Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พฤติกรรมการเข้าเรียนสายของนักศึกษามหาวิ

พฤติกรรมการเข้าเรียนสายของนักศึกษามหาวิ

Published by Natthida Sayphan, 2022-06-28 08:13:18

Description: พฤติกรรมการเข้าเรียนสายของนักศึกษามหาวิ

Search

Read the Text Version

พฤติกรรมการเข้าเรียนสายของนักศึกษามหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครปฐม คณะผู้จดั ทา งานวจิ ยั เล่มนีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของรายวชิ า การวจิ ัยเบื้องต้นทางสังคมศาสตร์ (2533960) สาขาวชิ าการพฒั นาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปี การศึกษา 2564 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครปฐม

คานา คณะผ้จู ดั ทา

สารบญั หน้า คำนำ 1 สำรบญั 1 บทที่ 1 บทนำ 1 2 ควำมเป็ นมำและควำมสำคญั 2 วตั ถปุ ระสงคก์ ำรวจิ ยั 2 สมมติฐำนกำรวจิ ยั 2 กรอบแนวคิดกำรวจิ ยั 2 ขอบเขตกำรวจิ ยั 3 นิยำมศพั ทเ์ ฉพำะ ประโยชนท์ ่ีคำดวำ่ จะไดร้ ับ 3 บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง 4 4-6 ทฤษฎีกำรเกิดวนิ ยั ในตนเอง 6-10 แนวคิดเกี่ยวกบั วนิ ยั 10 11-12 ควำมหมำยของวนิ ยั 12-13 ควำมสำคญั และควำมจำเป็ นในกำรสร้ำงระเบียบวนิ ยั 13 โครงสร้ำงและขอบขำ่ ยของวนิ ยั 13-15 กำรเสริมสร้ำงและพฒั นำวนิ ยั งำนวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง บทที่ 3 วธิ ีกำรดำเนินกำรวจิ ยั ประชำกรและกลุ่มตวั อยำ่ ง

สารบัญ หน้า 15 เครื่องมือท่ีใชใ้ นกำรวจิ ยั 15 กำรสร้ำงและพฒั นำคุณภำพเครื่องมือ 16 กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 16 กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล 17 บรรณำนุกรม

บทที่ 1 บทนา ความเป็ นมาและความสาคญั ปัญหำกำรเขำ้ เรียนสำย เป็ นปัญหำท่ีพบมำกในกำรจดั กำรเรียนกำรสอน ซ่ึงปัญหำดงั กล่ำว เกิดจำกพฤติกรรมของนกั ศึกษำแต่ละคน เพรำะนกั ศึกษำแต่ละคนมีควำมรับผิดชอบท่ีแตกต่ำงกนั ปัญหำดงั กล่ำวควรจะตอ้ งไดร้ ับกำรหำวิธีแกไ้ ข เพ่ือใหเ้ กิดกำรปรับปรุงพฤติกรรมกำรเขำ้ เรียนให้ ตรงต่อเวลำของนกั ศึกษำ กำรเขำ้ เรียนสำย เป็ นอุปสรรคต่อกำรเรียน กำรสอนและส่งผลต่อผเู้ รียน และผสู้ อนในฐำนะท่ีเป็ นผมู้ ีหนำ้ ที่โดยตรงในกำรปรับพฤติกรรมกำรเรียนที่เป็ นปัญหำให้เป็ นไป ในทำงท่ีพึงประสงค์ เพ่ือพฒั นำให้ผูเ้ รียนให้มีควำมพร้อมในทุกด้ำนตำมควำมมุ่งหมำยของ กำรศึกษำ ในปัจจุบนั พบเจอกบั ปัญหำเกี่ยวกบั กำรเขำ้ เรียนสำยของนกั ศึกษำภำยในมหำวทิ ยำลยั เป็น อยำ่ งมำก โดยสำเหตุมำจำกหลำย ๆ อยำ่ งหลำย ๆ สำเหตุของกำรมำเรียนสำยส่วนใหญ่ คือ กำรต่ืน สำย โดยมีสำเหตุมำจำก เหตุผลส่วนตวั ทำใหข้ ำดระเบียบวินยั ในตนเองและสังคม ซ่ึงสำมำรถส่ือ ถึงพฤติกรรมในกำรขำดวนิ ยั และควำมรับผดิ ชอบในกำรตรงต่อเวลำ กำรมำสำยถือวำ่ เป็ นส่ิงสำคญั ในกำรเขำ้ ร่วมสังคมท่ีไม่ควรจะเกิดข้ึน ควำมรู้ อีกสำเหตุของกำรเขำ้ เรียนสำยอำจเป็ นเพรำะแบ่ง เวลำไม่ถูก จึงทำให้ตื่นสำยมำเขำ้ เรียนไม่ทนั ทำให้เกิดปัญหำ หรือผลกระทบมำกมำย เช่น เรียน ตำมเพ่ือนในห้องไม่ทนั พอถึงตอนสอบก็ทำขอ้ สอบไม่ได้ รู้ท้งั รู้วำ่ จะตอ้ งไปเรียนแต่ก็ยงั นอนดึก กำรมำเรียนสำย มีปัญหำหลำย ๆ อยำ่ ง หลำย ๆ ดำ้ นในเร่ืองของกำรเรียนเพรำะ แบ่งเวลำไม่ถูก แต่ อยำ่ งไรก็ตำมควรแบง่ เวลำในกำรมำเรียนกบั กำรทำเรื่องอื่นออกไปเพรำะไม่เช่นน้นั จะเกิดปัญหำใน ดำ้ นกำรเรียน ในดำ้ นอื่นตำมมำอีกมำกมำย วตั ถุประสงค์การวจิ ัย 1. เพอื่ ศึกษำสำเหตุกำรเขำ้ เรียนสำยของนกั ศึกษำมหำวทิ ยำลยั รำชภฏั นครปฐม 2. เพ่อื ศึกษำแนวทำงกำรแกไ้ ขพฤติกรรมกำรเขำ้ เรียนสำยของนกั ศึกษำมหำวทิ ยำลยั รำชภฏั นครปฐม

2 สมมติฐานการวจิ ยั นกั ศึกษำมีควำมประพฤติท่ีสำมำรถเขำ้ หอ้ งเรียนไดต้ รงเวลำ กรอบแนวคดิ การวจิ ัย กำรวจิ ยั คร้ังน้ีผวู้ จิ ยั ตอ้ งกำรศึกษำ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตำม -กำรทำขอ้ ตกลงในกำรเขำ้ เรียน นกั ศึกษำมีควำมพงึ พอใจที่ จะเขำ้ เรียนใหต้ รงเวลำ -กำรใหค้ ะแนนและกำรหกั คะแนน ขอบเขตการวจิ ัย มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั นครปฐม นิยามศัพท์เฉพาะ 1. นกั ศึกษำ หมำยถึง นกั ศึกษำระดบั ช้นั ปริญญำตรี มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั นครปฐม 2. สำขำกำรพฒั นำชุมชน หมำยถึง สำขำวิชำที่สอนเก่ียวกบั กำรบริหำร จดั กำร ให้บริกำร ดูแลและแกไ้ ขปัญหำของชุชน 3.กำรเขำ้ เรียนสำย หมำยถึง กำรเขำ้ เรียนที่ไม่ตรงตอ่ เวลำ กำรเขำ้ เรียนชำ้ กวำ่ เวลำท่ีกำหนด ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ 1. ทรำบสำเหตุกำรเขำ้ เรียนสำยของนกั ศึกษำมหำวทิ ยำลยั รำชภฏั นครปฐม 2. ทรำบถึงแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำกำรเขำ้ เรียนสำยของนักศึกษำมหำวิทยำลยั รำชภฏั นครปฐม

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง กำรวจิ ยั ในคร้ังน้ี ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษำแนวคิด ทฤษฎี และงำนวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ งเพ่ือใชเ้ ป็น แนวทำงในกำรททำวจิ ยั ดงั น้ี 1.ทฤษฎีกำรเกิดวนิ ยั ในตนเอง 2.แนวคิดเกี่ยวกบั วนิ ยั 2.1 ควำมหมำยของวนิ ยั 2.2 ควำมสำคญั และควำมจำเป็นในกำรสร้ำงระเบียบวนิ ยั 2.3 โครงสร้ำงและขอบขำ่ ยของวนิ ยั 3.กำรเสริมสร้ำงและพฒั นำวนิ ยั 4.งำนวจิ ยั ทีเกี่ยวขอ้ ง ทฤษฎกี ารเกดิ วนิ ัยในตนเอง ดวงเดือน พนั ธุมนำวนิ ( 2523:58 อำ้ งถึงในสุรจิต ค ำมะสอน 2542 : 16) ลกั ษณะวนิ ยั ใน ตนเอง มีควำมสำคญั ต่อกำรแสดงออกทำงจริยธรรมและคุณธรรมของบุคคลมำก และอำจสำคญั มำกกวำ่ ลกั ษณะทำงควำมรู้ดีชวั่ และควำมสำมำรถกระทำสิ่งดีชว่ั ดว้ ย ฉะน้นั กำรใหค้ วำมสนใจ เกี่ยวกบั กำเนิดและกำรเจริญเติบโตของจิต ลกั ษณะกำรมีวินยั แห่งตนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในเร่ืองน้ี นกั จิตวิทยำพฒั นำกำรไดใ้ หค้ วำมสนใจมำนำนแลว้ และมีควำมเห็นวำ่ ควำมมีวินยั แห่งตนอยำ่ ง ถูกต้อง จึงเป็ นหลักชัยของพฒั นำกำรทำงจิตของบุคคลนั่นคือควำมมีวินัยแห่งตนเอง เป็ น ลกั ษณะสำคญั ของผทู้ ี่บรรลุภำวะทำงจิต ฉะน้นั กำรมีวินยั แห่งตน จึงสำมำรถใชเ้ ป็ นเคร่ืองมือวดั ระดบั พฒั นำกำรทำงจิตของบุคคลไดด้ ว้ ยทฤษฎีที่สำคญั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั พฒั นำกำร ของวินยั แห่งตน มี 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีของเมำเรอร์ (Mowrer) ว่ำด้วยจุดกำเนิดของกำรควบคุมตน และ ทฤษฎีของเพคและแฮวคิ เฮิสต์ (peck havighurst) วำ่ ดว้ ยพฒั นำกำรแรงจูงใจทำงจริยธรรม ซ่ึงยดึ กำรควบคุม ของ อีโก้ และซูปเปอร์อีโกเ้ ป็นหลกั

4 แนวคดิ เกย่ี วกบั วนิ ัย 1. ความหมายของวนิ ัย จำกพจนำนุกรมฉบบั บณั ฑิตยสถำน พุทธศกั รำช 2525 (774) ไดใ้ ห้ควำมหมำยของวินยั หมำยถึง กำรอยใู่ นระเบียบแบบแผนขอ้ บงั คบั ปฏิบตั ิ อมรำ เล็กเริงสินธุ (2540 : 205-206) ไดก้ ล่ำวถึงระเบียบ หมำยถึง ขอ้ บงั คบั ต่ำง ๆ ที โรงเรียนกำหนดข้ึนให้นกั เรียนปฏิบตั ิตำม เช่น ระเบียบกำรเขำ้ เรียนตรงต่อเวลำ ระเบียบเป็ นสิ่งที่ทำให้คน สำมำรถอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยำ่ งสนั ติ วินยั คือ กำรควบคุมพฤติกรรมของนกั เรียนให้เป็ นไปในทำงที่พึงปรำรถนำ เพื่อส่งเสริมกำรเรียนรู้ และบุคลิกภำพให้เป็ นท่ีน่ำพึงปรำรถนำของสังคม วินัยที่ดี คือ กำรที่บุคคลรู้จกั กำรปกครองตนเองและ กระทำตำมระเบียบขอ้ บงั คบั ต่ำง ๆ ดว้ ยควำมสมคั รใจ เพรำะไดเ้ ห็นคุณค่ำวำ่ กำรปฏิบตั ิตำมระเบียบน้นั จะ นำมำซ่ึงควำมมีระเบียบและควำมสงบสุขในสงั คม มหำวิทยำลยั มหำสำรคำม ( ม.ป.ป.: 73 ) วินยั นักเรียน หมำยถึงควำมประพฤติของนักเรียนโดย นักเรียนปฏิบตั ิตำมคำส่ัง หรือระเบียบหรือระเบียบขอ้ บงั คบั ของโรงเรียน นอกจำกน้ียงั รวมถึงกำรให้ นกั เรียนรู้จกั ควบคุมตนเอง หรือเห็นพอ้ งกบั ขอ้ บงั คบั ท่ีกำหนดไวเ้ พ่ือใหเ้ กิดควำมสงบเรียบร้อย อนั จะนำมำ เพอื่ ควำมเสมอภำคและเกิดควำมสนั ติสุขแก่สมำชิกในโรงเรียนเกี่ยวกบั เรื่องวนิ ยั คุณธรรมและจริยธรรม กรมวิชำกำร (2542 ก:21 อำ้ งถึงในสุจริต ค ำมะสอน 2548 :19 ) ให้ควำมหมำยของวินัยว่ำ หมำยถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ ขอ้ ตกลงที่กำหนดข้ึน เพอื่ ใชเ้ ป็นแนวทำงในกำรใหบ้ ุคคล ประพฤติปฏิบตั ิในกำรดำรงชีวิตร่วมกนั เพื่อใหอ้ ยูอ่ ยำ่ งรำบร่ืน มีควำมสุข ควำมสำเร็จ โดยอำศยั กำรฝึ กให้ รู้จกั กำรปฏิบตั ิตน รู้จกั ควบคุมตนเอง ธนู วฒุ ิเกียรติไพบูลย์ (2524 อำ้ งถึงใน สุรจิต ค ำมะสอน 2548 : 20) กล่ำววำ่ วนิ ยั หมำยถึง ระเบียบแบบแผน ขอ้ ปฏิบตั ิและขอ้ บงั คบั ที่กำหนดไว้ เพ่อื ใชเ้ ป็นหลกั ในกำรปฏิบตั ิ หำกไมป่ ฏิบตั ิ ตำม อำจจะเกิดควำมเสียหำย หรือควำมไม่เป็ นระเบียบเรียบร้อยเป็ นเหตุให้เกิดควำมผิดและถูกลงโทษใน ท่ีสุด

5 สมบูรณ์ สิงห์คำป้อง (2542:36 อำ้ งถึงใน สุรจิต ค ำมะสอน 2548:16) สรุปควำมหมำยของคำวำ่ วินยั หมำยถึง คุณลกั ษณะท่ีอยภู่ ำยในบุคคล ท่ีสำมำรถควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ใหป้ ฏิบตั ิตำมกฎหมำย และ ระเบียบแบบแผนตำมที่สังคมกำหนดเอำไว้ โดยใหถ้ ือวำ่ เป็นกำรบงั คบั ใหก้ ระทำ พนสั หนั นำคินทร์ และคณะ (2542:38 อำ้ งถึงในสุรจิต ค ำมะสอน 2548 :16 ) ให้ ควำมหมำยกำรมีวินยั หมำยถึง กำรปฏิบตั ิตำมกฎ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั คำส่ัง กติกำ และกฎหมำยตำมท่ีสังคม ได้วำงไวห้ รือตำมท่ีกลุ่มได้ตกลง อนั จะนำมำซ่ึงควำมสุข ควำมเจริญก้ำวหน้ำ ควำมมน่ั คง และควำม ปลอดภยั วนิ ยั พฒั นรัตนแ์ ละคณะ ( ม.ป.ป.:9 อำ้ งถึงใน สุรจิต ค ำมะสอน 2548 : 20 ) ไดใ้ หค้ วำมหมำยควำม มีระเบียบวินยั หมำยถึง กำรปฏิบตั ิตำมกฎ ขอ้ บงั คบั และกติกำต่ำง ๆ ท่ีสังคมกำหนดข้ึนเพ่ือให้เป็ นแนวทำง ในกำรปฏิบตั ิ และใช้ควบคุมควำมประพฤติ ของคนในสังคม เช่น กฎหมำย คำส่ัง คำประกำศระเบียบ โรงเรี ยนเป็ นตน้ รุจิร์ ภู่สำระ และคณะ( ม.ป.ป. อำ้ งถึงในสุรจิต ค ำมะสอน 2548:20) ไดก้ ล่ำวไวว้ ำ่ ควำมมีระเบียบ วินยั หมำยถึง กติกำ กฎ ขอ้ บงั คบั คำส่ัง หรือขอ้ กฎหมำยกำหนดไวเ้ ป็ นแนวปฏิบตั ิของคนในสงั คม เพื่อให้ เป็นไปดว้ ยควำมเรียบร้อยเช่น กฎ ลูกเสือ เป็นตน้ สุรจิต ค ำมะสอน (2548: 20 ) จำกควำมหมำยของวนิ ยั ท่ีผำ่ นมำขำ้ งตน้ สรุปไดว้ ำ่ วนิ ยั หมำยถึง กำร อยใู่ นระเบียบแบบแผน และขอ้ บงั คบั ของสังคม ดงั น้นั กำรส่งเสริมวนิ ยั ให้นกั เรียน จึงควรครอบคลุมถึงกำร ส่งเสริมพฒั นำนกั เรียนให้สำมำรถประพฤติ ปฏิบตั ิตนในระเบียบแบบแผนและขอ้ บงั คบั ของสถำนศึกษำ และสงั คมไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ภูมพิ ลอดุลยเดช “ ...กำรมีวนิ ยั มีควำมสำมคั คี และรู้จกั หนำ้ ที่ ถือกนั วำ่ เป็นคุณสมบตั ิสำคญั ประจำตวั ของคนทุกคน แตใ่ นกำรสร้ำงเสริมคุณลกั ษณะสำมขอ้ น้ี จะตอ้ งไมล่ ืมวำ่ วนิ ยั สำมคั คี และหนำ้ ที่น้นั เป็ นไป ท้งั ในทำงบวกและทำงลบ ซ่ึงยอ่ มให้คุณหรือใหโ้ ทษไดม้ ำกเท่ำ ๆ กนั ท้งั สองทำง เพรำะฉะน้นั เมื่อ จะอบรมจำเป็ นตอ้ งพิจำรณำใหถ้ ่องแทแ้ น่ชดั ก่อนวำ่ เป็ นวนิ ยั สำมคั คี และหนำ้ ท่ีท่ีดี คือปรำศจำกโทษ เป็ น ประโยชน์ เป็ นธรรม ไม่เคลือบแฝงไวด้ ว้ ยส่ิงชวั่ ร้ำย เช่น วินยั ก็ตอ้ งไม่ใช่วนิ ยั เพ่ือตน เพื่อหมู่คณะของตน เทำ่ น้นั ตอ้ งเป็นวนิ ยั เพอ่ื คนทุกคน เพ่ือคนส่วนใหญ่ เป็นวนิ ยั ที่ถูกตอ้ ง ที่เป็นกำรสร้ำงสรรค์ ท ำนองเดียวกนั

6 กำรสำมคั คีกนั ทำกำรหรือทำหน้ำที่อย่ำงใดอย่ำงหน่ึงก็จะตอ้ งเป็ นไปเพ่ือประโยชน์เก้ือกูล มิใช่เพื่อกำร เพมิ่ พนู ประโยชนเ์ ฉพำะพวกตน แลว้ เบียดเบียนผอู้ ่ืนใหเ้ ดือดร้อนเสียหำย จึงเห็นไดว้ ำ่ กำรสร้ำงวนิ ยั สำมคั คี และควำมรู้จกั หนำ้ ที่ให้แก่เยำวชนตอ้ งกระทำดว้ ยควำมเพง่ พินิจอยำ่ งละเอียดถ่ีถว้ นเป็ นพิเศษ มิฉะน้นั จะไม่ บงั เกิดผลที่พึงประสงคห์ รือซ้ำร้ำย อำจกลบั กลำยเป็ นกำรทำลำยอนำคตและควำมเจริญมนั่ คงของชำติไปก็ ได.้ ..” (พระรำชดำรัส พระรำชทำนแก่ผูบ้ งั คบั บญั ชำลูกเสือในโอกำสเขำ้ เฝ้ำทูลละอองธุลีพระบำทและรับ พระรำชทำนเหรียญลูกเสือสดุดี ณ ศำลำดุสิดำลยั พระรำชวงั ดุสิต 12 กรกฎำคม 2526) “...ครูที่แทน้ ้นั เป็ นผูท้ ำแต่ควำมดี คือ ตอ้ งหมน่ั ขยนั และอุตสำหะพำกเพียรตอ้ งเอ้ือเฟ้ื อเผอื่ แผแ่ ละ เสียสละ ตอ้ งหนกั แน่นอดกล้นั และอดทน ตอ้ งรักษำวินยั สำรวมระวงั ควำมประพฤติปฏิบตั ิของตนให้อยใู่ น ระเบียบแบบแผนที่ดีงำม ตอ้ งปลีกตวั ปลีกใจจำกควำมสะดวกสบำยและควำมสนุกรื่นเริงไม่สมควรแก่ เกียรติภูมิของตน ตอ้ งต้งั ใจไม่มนั่ คงแน่วแน่ ตอ้ งรักษำควำมจริงใจ ตอ้ งเมตตำหวงั ดี ตอ้ งวำงใจเป็นกลำง ไม่ ปล่อยใจไปตำมอคติตอ้ งอบรมปัญญำใหเ้ พ่ิมพูนสมบูรณ์ข้ึนท้งั ดำ้ นวทิ ยำกำรและควำมฉลำดรอบรู้ในเหตุผล ...” (พระรำชทำนแก่ขำ้ รำชกำรครูอำวโุ ส วนั ท่ี 28 ตุลำคม พ.ศ.2523) 2. ความสาคัญและความจาเป็ นในการสร้างระเบียบวนิ ัย อมรำ เล็กเริงสินธุ (2540: 205-206) ระเบียบวนิ ยั เป็นสิ่งสำคญั ดงั น้ี 1. วินัย เป็ นส่ิงท่ีช่วยให้คนสำมำรถควบคุมตนเอง กำรที่นักเรียนมีวินัย และสำมำรถ ควบคุมตนเอง จะมีผลดีในขณะที่เป็นนกั เรียนสำมำรถควบคุมตนเองใหอ้ ยใู่ นระเบียบวนิ ยั ในช้นั เรียน ทำให้ กำรดำเนินงำนของครูในช้นั เรียนเป็ นไปดว้ ยดี 2. วนิ ยั จะช่วยเตรียมตวั เดก็ สำหรับกำรดำเนินชีวติ ในภำยหนำ้ เพื่อเป็นสมำชิกท่ีสร้ำงควำม มีระเบียบ และควำมสงบสุขในสงั คม 3. ประเทศใดที่มีพลเมืองมีระเบียบวินยั ประเทศน้นั สำมำรถพฒั นำไดอ้ ยำ่ งรวดเร็วและมี ประสิทธิภำพ 4. ระเบียบวนิ ยั เป็นส่ิงจำเป็นในระบอบประชำธิปไตย ระเบียบในระบอบประชำธิปไตยไม่ ควรเป็นส่ิงท่ีบงั คบั มำจำกเบ้ืองบนแต่เพยี งอยำ่ งเดียว หำกควรเป็นส่ิงที่ตระหนกั จำกภำยในแต่ละบุคคล

7 พนสั หนั นำคินทร์( 2526 : 239 ) วนิ ยั เป็นกฎขอ้ ปฏิบตั ิท่ีใชค้ วบคุมควำมประพฤติของคนเพือ่ ใหเ้ กิด ควำมเป็นระเบียบในสงั คมดงั น้นั ระเบียบวนิ ยั จึงเป็ นส่ิงสำคญั มีผเู้ สนอควำมสำคญั ของระเบียบวนิ ยั ไวห้ ลำย ท่ำนซ่ึงพอสรุปไดด้ งั น้ีวินยั ช่วยเสริมสร้ำงให้ผูป้ ฏิบตั ิตำมเกิดควำมรู้สำนึกและควำมเคยชินที่จะประพฤติ ปฏิบตั ิตนไปในทำงท่ีดีงำมเป็ นมำตรฐำนระหวำงควำมประพฤติของกลุ่มบุคคลผปู้ ฏิบตั ิงำนในองคก์ ำรช่วย เตรียมตวั นกั เรียนสำหรับกำรดำเนินชีวิตในอนำคตจะไดใ้ ชส้ ิทธิเสรีภำพและควำมรับผดิ ชอบอยำ่ งถูกตอ้ ง ช่วยสร้ำงและรักษำไวซ้ ่ึงสภำพกำรณ์อนั จำเป็ นต่อควำมเจริญกำวหนำ้ ของโรงเรียนหำกขำดระเบียบวนิ ยั กำร ดำเนินงำนของโรงเรียนจะเตม็ ไปดว้ ยอุปสรรค เชำวม์ ณีวงศ์ (168 ) ช่วยใหน้ กั เรียนควบคุมดูแลตนเองและสังคมส่วนรวมไดด้ ว้ ยควำมสงบสุขเกิด สภำพแวดลอ้ มท่ีดีในกำรเล่ำเรียนกำรทำงำนช่วยนำคนไปสู่กำรทำควำมดีควำมเจริญเวน้ ขอ้ หำ้ มทำตำมคำส่ัง บำงประกำรเพ่ิมพลงั ในกำรทำงำนเกิดประสิทธิภำพและประสิทธิผลของงำน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มำกกวำ่ ส่วนตนสังคมเป็นสุขร่วมเยน็ ดงั น้นั พอสรุปควำมสำคญั ของวนิ ยั ไดว้ ่ำวินัยช่วยให้คนมีระเบียบในตนเองลดควำมขดั แยง้ เกิดควำมสำมคั คีดำรงตนอยูในสังคมและทำกิจกรรมใน ชีวติ ประจำวนั ไดอ้ ยำงมีควำมสุข ประดินนั ท์ อุปรมยั ( 2518 อำ้ งถึงในน.ส. ทิวำวรรณแสงพนั ธ์ 2542: 12 ) กล่ำวถึง ควำมสำคญั ของวนิ ยั ไวว้ ำ่ เมื่อบุคคลอยรู่ ่วมกนั เป็นกลุ่มยอ่ มมีควำมคิดเห็นและพฤติกรรมต่ำง ๆ กนั ถำ้ ปล่อย ให้บุคคลสำมำรถแสดงพฤติกรรมทุกอยำ่ งไดต้ ำมควำมพอใจสังคมกจ็ ะเกิดควำมสบั สน วุน่ วำยเน่ืองจำกแต่ ละคนก็ทำในส่ิงท่ีตนพอใจเท่ำน้นั ดงั น้นั กำรมีกฎเกณฑ์หรือระเบียบจำกดั พฤติกรรมของบุคคลไวบ้ ำ้ งจะ ช่วยให้กลุ่มคนหรือสังคมดงั กล่ำวอยดู่ ว้ ยกนั อยำ่ งเรียบร้อยมำกข้ึน วนิ ยั มิไดห้ มำยถึงกฎเกณฑห์ รือระเบียบ ขอ้ บงั คบั เฉพำะกลุ่มบุคคลเท่ำน้นั ยงั หมำยถึงกฎเกณฑห์ รือระเบียบวนิ ยั ภำยในตวั บุคคลดว้ ยในกลุ่มสงั คมใด ที่มีสมำชิกมีวินยั ในตนเองมำกแสดงวำกลุ่มสังคมน้นั ประกอบไปดว้ ยสมำชิกท่ีมีควำมรับผิดชอบมำกใน กรณีน้ีวินยั ในสังคมอำจไม่ตอ้ งสร้ำงข้ึนมำกนกั เช่น โรงเรียนใดมีนกั เรียนท่ีมีวินยั ในตนเองมำกคือรู้ว่ำ ตนเองจะต้องมำ โรง เ รี ยน เวลำ เท่ำใด จะอ อก จำกโ รง เ รี ยนไ ด้เม่ื อใด คว รแ ต่งกำย อย่ำงไ รคว ร แ ส ด ง กิริยำมำรยำทกบั ครูอำจำรยอ์ ยำ่ งไรและควรมีหนำ้ ท่ีในฐำนะนกั เรียนอยำ่ งไร เป็นตน้ โรงเรียนน้นั แทบจะไม่ ตอ้ งสร้ำงวนิ ยั ข้ึนมำบงั คบั เพื่อใหน้ กั เรียนตอ้ งปฏิบตั ิตำมอีกเลยแต่โดยควำมเป็ นจริงแลว้ จะพบวำ่ นกั เรียน ในโรงเรียนหน่ึง ๆ น้นั มำจำกสภำพแวดลอ้ มท่ีตำ่ งกนบำงคนไม่เคยไดร้ ับกำรฝึกใหม้ ีวนิ ยั มำก่อนเลย บำงคน เคยไดร้ ับกำรฝึ กอบรมใหม้ ีวนิ ยั ในตนเองมำแล้ว บำงคนขำดกำรดูแลดูแลเอำใจใส่ดำ้ นกำรอบรมส่ังสอนให้ มีวนิ ยั ฉะน้นั จึงจำเป็นเองท่ีโรงเรียนจะตอ้ งสร้ำงวนิ ยั ข้ึนมำเป็นระเบียบขอ้ บงั คบั ใหท้ ุกคนปฏิบตั ิตำม

8 เหมือนๆ กนั เช่น ระเบียบกำรแต่งกำยอนั ได้แก่ กำรไวท้ รงผม กำรแต่งเครื่องแบบ กำรสวมถุงเทำ้ และ ลักษณะของรองเท้ำหรือวินัยภำยในห้องเรี ยน อนั ได้แก่ กำรไม่นำขนมหรืออำหำรมำรับประทำนใน หอ้ งเรียน ไม่คุยหรือเล่นกนั เสียงดงั ในเวลำเรียน และไมน่ อนหลบั ในขณะที่ครูกำลงั สอน ศุภนิตย์ วฒั นธำดำ ( 2518 อำ้ งถึงใน ทิวำวรรณ แสงพนั ธ์ 2542: 13) ไดส้ รุปถึงควำมจำเป็นท่ีจะตอ้ ง มีวนิ ยั ไวด้ งั น้ี 1. ช่วยใหน้ กั เรียนเป็นผมู้ ีควำมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงำม 2. ช่วยสร้ำงควำมรับผดิ ชอบแก่บุคคล 3. ช่วยสร้ำงควำมสำมคั คีปรองดองในหมู่คณะ 4. ช่วยส่งเสริมหลกั ประชำธิปไตยทุคนจะตอ้ งรับผดิ ชอบควบคุมตนเอง 5. ช่วยใหค้ รุและนกั เรียนอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยำ่ งปกติสุข 6. ช่วยส่งเสริมกำรเรียนกำรสอนใหป้ ระสบควำมสำเร็จตำมจุดมุ่งหมำย สุรำงค์ จนั ทน์เอม (2524 อำ้ งถึงในน.ส.ทิวำวรรณ แสงพนั ธ์ 2542: 13 ) ไดก้ ล่ำวถึงหลกั กำรสร้ำง วนิ ยั ที่สำคญั มี 4 ประกำรคือ 1. เดก็ จะตอ้ งประพฤติตนในสิ่งที่ดีและขจดั พฤติกรรมท่ีไมพ่ งึ ปรำรถนำ 2. เด็กจะตอ้ งสร้ำงควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งควำมพึงพอใจกบั กำรกระทำดีและควำมพึงพอใจกบั กำร กระทำไมด่ ี นน่ั คือใหเ้ ด็กพอใจท่ีจะปฏิบตั ิในส่ิงที่ดีควรหลีกเลี่ยงกำรปฏิบตั ิในส่ิงท่ีไมด่ ีไมค่ วร 3. เด็กจะตอ้ งกระทำควำมดีจนกระทง่ั เกิดควำมเคยชิน หรือเกิดเป็นนิสัยโดยไม่ตอ้ งมีใครแนะนำ 4. เด็กจะตอ้ งเรียนรู้ถึงกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไมด่ ี ไม่พงึ ปรำรถนำของสงั คม ดงั น้นั เม่ือกล่ำวถึงระเบียบวนิ ยั จ ำเป็ นท่ีจะตอ้ งกล่ำวถึงกฎและระเบียบควบคู่กนั ไปดว้ ยเพรำะท่ีใด จะมีระเบียบวินยั ไดท้ ่ีนน่ั จะตอ้ งมีกฎเกณฑ์ต่ำง ๆ ต้งั ไว้ ประโยชน์ของกฎเกณฑ์ท่ีสำคญั มี 2 ประกำร คือ ประกำรแรก เป็ นส่ิงที่ทำให้เด็กเรียนรู้ถึงมำตรฐำนของกำรปฏิบตั ิท่ีจะทำให้สังคมท่ีเขำอยู่อำศยั ยอมรับ ประกำรท่ีสอง เป็นตวั ท่ีหยดุ ย้งั พฤติกรรมที่ไม่พงึ ปรำรถนำได้

9 นวลศิริ เปำโรหิต (2520อำ้ งถึงใน น.ส. ทิวำวรรณ แสงพนั ธ์ 2542: 13) ไดก้ ล่ำวไวว้ ำ่ วนิ ยั จดั วำ่ เป็ น สิ่งที่มีควำมสำคญั และมีควำมจำเป็ นต่อเด็ก เพรำะวินยั เป็ นเคร่ืองช่วยแนะแนวทำงควำมประพฤติของเด็ก ควำมมุ่งหมำยที่แทจ้ ริงของวินยั ก็คือ กำรท่ีเด็กเกิดควำมตอ้ งกำรท่ีจะทำสิ่งที่ดีและเป็ นประโยชน์แก่สังคม ดว้ ยตนเองวินยั ที่แทจ้ ริงน้นั ไม่ใช่กำรบงั คบั ให้กระทำตำม แต่เป็ นเกณฑ์ที่วำงไวเ้ พ่ือให้ทุกคนในสังคมได้ ยึดถือเป็ นแนวปฏิบตั ิ วินยั ท่ีสูงสุด คือ กำรมีวินยั ในตนเอง ซ่ึงไดแ้ ก่กำรรู้จกั ปกครองตนเองควบคุม และ แนะนำ ตนเองใหป้ ระพฤติในทำงท่ีดีงำมอยเู่ สมอ มำโนช ตณั ชวำนิชย์ ( 2525 อำ้ งถึงใน น.ส.ทิวำวรรณ แสงพนั ธ์ 2542:13) เขียนบทควำมให้เห็นถึง คุณค่ำของระเบียบวินยั กบั ควำมสงบเรียบร้อยของส่วนรวมไวว้ ่ำในกำรอยู่ร่วมกนั ของสังคมแต่ละกลุ่ม ประกอบดว้ ยคนจำนวนมำก ซ่ึงมีพ้ืนฐำนระดบั กำรศึกษำ ควำมรู้ จิตใจ กำรอบรม ควำมนึกคิดแตกต่ำงกนั ควำมตอ้ งกำรสิ่งต่ำง ๆ ในกำรดำรงชีวิตก็ยอ่ มแตกต่ำงกนั ไปดว้ ย นอกจำกน้ี ผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มก็ ไม่ตรงกนั แต่จะใหส้ ังคมอยูอ่ ยำ่ งอิสระตำมควำมพึงพอใจ เป็ นไปไม่ได้ ควำมสับสนวุ่นวำยในสังคมย่อม เกิดข้ึนไม่มีสิ้นสุด เพื่อควำมสงบเรียบร้อยของคนส่วนรวมในกำรอยู่ร่วมกน จึงตอ้ งมีระเบียบแบบแผน ควบคุมควำมประพฤติของบุคคลในสงั คม หรือจะกล่ำวอีกอยำงหน่ึงวำ่ ระเบียบแบบแผนขอ้ บงั คบั ขอ้ ปฏิบตั ิ ท้งั ปวงเรียกว่ำ วินัย วินัยเป็ นสิ่งที่ควบคุมให้บุคคลประพฤติปฏิบตั ิต่อกนั เป็ นไปด้วยควำมเรียบร้อยของ สังคมน้นั ๆ เช่น สมำชิกของสังคมตอ้ งปฏิบตั ิตำมกฎขอ้ บงั คบั ของทำงรำชกำรที่กำหนดไว้ นกั กีฬำตอ้ ง ปฏิบตั ิตำมกติกำในกำรแข่งขนั นกั เรียน นิสิต นกั ศึกษำ ตอ้ งปฏิบตั ิตำมระเบียบขอ้ บงั คบั ของสถำนศึกษำที่ กำหนด พระสงฆต์ อ้ งปฏิบตั ิตำมศีลหรือวินยั ท่ีพระพุทธเจำ้ ทรงบญั ญตั ิ ขำ้ รำชกำรพลเรือนและทหำรตอ้ ง ปฏิบตั ิตำมวินัย เป็ นตน้ กำรมุ่งให้กำรศึกษำแก่พลเรือนให้มีวิชำควำมรู้และมีสุขภำพท้งั ร่ำงกำยและใจ สมบูรณ์ยงั ไม่เป็ นกำรเพียงพอ ตอ้ งมุ่งผลผลิตคนให้มีวินยั รู้จกั รับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน และ ประเทศชำติดว้ ย อำรี รังสินนั ท์ (2529 อำ้ งถึงใน น.ศ. ทิวำวรรณ แสงพนั ธ์ 2542 :14) ควำมจำเป็ นของระเบียบวนิ ยั มี 4 ขอ้ คือ 1. จำเป็ นเพ่ืออยู่ร่วมกนั ในสังคม คนจะอยู่ในสังคมได้อย่ำงมีควำมสุข ก็ต่อเม่ือเขำไดเ้ รียนรู้ถึง เกณฑ์ หรือมำตรฐำน ซ่ึงเป็นที่ยอมรับของสงั คมน้นั เสียก่อน 2. จำเป็ นสำ หรับท่ีจะใหบ้ ุคคลบรรลุถึงวุฒิภำวะ เด็กจะตอ้ งสร้ำงบุคลิกภำพแห่งควำมเป็ นผูใ้ หญ่ ซ่ึงไดแ้ ก่กำรควบคุมตนเอง กำรพ่ึงตนเองและควำมอดทน หำกเด็กไม่ไดร้ ับกำรฝึ กในดำ้ นระเบียบวนิ ยั เขำ จะ เติบโตเป็นผใู้ หญ่ที่มีควำมอดทนและพ่งึ ตนเองไดย้ ำก

10 3. จำเป็นท่ีจะใหค้ นรู้ผดิ ชอบดีชวั่ ทำในส่ิงอนั ควรและไม่ทำในส่ิงที่ไม่ควร 4. จำเป็ นสำหรับควำมมนั่ คงทำงอำรมณ์ของเด็ก เด็กอำจจะไม่แน่ใจวำ่ เขำควรทำอะไร ไดแ้ ค่ไหน เพรำะเขำขำดประสบกำรณ์ ระเบียบวินยั จะเป็นเกณฑ์ หรือเป็ นแนวทำงให้เขำปฏิบตั ิ เขำจะสบำยใจและไม่ สบั สนเม่ือเขำทรำบวำ่ เขำควรทำ เขำกจ็ ะมีควำมมน่ั คงในอำรมณ์เกิดข้ึน 3. โครงสร้างและขอบข่ายของวนิ ัย กำรวจิ ยั ผวู้ จิ ยั ไดก้ ำหนดขอบเขตของวนิ ยั นกั เรียนไว้ ดงั น้ี 3.1 วนิ ัยการตรงต่อเวลา ความหมายของการตรงต่อเวลา พนสั หนั นำคินทร์และคณะ (2542 : 60 อำ้ งถึงในสุรจิต ค ำมะสอน 2548: 27 ) ไดใ้ หค้ วำมหมำยกำร ตรงตอ่ เวลำไวว้ ำ่ หมำยถึงกำรทำงำนหรือทำกิจกรรมอยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึงไดส้ ำเร็จตำมกำหนดเวลำ วินยั พฒั นรัตน์ และคณะ (ม.ป.ป. :16 อำ้ งถึงในสุรจิต ค ำมะสอน 2548 :27 ) ไดส้ รุปวำ่ กำรตรงต่อ เวลำหมำยถึงกำรทำงำนหรือกำรปฏิบตั ิหน้ำท่ีให้ตรงเวลำหรือทนั เวลำตำมท่ีกำหนดกำรฝึ กให้ตรงต่อเวลำ เป็นส่วนหน่ึงของกำรสร้ำงควำมมีระเบียบวนิ ยั รุจิน์ ภู่สำระ และคณะ (ม.ป.ป. : 29 อำ้ งถึงใน สุรจิต ค ำมะสอน 2548: 27 ) กล่ำวไวว้ ำ่ กำรตรงต่อ เวลำ หมำยถึงกำรทำกิจกรรมใด ๆใหส้ ำเร็จไปตำมท่ีกำหนดไว้ ไม่ผดั วนั ประกนั พรุ่ง และเม่ือรู้วำ่ ทำสิ่งใด ล่ำชำ้ กวำ่ ที่กำหนดก็ไมน่ ่ิงนอนใจควรรีบทำงำนน้นั ใหส้ ำเร็จ เพื่อมิใหล้ ่ำชำ้ กวำ่ กำหนดมำกกวำ่ เดิม สวสั ด์ ปทุมรำช (ม.ป.ป.:2 อำ้ งถึงใน สุรจิต ค ำมะสอน 2548: 27 ) ไดใ้ หค้ ำจำกดั ควำมกำรตรงต่อ เวลำหมำยถึง กำรปฏิบตั ิงำนหรือกิจกรรมอยำ่ งหน่ึงอยำ่ งใดใหเ้ สร็จตำมท่ีกำหนด เช่นนกั เรียนทำแบบฝึ กหดั ส่งทนั ตำมเวลำที่ครูกำหนดทุกคร้ัง สรุปได้ว่ำ กำรตรงต่อเวลำเป็ นกำรกระทำกิจกรรมใด ๆ ที่ตอ้ งมีกำรวำงแผนและให้เสร็จตำม กำหนดเวลำ ซ่ึงถือวำ่ เวลำเป็นสิ่งท่ีมีครูค่ำท่ีสุดเมื่อเวลำผำ่ นไปแลว้ เรำไม่สำมำรถเรียกกลบั มำคืนได้ ดงั น้นั เรำตอ้ งบริหำรเวลำให้คุม้ ค่ำมำกที่สุดเทำ่ ท่ีเป็ นไปได้ ถำ้ หำกปล่อยเวลำใหผ้ ำ่ นไปโดยเปล่ำประโยชน์ ไม่เกิด ประโยชน์อะไรข้ึนมำเลย ก็จะเสียโอกำสในภำยหลงั กำรที่จะมีควำมสุขที่สุด คือกำรรู้จกั จดั กำรและมีกำร วำงแผนกำรใช้เวลำในกำรทำกิจกรรมใด ๆ ให้ถูกตอ้ งและพยำยำมทำให้เสร็จสิ้นตำมกำหนดเวลำและ เป็นไปตำมเป้ำหมำยที่วำงไวท้ ำใหช้ ีวติ มีควำมสุขตลอดจนอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนและสงั คมไดด้ ว้ ยตนเอง

11 การเสริมสร้างและพฒั นาวนิ ัย จรวยพรธรณินทร์ไดส้ รุปขอ้ เสนอแนะไว้ 7 ประกำรเพอื่ เป็นแนวทำงในกำรสร้ำง เสริมและพฒั นำวนิ ยั ดงั น้ี 1. วนิ ยั จริยธรรมจรรยำบรรณวชิ ำชีพและสมรรถนะกำรทำงำนดำ้ นคุณธรรมจริยธรรมไม่สำมำรถ แยกออกจำกกนตอ้ งทำควบคูก่ นั ไป 2. กำรพฒั นำวินยั ขำ้ รำชกำรควรทำท้งั กำรเสริมสร้ำงและกำรป้องกนั มำกกว่ำปล่อยใหเ้ กิดข้ึนแลว้ ตำมไปแกไ้ ขแมว้ ำ่ กำรเสริมสร้ำงวนิ ยั ในเชิงบวกและสร้ำงสรรคม์ ีควำมสำคญั มำกแต่ เกิดผลไดช้ ำ้ เพรำะคนส่วนใหญ่ยงั หวงั ผลตอบแทนจำกกำรทำดีและอยำกใหเ้ กิดผลอยำ่ งรวดเร็วทนั ใจ 3. กำรกำหนดนโยบำยให้ขำ้ รำชกำรมีวินยั ตอ้ งทำให้ครบ 3 กระบวนกำรต้งั แต่กำรให้ควำมรู้กำร สร้ำงจิตสำนึกและกำรถือปฏิบตั ิใหเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของวถิ ีชีวติ 4. ส่วนรำชกำรควรมียุทธศำสตร์โครงกำรและกิจกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กำรพฒั นำวินยั อย่ำงชดั เจน และใชก้ บั ทุกคนโดยเฉพำะคนกลุ่มเสี่ยงท่ีมีคุณลกั ษณะ 6 ประกำรไดแ้ ก่ 4.1 คนที่ไมเ่ ช่ือกฎแห่งกรรมวำทำดีไดด้ ี 4.2 คนท่ีสำคญั ผดิ วำ่ ตนเองมีอำนำจจะทำอยำ่ งไรก็ได้ 4.3 คนท่ีตอ้ งกำรลำภยศโดยไม่คำนึงถึงที่มำวำ่ ถูกตอ้ งเหมำะสมหรือไม่ 4.4 คนที่คดในขอ้ งอในกระดูกจิตใจใฝ่ ต่ำ 4.5 คนที่ยอมถูกอำนำจชวั่ ครอบงำ 4.6 คนท่ีอำ้ งวำจำใจทำเพรำะกลวั เสียผลประโยชน์ 5. กำรสร้ำงหลกั สูตรเพ่ือกำรฝึ กอบรมและพฒั นำวนิ ยั น้นั ใหค้ ำนึงถึงวธิ ีกำรที่เหมำะสมกำรบรรยำย หรือให้ควำมรู้อยำ่ งเดียวไม่เพียงพอที่จะปรับเปล่ียนพฤติกรรมของคนจะตอ้ งใช้วิธีกำรหลำกหลำยรูปแบบ และสำระให้ตรงกบั กลุ่มเป้ำหมำยต้งั แต่ขำ้ รำชกำรบรรจุใหม่ระดบั ผูป้ ฏิบตั ิและระดบั ผูบ้ ริหำรและควรมี สำระที่สอดคลอ้ งกบั วฒั นธรรมและลกั ษณะภำรกิจเฉพำะขององคก์ รน้นั ๆ ดว้ ย

12 6. ในระดบั องคก์ รควรกำหนดใหก้ ำรสร้ำงเสริมวินยั เป็ นนโยบำยขององคก์ รโดยมีขอ้ ปฏิบตั ิไม่มำก ขอ้ จำได้ง่ำยไม่เปล่ียนบ่อยมีกำรจดั ทำระบบข้อมูลพ้ืนฐำนในกำรบริหำรงำนบุคคลท่ีเปิ ดเผยโปร่งใส ตรวจสอบไดก้ ำรจดั กำรควำมรู้ให้เกิดอยำ่ งทว่ั ถึงท้งั องคก์ รมีกำรคน้ หำตน้ แบบใหเ้ ป็ นตวั อยำ่ งที่ดีและกรณีที่ ควรหลีกเล่ียงเพรำะมีควำมเสี่ยงสูงท่ีจะกระทำผิด รวมท้งั ควรจดั ทำประกำศแนวกำรลงโทษทำงวนิ ยั เพ่ือให้ เกิดเป็ นมำตรฐำนโทษในทิศทำงเดียวกนั 7. หำกหวงั ผลกำรพฒั นำให้บุคคลมีคุณธรรมอยำ่ งยงั่ ยนื ควรมียทุ ธศำสตร์ในกำรพฒั นำใหค้ รบ 7 ข้นั ตอนไดแ้ ก่ 7.1 ใหร้ ู้วำอะไร ดีอะไรชวั่ 7.2 สร้ำงควำมตระหนกั รู้บำปบุญคุณโทษ 7.3 ไปดูแบบอยำงที่ดีเพ่อื รู้จกั และสร้ำงคุณค่ำ 7.4 รวมกนเป็ นกลุ่มมีขอ้ ตกลงท่ีจะทำร่วมกนั 7.5 มีกำรชื่นชมยกยองวำ่ กำรกระทำใดเป็นกำรกระทำดี 7.6 ใหโ้ อกำสไดแ้ สดงผลงำนรู้จกั กำรบริหำร 7.7 ไดร้ ับเกียรติหรือรำงวลั จนเป็นอุดมกำรณ์ไปตลอดชีวติ งานวจิ ยั ทเี กย่ี วข้อง คชภคั กุลกวีวุฒิ (2554) ไดท้ ำกำรศึกษำเรืองกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกำรมำเรียนของนกั เรียนช้นั มธั ยมปี ท่ี 5B โดยจุดมุ่งหมำยของกำรศึกษำคร้ังน้ีคือเพื่อใหผ้ เู้ รียนเวลำและมำเรียนให้ทนั เวลำในคำบเรียน ท่ี 1 กลุ่มตวั อยำ่ งในกำรศึกษำไดแ้ ก่นกั เรียนช้นั นมธั ยมปี ท่ี 5B ในปี กำรศึกษำ 2554 เคร่ืองมือที่ ใชใ้ นกำรศึกษำไดแ้ ก่ แบบบนั ทึกกำรรำยงำนตวั ประจำวนั ของนกั เรียนท่ีมีสถิติกำรมำสำยบ่อย ๆโดยเกบ็ เป็นสถิติในแต่ละวนั และสรุปเป็นรำยเดือนตำมเอกสำรของทำงโรงเรียน ผลกำรศึกษำ พบวำ่ หลงั มีกำรปรับพฤติกรรมตำมเงื่อนไข เช่นกำรพูดคุย และรำยงำนตวั ในตอนเชำ้ กบั ครูประจำช้นั เป็ น ประจำ กำรตอบคำถำมบำงคร้ังตำมควำมเหมำะสมซ่ึงเป็ นคำถำมส้ัน ๆ อย่ำงสม่ำเสมอ พร้อมท้งั งร่วมกนั หำทำงแกไ้ ขปัญหำท่ีเกิดข้ึนทำให้นกั เรียนมีกำรพฒั นำกำรดำ้ นกำรมำเรียนและมีควำมรับผดิ ชอบในกำรมำ เรียนดีข้ึน

13 วนิดำ ภำชนะสุวรรณ (2550) ไดว้ ิจยั ในช้นั เรียนเร่ืองกำรปรับปรุงพฤติกรรมกำรเขำ้ ช้นั เรียนใหต้ รง ต่อเวลำของ นักศึกษำช้ันปวช.3/6 แผนกช่ำงอิเล็กทรอนิกส์วิทยำลัยเทคนิคชลบุรีวิชำระบบสื่อสำร โทรคมนำคม ผลกำรวจิ ยั ภำยหลงั จำกกำรปรับพฤติกรรมกำรเขำ้ ช้นั เรียนสำยของนกั ศึกษำกลุ่มดงั กล่ำว โดย ใชข้ อ้ ตกลงบำเพญ็ ประโยชนก์ รณีมำสำย พบวำนกั ศึกษำมีพฤติกรรมกำรเขำ้ เรียนตรงต่อเวลำมำกข้ึน และถึง ก่อนเวลำ ประมำณ 3-5 นำทีโดยข้ึนมำนงั่ รอหนำ้ ห้องเรียน และอยูใ่ นควำมสงบไม่ส่งเสียงดงั รบกวนผูอ้ ่ืน และในผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียนพบวำ่ มีกำรพฒั นำไปในทำงท่ีดีข้ึน สำรวทิ ย์ (2548) กำรแกไ้ ขปัญหำกำรเขำ้ ช้นั เรียนไมต่ รงตำมเวลำเรียนของนกั ศึกษำช้นั ปวช. 2กลุ่ม 1 ภำคเรียนท่ี 1 ปี กำรศึกษำ 2548 แผนกวชิ ำช่ำงอิเล็กทรอนิกส์วิชำ เครื่องรับวทิ ยุ เอ.เอม็ .– เอฟ. เอ็ม. โดยใช้แบบสอบถำมปัญหำในช้นั เรียน แบบสัมภำษณ์นักศึกษำพร้อมขอ้ มูลส่วนตวั แบบประเมิน พฤติกรรมนกั ศึกษำ มีกลุ่มเป้ำหมำย 4 คน ผลจำกำรใชเ้ คร่ืองมือวจิ ยั กบั กลุ่มเป้ำหมำย 4 คน พบวำ่ นกั ศึกษำ ท้งั 4 คน ไมม่ ีใครมำสำยอีกเลยในกำรใชเ้ ครื่องมือแบบประเมินพฤติกรรมในคร้ังที่ 5

บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินการวจิ ยั กำรศึกษำวจิ ยั คร้ังน้ีผูว้ จิ ยั ไดด้ ำเนินกำรศึกษำเรื่อง พฤติกรรมกำรเขำ้ เรียนสำยของนกั ศึกษำ มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั นครปฐม ซ่ึงมีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ประชำกรและกลุ่มตวั อยำ่ ง 2. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นกำรวจิ ยั 3. กำรสร้ำงและพฒั นำคุณภำพเครื่องมือ 4. กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล 5. กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง กลุ่มประชำกรท่ีใชใ้ นกำรศึกษำคร้ังน้ี คือ นกั ศึกษำมหำวทิ ยำลยั รำชภฏั นครปฐม สำขำกำพฒั นำ ชุมชน ซ่ึงมีประชำจำนวนท้งั หมด 336 คน กำรสุ่มตวั อยำ่ งท่ีทำกำรศึกษำคร้ังน้ี คือ ใชก้ ำรสุ่มทุกระดบั ช้นั ปี แบบช้นั ภูมิ เน่ืองจำกไมส่ ำมำรถ เกบ็ ขอ้ มูลประชำกร 336 คน ผวู้ จิ ยั จึงไดน้ ำจำนวนประชำกรท้งั หมดมำคำนวณเพอ่ื หำขนำดของกลุ่มตวั อยำ่ งตำมสูตรของ Yamane โดยกำหนดระดบั ควำมเชื่อมนั่ ท่ี 95% และมีคำ่ ควำมคลำดเคล่ือนที่ 0.05% ดงั น้ี N สูตร n= 1 + Ne2 โดย n = ขนำดของกลุ่มตวั อยำ่ ง N = จำนวนประชำกรท้งั หมด e = ค่ำควำมคลำดเคลื่อนของกำรสุ่มกลุ่มตวั อยำ่ ง เม่ือนำมำแทนคำ่ จะไดด้ งั น้ี n = 336 1 + 336(0.05)2

14 = 336 1 + (336)(0.0025) = 336 1 + 0.84 = 336 1.84 จำกกำรคำนวณจะไดค้ ำตอบดงั น้ี n = 182.6 ≈ 183 ดงั น้นั ในกำรวจิ ยั คร้ังน้ีผวู้ จิ ยั ไดข้ นำดกลุ่มตวั อยำ่ งเท่ำกบั 183 คน กำรคำนวณเพื่อหำขนำดของกลุ่มตวั อยำ่ งแบบกำรสุ่มตวั อยำ่ งแบบแบง่ ช้นั ภูมิ ดงั น้ี นกั ศึกษำช้นั ปี ที่ 1 จำนวน 102 คน = 183 336 = (0.54)(102) = 55.5 ≈ 56 นกั ศึกษำช้นั ปี ที่ 2 จำนวน 74 คน = 183 336 = (0.54)(74) = 40.3 ≈ 40 นกั ศึกษำช้นั ปี ที่ 3 จำนวน 76 คน = 183 336 = (0.54)(76) = 41.3 ≈ 41

15 นกั ศึกษำช้นั ปี ที่ 4 จำนวน 84 คน = 183 336 = (0.54)(84) = 45.7 ≈ 46 จำกกำรคำนวณไดค้ ำตอบดงั น้ี 56 + 40 + 41 + 46 = 183 ดงั น้นั กลุ่มตวั อยำ่ งของนกั ศึกษำแต่ละช้นั ปี คือ นกั ศึกษำช้นั ปี ที่ 1 จำนวน 56 คน นกั ศึกษำช้นั ปี ท่ี 2 จำนวน 40 คน นกั ศึกษำช้นั ปี ท่ี 3 จำนวน 41 คน และจำนวนนกั ศึกษำช้นั ปี ท่ี 4 จำนวน 46 คน รวมท้งั สิ้น จำนวน 183 คน เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นกำรเกผบั รวบรวมขอ้ มูลเพื่อกำรวจิ ยั คือแบบสอบถำมที่สร้ำงข้ึนจำกกำรรวบรวม ทฤษฎีเอกสำรงำนวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง และกำรสงั เกตุพฤติกรรมซ่ึงมีรำยละเอียด ดงั น้ี ตอนที่ 1 ขอ้ มูลทวั่ ไป ประกอบดว้ ย ระดบั ช้นั ปี เพศ ผูต้ อบตอ้ งเลือกคำตอบเพยี งขอ้ เดียวเทำ่ น้นั ตอนที่ 2 พฤติกรรมกำรเขำ้ เรียนสำย ประกอบดว้ ย กำร เคย หรือ กำรไมเ่ คย มีพฤติกรรมเขำ้ เรียน สำย เหตุผลของกำรเขำ้ เรียนสำย การสร้างและพฒั นาคุณภาพเคร่ืองมือ ผวู้ จิ ยั ไดส้ ร้ำงเครื่องมือแบบสำรวจพฤติกรรม ดงั น้ี 1. ศึกษำแนวคิด ทฤษฎี ผลงำนวจิ ยั และงำนวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง 2. กำหนดเน้ือหำของคำถำมใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคท์ ี่ตอ้ งกำรศึกษำ 3. สร้ำงแบบสอบถำมพฤติกรรม เพ่อื ใชเ้ ป็ นเครื่องมือในกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล 4. ตรวจเช็ครำยละเอียดควำมถูกตอ้ งของขอ้ คำถำมที่จอ้ งกำรศึกษำวำ่ ถูกตอ้ งหรือไม่ 5. นำแบบสำรวจพฤติกรรมไปใชเ้ ก็บขอ้ มูลที่ตอ้ งกำรจะศึกษำกบั กลุ่มตวั อยำ่ ง

16 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในกำรศึกษำวจิ ยั คร้ังน้ี ประกอบดว้ ย ผวู้ จิ ยั ไดจ้ ดั ทำแบบสอบถำมข้ึน โดยใหน้ กั ศึกษำมหำวทิ ยำลยั รำชภฏั นครปฐม สำขำพฒั นำชุมชน เป็นผทู้ ำแบบสอบถำม หลงั จำกเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผวู้ จิ ยั ไดท้ ำกำรตรวจสอบ แลว้ นำขอ้ มูลที่ไดม้ ำประมวลผลเพ่อื ทำสรุป ผลกำรวจิ ยั การวเิ คราะห์ข้อมูล กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูลจำกกำรศึกษำในคร้ังน้ีแบบเป็นกำรวเิ ครำะห์แบบเชิงพรรณนำ ดงั น้ี คำ่ ร้อยละ คือ กำรอธิบำยขอ้ มูลของนกั ศึกษำ ประกอบดว้ ย ระดบั ช้นั ปี เพศ

16 บรรณานุกรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook