรพชนไดสบื รกั ษา ตกทอดกันมา ยงั ไมถ ูกทําลายไปจนหมดสนิ้ และเหลือใหเ ปนเชื้อใหลกู หลานในยคุ ปจ จุบัน ไดใชเปนเครอ่ื ง สบื คน เพ่อื คน หาขอ เทจ็ จริง วา แทท จ่ี รงิ แลว หมอชวี กโกมารภัจจ ทา นถอื กําเนดิ ในดนิ แดนแควน มคธ ท่ีตงั้ อยใู นประเทศอนิ เดียปจจบุ ัน หรอื ทเ่ี ปนทีต่ ง้ั ของสวุ รรณภมู ิปจจุบันกันแน? คนสวนใหญ จะรับรู ประวัติและเรอื่ งราวของหมอชีวกโกมารภัจจ จาก พระไตรปฎ กและคัมภรี  อรรถกถา ดังท่จี ะประมวลมาใหท า นทัง้ หลายไดท ราบสักเล็กนอย ดงั น้ี วา หมอชวี กโกมารภจั จ เปนบตุ รของนางสาลวดี นางนครโสเภณีประจําเมอื งราชคฤห แควน มคธ ซง่ึ ตาํ แหนงนางนครโสเภณีสมัยนนั้ เปน ตาํ แหนง ท่มี ีเกยี รติเพราะพระมหากษตั รยิ ทรงแตงตั้ง นางสาลวดี ต้งั ครรภโดยบังเอิญ เมอื่ คลอดบุตรชายออกมาจงึ สัง่ ใหสาวใชนาํ ไปทงิ้ ท่กี องขยะนอกเมอื ง เคราะหด ที ีอ่ ภัย ราชกมุ าร พระราชโอรสของพระเจา พมิ พสิ ารไปพบเขาขณะเสดจ็ ออกไปนอกเมอื ง จึงทรงนํามาเลี้ยงเปน บตุ รบุญธรรม ช่อื “ชีวก” ตง้ั ขึ้นตามการกราบทลู ตอบคาํ ถามพระองคทีต่ รัสถามวา “เด็กยงั มีชวี ิตอยูร ึ เปลา ” มหาดเลก็ กราบทลู วา “ยังมีชวี ติ อยู ” (ชวี โก) สว นคาํ วา “โกมารภจั จ ” แปลวา “กุมารท่ีไดรบั การ เลีย้ งด”ู หรือ “กมุ ารในราชสาํ นกั ” อนั หมายถงึ “บตุ รบญุ ธรรม ” นนั้ เอง เมอ่ื ชีวกโกมารภจั จโตข้นึ ถกู พวก เดก็ ๆ ในวงั ลอเลียนวา \"เจาลกู ไมมพี อ\" ดว ยความมานะจึงหนพี ระบดิ าเลีย้ งไปเรยี นศลิ ปวิทยาทเี่ มอื งตัก ศลิ า เพื่อเอาชนะคําดหู ม่ินของพวกเดก็ ในวงั ใหไ ด วชิ าท่ชี วี กเรยี นคอื วิชาแพทย เน่อื งจากไมมีคาเลาเรียน ใหอาจารยจ ึงอาสาอยูร บั ใชอ าจารยส ารพดั แลวแตทานจะใช อาศยั เปน เด็กออ นนอ มถอมตน มคี วาม เคารพเชื่อฟงอาจารย จงึ เปนทโี่ ปรดปรานของอาจารยม าก มีศลิ ปวิทยาเทาไร อาจารยก ถ็ า ยทอดใหห มด ๓๘

โดยไมป ดบังอาํ พราง ชวี กเรยี นวชิ าแพทยอยู ๗ ป จงึ ไปกราบลาอาจารยก ลบั บา นอาจารยไ ดท ดสอบ ความรโู ดยใหเขา ปา ไปสาํ รวจดวู า ตนไมว าตนไหนวาทํายาไมไดใ หนําตวั อยางกลบั มาใหอาจารยดู ปรากฏ วา เขาเดินกลับมาตัวเปลา เพราะตนไมทกุ ตนใชทาํ ยาไดหมด อาจารยบ อกวา เขาไดเ รยี นจบแลว จงึ อนุญาตใหเขากลบั หลงั จากกลับมายงั เมืองราชคฤหแ ลว ชวี กไดถ วายการรกั ษาพระอาการประชวรของ พระเจาพมิ พสิ ารหายขาดจาก “ภคนั ทลาพาธ” (โรครดิ สดี วงทวาร) ไดร ับแตงต้ังใหเ ปน หมอหลวงพรอ มทั้ง ไดรบั พระราชทานสวนมะมวงใหเ ปนสมบัติอีกดว ย ตอ มาชีวกไดถวายสวนมะมวงแหง นใี้ หเปน วดั ทป่ี ระทับ ของพระพทุ ธเจาและพระสาวกทั้งหลาย ไดถวายการรักษาแดพระบรมศาสดาเมอื่ คราวพระองคทรง ประชวร และถวายตวั เปน แพทยป ระจําพระองคอ กี ดว ย ตลอดชวี ิตหมอชวี กไดบ าํ เพญ็ แตสิ่งทีด่ งี าม ชวยเหลอื ผเู จ็บปว ยไมเลอื กยากดมี ีจน จนไดร บั การ ยกยอ งจากพระพทุ ธเจา วา เปน เอตทัคคะ (ผูเ ปน เลิศกวา คนอน่ื ) ในทาง “เปน ที่รกั ของปวงชน ” ในวงการ แพทยแ ผนไทยนี้ ถือวา หมอชวี กโกมารภจั จเปน “บรมครแู หง การแพทยแ ผน ไทย” เปน ท่ีเคารพนบั ถือ ของประชาชนท่วั ไป หลายทานท่ยี งั ปก ใจเชือ่ วา กรงุ ราชคฤหอยทู ่ีประเทศอินเดยี ปจจบุ นั และไดเ ดนิ ทางไปแสวงบุญ ยังที่ประเทศอินเดยี ก็จะไดม โี อกาสไดไปเทีย่ วชม สถานทตี่ างๆ ทเ่ี กีย่ วกับทานหมอชวี กโกมารภัจจ เชนท่ี ชีวกัมพวนั ซ่ึง หมอชีวกโกมารภัจจไดถวายสวนมะมวงจดั สรา งใหเ ปนวดั ถวายแดพ ระภิกษุสงฆซง่ึ มี พระพุทธเจา เปน ประธาน แตน อกจากซากอฐิ ซากหิน ท่ีเห็นแลว มรี อ งรอยอะไรทสี่ ําคัญเกย่ี วกับหมอชวี ก โกมารภัจจ หลงเหลอื อยูบา ง? ชวี กัมพวัน ซึง่ หมอชีวกโกมารภัจจไดส รางเปน วัด ถวายไวใ นพระพทุ ธศาสนา ครนั้ สืบยอ นไปตามประวตั ทิ ่ที า นหมอชีวกโกมารภจั จ ไปศกึ ษาวชิ าการแพทย ยงั เมอื งตักศิลา ซ่งึ นักประวัตศิ าสตรช าวตะวันตก ก็ระบุวา เมืองตักศลิ าในสมัยพทุ ธกาลคือ เมือง Taxila ซง่ึ ปจจุบนั ต้ังอยูใน แควนปญจาบ ประเทศปากสี ถาน ซง่ึ ในสมัยพทุ ธกาล นน้ั วากนั วา เปนสาํ นักการศกึ ษาทยี่ ่ิงใหญ ไมใชแ ต ๓๙

เฉพาะดา นการแพทยเทา นั้น แตเปนสํานกั เรยี นดานศลิ ปะศาสตร อีกหลายแขนง แมพระราชโอรสของพระ เจา มหาโกศล ในพระนครสาวตั ถี พระนามวา ปเสนทกิ มุ าร พระกมุ ารของเจา ลจิ ฉวี ในพระนครเวสาลี พระนามวา มหาลิ และ โอรสของเจามัลละ ในพระนครกุสนิ ารา พระนามวา พนั ธลุ ะ กไ็ ดเสด็จไปนครตัก กสลิ านี้ เพอ่ื เรียนศิลปะในสาํ นกั อาจารยท ิศาปาโมกข ปจ จุบัน ก็ไดมกี ารขดุ พบหลักฐานทางโบราณคดี มากพอสมควร หน่งึ ในนั้น คือ ธรรมราชกิ า สถปู ซง่ึ วากนั วา เปน พทุ ธสถานในยุคแรกในปากีสถาน เชอ่ื กนั วา สรา งขน้ึ ในสมยั พระเจาอโศกมหาราชแหง ราชวงศโ มริยะ เพื่อเปนทป่ี ระดิษฐานพระบรมสารรี ิกธาตขุ องพระพุทธเจา ในเวลาตอ มาไดม ีการตอ เตมิ ขยายใหใ หญข ้นึ อกี ในราว ครสิ ตศตวรรษที่ ๒ ในสมยั พระเจากนิษกะ ธรรมราชิกาสถูป เมอื งปญจาป ประเทศปากีสถาน นอกจากซากโบราณสถาน ทีป่ รากฏใหเ หน็ แลว ทงั้ ท่ี เมอื งราชคฤห ประเทศอนิ เดยี ปจ จุบนั และท่ี เมือง Taxila แควน ปญ จาป ประเทศปากีสถาน ซึ่งเปน สาํ นักเรียนทางการแพทยทที่ า นหมอชวี กโกมารภัจจ เดนิ ทางไปร่ําเรียนนัน้ กลับไมหลงเหลอื อะไรทีเ่ กย่ี วกบั มรดกแพทยแผนโบราณเอาไวเลย ตรงกนั ขา ม ตาํ รบั ตาํ ราทางการแพทยแหงเมอื งตกั ศลิ า หรอื ตําราแพทยท ที่ านหมอชวี กโกมารภัจจ แตง ไว กลับถกู ถา ยทอด และสืบตอ กันอยา งแพรหลาย จนถงึ ปจจบุ นั นบั เปนเวลา ๒,๕๐๐ กวา ป ใน ดนิ แดนสวุ รรณภูมปิ จ จบุ ัน โดยเฉพาะประเทศไทย ซึง่ เปนท่ีมาของการยกยอ งให ทานเปน บรมครู แหง การแพทยแ ผนไทย ซึ่งผม จะขอยก เอาคัมภีรท างการแพทย ท่บี รรพบุรษุ ของเราไดเ กบ็ รักษา และเผยแพรส บื ตอ กัน มา อันเปนมรดกแหง สํานักแพทยตักศลิ า และบรมครูหมอชวี กโกมารภจั จ ดงั น้ี พระคมั ภรี ต ักกะศิลา สทิ ธิการยิ ะ จะกลาวถึงเมืองตักกะศิลา เกิดความไขว ิปริตเมื่อหา ลงเมอื ง ทา วพระยาไพรฟาขา แผนดนิ ทงั้ ปวง เกดิ ความไขล มตายเปนอนั มาก ซึง่ คนที่เหลือตายอยูนั้นออกจากเมืองตักกะศลิ าไป ยัง ๔๐

เหลอื แตเปลอื กเมอื งเปลา ยังมพี ระฤาษอี งคห นงึ่ มีนามมิไดปรากฎ เท่ยี วโคจรมาแตป า หมิ พานต จงึ เหน็ แตเ มืองเปลา มแี ตซ ากศพตายกา ยกองทั้งบา นเมือง เธอจึงต้ังพธิ ีชบุ ซากศพน้นั ข้ึน แลว ถามวา ทา น ทั้งหลายน้เี ปนเหตอุ ะไรจงึ ลมตายเปนอันมาก ฝงู คนทั้งหลายทช่ี บุ เปนขน้ึ นนั้ จึงแจง ความวา ขา แตพระผู เปนเจา บานเมอื งนีเ้ กดิ ความไขเ ปนพิกลตา งๆ ลางคนไขวนั ๑ บา ง ๒ วันบา ง ๓ วันบา ง ๔ วนั บา งตาย ลางคนนอนลางคนนัง่ ลางคนยืนลางคนตะแคงลางคนหงายตาย เปนเหตุเพราะความตายอยางนี้ พระ ดาบสไดฟง ถอยคําคนทง้ั หลายบอกดงั น้ัน กม็ ใี จกรณุ าแกสัตวท้ังหลาย เธอพิจารณาดวยฌานสมาบัตริ ูวา หา ลงเมอื ง จึงแตงพระคมั ภรี ไขเ หนอื แกไ ขพ ษิ ไขกาฬตกั กะศิลาสําหรับแพทยไ ปขา งนา ใหร ูป ระเภทอาการ เพอื่ จะใหสืบอายสุ ัตวไ ว ถาผใู ดจะเรยี นเปนแพทยรักษาโรคไขพ ษิ ไขเ หนือ กย็ อ มมมี าหลายจาํ พวกผจู ะเปนแพทยรกั ษาไข พิษไขเหนอื นัน้ ใหเอาดนิ โปง ๗ โปง ดนิ ทา ๗ ทา ดินปลวก ๗แหง ดินสระ ๗ สระ ดนิ ปา ชา ๗ ปา ชา เอา ข้ีเทา คนตายวนั เสารเผาวนั องั คาร แลว ใหเ อาใบราชพฤกษ ๑ ใบไชยพฤกษ ๑ ใบคันธพฤกษ ๑ ใบชุมแสง ๑ เผาประสมกบั ดนิ ปนเปนรปู พระดาบสไวบ ูชา เมือ่ จะบดยาเชิญรูปพระดาบสมาต้งั ไวเปนประธานจงึ ทาํ เครอ่ื งบูชาพระดาบส ดอกไม ธปู เทียนเครอื่ งกระยาบวช บายศรซี ายขวา ผาขาวปูเคารพสกั การะบชู าพระ ดาบสแลว เศกยาดว ยพระคาถาดงั น้ี อธิเจตโส อปมชั ช โต โมนปเถ สุสกิ ข โต โสกานัพภวนั ติ ตาทิโน อุปสนั ตสั ส สตีมโต เม่ือจะ ไปดไู ขก ็ใหวา พระคาถานี้ ใหเศกนํา้ ลางหนารดตวั ผทู ่จี ะเรียนเปนแพทยร ักษาไขพ ิษไขเ หนือนัน้ จงึ จะคุม อปุ ท ทะวะอันตรายแหง ตวั ได แลวใหเ ศกนํา้ มนตประคนไข แลวใหพจิ ารณาไขใ หถ อ งแท เม่ือผเู ปนเจาจะแสดงเภทไขพ ษิ ไขเ หนอื แลไขก าฬ ใหค นทัง้ หลายรปู ระจักษ คอื อันใดทจี่ ะเปนไข พษิ น้นั เปนตน ไขอ ดี ําอแี ดง ไขป านดําปานแดง ไขล ากสาด ไขสายฟาฟาด ไขร ะบชุ าติ ไขก ระดานหนิ ไข สงั วาลพระอินทร ไขม หาเมฆ ไขมหานิล ไขเขา ไหมใหญน อย ไขเ ขาไหมใบเตรยี ม ไขไ ฟเดอื นหา ไขเ ปลว ไฟฟา ไขหงษร ะทดดาวเรอื ง ไขจ นั ทรสูตร ไขส ุรยิ สูตร ไขเ มฆสูตร วา ดังนี้คนทัง้ หลายจึงวิงวอน วาขาแตผ ู เปนเจา จงไดโ ปรดสัตวทั้งหลายใหอายุยืนยาวไปขา งนานน้ั ขอผูเปนเจาโปรดใหขา พเจาทราบอาการไข เภทไขล ักษณไขท กุ ประการ ฯลฯ พระคัมภรี ธ าตวุ ภิ ังค ( อหํ ) อันวาขา ( ชวี กโกมารภจั โ จ ) มีนามปรากฎวา โกมารภัจแพทย ( อภวิ นั ท ติ ๎วา ) ถวาย นมสั การแลว ( พ,ุ ธ, สํ ) ซึ่งพระคุณแกว ท้งั ๓ ประการ (เสฏฐ )ํ อันประเสรฐิ โดยพิเศษ ( เทวินทํ ) อนั เปน ใหญแ ลเปนทีเ่ คารพยข องเทพยดาทงั้ หลาย (กิตตยสิ สาม)ิ จกั ตกแตง ไว (คันถํ ) ซ่ึงคัมภีรแ พทย ( โรคนิ ทานํ ) ชอ่ื วา โรคนทิ าน ( ปมขุ ํ ) จาํ เภาะหนา ( อิสสิ ิทธโิ น ) แหง ครุช่ือวาฤาษสี ทิ ธิดาบศ ( นาถัตถํ ) เพ่ือ จะใหเปนทพ่ี ึ่ง ( โลกสั ส ) แกส ัตวโลกยท้ังปวงคอื แพทยแลคนไข ( อิติ ) คอื วา ( อิมินา ปกาเรน ) ดว ย ประการดงั น้ี พระอาจารยเ จาจงึ ชักเอาพระบาฬี ในคมั ภีรพ ระบรมตั ถธรรม มาวา ซ่งึ บคุ คลจะถงึ แกค วาม ๔๑

ตายสน้ิ อายนุ ั้น เทวทตู ในธาตุท้งั ๔ มพี รรณสาํ แดง ออกใหแจง ปรากฎโดยมะโนทวาร วถิ อี นิ ทรียป ระสาท ทั้งปวง แลธาตุอันใดจะขาดจะหยอนจะพกิ ารอนั ตรธานใดๆ กด็ ี มีแจงอยูในคัมภรี ม รณะญาณสตู รนนั้ แลว แตถ งึ กระนั้นตอ งอาไศรยธาตุเปนหลักเปนประธาน ลกั ษณะคนตายดวยบุราณโรค นั้น เทวทตู ท้งั ๔ กห็ าก จะแสดงออกใหแ จง ดงั กลาวมานนั้ ลักษณะคนตายดว ยปจ จบุ ันกรรมน้ันก็มอี ยูต างๆ ถงึ ดังนนั้ กจ็ ริง เทวทตู มหศั จรรยก ห็ ากจะแสดงอยู แตแพทยท ่จี ะหยง่ั รูหย่งั เห็นเปนอนั ยากยิ่งหนัก โกมารแพทยผปู ระเสรฐิ จึง นิพนธลงไวใ นคัมภีรโ รคนทิ าน ฯลฯ พระคมั ภรี โ รคนทิ าน (อห)ํ อันวาขา (ชวิ กโกมารพัจโจ) ผูมีนามโกมารพัจแพทย (อภิวนั ทิต๎วา) ถวายนมสั การแลว (พทุ ธ คุณํ) ซึง่ คณุ แกว ๓ ประการ มีพระพุทธรัตนะเปนตน (เสฏฐ ํ) ประเสรฐิ โดยวริ ิยะยง่ิ นัก (เทวินท)ํ ยอ ม เปนทีน่ มสั การของเทพยดาทั้งหลาย (กติ ตยิสสาม)ิ จักตกแตง ไว (คันถํ) ซง่ึ คมั ภรี แ พทย (โรคนิทานํ นาม) ชอ่ื วา โรคนทิ าน (ปมขุ ํ) เฉภาะภกั ตร (อสิ ีสิทธ โิ น) แหงทา นมนี ามชอ่ื วาฤๅษสี ทิ ธิดาบศ (ปตฏิ ฐ ติ )ํ เพอ่ื จะให เปนทพี่ ่ึง (โลกานํ) แกส ัตวโลกทง้ั หลาย (อิติ เมาะ อิมินา ปกาเรนะ) ดว ยประการดงั นี้ ฯลฯ พระคมั ภรี ป ฐมจนิ ดาร นโม ตสั ส ภควโต อรหโต สมั มาสัมพทุ ธสั ส นมสั ส ิตว๎ า จ เทวนิ ทํ เทวราชสักก ํ อิว ชวี กโกมารภจั จํ โลกนาถํ ตถาคตํ ปฐมจินตารคันถ ํ ภาสสิ สํ ฉนั ทโสมุขํ สํเขเปน กิตตยิตํ ปุพเ พ โลกาน นาถตั ถ นั ต ิ แปล (อห)ํ อนั วา ขา (นมัสสิต๎วา) ถวายนมสั การแลว (ตถาคตํ) ซึ่งพระศรีสุคตทศพลญาณเจา (โลกนาถ)ํ เปนท่พี ึ่งของโลกย (จ) อน่งึ โสด (อห)ํ อนั วา ขา (อภวิ นั ทติ ว๎ า) ไหวแ ลว โดยพิเศษ (ชวี กโกมารภจั  จ)ํ ซ่ึงชวี กโกมารภัจ แพทยผ ปู ระเสริฐ (เทวราชสักก ํ อิว) เปรียบดุจสมเด็จอมรินทราธริ าชบพิตร (เทวินท)ํ ผมู มี หศิ รภาพเปนจอมมกฎุ แกเ ทพยบ ุตยทั้งหลาย (ภาสสิ ส ํ) จกั แสดงบดั น้ี (คนั ถํ) ซ่งึ พระคมั ภีรแ พทยอ นั วเิ ศษ (ปฐมจินต าร)ํ ช่ือประถมจินดาร (ฉันทโสมขุ ํ) อันเปนหลักเปนประธานแหงพระคมั ภีรฉันทศาสตรท ้งั ปวง (กติ ตยิต)ํ อันพระอาจารยโกมารภัจ แตงไว (ปุพเพ) ในกาลกอ น (สังเขเปน) โดยสงั เขป (นาถตั  ถํ) เพ่อื จะใหเ ปนทีพ่ งึ่ (โลกาน)ํ แกส ตั วโ ลกยทั้งหลาย (เอว)ํ ดว ยประการดงั น้ี ฯลฯ ๔๒

ตวั อยางขา งตน หยิบยกมาแตความข้นึ ตน ของแตละคัมภรี  เทา นัน้ ซึง่ ความละเอียดโดยพสิ ดาร ผใู ดใครรู ก็สามารถท่จี ะสบื คน หาอา นไดไ มย าก ซ่งึ คัมภรี ดงั ทไ่ี ดอ างมาแลวนี้ ไมป รากฏวา จะหลงเหลอื อยใู นทง้ั ท่ี เมอื งราชคฤห ประเทศอนิ เดียปจจบุ ัน และทเ่ี มอื ง Taxila แควน ปญ จาป ประเทศปากสี ถาน หรอื ไมป รากฏหลงเหลือวิธกี ารรกั ษา หรือการปรงุ ตํารับยาแผนโบราณเลย ซึง่ หากทา นทัง้ หลายไดอาน รายละเอียด ของตัวยา คอื พชื สมนุ ไพรท่ีนํามาประกอบปรุงยา ก็ยิง่ จะเกิดความสงสัยตอไปวา พชื สมนุ ไพร ในตํารบั ยาของหมอชวี กโกมารภัจจ ลว นแลว แตเปน พชื สมนุ ไพรไทย ซึ่งไมป รากฏมีใน ทั้งที่ เมืองราชคฤห ประเทศอนิ เดียปจจุบนั และทเี่ มอื ง Taxila แควน ปญ จาป ประเทศปากีสถาน เหตุผลท่เี ปนเชนน้ี ก็เพราะวา ท้งั ท่ี เมอื งราชคฤห ประเทศอินเดียปจ จบุ ัน และทเ่ี มือง Taxila แควนปญจาป ประเทศปากสี ถาน ไมใ ช เมืองราชคฤห และเมอื งตักศิลา ในสมัยพุทธกาล ดงั ทไ่ี ดม ี การศกึ ษา และคน ควา ในบทกอ นหนา นแี้ ลว วา เมอื งราชคฤห แควน มคธ ในสมัยพทุ ธกาล ไมไดอยูที่ ประเทศอินเดยี ในปจจบุ ัน แตอยูในประเทศไทย หรืออาจจะบอกไดว า อยูในพ้นื ที่จังหวดั ชยั ภูมิ และขอนแกน นเ่ี อง และนัน่ กอ็ าจหมายถึงวา เมอื งตกั ศลิ า กอ็ าจจะอยใู นประเทศไทยของเราน่ีเอง น่ี กระมงั ทา นหมอชีวกโกมารภจั จ จึงไดช ิอ่ วา บรมครแู หงการแพทยแ ผนไทย ๔๓

บทท่ี ๕ ตกลงพระเจาอโศกมหาราชเปนแขกหรือเปนมอญกนั แน? นกั ศกึ ษาประวัตศิ าสตรพ ระพทุ ธศาสนาชาวไทย ไดเ กดิ ความสบั สน ในพระราชประวตั ขิ องพระเจา อโศกมหาราช ซึง่ เปนองคศ าสนูปถมั ภกผูย งิ่ ใหญ มาต้งั แตท ี่ ไดรับรู ผลการศึกษา ของนกั ประวตั ศิ าสตร ชาวตะวันตก เรื่องชว งเวลาที่พระเจา อโศกมหาราช เกิดขึ้นมาในโลก เพราะจากการลําดับประวตั ศิ าสตรใ น ลุมนํา้ สินธุ ประเทศอนิ เดยี ปจจุบัน โดยเริ่มตัง้ แต พระเจา อเลก็ ซานเดอรม หาราช กษัตริยช าวกรกี ผู ย่ิงใหญ ทเ่ี ร่ิมแผอิทธิพลเขา มายงั อนิ เดีย ในราวป พ.ศ. ๒ ๑๗ เทากบั วา ชวงเวลาน้ัน พระเจา อโศกองคศาสนปู ถมั ภกผูย่งิ ใหญ ยงั ไมไ ดเกดิ มาลมื ตามองดโู ลก ซ่งึ จะขดั แยงกบั พระราชประวัติ ของพระเจาอโศก ในความรบั รูข องชาวพทุ ธในแผน ดนิ สวุ รรณภมู ิปจจุบนั เพราะนอกจากเรอ่ื งราว ของพระเจา อโศกจะปรากฏอยูในพระอรรถกถาบาลีแลว ในพระราชพงศาวดาร ตํานาน ทส่ี ืบตอๆ กันมา ในแผน ดนิ สุวรรณภูมิ น้ี ยอ มเปนท่ีรบั รกู ันวา พระเจา อโศกศาสนปู ถัมภกผูยงิ่ ใหญ น้ี ไดถือกาํ เนดิ เกิดขน้ึ มาในโลกน้ี เม่ือ วันเพญ็ เดือนวสิ าขะ พ.ศ. ๑๘๘ และไดปราบดาภเิ ษกข้ึนเปน กษัตรยิ ห ลัง ผานสงครามชว งชงิ ราชสมบตั ิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๔ กอ นที่พระเจาอเล็กซานเดอรม หาราช จะยกทพั มายดึ ครอง อินเดีย เสยี อีก และแนนอนทีส่ ดุ เหตกุ ารณสําคัญในรัชสมัยพระเจา อโศกมหาราช ก็คือ การทาํ ตตยิ สงั คายนา หรอื การสังคายนาพระไตรปฎ ก ครงั้ ที่ ๓ เม่อื พ.ศ. ๒๓๕ และการสง คณะพระธรรมทตู ไปเผยแผ พระพทุ ธศาสนา ซึง่ จะปรากฏความไมล งรอยกนั ในประเทศ แวนแควน ท่ี คณะพระธรรมทตู ซ่งึ พระโมค คลั ลบี ตุ รตสิ สะ สง ไปประกาศพระพทุ ธศาสนา ระหวางความเหน็ ของนักประวัติศาสตรชาวตะวนั ตก กบั ท่ี พระปญญาสามี พระภิกษชุ าวพมาไดบ นั ทึกไวใ น คัมภีรศ าสนวงศ ทั้งน้ี กเ็ พราะ ความสบั สนใน ท่ตี ัง้ ของ ชมพูทวีป ท่ีต้ังของอินเดยี และทต่ี ้งั ของนครปาฏลีบตุ ของพระเจาอโศก นอกจากนใี้ นพงศาวดารมอญยัง บนั ทึกไววา กษตั ริยผ ูก อ ต้งั อาณาจกั รมอญทีเ่ มอื งตะโทง เปนเจาชายท่ีเปนราชบุตรของพระเจาติสสะ และ เปน ชว งเวลาที่ตรงกับรชั สมัยของพระเจาอโศกมหาราช จนเปนขอ สงสัยทีต่ อง คนหา และพิสูจนวา ตกลง พระเจาอโศกมหาราชเปนแขกหรือเปนมอญกนั แน? ดังจะขอยกหลักฐานความสับสนของนักประวตั ิศาสตรไ ทย ซ่ึงปรากฏอยใู นพระนพิ นธคอื งานเขยี น ของเจา นายชนั้ สงู ในสมยั น้นั คอื หนงั สือ ตาํ นานพระพทุ ธเจดยี  ซึ่งเปน พระนพิ นธข อง สมเดจ็ พระเจา บรมวงศเ ธอ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพ ซง่ึ ไดร บั การยกยองเชิดชวู าเปน พระบดิ าแหง ประวัติศาสตรไ ทย เรอ่ื งของพระเจา อโศกมหาราช ทป่ี รากฎอยใู นตอนที่ ๓ ของพระนิพนธ ตํานานพระ พทุ ธเจดีย ซึ่งพระองคทา นไดนพิ นธไ ววา ...ตรงนจ้ี ะแสดงวินจิ ฉัยเร่อื งราชประวัติแหง พระเจา อโศกมหาราชแทรกลงสักหนอ ย ดว ยแตกอ น มาเรารเู รอื่ งแตต ามท่ีปรากฎในหนงั สือซ่งึ แตง ในลังกาทวปี คือหนังสอื มหาวงศเปนตน คร้ัน นักปราชญตรวจคนของของโบราณในอนิ เดีย พบศิลาจารกึ ของพระเจา อโศก อานไดค วาม แตกตางกบั มหาวงศห ลายขอ อกี ประการหนง่ึ ในเรื่องมหาวงศเม่อื กลา วถงึ เหตุทีท่ าํ ใหพ ระเจา ๔๔

อโศกทรงเลอ่ื มใสพระพทุ ธศาสนา มกั อา งไปในทางขา งปาฏหิ ารยิ  มิไดพ ิจารณาพฤตกิ ารณทางฝา ย อาณาจกั ร... เหตทุ ่พี ระองคทา นจะทรงวนิ จิ ฉัยไวก เ็ นือ่ งมาแตวาตามคมั ภีรมหาวงศก ็ดี ในอรรถกถากด็ ี กลาวถงึ สมัยพระเจาอโศกครองราชยวา เกดิ ขึ้นเมอ่ื ๒๑๘ ป นับแตปท ีพ่ ระสมั มาสัมพุทธเจา ปรนิ พิ พาน แต ตามลําดับท่นี ักปราชญต ะวันตกแตงพงศาวดารอนิ เดยี นั้น ในป พ .ศ. ๒๑๗ เปนชว งปลายสมัยพระเจา อ เลก็ ซานเดอร กวา พระเจาจนั ทรคปุ ตซ ่ึงเปนเสด็จปู และพระเจาพินทุสารซง่ึ เปนพระราชบิดาของพระเจา อโศก จะไดค รองราชยห ลงั จากนนั้ และทวิ งคตคอื ตายน้ัน พระเจา อโศกจึงไดราชสมบตั ิเมือ่ พ .ศ. ๒๗๐ ตรงนี้จึงไดขดั แยง กบั สงิ่ ท่ีบรรพบุรุษของไทยแตโบราณเชือ่ ถอื และสืบทอดกันมา เพราะปรากฏ อยใู นอรรถกถาพระไตรปฎ ก ปรากฏอยใู นตาํ นาน พงศาวดาร แมใ นไตรภมู พิ ระรว ง ทพ่ี ระยาลิ ไท แตงในสมัยสุโขทัย ก็อางมาจากคัมภีรม หาวงศแ ละอรรถกถาวา พระเจา อโศกครองราชยเ ม่ือ พุทธปรินิพพานได ๒๑๘ ป และครองราชยอยูได ๓๗ ป กส็ วรรคตคอื ตายเมื่อ พ .ศ. ๒๕๕ เร่อื ง ทงั้ หลายจงึ ขดั แยงกบั ฝรง่ั ซึ่งหากเราเช่ือตามฝร่งั นัน้ ก็คงตองกลบั ไปแกต าํ นาน พงศาวดาร และ อรรถกถา ไมวา จะเปนวันเดอื นป ทพ่ี ระเจาอโศกขึน้ ครองราชย ปท่ีพระเจา อโศกอุปถัมภก าร สงั คายนาพระไตรปฎ กครง้ั ท่ี ๓ รวมท้ังปท ่ีพระเจา อโศกสวรรคต ซ่งึ หากทําเชน นั้น ก็เทากบั เปน การลมลางคาํ ของพระอรหันตท่ไี ดแ ตงอรรถกถาไว ลบลางคาํ ของบรรพบุรษุ ทส่ี อู ุตสาหสืบรักษา ตอ ๆ กนั มาชานาน อกี เรื่องหน่งึ ทเ่ี ก่ยี วเน่อื งกับสมยั พระเจา อโศกมหาราชก็คอื การสง พระสมณฑตู ไปเผยแผพ ระ พระศาสนา หลงั จากไดก ระทําการสงั คายนาพระไตรปฎ กเสร็จสิ้นในปลายป พ .ศ. ๒๓๕ ท่ีกรมพระยา ดาํ รงราชานุภาพทานไดนิพนธไ วว า เรอ่ื งพระเจา อโศกมหาราช ใหส อนพระพทุ ธศาสนาแพรห ลาย ไปยงั นานาประเทศนน้ั มหี ลกั ฐานปรากฏทง้ั ในหนงั สอื มหาวงศแ ละศลิ าจารกึ ของพระเจา อโศก แตรายการทก่ี ลา วผิดกนั ชอบกล ในหนังสือมหาวงศก ลา ววา พระเจา อโศกทรงอาราธนาใหพระสงฆไ ป เทีย่ วสอนพระศาสนายังนานาประเทศ แสดงนามพระสงฆและนามประเทศตางๆ ทไ่ี ปสอนไว สว นศิลา จารกึ ของพระเจา อโศก มิไดกลา วถงึ การที่ใหพระสงฆไปเท่ยี วสอนพระศาสนา แตก ลา ววา ไดใ ห ราชทูตเชญิ พระธรรมไปแสดงถึงนานาประเทศ บอกนามไวตรงกับประเทศตริโปลี อียปิ ต ซเี รีย ตลอดจนถงึ ประเทศกรซี และมาซโิ ดเนยี ในยโุ รป เหตุท่หี นังสอื มหาวงศก ับคาํ จารกึ ของพระเจา อโศกแตกตา งกนั ดงั นี้ สนั นษิ ฐานวาเห็นจะเปนเพราะทานผแู ตงหนังสอื มหาวงศป ระสงคจ ะแสดงแตเร่อื งสวนที่ เกีย่ วดวยพระภกิ ษุสงฆ ฝายการจารกึ ศิลาประสงคจ ะแสดงพระเกียรตแิ กม หาชนในพระ ราชอาณาจักร จริงๆ แลว ความขดั แยงท่เี กดิ ขึ้นเมอื่ เกือบ ๑๐๐ ปทีแ่ ลว นาทจ่ี ะมใี ครเอะใจ หรือตั้งสติและโตแยง ส่ิงเหลา นีบ้ า ง แตการทอี่ นุโลมตามความเห็นหรือมตขิ องนกั ประวัติศาสตรช าวตะวันตกน้ัน ทําให ความ จรงิ ของแผน ดินถูกบิดเบือนไป จนถงึ ทกุ วนั น้ี ท้งั ชมพทู วีป ทง้ั อินเดยี โบราณอนั เปน ทต่ี ้งั ของสังเวชนียสถาน ๔ ตาํ บล จึงถกู ยกใหไ ปอยูท ่ปี ระเทศอินเดยี ในปจ จุบัน รวมทั้งพระเจา อโศกมหาราช จึงถกู แปลง ๔๕

สญั ชาตเิ ปนแขกไป ทส่ี ําคัญ คือ ตาํ นานตางๆ ทบี่ รรพชนของเราสูอ ตุ สาหส บื รักษาถา ยทอดกัน มาเปน เวลาหลายรอยป กถ็ กู เยย หยันหรือมองขาม โดยถูกมองขามเปนแคน ทิ านลวงโลกเทานนั้ พระเจา อโศกมหาราชถวายภตั ตาหารแดน โิ ครธสามเณรในพระบรมมหาราชวงั พระเจาอโศกเกดิ เม่อื ไหรแนต ามโคตรเหงา คนไทยรูจ ัก จาก ตาํ นานธรรมราชเกี่ยวดวย เมอื งเชยี งใหม ในหนงั สือ ประชุมตาํ นานพระธาตุ ภาคท่ี ๑ และ ภาคท่ี ๒ หนา ท่ี ๑๕๗ บนั ทกึ ไวว า “ปก าบสันศกั ราช ๖๐๔ ศาสนา ๑๘๘ วัสสาเดอื นวสิ าขะเพง็ ยามหาดลัน่ เชา พระยาธรรมา โศกเกิด ปกาบซงา ศักราช ๖๓๖ ศาสนา ๒๑๘ วัสสา เดือนวสิ าขะเพ็งพระยาอโศกปราบชมพูทวีป” เร่ืองของพระเจาอโศกมหาราช ในตํานาน พงศาวดาร หรือบันทึกเหตุการณของมอญและไทย ที่ พสิ ดารไปอกี ปรากฏใน “คําใหการชาวกรุงเกา ” ซึง่ เปนหนงั สอื พงศาวดารประวตั ิศาสตร ทไี่ ดร วบรวม เร่ืองราวตางๆ สมยั ครง้ั กรุงศรีอยุธยาเปน ราชธานี จากคาํ ใหก ารของเชลยศึกชาวไทยท่ีถกู พมา กวาดตอน ไป สมัยเสยี กรุงคร้งั ที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ เชื่อวาตน ฉบับเปนภาษารามญั ท่ถี กู แปลเปน ภาษาพมา และไทย ตามลําดบั นนั้ มีอยูต อนหนึง่ นาสนใจ บนั ทึกไวว า ๔๖

…ครน้ั แลว พระองคเ สดจ็ จากเขาสวุ รรณบรรพต ไปยังตําบลบานพอ แองในขา งทศิ ตะวนั ตก ตําบล น้นั มบี งึ ใหญแหงหนึง่ ใกลบึงนัน้ มีพฤกษชาติใหญตน หน่งึ มกี งิ่ กา นใบอันสมบรู ณ สมเด็จพระพุทธองคก ็ ทรงกระทาํ ปาฏิหารยิ อ ยเู หนอื ยอดพฤกษชาตนิ ั้น คือทรงนง่ั ทรงไสยาสน ทรงพระดาํ เนริ จงกรม แลทรงยนื บนยอดก่ิงไมใ หญ มีพระอริ ยิ าบถทั้งสี่เปรปรกติมิไดห ว่นั ไหว ในขณะนั้น ฝา ยพฤกษเทพยดาทง้ั หลายได เหน็ ปาฏหิ ารของพระองคเปนมหศั จรรยด งั นั้น กบ็ ังเกิดปติโสมนัสเลอ่ื มใสในพระคุณของพระองค จงึ นาํ ผล สมอดีงแู ลผลสมอไทยอนั เปนของเทพโอสถ มากระทาํ อภิวาท นอมเขา ไปถวายแดพระพทุ ธองค ในขณะ นัน้ พระองคท อดพระเนตรเหน็ แพะเลก็ ตัวหนงึ่ อยูใ นท่ีใกล กท็ รงแยมพระโอษฐ ฝา ยพระอานนทเถรพุทธ อนชุ าเห็นพระองคท รงแยมพระโอษฐใหป รากฏดังนนั้ จึงกราบทลู ถามถึงเหตุแหงการแยม พระโอษฐวาจะ มเี ปนประการใด สมเด็จพระสรรเพชญพ ุทธเจาจงึ ตรสั พยากรณวา ไปในอนาคตกาลเบอ้ื งหนา แพะ เล็กตวั น้จี ะไดบ งั เกิดเปนกษตั ริยครองราชยสมบัติในประเทศน้ี จะมเี ดชานภุ าพมาก แลจะไดท าํ นุ บาํ รงุ บทวลญั ชอ นั เปนรอยพระบาท กับรูปฉายาปฏิมากรของเราตถาคตสืบไป คร้นั ลว งกาลนานมา สมเดจ็ พระพทุ ธองคเสด็จดับขนั ธปรินิพพานแลว พระพุทธศกั ราช ลวงได ๒๑๘ ป จงึ บงั เกดิ พระเจา ศรธี รรมาโศกราช ไดค รองราชยส มบตั ใิ นกรงุ ปาตลบี ตุ รมหานคร พระองคท รงบําเพญ็ พระราชกศุ ลมกี ารสรา งพระอาราม พระสถูปเจดยี  แลขุดบอ สระเปนตน เปนอันมาก พระองคไดเ สดจ็ ประพาสทว่ั ไปในสกลชมพทู วีปตราบเทา ถึงเมืองสงั ขบรุ ี เสด็จขึ้นครองราชยส มบัตอิ ยูใ น เมอื งน้ันตอไป พระองคมมี หทิ ธิฤทธเิ ดชานภุ าพมากลํ้าเลิศกวากษัตริยท ั้งหลาย ไดท รงบาํ รงุ พระพุทธศาสนาใหถาวรรุงเรอื งไปทวั่ สกลชมพทู วปี ในคราวหนง่ึ พระองคไ ดต รสั แกเ สนาอาํ มาตยร าช มนตรที ง้ั ปวงของพระองคว า พระองคไ ดม าบงั เกิดเปนกษตั ริยทง้ั น้ี ดวยบุญญาบารมีกฤดาธกิ าร ของพระองคตามพระพทุ ธทาํ นายซ่งึ ไดตรสั พยากรณไ วน ั้นทกุ ประการ จาก พงศาวดารขา งตนน้ี จะเหน็ วา “พระเจาอโศก” ไดมาปกครองแผนดิน “ในประเทศน้ี ” คอื ท่ี ๆ พระพุทธองคเ สด็จมาพยากรณ ซึง่ อยไู มห างจาก “เขาสวุ รรณบรรพต” ท่ี จงั หวัดสระบรุ ี ประเทศไทย ตาํ นาน ทีเ่ ก่ียวกบั พระเจา อโศกมหาราชในดินแดนแถบประเทศไทย พมา มอญ และลาว มีอยเู ปน จาํ นวนมาก แตเ ชื่อวา ทย่ี ังไมไ ดรบั การถา ยทอดออกมาเปน ภาษาไทยนา จะยงั มอี กี จาํ นวนไมน อ ย ดงั จะได ๔๗

หยบิ ยกตาํ นานท่ไี ดรับการถา ยทอดออกมาเปน ภาษาไทย สักตํานานหนึ่ง ซึ่งเปน ตาํ นาน พระธาตศุ รี จอมทอง ฉบบั ทแี่ ปลมาจากภาษาพื้นเมอื ง ทผ่ี มมอี ยนู ี้ เห็นวามีรายละเอียดที่นาสนใจ ซง่ึ เชือ่ วา ถา ฝร่งั ไดตาํ นานฉบับนี้ ในสมัยท่ี ประเทศไทยเรายังไมเ จริญขนาดน้ี พวกฝร่ังนักลาสมบัติ คงจะ พากันขดุ คน กรุ มหาสมบตั ิ ที่ฝง อยู ในบริเวณวดั พระธาตุศรีจอมทอง เปนแนแท ดังที่จะขอคดั ลอกมา แตเ พยี งสวนสําคญั ดงั นี้ ...จาํ เดมิ แตก าลทพ่ี ระสัมมาสัมพุทธเจา เสดจ็ ดับขนั ธปรนิ พิ พานไปแลวได ๒๑๘ ป มพี ระราชา องคห นง่ึ พระนามวา ศรีธรรมาโศกราชหรืออกี นยั หนึ่งวา พระเจาอโศกมหาราช เปนผทู รงเดชานภุ าพ ปราบชมพูทวปี ท้ังมวลไดเ สด็จไปสดู อยศรีจอมทอง พรอมดว ยทา วพระยาเสนามาตยร าชบรพิ าร เปน อนั มาก ดวยอานภุ าพแหง พระอนิ ทร เทพยดาและพระอรหันตแ ลว ไดใ หขดุ คูหาอุโมงคที่ใตพ ื้น ดอยศรจี อมทองลกึ นกั ใหญป ระมาณเทาทตี่ ง้ั พระคนั ธกุฏแิ หง พระสมั มาสัมพุทธเจา ในพระเช ตะวนั มหาวิหาร พระนครสาวตั ถใี นสมยั พทุ ธกาล แลว ใหส รางพระถูปองคห นึ่งแลวดวยทองคําสูง ๖ ศอก ไวในคูหานั้น หลอ พระพุทธรปู ยืนดว ยทองทพิ ยหนัก ๑ แสน ๒ องค ตัง้ ไวทางทศิ เหนอื พระสถูปองค ๑ ทิศใต ๑ องค หลอ พระพทุ ธรูปนัง่ ดวยทองคาํ ๒ องคห นักองคล ะ ๑ แสน ต้งั ไว ณ ทิศตะวันออกพระ สถปู องค ๑ ทิศตะวนั ตก องค ๑ และไดจัดสรางดุรยิ ดนตรี เครอ่ื งปลู าด เตยี งต้งั และฉตั รธงไวท ง้ั ๔ ดา น แหง พระสถปู น้ัน แลว ใหหลอรูปยกั ษ ๘ ตน ยืนเฝา ทีห่ นา มุขพระสถูปทัง้ ๔ ดา น ๆ ละตน และยืนเฝา ประตูแหง คูหาท้ัง ๔ ดาน ๆ ละตน แลวพระเจา อโศกมหาราชจงึ เอาโกศแกววชริ ะ หนัก ๑ พันน้ํา มา ตง้ั ไวเ หนอื อาสนะทองคาํ คร้นั ไดน กั ขตั ฤกษช ัยมงคล จึงพรอ มดวยพระอรหันต เทวดา นาค ครุฑ และสมณพราหมณ ทําการฉลองสมโภชบชู าพระบรมธาตุแหงสมั มาสมั พทุ ธเจาเปน มหาปางอัน ใหญต ลอด ๗ วัน ครนั้ แลว จงึ ไดท ําการอญั เชญิ พระทักษณิ โมลีธาตจุ อมพระเศยี รเบื้องขวาแหง พระพทุ ธเจา เทา เมล็ดในพุทราเสด็จเขาสูโ กศแกววชิระน้ัน พรอ มทง้ั พระธาตุกระดกู ดามมีด เบือ้ งขวา โตเทา เมลด็ ขา วสารหกั มสี ณั ฐานเปน สามเหลีย่ ม และพระบรมธาตุยอ ยอกี ๕ องคเ ทา เมลด็ พันธผ ักกาด รวมเปน พระธาตุ ๗ องค ใหเขาอยใู นโกศแกว วชริ ะนั้น จึงเชญิ โกศแกว วชริ ะให เขา ประดษิ ฐานไวในพระสถูปทองคําเสรจ็ แลว พระเจาอโศกมหาราช พรอ มดว ยทา วพระยาเสนามาตย เทพยดา และพระอรหันตท ั้งหลาย จงึ กลา วคาํ อธิษฐานไวว า ขา แตพระบรมธาตุเจา องคป ระเสรฐิ ใน กาลเม่ือพระสัมมาสมั พทุ ธเจาทรงพระชนมอยู พระองคไ ดเ คยเสดจ็ มาสทู น่ี ่ี และไดต รสั ทาํ นายไว แกพระยาอังครัฏฐะวา \"พระทักษิณโมลธี าตขุ องเราตถาคตจะมาประดิษฐานอยทู ่ีนี\"่ ดงั น้ี และ บัดนพ้ี ระบรมธาตุเจา กไ็ ดเ สดจ็ เขา ประดษิ ฐานอยูในท่นี ่ี สมดังพระพุทธทาํ นายแลว ในกาลตอ ไป ขางหนา แมวาคน เทวดาและครฑุ นาคใด ๆ ก็ดี จักมานําเอาพระบรมธาตุเจาไปในสถานที่ใดก็ดี ขอพระบรมธาตุเจาอยาไดเสดจ็ ไปเลย แมถ ึงวาไดเ สด็จไปแลว กข็ อจงได เสดจ็ กลบั คืนมาอยู ณ สถานทน่ี ต้ี ราบเทา ๕๐๐๐ พระวสั สา เพ่อื ไดเปนทส่ี กั การบูชาแกเ ทพยดาและมนุษยท งั้ หลายช่วั กาลนาน ขาแตพระบรมธาตุเจาในอนาคตกาลขางหนา หากมีพระราชาหรือมหาอํามาตยผูใด ไดมาสักการะพระบรมธาตเุ จา ณ ดอยศรจี อมทองท่ีน่ี ขอจงใหพระราชาเปน ตน พระองคน น้ั จงมี เดชานภุ าพเหมอื นดง่ั ขา พระพทุ ธเจา อโศกมหาราชธรรมราชานเ้ี ทอญ ขาแตพระบรมธาตุเจา ๔๘

เมื่อใดพระราชามหาอาํ มาตยผูเสวยราชบานเมือง มีบญุ วาสนาเสมอดงั่ ขา พระพทุ ธเจา ขา พระพุทธเจา ขอ นมิ นตพระบรมธาตุเจา จงเสดจ็ ออกมาจากพระสถปู ทองคาํ แสดงอภนิ หิ ารใหป รากฏแกค นและเทพยดา ท้งั หลาย เพ่ือใหพระพุทธศาสนารุงเรอื งตอ ไปตลอด ๕ ,๐๐๐ พระวสั สา ถา หากพระราชาและอาํ มาตย เสวยราชบา นเมืองทน่ี ี้ ปราศจากการเคารพนบั ถือพระรัตนตรยั กระทาํ แตบ าปอกศุ ลกรรมมปี ระการตา ง ๆ ไซร ขอพระบรมธาตเุ จา จงเสด็จประทบั อยใู นพระสถปู ทองคาํ แหง ขาพระพุทธเจา ขอจงอยาไดเสด็จ ออกมาใหป รากฏแกผ ูใดเลย ขา แตพ ระบรมธาตุเจา กาลใดเมื่อพระพุทธศาสนาตง้ั อยูตลอด ๕ ,๐๐๐ พระ วสั สา แลว พระธาตุแหง พระพุทธเจา ก็จกั เสด็จไปรวมกนั ในท่แี หงเดียว ขอพระสถปู ทองคาํ ของ ขา พระพุทธเจากับท้งั เครื่องสกั การบชู าท้งั หลาย จงอยาไดสญู หายเปนอนั ตรายไปเลย ขอจงต้ังอยูต ราบ เทาถึงศาสนาพระศรอี รยิ ะเมตไตรยผจู ะมาตรสั ในภายหนา และขอจงใหพระศรีอรยิ ะเมตไตรยพระองคน้นั จงนําพระสถปู ทองคาํ ของขา พระพุทธเจานี้ออกมาแสดงแกเ ทพยดา และมนุษยท้งั หลาย ไดก ระทาํ สักการบูชาทุก ๗ วันเทอญ เมื่อพระเจา อโศกมหาราชทรงอธษิ ฐานดังนแี้ ลว เหลาเทพยดา นาคครุฑ ทัง้ หลายจึงไปนาํ เอาหินจากปา หิมพานต เอามากอ แวดลอมพระสถปู ไว ๗ ช้ัน เพ่อื มิใหค นและสตั วมาทํา อนั ตรายได แลวจึงอาณตั ิส่งั เทวดา ๒ ตนและพญานาค ๒ ตน ใหอยพู ิทกั ษร ักษาพระบรมธาตุเจา ตอไป ในกาลใดถา หากพระราชามหาอาํ มาตยแ ละฝงู ชนทง้ั หลาย ประกอบดว ยบญุ สมภารมคี วามเลอ่ื มใสใน พระรัตนตรัย ในกาลนั้น เทพยดาและพระยานาคผรู กั ษาพระบรมธาตุ กด็ ลบันดาลใหช นท้ังหลายทราบวา พระบรมธาตเุ จามีอยใู นท่นี ้ี ถา ชนท้ังหลายมีใจหนาแนน ไปดวยกเิ ลสประกอบแตก รรมอนั เปน อกศุ ลบาป ธรรม เทพเจาผรู กั ษาพระบรมธาตกุ ็นิมนตพ ระบรมธาตใุ หเ ขาอยูในคหู าใตพ น้ื ดอยศรีจอมทองเสยี มใิ ห ออกมาปรากฏแกคนทง้ั หลาย และในกาลนน้ั พระเจา อโศกธรรมราชาไดร บั สง่ั ใหเ สนาอาํ มาตยร าช บรพิ ารทง้ั หลาย ใหข ดุ หลมุ ใหญฝ ง ทองคาํ ไวใ นทศิ ทง้ั ๘ แหง ดอยศรจี อมทอง ทรงอธษิ ฐานไววา เม่อื ใดพระบรมธาตเุ จา เจริญรงุ เรอื งไปภายหนา ขอจงใหผูอยปู ฏิบตั ริ ักษาพระบรมธาตนุ ี้ จงขุดเอา ทองคําท่ฝี งไวนอ้ี อกบํารุงกอสรา ง สถาปนาพระพทุ ธศาสนาใหเ จรญิ ถาวรตอ ไปชว่ั กาลนานเทอญ ครน้ั แลว ทา วเธอพรอ มดว ยเสนามาตยราชบริพารกเ็ สดจ็ คมนาการกลบั ไปสูพระนครของพระองค ณ กาลนั้นแล เร่ืองของ พระเจาอโศกมหาราช เสด็จมาสรา งพระธาตเุ จดียบ รรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตนุ ้ี ไมใชม แี ต เฉพาะ ในภาคเหนือของประเทศไทย แตใ นเขตแดนอาณาจกั รอยุธยา ก็มีปรากฏอยเู ชน เดยี วกัน ดงั จะยก มาประกอบ ใหท า นทง้ั หลายไดอาน แตพอสังเขป จาก “พุทธตํานานพระเจา เลยี บโลก ” ฉบบั ชาํ ระ สะสาง ดงั นี้ ...พระพุทธองคเสดจ็ จารกิ สง่ั สอนเวไนยสัตวท ัง้ หลายตามลําดับนคิ มราชธานี จนเสดจ็ บรรลถุ งึ เมืองระแวกอันควรเปน ศาสนสกั ขี คือ เปน ที่ตง้ั แหง พระเจดยี ธ าตุ ๕ หลงั เพอื่ เปน เคร่ืองกาํ หนดอายแุ หง พระพทุ ธศาสนา ณ ทีน่ น้ั พระพุทธองคไ ดท รงมพี ุทธฎีกาพยากรณ ไวว า “…ดูราอานนท เม่อื ตถาคต ปรินพิ พานไปแลว ได ๒๑๘ พรรษา จะมพี ระราชาพระองคหนงึ่ พระนามวา “อโศกราช” เสวยราชในเมอื ง ปาฏลีบุตร เปน ผูม ีเดชานุภาพแผไ ปในชมพูทวีปทงั้ มวล จะแบง แจก ธาตุแหงตถาคตมาประดิษฐานกอ เปน มหาเจดยี  ๕ หลงั ใหเ ปน ทีบ่ รรจเุ กศาธาตุ ๕ องค ไวเ ปน ทสี่ ักการะบชู าแกคนและเทวดาทั้งหลาย ตลอด ๔๙

ถงึ พระอนิ ทร พระพรหม ครฑุ นาค ยักษ คนธรรพไอศวรท้ังหลาย จกั เปนท่กี าํ หนดหมายยังอายุแหง พระพทุ ธศาสนา ๕๐๐๐ วสั สา เจดยี ธาตุท้งั ๕ หลังน้แี บง ไวดังนี้ เจดียหลังท่ี ๑ เปน บรพุ นมิ ติ แหง พระพทุ ธศาสนาพนั ท่ี ๑, หลังท่ี ๒ เปนอายุแหง พระพุทธศาสนาพนั ท่ี ๒, หลงั ท่ี ๓ เปน พนั วสั สาที่ ๓, หลงั ท่ี ๔ เปนพันวัสสาที่ ๔ หลังที่ ๕ เปนพันวสั สาท่ี ๕ คอื วา เม่ือตถาคตปรนิ พิ พานไปแลว ได ๑๐๐๐ พรรษา บริบรู ณเ จดียห ลังที่ ๑ ก็จะจมลงไปในวงั น้าํ อันเปนทีอ่ ยูของพญานาค ในเม่ืออายุพระพทุ ธศาสนาลวงไป ได ๒๐๐๐ พรรษาบรบิ รู ณ เจดียห ลงั ที่ ๒ กจ็ ักจมลงไปในนํ้า ในเมอ่ื อายพุ ระพุทธศาสนาลวงไปได ๓๐๐๐ ปบ ริบรู ณ เจดียหลงั ที่ ๓ กจ็ ะจมลง ในเมอื่ อายุพระพุทธศาสนาลว งไปได ๔๐๐๐ ปบ รบิ ูรณ เจดีย หลงั ที่ ๔ กจ็ มลง ในเม่อื อายพุ ระพุทธศาสนาลวงไปได ๕๐๐๐ ปบ ริบูรณ เจดียหลังท่ี ๕ กจ็ ะจมลงไป… …หลังจากสมเดจ็ พระชินมารเสด็จดับขนั ขปรนิ พิ พานไปแลว เปน เวลานานถงึ ๒๑๘ ป จึงมี พระราชาองคหนึ่งพระนามวา “ธรรมาโศกมหาราช” ไดทรงฟน ฟพู ระพุทธศาสนาและพระชนิ ธาตใุ ห รงุ เรืองปรากฏทวั่ ไปทว่ั ชมพูทวปี และทรงทราบชดั วา สถานทอี่ ันมีอยใู นเมอื งระแวกน้นั เปนอดุ มสถานจัก ปรากฏเปนท่ีรุง เรอื งตอ ไปถงึ ๕๐๐๐ พระพรรษาเชนนน้ั พระองคจ ึงทรงมพี ระราชอาชญามอบ พระราช วัตถุทั้งหลาย คือ เงิน ทองคํา แกว แหวน วัตถาภรณและเครือ่ งอลงั การตาง ๆ แกม หาเสนาอาํ มาตย พรอ มดว ยบริวาร มาประชมุ ปรกึ ษากอ สรางเจดยี  ๕ หลงั เปน ที่บรรจพุ ระเกศาธาตุไวแ ทนท่พี ระพทุ ธองค ประทับน่งั เพอ่ื เปน ท่กี าํ หนดอายุพระพทุ ธศาสนา ใหร วู า เปน อดีต ปจจุบนั และอนาคต จนกระท่งั ครบ ๕๐๐๐ พรรษา พระเจดียน ป้ี ระดษิ ฐานอยทู เ่ี วยี งระแวก ท่ีพระเจาอโศกธรรมราชทรงใหปฏสิ ังขรณม่ันคง ดีขน้ึ เพ่อื ใหเ ปนทเี่ ฝา รักษาพระเกศาธาตทุ งั้ ๕ องคนั้น มใิ หม ีอันตรายใด ๆ เกิดขน้ึ ได ดวยเหตนุ ี้ พระมหา เจดียธ าตุท้ัง ๕ องคน ี้ จึงหุม ดว ยแผน จังโกทองคําตัง้ แตชอ ฟาลงมาจรดถึงพ้ืนดินเหมอื นกันทกุ องค และ พระมหาเจดยี  ๕ องคน ั้น แตละองคส ูง ๖๐ วา วดั รอบฐานธรณที ั้ง ๔ ดานได ๑๒๑ วา แตล ะดา นกวา ง ๓๐ วา ๑ ศอก ฐานธรณีกอ ต้ังฉากลดหลั่นสงู ข้ึนไป ๗ ชัน้ กวา งชน้ั ละ ๓ ศอก นบั แตข อบขนึ้ ถงึ หนาชาน สงู ๓ วา ปนรูปเทวดาไวส ี่มมุ พระเจดียทั้ง ๕ องค เทวดา ๒ องคถือหอยสังขเ ปา ฟอ นราํ อยู เทวดาอกี ๒ องคประนมมือไหวอ ยูใกลพ ระเจดีย ๑ วา ๑ ศอก ทกุ ๆ องค พระเจดยี ทง้ั ๕ องคน ้ัน ตั้งอยูห า งกนั องคละ ๑๐ วาเทา ๆ กนั …แลว พระองคท รงใหส รา งปราการกาํ แพงเมืองอนั มั่นคงยิ่งนกั ยาววดั ได ๓๔๒๐ วา กวา ง ๒๐๔๐ วา กอ ดว ยหินทัง้ สน้ิ กาํ แพงหนาประมาณ ๗ วา สงู ๗ วา ขุดรากลกึ ลงไปในดนิ ๙ วา แลว ขุดคูลอมรอบ ๓ ช้ัน คแู ตละชน้ั ลกึ ๒๐ วา กวา ง ๔๐ วา … ...ตั้งแตน นั้ มาอายพุ ระพุทธศาสนาลว งเขาสพู นั ทีส่ าม จนกระทง่ั มาถึงปกัดไสจลุ ศักราช ๙๓๑ อายพุ ระศาสนาลว งไปได ๒๑๑๒ พรรษา มกี ษตั ริยอ งคห นงึ่ พระนามวาฟามหาธาเสวยราชยในเมืองหง สาวดนี คร ไดยกจตุรงคเสนาโยธาเมอื งไดอ โยธยาและเมอื งลา นชาง ในกองทพั นน้ั มบี ณั ฑติ ผหู น่ึงเปนลกู ของ แสนเชยี งแลง เปนผูฉลาดมีปญญารพู ินิจพเิ คราะหอยา งย่งิ เม่ือกองทัพมาถึงเมืองระแวกไดห ยดุ ทัพ เพือ่ ใหพ น ฤดูฝนทเ่ี มืองระแวกน้นั บัณฑิตผนู ้ันไดเ ทยี่ วตรวจตราดบู ริเวณบา นเมืองและไดส กั การะบูชาพระ มหาเกศาธาตอุ นั ประเสรฐิ ไดอ านดูจาฤกษศ าสตร (ศลิ าจารกึ ) ทพ่ี ระยาอโศกธรรมราชและพระอรหนั ตเ จา ทง้ั หลายไดสลักไวท ่แี ผน หิน รูสึกอัศจรรยย ่งิ กพ็ จิ ารณากําหนดดตู ามศิลาจารึก ทปี่ ระดิษฐานแหงพระมหา ๕๐