ปจั จัยหลักทีส่ ร้างลกั ษณะเฉพาะใหแ้ ก่ชนชาตหิ รือประเทศชาติ คือ 1. ประวัติศาสตร์ 2. วัฒนธรรม 3. วิถีชีวิตของผคู้ น 1
ประวตั ิศาสตรก์ ลมุ่ ชนไท - แบ่งเป็น 1. ยคุ ชุมชนก่อนรบั ศาสนาพุทธ 2. ยุคที่รับศาสนาพุทธแล้ว 3. ยคุ ปัจจบุ ันท่รี ะบบทุนนิยมเขา้ มา มากบา้ งนอ้ ยบา้ ง 2
ผลการวจิ ัยเชงิ วัฒนธรรม กล่มุ คนไทนอกประเทศไทย หัวหนา้ : ศ.ดร.ฉตั รทิพย์ นาถสุภา ผรู้ ่วมศึกษาวิจยั มีทงั้ นกั วิจัยไทยและนักวิจยั ตา่ งชาติ (เร่ิมการศกึ ษาตง้ั แต่ พ.ศ. 2539-2541) * ศ.ดร.ฉัตรทพิ ย์ ไดเ้ ริม่ ศึกษาไทยอาหมตงั้ แต่ พ.ศ.2524 และยงั คงตดิ ตอ่ ร่วมมือทางวชิ าการต่อมา (ปาฐกถาชดุ “สริ นิ ธร” ครง้ั ที่ 21 เร่ืองประวตั ศิ าสตรส์ งั คมกลมุ่ ชนทีพ่ ดู ภาษาตระกลู ไท พ.ศ.2552) 3
กลุ่มชนทพ่ี ดู ภาษาตระกลู ไท (โดยประมาณ) 1. ชาวไทยในประเทศไทย 63 ล้านคน 2. ไทดาํ – ไทขาวในสิบสองจไุ ท เวยี ตนาม 1-5 ล้านคน 3. ชาวลาวในประเทศลาว 5 ล้านคน 4. ชาวไทล้ือในสบิ สองปันนา,จีน หลายแสนคน 5. ชาวฉาน (ไทใหญ่), พม่า-จนี 5 ลา้ นคน 6. ชาวอาหม – แคว้นอสั สมั – อินเดยี 1-2 ล้านคน 7. ชาวไทจ้อง, มณฑลกวางส,ี จนี 15 ลา้ นคน 8. อนื่ ๆ เช่น ชนกลุ่มน้อยในยูนนาน – กุ้ยโจว - ไหหลาํ 4
ประวัติการปลูกขา้ ว ปมี าแลว้ 1. ตอนใตข้ องจีน 7,500 - 8,000 ปี 2. ไตห้ วนั 4,000 – 5,000 ปี 3. บา้ นเชยี ง – อุดรธานี 5,000 ปี 4. เวียตนาม 3,000 – 4,000 ปี 5. ชลบรุ ี (โคกพนมดี) 4,000 ปี 6. ลพบรุ ี 3,800 ปี 7. มาเลเซยี , ฟลิ ปิ ปินส์, บาหลี 2,000 ปี (“ฉัตรทพิ ย์ นาถสุภา / อา้ ง รศ.สุรพล นาถะพนิ ธุ”) 5
คนไท • วัฒนธรรมนา้ํ • วัฒนธรรมข้าว – ปลา • ความเชือ่ – พธิ กี รรม – สงั คม “ผี – ขวัญ – ผ้เู ถ้าผูแ้ ก่ – เจ้าฟา้ เจา้ แผน่ ดนิ ” 6
โครงสรา้ งสังคม 1. ระดับครอบครัว (= เรือน / เฮือน) และตระกูล ก. ระบบผหู้ ญิงเปน็ ใหญ่ ข. ระบบผูช้ ายเป็นใหญ่ 2. ระดบั ชมุ ชน (= หมู่บ้าน / บ้าน) เปน็ ชมุ ชน ปลกู ข้าว–ปลกู ผกั –ล่าสัตว์–เลย้ี งสัตว์ “พี่นอ้ งกนั ” 3. ระดับเมอื ง (เมอื งเอก – เมืองหลวง – เวียง – เชยี ง) “เจ้าฟา้ -เจา้ แผน่ ดิน” 7
ลกั ษณะร่วมของคนไท 1. สงั คมชาวบ้านไท มคี วามเปน็ ชมุ ชนสงู 2. สถาบันหมู่บ้าน (= บา้ น) มคี วามแข็งแกรง่ มาก 3. จิตใจอันดงี ามของผคู้ น • การชว่ ยเหลือซึ่งกนั และกนั (“พี่น้องกัน”) • ความรักในสันติและความรืน่ เริงกระตอื รอื ร้น 4. ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพยี งพ่ึงตนเองในครอบครวั และชมุ ชน 8
ยคุ สมยั ของประเทศสยาม - ไทย พ.ศ. 1. สมยั สุโขทยั 1792 – 1981 2. สมยั อยธุ ยา 1893 – 2310 3. สมัยกรงุ ธนบรุ ี 2310 – 2325 4. สมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ 2325 - ปจั จุบนั 9
กิจกรรม - เพือ่ สร้างพลเมอื งดี ขอได้โปรดน้อมเกลา้ นอ้ มกระหม่อม – นาํ พระบรมราโชบายดา้ นการศึกษา ในพระบาทสมเดจ็ พระวชริ เกลา้ เกลา้ อยหู่ ัว ซึ่งไดพ้ ระราชทานไวเ้ ม่ือวนั ที่ 23 มกราคม พ.ศ.2560 มาปฏบิ ตั ใิ หเ้ หน็ ผล 10
การศกึ ษาตอ้ งมุง่ สร้างพน้ื ฐานทดี่ ีใหแ้ ก่เด็กและเยาวชน 4 ประการ 1. มที ศั นคติท่ถี กู ตอ้ งต่อบา้ นเมือง 2. มีพนื้ ฐานชีวิต (อปุ นสิ ยั ) ทีด่ ีและมัน่ คง 3. ทาํ งานเปน็ และมงี านทาํ 4. เป็นพลเมอื งดี 11
1. มีทศั นคติทด่ี ตี อ่ บา้ นเมอื ง เปา้ หมาย : เพ่อื ใหเ้ ด็กและเยาวชนมคี วามร้แู ละศรัทธาต่อสถาบันหลกั ดงั นี้ (1) ครอบครัว (2) ชุมชน (3) สถาบันศาสนา (4) สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ (5) ความเป็นไทย และวฒั นธรรมไทย 12
กิจกรรม 1.1 ให้นกั เรยี นรวมกลมุ่ ทาํ โครงการ – กิจกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั สถาบนั หลักท้ังห้า และนํามาแลกเปลยี่ นเรยี นรู้กัน 1.2 จัดทัศนศึกษา 1.3 เชญิ วทิ ยากรมาบรรยาย 1.4 สร้างหลักสูตรท้องถ่ินทเี่ กีย่ วขอ้ งกับสถาบันทั้งห้า 13
2. มีพื้นฐานชีวิตที่ดแี ละม่นั คง เป้าหมาย : เพอื่ ใหเ้ ดก็ และเยาวชนรู้จกั แยกแยะสิ่งด-ี ส่ิงชั่ว สงิ่ ถูก-ส่งิ ผิด ใหเ้ ขาเปน็ คนดี กิจกรรม 2.1 ให้นักเรยี นทําโครงการ-กิจกรรมเกยี่ วกับความดีความชอบ เพื่อแลกเปล่ยี น เรียนรกู้ ัน 2.2 เชญิ วิทยากรมาบรรยาย 2.3 นกั เรียนรวมกลุ่มสรา้ งชมรมความดีความชอบ 2.4 ใหร้ างวัลผู้ปฏบิ ัติดีปฏบิ ตั ชิ อบ 14
3. ทํางานเป็นและมีงานทํา เปา้ หมาย : เพื่ออปุ นสิ ยั รักงาน- สงู้ าน – ทาํ งานร่วมกับผ้อู ่ืน – ทาํ งานให้ สําเรจ็ จะได้พึ่งตนเองได้ในภายหนา้ กจิ กรรม 3.1 งานหอพัก 3.2 งานการเกษตร – หัตถกรรม – งานชา่ ง 3.3 ฝกึ ฝนให้นกั เรยี นขยนั – ประหยัด ร้จู ักวางแผนการเงนิ โดยสอนใหท้ ําบัญชรี ายรับ-รายจา่ ย 3.4 ชีใ้ หเ้ ห็นโทษของยาเสพตดิ และอบายมุข 15
4. เปน็ พลเมืองดี เป้าหมาย : เพือ่ ฝึกฝนให้เดก็ และเยาวชนเป็นคนมนี ํา้ ใจ รจู้ กั เสียสละ ประโยชนส์ ว่ นตนเพือ่ ประโยชนส์ ว่ นรวม กจิ กรรม 4.1 จดั ให้มชี มรมอาสาสมคั ร บําเพญ็ ประโยชน์ 4.2 นําหลกั การของโครงการจติ อาสา – เราทําความดดี ้วยหวั ใจ มาปลูกฝงั ใหเ้ ขาเปน็ ผ้เู สียสละเพอ่ื ส่วนรวม 4.3 จัดกจิ กรรมเผยแพร่และยกย่องเด็กและเยาวชนจติ อาสาตัวอยา่ ง 16
โรงเรียนคอื หน่วยวัฒนธรรม (1) วฒั นธรรมคือส่ิงที่ทาํ ความเจรญิ งอกงามใหแ้ กห่ มู่คณะ เช่น วฒั นธรรมไทย วัฒนธรรมโรงเรยี น (2) คณะกรรมการโรงเรียน ผ้บู ริหาร ครู และผู้ปกครอง ต้องรว่ มกัน กําหนด “นโยบายอันดีงาม เพอ่ื นาํ ไปสู่การเกดิ วฒั นธรรมอนั ดงี าม (3) โรงเรยี นตอ้ งปลูกฝงั “วฒั นธรรมอันดงี าม” แก่นักเรยี นทกุ คน (4) เดก็ ทมี่ ีพน้ื ฐานวัฒนธรรมที่มน่ั คง ย่อมเจริญรุ่งเรืองได้อย่างย่ังยนื 17
ข้อคิดสําหรบั ผบู้ ริหารสถานศึกษา 1. ได้โอกาสเสยี สละเพอ่ื แผ่นดินเกิด 2. อย่าหาประโยชน์สว่ นตัวใดๆ จากการบรหิ าร 3. “ปดิ ทองหลงั พระ” 4. จงมคี วามสขุ ที่ได้ทาํ ประโยชนใ์ ห้แกโ่ รงเรียนและลูกศิษย์ของทา่ น 18
นิเวศวิทยาของชีวติ นเิ วศวทิ ยาท่ีงดงามของชวี ติ คือ : - - ความจรงิ ใจ - ความเป็นกนั เอง - รอยยม้ิ ท่อี ่อนโยน - คาํ พูดที่นุ่มนวล - ทา่ ทีที่มนั่ คง สุภาพเรียบร้อย - วฒั นธรรมท่ีงดงาม 19
ชวี ติ ของครยู ่อมสาํ รวม มมี ารยาท - มวี นิ ยั อ่อนน้อม – ถอ่ มตน มัธยัสถ์ - สมถะ จิตอาสา - สุขจากการให้ 20
การสั่งสอนมารยาท * มารยาทคอื กิริยาและวาจาท่ถี อื ว่าเรยี บร้อย ถูกกาละและถกู เทศะ * ครูตอ้ งเปน็ ตน้ แบบของมารยาท * ครูตอ้ งสัง่ สอนใหล้ ูกศิษย์รู้วา่ ... 1. จะปฏิบตั ติ นอยา่ งไร และ 2. จะปฏบิ ัติตอ่ ผู้อ่นื อย่างไร นคี่ ือเป้าหมายท่ยี ง่ิ ใหญข่ องการศกึ ษา 21
การแตง่ กายสะท้อน “บคุ ลิกภาพ” •รู้จักแตง่ กายให้เหมาะสมกบั กาละ – เทศะ เรยี บร้อย – สะอาดสะอ้าน สะท้อนวา่ ใจของเขามีวินัย / รกั ตนเอง •การแตง่ กายต้องเหมาะสมกบั ฐานะและวยั จงึ จะเปน็ ธรรมชาตทิ ี่งดงาม การฝืน – ไม่เป็นธรรมชาติ ย่อมไมใ่ ช่ความงามทแ่ี ทจ้ รงิ - เป็นความงามปลอม 22
ความเปน็ เสรีของชวี ิต * อสิ รเสรไี มใ่ ชก่ ารทําอะไรตามใจชอบ หากแต่ (1) รับผดิ ชอบตอ่ การกระทําของตนเอง (2) เป็นผ้ใู ห้แก่ผ้อู ่นื * การศกึ ษาต้องสอนให้เด็กร้จู กั (1) ความสุจรติ ใจ (2) รถู้ ูกร้ผู ดิ – ละอายตอ่ บาป (3) มีระเบยี บวนิ ัยในการดํารงชวี ิต 23
เราจะแกไ้ ขส่งิ ไหน? (1) นกั เรยี นที่มปี ญั หา หรือ (2) ปญั หาของนกั เรยี น * นักเรียนทม่ี ีปญั หาเกดิ จากอุดมการณก์ ารศกึ ษา การอบรม ของครอบครวั โรงเรียน และสังคมผดิ เพี้ยน จนทําใหเ้ ด็ก หลงทาง * หากจะใหป้ ัญหาของนักเรยี นหมดไปหรอื ผ่อนเบาลง เราต้องทบทวนระบบการศกึ ษาและอบรมสัง่ สอนกนั ใหม่ 24
ผลู้ ้างพษิ ของสังคม • ครู คอื ผูก้ ล้าหาญแห่งคณุ ธรรม ครูตอ้ งคลี่คลายความมืดบอดของนกั เรียน (บางคน) ครตู อ้ งสอนใหน้ กั เรยี นแยกแยะผิดชอบชว่ั ดี ร้วู า่ ส่ิงใดต้องทาํ - ควรทาํ รู้ว่าสง่ิ ใดต้องไม่ทาํ - ไมค่ วรทํา ครูต้องประพฤตเิ ป็นตวั อยา่ งแหง่ ความดีงาม 25
ครูตอ้ งรกั ตนเองก่อน • ครตู อ้ งรักตนเองกอ่ น จึงจะสามารถรักลกู คนอ่นื – รกั ลูกศิษยไ์ ด้ • ครูตอ้ งรู้จกั เอาใจใสต่ นเองกอ่ น จึงจะสามารถเอาใจใสน่ ักเรยี นได้ • ครคู ือต้นแบบของ ... มารยาท บคุ ลกิ ภาพ ศลี ธรรม ฯลฯ • ครูคือผยู้ ่ิงใหญใ่ นดวงใจของนักเรียน 26
ครูคอื ผ้สู อน • ครสู อนหนงั สอื ใหน้ กั เรยี นร้วู ชิ า • ครสู อนคน ใหน้ ักเรยี นรบั ผิดชอบต่อตนเองและผูอ้ ืน่ • ครสู อนใจ ให้นกั เรยี นรักตนเองและผอู้ ื่น 27
ครูดี ก. ครูโดยอาชีพ : นกั สอนตามตารางสอน ข. ครโู ดยจติ วิญญาณ 1. มีอุดมการณ์ – ตง้ั ใจจรงิ ทจี่ ะเป็นครูดี 2. รกั นกั เรียนดว้ ยจติ แหง่ โพธสิ ัตว์ 3. จดจอ่ อยกู่ บั การสั่งสอน และการอบรมตลอดเวลา ทั้งในและนอกตารางเรยี น 4. ใหล้ ูกศษิ ย์โดยไม่หวงั ส่ิงตอบแทนใดๆ ค. “โรงเรยี นดงั สู้ครดู ีไมไ่ ด้” 28
ครูคอื ผ้สู ลายอวิชชา หนา้ ทข่ี องครู คอื ... 1) ทาํ ให้นักเรยี น “รู้เรอื่ งราว” 2) ทาํ ใหน้ ักเรยี น “รูเ้ หตผุ ล” 3) ทําใหน้ กั เรียน “รปู้ ัญญาเชื่อมโยง” 4) ทาํ ให้นักเรยี น “รผู้ ดิ ชอบช่ัวดี” 29
ครูพนั ธุใ์ หม่ 30 • ไม่มีนักเรยี นคนไหนที่สอนไม่ได้ มแี ตค่ รทู ยี่ ังเอาใจใส่เขาไมเ่ พยี งพอ • ต้องใชค้ วามรัก ความอดทน สั่งสอนอบรมเขา จะทอดท้งิ เสียงา่ ยๆ มไิ ด้ • เม่ือเมล็ดพนั ธต์ุ กลงสูด่ ิน ขอเพียงเอาใจใส่รดนา้ํ พรวนดนิ กจ็ ะเติบใหญ่ ผลิดอกออกผลได้ • หวั ใจของครอู ยทู่ ี่เมล็ดพันธ์ุเหล่านี้
เคลด็ ลบั คอื หยดุ – ฟงั – ดู – เดิน (1) หยุด : ไมว่ า่ พบเร่อื งราวใดของนกั เรยี น ครูต้องมจี ิตสงบมนั่ คง (2) ฟัง : ครูฟงั ด้วยจิตสงบ (3) ดู : ครพู ินจิ พเิ คราะหด์ ้วยความเข้าใจ (4) เดิน : ครูช่วยใหเ้ ดก็ ฝา่ ดา่ นอปุ สรรคไปให้ได้ 31
ครูชว่ ยฝึกคนสวนโลก (1) โลกใหแ้ ผน่ ดินอันสมบูรณใ์ ห้มนุษยอ์ ยอู่ าศยั โลกให้แผน่ น้ําอันทรงคา่ แกช่ วี ติ โลกใหอ้ ากาศอนั บริสทุ ธ์ิแก่มนษุ ย์ – พืชและสัตว์ (2) ครคู วรตง้ั ปณธิ าน “เป็นคนสวนของโลก” เพื่อพทิ กั ษโ์ ลกน้ี (3) ครจู ึงควรฝกึ นกั เรียนทุกคนให้รักโลกและเปน็ คนสวนของโลก 32
ครูคอื ผูย้ งิ่ ใหญ่ • เพราะไมเ่ รียกรอ้ งผลตอบแทนจงึ เปน็ มหากุศล • เพราะไม่เห็นแกต่ นจึงมคี วามสขุ • เคยมคี รูท่านหนึ่งบอกกับนกั เรียนวา่ “ต่อให้คนทัง้ โลกไม่รักเธอ ครูก็ยังรกั เธอแนน่ อน” น่ีคอื หวั อกของครู – หัวอกของพระโพธสิ ัตว์ • พ่อแมค่ ือผใู้ หก้ าํ เนดิ ครูคอื ผทู้ าํ ให้ลกู ศษิ ยป์ ระสบความสาํ เรจ็ 33
ครูคือพรหม 1. เมตตา : เพียงเพื่อจะมอบความรกั ความสขุ แกเ่ ด็ก 2. กรุณา : หวงั วา่ เดก็ จะไมป่ ระสบความทกุ ขย์ ากใดๆ 3. มุทติ า : หวงั ว่าเด็กจะมีแต่ความเบกิ บาน มีอุปนิสยั ท่ีดีงามในชวี ิตของเขา 4. อุเบกขา : หวงั ว่าเดก็ สามารถประสบความสําเร็จใน ชวี ิตโดย (คร)ู ปราศจากขอ้ เรียกรอ้ งใดๆ 34
ครูเกษียณ • ครนู ิทรา ลาวัลย์ (ชีวิตครู 2527-2556) “ครใู นปัจจุบันมคี วามรดู้ ้านเทคโนโลยมี าก สอนเรว็ ฉับไว แตอ่ ยากใหม้ ีความรบั ผดิ ชอบและเอาใจใส่ เขา้ ใจนกั เรยี นมากกว่านี้ เดก็ ๆ ต้องการความรกั ความเข้าใจจากครทู ุกทา่ น!” (P.R.C. ฉบับท่ี 71 ปีการศึกษา 2556) 35
หนักกระไร งานครู เราร้ดู ี แตง่ านครู อยทู่ ่ี มีใจรัก แม้นสมัคร หนักเท่าไร ไม่หนา่ ยหนี มอบชีวติ แก่งาน โอฬารนี้ ก็พอมี ความสุข ทกุ เวลา สุขได้รว่ ม บริหาร การศกึ ษา สขุ ทํางาน การใหญ่ ใหส้ ่วนรวม ดังบุปผา ชูชอ่ ลอ้ ตะวัน สขุ เห็นเด็ก แชม่ ช่นื ระรน่ื ตา ปานเสนาะ สาํ เนียง เสยี งนกขนั สขุ อนนั ต์ อยู่ทใี่ จ ได้เป็นครู สขุ ฟังเดก็ พดู จา ภาษาเพราะ สขุ สละ กรุณา สารพนั ครูผู้ยิง่ ใหญ่ : ยง องิ คเวทย์ (2449-2530)
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการดํารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ต้ังแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ท้ังในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ ดําเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพ่ือให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจําเป็นที่จะต้องมีระบบ ภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงท้ังภายนอก และภายใน ท้ังน้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างย่ิงในการ นําวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดําเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้อง เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุก ระดับให้มีสํานึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดําเนินชีวิตด้วย ความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพ่ือให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับ การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม ส่ิงแวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกไดเ้ ป็นอย่างดี 37
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง Sufficiency Economy Philosophy (SEP) 1. หลกั คิด (main concept) 2. เงอ่ื นไขกอ่ นนาํ ปรัชญานม้ี าใช้ (pre-requisites) 3. การสร้างภมู ิคุ้มกัน 4 มิติ (immunity building) 4. องคป์ ระกอบของการตัดสนิ ใจ (decision-making) 38
หลกั คิด : Main concept ก่อนวิกฤติ วกิ ฤติ หลังวิกฤติ Pre-crisis Crisis Post-crisis • เงอื่ นไข (pre-requisites) • เสียหายนอ้ ยกว่า • ฟื้นตัวเรว็ กว่า • ภูมิคุม้ กนั 4 ดา้ น (less damage) (resilience) (immunity building) 39
เง่ือนไขก่อนนําปรชั ญานม้ี าใช้ (Pre-requisites) 1. ตอ้ งฝกึ ฝนจิตใจให้มคี ุณธรรม – ซ่อื สตั ยส์ ุจรติ (training of moral codes-honesty) 2. รจู้ ริง-ใชค้ วามรู้ทั้งขนั้ วางแผนและขนั้ ปฏิบตั ิ (knowledgeable in planning and execution) 3. ขยนั – อดทน – รอบคอบ (diligence – patience – thoughtfulness) 40
การตดั สนิ ใจ (decision-making) องค์ประกอบ (components of decision) 1. พอประมาณ (moderation) 2. มีเหตุผล (reasonableness) 3. ไม่กระทบภมู ิค้มุ กัน (no serious effects to immunity) 41
ภมู ิคุม้ กนั (immunity) 1. ภมู ิค้มุ กนั ดา้ นวตั ถุ (materialistic immunity) 2. ภูมคิ มุ้ กันดา้ นสงั คม (social immunity) 3. ภูมคิ ้มุ กันดา้ นสงิ่ แวดล้อม (environmental immunity) 4. ภมู คิ มุ้ กันดา้ นวฒั นธรรม (cultural immunity) 42
ภมู ิคมุ้ กันดา้ นวตั ถุ (materialistic immunity) 1. การวางแผนอาชีพ (occupational planning) 2. การวางแผนการเงิน (financial planning) 3. บัญชรี ายรับ – รายจา่ ย (income – expense account) 4. เพ่ิมรายได้ (increasing income) 5. ลดหนี้ (decreasing debt) 43
ภมู คิ ้มุ กนั ด้านสังคม (Social immunity) 1. ความมีคุณธรรม (moral training) 2. ความมีสขุ ภาพดี (healthy well-being) 3. การศึกษาต่อเนอ่ื ง (continuing education) 4. การฝกึ ทักษะใหม่ (new skills training) 44
ภมู คิ ุ้มกนั ดา้ นสงิ่ แวดล้อม (environmental immunity) 1. ความรู้ – ความเขา้ ใจ (knowledge and understanding) 2. การปฏบิ ัติเพอื่ สง่ิ แวดลอ้ ม (good practices for environment) 2.1 การกาํ จดั ขยะ (waste disposal) 2.2 พลังงานทางเลอื ก (alternative energy) 2.3 การปลกู ต้นไม้ (planting trees) 2.4 การจัดการน้าํ (water management) 45
ภูมคิ มุ้ กนั ดา้ นวฒั นธรรม (cultural immunity) 1. ยึดม่ันในวัฒนธรรมไทย (dedication for Thai culture) 2. สืบสานวฒั นธรรมท้องถิ่น (continue local cultures) 3. ปรองดองกับวฒั นธรรมต่างถ่นิ (synergy among different cultures) 4. ส่งเสรมิ สนั ตภิ าพ (support for peace) 46
ผลจากการปฏบิ ัติ (consequences from SEP practices) 1. ในภาวะปกติ : เพยี งพอและเปน็ สุข (in normal situation : sufficiency and happiness) 2. ในภาวะวกิ ฤติ : เสียหายน้อย – ฟ้นื เร็ว (in time of crisis : less damage and quick recovery) 3. ในระยะยาว : ย่งั ยนื (in a long run : sustainability) 47
Search
Read the Text Version
- 1 - 49
Pages: