การปลกู เผอื ก 1 ก า ร ป ลู ก เ ผื อ ก เรียบเรียบ : มาลินี พทิ กั ษ สมศรี บญุ เรอื ง รังสิมันตุ สมั ฤทธ์ิ กลมุ พชื ไร กองสง เสรมิ พชื ไรน า กรมสง เสรมิ การเกษตร โทร. 5793816 • คาํ นาํ คาํ นาํ • การปลูกเผือก เผือกเปนพืชเศรษฐกิจระดับทองถ่ินท่ีสําคัญอีกพืชหนึ่ง • สภาพดนิ ฟา อากาศทเ่ี หมาะสม คนไทยนยิ มบรโิ ภคเผอื กเพราะมกี ลน่ิ หอมและรสชาตดิ ี เปนพืชหัว • ลักษณะทั่วไป ที่เปนพืชอาหารที่สําคัญอีกชนิดหน่ึง หัวเผือกจะมีสวนประกอบ • การจําแนกพนั ธเุ ผอื ก เปนพวกแปง และแรธ าตตุ า ง สว นใบประกอบไปดว ยโปรตนี และแร • การขยายพนั ธเุ ผอื ก ธาตุ ซง่ึ ใบเผอื กสามารถนําไปใชเ ปน อาหารสตั วไ ดอ กี ดว ย และมี • ฤดปู ลกู เ ผื อ ก บ า ง ป ร ะ เ ภ ท ท่ี ใ ช ใ บ สํ า ห รั บ บ ริ โ ภ ค ซ่ึ ง หั ว จ ะมีขนาดเล็กไม เหมาะตอการบริโภคปจจุบันเผือกกําลังเปนที่ตองการของตลาด • การเกบ็ รกั ษา ตา งประเทศ เชน ออสเตรเลยี ฮอ งกง ญี่ปุน เนเธอรแ ลนด และ • โรคเผอื กทส่ี าํ คญั มาเลเซยี • แมลงศัตรูเผือก ประเทศไทยมีการปลูกเผือกอยูทั่วไปทุกภาคของประเทศ มพี น้ื ทป่ี ลกู เผอื กทง้ั ประเทศปล ะ ประมาณ 25,000 – 30,000 ไร ผลผลติ ประมาณ 45,000 – 65,000 ตนั ผลผลติ เฉลย่ี ประมาณ 2 –2.5 ตนั ตอ ไร สวนจังหวัดที่เปนแหลงปลูกที่สาํ คญั ไดแก จังหวัดเชียงใหม นครสวรรค พิษณุโลก นครราชสมี า สรุ นิ ทร สระบรุ ี อยุธยา สงิ หบ รุ ี ปราจนี บรุ ี นครปฐม ประจวบครี ขี นั ธ ราชบรุ ี
การปลูกเผอื ก 2 สุพรรณบรุ ี ชุมพร และสรุ าษฏรธ านี เอกสารเผยแพรเ รื่องน้ี นอกจากจะรวบรวมรายละเอียดทจ่ี าํ เปน ในการปลกู เผอื ก สภาพดิน ฟาอากาศที่เหมาะสม การจําแนกพนั ธเ ผอื ก การขยายพนั ธเุ ผอื ก การเก็บรักษา ฯลฯ เอกสารเรอ่ื งน้ี จะทําใหเกษตรกรและผูอานสามารถนําไปใชเพ่ือเปนแนวทางในการตัดสินใจผลิตพืชชนิดน้ีตอไป รวมทั้งใชพัฒนาการปลูกเผือกใหไดปริมาณและคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น เผือก เปนพืชเศรษฐกิจระดับทองถิ่นที่สําคัญอีกพืชหนึ่ง คนไทยนิยมบริโภคเผือก เพราะมีกล่ินหอมและรสชาติดี เปนพืชหัวที่เปนพืชอาหารที่สาํ คญั อกี ชนดิ หนง่ึ หัวเผือกจะมีสวนประกอบเปนพวกแปงและแรธาตตุ า ง สว นใบประกอบไปดว ยโปรตนี และแรธ าตุ ซง่ึ ใบ เผือกสามารถนําไปใชเ ปน อาหารสตั วไ ดอ กี ดว ย และมีเผือกบางประเภทที่ใชใบสาํ หรับบริโภคซึ่งหัวจะมี ขนาดเล็กไมเหมาะตอการบริโภคปจจุบันเผือกกาํ ลงั เปน ทต่ี อ งการของตลาดตา งประเทศ เชน ออสเตร เลยี ฮอ งกง ญี่ปุน เนเธอรแ ลนด และมาเลเซีย ประเทศไทยมีการปลูกเผือกอยูท่ัวไปทุกภาคของประเทศ มีพ้ืนท่ีปลูกเผือกทั้งประเทศปละ ประมาณ 25,000 – 30,000 ไร ผลผลติ ประมาณ 45,000 – 65,000 ตนั ผลผลติ เฉลย่ี ประมาณ 2 –2.5 ตนั ตอ ไร สวนจังหวัดที่เปนแหลงปลูกที่สาํ คญั ไดแก จังหวัดเชียงใหม นครสวรรค พิษณุโลก นครราชสีมา สรุ นิ ทร สระบรุ ี อยุธยา สงิ หบ รุ ี ปราจนี บรุ ี นครปฐม ประจวบครี ขี นั ธ ราชบรุ ี สพุ รรณบรุ ี ชุมพร และสรุ าษฏรธ านี สภาพดนิ ฟา อากาศทเ่ี หมาะสม เผือกเปนพืชหัวทม่ี ตี น คลา ยบอนมคี วามตอ งการนา้ํ หรอื ความชน้ื ในการเจรญิ เตบิ โตคอ นขา งสงู เผือกจึงชอบดนิ อดุ มสมบรู ณ และสามารถอมุ นา้ํ ไวไ ดม าก สามารถปลูกไดทั่วทุกภาคของประเทศไทยใน แหลงที่มีระบบนาํ้ ชลประทานดจี ะสามารถปลกู เผอื กไดต ลอดป สว นในแหลง ทม่ี นี ้าํ จาํ กดั ควรปลกู เผอื ก ในชวงฤดูฝนเทา นน้ั เผอื กปลกู ไดท ง้ั ทล่ี มุ และดอน สภาพไร ทร่ี าบสงู ไหลเ ขาและปลกู ไดใ นดนิ หลาย ชนิด ยกเวน ดนิ ลกู รงั ดนิ ทเี่ หมาหะสมสําหรับการปลูกเผือกมากที่สุด คอื ดนิ รว นปนทราย มอี นิ ทรยี วัตถุสูง หนา ดนิ ลกึ ระบายนา้ํ ดี โดยปกติจะใสปุยอินทรีย เชน ปยุ คอก หรือปุยหมักจาํ นวนมากกอ นปลกู โดยหวา น และไถกลบกอ นปลกู 2-3 เดอื น และเพิ่มปุยไนโตรเจน (N) และโปแตสเซียม (K) ระหวาง พืชเจริญเติบโตจะใหผลดี คา ความเปน กรดเปน ดา งของดนิ (pH)ระหวาง 5.5-6.5 อุณหภูมิที่เหมาะสม ตอการเจรญิ เตบิ โตประมาณ 21-27 องศาเซลเซยี ส โดยทว่ั ไปจะปลกู เผอื กในระดบั ความสงู ไมเ กนิ 1,000 เมตรจากระดบั น้าํ ทะเล ลักษณะทั่วไป ลาํ ตน เผือกเปนพืชหัวที่มีลําตน ใตด นิ สะสมอาหารเรยี กวา หัวซึ่งเกิดจากการขยายของลําตน ใต ดิน พรอมกับความยาวของปลอ งลดลง เมอ่ื หวั มขี นาดใหญจ ะมรี ากชว ยดงึ หวั ใหล กึ ลงในดนิ ทป่ี ลายราก
การปลกู เผือก 3 เหลานี้จะพองโตข้ึนเปนหัวยอยที่มีขนาดเล็ก หรือ เรียกวา ลูกเผือก ซึ่งจะทําหนาท่ีชวยยดึ ลําตน ชวยดดู นา้ํ และแรธ าตุ และสามารถใชเ ปน สว นทข่ี ยายพนั ธไุ ดต อ ไป ใบ ใบเผือกมีรูปรา งคลา ยหชู า ง หรือคลายหวั ใจ ขนาดใบกวา งประมาณ 25-30 เซนตเิ มตร ยาว 35-45 เซนตเิ มตร กา นใบยาว 45-150 เซนตเิ มตร เผอื กตน หนง่ึ จะมกี า นใบประมาณ 12-18 กาน สีของกานใบลักษณะใบและขอบใบจะแตกตางกันไปตามพันธุ เชน กานใบจะมีสีเขียวออน เขียวเขม มว ง หรอื มจี ดุ สมี ว ง ขอบใบเรยี บหรอื เปน คลน่ื ปลายใบอาจแหลมหรอื มน ตัวใบอาจจะหนา และเปน มนั หรอื บางและดา น เปน ตน ดอก จะมีลักษณะเปน ดอกชอ มดี อกยอ ยเกาะตดิ กบั กา นดอกเดยี วกนั ดอกยอ ยจะเรม่ิ บานจาก ดอกท่ีอยูลางสดุ ขน้ึ ไปทางปลายชอ ไมม กี า นดอกยอ ย ดอกจะเกาะตดิ กบั กา นดอกเดย่ี ว ซึ่งลักษณะยาว และมีจานหมุ ชอ ดอกไวช อ ดอกมขี นาดยาว 10-15 เซนตเิ มตร จาํ นวนชอ ดอกประมาณ 5-15 ชอ ตอตนชอดอกมกี า นยาว 15-30 เซนตเิ มตร ดอกเผอื กมสี ขี าวครมี และสเี หลอื งออ นแตกตา งกนั ไปตาม พันธุ บางพันธอุ อกดอกงายแตบ างพนั ธุอ อกดอกยากเผือกที่ปลูกในประเทศไทยสวนใหญจะไมออกดอก ผล ผลของเผือกมีขนาดเล็ก เปน ผลเลก็ ๆ เกาะกลมุ อยใู นกา นดอกเดยี วกนั ผลมสี เี ขยี วเปลอื ก บาง เนอ้ื ผลอวบนา้ํ เมอ่ื แกม สี นี า้ํ ตาลดาํ ภายในผลจะมเี มลด็ เลก็ ๆ อยเู ปน จาํ นวนมาก การจําแนกพันธเุ ผือก ประเทศไทยมีเผือกมากมายหลายพันธุ ศูนยวิจัยพืชสวนพิจิตรไดรวบรวมพันธุเผือกจากแหลง ตาง ๆ ทง้ั ในแตล ะตา งประเทศประมาณ 50 พันธุ สามารถจาํ แนกพนั ธเุ ผอื กเปน กลมุ ใหญๆ ไดด งั น้ี 1. จําแนกเผอื กตามกลน่ิ ของหวั มี 2 ประเภท คอื 1.1 เผอื กหอม เผือกชนิดนเ้ี วลาตม หรอื ประกอบอาหารจะมกี ลน่ิ หอม ไดแก เผอื กหอม เชียงใหม พันธุพจ.016 พจ.08 และพจ.019 เปน ตน 1.2 เผือกชนิดไมหอม เผือกชนิดนเ้ี วลาตม หรอื ประกอบอาหารจะไมม กี ลน่ิ หอม อยา งไร ก็ตามเผือกชนิดน้ีบางพันธุถึงแมจะไมมีกล่ินหอมแตก็มีขอดีตรงที่มีลักษณะเนื้อเหนียวแนน นารบั ประทานเชน กนั ไดแก เผือกพันธุพจ.06 พจ.025 และพจ.012 เปน ตน 2. การจําแนกเผอื กตามสขี องเนอ้ื มี 2 ประเภท คอื 1.1 เผอื กเนอ้ื สขี าวหรอื สคี รมี เผือกชนิดนเ้ี มอ่ื ผา ดเู นอ้ื ในจะพบวา มสี ขี าว หรอื สขี าว ครมี ไดแก เผือกพันธุพจ.06 พจ.07 พจ.025 พจ.014 (เผือกบราซิล) พนั ธศุ รปี าลาวี (อนิ เดยี ) และ พันธุศรีรัศมี (อนิ เดยี ) เปน ตน 1.2 เผอื กเนอ้ื สขี าวปนมว ง เผือกชนิดนเ้ี มอ่ื ผา หวั ดเู นอ้ื จะพบวา มสี ขี าวลายมว งปะปนอยู ซ่ึงจะมีสีมวงมากหรือนอยแตกตางกันในแตละพันธุไดแกเผือกหอมเชียงใหม พันธุพจ.016 พจ.08 พจ.05 และพจ.020 เปน ตน นอกจากนี้ ยงั มกี ารจาํ แนกเผือกตามจาํ นวนหวั ขนาดใหญต อ ตน คอื เปน หวั ใหญห นง่ึ หรอื มาก กวาหนง่ึ หวั ตอ ตน จาํ แนกตามการแตกกอ เชน แตกกอนอ ย (3-10 ตน ) ปานกลาง (10-20 ตน ) และมาก (มากกวา 20 ตน ขน้ึ ไป)
การปลูกเผอื ก 4 เผอื กหอมเชยี งใหม เผือกพันธุพิจิตร 1 (พจ.016) เปรยี บเทยี บพนั ธเุ ผอื กทม่ี กี ารปลกู ในประเทศไทย พนั ธุ ใบ การแตกกอ สีเนื้อ กลิ่น ผลผลิต % % หมายเหตุ 1. เผอื กหอม เชยี งใหม (จํานวนหวั ) (ตัน/ แปง นา้ํ ตาล 2. พจ.016 ไร) (พิจิตร1) รปู หัวใจ มาก ขาวปน หอม 4 14.0 2.2 - 3. พจ.06 กานใบสีเขียว หวั ใหญ 1 หวั มว ง ปลายกา นใบสี หวั เลก็ 20-30 มว ง หวั จดุ กลางใบสีมวง หวั เลก็ อยใู กลต น แม รปู หัวใจ ปานกลาง ขาวปน หอม 4-6 23.0 2.6 เหมาะสาํ หรับ กา นใบสเี ขียว หวั ใหญ 1 หวั มว ง อตุ สาหกรรม ปลายกา นใบสี หวั เลก็ 15-18 แปรรูป มว ง หวั จดุ กลางใบสีมวง หวั เลก็ อยหู า งตน แม รปู หัวใจ ปานกลาง ขาวเนอ้ื ไม 4-7 10.8 2.4 ทนโรคและ กานใบสีเขยี ว หวั ใหญ 3-4 หวั เหนยี ว หอม แมลงคอ นขา ง เขม ตลอดทง้ั กา น แนน ทนแลว ไมม จี ดุ สมี ว งอยู หวั เลก็ 10-15 กลางใบ หวั หวั เลก็ อยหู า งตน แม 4. พจ.025 รปู หัวใจ ปานกลาง ขาวเนอ้ื ไม 4-7 10.0 2.3 ทนโรคและ กา นใบสเี ขยี ว หวั ใหญ 3-4 หวั เหนยี ว หอม แมลงคอ นขา ง เขม ทง้ั กา น แนน ทนแลง ไมม จี ดุ กลางใบ หวั เลก็ 15-18 หวั
การปลูกเผือก 5 พนั ธุ ใบ การแตกกอ สีเนื้อ กลิ่น ผลผลิต % % หมายเหตุ (จํานวนหวั ) (ตัน/ แปง นา้ํ ตาล ไร) 5.พจ.08 รปู หัวใจ มาก ขาวปน หอม 4 16.0 1.4 - กานใบสเี ขยี ว หวั ใหญ 1 หวั มว ง ปลายกา นใบสี หวั เลก็ 30-40 มว ง หวั จดุ กลางใบสีมวง 6.พจ.05 รปู หัวใจ มาก ขาวปน หอม 4-4.5 19.0 2.2 เหมาะสาํ หรับ กา นใบสเี ขยี ว หวั ใหญ 1 หวั มว ง อตุ สาหกรรม ปลายกา นใบสี หัวกลาง/หวั เลก็ แปรรูป มว ง 20-25 หวั จดุ กลางใบมวง ตน สงู หมายเหตุ - รวบรวมพันธุโดยศูนยวิจัยพืชสวนพิจิตร การขยายพนั ธเุ ผอื ก เผือกเปนพืชหัวที่สามารถขยายพันธุไดหลายวิธี ดงั น้ี 1. การเพาะเมลด็ เปนวิธีท่ีงา ยแตใ ชเ วลานานกวา จะยา ยปลกู ลงแปลงได ในประเทศไทยเผือก แตละพันธุม กี ารออกดอกและตดิ เมลด็ นอ ย เกษตรกรไมน ิยมขยายโดยวิธีน้ี 2. การเพาะเลย้ี งเนอ้ื เยอ้ื เปนวิธกี ารขยายพนั ธเุ ผอื กทป่ี ลอดจากเชอ้ื ทต่ี ดิ มากบั ตน พนั ธไุ ด เปนปริมาณครั้งละมาก ๆ แตต น ทนุ การผลติ สงู เกษตรกรยงั ไมน ยิ มขยายพนั ธโุ ดยวธิ นี ้ี 3. การขยายพนั ธโุ ดยใชห นอ เปนสวนท่ีแตกออกมาเปน ตน เผอื กขนาดเลก็ อยรู อบๆตน ใหญ เมื่อแยกออกจากตนใหญ หรอื ตน แมแ ลว สามารถนําไปลงแปลงไดโ ดยไมต อ งเสยี เวลาไปเพาะชาํ 4. การขยายพนั ธโุ ดยใชห วั พนั ธุ หรือที่เกษตรกรเรียกวาลูกซอหรือลูกเผือก ซึ่งเปนห;ั ขนาด เล็กที่อยูรอบ ๆ หัวเผือกขนาดใหญ วิธีนี้เปนวิธีที่นิยมทั่วไปทั้งประเทศไทยและตางประเทศ แตใ นการ ปลูกแตละครั้ง ควรเลอื กเผอื กทม่ี ขี นาดปานกลางไมเ ลก็ หรอื ใหญเ กนิ ไป หวั พนั ธทุ ม่ี ขี นาดสมา่ํ เสมอจะ ทําใหเ ผอื กทป่ี ลกู แตล ะตน ลงหวั ในเวลาใกลเ คยี งกนั เก็บเกี่ยวไดพรอมกัน และที่สําคัญจะทาํ ใหไมมีหัว ขนาดเลก็ และใหญแ ตกตา งกนั มาก ฤดปู ลกู ประเทศไทยสามารถปลูกเผือกไดทั่วทุกภาคและทุกฤดูกาลตลอดทั้งปซึ่งถาเปนแหลงที่มีนํ้า ชลประทานดอี ยแู ลว เกษตรกรจะปลกู เผอื กเม่อื ไรกไ็ ด แตโ ดยทว่ั ไปเกษตรกรนยิ มปลกู เผอื กในตน ฤดู ฝนในเดือน พฤษภาคม – มถิ นุ ายน และฤดแู ลง ชว งหลงั การทาํ นาเดอื นมกราคม – กุมภาพันธุ ฤดูฝน ปลกู มากในสภาพพน้ื ทด่ี อน อาศยั นา้ํ ฝน มบี างทอ งทป่ี ลกู ในสภาพพน้ื ทล่ี มุ หรือที่นา ฤดูแลง ปลูกหลังจากการเก็บเก่ียวขาวแลว หากเก็บเกย่ี วขา วเสรจ็ แลว ภายในเดอื นธนั วาคม จะปลูกผักกอนการปลกู เผอื กในเขตชลประทานจะสามารถปลกู เผอื กไดต ลอดทง้ั ป
การปลูกเผอื ก 6 การปลกู เผอื ก เผือกสามารถปลกู ไดหลายลกั ษณะตามสภาพพื้นท่ี ดงั น้ี 1. การปลกู เผอื กในสภาพไร เปนการปลกู เผอื กในสภาพทดี่ อนทั่วๆ ไป เชน ตามไหลเ ขา พื้น ท่ีไรตาง ๆ การปลกู เผอื กทด่ี อนควรปลกู ในฤดฝู นเรม่ิ ปลกู เดอื นพฤษภาคม – มถิ นุ ายน ถา มแี หลง นา้ํ สามารถใหน า้ํ เผอื กไดก ส็ ามารถปลกู ไดต ลอดป 1.1 การเตรยี มดนิ กอนการปลกู เผอื ก 1-2 เดอื น ใหแทรกเตอรไถดะดวยผาน 3 หรือ 4 ตากไวระยะหนึ่งแลวไถแปรเพื่อยอยดิน ถา บรเิ วณดนิ ปลกู ดงั กลา วเปน ดนิ ทม่ี กี รดสงู หรอื เปน ดนิ เปร้ียวควรหวา นปนู ขาวรวมทง้ั ปยุ คอก หรอื อนิ ทรยี ว ตั ถุ กอ นดําเนนิ การไถเตรยี มดนิ หลังจากไถแปร เรียบรอ ยแลว ใหเ ตรยี มหลมุ กวา ง 30-40 เซนตเิ มตร ลกึ 20-30 เซนตเิ มตร ระยะปลูกระหวา งตน 50 เซนตเิ มตร ระยะหางแถว 1 เมตร ถา มปี ยุ คอกใหใ สป ยุ คอกรองกน หลมุ กอ นปลกู 1.2 การเตรยี มพนั ธุ การเตรยี มพนั ธเุ ผอื กบนทด่ี อน ใชห วั พนั ธเุ ผอื กทม่ี ขี นาดใกลเ คยี งกนั โดยเฉล่ียหวั พนั ธมุ เี สน ผา ศนู ยก ลาง 3 เซนตเิ มตร ไมจาํ เปน ตอ งเพาะเผอื กใหแ ตกหนอ กอ นการปลกู ทาํ การปลกู โดยฝง ลงไปในหลมุ ทเ่ี ตรยี มไวไ ดเ ลย พื้นที่ 1 ไร จะใหหัวพันธุเผือก 100-200 กิโลกรัม การปลูกเผือกบนท่ีดอนบางแหงอาจมีปลวกชุกชุม หรือมีแมลงใตดินมากควรใชสารเคมีคารโบฟแู รน (ฟูราดาน) รองกน หลมุ กอ นปลกู 1.3 การปลกู การปลูกโดยใชร ถแทรกเตอรย กรอ งใชร ะยะระหวา งรอ งประมาณ 1 เมตรปลกู โดยวางหัวเผอื กลงในรอ งระยะระหวา งตน 50 เซนตเิ มตร นาํ ดนิ บางสว นจากสนั รอ งกลบหวั พนั ธุ จาก น้ันคอยพูนโคนเม่อื เผือกเจริญเติบโตขน้ึ เนอ่ื งจากหวั เผอื กกค็ อื ลําตน ใตด นิ ทข่ี ยายออกเพอ่ื สะสมอาหาร จึงเจริญข้ึนบนมากกวาลงหัวลึกลงไป จึงตองคอยพูนโคนอยูเสมอจนในท่ีสุดสันรองเดิมเมื่อเริ่มปลูก กลายเปน รอ งทางเดนิ เริ่มปลูก เผอื กเรม่ิ งอกและตง้ั ตวั เผือกเจรญิ เตบิ โตหลงั จากพนู โคน 1.4 การใหน า้ํ เผือกเปน พชื หวั ทข่ี น้ึ ไดด ใี นดนิ ทม่ี คี วามชมุ ชน้ื ฉะน้ันการปลกู เผอื กในทด่ี อน นอกจากจะอาศัยนํ้าฝนแลว จะตอ งมแี หลง นา้ํ ใหค วามชมุ ชน้ื เผอื กอยเู สมอ ซง่ึ ถา ปลกู เผอื กไมม ากควรรด นา้ํ ดวยสายยาง แตถ า ปลกู มากกวา 10 ไรข น้ึ ไป ควรใหน ้าํ แบบสปริงเกลอร แบบเคลอ่ื นยา ยไดช่วั โมง ละ 3-5 ไร 1.5 การใสป ยุ ควรใสป ยุ 3 ครง้ั ครง้ั ท่ี 1 กอ นปลกู รองกนั หลมุ ดว ยปยุ คอกอตั รา 1-3 กํามอื ตอตน และปุย 18-6-6 อตั รา 50-100 กิโลกรัม/ไร ตอ จากนน้ั ใสค รง้ั ท่ี 2 เมอ่ื อายุ 2 เดอื น ใชส ตู ร 18-6-6 หรือ 15-15-15 อตั รา 50 กิโลกรัม/ไร และคร้งั ที่ 3-4 เดอื น ใชส ตู ร 13-13-21 อตั รา
การปลูกเผือก 7 50 กิโลกรัม/ไร จะทาํ ใหเ ผอื กมนี ้าํ หนักหัวดี ในการใสป ยุ แตล ะครง้ั ควรจะพรวนดนิ และรดนา้ํ ใหชุมชื้น อยูเสมอ รากเผือกจะไดดูดซับปุยไปใชประโยชนไดสะดวก 1.6 การกาํ จดั วชั พชื และการพนู โคน ในระยะ 1-3 เดอื นแรกตน เผอื กยงั เลก็ ควรมกี ารถาก หญาหรือใชส ารกําจัดวัชพืช พรอ มทง้ั พรวนดนิ โคนตน เดอื นละ 1 ครง้ั เมอ่ื ตน เผอื กโตใบคลมุ แปลงมาก แลว ไมจ ําเปน ตอ งกําจัดวัชพืชอีกจนกวาจะเก็บเกี่ยว 1.7 การคลุมแปลง ในแหลง ปลกู เผอื กทม่ี เี ศษเหลอื ของพืช เชน ฟางขา ว เปลอื กถว่ั และ หญาคา เปน ตน ควรนาํ มาคลมุ แปลงปลกู เผอื ก เพื่อชวยรักษาความชุมชื้นและอุณหภูมิ อกี ทง้ั ยงั เปน การปองกันวัชพืช และการแตกหนอ ของเผอื กบางสว นไดอ กี ดว ย สาํ หรับประเทศญี่ปุน จะใชพลาสติกสี ดําเปนวสั ดคุ ลมุ แปลงเผอื ก การใชว ัสดุคลมุ แปลงปลกู เผือกจะทาํ ใหเ ผอื กมผี ลผลติ สงู ขน้ึ 18-20% 1.8 การเกบ็ เกย่ี ว เม่ือเผอื กมอี ายไุ ด 5-6 เดอื น สงั เกตเหน็ ใบเผอื กจะเลก็ ลง ใบเผอื ก ใบลาง ๆ จะมสี เี หลอื ง เหลอื ใบยอด 2-3 ใบ จงึ สามารถขดุ เกบ็ เกย่ี วผลผลติ ได สําหรับการเก็บเก่ียวผลผลิตเผือกในท่ีดอนที่ประเทศญ่ีปุนน้ัน เร่ิมแรกจะใชเคร่ืองตัดหญา แลลสพายหลังตดั ตน เผอื กเหลอื แตต อสงู กวา พน้ื ดนิ ประมาณ 1 คบื แลวใชแทรกเตอรที่ออกแบบใน การเก็บเกี่ยวเผือกโดยเฉพาะ สามารถเกบ็ เกย่ี วเผอื กไดร วดเรว็ วนั ละหลายไร และประหยัดแรงงานใน การเก็บเก่ียวกวาการใชแ รงงานคนขดุ มาก คาดวา ในวนั ขา งหนา การเกบ็ เกย่ี วเผอื กในทด่ี อนของไทยจะ พัฒนาเปนการใชรถแทรกเตอรเก็บเกี่ยวตอไป 2. การปลกู เผอื กรมิ รอ งสวน เปนการปลกู เผอื กบนรอ งผกั หรอื รมิ คนั นา หรอื รมิ รอ งสวน การปลูกเผือกแบบนี้สวนมากจะเปนแหลงที่เกษตรกรนิยมปลูกผักรองสวนอยูแลว เชน นครปฐม ราชบรุ ี สมทุ รสาคร และสุพรรณบุรี เปน ตน 2.1 การเตรยี มดนิ ใชพล่ัวแทงดนิ สาดโกยขน้ึ ทาํ ฐานรองมลี กั ษณะคลา ยคนั นาไปตามรอ ง สวน หรือรอ งปลกู ผกั เตรยี มหลมุ ปลกู โดยมรี ะยะระหวา งตน 50 เซนตเิ มตร 2.2 การเตรยี มพนั ธุ นาํ หวั พนั ธเุ ผอื กทม่ี ขี นาดเทา ๆ กันไปเพาะชาํ ในแปลงเพาะชาํ โดยมี ข้ีเถา แกลบเปน วสั ดเุ พาะชํา วิธีการเตรียมแปลงเพาะชาํ ใหไถพรวนดิน 1 ครง้ั เพอ่ื ปรบั ดนิ ใหเ รยี บ สมํ่าเสมอปขู เ้ี ถา แกลบหนาประมาณ 1-2 นว้ิ จากนน้ั นําลกู เผอื กมาวางเรยี งบนขเ้ี ถา แกลบใหเ ตม็ แปลง แลวใชขี้เถาแกลบทับบาง ๆ รดน้าํ ใหชุมอยูเสมอทุกวัน จนกลา เผอื กมอี ายปุ ระมาณ 2-3 สัปดาห โดย จะมใี บแตกออกมา 2-3 ใบ สงู ประมาณ 20-25 เซนตเิ มตร กส็ ามารถยา ยปลกู ได พนื้ ทีป่ ลูกเผือก 1 ไร จะใชพันธุเผอื กประมาณ 100-200 กิโลกรัม นําลกู เผอื กวางเรยี งบนขเ้ี ถา แกลบ โรยขเ้ี ถาแกลบบาง ๆ หากมีฟางใช แปลงกลา เผอื กพรอ มยา ยปลกู ได คลมุ ทบั อกี ชน้ั
การปลกู เผอื ก 8 2.3 การปลกู นําลูกเผือกที่งอกแลว 2-3 ใบ มาปลกู ในหลมุ หา งกนั ประมาณ 50 เซนตเิ มตร ปลกู หลมุ ละ 1 ตนั การปลกู เผอื กรมิ รอ งสวนระยะตน การปลกู เผอื กบนหลงั รอ งผกั ระยะปลกู 50 เซนตเิ มตร 100x50 เซนตเิ มตร การปลูกเผือกรมิ คนั นาของเกษตรกรชาวนาจงั หวดั อยธุ ยา อา งทอง และสพุ รรณบรุ ี คลา ย การปลูกเผือกขา งรอ งพชื ผกั หรอื รมิ รอ งสวนและมกี ารดแู ลรกั ษาคลา ยกนั สวนการปลูกเผือกบนหลังรองสวนผักนั้น จะปลูกคลายๆ กับการปลูกเผือกบนท่ีดอนโดย ใชระยะปลกู ระหวางตน 50 เซนตเิ มตร ระหวางแถว 100 เซนตเิ มตร (1 เมตร) การรดนา้ํ จะเหมอื น การรดน้ําผักแบบยกรองทั่วไป สว นการดแู ลรกั ษาอน่ื ๆ กเ็ หมอื นการปลกู เผอื กในทด่ี อน 2.4 การใสป ยุ ควรใสป ยุ 3 ครง้ั เชน เดยี วกบั การปลกู เผอื กทด่ี อนโดยใชส ตู รปยุ และ อัตราเดียวกัน สาํ หรบั วธิ กี ารใสน น้ั ใสโ ดยการเจาะหลมุ ระหวา งตน หยอดปยุ ลงไป แลว กลบดว ยดนิ โคลน 2.5 การกําจดั วชั พชื กลบโคนตน และการตดั แตง หนอ หลงั จากปลกู เผอื กได 1 เดอื น ควรมีการกําจัดวัชพืชและกลบโคนดวยดินโคลนทุกเดือนและถาพบวาเผือกมีการแตกหนอมากเกินไป ควรใชเสยี มแซะหนอ ขา งออกใหห มด เผอื กจะมกี ารลงหวั ไดข นาดใหญข น้ึ 2.6 การเกบ็ เกย่ี วผลผลติ หลังจากปลกู เผือกได 5-6 เดอื น ใบเผอื กจะเลก็ ลง ใบหนาขน้ึ ใบชวงลางจะเปนสีเหลือง และเริม่ เหยี่ วเหลอื ใบยอด 2-3 ใบ ใหข นุ โดยใชเ หลก็ ปลายแหลมขนาด 5 หุน ยาว 1 เมตร 25 เซนตเิ มตร มหี ว งกลมทําเปน มอื ถอื แทงเหล็กแหลมลงไปที่โคนเผือกอยาใหชิด โคนเผือกมากนักเพราะกานเหล็กจะถูกหัวเผือกเสียหายได เมอ่ื แทงเหลก็ แหลมลงไปแลว กโ็ นม กา น เหล็กเอียงทํามมุ กบั พน้ื ดนิ 45 องศา หมนุ เหลก็ ควา นรอบโคนตน เผอื กเปน ครง่ึ วงกลมทง้ั 2 ดา น ของตน แลวดงึ เอาหวั เผอื กขน้ึ มา ผูที่มีความชํานาญในการใชเ หลก็ แหลมจะสามารถควา นหวั เผอื กขน้ึ มา ไดร วดเรว็ มาก เครื่องมือขุดเผือก
การปลูกเผือก 9 3. การปลกู เผอื กในนา เปนการปลกู ในพน้ื ทน่ี าเชน ปลกู หลงั ฤดกู ารทํานา เปนพื้นที่ที่มีระบบ น้ําชลประทานดี เชน จงั หวดั สระบรุ ี สงิ หบ รุ ี และนครสวรรค เปน ตน 3.1 การเตรียมดิน หลังจากการเก็บเก่ียวขาวแลว ใหใชรถแทรกเตอรไถดะดวยผาน 3 หรือ 4 ตากดนิ ไวร ะยะหนง่ึ ประมาณ 15-30 วัน แลวไถยอยดิน ถา บรเิ วณดนิ ปลกู นน้ั เปน ดนิ เปรย้ี ว ควรใสปูนขาว เพอ่ื ลดความเปน กรดของดนิ (ดนิ เปรย้ี ว) ในอตั รา 200-400 กิโลกรัม/ไร ขน้ึ อยกู บั ดนิ เปร้ียวมากหรือนอย โดยหวานปูนขาวกอนการไถพรวนตอจากน้ันใชรถแทรกเตอรยกรองหางกัน 1-1.20 เมตร เหมอื นการยกรอ งปลกู ออ ย การปลูกเผอื กหลงั นานน้ั บางแหง เชน สระบรุ ี และสุพรรณบุรี จะเตรียมดินแบบทาํ นามกี าร ทาํ เทอื ก แลว ปลอ ยนา้ํ ออกเหลอื ดนิ โคลน นาํ ลูกเผือกที่เพาะชาํ มกี ารแตกยอด 1-2 ใบ แลว มาปลกู แบบดาํ นากม็ ผี ลใหเ ผอื กตง้ั ตวั เจรญิ เตบิ โตดี เชน กนั 3.2 การเตรียมพันธุ การปลูกเผือกในนาจะใชลูกเผือกท่ีเพาะชําจนแตกใบแลว ประมาณ 2-3 ใบ หรอื สงู ประมาณ 20-25 เซนตเิ มตร ยา ยลงปลกู เชน เดยี วกบั การปลกู เผอื กรมิ รอ งสวน และมวี ธิ เี ตรยี มกลา เผอื กเชน เดยี วกนั 3.3 การปลกู การปลกู เผอื กในนาจะปลกู 2 แบบ ถา ปลกู แบบยกรอ งจะปลกู 2 แถว แตถา ปลกู แบบนาดาํ จะปลูกแถวเดียว 3.3.1 การปลูกแบบแถวเดียว วิธีการปลูกแบบนี้จะคลายวิธีการทาํ นาโดยหลงั จากเตรยี ม แปลงทาํ เทือกเสร็จแลว เกษตรกรจะนาํ ลูกเผือกที่แตกใบ 1-2 ใบ ไปปลกู ลงแปลงแบบดาํ นา ระยะปลกู ระหวา งตน 50 เซนตเิ มตร ระหวางแถว 100 เซนตเิ มตร วธิ นี จ้ี ะใหน ้ําแบบทวมแปลงเหมอื นการทาํ นา เม่ือเผือกตง้ั ตวั ได ทาํ การพนู โคน (ชาวไรเผือกภาคกลางเรียกวา “การแทงโปะ” คอื เปน การแทงตกั ดนิ ข้ึนมากองไวต ามแถวเผอื ก การ “ แทงโปะ” การเตรยี มดนิ ทพ่ี รอ มจะปก ดาํ กลา เผอื ก การปลกู เผือกในนาแบบแถวเดยี ว 3.3.2 การปลูกแบบแถวคู เปนการปลกุ เผอื กหลงั นาแบบยกรอ งแตล ะรอ งหา งกนั ประมาณ 120-150 เซนตเิ มตร นาํ ลูกเผือกที่เตรียมเพาะชําแลว มใี บ 1-2 ใบมาปลกู ขา งรอ ง 2 ขา งแบบแถวคู โดยใชระยะระหวางตน 50 เซนตเิ มตร ระหวางแถว 40 เซนตเิ มตร
การปลกู เผือก 10 เรม่ิ ปลกู เผอื กในนาแบบแถวคู การปลกู เผอื กในนาแบบแถวคู 3.4 การใหน า้ํ การปลกู เผอื กหลงั นาสว นใหญจ ะตรงกบั ฤดรู อ น จาํ เปน ตอ งใหนา้ํ เผือกให ชุมช้ืนอยูเสมอเผือกจึงเจริญเติบโตและลงหัวไดดี ถาเปนการปลูกเผือกแบบเดียวกับการทํานาก็ควร ปลอยนาํ้ ทว มแปลงเปน ระยะอยา ใหแ ปลงปลกู เผอื กขนาดนา้ํ โดยใหนํ้าสงู กวา ผวิ ดนิ 10-15 เซนตเิ มตร สวนการปลูกเผือกแบบยกรองและปลูกแบบแถวคูน้ันจะใหนํ้าแบบสูบนํ้าหรือปลอยนํ้าเขาตาม รองใหดินปลกู ขา งตน เผอื กมคี วามชมุ ชน้ื อยเู สมอ การใสปุย การกาํ จัดวัชพืช การกลบโคนตน การตดั แตง หนอ และการเก็บเกี่ยวเผือกที่ปลูก ในนา ปฏิบัตเิ ชน เดยี วกบั การปลกู เผอื กรมิ รอ งสวนตามทไ่ี ดก ลา วไปแลว การเก็บรักษา เผอื ก เปนพืชหัวที่เก็บรักษาไวนานพอสมควร หลงั จากการเกบ็ เกย่ี วผลผลติ แลว ควรนาํ เผอื ก ไปไวในที่รมเงามีอากาศถายเทไดสะดวก ไมอ บั ลมเปน ทท่ี ม่ี อี ากาศคอ นขา งเยน็ เชน ใตร ม ไม หรือ ใตถุนบา น เปน ตน ตอ จากนั้นทาํ การแยกดินที่กับหัวและแยกรากแขนง คดั แยกหวั แตละขนาด เชน ใหญพิเศษ ใหญ กลาง และเลก็ แลวบรรจุใสภาชนะที่เหมาะสม เชน ถงุ พลาสตกิ ขนาดใหญแ บบ เจาะรูได หรอื อาจเปน เขง หรอื รงั พลาสตกิ ขอควรปฏิบัติเพื่อเก็บรักษาหัวเผือกไวไดนาน และไมเ นา เสยี งา ยดงั น้ี 1. กอนขุดเผอื กประมาณ 15-30 วัน ไมค วรเอานา้ํ เขา แปลงหรอื รดนา้ํ แปลงเผอื กเพราะเผอื ก จะดดู ซมึ นา้ํ ไวม าก เกบ็ ไวไ มไ ดน าน 2. ขุดเผือกเฉพาะเม่ือเผือกมีอายุเก็บเกี่ยวผลผลิตไมควรเก็บเกี่ยวเผือกเม่ือมีอายุนอยเกินไป จะเนา เสยี ไดง า ย 3. ในการขุดเผอื กแตล ะครง้ั ควรขดุ เผอื กดว ยความระมดั ระวงั อยา ใหห วั เผอื กมบี าดแผลบอบช้าํ เผือกจะเนา เสยี งา ย เมอื่ พบวาเผือกมบี าดแผลควรแยกไวตางหากไมปะปนกนั 4. กรณีท่ีจะขนสงเผือกไปไกลๆ หรือจะเก็บเผือกไวนานหลายเดือนไมควรลางดินออก ผึ่งใหแหงสนิทอยาใหเปยกชื้นกอนที่จะนาํ เขา ไปเกบ็ ในโรงเกบ็ หรอื ขนสง ไกลๆ ตอ ไป 5. การขนสงเผือกควรมีภาชนะใสเผือกท่ีเหมาะสม ซึ่งตางประเทศ เชน ญป่ี นุ จะใสก ลอ ง กระดาษสามารถใสเผือกซอนกันได โดยเผอื กไมท บั ถมกนั เปน ปรมิ าณมาก จงึ มผี ลหรอื เปน สว นหนง่ึ ที่จะเก็บรักษาเผอื กไดไมนาน
การปลกู เผอื ก 11 6. ไมควรนาํ เผือกที่เก็บเกี่ยวได มาสมุ กองกนั เปน ปรมิ าณมากหรอื ขน้ึ ไปเหยยี บย่ําเผอื ก ควรนาํ เผือกที่จะเก็บรักษาไวนาน ๆ มาเกบ็ ไวเ ปน ชน้ั ๆ 7. หองท่ีเก็บรักษาหัวเผือกน้ัน จะตองมีการระบายอากาศไดสะดวก อุณหภูมิประมาณ 10-15 องศาเซลเซยี ส หากมีความจําเปนตองเก็บรักษาควรตัดใบและรากทั้งหมดออกไมควรลางน้ํา การเก็บรักษา หัวเผือก โดยการจมุ ลงไปในสารปอ งกนั เชอ้ื รา แคปแทน หรือ เบนเลท ความเขม ขน 500 สว นใน ลานสวน (ppm.) แลวเก็บรักษาไวในบอดินจะทาํ ใหห วั เผอื กเนา เสยี ลดลง ไดผ ลดกี วา การเกบ็ รกั ษาใน ขี้เลื่อยแหง ขเ้ี ลอ่ื ยชน้ื และถงุ พลาสตกิ หวั ยอ ยหรอื ลกู เผอื กทเ่ี กบ็ รกั ษาไวใ นบอ ดนิ ใตส ภาพรม และปอ งกนั น้ําฝนไดจะเก็บรักษาไวไดนาน 6-10 เดอื นอายกุ ารเกบ็ รกั ษาขน้ึ อยกู บั ขนาดหวั คอื เผอื กทม่ี ขี นาดหวั คือ เผือกทมี่ ีขนาดหวั เล็กจะเกบ็ รกั ษาไวไดนานกวา เผือกที่มขี นาดหวั ใหญ นอกจากจะเก็บรักษาเผือกในรูปหัวเผือกสดแลว ยังสามารถเก็บรักษาเผือกในรปู เผอื กแหง โดย ทําการปอกเปลอื กแลว ผา เผอื กเปน แผน บาง ๆ ตากเผือกใหแหงสนิท เมอ่ื จะนํามาบริโภค กส็ ามารถ นําไปนง่ึ ทอด หรือบด เปน แปง เผอื กได โรคเผอื กทส่ี าํ คญั 1. โรคใบไม (โรคใบจดุ ตาเสอื ) สาเหตุ เกดิ จากเชอ้ื รา Phythopthera colocasiae Rac. อาการบนใบเกดิ จดุ สนี า้ํ ตาลฉ่าํ นา้ํ ขนาดหวั เขม็ หมดุ ถงึ ขนาดเหรยี ญบาท ปรากฎเหน็ ชดั บนผิว ใบแผลขยายใหญข น้ึ เปน วงๆ ตอ กนั ลกั ษณะพเิ ศษ คอื บรเิ วณ ของขอบแผลมีหยดสีเหลืองขน ซง่ึ ตอ มาแหง เปน เมด็ ๆ เกาะ อยูเปน วงๆ เมื่อบีบจะแตกเปนผล ละเอยี ด สสี นมิ ในระยะที่ รุนแรงแผลขยายติดตอกัน และทําใหใบมวนพับเขาและแหง เหี่ยว หรอื อาจเนา เละถา อากาศชน้ื มฝี นพราํ อาการ บนกา นใบจะเกิดแผลฉํ่านา้ํ ยาวรี สนี า้ํ ตาล ออน แผลขยายใหญข น้ึ เปน วงๆ เชน กนั ตอ มาจะเนา แหง เปนสีน้ําตาล มีหยดสีเหลืองขนดวยทําใหกานตานทานน้ํา หนักใบไมไดจึงหักพับ มผี ลทาํ ใหใบแหง พบมากในระยะโรค รุนแรง และมลี มพดั อาการเปน ระยะนท้ี าํ ใหผ ลผลติ ลดลง และ เชอ้ื นอ้ี าจเขา ทาํ ลายหัวเผือกดวยทาํ ใหหัวเผือกเนาเสียหายได ความสัมพันธของความช้ืนและอุณหภูมิ จะมีผลตอ การเกิดโรคเชื้อราทาํ ใหโ รคมกี ารระบาดรนุ แรงหากชว งทไ่ี ดร บั เชอ้ื มฝี นตกพรําตอนใกลร งุ และตอนเชา ติดตอกัน มีฝนพราํ ทั้งวัน และมลี มออ นๆ เนอ่ื งจากสภาพดงั กลา วเหมาะสมตอ การสรา งสปอรเ ชอ้ื รา ซึ่ง เช้ือสรางสปอรบ นใบเผอื กไดด หี ากมคี วามชน้ื สงู (90-100%) และอุณหภูมิตาํ่ (20-25%)
การปลูกเผอื ก 12 โรคน้ีเปนโรคที่รุนแรงท่ีสุดของเผือกที่พบในประเทศไทยและในตางประเทศ โรคน้ีเรม่ิ ระบาด เมื่อมีฝนตกและอากาศชุมชื้น ถา มฝี นตกหนกั และตดิ ตอ กนั หลาย ๆ วัน โรคจะระบาดอยา งรวดเรว็ ในแปลงที่เปนรุนแรง เผอื กจะมใี บเหลอื ประมาณตน ละ 3-4 ใบ เทา นน้ั เผอื กทเ่ี ปน โรคนถ้ี า ยงั ไมเ รม่ิ ลงหัว หรือลงหัวไมโตนักจะเสียหายหมด หวั ทล่ี งจะไมข ยายเพม่ิ ขนาดขน้ึ ในชว งทห่ี มอกลงจดั เผอื กจะ เปนโรคนไ้ี ดง า ยเชน เดยี วกนั การปอ งกนั กําจดั 1. หากพบวาในเผือกเริ่มเปนโรคใบจุดตาเสือ ใหตัดใบเผือกที่เปนโรคไปเผาทําลายใหห มด ไมควรปลอยทง้ิ หลงเหลอื อยใู นแปลง เชอ้ื ราจะปลวิ ไปยงั ตน เผอื กตน อน่ื ๆ ได 2. ใชพันธุท่ีตานทานตอโรคใบจุดตาเสือ ในแหลงท่ีมีโรคน้ีระบาดมากๆ ควรเปลี่ยนใช พันธุเผือกที่ทนทานตอโรคใบจุดตาเสือมาปลูกแทน เชน พันธุ พจ.06 เปน ตน 3. แยกแปลงปลกู เผอื กใหห า งกนั เพอ่ื ลดการแพรก ระจายของโรค 4. ไมค วรเดนิ ผา นแถวเผอื กในขณะทแ่ี ปลงเผอื กชน้ื แฉะ เพราะทาํ ใหเ พม่ิ การระบาดของเชอ้ื 5. ใชส ารเคมี ไดแก รโิ ดมิล อัตรา 2-3 กรมั ตอ ตน หยอดลงไปทโ่ี คนตน จะสามารถปอ งกนั โรค ไดป ระมาณ 1 เดอื น หรอื ใชส ารคูปราวทิ 50% อตั รา 80 กรมั ตอ นา้ํ 20 ลติ ร พนใหทั่วทั้งตน 5-7 วันตอครั้ง และเนอ่ื งจากเผอื กมใี บลน่ื มาก การฉดี สารเคมที กุ ครง้ั จงึ ควรใชส ารจบั ใบผสมไปดว ย เพ่ือใหส ารเคมจี บั ใบเผอื กไดน าน 2. โรคหวั เนา สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Sclerotium rolfsii โรคน้ี อาจเกิดไดระหวางการเก็บรักษาหัวเผือก หรอื ปลอ ยท้งิ ไว ในแปลงปลกู นานเกนิ ไป หรอื มนี ้าํ ทว มขงั แปลงปลกู เผอื ก ในชวงเผือกใกลเก็บเกี่ยว การปอ งกนั กาํ จัด 1. พยายามหลีกเลี่ยงไมใหหัวเผือกที่ใกลชวง เก็บเกีย่ วไดรบั นา้ํ หรอื ความชน้ื มากเกนิ ไป ถา มนี ้าํ ทว มขงั ควรสบู นา้ํ ออก 2. ในระหวา งการเกบ็ รกั ษาหวั เผอื กในโรงเกบ็ น้ําควรระมัดระวังไมใหหัวเผือกชื้น และไมควรกองหัวเผอื กสุมกัน มาก ๆ ควรทาํ เปน ชน้ั ๆ จะไดระบายถายเทอากาศไดสะดวก แมลงศตั รเู ผอื ก 1. หนอนกระทูผัก เปนแมลงศัตรูเผือกท่ีระบาดเฉพาะแหลง ไม พ บ ทั่ ว ไ ป แ ม ล ง ช นิ ด น้ี มี พื ช อ า ศั ย ห ล า ย ช นิ ด เชน บัวหลวง และพืชผกั ชนดิ ตา ง ๆ ลักษณะและการทําลาย เรม่ิ แรกผเี สอ้ื จะวางไข ไวตามใบเผอื ก แลว ฟก ตวั ออกเปน ตวั หนอนอยเู ปน กลมุ
การปลูกเผือก 13 กัดกินใบเผือกดานลาง เหลือกไวแตผิวใบดานบนเม่ือผิวใบแหงจะมองเห็นเปนสีขาว ถาหนอนกระทูผักระบาดมากจะกัดกินใบเผือกเสียหายทั่วทั้งแปลงได ทําใหเ ผอื กลงหวั นอ ย ผลผลติ ต่าํ การปอ งกนั กําจดั ใหสารเคมฉี ดี พน ชว งทห่ี นอนชนดิ นร้ี ะบาดสารเคมที ใ่ี ช ไดแก เพอเมทรนิ มชี อ่ื การคา คอื แอมบชุ 10% อีซี ใชอ ตั รา 40-60 มลิ ลลิ ติ รตอ นา้ํ 20 ลติ ร และแอมบชุ 25% อีซี ใชอ ตั รา 10-20 มลิ ลลิ ติ รตอ นา้ํ 20 ลติ ร หรอื สารเฟนวาลเี รท มชี อ่ื การคา คอื ซมู ไิ ซดนิ 20 % อีซี ใชอ ตั รา 15-30 มลิ ลลิ ติ รตอ นา้ํ 20 ลติ ร ซมู ไิ ซดนิ 35% อีซี ใชอ ตั รา 10-20 มลิ ลิ ติ รตอ นา้ํ 20 ลติ ร และซูมิไซดิน 10% ใชอัตรา 30-60 มลิ ลลิ ติ รตอ นา้ํ 20 ลติ ร หรอื อาจใชส ารเคมอี โซดรนิ อตั รา 28-38 มลิ ลลิ ติ รตอ นา้ํ 20 ลติ ร หรอื แลนเนท อตั รา 12-15 กรมั ตอ นา้ํ 20 ลติ ร อยา งใดอยา งหนง่ึ พนในชว งทห่ี นอนระบาด 2. เพลย้ี ออ น เปนแมลงศัตรูเผือกที่ระบาดเฉพาะแหลงไมพบทั่วไป มขี นาดเลก็ ตวั ออ นมสี นี า้ํ ตาล โดยเพลี้ย ออนจะดูดกินนาํ้ เลย้ี งตามใบและยอกออ นของเผอื กทาํ ใหเผือกแคระแกรน ไมคอยเจริญเติบโต การปอ งกนั กาํ จัด ใชส ารเคมี ไดแก มาลาไธออน อตั รา 40-45 มลิ ลลิ ติ รตอ นา้ํ 20 ลติ ร หรือ ใชส ารคารบ ารลิ เชน เซพวิน 80% อัตรา 47 กรัม ตอ นา้ํ 20 ลติ ร พน ในชว งเพลย้ี ออ นระบาด 3. ไรแดง เปนแมลงศัตรูขนาดเล็กที่ระบาดเฉพาะแหลง ไมพบทั่วไป ไรแดงมรี ปู รา งคลา ยแมงมมุ ตวั เลก็ มาก ลําตัวสีแดง พบอยตู ามใตใ บเผอื กและยอดออ นโดยไรแดงจะใชป ากดดู กนิ น้ําเลย้ี ง บรเิ วณใตใ บ เผือก ทําใหเกิดเปนรอยจุด สีน้ําตาลหรอื สขี าวอยทู ว่ั ไป ถา ระบาดมากใบเผอื กจะเปลย่ี นจากสเี ขยี ว กลายเปนสีเทา แลวแหงในที่สุด ไรแดงเผอื กจะพบระบาดมากในชว งฤดแู ลง หรอื ในชว งเผอื กขาดนา้ํ การปอ งกนั กาํ จัด สารเคมี ไดแก สารไดโรฟอล เชน เคลเทน ไดโคล หรือคิลไมท อยา งใด อยางหนง่ึ อตั รา 40-50 มลิ ลกิ รมั ตอ นาํ 20 ลติ ร พน บรเิ วณทไ่ี รแดงระบาดโดยเฉพาะใตใ บเผอื ก จดั ทาํ เอกสารอิเล็กทรอนิกสโดย : สาํ นกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: