๑ ความนา กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายการพัฒนาการศึกษาปฐมวัยอย่างจริงจังและต่อเน่ืองโดยได้ ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช ๒๕๖๐ เพ่ือใช้ในการจัดการศึกษาปฐมวัยท่ีต้องพัฒนาเด็ก ต้ังแต่แรกเกิด – ๖ ปี ให้มีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นการเตรียมความพร้อมท่ีจะเรียนรู้และสร้ างรากฐานชีวิตใช้ พัฒนาเด็กปฐมวัยไปสู่ความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในตนเอง และมีความรับผิดชอบต่อ ตนเองครอบครัว ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ อาศัยความตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ (๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๐ กาหนดไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับ การศึกษาข้ันพ้ืนฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างท่ัวถึงและมีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” และ พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๕ กาหนดให้คนพิการมีสิทธิทาง การศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมท้ังได้รับเทคโนโลยีส่ิงอา นวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษาเลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบ และรูปแบบการศึกษาโดยคานึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจาเป็น พิเศษเฉพาะบุคคลนั้น ดังนั้นเพื่อให้การจัดการศึกษาสาหรับเด็กพิการได้รับการพัฒนาต้ังแต่แรกเกิดถึง ๖ ปีให้มีพัฒนาการ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและมีสติปัญญาท่ีเหมาะสมเต็มศักยภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ เขต การศึกษา ๑ จังหวัดนครปฐม ได้แต่งต้ังคณะทางานพัฒนาหลักสูตรปฐมวัยสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจา เป็นพิเศษ พุทธศักราช ๒๕๖๓ โดยคณะทางานได้เพ่ิมทักษะจาเป็นเฉพาะความพิการสาหรับเด็กพิการแต่ละ ประเภท เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความพิการและศักยภาพของแต่ละบุคคล หลักสูตรน้ีจึงเหมาะสาหรับ ศูนย์การศึกษาพิเศษ นอกจากน้ีสถานศึกษา สถานพัฒนาเด็กเล็กและหน่วยงานท่ีมีเด็กท่ีมีความต้องการจา เป็นพิเศษ สามารถนาไปใช้เป็นกรอบและแนวทางในการพัฒนาเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษระดับ ปฐมวัยให้มีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา และทักษะที่จาเป็นสาหรับเด็กพิการแต่ ละประเภทเพ่ือให้ดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
๒ ปรัชญาการศกึ ษาศิลปะปฐมวัยสาหรบั เดก็ ที่มคี วามต้องการจำเป็นพเิ ศษ การศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ เป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง ๖ ปี บริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวมบนพ้ืนฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ท่ีสนองต่อ ธรรมชาติและพัฒนาการตามสภาพความพิการของเด็กแต่ละบุคคลให้เต็มศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคมและ วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐาน คุณภาพ ชวี ติ ใหเ้ ด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเองครอบครัว สงั คม และประเทศชาติ วิสัยทััศน์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ มุ่งพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการ พัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา และทักษะท่ีจาเป็นสาหรับเด็กพิการแต่ละประเภท อย่าง มีคุณภาพและต่อเน่ือง ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขและเหมาะสมตามศักยภาพ มี ทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นคนดี มีวินัย และสานึกความเป็นไทย โดย ความรว่ มมือระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชนและทุกฝุายทเ่ี ก่ียวข้องกับการพัฒนาเด็ก หลกั การ เดก็ ทุกคนมีสิทธิทจ่ี ะได้รับการอบรมเลยี้ งดูและการส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตลอดจนไดร้ ับการจัดกิจกรรมศิลปะการเรียนรู้อย่างเหมาะสมด้วยปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างเด็กกับพอแม่ เด็ก กบั ผสู้ อน เด็กกับผู้เล้ียงดู หรือผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนาและใ ห้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลาดับข้ันของพัฒนาการทุกด้านอย่างเป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเต็ม ตามศกั ยภาพ โดยกาหนดหลักการ ดังนี้ ๑. สง่ เสรมิ กระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ทกุ คน ๒. ยึดหลักการอบรมเล้ียงดูและให้การศึกษา ท่ีเน้นเด็กเป็นสาคัญ โดยคานึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบคุ คล และวถิ ชี ีวิตของเดก็ ตามบรบิ ทของชุมชน สังคมและวฒั นธรรมไทย ๓. ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย มีกิจกรรมท่ี หลากหลาย ได้รบั เทคโนโลยี สื่อ สิ่งอานวยความสะดวก บริการและความชวยเหลืออนใดทางการศึกษา ได้ ลงมอื กระทาในสภาพแวดลอ้ มทเี่ อ่ือตอ่ การเรยี นรู้เหมาะสมกับ สภาพความพกิ าร และมกี ารพักผอ่ นเพียงพอ ๔. จัดกิจกรรมศิลปะการเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลัก ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มวี นิ ยั และมีความสุข ๕. สร้างความรู้ ความเข้าใจ และประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กระหว่าง สถานศึกษากับ พอ่ แม่ ครอบครวั ชมุ ชน และทกุ ฝ่ายท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั การพฒนาเดก็ ปฐมวยั ทม่ี ีความต้อง การจาเป็นพิเศษ
๓ หลักสตู รศลิ ปะปฐมวัย สาหรบัั เด็กทีัม่ คัี วามตอั้ งการจาเปน็ พเิ ศษ ตั้ังแตัแรกเกดิ -6ัปี
๔ หลกั สตู รศิลปะสาหรับเดก็ ทมี่ ีความต้องการจาเปน็ พเิ ศษสาหรับเดก็ อายแุ รกเกดิ ั-๖ัปี หลักสูตรกิจกรรมศิลปะสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษอายุแรกเกิด - ๖ ปี เป็น การจัด กิจกรรมโดยมงุ่ เนน้ ใหน้ กั เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติจรงิ ประกอบดว้ ย 4 แนวทางตามหลักทศั นศลิ ป์ คือ จิตรกรรม (เขียน วาด ระบาย) ประติมากรรม (ป้ัน) ภาพพิมพ์ และประยุกต์ศิลป์ (ศิลปะประดิษฐ์ และmix media) เด็กจะไดร้ ับการพฒั นาทั้งด้านรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม สติปัญญา และทักษะที่จาเป็นสาหรับเด็กพิการ แต่ละประเภทตามสภาพความพิการและความสามารถของแต่ละบุคคลผ่านหลักสูตรศิลปะ แผนการจัดการ เรยี นรศู้ ลิ ปะและกจิ กรรมนนั ทนาการศิลปะ (แผนการสอน) จุดหมาย หลกั สตู รศลิ ปะสาหรับเด็กที่มคี วามตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ มุ่งให้เด็กที่มีความต้องการ จาเป็นพิเศษมี พฒั นาการเตม็ ตามศกั ยภาพ และมคี วามพร้อมในการเรยี นรู้ต่อไป จึงกาหนด จุดหมายเพื่อให้เกิดกับเด็กเมื่อ จบการศึกษาระดับปฐมวยั ดงั นี้ ๑. หน่วยการเรียนรู้ทักษะ งานจิตรกรรม มีทักษะ ขีด เขียน วาด ระบาย ที่เหมาะสมกับวัยและ ความบกพร่องของเดก็ แตล่ ะประเภท 2. หน่วยการเรยี นร้ทู ักษะ งานประติมากรรม มีทักษะการป้ัน ทุบ คลึง บีบ นวด หล่อ ที่เหมาะสม กับวัยและความบกพร่องของเดก็ แต่ละประเภท ๓. หน่วยการเรียนรู้ทักษะ งานภาพพิมพ์ มีทักษะการขูด กด เป่า พับ กลิ้ง ดึง ที่เหมาะสมกับวัย และความบกพร่องของเดก็ แตล่ ะประเภท 4. หน่วยการเรียนรู้ทักษะ ประยุกต์ศิลป์ มีทักษะการขยา ติดปะ พร้อมกับการผสมผสานงาน ทัศนศิลป์ท่เี หมาะสมกบั วัยและความบกพรอ่ งของเด็กแต่ละประเภท กลมุ เปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมายตามหลักสูตรศิลปะสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ตามประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรือ่ ง กาหนดประเภทและหลักเกณฑข์ องคนพิการทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๕๒ ๑. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อย จนถึง ตาบอดสนทิ ซึง่ แบง่ เป็น ๒ ประเภทดังนี้ ๑.๑ คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมากจนต้องใชส่ือสัมผัสและส่ือเสียงหากตรวจวัด ความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ ๖ ส่วน ๖๐ (๖/๖๐) หรือ ๒๐ ส่วน๒๐๐ (๒๐/๒๐๐) จนถงึ ไมส่ ามารถรบั รเู้ รื่องแสง ๑.๒ คนเหน็ เลือนราง หมายถึง บุคคลท่ีสูญเสียการเห็นแต่ยังสามารถอ่านอักษรตัวพิมพ์ขยายใหญ่ ดว้ ยอุปกรณเ์ ครื่องช่วยความพกิ ารหรือเทคโนโลยสี ง่ิ อานวยความสะดวกหากวัดความ ชัดเจนของสายตาข้าง ดเี มือ่ แก้ไขแลว้ อยู่ในระดับ ๖ สว่ น ๑๘ (๖/๑๘) หรอื ๒๐ ส่วน ๗๐ (๒๐/๗๐) ๒. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้แก่ บุคคลท่ีสูญเสียการได้ยิน ต้ังแต่ระดับหูตึงน้อย จนถงึ หูหนวกซ่งึ แบง่ เป็น ๒ ประเภทดงั นี้
๕ ๒.๑ คนหหู นวก หมายถึง บคุ คลที่สูญเสยี การได้ยินมากจนไมส่ ามารถเขา้ ใจการพดู ผ่านทางการได้ ยินไม่วา่ จะใส่หรอื ไมใ่ สเ่ ครอ่ื งช่วยฟัง ซ่ึงโดยทว่ั ไปหากตรวจการได้ยินจะมกี ารสูญเสยี ๒.๒ คนหูตึง หมายถึง บุคคลท่ีมีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้ยินการพูดผ่านทางการได้ยิน โดยท่ัวไปจะใสเ่ ครอื่ งชว่ ยฟงั ซ่ึงหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า ๙๐ เดซิเบลลงมา ถงึ ๒๖ เดซิเบล ๓. บคุ คลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางสติปัญญา ได้แก่ บุคคลที่มีความจากัดอย่างชัดเจนในการปฏิบัติตน ในปัจจุบัน ซ่ึงมีลักษณะเฉพาะ คือ ความสามารถทางสติปัญญาต่ากว่าเกณฑ์เฉลี่ยอย่างมีนัยสาคัญร่วมกับ ความจากัดของทกั ษะการปรับตวั อกี อย่างนอ้ ย ๒ ทกั ษะ จาก ๑๐ ทักษะ ได้แก่การส่ือความหมาย การดูแล ตนเอง การดารงชีวิตภายในบ้าน ทักษะทางสังคม/การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การรู้จักใช้ทรัพยากรในชุมชน การรู้จักดูแลควบคุมตนเอง การนาความรู้มาใช้ในชีวิตประจาวันการทางาน การใช้เวลาว่าง การรักษา สขุ ภาพอนามัยและความปลอดภยั ทั้งนีไ้ ด้แสดงอาการดงั กล่าวกอ่ นอายุ ๑๘ ปี ๔. บุคคลท่มี ีความบกพร่องทางรา่ งกายหรอื การเคลื่อนไหวหรอื สขุ ภาพ ซงึ่ แบง่ เป็น ๒ ประเภทดังน้ี ๔.๑ บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางรา่ งกายหรือการเคล่ือนไหว ได้แก่ บุคคลท่ีมีอวัยวะไม่สมส่วนหรือ ขาดหายไป กระดกู หรือกล้ามเนื้อผิดปกติ มีอุปสรรคในการเคลื่อนไหว ความบกพร่องดังกล่าวอาจเกิดจาก โรคทางระบบประสาท โรคของระบบกล้ามเน้ือและกระดูก การไม่สมประกอบมาแต่กาเนิด อุบัติเหตุและ โรคติดต่อ ๔.๒ บุคคลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางสขุ ภาพ ได้แก่ บคุ คลทีม่ คี วามเจบ็ ป่วยเรือ้ รงั หรอื มีโรคประจาตัวซ่ึง จาเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ซึ่งมีผลทาให้เกิดความจาเป็นต้อง ไดร้ ับการศึกษาพเิ ศษ ๕. บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลท่ีมีความผิดปกติในการทางานของสมอง บางสว่ นที่แสดงถึงความบกพรอ่ งในกระบวนการเรยี นรทู้ ่ีอาจเกดิ ขนึ้ เฉพาะความสามารถดา้ นใดดา้ นหน่งึ หรือ หลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคานวณ ซ่ึงไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่องได้ ท้ังที่มีระดับ สติปัญญาปกติ ๖. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ บุคคลท่ีมีความบกพร่องในการเปล่ง เสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีความบกพร่องในเรื่อง ความเขา้ ใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซ่ึงอาจเกี่ยวกับ รูปแบบ เนือ้ หาและหน้าทีข่ องภาษา ๗. บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ได้แก่บุคคลท่ีมีพฤติกรรมเบ่ียงเบนไปจาก ปกติเป็นอย่างมาก และปญั หาทางพฤตกิ รรมนน้ั เป็นไปอยา่ งตอ่ เน่อื ง ซ่ึงเป็นผลจากความบกพร่องหรือความ ผดิ ปกตทิ างจิตใจหรอื สมองในสว่ นของการรับรู้ อารมณ์หรือความคดิ เชน่ โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมอง เส่ือม เปน็ ต้น
๖ ๘. บคุ คลออทสิ ตกิ ไดแ้ ก่ บุคคลทีม่ คี วามผิดปกติของระบบการทางานของสมองบางสว่ นซ่ึงส่งผลต่อ ความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและมีข้อจากัดด้าน พฤตกิ รรม หรอื มีความสนใจจากดั เฉพาะเรอ่ื งใดเร่อื งหนึง่ โดยความผดิ ปกตนิ ้ันค้นพบได้กอ่ นอายุ ๓๐ เดือน ๙. บคุ คลพกิ ารซ้อน ได้แก่ บุคคลที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหน่ึงประเภทใน บคุ คลเดียวกนั มาตรฐานคณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ หลักสูตรศิลปะสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ กาหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ จานวน 4 มาตรฐาน ประกอบด้วย มาตรฐานที่ั๑ จติ รกรรม (ขีด เขียน วาด ระบาย) ประกอบด้วย ๑ ตวั บ่งชี้ คอื ตัวบงช้ีั๑ วาดภาพระบายสีตามจินตนาการอย่างสรา้ งสรรค์ มาตรฐานที่ั2 ประติมากรรม (ปน้ั หลอ่ ) ประกอบด้วย 2 ตัวบ่งช้ี คอื ตวั บงช้ีั๑ ป้ันดว้ ยดนิ น้ามนั ตามจนิ ตนาการอยา่ งสรา้ งสรรค์ ตวั บงช้ีั2 หลอ่ ด้วยปนู ปลาสเตอร์ตามจินตนาการอย่างสร้างสรรค์ มาตรฐานท่ีั3 การพมิ พ์ ประกอบดว้ ย ๑ ตวั บง่ ชี้ คือ ตัวบงชี้ั๑ พิมพ์ภาพด้วยวัสดุธรรมชาติและวัสดุสังเคราะห์ตามจินตนาการอย่าง สรา้ งสรรค์ มาตรฐานที่ั4 ประยกุ ตศ์ ิลป์ ประกอบด้วย ๑ ตวั บง่ ชี้ คือ ตวั บงชี้ั๑ ประดษิ ฐด์ ้วยวสั ดธุ รรมชาตแิ ละวสั ดสุ ังเคราะหต์ ามจินตนาการอยา่ ง สรา้ งสรรค์ ตวั บงชี้ ตัวบ่งช้ีเป็นเป้าหมายในการพัฒนาเด็กท่ีมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึง ประสงค์ สภาพท่ีพงึ ประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์เป็นพฤติกร รมหรือความสามารถตามวัยท่ี คาดหวั งให้เด็ กเกิดบนพื้ นฐา น พฒั นาการตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแต่ละระดับอายุ เพื่อนาไปใช้ในการกาหนดสาระการ เรียนรใู้ นการจัดกจิ กรรมศลิ ปะ และประเมินพัฒนาการเดก็ โดยมีรายละเอียดของมาตรฐาน คุณลกั ษณะที่พึง ประสงค์ ตวั บง่ ชี้ และสภาพท่ีพึงประสงค์ ดงั นี้
๗ มาตรฐานทีั่ 1ัจติ รกรรม ตัวบง่ ช้ี ๑ วาดภาพระบายสีตามจินตนาการอย่างสรา้ งสรรค์ อายุ สภาพทพี่ ึงประสงค์ ๑๘ เดัอน – ๓ ปี ๑. จับดินสอ/สเี ทียนขีดเขียนแบบไร้ทศิ ทางและไร้ความหมาย ๒. จับดินสอ/สเี ทียน ขดู เขยี นเปน็ เสน้ และมีทศิ ทาง ๓. จับดินสอ/สีเทยี น ลากเส้นตามเสน้ ประ ๓ – ๔ ปี ๑. จาแนกสีไดอ้ ย่างน้อย ๓ สี ๒. จาแนกขนาดเล็ก/ใหญ่ของรูปทว่ี าด ๓. ระบายสไี ปในทิศทางเดียวกัน ๔.สื่ อสารเก่ียวกับสงิ่ ทว่ี าดออกมา ๔ัปีขนึ้ ไป ๑.วาดภาพออกมาเป็นเคา้ โครงของสิ่งต่างๆ รอบตวั มาตรฐานที่ั2ัประติมากรรม ตวั บ่งช้ี ๑ ปนั้ ดว้ ยดินนามันตามจินตนาการอยา่ งสรา้ งสรรค์ อายุ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ ๑๘ เดัอน – ๓ ปี ๑. สนใจหยิบดนิ น้ามันข้นึ มาเล่น ๒. จับดินน้ามนั ขน้ึ มาบีบ ๓. จบั ดินนา้ มนั ขน้ึ มากำ ๓ – ๔ ปี ๑. แบง่ ดนิ นา้ มันออกจากก้อน ๒. นวดดนิ น้ามนั เป็นเส้นยาว ๔ัปีขึน้ ไป ๑. คลงึ ดนิ น้ามนั เป็นรูปทรงกลม ๒. ปัน้ ดนิ น้ามันข้ึนเป็นเคา้ โครงอิสระ มาตรฐานที่ั3ัภาพพมิ พ์ ตัวบง่ ชี้ ๑ พิมพภ์ าพจากวัสดุธรรมชาติและวัสดุสังเคราะห์ตามจินตนาการอยา่ งสร้างสรรค์ อายุ สภาพที่พึงประสงค์ ๑๘ เดือน – ๓ ปี ๑. สนใจหยิบแม่พิมพ์ขึ้นมาเล่น ๓ – ๔ ปี ๑. กดแม่พมพ์ลงบนช้ินงานโดยรายละเอยี ดของสีไมช่ ัดเจน ๔ ปขี ึน้ ไป ๑. กดแม่พมพล์ งบนชน้ิ งานโดยรายละเอียดของสีชัดเจน มาตรฐานที่ั4ัประยกุ ตศ์ ิลป์ ตวั บ่งชี้ ๑ ประดิษฐ์ด้วยวสั ดุธรรมชาตแิ ละวัสดสุ งั เคราะห์ตามจินตนาการอยา่ งสรา้ งสรรค์ อายุ สภาพที่พึงประสงค์ ๑๘ เดือน – ๓ ปี ๑. ขย้ากระดาษ ๒. ฉกี กระดาษ ๓ – ๔ ปี ๑. ขยา้ กระดาษเปน็ ก้อน ๒. ฉีกกระดาษเป็นช้นิ ๔ ปีข้นึ ไป ๑. ใช้กาวในการตดิ วสั ดุตา่ งๆ เข้าด้วยกนั
๘ โครงสรา้ งศิลปะปฐมวยั สาหรับเดก็ ที่มคี วามต้องการจาเป็นพเิ ศษ ศูนย์การศกึ ษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จังหวัดนครปฐม มาตรฐาน คณุ ลกั ษณะ กจิ กรรมศิลปะ ระยะเวลา จติ รกรรม ท่ีพงึ ประสงค์ ประติมากรรม 1. ระบายสกี รอบรูปภาพขนาดใหญ่ 2. ระบายสีรูปภาพขนาดใหญ่ 3. ระบายสีรูปภาพขนาดเลก็ 4. วาดรูปทรงตามแบบท่ีกาหนดและ ระบายสี 5. วาดรูป วงกลม, สามเหลี่ยม, ส่ีเหลี่ยม โดยไม่มีเสน้ กาหนด (อิสระ) ขดี เขยี น วาด 6. ระบายสีรูปภาพขนาดใหญ่ โดยใช้สเี มจิก พ.ค.–ก.ค. ระบาย 7. ระบายสีรูปภาพขนาดเล็ก (หลายรูป) โดยใช้สีเมจิก 8. วาดภาพตามเสน้ ปะไข่ปลา และระบายสี ให้สวยงาม (รูปภาพขนาดใหญ่ ๑ รปู ) 9. วาดภาพตามเส้นปะไขป่ ลา และระบายสี ให้สวยงาม (รูปภาพขนาดเล็กหลายรูป) 10. โยงเสน้ จับคู่รูปสัตวแ์ ละระบายสี 11. วาดรปู ตามมือตัวเองและระบายสีให้ สวยงาม 1. กดดินน้ามนั ตามชอ่ งว่างรปู ภาพ 2. ปน้ั แกว้ ใส่ของดว้ ยดนิ เหนียว 3. ปั้นแกว้ ใส่ของด้วยดินนา้ มนั 4. การทา Paper Macha 5. การคลึงดนิ นา้ มนั ใหย้ าว ปั้นกลม ทาให้ ส.ค.– ก.ย. ปน้ั หล่อ นวด คลึง แบน 6. ปน้ั ผลไม้ในจนิ ตนาการ 7. สัตว์ในจนิ ตนาการ
๙ มาตรฐาน คณุ ลกั ษณะ กิจกรรมศลิ ปะ ระยะเวลา ภาพพมิ พ์ ที่พงึ ประสงค์ กด เปา่ พบั ขดู 1. จุ่มสวี ัสดธุ รรมชาติ ต.ค.–พ.ย. ประยกุ ตศ์ ิลป์ 2. ระบายสนี ้าลงบนแป้นพิมพ์ ตรายางรปู ธ.ค.- ม.ี ค. ขย้า ฉกี ตัด กา สตั ว์ แล้วปมั้ อสิ ระลงบนกระดาษ 3. เปา่ สี 4. พิมพ์ใบไม้ วัสดจุ ากธรรมชาติอย่าง สรา้ งสรรค์ 5. พิมพเ์ ชือก 6. กลง้ิ ลูกแก้วสีตา่ ง ๆ 7. ขดู ลายจากลายพ้นื ท่ีแตกตา่ งกนั 1. แยกหินสวี างรูปทรงที่กาหนด 2. โรยทรายตามรูปภาพ 3. ปมั๊ รูปสัตว์ระบายสี 4. เมล็ดถั่วติดรปู ภาพ 5. ตดั กระดาษและติดตามภาพรปู ทรงท่ี กาหนด 6. ตดิ ปะใบไมร้ ปู ผลไม้ 7. ฉกี ตดิ ปะ 8. ตดั เชือกติดรูปทรง 9. การติดสติกเกอรผ์ ลไม้ 10.ตะเกยี บคบี วตั ถุขนาดใหญ่ ตดิ ปะบน กาว 11. ตดั กระดาษเป็นช้ินเลก็ โดยใชก้ รรไกร 12. ฉกี กระดาษสี ๒ สีเป็นชิน้ เลก็ และแยก สีติดปะลงในรูปภาพ 13. แยกเมลด็ ถัว่ เขียว ถว่ั เหลอื ง แลว้ ตดิ ปะลงบนรูปวงกลม ซา้ ยและขวา 14. แกะ ติดปะ สตก๊ิ เกอรแ์ ยกสีหลายสี 15. ระบายสนี ้าโดยใชว้ ัสดธุ รรมชาติ (เช่น ใบไม้ กง่ิ ไม้ กอ้ นหนิ ) 16. จ้มิ ติดปะ ตวั ตดุ๊ ตู่ (วงกลมขนาดเลก็ ) ตามเส้นรปู ภาพ 17. ตัดใบไม้แห้ง และใบไม้สด แยกนามา ติดปะบนรปู ภาพ
๑๐ 1.ัการจัดเวลาเรียน หลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย สาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ กาหนดกรอบโครงสร้างเวลา ในการจดั กจิ กรรมศิลปะให้กับเดก็ ใน ๑ ปีการศกึ ษาโดยประมาณมีเวลาเรยี นไม่น้อย กว่า ๑๘๐ วันในแต่ละ วันจะใชเ้ วลาไม่น้อยกวา ๕ ชั่วโมง ทงั้ น้ี ข้ึนอยกู่ บั อายขุ องเด็กทเ่ี รม่ิ เขา้ สถานศึกษาหรือศูนย์การศึกษาพิเศษ เวลาเรยี นจึงขึ้นอยกู่ ับความพร้อม พฒั นาการและศกั ยภาพของ เดก็ พิการตามประเภทและสภาพความพิการ ของแต่ละบุคคล ดังน้ันการจัดกิจกรรมศิลปะจะจัดข้ึน สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ครั้งละ ๑ ช่ัวโมงต่อสัปดาห์ ต่อ ห้องเรียน 2.ัสาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เป็นส่ือกลางในการจัดกิจกรรมศิลปะการเรียนรู้ให้กับเด็ก เพื่อส่งเสริม พัฒนาการ เด็กทุกด้าน ให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตรที่กาหนด ประกอบด้วย ประสบการณ์ สาคัญสาคัญ และ สาระท่ีควรเรยี นรู้ ดงั นี้ ๑. ประสบการณ์สาคัญเป็นแนวทางสาหรับผู้สอนนาไปใช้ในการ ออกแบบการจัดประสบการณ์ให้ เด็กปฐมวัยเรยี นรู้ ลงมอื ปฏบตั ิ และไดร้ ับการสง่ เสริมพฒั นาการ ครอบคลุมทกุ ดา้ น ดังนี้ ๑.๑ ประสบการณ์สาคัญท่ีส่งเสริมพัฒนาการศิลปะ เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มี โอกาส พัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ระหวางกล้ามเนื้อและ ระบบ ประสาท ในการทากิจกรรมศิลปะ และสนับสนุนให้เด็กมีโอกาสแสดงศักยภาพของตนเองอย่าง สร้างสรรค์ ดงั น้ี ทักษะ ประสบการณ์สั าคััญ ๑.๑.๑ จิตรกรรม (1) จบั ดินสอ/สีเทยี นขดี เขยี นแบบไร้ทศิ ทางและไร้ความหมาย ๑.๑.2 ประติมากรรม (ป้ัน) (2) จับดินสอ/สีเทียน ขีดเขียนเป็นเส้นและมีทศทาง (3) จับดินสอ/สีเทียน ลากเส้นตามเสน้ ประ (4) จาแนกสีได้อย่างน้อย ๓ สี (5) จาแนกขนาดเล็ก/ใหญ่ของรูปทว่ี าด (6) ระบายสีไปในทศิ ทางเดียวกนั (7) สื่อสารเกี่ยวกับสงิ่ ท่วี าดออกมา (18) วสานดใภจหาพนอ้ายอิบกดมนิาเนป้า็นมเนัคา้ขโน้ึ คมรางเขลอ่นงสงิ่ ต่างๆรอบตวั (2) จับดินนา้ มันขน้ึ มาบบี (3) จับดินน้ามันขึน้ มากา (4) แบ่งดนิ น้ามันออกจากกอ้ น (5) นวดดินนา้ มนั เป็นเสน้ ยาว (6) คลึงดนิ นา้ มนั เปน็ รูปทรงกลม (7) ป้ันดนิ นา้ มันขน้ึ เป็นเค้าโครงอิสระ
๑๑ ทักษะ ประสบการณัส์ าคััญ ประติมากรรม (หลอ่ ) (1) สนใจหยิบปนู ปลาสเตอร์ขึ้นมาเลน่ (2) เทนา้ ลงในภาชนะได้ ๑.๑.3 ภาพพิมพ์ (3) เทปูนปลาสเตอรล์ งในภาชนะได้ ๑.๑.4 ประยกุ ตศ์ ลิ ป์ (4) คนปนู ปลาสเตอรแ์ บบไม่มีทิศทางด้วยช้อนได้ (5) คนปูนปลาสเตอรแ์ บบทวนเขม็ นาฬิกาด้วยช้อนได้ (6) แกะปูนปลาสเตอร์ออกจากแบบหล่อได้ (1) สนใจหยิบแมพ่ มิ พ์ขน้ึ มาเลน่ (2) กดแม่พมิ พ์ลงบนช้นิ งานโดยรายละเอียดของสีไมช่ ัดเจน (3) กดแม่พิมพ์ลงบนชน้ิ งานโดยรายละเอียดของสีชดั เจน (1) ขยา้ กระดาษ (2) ฉกี กระดาษ (3) ขย้ากระดาษเปน็ ก้อน (4) ฉกี กระดาษเป็นชน้ิ (5) ใช้กาวในการติดวัสดุตา่ งๆ เข้าด้วยกนั สาระท่ีควรเรียนรู้ สาระท่คี วรเรียนรู้ เป็นเร่อื งราวรอบตวั เดก็ ท่ีนามาเปน็ ส่อื กลางในการจัดกิจกรรมให้ เด็กเกิดแนวคิด หลงั จากนาสาระที่ควรรู้น้ันๆ มาจัดกิจกรรมศิลปะให้เด็กเพ่ือให้บรรลุจุดหมายท่ีกาหนดไว้ ทั้งนี้ไม่เน้นการ ท่องจาเน้ือหา ผู้สอนสามารถกาหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการ และความสนใจ ของเดก็ โดยให้เด็กไดเ้ รยี นรผู้ ่านประสบการณ์สาคญั ทัง้ น้ี อาจยืดหยุ่น เน้ือหาได้ โดยคานงึ ถึงกิจกรรมศิลปะ และสงิ่ แวดลอ้ มในชีวิตจริงของเดก็ ดังนี้ ๒.๑ เรอ่ งราวทเี่ กี่ยวกับตวั เดก็ เด็กควรเรียนรู้ชื่อ นามสกุล รูปร่างหน้าตา อวัยวะต่าง ๆ วิธีระวัง รักษาร่างกายให้สะอาดและมีสขุ ภาพอนามัยท่ีดี การรับประทานอาหารท่เี ป็นประโยชน์ การระมดั ระวังความ ปลอดภัยของตนเองจากผู้อ่ืนและภัยใกล้ตัว รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จักประวัติความ เปน็ มาของตนเองและครอบครัว การปฏบิ ตั ิตนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครวั และโรงเรยี น การเคารพสิทธิของ ตนเองและผู้อ่ืน การรู้จักแสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความ คิดเห็นของผู้อ่ืน การกากับตนเอง การเล่นและทาสง่ิ ตา่ งๆ ดว้ ยตนเองตามลาพังหรือกับผู้อ่ืน การตระหนักรู้เก่ียวกับตนเอง ความภาคภูมิใจใน ตนเอง การสะท้อนการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อ่ืน การแสดงออกทางอารมณ์และ ความร้สู กึ อยา่ งเหมาะสม การแสดงมารยาทท่ดี ี การมีคณุ ธรรมจริยธรรม ๒.๒ เร่องราวเก่ียวกับบุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับ ครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่างๆ ท่ีเด็กต้องเก่ียวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ใน ชีวิตประจาวัน สถานท่ีสาคญั วันสาคญั อาชพี ของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สาคัญของชาติ ไทยและการปฏิบตั ิตามวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ และความเป็นไทย หรอื แหลง่ เรยี นรู้จากภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่ อน่ื ๆ
๑๒ ๒.๓ ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับชอบลักษณะส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและ ความสัมพันธข์ องมนษุ ย์ สตั ว พชื ตลอดจนการรู้จักเกยี่ วกับดนิ น้า ทอ้ งฟ้า สภาพ อากาศ ภัยธรรมชาติ แรง และพลงั งานในชีวิตประจาวันท่ีแวดล้อมเดก็ รวมทั้งการอนุรักษ์สงิ่ แวดลอ้ ม และการรกั ษาสาธารณสมบัติ ๒.๔ ส่ิงต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพ่ือสื่อความหมายในชีวิตประจาวัน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักช่ือ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง ปรมิ าตร นา้ หนกั จานวน ส่วนประกอบ การเปล่ียนแปลงและความสัมพันธ์ของส่ิงต่างๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใชง้ าน และการเลือกใช้สง่ิ ของเครอื่ งใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการส่ือสาร ตา่ งๆ ทใ่ี ช้อยใู่ นชวี ติ ประจาวันอยา่ งประหยดั ปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม 3.ัการจดั กิจกรรมศลิ ปะ การจดั กิจกรรมศิลปะสาหรับเด็กแรกเกดิ ถึง ๖ ปี เปน็ การจดั กจิ กรรมในลักษณะการบูรณา การผ่าน การเล่น การลงมือกระทาจากกิจกรรมศิลปะตรงอยา่ งหลากหลายโดยคานึงถึงข้อจากัดของ เด็กพิการแต่ละ คนใหเ้ กิดความรู้ ทักษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม รวมทั้งเกิดการพฒั นาทัง้ ดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปญั ญา ดงั นี้ ๑.ััหลักการจดั กจิ กรรมศิลปะ ๑.๑ จัดกจิ กรรมศลิ ปะการเล่นและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดย องค์รวม อย่าง สมดุลและตอ่ เน่ือง ๑.๒ เน้นเด็กเป็นสาคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและบริบท ของสงั คมทเ่ี ด็กอาศยั อยู่ ๑.๓ จัดใหเ้ ด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสาคญั กับกระบวนการเรยี นรู้และ พฒั นาการของเดก็ ๑.๔ จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเน่ือง และเป็นส่วนหนึ่ง ของการจัด กจิ กรรมศิลปะ พรอ้ มท้งั นาผลการประเมินมาพัฒนาเด็กอย่างต่อเน่ือง ๑.๕ ใหพ้ ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทกุ ฝา่ ยทเ่ี กีย่ วข้องมีส่วนรว่ มในการพฒั นาเดก็ ๒.ััแนวทางการจดั กิจกรรมศิลปะ ๒.๑ จัดกจิ กรรมศิลปะใหส้ อดคลอ้ งกบั จิตวิทยาพฒั นาการและการทางานของสมองที่เหมาะกับอายุ วฒุ ิภาวะและระดับพฒั นาการ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ทกุ คนไดพ้ ฒั นาเตม็ ตามศักยภาพ ๒.๒ จัดกิจกรรมศิลปะให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็กพิการแต่ละประเภทเด็กได้ลงมือ กระทา เรียนรู้ผา่ นประสาทสมั ผสั ทง้ั ห้า ได้เคลื่อนไหว สารวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหา ด้วยตนเองโดยมีแนวการจัดการเรยี นรูข้ องเด็กพิการแตล่ ะประเภทดังนี้ ๒.๒.๑ เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการใช้ประสาท สัมผัสที่ เหลืออยูใ่ นการทากจิ กรรม ๒.๒.๒ เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการสื่อสารโดยการใช้ ภาษามือ ภาษาท่าทาง การอ่านริมฝปี าก การฝึกพูด ๒.๒.๓ เดก็ ทมี่ ีความบกพร่องทางสติปัญญาควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการสอนซ้าๆ สอนจาก ง่ายไปยาก เป็นขั้นตอนและการวเิ คราะห์งาน ๒.๒.๔ เดก็ ที่มคี วามบกพร่องทางรา่ งกายหรอื การเคล่อื นไหวหรอื สขุ ภาพ ควรจัดการเรียนรู้ ท่เี นน้ การใช้เทคโนโลยีสิง่ อานวยความสะดวก ๒.๒.๕ เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการจา จากการเห็น และได้ยิน การเรียงลาดบั การจดั ระเบยี บตวั เอง
๑๓ ๒.๒.๖ เดก็ ท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษาควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการ ออกเสียงให้ ชดั เจน การส่ือสารทผ่ี ู้อื่นเขา้ ใจได้ ๒.๒.๗ เด็กท่ีมีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้น การ ควบคมุ พฤติกรรมและอารมณข์ องตนเอง การแสดงออกทางพฤติกรรมไดอ้ ย่างเหมาะสม ๒.๒.๘ เด็กออทิสติก ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการสื่อสาร การอยู่ร่วมกันในสังคมการ ตอบสนองตอ่ ประสาทสัมผสั ทงั้ ๗ ๒.๒.๙ เด็กพการซ้อน ควรจัดการเรยี นรทู้ เ่ี น้นตามลักษณะความพิการแต่ละประเภท ๒.๓ จดั กิจกรรมศลิ ปะแบบบรู ณาการ โดยบูรณาการท้งั กิจกรรม ทกั ษะ และสาระการเรยี นรู้ ๒.๔ จัดกิจกรรมศิลปะให้เด็กได้ริเริ่มคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทาและนาเสนอความคิด โดย ผสู้ อนหรอื ผู้จัดกิจกรรมศลิ ปะเป็นผสู้ นับสนนุ อานวยความสะดวก และเรยี นรูร้ ว่ มกบั เดก็ ๒.๕ จดั กิจกรรมศลิ ปะให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอ่ืนกับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ี เอื้อต่อการ เรยี นรใู้ นบรรยากาศที่อบอุ่นมคี วามสขุ และเรยี นร้กู ารทากิจกรรมแบบร่วมมือในลกั ษณะต่างๆ กนั ๒.๖ จัดกิจกรรมศลิ ปะให้เดก็ มปี ฏิสมั พนธกับสื่อ เทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก และแหล่งการ เรยี นรทู้ ่ีหลากหลายและอยูใ่ นวิถชี วตของเดก็ สอดคล้องกับบรบิ ท สงั คม และ วฒั นธรรมที่แวดล้อมเด็ก ๒.๗ จัดกิจกรรมศลิ ปะท่สี ่งเสรมิ ลกั ษณะนิสัยท่ีดีและทักษะการใช้ชีวิตประจาวัน ตามแนวทางหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม และการมวี นิ ยั ให้เป็นส่วนหนึ่งของการ จดั กจิ กรรมศิลปะการเรยี นร้อู ยา่ งต่อเน่อื ง ๒.๘ จดั กิจกรรมศิลปะทงั้ ในลกั ษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดข้ึนใน สภาพจริงโดย ไม่ไดค้ าดการณไ์ ว้ ๒.๙ จัดทาสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของ เด็กเป็น รายบุคคล นามาไตร่ตรองและใชใ้ ห้เป็นประโยชนต์ ่อการพฒั นาเดก็ และการวิจัยในชนั้ เรียน ๒.๑๐ จดั กิจกรรมศิลปะโดยให้พอแม่ ครอบครวั และชุมชนมีส่วนร่วมท้ังการวางแผนการสนับสนุน สอื่ แหล่งเรยี นรู้ การเขา้ ร่วมกจิ กรรมและการประเมนิ พฒั นาการ แนวทางการจัดกจิ กรรมศลิ ปะ กิจกรรมสาหรับเดก็ อายุแรกเกิดถงึ ๖ ปี สามารถนามาจัดเป็นกิจกรรมศิลปะได้หลาย รูปแบบ เป็น การช่วยใหผ้ สู้ อนหรือผจู้ ดั กิจกรรมศลิ ปะทราบวา่ แตล่ ะวันจะทากิจกรรมอะไร เมื่อใด และอย่างไร ท้ังนี้ การ จดั กิจกรรมศิลปะสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมในการ นาไปใช้ของแต่ละหน่วยงาน และสภาพชุมชน ที่สาคัญผูส้ อนตอ้ งคานึงถงึ การจดั กิจกรรมใหค้ รอบคลมุ พฒั นาการทุกดา้ น การจัดกิจกรรม ศิลปะมหี ลักการจดั และขอบขา่ ยของกจิ กรรมศลิ ปะ ดงั นี้ ๓.๑ หลกั การจัดกิจกรรมศลิ ปะ ๓.๑.๑ กาหนดระยะเวลาในการจดั กิจกรรมแตล่ ะกจิ กรรมให้เหมาะสมกบั วัย ของเด็กในแต่ ละวนั แต่ยืดหย่นุ ไดต้ ามความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก เช่น วยั ๓-๔ ปี มคี วามสนใจประมาณ ๘ - ๑๒ นาที วัย ๔-๕ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๒ - ๑๕ นาที วัย ๕-๖ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๕ - ๒๐ นาที ๓.๑.๒ กจิ กรรมที่ต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลา ต่อเนื่องนาน เกนิ กวา่ ๒๐ นาที ๓.๑.๓ กิจกรรมทเ่ี ดก็ มอี สิ ระเลือกเล่นเสรี เพ่อื ช่วยใหเ้ ดก็ รู้จกั เลือกตดั สินใจคิด
๑๔ แกป้ ัญหาคิดสร้างสรรค์ เช่น การเลน่ ตามมุม การเลน่ กลางแจ้ง ฯลฯ ใชเ้ วลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที ๓.๑.๔ กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้ กล้ามเน้ือใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก กิจกรรมท่ีเป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมท่ีเด็ก เปน็ ผ้รู เิ ร่มิ และผสู้ อน หรอื ผู้จัดกิจกรรมศิลปะเป็นผู้ริเร่ิม และกิจกรรมท่ีใชกาลังและไม่ใช่กาลัง จัด ให้ ครบทุกประเภท ทั้งน้ี กิจกรรมที่ต้องออกกาลังกายควรจัดสลับกับกิจกรรมท่ีไม่ต้องออกกาลัง มากนัก เพอ่ื เดก็ จะไดไ้ มเ่ หนอ่ื ยเกนิ ไป ๓.๒ ขอบข่ายของกิจกรรมศิลปะการเลือกกิจกรรมที่จะนามาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลาย รปู แบบ ทง้ั น้ี ข้ึนอยู่กบั ความเหมาะสมในการนาไปใชข้ องแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สาคัญ ผู้สอนตอ้ งคานงึ ถึงการจัดกิจกรรมใหค้ รอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน ดังต่อไปน้ี ๓.๒.๑ การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การยืดหยุ่น ความคลอ่ งแคล่วในการใชอวัยวะต่างๆ และจังหวะการเคล่ือนไหวในการใชกล้ามเน้ือใหญ่ โดยจัด กิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่ายเล่นอิสระ เคลื่อนไหว ร่างกาย ตามจงั หวะดนตรี ๓.๒.๒ การพัฒนากล้ามเน้อื เลก็ เปน็ การพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเน้ือ มือ-น้ิวมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตามือได้อย่างคล่องแคล่ว และประสานสัมพันธ์กัน โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึก ช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย หยิบจับชอนส้อม และใช้วัสดุอปกรณ์ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พู่กัน ดนิ เหนยี ว ฯลฯ ๓.๒.๓ การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการปลูกฝังให้เด็กมี ความรสู้ กึ ท่ดี ตี อ่ ตนเองและผอู้ ่ืน มีความเช่ือมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซ่ือสัตย์ ประหยัด เมตตา กรณุ า เออื้ เฟ้ือ แบ่งปนั มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาท่ีนับถือโดย จดั กจิ กรรมต่างๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับการตอบสนอง ความต้องการ ได้ฝึกปฏิบตั ิโดยสอดแทรกคุณธรรม จรยิ ธรรม อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ๓.๒.๔ การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออก อย่าง เหมาะสมและอยู่รว่ มกับผู้อนไดอ้ ย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทากิจวัตรประจาวัน มีนิสัย รกั การทางาน ระมัดระวงั ความปลอดภัยของตนเองและผ่ืน โดยรวมท้ังระมัดระวังอันตรายจากคน แปลกหนา้ ให้เด็กได้ปฏบัติกิจวัตรประจาวันอย่างสม่าเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทาความสะอาดร่างกาย เล่นและทางานร่วมกับผู้อ่ืน ปฏิบัติตามกฎกติ กาข้อตกลงของ ส่วนรวม เก็บของเขา้ ทีเ่ มื่อเลน่ หรือทางานเสร็จ ๓.๒.๕ การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิด แก้ปัญหา ความคิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้ เด็กได้ สนทนาอภิปรายแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ เชิญวทิ ยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกม การศกึ ษา ฝกึ การแกป้ ัญหาในชวตประจาวัน ฝึกออกแบบและสร้างข้ึนงาน และทากิจกรรมทั้งเป็น กลมุ่ ย่อย กลุม่ ใหญ่ และรายบุคคล ๓.๒.๖ การพัฒนาภาษาเป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาสื่อสารถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ท่ีเด็กมีกิจกรรมศิลปะโดยสามารถต้ังคาถามในสิ่งท่ี สงสัยใคร่รู้ จัด กจิ กรรมทางภาษาใหม้ ีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมท่ีเออต่อการเรียนรู้ มุ่ง ปลูกฝังให้เด็กได้
๑๕ กล้าแสดงออกในการฟัง พดู อา่ น เขียน มีนสิ ยั รักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้อง เป็นแบบอย่างที่ ดีในการใชภาษา ทั้งนตี้ ้องคานึงถงึ หลักการจดั กจิ กรรมทางภาษาท่เี หมาะสมกบั เด็กเปน็ สาคัญ ๓.๒.๗ การส่งเสรมิ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมี ความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของส่ิงต่างๆ โดยจัดกิจกรรม ศลิ ปะสร้างสรรค์ ดนตรี การเคล่ือนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ อย่าง อิสระ เลน่ บทบาทสมมติ เล่นน้า เล่นทราย เล่นบล็อก และเลน่ ก่อสรา้ ง 4.ัเทคโนโลยสี ่ิงอานวยความสะดวกัส่อัและแหลงเรียนรู้ การจัดการศกึ ษาสาหรบั เด็กพกิ าร ตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยสี ิง่ อานวยความสะดวก ส่ือ และแหล่ง เรียนรู้ ที่ สอดคลอ้ งกับความต้องการจาเปน็ พิเศษ ของแตล่ ะบุคคล รวมท้ังการใช้แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ท่ีมีในท้องถิ่น มา ใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ ท่ีสามารถส่งเสริมและส่ือสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยศูนย์การศึกษา พิเศษ ควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพ่ือพัฒนาให้เด็กพิการเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง เทคโนโลยีส่ิงอานวย ความสะดวก สื่อ และแหล่งเรียนรู้น้นั ผู้สอนสามารถจัดทาและพฒั นาข้ึนเอง หรอื พจารณาเลือกใช้จากคู่มือ รายการสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษามาใช้ประกอบในการ จัดการเรียนรู้ สามารถส่งเสริมและสื่อสารให้เด็กพิการเกิดการเรียนรู้ โดยศูนย์การศึกษาพิเศษควรจัดให้มี อย่างพอเพียง เพ่อื พัฒนาใหเ้ ด็กพิการเกดิ การเรยี นรู้อย่างแท้จริงควรดาเนินการดังน้ี ๑. จัดให้มีแหล่งเรียนรู้ ศูนย์ส่ือ นวัตกรรม และเครือข่ายการเรียนรู้ที่มีประสิทธภาพ ใน สถานศึกษาและชุมชน เพื่อการศึกษา ค้นคว้า และการแลกเปลี่ยน กิจกรรมศิลปะการเรียนรู้ ระหว่าง สถานศึกษา ท้องถน่ิ ชมุ ชน ๒. จัดทา จดั หาเทคโนโลยสี ิง่ อานวยความสะดวก ส่ือการเรียนรู้ สาหรับเด็กพิการ ส่งเสริมให้ผู้สอน จัดทา จดั หาส่ือทห่ี ลากหลาย รวมทง้ั ประยกุ ตใ์ ชส้ งิ่ ทีม่ ีอยู่ในท้องถ่นิ เปน็ สื่อการเรียนรู้ ๓. เลอื กใชเ้ ทคโนโลยีสง่ิ อานวยความสะดวก ส่อื การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เหมาะสม และ หลากหลาย สอดคล้องกับวิธกี ารเรียนรู้และความแตกต่างของแตล่ ะบุคคล ๔. ประเมินความเหมาะสมคุณภาพของเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ ที่เลือกใช้ในการ จดั การเรยี นรู้ ๕. ศึกษาค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือการเรียนรู้ให้ สอดคล้องกับ การพฒั นาเดก็ พกิ าร ๖. จัดให้มีการกากับ ติดตาม ประเมินคุณภาพ การใช้เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ และ แหล่งเรียนรู้อย่างสม่าเสมอในการจัดทา การเลือกใช้และการประเมินคุณภาพเทคโนโลยีส่ิงอานวยความ สะดวกสื่อ และแหลง่ เรยี นรทู้ ่ใี ช้ในศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ควรคานงึ ถงึ หลกั การสาคัญ เช่น ความสอดคล้องกับ หลกั สตู ร จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ การจดั กิจกรรมศลิ ปะ เป็นตน้ 5.ัการประเมินพฒั นาการ การประเมินพฒนาการเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ อายุแรกเกิดถึง ๖ ปี เป็นการประเมิน พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็กโดยใช้แบบประเมินท่ีหลากหลาย โดย นักสหวิชาชีพ รวมทั้งผู้ปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลและร่วมประเมินทั้งนี้โดยใชกรอบ มาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และ สภาพทีพ่ งประสงค์ รวมทั้งเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวกตามความต้องการจาเป็นก่อนการจัดกิจกรรม ศิลปะการเรียนรูเ้ พ่อื นามาใช้ในการวางแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคลระหว่างการจัดกิจกรรมศิลปะการ
๑๖ เรียนรู้เพ่อื พฒั นาและทบทวนแผนใหส้ อดคล้องกับ ความต้องการจาเป็นของแต่ละบุคคล และเม่ือส้ินสุดการ จดั กจิ กรรมศิลปะการเรียนรู้ เพื่อประเมินความสามารถตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดไวในแผนการ จัดการ ศึกษาเฉพาะบุคคล ท้ังนี้ นกั สหวชิ าชีพและผปู้ กครองตอ้ งร่วมกันประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามมาตรฐานและตัวบ่งชี้ที่กาหนดไวใ้ นหลักสตู รตามช่วงอายุ ๑.ัแนวทางการประเมินพัฒนาการ หลักสูตรศิลปะปฐมวัยสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็น พิเศษ กาหนดเป้าหมายคุณภาพ ของเด็กโดยยึดพัฒนาการศิลปะสาหรับเด็กปฐมวัยด้านจิตรกรรม ประตมิ ากรรม ภาพพมิ พ์ ประยุกต์ศิลป์ ดังน้ี 1.1 การประเมินพัฒนาการด้านจิตกรรม ประกอบด้วยการประเมินการจับดินสอ/สีเทียนขีด เขียน การจาแนกสี การจาแนกขนาดเล็กหรือใหญ่ของรูปท่ีวาด การขีด การเขียน การระบายสี ส่ือสาร เกย่ี วกบั สิง่ ที่วาดออกมา การวาดภาพออกมาเป็นเค้าโครงของสิ่งต่างๆ รอบตัวและการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็ก อยา่ งประสานสัมพนั ธ์กนั 1.2 การประเมนิ พัฒนาการดา้ นประติมากรรม ประกอบดว้ ยการประเมินการหยิบจับดินและดิน นา้ มนั การแบง่ ดินและดินนา้ มันออกจากก้อน การทบุ และการนวดดินและดนิ นา้ มนั เป็นการเตรียมดินเพ่ือใช้ ในงานป้นั การคลึงดินและดินน้ามันเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นเส้นยาว กดดินให้มีลักษณะแบนเพ่ือใช้ในการ ปั้นหรือเพิ่มดินเพ่ือตกแต่ง การปั้นดินและดินน้ามันข้ึนเป็นเค้าโครงอิสระ รวมถึงการประเมินหยิบปูน ปลาสเตอร์ การเทน้า การเทปูนปลาสเตอร์ การคนปูนปลาสเตอร์ การแกะปูนปลาสเตอร์และการใช้ กล้ามเน้ือมดั เล็กอย่างประสานสัมพนั ธก์ ัน 1.3 การประเมนิ พัฒนาการดา้ นภาพพมิ พ์ ประกอบด้วยการประเมินการหยิบจบั แมพ่ ิมพ์ พนื้ ฐาน การขดู สีเพอ่ื ใหเ้ กดิ ลกั ษณะของพนื้ ทแี่ ตกต่างกัน การเป่าสีเปน็ การสรา้ งลวดลายสร้างสรรค์ที่แตกต่างด้วยลม และริมฝีปาก การกดแม่พิมพ์ลักษณะต่างๆ การใช้เทคนิคและวัสดุอื่นๆ ในการเกิดภาพพิมพ์ เช่น กล้ิง ลูกแก้ว ดึงเชือก เป็นตน้ เพ่ือการใชก้ ล้ามเนือ้ เล็กอย่างประสานสมั พนั ธ์กนั 1.4 การประเมินพฒั นาการดา้ นประยุกต์ศิลป์ ประกอบด้วยการประเมิน การขย้ากระดาษ การ ฉกี กระดาษ การใชก้ าวในการตดิ วสั ดตุ า่ งๆ การผสมผสานงานศลิ ปะเข้าด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ ร่วมถึงการ ใชเ้ ทคโนโลยใี นการสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะ และการใช้กลา้ มเนือ้ มดั เลก็ อยา่ งประสานสัมพนั ธ์กัน ๒.ัขั้นตอนการประเมิน การประเมินพัฒนาการเพ่ือนาไปใช้ในการวางแผนการจัดการศึกษาตาม หลกั สตู รศลิ ปะสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ควรมีการประเมินพัฒนาการโดยใช้แบบประเมินที่ หลากหลาย โดยนักสหวชิ าชพ ครผู สู้ อน รวมท้ังผู้ปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลและร่วมประเมินท้ังน้ีโดยใช้ กรอบ มาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ รวมท้ังเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวกตามความ ต้องการ จาเป็นทัง้ ก่อนระหวา่ งและส้นิ สดุ การจัดกจิ กรรมศิลปะการเรียนรู้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1 การประเมินพัฒนาการในแต่ละชว่ งอายุ ๒.๑.๑ ศึกษาและทาความเข้าใจพัฒนาการของเด็กในแต่ละชวงอายุทุกด้าน ได้แก่ ด้าน ร่างกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ ด้านสงั คม และด้านสติปัญญา พิจารณากจิ กรรมในการจดั การเรียน การ สอนใหส้ อดคล้องกบั ลกั ษณะความพกิ ารของเด็กแต่ละประเภท และการจดั กจิ กรรมศิลปะท่ี สะท้อน พฒั นาการของเดก็ ๒.๑.๒ วางแผนเลือกใช้วิธีการและเคร่ืองมือที่เหมาะสมสาหรับใช้บันทึกและประเมิน พฒั นาการ เชน สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กของกรมอนามัย แบบประเมินเฝ้าระวังและส่งเสริม พัฒนาการเด็กปฐมวัย (Developmental Surveillance and Promotion Manual : DSPM) หรือแบบประเมินส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยง (Developmental Assessment and
๑๗ InterventionManual : DAIM) แบบบันทึกพฤตกิ รรม เหมาะที่จะใชบ้ นั ทกึ พฤติกรรมของเด็ก การ บันทึกรายวนั เหมาะกบั การบันทกึ กิจกรรมหรือกิจกรรมศิลปะที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน การบันทึกการ เลอื กของเดก็ เหมาะสาหรับบันทึกลักษณะเฉพาะและปฏกิริยาท่ีเด็กมีต่อส่ิงต่างๆ รอบตัว เป็นต้น ด้วยเหตนุ ีจ้ งึ เปน็ หน้าทขี่ องพอแม่หรือผู้ดูแลท่ีจะเลือกใช้เคร่ืองมือประเมินพัฒนาการให้เหมาะสม เพือ่ จะไดผ้ ลของ พัฒนาการท่ีถกู ตอ้ งตามพัฒนาการ ๒.๑.๓ ดาเนนิ การประเมนิ และบนั ทกึ พฒั นาการหลงั จากทไ่ี ด้วางแผนและเลอื ก เครอ่ื งมือท่จี ะใชป้ ระเมินและบันทึกพฒั นาการแลว้ ก่อนจะลงมอื ประเมนิ และบันทกึ จะตอ้ ง อ่านคู่มือ หรือคาอธิบายวิธีการใชเคร่ืองมือน้ันๆ อย่างละเอียด แล้วจึงดาเนินการตามขั้นตอนที่ ปรากฏในคู่มือ และบนั ทกึ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรต่อไป ๒.๑.๔ ประเมินและสรุป ในการประเมินและสรุปน้ันพอแม่ ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล จะต้อง เก็บรวบรวมข้อมูลของส่ิงท่ีต้องการประเมิน เช่น การประเมินพัฒนาการด้วยวิธีการสัง เกต เครื่องมอื ทีใ่ ช้ คือ แบบสงั เกต วธิ กี ารสนทนา เครื่องมือที่ใชคือแบบบันทึกการสนทนา อาจเป็นการ บันทกึ การสนทนาระหวางเดก็ กับเดก็ หรือเดก็ กับครู พิจารณาผลงานโดยเปรียบเทียบกับพัฒนาการ การประเมินควรประเมินหลายๆ ครั้ง เพือ่ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู วาเด็กมีพัฒนาการอยา่ งไร ทาอะไรไดม้ ากน้อย เพยี งใดและสรปุ ผล ๒.๑.๕ รายงานผลการประเมิน เม่อื ได้ผลจากการประเมินและสรุปพัฒนาการของเด็กแล้ว พ่อแม่หรือผู้ดูแลจะต้องตัดสินใจว่าจะรายงานข้อมูลนี้ไปยังผู้ใดและเพื่อจุดประสงค์อะไร และ จะตอ้ งใชร้ ปู แบบใด สาหรับการอบรมเลีย้ งดตู ามวิถีชีวิตประจาวันโดยพ่อแม่ ผู้ดูแล มีการ ประเมิน พัฒนาการเพ่ือเฝา้ ระวงั และเปน็ ขอ้ มลู ในการพบแพทย์ และอาจนาไปใชใ้ นการอบรมเลี้ยงดู และจัด กิจกรรมศิลปะเพ่ือส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ สาหรับผู้ดูแลเด็กในศูนย์การศึกษาพิเศษ จะต้อง รายงานต่อผู้บริหารศูนย์การศึกษาพิเศษ เพื่อให้ทราบว่ากิจกรรมหรือ กิจกรรมศิลปะที่ศูนย์ การศกึ ษาพเศษจัดใหเ้ ด็กนั้นสง่ เสรมิ พฒั นาการของเด็กทุกด้านได้ตามจุดประสงค์หรือไม่ เพื่อนาไป ปรับปรงุ แกไ้ ขการจดั กจิ กรรมให้เหมาะสมกบั เด็กต่อไป ๒.๑.๖ ผูด้ ูแลเด็กจะตอ้ งรายงานผลของการประเมินพัฒนาการไปยังผู้ปกครองเด็ก ซ่ึงแต่ ละศนู ย์การศึกษาพิเศษจะตอ้ งมีสมดุ รายงานประจาตัวเด็ก หรือแบบบันทึกสุขภาพแม่และเด็กของ กรม อนามยั หรอื แบบประเมิน DSPM และคมู่ อื เฝ้าระวังและสง่ เสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ผู้ดูแล เด็กใช้ สมุดรายงานหรือแบบบันทึกสุขภาพแม่และเด็กของกรมอนามัย หรือแบบประเมิน DSPM นน้ั เป็น เคร่ืองมือรายงานผปู้ กครองได้ และถา้ ผู้ดแู ลเด็กมีขอ้ เสนอแนะหรือจะขอความร่วมมือจาก ผปู้ กครอง เกีย่ วกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก็อาจเขียนเพ่ิมเติมลงไปในสมุดรายงานได้ และต้อง คานงึ เสมอไม่ ว่าจะใช้แบบรายงานใดข้อมูลควรจะมคี วามหมายเกดิ ประโยชนแ์ ก่เด็กเป็นสาคญั ๒.๑.๗ การมีสว่ นร่วมของผูป้ กครองเปน็ สงิ่ สาคญั มาก ผดู้ ูแลเดก็ ตอ้ งตระหนกั วา่ การทางาน ร่วมกับผปู้ กครองเก่ยี วกับการพัฒนาเดก็ เปน็ เรอื่ งสาคัญ ผู้ดแู ลเดก็ ควรยกยอ่ งผปู้ กครองที่พยายามมี ส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก ผู้ดูแลเด็กจะต้องต้อนรับผู้ปกครองที่มาศูนย์การศึกษาพิเศษ ขอบคุณ สาหรับความช่วยเหลอื เขียนจดหมายถึงผู้ปกครองเพื่อรายงานเรื่องเด็ก พูดคุยด้วยตนเองหรือทาง โทรศพั ท์ สิ่งเหลา่ นจี้ ะทาใหผ้ ปู้ กครองรู้สึกถึงความสาคัญของตนเองและต้องการท่ีจะมีส่วนร่วมกับ ผดู้ ูแลเด็กในการพัฒนาเด็กของตน
๑๘ ๒.๒ การประเมนิ มาตรฐาน ตัวบง่ ช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์ผู้สอนต้องวเิ คราะห์มาตรฐาน ตวั บง่ ชี้ สภาพ ทพี่ งึ ประสงค์ และกาหนดส่ิงท่ปี ระเมินจากการ จัดกิจกรรมศิลปะการเรียนรู้และการปฏิบัติกิจวัตร ประจาวนั เพอ่ื วางแผนการประเมนิ พฒั นาการดังน้ี ๒.๒.๑ การวิเคราะห์มาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพทพ่ี ึงประสงค์ การนาหลักสูตรสถานศึกษาไปสู่การจัดทาหลักสูตรกิจกรรมศิลปะสาหรับเด็กท่ีมีความ ต้องการจาเป็นพิเศษได้มีการวเคราะห์สาระการเรียนรู้รายปีที่สอดคล้องของมาตรฐาน ตัวบ่งช้ี สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ และสาระการเรยี นรู้เพอื่ กาหนดหน่วยการเรียนรู้ โดยการนาสภาพทพี่ ึงประสงค์ ท่ีได้จากการวเคราะห์มากาหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้น้ันๆ และกาหนด กิจกรรมหลัก 4 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมจิตรกรรม กิจกรรมประติมากรรม กิจกรรมภาพพิมพ์ กิจกรรมประยุกต์ศิลป์ ในการพัฒนาเด็ก ๒.๒.๒ การกาหนดประเดน็ การประเมิน เป็นการกาหนดพัฒนาการที่ต้องการประเมิน คือ สภาพที่พงประสงค์ท่ีนามากาหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้ซึ่งครอบคลุม พฒั นาการทงั้ 4 กจิ กรรม ในแต่ละหน่วยการเรยี นรู้ และเชื่อมโยงไปยังจุดประสงค์ของแผนการจัด กจิ กรรมศิลปะในแตล่ ะวัน ดังนั้น ประเด็นการประเมินจึงประกอบไปด้วยจุดประสงค์ของแผนการ จดั กิจกรรมศิลปะท่ีสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนร้ขู องหน่วยการเรยี นรู้นั้น ๆ 2.๓. วธิ กี ารและเครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการประเมินพฒั นาการเครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการประเมินพัฒนาการเด็ก ครูผู้สอนต้องวางแผนและกาหนดวิธีการประเมินให้เหมาะสมกับกิจกรรม ใช้การสังเกตพฤติกรรม การประเมินผลงาน/ชนิ้ งาน การพดู คยุ หรือ สัมภาษณ์เด็ก วิธกี ารท่ีครูผสู้ อนเลอื กใชต้ อ้ งมากกว่า ๒ วิธกี าร หรอื ใชว้ ิธีการท่หี ลากหลาย เชน่ 1) การสงั เกตและการบันทึก 2) การบนั ทกึ การสนทนา 3) การสมั ภาษณ์ 4) สารนิทัศนส์ าหรบั เด็กเพ่ือการประเมนิ พัฒนาการ 5) การประเมินการเจริญเติบโต 6) การประเมินผลงานและชิ้นงาน 7) ฯลฯ 6.ัเกณฑ์การประเมนิ การกาหนดเกณฑ์การประเมินและการให้ระดับคุณภาพ ผลการประเมินพัฒนาการของเด็กทั้ง 4 กจิ กรรม และทักษะท่ีจาเป็นเฉพาะความพิการ ในแต่ละสภาพที่พึงประสงค์ เพ่ือเชื่อมโยงไปสู่ การผ่านตัว บ่งช้ีและมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ดังนั้นในระดับช้ันเรียนและระดับสถานศึกษา ควรกาหนดใน ลักษณะเดียวกัน สถานศึกษาสามารถกาหนดเกณฑ์การประเมินและการให้ระดับ คุณภาพผลการประเมิน พฒั นาการของเด็กทส่ี ะทอ้ นมาตรฐานคณุ ลักษณะท่พี งึ ประสงคห์ รอื พฤตกิ รรม ท่จี ะประเมิน ตวั อยางเกณฑั์การประเมิันและการให้ระดบั คณุ ภาพ ความสามารถ ความหมาย ทาได้ ปรากฏพฤติกรรมตามช่วงอายุ เป็นไปตามสภาพท่ีพึงประสงค์ ทาไม่ได้ ไม่ปรากฏพฤติกรรมตามชวงอายุ เป็นไปตามสภาพทพ่ี ง ประสงค์ โดยมีการกระตนุ้
๑๙ ตัวอย่างแบบประเมินความสามารถพน้ื ฐานในการทากจิ กรรมศิลปะ ชื่อ......................................................นามสกุล.............................................ชื่อเล่น.......................................... อาย.ุ ..........ป.ี ........เดอื น..................ประเภทความพิการ................................................................................ วันทป่ี ระเมินการพฒั นา..........................................................................อายุ..................ป.ี ......................เดือน อายพุ ฒั นาการ ๑8 เ ดือน – 3 ปี ประเภท พฒั นาการทคี่ าดหวงั ความสามารถ ทาได้ ทาไมได้ จิตรกรรม 1. จบั ดินสอ/สีเทียน ขดี เขียนแบบไรท้ ิศทางและไร้ ความหมาย 2. จับดินสอ/สีเทยี น ขดี เขียนเปน็ เส้นไม่มที ิศทาง 3. จบั ดินสอ/สเี ทียน ลากเส้นตามเสน้ ประ ประตมิ ากรรม 4. สนใจหยิบดนิ นา้ มนั ข้นึ มาเลน่ 5. จับดินนา้ มันขนึ้ บีบหรือกา 6. สนใจหยิบปูนปลาสเตอร์ขน้ึ มาเล่น ภาพพมิ พ์ .7สนใจหยิบแมพ่ ิมพข์ น้ึ มาเลน่ ประยุกตศ์ ลิ ป์ 4. ขย้ากระดาษ 5. ฉีกกระดาษ อายพุ ฒั นาการ 3 – 4 ปี ประเภท พัฒนาการท่คี าดหวงั ความสามารถ ทาได้ ทาไมได้ จติ รกรรม 6. จาแนกสไี ด้อย่างน้อย 3 สี ความสามารถ 7. จาแนกขนาดเลก็ /ใหญ่ของรูปที่วาด ทาได้ ทาไมได้ 8. ระบายสไี ปในทศทางเดียวกนั 9. สื่อสารเกีย่ วกับส่ิงท่วี าดออกมา ประติมากรรม ๑0. แบ่งดนิ น้ามนั ออกจากกอน ๑๑. นวดดินนา้ มนั เป็นเส้นยาว ภาพพิมพ์ ๑๒. เทน้าลงในภาชนะได้ ประยกุ ต์ศิลป์ ๑๓. เทปูนปลาสเตอรล์ งในภาชนะได้ ประเภท พฒั นาการทค่ี าดหวงั ภาพพมิ พ์ ๑๔. คนปนู ปลาสเตอร์แบบไม่มีทิศทางดว้ ยช้อนได้ ๑๕. คนปนู ปลาสเตอร์แบบทวนเขม็ นาฬกาดว้ ยช้อนได้ 16. จาแนกสีได้อย่างน้อย 3 สี 17. กดแมพ่ ิมพล์ งบนช้นิ งานโดยรายละเอยี ดของสีไม่
๒๐ ชัดเจน .18ขูดสีลงบนกระดาษโดยใช้พ้นื ท่ีแตกต่างๆ กัน ประยกุ ตศ์ ิลป์ ๑9. ขยา้ ประดาษเปน็ ก้อน 20. ฉีกกระดาษเปน็ ช้ิน 21. มีความเข้าใจในการใชก้ าวติดวัสดตุ ่างๆ เข้าด้วยกนั อายพุ ฒั นาการ 4 ปขี ้ึนไป ประเภท พัฒนาการทีค่ าดหวัง ความสามารถ ทาได้ ทาไมได้ จติ รกรรม .22วาดภาพออกมาเปน็ เค้าโครงของส่ิงตา่ งๆรอบตัว ประติมากรรม ๒3. คลึงดินน้ามันเปน็ รปู ทรงกลม ๒4. ปนั้ ดนิ นามันขึน้ เป็นเค้าโครงอิสระ ๒5. แกะปูนปลาสเตอร์ออกจากแบบหล่อได้ ภาพพิมพ์ .26กดแม่พิมพ์ลงบนชิน้ งานโดยรายละเอยี ดของสีชัดเจน ประยุกตศ์ ิลป์ .27ใช้กาวในการตดิ วัสดตุ ่างๆเขา้ ด้วยกนั ลงชอื่ ......................................ผปู้ ระเมนิ (......................................) 7.ัการดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู เมื่อผู้สอนวางแผนการประเมินพัฒนาการแล้วควรทาการสังเกตพฤติกรรมของเด็กเป็นรายบุคค ล หรือรายกลุ่ม ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เช่น การพูดคุยหรือสัมภาษณ์เด็กหรือการประเมินผลงาน/ชิ้นงาน ของเด็กอย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อมูลพัฒนาการของเด็กให้ครอบคลุม เด็กทุกคนแล้วสรุปลงในแบบ บนั ทึกผลการประเมินสภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพท่ีพึงประสงค์ ผู้สอนควร เก็บ รวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคลโดยสภาพท่ีพึงประสงค์ ๑ ข้อ ควรได้รับการประเมินพัฒนาการอย่างน้อย ๒ คร้ังต่อ ๑ ภาคเรียนระยะแรกควรเป็นการประเมินเพ่ือความก้าวหน้าไม่ควรเป็นการประเมิน เพื่อตัดสิน พฒั นาการของเดก็ ดงั น้ันการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผลการประเมินพฒั นาการตามสภาพท่ีพึงประสงค์จงึ เป็นการ สะสมเพ่อื ยืนยันว่าเด็กเกดิ พัฒนาการตามสภาพท่พี ึงประสงคน์ ั้นๆ ชัดเจนและมีความนา่ เชอื่ ถอื 8.ัการสรุปผลการประเมนิ พฒั นาการเดก็ กิจกรรมศิลปะควรสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กรายตัวบ่งช้ี รายมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึง ประสงค์ และในภาพรวมของพัฒนาการรายด้านภาคเรียนละ ๑ คร้ัง สาหรับแนวทาง การสรุปผลการ ประเมินพัฒนาการเดก็ ตามสภาพที่พึงประสงค์ในแตล่ ะตวั บง่ ช้ี ควร ใช้ฐานนิยม (Mode) ไม่ควรนาค่าระดับ คุณภาพของสภาพทพ่ี งึ ประสงค์มาหาคา่ เฉลยี่ ในกรณีมฐี านนิยมมากกว่า ๑ ฐานนยิ ม คอื มีระดับคุณภาพซ้า มากกว่า ๑ ระดับคุณภาพ การสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กในแต่ละตัวบ่งชี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของ สถานศึกษา โดยคานึงถึงปรัชญาการศึกษาและหลักการของหลักสูตรกิจกรรมศิลปะสาหรับเด็กท่ีมีความ ตอ้ งการพิเศษ รวมท้ังการนาขอ้ มูลผลการประเมนิ ไปใช้เพอื่ พฒั นาเดก็ ตอ่ ไป
๒๑ 9.ัการรายงานผลการประเมินพฒั นาการและการนาข้อมลู ไปใช้ การรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการเปน็ การสอื่ สารให้พอแม่ ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องได้ ทราบ ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินพัฒนาการและจัดทา เอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ ๑ คร้ัง การรายงานผลการ ประเมนิ พัฒนาการสามารถรายงานเปน็ ระดับคุณภาพตามพฤติกรรมท่ีแสดงออกถึงพัฒนาการแต่ละ ด้านท่ี สะทอ้ นมาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ท้ัง 4 ข้อตามหลักสูตรศิลปะสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็น พเิ ศษ 10.ัการจัดทาหลกั สตู รกิจกรรมศิลปะ (แผนการจดั การเรียนรู้) หลักสูตรศิลปะปฐมวัยสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ เป็นหลักสูตรของ สถานศึกษาที่ เปิดสอนระดับปฐมวัยแต่ละแห่งวางแผนหรือกาหนดแนวทางการจัดการศึกษา เพื่อ ส่งเสริมให้เด็กบรรลุ มาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์ตามที่หลักสูตร ศิลปะกาหนด สถานศกึ ษาต้องคานึงถึง วสิ ยั ทศั น์ จดุ เนน้ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน สภาพบริบท ของครอบครัว สภาพความพิการ ของเด็ก และความต้องการของชุมชน มาออกแบบหลักสตู รศลิ ปะ ดงั นี้ ๑. จุดหมายของหลกั สูตรศลิ ปะ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ต้องดาเนินการจัดทาหลักสูตรศิลปะสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของ สถานศกึ ษาบนพ้ืนฐานหลกั สูตรปฐมวัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ โดยศนู ย์การศกึ ษาพิเศษต้องเชื่อมโยงมาตรฐาน คณุ ลักษณะท่ีพงประสงค์โดยคานึงถึงความต้องการจาเป็นของ เด็กพิการแต่ละประเภทด้วยเพ่ือสะท้อนให้ เห็นหลักการของหลักสูตรศิลปะสาหรับเด็กที่มี ความต้องการจาเป็นพเศษโดยส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กทุกคน การประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัวชุมชน คณะกรรมการ สถานศึกษา ผู้สอน ผู้ดูแลและผู้มีส่วนเก่ียวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กยึดหลักการอบรมเล้ียงดูและให้ การศกึ ษาท่เี น้นเด็กเปน็ สาคัญ โดยยึดถงึ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลและวถิ ชี ีวิตของเดก็ ๒. การสร้างหลักสูตรศิลปะหลักสูตรกิจกรรมศิลปะจะต้องสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับธรรมชาติสภาพความพิการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย การ สรา้ งหลกั สูตรกจิ กรรมศลิ ปะควรดาเนนิ การ ดงั นี้ ๒.๑ ศกึ ษาทาความเข้าใจหลกั สตู รปฐมวยั สาหรับเดก็ ที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษเก่ียวกับกิจกรรม ศิลปะพร้อมเอกสารประกอบหลักสูตรปฐมวัยสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ รวมท้ังศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับตัวเด็กและครอบครัว สภาพปัจจุบัน สภาพต่างๆ ที่เป็นปัญหา จุดเด่น ภูมิปัญญา ท้องถ่ิน ความ ต้องการของชุมชนและท้องถน่ิ ๒.๒ จัดทาหลักสูตรศิลปะโดยกาหนดปรัชญา วิสัยทัศน์ ภารกิจหรือพันธกิจ เป้าหมาย มาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งช้ี สภาพท่ีพึงประสงค์ โดยโครงสร้างหลักสูตร ประกอบด้วย การวิเคราะห์ สาระการเรียนรรู้ ายปีเพ่ือกาหนดประสบการณส์ าคัญและสาระท่ีควรรใู้ น แต่ละชว่ งอายุ ระยะเวลาเรียน การ จัดกจิ กรรมศิลปะ การสรา้ งบรรยากาศการเรียนรู้ ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ การประเมินพัฒนาการและการ บริหารจัดการหลักสูตร ซ่ึงสถานศึกษาอาจกาหนด โครงสร้างหลักสูตรได้ตามความเหมาะสมและความ จาเปน็ ของสถานศกึ ษาแต่ละแหง่ ๒.๓ การประเมนิ หลักสูตรศิลปะของศูนย์การศึกษาพิเศษ แบ่งออกเป็นการประเมินกอ่ นนาหลกั สูตร ไปใชเ้ ปน็ การประเมนิ เพื่อตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร องค์ประกอบของหลักสูตรหลังจากที่ได้จัดทาแล้ว โดยอาศัยความคิดเห็นจากผู้ใช้หลักสูตร ผู้มีส่วนร่วมในการทาหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวฒิในด้าน
๒๒ ต่างๆ การประเมินระหว่างการดาเนินการใช้หลักสูตรเป็น การประเมินเพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถ นาไปใช้ได้ดีเพียงใด ควรมีการปรับปรุงแก้ไขในเร่ืองใด และการประเมินหลังกา รใช้หลักสูตร เป็นการ ประเมินเพ่อื ตรวจสอบหลักสูตรทั้งระบบหลังจากที่ใช้ หลักสูตรครบแต่ละช่วงอายุเพ่ือสรุปผลว่าหลักสูตรที่ จดั ทาควรมีการปรับปรุงหรือพัฒนาใหด้ ีขึ้น อยา่ งไร แนวทางการใชห้ ลักสูตรศลิ ปะสาหรบั เดก็ ทม่ี ีความต้องการจาเป็นพเิ ศษ ๑. ศึกษาหลักสูตร ศึกษามาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ในแต่ละช่วงอายุจริงหรืออายุ พฒั นาการของเด็ก ๒. รวบรวมข้อมลู เก่ยี วกับตัวเด็ก ประวตั คิ รอบครัว ประวตั ทิ างการแพทย์ ประเภทความพกิ าร ๓. ประเมนิ พัฒนาการเดก็ ๓.๑ ใช้แบบประเมิน DSPM หรอื DAIM ของกรมอนามัย และแบบประเมนิ กจิ กรรมศิลปะ ตน้ ปกี ารศึกษาโดยครูและผปู้ กครอง ๓.๒ ใช้แบบประเมนิ ท่ีหลากหลาย โดยนักสหวชิ าชีพและครผู ู้สอนกจิ กรรมศลิ ปะ ๓.๓ รวบรวมข้อมูลท่ไี ด้จากการประเมนิ มาจัดทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ๔. จัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) ๔.๑ การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) ควรมกี ารแต่งตงั้ คณะกรรมการ จดั ทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบคุ คลและตรวจสอบหรือประเมนิ พฒั นาการ ๔.๒ การจดั ทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล (IEP) มอี งค์ประกอบดงั นี้ ๔.๒.๑ ขอ้ มลู ทัว่ ไป ๔.๒.๒ ขอ้ มูลดา้ นการแพทยห์ รือด้านสุขภาพ ๔.๒.๓ ข้อมูลด้านการศึกษา ๔.๒.๔ ขอ้ มูลอ่ืนๆ ที่จาเปน็ ๔.๒.๕ การกาหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจดั การศกึ ษาพเิ ศษ ๔.๒.๖ ความตอ้ งการดา้ นสิง่ อานวยความสะดวก เทคโนโลยสี ิ่งอานวยความ สะดวกสือ่ บรกิ าร และความชว่ ยเหลืออนื่ ใดทางการศึกษา ๔.๒.๗ คณะกรรมการจดั ทาแผน ๔.๒.๘ ความเห็นของบิดา มารดา ผ้ปู กครอง หรอื ผ้เู รียน ๕. จัดทาแผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) นาจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม (เปา้ หมายระยะสน้ั ) ทีก่ าหนดในแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคลมา ดาเนินการจัดทาแผนการสอนเฉพาะบุคคล โดยการวเคราะหง์ านหรือกิจกรรมการเรยี นรู้ ดว้ ยการเรียงลาดับ กจิ กรรมท่ีงา่ ยไปสกู่ จิ กรรมทยี่ ากขึ้น หรือกิจกรรมท่ีเป็นรูปธรรมไปสู่ กิจกรรมท่ีเป็นนามธรรม ให้เหมาะสม กับความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษของผู้เรียนแตล่ ะบุคคล ๖. จดั ทาแผนการจัดกิจกรรมศิลปะ ๖.๑ ศึกษามาตรฐาน ตัวบง่ ชี้ และสภาพทพี่ ึงประสงค์ ตามช่วงอายุของเดก็ เพอ่ื นามาจัดทาแผนการ จัดกิจกรรมศลิ ปะ ๖.๒ จัดทาแผนการจัดกิจกรรมศิลปะอย่างหลากหลาย ครอบคลุมสภาพที่พึงประสงค์ ซึ่ง เปลี่ยนเปน็ จุดประสงค์การเรยี นร้ใู ห้ครบทกุ สภาพทพี่ ึงประสงคใ์ นช่วงอายจุ ริงหรอื อายุพฒั นาการ ๗. จดั กิจกรรมการเรยี นรู้
๒๓ ๗.๑ จัดกิจกรรมตามแผนการจัดกิจกรรมศิลปะโดยใชกิจกรรมหลัก 4 กิจกรรม ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพมิ พ์ ประยกุ ต์ศิลป์ ในการพัฒนาเดก็ ๗.๒ ในการจดั กจิ กรรมใหค้ านงึ ถึงแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ของเดก็ แตล่ ะ คน เพือ่ ให้สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการจาเปน็ ตามท่วี างแผนไว ๗.๓ ในบางทักษะท่ีจาเป็นเฉพาะความพิการหรือบางทักษะท่ีเป็นปัญหาของเด็ก อาจต้อง จัดการ เรยี นการสอนเปน็ รายบคุ คล ๘. ประเมนิ พัฒนาการ ๘.๑ ประเมินตามแผนการสอนเฉพาะบคุ คล (IIP) ซงึ่ มี ๕ ระดับ เป็นระบบตัวเลข คือ ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ หรือ เป็นระบบท่ีใช้คาสาคัญ เช่น ดีเยี่ยม, ดีมาก, ดี, พอใช, ควรส่งเสริมหรือตามท่ี สถานศึกษากาหนด อย่างน้อยภาคเรยี นละ ๑ ครัง้ ๘.๒ ประเมินตามแผนการจดั กจิ กรรมศลิ ปะโดยมีเกณฑเ์ ป็น ๒ ระดบั เป็นระบบทใี่ ช้คาสาคัญ ได้แก่ ทาได้ ทาไมไ่ ด้ ตามท่ีสถานศึกษากาหนดอยา่ งนอ้ ยภาคเรียนละ ๒ ครั้ง ๘.๓ ประเมนิ อายุพฒั นาการเมอ่ื สน้ิ ปีการศึกษาเพ่อื เปรยี บเทยี บกับตน้ ปีการศกึ ษา ๙. สรุป และรายงานผล ๙.๑ สรุปผลการประเมินเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และรายงานผบู้ ริหาร และผปู้ กครอง ๙.๒ สรุปผลการประเมินพัฒนาการท้ัง 4 ด้าน ตามมาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และสภาพที่พึงประสงค์ ในช่วงอายุของเด็กทุกมาตรฐานและรายงานผู้บริหาร และผปู้ กครอง ๙.๓ สรุปผลการประเมินอายุพัฒนาการเด็ก และรายงานผู้บริหาร และผู้ปกครองการสร้างรอย เชื่อมต่อระหว่างการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับประถมศึกษาปีท่ี ๑ การสร้างรอยเชื่อมต่อระหว่าง การศึกษาระดบั ปฐมวยั กบั ระดับประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ โรงเรียนเฉพาะความพิการหรอื โรงเรยี นจัดการเรียนรวม หรือศูนยก์ ารศึกษาพิเศษในระดบั ท่สี งู ข้นึ มี ความสาคัญอย่างย่ิง ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในการ ปรับตัวรับการเปล่ียนแปลงได้เป็นอย่างดี สามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างราบร่ืน การเชื่อมต่อของ การศกึ ษาระดบั ปฐมวัยกับระดับ ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ หรือระดับที่สูงข้ึน จะประสบผลสาเร็จได้ บุคลากรทุก ฝา่ ยทเ่ี กี่ยวขอ้ งต้อง ดาเนนิ การดังต่อไปน้ี ๑ัผูบ้ ริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศกึ ษาเป็นบุคคลสาคัญท่ีมีบทบาทเป็นผู้นาในการสร้างรอยเชื่อมต่อระหว่างหลักสูตร การศึกษาปฐมวัยกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานในชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑ โดยต้องศึกษา หลักสูตรทั้งสองระดบั เพื่อทาความเขา้ ใจและจดั ระบบการบริหารงานด้านวิชาการที่ จะเอ้ือต่อการเชื่อมต่อ การศึกษา โดยดาเนนิ การดังนี้ ๑.๑ จัดประชุมผู้สอนระดับปฐมวัยและผู้สอนระดับประถมศึกษา ร่วมกันสร้างความ เข้าใจรอย เช่ือมต่อของหลักสูตรท้ังสองระดับให้เป็นแนวปฏบัติของสถานศึกษา เพ่ือผู้สอนท้ังสอง ระดับจะได้ เตรียมการสอนไดส้ อดคล้องกบั เดก็ วัยนี้ ๑.๒ จัดหาเอกสารหลักสูตรและเอกสารทางวิชาการของท้ังสองระดับมาไว้ให้ผู้สอน และบุคลากร อื่นๆ ไดศ้ ึกษาทาความเขา้ ใจอย่างสะดวกและเพยี งพอ ๑.๓ จัดกจิ กรรมใหผ้ สู้ อนทงั้ สองระดบั มโี อกาสแลกเปลย่ี นและเผยแพร่ความรใู้ หมๆ่ ร่วมกนั ๑.๔ จัดหาสอื่ วัสดุอปุ กรณ์ และจดั สภาพแวดลอ้ มทสี่ ง่ เสรมิ การสรา้ งรอยเช่ือมต่อ
๒๔ ๑.๕ จดั กิจกรรมใหค้ วามรู้ กจิ กรรมสัมพันธ์ในรปู แบบตา่ งๆ และจดั ทาเอกสารเผยแพร่ให้กับพอแม่ ผปู้ กครองอย่างสม่าเสมอ เพื่อให้พอแม่ผู้ปกครองเข้าใจการศึกษาท้ังสองระดับ และให้ความร่วมมือในการ ชว่ ยเหลอื เด็กให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ดีในกรณีท่ีโ รงเรียน ไม่มีชนป ระถมศึกษาปีท่ี ๑ ในสถานศกึ ษาของตนเอง ผู้บริหารสถานศึกษาควรประสานกับสถานศึกษาท่คี าดวาเดก็ จะไปเข้าเรียน เพื่อ สร้างความเขา้ ใจใหพ้ ่อแม่ ผู้ปกครอง ในการชว่ ยเหลือเด็กสามารถปรับตวั เข้ากับสถานศึกษาใหม่ได้ ๒.ััผสู้ อนระดับปฐมวยั ผสู้ อนระดับปฐมวยั ตอ้ งศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน การจัดการเรียนการสอนใน ชนประถมศกึ ษาปีที่ ๑ และสร้างความเขา้ ใจให้กับพอแม่ ผู้ปกครองและบุคลากรอนๆ รวมท้ังช่วยเหลือเด็ก ในการปรับตัวกอ่ นเล่ือนข้ึนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ โดยผสู้ อนควรดาเนินการ ดังน้ี ๒.๑ เกบ็ รวบรวมข้อมลู เก่ียวกับตวั เด็กเปน็ รายบุคคลเพอส่งตอ่ ผสู้ อนช้นั ประถมศึกษา ปีท่ี ๑ ซ่ึงจะทาให้ผู้สอนระดับประถมศึกษาสามารถใช้ข้อมูลน้ันช่วยเหลือเด็กในการปรับตัวเข้ากับการ เรยี นรใู้ หมต่ อ่ ไป ๒.๒ พดคุยกับเดก็ ถงึ ประสบการณ์ทด่ี ๆี เกีย่ วกับการจดั การเรียนรูใ้ นระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๓ เพื่อใหเ้ ดก็ เกิดเจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้ ๒.๓ จดั ให้เด็กได้มโี อกาสทาความรจู้ ักกับผ้สู อน ตลอดจนการสารวจสภาพแวดล้อม และบรรยากาศ ของหอ้ งเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ ๒.๔ จัดสอื่ วัสดุอปกรณ์ หนงั สอื ท่ีเหมาะสมกบั วัยเด็กที่สง่ เสรมิ ให้เด็กได้เรียนรู้และมี ประสบการณ์ พนื้ ฐานที่สอดคลอ้ งกบั รอยเช่อื มตอ่ ในการเรียนระดบั ชนั้ ประถมศกษาปที ี่ ๑ ๓.ััผสู้ อนระดบั ประถมศกึ ษา ผสู้ อนระดบั ประถมศึกษาต้องมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในพฒั นาการเด็กปฐมวยั และมเี จต คติที่ดีต่อการ จัดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อนามาเป็นข้อมูลการพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ระดับ้ัน ประถมศึกษาปที ี่ ๑ ให้ต่อเน่ืองกับการพฒั นาเดก็ ในระดบั ปฐมวัย โดยควร ดาเนนิ การ ดงั นี้ ๓.๑ จดั กิจกรรมให้เดก็ พ่อแม่ และผู้ปกครอง มีโอกาสได้ทาความรู้จักคุน้ เคยกบั ผู้สอนและหอ้ งเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ กอ่ นเปดิ ภาคเรียน ๓.๒ จัดสภาพห้องเรยี นใหใ้ กล้เคียงกับหอ้ งเรยี นระดับปฐมวัย โดยจัดให้มีมุม ประสบการณ์ภายใน หอ้ ง เพอื่ ใหเ้ ด็กไดม้ ีโอกาสทากิจกรรมได้อย่างอิสระ เช่น มุมหนังสือ มุมของเล่น มุมเกมการศึกษา เพื่อช่วย ให้เดก็ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ ได้ปรับตวั และเรยี นรู้จากการปฏบิ ตั จิ ริง ๓.๓ จัดกิจกรรมร่วมกนั กับเดก็ ในการสรา้ งข้อตกลงเกี่ยวกบั การปฏิบตั ิตน ๓.๔ จัดกิจกรรมช่วยเหลอื สง่ เสรมิ การเรยี นรู้ใหก้ บั เดก็ ตามความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ๓.๕ เผยแพรข่ า่ วสารด้านการเรยี นรแู้ ละสรา้ งความสมั พนั ธ์ที่ดกี ับเดก็ พ่อแม่ ผปู้ กครอง และชุมชน ๔.ััพอแมัผู้ปกครอง พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการอบรมเล้ียงดูและส่งเสริมการศึกษาของ บุตรหลาน และเพอชวยบุตรหลานของตนเองในการศึกษาต่อช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ควรดาเนนิ การ ดังน้ี ๔.๑ ศกึ ษาและทาความเขาใจหลกั สตู รของการศกึ ษาท้ังสองระดับ ๔.๒ จดั หาหนังสือ อปุ กรณ์ทเี่ หมาะสมกับวัยเดก็ ๔.๓ มปี ฏสิ มั พันธ์ทด่ี ีกับบุตรหลาน ใหค้ วามรัก ความเอาใจใส่ ดแู ลบุตรหลานอย่างใกล้ชดิ ๔.๔ จัดเวลาในการทากจิ กรรมรว่ มกับบุตรหลาน เชน เลา่ นิทาน อานหนงั สือร่วมกนั สนทนาพูดคุย ซักถามปัญหาในการเรียนให้การเสรมิ แรงและให้กาลังใจ
๒๕ ๔.๕ ร่วมมือกับผู้สอนและสถานศึกษาในการช่วยเตรียมตัวบุตรหลาน เพ่ือชวยให้ บุตรหลาน ปรับตัวไดด้ ีข้ึน 11.ัการสงตอ การส่งตอ่ เปน็ การประสานงานระหว่างศูนย์การศึกษาพเศษกับหน่วยงานอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เพ่ือให้ เด็กพิการได้รับบริการท่ีเหมาะสม เช่น บริการทางการแพทย์ บริการทางสังคม บริการทาง ศึกษา โดย ประสานงานระหว่างโรงเรยี นจัดการเรียนรว่ ม โรงเรยี นเฉพาะความพิการ หน่วยบริการ ของศูนย์การศึกษา พิเศษ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เม่ือเด็กพิการมีผลการพัฒนา ศักยภาพผา่ นตามเกณฑ์ท่ีกาหนด ใหส้ ่งตอ่ เข้าสรู่ ะบบการศึกษาในชนเรียนที่สูงข้ึน เมื่อย้ายสถานศึกษาหรือ รับบริการด้านอื่นๆ ให้ศูนย์การศึกษาพิเศษ นาส่งแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แบบรายงานผลการ พฒั นาคุณภาพผูเ้ รียน เพ่อื เปน็ ขอ้ มูลในการจดั การศึกษาหรือบริการดา้ นอ่นื ๆ ต่อไป 12.ัการกากบั ัตดิ ตามัประเมินและรายงาน การจดั การศกึ ษาปฐมวยั มีหลกั การสาคัญในการให้สังคม ชุมชน มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและ กระจายอานาจการศึกษาลงไปยงั ทอ้ งถ่ินโดยตรง โดยเฉพาะสถานศกึ ษาหรอื สถาน พฒนาเดก็ ปฐมวัย ซงึ่ เป็น ผจู้ ดั การศกึ ษาในระดบั นี้ ดงั นน้ั เพื่อให้ผลผลิตทางการศึกษาปฐมวัยมี คุณภาพตามมาตรฐาน คุณลักษณะท่ี พงประสงค์และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม จาเป็นต้องมีระบบการกากับ ติดตาม ประเมินและรายงานทมี่ ีประสิทธภาพ เพ่อื ให้ทุกกลมุ่ ทกุ ฝ่ายที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษา เห็น ความกา้ วหนา้ ปัญหา อุปสรรค์ ตลอดจนการให้ความ ร่วมมือ ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน วางแผน และ ดาเนนิ งานการจัดการศึกษาปฐมวัยใหม้ คี ุณภาพ อย่างแทจ้ ริง การกากับ ติดตาม ประเมินและรายงานผลการจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นส่วนหน่ึงของ กระบวนการ บริหารการศึกษา กระบวนการนิเทศ และระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ท่ีต้อง ดาเนินการอย่าง ตอ่ เนอ่ื ง เพ่อื นาไปส่กู ารพฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย สร้างความ ม่ันใจให้ผู้เก่ียวข้อง โดย ตอ้ งมีการดาเนนิ การทีเ่ ปน็ ระบบเครือข่ายครอบคลุมท้งั หนว่ ยงานภายในและ ภายนอก ในรูปแบบของคณะกรรมการ ที่มาจากบุคคลทุกระดับและทุกอาชีพ การกากับ ติดตาม และ ประเมินผลต้องมีการรายงานผลจากทุกระดับให้ทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนท่ัวไปทราบ เพ่ือนาข้อมูล จากรายงานผลมาจัดทาแผนพฒั นาคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ตอ่ ไป
๒๖ คณะกรรมการผ้จู ัดทาหลักสตู รศิลปะปฐมวยั สาหรับเด็กทีม่ คี วามตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ ของศูนย์การศกึ ษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 1 จังหวัดนครปฐม ฝา่ ยศิลปะบาบัด 1. นายอนุรัต อน้ สงค์ ครู คศ.1 2. นายศุภวฒั น์ อ้นอมร ครู คศ.1 3. นางสาวระพพี ร ชุ่มเพญ็ ครผู ชู้ ่วย ทปี่ รึกษาหลกั สูตร หวานเสร็จ ผอู้ านวยการศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษส่วนกลาง 1. ดร.สมพร วงศจ์ ันตา ผ้อู านวยการโรงเรยี นเศรษฐเสถยี ร 2. ดร.ปนัดดา เผ่าเมือง ผอู้ านวยการศูนย์การศกึ ษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 3. นายอมร จ.นครปฐม รินจนั ทร์ รองผู้อานวยการศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ 4. นางเนตรชนก เขตการศกึ ษา 1 จ.นครปฐม แสงทอง ครู คศ.3 5. นางอรทยั
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: