Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือฝ่ายศิลปะบำบัด

คู่มือฝ่ายศิลปะบำบัด

Published by Anurat Onsong, 2022-09-20 02:00:08

Description: ปีการศึกษา 2564

Search

Read the Text Version

คำนำ คู่มือฝ่ายศิลปะบำบัดฉบับนี้ ได้จัดทำข้ึนเพ่ือเป็นข้อมูลในการปฏิบัติของฝ่ายศิลปะบำบัดของศูนย์ การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จังหวัดนครปฐม และสรา้ งความเช้าใจให้กับผู้ปกครองเร่ืองแนวทางการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนในฝ่ายคู่มือฉบับบน้ีมีเน้ือเก่ียวประวัติฝ่ายศิลปะบำบัดศูนย์การศึกษาพิเศษ เขต การศึกษา 1 จังหวัดนครปฐม ศิลปะบำบัด (Art Therapy) สำหรบั เด็กที่มีความจำเป็นพิเศษ พัฒนาการทาง ศิลปะของเดก็ แนวทางการจัดการศกึ ษา “ศิลปะ” ตามหลักสูตรปฐมวัยสำหรับเด็กท่ีมคี วามจำเป็นพเิ ศษ การ ประเมินผล เกณฑ์การประเมนิ ผล ข้าพเจา้ ขอรับรองวา่ ข้อมลู ท่ีปรากฏในเอกสารทง้ั หมดนถ้ี ูกตอ้ งและตรงตาม ความเป็นจรงิ ทกุ ประการ ขอขอบคุณ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จังหวัดนครปฐม คณะครูและ เจ้าหน้าท่ีที่มีส่วนเก่ียวข้อง ทุกท่านที่มีส่วนสนับสนุน ช่วยเหลือในการรวบรวมจัดทำเอกสาร และอำนวย ความสะดวกในทกุ ดา้ น ตลอดจน เปน็ กำลงั ใจให้การจัดทำรายงานฉบับนส้ี ำเร็จลลุ ว่ งดว้ ยดี ฝา่ ยศลิ ปะบำบดั

สารบัญ หนา้ ก คำนำ ข สารบัญ 1 ศิลปะบำบัด ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 1 จงั หวดั นครปฐม 3 ศลิ ปะกบั ความคิดสรา้ งสรรค์ 4 ศิลปะบำบัด (Art Therapy) สำหรบั เดก็ ทม่ี ีความจำเปน็ พเิ ศษ 7 แนวทางการจัดการศึกษา “ศิลปะ” ตามหลกั สูตรปฐมวัยสำหรับเด็กท่ีมีความจำเป็นพเิ ศษ 7 19 1. การจัดการเรยี นการสอนของฝ่ายศิลปะบำบัด 28 2. การบริหารจัดการชัน้ เรยี นของฝา่ ยศิลปะบำบัด 29 แนวทางการจัดกิจกรรมศิลปะบำบัดเพอื่ บรรลุเป้าหมาย/คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ กำหนดตารางการสอนและระยะเวลาแผนการสอน ศลิ ปะบำบัด ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ 31 เขตการศึกษา 1 จังหวดั นครปฐม ตารางวคิ ราะห์เน้ือหา แผนการสอน ศิลปะบำบัด ศูนย์การศึกษาพเิ ศษ 33 เขตการศึกษา 1 จังหวดั นครปฐม 35 เกณฑก์ ารประเมนิ 37 แนวทางการจดั การศึกษาฝ่ายศิลปะบำบัด 38 บุคลากรฝ่ายศิลปะบำบัด ปีการศกึ ษา 2564 39 กฎระเบยี บการใช้ห้องเรยี นศิลปะบำบดั การใหบ้ รกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเร่มิ EI และเตรยี มความพร้อม ฝา่ ยศิลปะบำบัด ปกี ารศกึ ษา 2562-2563

คู่มือศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑ ศลิ ปะบำบดั ศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ เขตการศกึ ษา 1 จงั หวดั นครปฐม ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ๑ จังหวัดนครปฐม เป็นศูนย์ฟื้นฟูและเตรียมความพร้อม ศกั ยภาพเดก็ พกิ ารเด็กพิการทุกประเภทความพิการ โดยได้จดั กจิ กรรมทักษะตา่ งๆ ทจี่ ดั ให้เด็กพิการท่ีมารับ บรกิ าร เพ่อื พัฒนาการ ๔ ดา้ น กบั 1 ทักษะจำเป็น ไดแ้ ก่ ๑. พัฒนาดา้ นรา่ งกาย แบ่งออกเปน็ ๒ สว่ น การใชก้ ลา้ มเน้ือใหญแ่ ละการใช้กลา้ มเนอ้ื เล็ก ๒. พัฒนาการทางดา้ นอารมณแ์ ละจิตใจ ๓. พัฒนาการด้านการชว่ ยเหลือตนเองและสังคม ๔. พัฒนาการดา้ นสติปญั ญา 5. พฒั นาการดา้ นทักษะจำเปน็ การจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็กปฐมวัยในแต่ละวัน นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย นอกจากจะได้พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็กและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตาแล้ว กิจกรรมศิลปะยังสอดคล้องกับแบบแผนการเรียนรู้เป็น 2 แบบ 1) เรียนรู้ผ่านการมอง Visual และ 2) เรยี นรู้ผ่านทางสมองท่ีเรียกวา่ Brain Base Learning (BBL) อีกด้วย เดก็ จะได้ฝึกปฏิบัตจิ ริง มีประสบการณ์ ตรง เรียนรู้ผ่านการสังเกตและฝึกกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาจุดเชื่อมต่อของใยประสาท ภายใต้ สภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย มีอิสระทางความคิด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่สามารถพัฒนา กล้ามเนื้อเล็กได้เป็นอย่างดี และยังเชื่อมโยงพัฒนาการของอวัยวะหลายส่วน ทำให้เกิดจุดเชื่อมต่อของใย ประสาทที่สามารถพัฒนาไปสู่แบบแผนการเรียนรู้ของสมอง ในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ครูควร ส่งเสริมจัดกิจกรรมให้เด็กมีประสบการณ์ตรงและฝึกปฏิบัติอย่างหลากหลาย การสอนศิลปะสร้างสรรค์ สำหรับเด็กปฐมวัย ทางศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ๑ จังหวัดนครปฐมได้จัดการเรียนการสอน ๔ หนว่ ยการเรียนหลักตามหลกั สตู รปฐมวยั ของสถานศกึ ษาได้แก่ หนว่ ยการเรยี นท่ี ๑ จติ รกรรม หน่วยการเรยี นท่ี ๒ ประตมิ ากรรม หน่วยการเรยี นท่ี ๓ ภาพพิมพ์ หน่วยการเรียนที่ ๔ ศลิ ปะประยุกต์ ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว ครูสามารถส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่เพิ่มจุดเชื่อมต่อของใย ประสาท โดยส่งเสริมให้เด็กสังเกตรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับ สายตา การพัฒนาระบบกายสัมผัสโดยให้เด็กมีโอกาสสัมผัสรับรู้วัสดุที่มีผิวสัมผัสต่างกันในระหว่างทำ กิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ผ้ากระสอบ ผ้าสักหลาด กำมะหยี่ กระดาษทราย กระดาษที่มีผิวสัมผัส ต่างกัน ฯลฯ ระหว่างทำกิจกรรมศิลปะ ครูต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น แสงสว่างพอเหมาะ มี เสียงดนตรีเบาๆ บรรยากาศผ่อนคลาย ทำให้เกิดการเชื่อมโยงสมองส่วนประสาทสัมผัสกับสมองส่วนทีค่ มุ กล้ามเนอื้ พร้อมๆ กนั การเชื่อมโยงสมองซกี ซ้ายเข้ากับซกี ขวาที่เปน็ ด้านจนิ ตนาการ ดังน้ัน งานศิลปะจึงไม่ ควรเป็นการลอกเลียนแบบหรือต้องทำให้เหมือนจริง รวมทั้งไม่เน้นความถูกต้องของสัดส่วน แต่ส่งเสริม พัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เด็กสนุกสนาน ซึมซับความงามของสิ่งต่างๆ รอบตัว มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในผลงานของตน ควบคู่กับความสามารถถ่ายทอดการรับรู้ภายในด้านมิติ รูปทรง ขนาด ระยะ ฯลฯ ตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรคเ์ ดก็

คมู่ อื ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒ ศิลปะสรา้ งสรรค์กับเดก็ ปฐมวัย เด็กในช่วงวยั น้ีโครงสร้างสมองซีกขวาซ่ึงเกย่ี วกับศิลปะ จนิ ตนาการ ความคิดสร้างสรรคด์ ีมาก ถ้าส่งเสรมิ อย่างถกู ทิศถกู ทางและทำให้เกดิ พัฒนาการอย่างต่อเนือ่ ง แต่เมื่อไหร่ท่ี เราไปขัดขวางพัฒนาการ บีบบังคับ สร้างความเป็นระบบแบบแผนมากเกินไป ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขัดขวาง จนิ ตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก การศึกษาไทยยังไม่มีความเข้าใจในการพัฒนาเด็กให้มีความคิดสร้างสรรค์ จะเห็นว่าทุกวันนี้เรา พยายามสร้างกระบวนการคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กไทยมากขึ้น หากแต่บางครั้งก็ยังไม่มคี วามเข้าใจมากพอ เดก็ แต่ละวยั มคี วามแตกตา่ งกนั ในการจัดกิจกรรมเพอื่ สรา้ งกระบวนการคิดสร้างสรรค์จงึ ตอ้ งต่างกนั ไป เด็กใน ระดับชั้นปฐมวัย จึงจำต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ เราจะเน้นให้เด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เม่ือ เขาสนุกและเพลิดเพลิน แล้วจะทำให้เขาสามารถคิดอะไรได้แปลกใหม่อย่างมีอิสระ และเสรีภาพ คนที่จะ สรา้ งกระบวนการเรียนรู้ให้เดก็ ตอ้ งเข้าใจ มฉิ ะน้ันจะไม่สามารถสร้างสถานการณ์ของการเรยี นการสอนได้ใน การพัฒนาเสรภี าพการเขยี นการคิดไดอ้ ย่างแทจ้ ริง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยโดยผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิด จินตนาการไดเ้ ตม็ ที่ตามทไ่ี ด้เห็น เดก็ สามารถสร้างจนิ ตนาการได้กวา้ งกว่าท่ีเราจะคาดเดาได้ บางทีก็อาจจะ สะท้อนจติ ใจความรู้สกึ ของเด็กท่ีบางทีไ่ มส่ ามารถถ่ายทอดเป็นคำพูดได้แต่สามารถถ่ายทอดมาทางงานศิลปะ สร้างสรรค์ได้ วิชาศิลปะสร้างสรรค์เป็นฐานทางการศึกษาพัฒนาการเด็กซึ่งควรเริ่มตั้งแต่เด็กยังเล็กอยู่การ เรียนรศู้ ลิ ปะสรา้ งสรรค์สำหรบั เด็กปฐมวัยนนั้ จะมุ่งเนน้ ถงึ พัฒนาการดา้ นตา่ งๆ ของเดก็ มากกวา่ ผลงาน ดงั นน้ั จะเหน็ วา่ กิจกรรมตา่ งๆ ทางศิลปะสรา้ งสรรคจ์ ะเป็นการฝึกกลา้ มเนอ้ื มอื ให้แขง็ แรง และสมั พันธ์กับการใช้ตา เช่นการปั้นแปง้ ดินน้ำมัน วาดรูป และระบายสี เด็กได้ใช้ส่วนต่างๆ ของนิ้วมอื แขนไหล่ และส่วนอื่นๆของ รา่ งกาย เปน็ การเตรยี มความพรอ้ มในด้านการใชก้ ล้ามเนอ้ื ใหญ่-เล็กเปน็ อย่างดี ทำให้เดก็ สามารถหยิบจับสิ่ง ต่างๆ ได้ อนั จะนำไปสกู่ ารเรยี นรขู้ องเด็กต่อไป

คูม่ ือศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓ ศิลปะกบั ความคดิ สร้างสรรค์ นกจิตวิทยาทางการศึกษาทั่วโลกเช่ือกันว่าเดก็ ทกุ คนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และสามารถพัฒนาให้เจริญ งอกงามได้ตามระดับความสามารถของแต่ละบุคคล ถ้าหากเด็กน้ัน ๆ ได้รับการเสริมและสนับสนุนให้มีการ แสดงออกภายใต้ บรรยากาศทีม่ ีเสรีภาพ สำหรับเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ในตัว สามารถพิจารณาจากพฤติกรรมได้หลาย ดา้ นดงั น้ี 1. การเป็นผ้กู ระตือรอื รน้ อย่ตู ลอดเวลา 2. การเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ด้วย ความคิดของตนเอง 3. การเป็นผู้ชอบสำรวจตรวจสอบ ความคดิ ใหม่ ๆ 4. การเป็นผู้เชื่อมั่นในความคิดของ ตวั เอง 5. การเป็นผสู้ อบสวนสิ่งต่าง ๆ 6. การเป็นผู้มีประสาทสัมผัสอันดีต่อ ความงาม จะเห็นได้ว่าการสร้างสรรค์ คือการเจริญงอกงามทั้งด้านความคิด ร่างกาย และ พฤติกรรม และศิลปะ สร้างสรรค์ คือ เครื่องมือที่ดีและเหมาะสมที่สุดในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะ กระบวนการทาง ศิลปะสร้างสรรค์ไม่มีขอบเขตแห่งการสิ้นสุด สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เด็กได้ตลอด เวลา นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กเกิดความคิดที่ต่อเนื่องอยา่ งไม่จบสิ้น และก้าวไปยังโลกแห่ง จินตนาการอย่างไม่มี ขอบเขต ๑ จิตรกรรม (การวาดรปู ระบายสี) เป็นอกี กจิ กรรมหน่ึงซงึ่ ชว่ ยในการทำงานประสานกันระหว่างมือ และตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดที่จะต้องพบในชีวิตประจำวันของเขา ภาพที่จะเห็นตอ่ ไปน้ี เป็นภาพ ที่วาดโดยเด็กปฐมวัยอายุ ๓-๔ ขวบ เป็นภาพที่วาดตามความคิดและจินตนาการของเด็กเป็นอีก กิจกรรมหนึ่งซึง่ ช่วยในการทำงานประสานกนั ระหวา่ งมือและตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดท่ี จะตอ้ งพบในชีวติ ประจำวนั ของเขา ๒ ประติมากรรม (การปั้น) การปั้นดินน้ำมันหรือ ดินเหนียว แป้งโด ฯลฯ มาปั้นเป็นรูปต่างๆตาม จินตนาการของเดก็ แต่ ละคนซงึ่ จะแตกต่างกนั ไปเปน็ การฝึกสมาธิ และพัฒนากลา้ มเนื้อสว่ นตา่ ง ๆ ของเด็ก เด็กจะไดเ้ รียนรู้ รปู รา่ ง ตา่ ง ๆ ความหมาย เกิดจากนำวัตถทุ ี่มคี วามยดื หยุ่นมาสรา้ งรูปทรงใหเ้ กิดการสร้างสรรค์ ได้จากธรรมชาตแิ ละมนุษย์ สรา้ งขึ้น เชน่ ดินเหนยี ว ดนิ นำ้ มัน แป้งโด ดินกระดาษ ฯลฯ นำวัตถดุ ิบเหลา่ นีผ้ ่านกระบวนการปั้น นวด ขูด แกะ เพมิ่ กด คลึง ทำใหเ้ กดิ รปู ทรงตามจินตนาการของผเู้ รยี นอยา่ งสรา้ งสรรค์ ๓. การพมิ พ์ การพิมพ์ภาพเป็นการสรา้ งภาพหรอื ลวดลายที่เกิดจากการนำวัสดุหลายๆประเภท เช่น ใบไม้ ก่ิงไม้ ก้านกลว้ ย หรืออวยั วะของร่างกาย เช่น มอื เทา้ มาใช้เปน็ แมพ่ มิ พก์ ดทับลงบนสีแล้วนำไป พิมพ์ บนกกระดาษหรอื ผา้ ก็ได้ การขูด การใช้ดินสอสไี ม้ในการขดู ลงกระดาษบนพนื้ ผิวท่ีแตกต่างกนั ทำให้เกิดลาย ทห่ี ลากหลายใหผ้ เู้ รยี นสนุกกบั การค้นหาลวดลาย การเปา่ สี คือการนำสนี ำ้ หรือสีโปสเตอร์ ผสมกับน้ำให้สีข้น

คมู่ อื ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๔ พอสมควร โดยการหยดสีลงบนกระดาษ ใช้หลอดกาแฟจ่อปลายหลอดที่สี แล้วเป่าให้สีกระจาย จะได้ภาพ สวยงามหลายหลากสี การกดพมิ พ์ ด้วยวัสดุธรรมชาติ เชน่ ก้านกล้วย ใบไม้ ลกู ยาง นำมาจสุ นี ้ำหรือโปสเตอร์ กดลงบนกระดาษทำให้เกดิ ลาย สร้างเรื่องราวอย่างสรา้ งสรรค์ ๔. ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) ศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการด้านความสะดวกสบาย ทั้งทางกายและทางจิตใจของคนเรา ศิลปะประยุกต์จึงมีคุณค่าทางประโยชน์ใช้สอยต่อชีวิตประจำวันเป็น สำคัญ เช่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า เครื่องใช้ เป็นต้น ลักษณะของศิลปะประยกุ ต์มีหลายแขนง เช่น พาณิชย ศลิ ป์ หตั ถกรรม มัณฑนศลิ ป์ ส่อื ผสม เปน็ ตน้ การประดิษฐ์เศษวัสดุ เป็นการช่วยส่งเสริมให้เด็กเห็นคุณค่าการประยกุ ต์ให้เศษวัสดุใกล้ตัว ช่วย รักษาสง่ิ แวดล้อม เกิดความภาคภูมิใจต่อผลงานของตนเอง สง่ เสริมใหเ้ ดก็ เรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำ มีส่วน ร่วมทั้งความคิด จิตใจ สมอง เกิดความประทับใจ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ จะทำให้เด็กค่อย ๆ เกิดความคิด สรา้ งจนิ ตนาการ นำไปสกู่ ารคิดคน้ การแก้ปญั หาและสร้างสรรค์งานใหมไ่ ด้ การพับกระดาษ เป็นกิจกรรมในการพัฒนาจิตใจและสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ทำให้ เดก็ เกิดความสนใจ และรู้สกึ สนุกจงึ ทำซำ้ แลว้ ซำ้ อกี และเรยี นรคู้ วามสมั พนั ธร์ ะหว่างความเคลอื่ นไหวของมือ และการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างจากกระดาษที่พับ การฉีก - ปะกระดาษเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริม การใช้ ทักษะมือและนิ้วมือ ที่เราเรียกว่ากล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อส่วนนี้จะทำงานได้ดีต้องอาศัยการประสาน สัมพนั ธ์ระหว่างตากบั มือดว้ ย ศิลปะบำบัด (Art Therapy) สำหรบั เดก็ ท่ีมีความจำเป็นพเิ ศษ ของศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จงั หวดั นครปฐม ประกาศ ศธ.เรื่องกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๕๒ และ ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๒ กำหนดประเภทของคนพิการออกเปน็ ๙ ประเภท ได้แก่ 1. บุคคลท่มี ีความบกพร่องทางการเห็น 2. บคุ คลทมี่ ีความบกพรอ่ งการได้ยิน 3. บคุ คลทีม่ คี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา 4. บุคคลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกาย หรอื การเคลอื่ นไหว หรอื สขุ ภาพ 5. บุคคลท่ีมคี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 6. บคุ คลที่มคี วามบกพร่องทางการพดู และภาษา 7. บุคคลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางพฤตกิ รรม หรอื อารมณ์ 8. บุคคลออทสิ ติก 9. บุคคลพกิ ารซอ้ น พฒั นาการทางศิลปะ (Art Development Stages) วิกเตอร์ โลเวนเฟลด์ แบง่ ขน้ั พฒั นาการทางศิลปะ มที งั้ หมด 6 ขนั้ คือ 1. ขนั้ ขีดเขย่ี (The Scribbling Stage) 2. ขั้นก่อนมีรูปแบบ (The Preschematic Stage) 3. ข้ันมีรปู แบบ (The Schematic Stage)

คูม่ ือศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๕ 4. ข้นั เขา้ กล่มุ เพ่ือน (The Gang Age) 5. ขน้ั คลา้ ยธรรมชาติ (The Pseudo-Naturalistic Stage) 6. ขัน้ ศลิ ปะวยั ร่นุ (Adolescent Art) วกิ เตอร์ โลเวนเฟลด์ อธบิ ายข้นั พัฒนาการทางศิลปะ โดยคณุ ลกั ษณะ 3 ด้านคอื 1. ลกั ษณะการวาดภาพ (Drawing Characteristics) 2. การแสดงพ้นื ที่ (Space Representation) 3. การแสดงภาพคน (Human Figure Representation) พฒั นาการทางศลิ ปะของเดก็ ศลิ ปะจดั เป็นภาษาของมนุษย์ในอกี ลักษณะหน่ึงด้วยเหตทุ ี่ศิลปะสามารถเป็นสอ่ื โยงความคิดความ เข้าใจต่อกนั ของมวลมนุษย์ได้ศิลปะเป็นสว่ นหนึง่ ของการแสดงออกทางภาษา การแสดงออกทางศิลปะมักจะ แตกตา่ งกันออกไป ตามแนวจนิ ตนาการและการสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคล นักจติ วทิ ยาสว่ นมากเช่ือกันว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวและประจำตัวเชื่อกันว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณสมบัติ เฉพาะตวั และประจำตวั สำหรับเดก็ ซึ่งจะพัฒนาการไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและโอกาสที่ผู้เกี่ยวข้องกับเด็กจะ จัดสรรส่งเสริมให้ความคิดสร้างสรรค์น้ีจะส่งผลสะท้อนถึงเดก็ ในหลายๆ ด้าน เช่น ระดับความเชื่อมั่นใน ตนเองการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและสติปัญญา การแสดงออกเหล่านี้เราพอจะมองเห็นได้จากการวาด ภาพระบายสี การปั้น เป็นต้น วิคเตอร์โลเวนเฟลด์ (Victor Lowenfeld) นักจิตวิทยาการศึกษาได้ ทำการศึกษาค้นคว้างานทางด้านศิลปะของเด็ก และการคิดสร้างสรรค์จากงานทางศิลปะ โดยให้เด็ก แสดงออกทุกอยา่ งอย่างอิสระเขาทดลองกับเด็กท่มี ีฐานะทางเศรษฐกิจปานกลาง อายุตงั้ แต่ 2 ปีครง่ึ ข้ึนไป ให้เดก็ วาดภาพด้วยสีเทียน จะสอี ะไรกไ็ ด้ พบว่าเด็กมีพัฒนาการในการวาดขีดเข่ียเป็น 4 ขัน้ ไดแ้ ก่ 1. ขั้นขีดเขี่ย (Scribbling Stage) ประมาณอายุระหว่าง 2-4 ปี ขั้นนี้แบ่งระยะของพัฒนาการ ได้ ออกเป็น 4 ข้นั คอื 1.1. Disordered Scribbling (2 ปี) การขีดเขียนยังเป็นแบบสะเปะสะปะ กล่าวคือ การขดี เขยี นจะเป็นเสน้ ยงุ่ เหยิง โดยปราศจากความหมาย ท้ังน้ีเนื่องมาจากการประสานงานของกล้ามเนื้อ ยังไมด่ ี เช่น การบังคบั กล้ามเนอื้ เล็กๆ ยงั ไม่ได้ จะทดลองง่ายๆ โดยใหเ้ ดก็ วัยน้ีกำมือ แล้วให้เด็กยกน้ิวที่ ละนว้ิ หรือสองนว้ิ ก็ได้ เดก็ จะทำไม่ได้ หรือลองให้เดก็ ชกเรา เดก็ จะยกแขนชกพร้อมๆ กนั ทั้ง 2 แขน เป็น ตน้ 1.2. Longitudinal Scribbling ขั้นขีดเป็นเส้นยาว เด็กจะเคลื่อนแขนขีดได้เป็นเส้นแนว ยาว ขีดเขี่ยซ้ำๆ หลายครั้ง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แสดงให้เห็นพัฒนาการทางกล้ามเนื้อว่าเด็กค่อยๆ ควบคุมกล้ามเนอ้ื ของการเคลอ่ื นไหวของตนเองใหด้ ขี ึ้น ระยะน้ีเด็กจะเริ่มรูส้ ึกสนุกและสนใจเป็นครัง้ แรก 1.3. Circular Scribbling เป็นขั้นที่เด็กสามารถขีดลากเป็นวงกลม ระยะนี้การ ประสานงานของกล้ามเนื้อ (motor Coordination) ดีขึ้นการประสานงานของกล้ามเน้ือมือและสายตา (Eye-hand Coordination) ดีขึ้นเด็กสามารถขีดเส้น ซึ่งมีเค้าเป็นวงกลมเป็นวงกลมเป็นระยะเด็ก เคล่อื นไหวได้ตลอดท้งั แขน 1.4. Noming Scribbling ขั้นให้ชื่อรอยขีดเขียน การขีดเขียนชักมีความหมายขึ้น เช่น จะวาดเป็นรูป น้อง พี่ พ่อ แม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก ขณะขีดเขียนไปเด็กก็จะบรรยายไปด้วย ถา่ ยทอดออกมาในรปู การขีดเขียนและความคิดคำนงึ ในภาพ พฒั นาการท้งั 4 ระยะนี้ ยอ่ มข้ึนอยูก่ บั เด็ก

ค่มู อื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๖ แต่ละบุคคลไปคงตัวเสมอไป เด็กที่มีพัฒนาการขึ้นเร็วจะถึงขั้น Noming Scribbling ก่อนซึ่งนับเป็นขั้น พัฒนาการที่สำคัญมาก จากการใช้ความคิดนึกคิดในการเคลื่อนไหวของเด็ก ทั้งๆที่ภาพนัน้ จะไมเ่ ป็นรูปร่าง ดงั กล่าวเลย ซ่ึงเด็กจะบรรลุถึงขนั้ นเี้ มอ่ื ใกล้ 4 ขวบ 2. ขั้นเริ่มขีดเขยี น (Pre-Schematic Stage) (4-7 ป)ี เป็นระยะเริ่มต้นการขีดเขียนภาพอย่างมีความหมาย การขีดเขียนจะปรากฏเป็นรูปร่างข้ึน สมั พันธก์ บั ความจริงของโลกภายนอกมากขนึ้ มีความหมายกับเดก็ มากขนึ้ ซง่ึ จะสังเกตไดจ้ าก 2.1. คนท่วี าดอาจเปน็ พอ่ แม่ พ่ี น้อง ตุ๊กตาท่รี ัก ฯลฯ 2.2. ชอบใช้สีท่สี ะดุดตาไม่คำนึงถึงความเป็นจริงตามธรรมชาตกิ ารแล้วแตส่ ีไหนประทบั ใจ 2.3. ชอ่ งไฟ (Space) ภายในภาพยงั ไมเ่ ปน็ ระเบยี บส่ิงที่เขียนมกั กระจดั กระจาย ง. การออกแบบ (Design) ไมค่ ่อยมหี รอื ไมม่ เี อาเลย แล้วแต่จะนกึ คิด 3. ขั้นขีดเขียน (Schematic Stage) (7-9 ปี) เป็นขั้นที่ขีดเขียนให้คล้ายของจริง และความเป็น จริงจะพจิ ารณาไดต้ ามลำดับดงั นี้ 3.1. คน รูปที่ออกมาจะแสดงพอเป็นสัญลักษณ์ ถ้าวาดรูปคนเราอาจไม่รู้ว่าเป็นคนรปู คน และภาพท่อี อกมาเป็นรูปทรงเรขาคณิต เชน่ สว่ นใดท่ีเด็กเห็นว่าสำคัญ นา่ สนใจกจ็ ะวาดส่วนใหญ่เป็น พิเศษ ส่วนไหนท่ีไม่สำคัญอาจตัดทิ้งไปเลย ฉะน้นั เราจะเหน็ เด็กวัยนว้ี าดภาพส่วนต่างๆ ขาดหายไป เช่น ลำตวั ขา เท้า ฯลฯ ซง่ึ ไมใ่ ช่เรอื่ งประหลาดอะไรเลย บางทีอาจเป็นเดก็ หวั โต ตาโต แขนโต ฯลฯ แล้วแต่เด็ก จะใหค้ วามสำคัญอะไรและบางท่ใี นรปู หนง่ึ จะยำ้ หลายๆ อย่าง(ซำ้ กนั ) ในภาพ 3.2. การใชส้ ี สว่ นมากใช้สีตรงกับความจรงิ แต่มกั ใช้สเี ดียวตลอด เช่น พระอาทิตย์ตอ้ ง สีแดงตลอด ทอ้ งฟ้าตอ้ งสฟี า้ ตลอด ประสบการณข์ องเด็กจะทำให้ใชส้ ไี ดถ้ ูกต้อง และตรงกบั ความเป็นจริง ขน้ึ ถ้าใบไมส้ ดต้องสเี ขียว ถ้าใบไมแ้ หง้ ต้องสีน้ำตาล เป็นตน้ 3.3. ช่องวาง (Space) มีการใช้เส้นฐาน (based line) แล้วเขียนทุกอย่างสัมพันธก์ นั บนเส้นฐาน เช่น วาดรูป คน สุนัข ต้นไม้ บ้าน อยู่บนเส้นเดียวกัน ภาพที่ออกมาจะเป็นแบบลำดับ เหตุการณ์ สว่ นสงู ขนาด ยงั ไม่มีความสมั พนั ธ์กนั เชน่ ดวงอาทิตย์ อยบู่ นขอบของกระดาษ รปู คนก็อาจ สูงถงึ ใกล้ขอบกระดาษ เป็นตน้ 3.4. งานออกแบบ ไมค่ ่อยดี มักจะเขียนตามลักษณะท่ตี นพอใจ 4. ขน้ั วาดภาพของจริง (The Drawing Realism) (9-11 ปี) เป็นขั้นเริ่มต้นการขีดเขียนอย่างของจริงเนื่องจากระยะนี้ตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ เด็ก เริ่มรวมกลุ่มกัน โดยแยกชาย หญิง เด็กผู้ชาย ชอบผาดโผน เดินทางไกล เด็กผู้หญิงสนใจเครื่องแต่งตวั เพื่อแต่งตัวงานรนื่ เริง ฉะนนั้ การขดี เขียนจะแสดงออกในทำนองต่อไปนีค้ ือ 4.1. คน จะเน้นเร่อื งเพศด้วยเครื่องแตง่ ตวั แตก่ ระดา้ ง ๆ 4.2. สี ใช้ตามความเป็นจริง แต่อาจเพิ่มความรู้สึก เช่น บ้านคนจนอาจใช้สีมัว ๆ บ้านคนรวยอาจใชส้ สี ดๆ มีชวี ิตชีวา 4.3. ช่องวา่ ง ทุกอย่างในช่องว่างเหลือ่ มลำ้ กนั ได้ เช่น ต้นไมบ้ ังฟ้าได้ วาดฟา้ คลมุ ไปถึง ดินเส้นระดับ (Based Line) ค่อยๆ หายไป รูปผู้หญิงมกั เน้นลวดลาย เครื่องแต่งกายมดี อกดวง รูปผู้ชายก็ ต้องเป็นรูปคาวบอย การจัดวัตถุให้สัมพันธ์กันเป็นเรื่องสำคัญมากในระยะนี้ เพราะเป็นระยะแรกของการ พัฒนาการทางการรบั รู้ทางสายตา ซง่ึ จะนำไปสกู่ ารวาดภาพสามมติ ไิ ดอ้ ีกต่อหนงึ่

คู่มือศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๗ 4.4. การออกแบบ ประสบการณ์ของเด็กจะทำให้การออกแบบดีขึ้น เป็นธรรมชาติขึ้น รจู้ กั การวางหนา้ ที่ของวัตถตุ า่ งๆ 5.ขน้ั การใชเ้ หตุผล (The Stage of Reasoning) (11-12 ป)ี ขัน้ การใชเ้ หตผุ ล ระยะเข้าสูว่ ยั รุ่น เป็นระยะทีเ่ ด็กแสดงออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว เช่น เอาบรรทัด ดินสอมารอ่ น แล้วทำเสียงอย่างเครื่องบินเป็นต้น เด็กจะทำอย่างเป็นอิสระ และสนุกสนาน ถ้าผู้ใหญ่ทำก็เท่ากับไม่เต็ม บาท ถ้าพจิ ารณาจากขน้ั น้ีจะสงั เกตว่า 5.1. การวาดคน จะเห็นข้อต่อของคน ซึ่งเป็นระยะเด็กเริ่มคน้ พบ เสื้อผ้าก็มรี อยพลิว้ ไหว มีรอยย่น รอยยับ คนแก่-เด็ก ต่างกันด้านสัดส่วนก็ใกล้ความจริงขึ้นมีรายละเอียดมากขึ้นแต่รายละเอียดที่ จำเปน็ เท่านัน้ เนน้ ส่วนสำคัญที่เกนิ ความจรงิ ชอบวาดตนเองแสดงความรู้สึกทางร่างกายมากกว่าคุณลักษณะ ภายนอก 5.2. สี แบ่งเป็น 2 พวก พวกแรกจะใชส้ ตี ามความเปน็ จรงิ (Visually Minded)ส่วนอกี พวก (Non visually minded) มักใช้สีตามอารมณ์และความรู้สึกตนเอง เช่น ตอนเศร้าตอนมีความสุข มัก แสดงออกโดยเนน้ ความสมั พนั ธ์ทางอารมณ์กับโลกภายนอก นบั เป็นงานแสดงออกซึง่ การสร้างสรรค์งานทาง ศิลปะ 5.3. ช่องวา่ ง พวก Visually Minded รู้จกั เสน้ ระดับ รปู เริม่ มี 3 มิติโดยการจัดขนาดวัตถุ เลก็ ลงตามลำดับ ระยะใกลไ้ กล สว่ นพวก Non Visually Minded ไม่ค่อยใช้รปู 3 มิตชิ อบวาดภาพคน และมักเขียนโดยใชต้ นเองเป็นผูแ้ สดง สงิ่ แวดลอ้ มจะเขยี นเม่ือจำเป็นหรือเห็นว่าสำคัญเทา่ น้นั 5.4. การออกแบบ พวก Visually Minded ชอบออกแบบทางสวยงาม พวก Non Visually Minded มองทางประโยชน์ อารมณ์แต่ท้งั นี้เป็นเพียงการเร่ิมต้นเทา่ นน้ั ยงั ไม่เข้าใจการออกแบบอย่างจริงจงั แนวทางการจดั การศึกษา “ศิลปะ” ตามหลักสูตรปฐมวยั สำหรับเด็กทีม่ ีความจำเป็นพเิ ศษ ของศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ เขตการศึกษา 1 จงั หวดั นครปฐม 1. การจดั การเรียนการสอนของฝา่ ยศิลปะบำบดั การศกึ ษาเป็นรายบคุ คล (Individual Study) การศึกษาเปน็ สงิ่ จ าเปน็ และส าคัญส าหรบั มนุษย์ แต่ละคนจึงมีความสามารถ ความสนใจ ความพร้อมและความต้องการที่แตกต่างกัน ท าให้การเรียนรู้ไม่ เหมือนกนั ดังนั้นแนวคิดทางการศึกษาแผนใหมจ่ ึงเนน้ ในเรื่องการจัดการศึกษา โดยค านึงถึงความแตกตา่ ง ระหว่างบคุ คล เรยี กการเรียนการสอนลักษณะน้ีว่า การจัดการเรียนการสอนรายบุคคล หรือการจดั การเรียน การสอนตามเอกัตภาพ (แบบเอกัตบคุ คล) หรอื การเรียนดว้ ยตนเอง โดยยดึ หลกั ความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยมุง่ จดั สภาพการเรียนการสอนที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนไดเ้ รยี นรู้ด้วยตนเองตามความสามารถ ความสนใจ และความพร้อมครหู รือผู้เรยี น เป็นผู้ก าหนดหัวข้อปัญหา หรอื โครงงานตามสาระการเรยี นรู้ทีก่ าหนด โดย ผู้เรียนต้องศึกษา วิเคราะห์ สรุปอ้างอิงและสรุปข้อความรู้บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ และประเมินผล กระบวนการ ครูต้องใชเ้ ทคนคิ การประเมนิ ในด้านการใหข้ ้อมูลป้อนกลับ และการตรวจแกง้ าน โดยใสไ่ วใ้ นส่ือ ที่ผู้เรียนใช้ หรือใช้ร่วมกันไปกับกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ครูมีบทบาทช่วยให้ผู้เรยี นได้พัฒนาทักษะ และนิสัยการเรียนรู้อยา่ งอิสระ โดยจัดสิ่งแวดล้อมในชั้นเรียนให้ส่งเสริมความเป็นอิสระ ให้ผู้เรียนมั่นใจใน ตนเอง อยากรู้อยากเห็นและปรารถนาที่จะเรียนรู้ โดยครูอาจจัดชั้นเรยี นเป็นศูนย์การเรียน จัดชุดกิจกรรม การเรียนรู้ (Learning Activity Packages) การศึกษาเป็นรายบุคคล สามารถปรับใช้ได้ในหลาย ๆ สถานการณ์ ต้ังแตก่ ารเรียนในช้ันเรยี นท่ีมคี รูคอยควบคุม จนถึงการฝึกทักษะการศึกษาค้นคว้าในห้องสมุดที่

คูม่ อื ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๘ ผ้เู รยี นตอ้ งกำกับการเรียนรู้ของตน โดยหวั ขอ้ ทศี่ กึ ษาจะเป็นไปตามขอ้ กำหนดของรายวิชาหรือไม่กไ็ ด้ ครูอาจ ใช้วิธีน้ี กับผู้เรียนทั้งหอ้ งเรียน กับกลุ่ม หรือกับผูเ้ รียนแต่ละคนก็ได้ กิจกรรมที่ครูสามารถเลือกใช้ให้ผู้เรยี น ปฏิบัตใิ นการศึกษาเป็นรายบุคคล มีดงั นี้ รายงาน การระดมพลังสมอง การค้นควา้ อย่างอสิ ระ เรยี งความ การ แก้ปัญหา การเรียนเสรมิ โครงงาน การตัดสินใจ ศนู ย์การเรยี น แบบจำลอง คู่สัญญา ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ การทำนิตยสาร การสืบค้นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดการสอน เกม การมอบหมายงานเป็นรายบุคคล เนอ่ื งจากผู้เรยี นแต่ละบุคคลมีความสามารถในการเรยี นรู้ และความสนใจในการเรียนร้ทู แ่ี ตกตา่ งกนั ดงั นั้นจึง จำเป็นทีจ่ ะตอ้ งมเี ทคนิคหลายวิธีเพอื่ ช่วยใหก้ ารจัดการเรียนในกลุ่มใหญ่สามารถตอบสนองผูเ้ รียนแต่ละคนที่ แตกตา่ งกันไดด้ ว้ ย อาทิ เทคนิคการใช้ Concept Mapping ท่ีมหี ลักการใช้ตรวจสอบความคิดของผู้เรียนว่า คดิ อะไร เข้าใจ สิง่ ท่ีเรียนอย่างไร แลว้ แสดงออกมาเป็นกราฟกิ เทคนิค Learning Contracts คือ สัญญาที่ผู้เรียนกับผู้สอนร่วมกันก าหนด เพื่อใช้เป็นหลักยึดใน การเรียนวา่ จะเรยี นอะไร อย่างไร เวลาใด ใชเ้ กณฑ์อะไรประเมิน เทคนิค Know-Want-Learned ใช้เชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ ผสมผสานกับ การใช้ Mappingความรเู้ ดมิ เทคนคิ การรายงานหน้าช้ันที่ให้ผู้เรียนไปศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเองมานำเสนอหน้าช้ันซึ่ง อาจมีกิจกรรมทดสอบผู้ฟังด้วยเทคนิคกระบวนการกลุ่ม (Group Process) เป็นการเรียนที่ทำให้ผู้เรียนได้ ร่วมมือกนั แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดซึง่ กนั และกัน เพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายเดยี วกนั เพื่อแก้ปัญหาให้สำเร็จ ตามวตั ถุประสงค์ การนำทฤษฏี เทคนคิ วธิ ีการสอนตา่ งๆ มาใช้ในฝา่ ยศลิ ปะบำบัดเพ่อื การจัดการในช้ันเรยี น 1.1. เทคนคิ การเรียนการสอนแบบการเรียนร้ผู า่ นการมอง (Visual) นักจิตวิทยาที่ศึกษารูปแบบการเรียนรู้หรือลีลาการเรียนรู้ของมนุษย์ (Learning style) ได้พบว่า มนุษย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง คือ การรับรู้ทางสายตาโดยการมองเห็น (Visual percepters) การรับรู้ทางโสตประสาทโดยการได้ยิน (Auditory percepters) และ การรับรู้ทางร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวและการรู้สึก (Kinesthetic percepters) ซึ่งสามารถนำมาจัดเป็นลีลาการเรียนรู้ได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ ผ้เู รยี นแตล่ ะประเภทจะมคี วามแตกตา่ งกนั คอื 1.1 ) ผู้ที่เรียนรูท้ างสายตา (Visual learner) เป็นพวกทเ่ี รยี นร้ไู ด้ดีถา้ เรยี นจากรปู ภาพ แผนภูมิ แผนผังหรือจากเนื้อหาที่เขียนเป็นเรื่องราวเวลาจะนึกถึงเหตุการณ์ใดก็จะนึกถึงภาพเหมือนกับเวลาที่ดู ภาพยนตรค์ ือมองเห็นเป็นภาพที่สามารถเคลือ่ นไหวบนจอฉายหนงั ได้ เนอ่ื งจากระบบเกบ็ ความจำได้จัดเก็บ สิ่งที่เรียนรู้ไว้เป็นภาพ ลักษณะของคำพูดที่คนกลุ่มนี้ชอบใช้ เช่น “ฉันเห็น” หรือ “ฉันเห็นเป็นภาพ…..” พวก Visual learner จะเรียนได้ดีถ้าครูบรรยายเป็นเรื่องราว และทำข้อสอบได้ดีถ้าครูออกข้อสอบใน ลักษณะที่ผูกเป็นเรื่องราวนักเรียนคนใดที่เป็นนักอ่าน เวลาอ่านเนื้อหาในตำราเรียนที่ผู้เขียนบรรยายใน ลกั ษณะของความรู้ ก็จะนำเรอ่ื งทอี่ า่ นมาผกู โยงเป็นเรอ่ื งราวเพอื่ ทำให้ตนสามารถจดจำเนอ้ื หาได้ง่ายข้ึน เด็ก ๆ ที่เป็น Visual learner ถ้าได้เรียนเนือ้ หาที่ครูนำมาเล่าเป็นเร่ือง ๆ จะนั่งเงียบ สนใจเรียน และสามารถ เขียนผูกโยงเป็นเรื่องราวได้ดี ผู้ที่เรียนได้ดีทางสายตาควรเลือกเรียนทางด้านสถาปัตยกรรม หรือด้านการ ออกแบบและควรประกอบอาชพี มัณฑนากร วิศวกร หรือหมอผ่าตดั พวก Visual learner จะพบประมาณ 60-65 % ของประชากรทัง้ หมด 1.2) ผู้ที่เรียนรู้ทางโสตประสาท (Auditory Learner) เป็นพวกที่เรียนรู้ได้ดีท่ีสุดถ้าได้ฟังหรือได้ พูด จะไม่สนใจรปู ภาพ ไมส่ รา้ งภาพ และไมผ่ ูกเร่ืองราวในสมองเป็นภาพเหมือนพวกท่ีเรียนรู้ทางสายตา แต่

คมู่ อื ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๙ ชอบฟังเรือ่ งราวซำ้ ๆ และชอบเลา่ เร่ืองใหค้ นอืน่ ฟงั คณุ ลกั ษณะพเิ ศษของคนกลมุ่ น้ี ได้แก่ การมีทักษะในการ ได้ยนิ /ไดฟ้ ังทเ่ี หนอื กวา่ คนอ่ืน ดังนัน้ จงึ สามารถเลา่ เรอ่ื งตา่ งๆ ได้อย่างละเอียดละออ และรู้จกั เลือกใช้คำพูด ผูเ้ รียนท่ีเป็น Auditory learner จะจดจำความรู้ได้ดีถ้าครพู ูดให้ฟงั หากครถู ามให้ตอบ กจ็ ะสามารถตอบได้ ทนั ที แตถ่ ้าครูมอบหมายให้ไปอ่านตำราลว่ งหน้าจะจำไมไ่ ด้จนกวา่ จะได้ยินครอู ธิบายให้ฟงั เวลาท่องหนังสือ ก็ต้องอ่านออกเสียงดังๆ ครูสามารถช่วยเหลือผู้เรียนกลุ่มน้ีได้โดยใช้วิธสี อนแบบอภิปราย แต่ผู้ที่เรียนทาง โสตประสาทก็อาจถูกรบกวนจากเสียงอนื่ ๆ จนทำให้เกิดความวอกแวก เสียสมาธิในการฟังได้ง่ายเช่นกันใน ดา้ นการคดิ มักจะคดิ เป็นคำพดู และชอบพูดว่า “ฉันไดย้ นิ มาวา่ /ฉันได้ฟงั มาเหมือนกับวา่ …” พวก Auditory learner จะพบประมาณ 30-35 % ของประชากรทั้งหมด และมักพบในกลุ่มที่เรียนด้านดนตรี กฎหมาย หรือการเมือง ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี พิธีกรทางวิทยุและโทรทัศน์ นักจัดรายการเพลง (disc jockey) นักจติ วิทยา นักการเมอื ง เปน็ ต้น 1.3) ผู้ที่เรียนรู้ทางร่างกายและความรู้สึก (Kinesthetic learner) เป็นพวกที่เรียนโดยผ่านการ รับรู้ทางความรู้สึกการเคลื่อนไหวและร่างกาย จึงสามารถจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดีหากได้มีการสัมผัสและเกิด ความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งที่เรียน เวลานั่งในห้องเรียนจะนัง่ แบบอยู่ไม่สุข นั่งไม่ติดที่ ไม่สนใจบทเรียน และไม่ สามารถทำใจให้จดจ่ออยู่กับบทเรียนเป็นเวลานาน ๆ ได้ คือให้นั่งเพ่งมองกระดานตลอดเวลาแบบพวก Visual learner ไม่ได้ ครูสามารถสังเกตบุคลกิ ภาพของเด็กท่ีเป็น Kinesthetic learner ได้จากคำพูดท่ีว่า “ฉันรูส้ กึ วา่ …” 1.2. เทคนิคการเรยี นรูโ้ ดยใชส้ มองเป็นฐาน Brain-based Learning การเรียนรโู้ ดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain– based learning) เปน็ การจดั การเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้สมอง ทั้งสองซีกซ้ายและซีกขวาเกิดการเรียนรู้อย่างสมดุลและสอดคล้องกับสติปัญญาของผู้เรียน โดยใช้ กระบวนการและวิธีการที่หลากหลายอยา่ งเหมาะสม สิ่งเกี่ยวข้องกับหลกั การทำงานของสมองส าหรับการ จดั การเรียนรู้ในห้องเรยี นไว้ ๑๒ ขอ้ ดงั นี้ ๑. สมองนนั้ ทำงานพรอ้ มกนั หลายๆ สว่ น ซึง่ สมองจะเกิดการเรียนรูไ้ ด้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีส่ิงเร้า อย่างหลากหลาย (The brain is a parallel processor) การจัดช้ันเรียนตามข้อคิดน้ี ควรจัดให้มกี ารนำสือ่ หรอื วธิ กี ารต่าง ๆ เช่น กจิ กรรม และรูปแบบการเรยี นรู้ต่าง ๆ มาใช้ ในการสง่ เสริมการเรียนรู้เพ่ือให้มีความ หลากหลายท่ีกระต้นุ ให้ผู้เรยี นสนใจในการเรียนรูม้ ากขึน้ ๒. ศักยภาพในการเรียนรู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการเจริญเติบโต บุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และสภาวะอารมณ์ (Learning engages the entire physiology ) ดังนั้น ผู้สอนต้องค านึงถึงภาวะที่ แตกต่างกันนีข้ องผ้เู รียนแตล่ ะคนด้วย รวมไปถงึ ต้องดูแลสขุ ภาวะผู้เรยี นใหม้ คี วามสมบูรณอ์ ยเู่ สมอ ซ่ึงจะช่วย ใหผ้ ู้เรียนเรยี นรไู้ ดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ความสงสยั ใคร่ร้เู ป็นสิ่งทมี่ มี าตามธรรมชาติ และตดิ ตวั มาต้ังแต่เกิด ซงึ่ สมองนน้ั ก็ถูกออกแบบมา เพอื่ รับรแู้ ละขบคดิ เพือ่ ค้นหาค าตอบ (The search for meaning is innate) จากขอ้ นกี้ ็ควรจัดกระบวนการ เรียนรูใ้ หผ้ ู้เรียนเกดิ คำถาม และสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นหาคำตอบจากคำถามนัน้ ดว้ ยตวั เอง ๔. การค้นหาคำตอบของมนุษย์เป็นกิจกรรมที่เป็นรูปแบบ (The search for meaning occurs through “patterning”) ดังนั้น การจัดการศึกษาจึงต้องมีการดำเนินการอย่างมีรูปแบบเป็นระบบระเบียบ ซึ่งจะทำใหเ้ กิดการเรียนรทู้ ดี่ ขี ึน้ ๕. อารมณ์ความรสู้ ึกไมไ่ ด้แยกออกจากการเรียนรู้ ซง่ึ มีความสำคญั มากต่อการจดจำขอ้ มลู รวมไปถึง การเรียกใชข้ ้อมูล (Emotion are critical to patterning ) สิ่งน้ที ำใหจ้ ำเป็นต้องจัดสง่ิ แวดล้อมในการเรียน

คมู่ อื ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๐ ให้เอื้อต่อตัวผูเ้ รยี น เพื่อให้ผู้เรียนมีภาวะอารมณ์และความรู้สึกที่ดีเป็นปกติ รวมไปถึงต้องส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี น รู้จักถงึ ภาวะอารมณ์และความรู้สึกของตนเองด้วย จึงจะช่วยให้เป็นประโยชน์ต่อ การเรียนรู้ของผู้เรียนอย่าง มาก ๖. สมองแต่ละส่วนนัน้ ท างานทั้งแบบเฉพาะด้าน และประสานสัมพันธ์กับส่วนอืน่ ๆ (Every brain simultaneously perceives and creates parts and wholes) ดงั นัน้ จึงควรออกแบบการเรยี นรทู้ ่ีเน้นทง้ั การใช้สมองเฉพาะแตล่ ะด้าน และรวมถงึ การใชส้ มองประสานสัมพันธก์ นั ด้วย ๗. การเรียนรู้นั้นจะเกดิ ขน้ึ ได้ต่อเม่อื ผู้เรียนสนใจและใส่ใจในการเรียนรู้ (Learning involves both focused attention and peripheral perception) จากข้อนี้จึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคทางจิตวิทยาต่าง ๆ เพอื่ ดึงดดู ผูเ้ รยี นใหเ้ กิดความสนใจในการเรียนรู้ ซ่ึงจะช่วยใหผ้ ้เู รยี นเรียนร้ไู ดด้ ีขึน้ ๘. การเรียนเปน็ สิ่งทีม่ คี วามเกย่ี วข้องกบั จิตส านกึ และจิตใต้สำนกึ (Learning involves conscious and unconscious processes) จงึ ควรสง่ เสรมิ ให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ท่ีต่อเนือ่ ง และควรกระตุ้นให้ผู้เรียน แสดงความคดิ เหน็ และมเี วลาทบทวนสงิ่ ทไี่ ด้เรยี นรูไ้ ปแล้ว ๙. มนุษย์มีความทรงจ า ๒ ประเภท คือ ทั้งความทรงจำที่มาจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน และความทรงจำที่มาจากการท่องจำ (We have (at last) two types of memory systems : spatial and rote learning) ดงั น้ัน จงึ ควรให้ความสำคัญท้ังกบั การเรียนรทู้ เ่ี นน้ ให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับประสบการณ์จริง และการเรยี นรู้ท่ใี ชท้ กั ษะการทอ่ งจำ ๑๐. ความเข้าใจที่ดีของสมองจะเกิดจากข้อมูลและทักษะจากความทรงจ าที่มาจากประสบการณ์ จ ร ิ ง ( The brain understand and remember best when facts skill are embedded in natural spatial memory) จากข้อนี้แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนสัมผัสจากประสบการณ์จริงนั้น มี ประโยชน์ตอ่ การพัฒนาสมอง จงึ ควรเน้นการสง่ เสรมิ ในส่วนนีเ้ ป็นพเิ ศษ ๑๑. แรงเสริมทางบวกมีผลดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่ถ้าผู้เรียนได้รับสิ่งไม่พึงพอใจจากการ คุกคามทางความรู้สึก ความเครียด และความวิตกกังวล ก็จะท าให้สมองไม่เกดิ การเรียนรู้ (Learning and enhanced by challenge and inhibited by threat) ดังนั้นจึงควรสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เกิด ความรูส้ กึ ผ่อนคลาย และหลีกเล่ยี งการกดดนั ผูเ้ รยี นในรปู แบบต่าง ๆ ๑๒. สมองของมนุษย์นั้นมคี วามแตกต่างกนั แต่โครงสร้างสมองของ แต่ละคนสามารถเปล่ียนแปลง ได้ (Every brain is unique) สิ่งนี้จึงจ าเป็นอย่างมากที่จะต้องใช้กลยุทธ์ และเทคนิคการเรียนการสอนท่ี หลากหลายเพ่ือจงู ใจผู้เรียนใหไ้ ด้มากท่ีสุด เพอื่ ประโยชนท์ ่ดี ใี นการเรียนรู้การน าการเรยี นรู้โดยใช้สมองเป็น ฐาน (Brain-based learning) กับการน ามาใช้จริงในการจัดการเรียนรู้ คือ การนำหลักการเกี่ยวกับสมอง มาเชื่อมโยงกบั การจัดการศึกษา สามารถน ามาใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ทไ่ี ด้ดีเป็นความคิดระดบั สูงที่ รวมเอา เทคนิคที่หลากหลาย รูปแบบการเรียนรู้นี้จะหมายรวมถึงแนวความคิดทางการศึกษาใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ หรือบูรณาการเทคนิคต่างๆ ทีห่ ลากหลายมาใช้ในจัดการเรียนรู้ ได้แก่ - การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (Mastery Learning) - ลีลาการเรียนรู้ (Learning Styles) - พหปุ ญั ญา(Multiple Intelligences) - การเรียนรแู้ บบรว่ มมือ (Cooperative Learning)

ค่มู ือศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๑ - การสร้างสถานการณ์ (Practical Simulation) - การเรยี นรู้จากประสบการณจ์ รงิ (Experiential Learning) - การเรยี นร้จู ากการใช้ปัญหาเปน็ ฐาน (Problem based learning) - ความเคลอื่ นไหวทางการศกึ ษา (Movement Education) บทบาทของครู ๑. ครูสร้างบรรยากาศในการจัดประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง กล้า คดิ กล้าแสดงออก ๒. จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ตลอดจนสื่อต่างๆ เช่น เพลง และคำคล้องจอง เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนไดเ้ กิดความคิด จินตนาการ ในการที่จะเชือ่ มโยงกับเหตุการณ์ ประจำวัน ๓. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ครูควรให้ความเป็นกันเองกับผู้เรียนในขณะที่ผู้เรียนท า กิจกรรมด้วยการสนทนาซักถาม กระตุ้นให้แรงเสรมิ ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรยี นมกี ำลังใจทำงาน และมีความมัน่ ใจ ในการแสดงความคดิ เห็น ๔. ให้แรงเสริมในทางบวกขณะที่ผู้เรียนออกมานำเสนอผลงาน และแนะนำ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ เมอ่ื ผเู้ รียนต้องการ ๕. สงั เกตและจดบันทึกตามแบบบนั ทึกแหลง่ การเรียนรู้ http://www.pharmacy.cmu.ac.th/unit/unit_files/files_download/2011-10-19ก.ย.54 doc.pdf http://www.kroobannok.com/news_file/p80795940427.pdf http://www.kroobannok.com/75130 2.3 Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรูม้ ากกว่าเนื้อหาวชิ า เพื่อช่วยใหผ้ ู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรอื สรา้ งความร้ใู ห้เกดิ ข้นึ ในตนเอง ดว้ ยการลงมือปฏิบตั จิ ริงผา่ นสื่อหรือกจิ กรรมการเรยี นรู้ ท่มี ีครูผ้สู อนเป็น ผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวยความสะดวก ใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรู้ขน้ึ โดยกระบวนการคิดข้ันสูง กล่าวคือ ผเู้ รยี นมกี ารวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และการประเมินคา่ จากสิ่งท่ไี ดร้ ับจากกิจกรรมการเรยี นรู้ ทำใหก้ ารเรียนรู้ เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกุล, 2558) ลักษณะของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นดังนี้ (ไชยยศ เรืองสุวรรณ, 2553) 1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา และการนำ ความรู้ไปประยกุ ตใ์ ช้ 2. เปน็ การเรียนการสอนทเี่ ปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรูส้ ูงสุด 3. ผู้เรียนสร้างองค์ความรูแ้ ละจดั กระบวนการเรยี นรู้ด้วยตนเอง 4. ผเู้ รยี นมีส่วนร่วมในการเรยี นการสอนท้งั ในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏสิ ัมพันธ์รว่ มกัน ร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 5. ผู้เรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทํางาน และการแบ่งหน้าที่ความ รบั ผิดชอบ 6. เป็นกระบวนการสรา้ งสถานการณ์ให้ผเู้ รียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุม่ ลกึ ผูเ้ รียนจะเปน็ ผจู้ ัดระบบ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง

คมู่ อื ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๒ 7. เปน็ กจิ กรรมการเรยี นการสอนที่เนน้ ทักษะการคิดขัน้ สงู 8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสาร หรือสารสนเทศ และหลักการ ความคดิ รวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผอู้ ำนวยความสะดวกในการจดั การเรียนรู้ เพอ่ื ให้ผเู้ รียนเปน็ ผ้ปู ฏบิ ตั ิด้วยตนเอง 10. ความร้เู กดิ จากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผเู้ รียน บทบาทของอาจารย์ผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางของ Active Learning ดังนี้ (ณัชนัน แก้วชัยเจริญกิจ, 2550) จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อน ความต้องการในการพัฒนาผู้เรยี นและเน้นการนำไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตจริงของผ้เู รียน 1. สร้างบรรยากาศของการมสี ่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนมปี ฏสิ มั พนั ธ์ที่ดี กับผสู้ อนและเพอื่ นในชั้นเรยี น 2. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมรวมทั้ง กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รยี นประสบความสำเรจ็ ในการเรียนรู้ 3. จดั สภาพการเรยี นรูแ้ บบร่วมมอื ส่งเสรมิ ให้เกดิ การรว่ มมือในกลุ่มผเู้ รยี น 4. จัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหท้ า้ ทาย และใหโ้ อกาสผู้เรยี นได้รบั วธิ กี ารสอนท่หี ลากหลาย 5. วางแผนเก่ยี วกบั เวลาในจดั การเรยี นการสอนอยา่ งชัดเจน ทงั้ ในส่วนของเนือ้ หา และกิจกรรม 6. ครผู สู้ อนต้องใจกวา้ ง ยอมรบั ในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเของท่ีผเู้ รยี น ตัวอยา่ งเทคนคิ การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ทั้งในห้องเรียนและนอก ห้องเรียน รวมทั้งสามารถใช้ได้กับนักเรียนทุกระดับ ทั้งการเรียนรู้เป็นรายบุคคล การเรียนรู้แบบกลุ่มเล็ก และการเรยี นรู้แบบกลมุ่ ใหญ่ McKinney (2008) ไดเ้ สนอตัวอย่างรูปแบบหรือเทคนิค การจดั กจิ กรรมการ เรยี นรู้ทจี่ ะช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรแู้ บบ Active Learning ได้ดี ได้แก่ 1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ ผเู้ รยี นคิดเกย่ี วกบั ประเด็นท่กี ำหนดแตล่ ะคน ประมาณ 2-3 นาที (Think) จากนนั้ ให้แลกเปลี่ยนความคิดกับ เพอ่ื นอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนำเสนอความคิดเหน็ ต่อผูเ้ รยี นท้งั หมด (Share) 2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนไดท้ ำงานร่วมกับผู้อนื่ โดยจดั เปน็ กลมุ่ ๆ ละ 3-6 คน 3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) คือการจัดกิจกรรมการ เรียนรทู้ เี่ ปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นได้ทบทวนความรู้และพิจารณาขอ้ สงสยั ต่าง ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูจะคอยชว่ ยเหลือกรณที มี่ ปี ญั หา 4. การเรยี นร้แู บบใชเ้ กม (Games) คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้ทู ผี่ ูส้ อนนำเกมเข้าบรู ณาการในการ เรยี นการสอน ซึง่ ใชไ้ ดท้ ้งั ในขนั้ การนำเข้าส่บู ทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และหรอื ข้นั การประเมินผล 5. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) คือการจัดกิจกรรมการ เรยี นรทู้ ่ีให้ผู้เรยี นไดด้ ูวดี โี อ 5-20 นาที แลว้ ใหผ้ ้เู รียนแสดงความคดิ เห็น หรอื สะทอ้ นความคดิ เกย่ี วกับสงิ่ ที่ได้ ดู อาจโดยวธิ กี ารพดู โตต้ อบกัน การเขยี น หรอื การร่วมกันสรุปเปน็ รายกลุ่ม 6. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student debates) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้ นำเสนอข้อมูลที่ได้จากประสบการณแ์ ละการเรียนรู้ เพ่ือยนื ยนั แนวคดิ ของตนเองหรอื กล่มุ

คมู่ อื ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๓ 7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คือการจัด กิจกรรมการเรียนร้ทู ี่ให้ผเู้ รียนสร้างแบบทดสอบจากสิง่ ท่ไี ด้เรยี นร้มู าแล้ว 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research proposals or project) คือการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ท่ีองิ กระบวนการวจิ ัย โดยให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้ วางแผนการเรียน เรียนรู้ตาม แผน สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ หรืออาจเรียกว่าการสอนแบบ โครงงาน (project-based learning) หรอื การสอนแบบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน (problem-based learning) 9. การเรียนรแู้ บบกรณศี ึกษา (Analyze case studies) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ ี่ให้ผู้เรียนได้ อ่านกรณีตัวอย่างที่ต้องการศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือแนวทาง แกป้ ัญหาภายในกลุ่ม แล้วนำเสนอความคิดเหน็ ต่อผู้เรียนทงั้ หมด 10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping journals or logs) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ผูเ้ รียนจดบันทกึ เรอ่ื งราวต่างๆ ทไ่ี ด้พบเหน็ หรอื เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขึน้ ในแตล่ ะวนั รวมทงั้ เสนอความคิดเพิ่มเติม เก่ียวกับบันทึกทเ่ี ขยี น 11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือการจัด กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ีใ่ หผ้ ้เู รียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อนั ประกอบด้วย บทความ ขอ้ มูลสารสนเทศ ข่าวสาร และเหตุการณ์ทเี่ กิดข้ึน แลว้ แจกจา่ ยไปยงั บุคคลอน่ื ๆ 12. การเรยี นรูแ้ บบแผนผงั ความคดิ (Concept mapping) คือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ใี่ ห้ผเู้ รียน ออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคดิ รวบยอด และความเชือ่ มโยงกันของกรอบความคิด โดยการ ใช้เส้นเปน็ ตัวเชือ่ มโยง อาจจดั ทำเปน็ รายบุคคลหรืองานกลุ่ม แลว้ นำเสนอผลงานต่อผเู้ รียนอื่นๆ จากนั้นเปิด โอกาสใหผ้ เู้ รียนคนอ่นื ได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นเพมิ่ เติม 1.3. การจัดการเรียนรู้แบบย้อนกลับ Backward Design กระบวนการออกแบบแบบถอยหลัง กลับ (Backward Design) ของ Wiggins และ McTighc เริ่มจากคิดทุกอย่างให้จบสิ้นสุดจากนั้นจึงเริ่มต้น จากปลายทางที่ผลผลิตที่ต้องการ (เป้าหมายหรือมาตรฐานการเรียนรู้) ส่งิ นไ้ี ด้มาจากหลักสูตร เป็นหลักฐาน พยานแหง่ การเรียนรู้ (Performances) ซึง่ เรียกว่า มาตรฐานการเรียนรู้ แล้วจึงวางแผนการเรยี นการสอนใน สิ่งที่จำเป็นให้กับนักเรียนเพื่อเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การสร้างผลงานหลั กฐานแห่งการเรียนรู้นั้นได้ กระบวนการออกแบบการวางแผนของครูผู้สอนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องกัน ๓ ขั้นตอน แต่ละ ขัน้ ตอนประกอบดว้ ยคำถามท่วี า่ ข้ันตอน ๑ : อะไรคือความเขา้ ใจที่ต้องการและมีคณุ ค่า ขั้นตอน ๒ : อะไรคือพยานหลกั ฐานของความเข้าใจ ขั้นตอน ๓ : ประสบการณ์การเรียนรู้และการสอนอะไรที่จะสนับสนุนทำให้เกิดความเข้าใจ ความ สนใจ และความยอดเยี่ยมในหลกั ฐานนนั้ ๆ ขั้นตอนที่ ๑ กำหนดเป้าหมายหลักของการเรียนรู้ (Identity desired goals) ผู้สอนต้องวิเคราะห์ คำหรือวลีที่สำคัญตามที่บ่งบอกไว้ในมาตรฐานการเรียนรู้ของรายวิชาที่นำมาออกแบบ และต้องทำความ เขา้ ใจใหช้ ัดเจนว่า มาตรฐานตวั ชี้วดั แต่ละขอ้ รวมท้งั จุดมุง่ หมายสำคญั ของรายวชิ านนั้ ๆ ตอ้ งการให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ มีความเข้าใจและเกิดทักษะหรือเจตคติในเรือ่ งใดบ้าง โดยตั้งคำถามสำคัญ (Essential Questions) เพ่อื กำหนดเปน็ กรอบความคดิ หลกั วา่ เมื่อจบหนว่ ยการเรยี นรแู้ ลว้ ๑) ผู้เรียนควรรู้อะไร และมีความเข้าใจในหวั ข้อความรูห้ รอื สาระการเรียนทีเ่ ป็นแก่นสำคัญในเรื่อง ใดบ้าง

คู่มือศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๔ ๒) ผู้เรียนควรปฏบิ ัติและแสดงความสามารถในเรื่องใดบา้ ง จนเป็นพฤติกรรมติดตัวคงทนหรือเปน็ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ๓) สาระสำคัญที่ควรค่าแก่การเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ได้แก่เรื่องอะไรบ้าง เพื่อจะ ช่วยใหผ้ เู้ รยี นดำรงชีวิตอย่างมคี ณุ ภาพ ท้งั การทำงานหรอื การเรียนต่อในระดับท่สี ูงขึน้ ๔) ผ้เู รยี นควรมคี วามรแู้ ละเกดิ ความเข้าใจท่ีลุ่มลึกยง่ั ยนื เกยี่ วกับเรอื่ งอะไรบา้ งทีจ่ ะติดตวั ผู้เรียนและ สามารถนำไปบรู ณาการเชื่อมกบั ประสบการณ์ในชวี ิตประจำวันไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ๕) ผู้เรียนควรเรียนรู้ในสภาพจริงและ/หรือจัดทำโครงงานตามสาระการเรียนรู้ใดบ้างที่จะเกิด ประโยชน์สงู สดุ แกต่ วั ผู้เรยี น ขั้นตอนที่ ๒ กำหนดหลักฐานและวิธีวัดประเมินผลการเรียนรู้ (Determine Acceptable Evidence) ระบุเครื่องมือที่ใช้วัดประเมินผลและวิธีการวัดประเมินผล โดยเน้นการวัดจากพฤติกรรมการ เรียนรู้รวบยอด (Performance Assessment) เพื่อประเมินว่าผู้เรียนสามารถแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ เปน็ ผลมาจากการมีความรู้ความเขา้ ใจตามเกณฑ์ท่ีไดก้ ำหนดไวใ้ นเป้าหมายหลักของการจัดการเรียนรู้ได้จริง หรอื ไม่ อะไรคือรอ่ งรอยหลักฐานทแ่ี สดงวา่ ผู้เรียนร้แู ละสามารถทำได้ตามท่ีมาตรฐานกำหนด ท้งั นผ้ี ู้สอนควร ดำเนินการวัด ประเมินผลก่อนเรียน ในระหว่างเรียน และเมื่อสิ้นสุดการเรียน โดยใช้เครื่องมือการวัด ประเมินผลย่อยๆ ทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ประกอบกับการรวบรวมหลักฐานร่องรอยของ การเรยี นรู้ท่ผี เู้ รียนแสดงออกอย่างครบถว้ น เช่น • การใชแ้ บบทดสอบย่อย ๆ • การสงั เกตความพรอ้ มทางการเรียน • การสังเกตการทำกจิ กรรม การตรวจการบ้าน • การเขียนบันทกึ ประจำวนั (Learning Log) • การสะท้อนผลจากชนิ้ งานตา่ งๆ เปน็ ต้น ขอ้ พงึ ระมดั ระวงั คอื การกำหนดหลักฐานของการเรยี นรูท้ ี่เกิดกับผูเ้ รยี นนัน้ ต้องเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ ได้ว่า ผ้เู รยี นบรรลเุ ป้าหมายตามมาตรฐานการเรยี นร้ทู ่ีกำหนดไว้ดว้ ยวธิ ีการประเมินอย่างหลากหลาย และมี ความต่อเนื่องจนจบสิน้ กระบวนการเรียนรู้ทีจ่ ัดขึ้น และหลักฐานการ ประเมินต้องมคี วามเที่ยงตรง เอื้อต่อ การเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ ของผเู้ รียน ผ้สู อนจงึ ควรตรวจสอบหลักฐานการเรียนรูก้ ับวิธกี ารวัดประเมินผลว่ามี ความสอดคลอ้ งสมั พนั ธ์กนั หรอื ไม่ ขั้นตอนที่ 3 วางแผนการจัดกิจกรรมและเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ เป้าหมายการเรียนรู้และมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ผู้สอนควรวางแผนการเรียนการสอน ว่าจะจัด กิจกรรมอยา่ งไรจึงจะสนับสนุนให้ผู้เรียนมีความรู้ทีฝ่ ังแนน่ ตามที่มาตรฐานกำหนดไว้ ตามประเดน็ ตอ่ ไปนี้ ๑) ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความรู้ (ข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด ทฤษฎี หลักการต่างๆ) และทักษะ (กระบวนการท างาน) อะไรบ้างจึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจหรือมีความสามารถบรรลุเป้าหมายที่ กำหนด ๒) ผู้สอนจำเปน็ ตอ้ งสอนและชแี้ นะหรอื จดั กิจกรรมอะไรบา้ งจงึ จะช่วยพัฒนาผู้เรยี น ให้ได้ผลสัมฤทธิ์ ตามเปา้ หมาย ๓) ผสู้ อนควรใช้สอ่ื การสอน วัสดุอุปกรณ์ และแหล่งการเรียนรอู้ ะไรบา้ งท่ีจะชว่ ยกระตุ้นผู้เรียนและ เหมาะสมกบั การจดั กจิ กรรมการเรียนรขู้ ้างตน้

ค่มู อื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๕ ๔) การกำหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้ รูปแบบกิจกรรม และสื่อการเรียนรู้ มีความกลมกลืน สอดคลอ้ งและมีประสทิ ธภิ าพหรือไม่ จะชว่ ยส่งผลต่อการวดั ประเมนิ ผลได้ชดั เจนหรอื ไม่แหลง่ การเรยี นรู้ www.st.ac.th/quality/BackwardDesign/2.backward%20design1.doc www.reo1.moe.go.th/reo1/images/kkk/akasan.doc http://www.gotoknow.org/posts/201289 1.5. เทคนคิ การเรียนการสอนแบบ Task analysis (การวิเคราะหภ์ าระงาน) 1. วเิ คราะห์ภาระงาน (Task Analysis) การวิเคราะห์ภาระงานเปน็ ส่วนหนง่ึ ของการวเิ คราะห์ การ เรียนการสอน ซึง่ ประกอบด้วย 3 ขนั้ ตอน คือ 1.1. ตัดสินใจให้ได้ว่าเป็นความต้องการในเร่ืองการเรียนการ สอน มีภาระงานที่เกี่ยวขอ้ ง กบั การเรยี นการสอน 1.2. ต้องความชัดเจนว่าตอ้ งเรียนรู้เรอ่ื งใดมากอ่ น จึงจะนาไปสู่ ผลการเรยี นรู้ที่คาดหวงั 1.3. การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน จากขั้นที่ 2 บอกให้รูว้ ่า ผู้เรียนจะตอ้ งเรียนรู้และ วัดผลในเรอื่ งใด 2. การวิเคราะห์งาน การวิเคราะห์งานเปน็ การตรวจสอบว่าการศึกษาน้นั ๆ มี งานใดทเี่ ป็นชีวิต และ มีความรู้ทกั ษะและเจตคติใดบ้างที่นาไปสู่ ความสาเร็จในการทางานนั้นๆ การวิเคราะห์งานช่วยให้แน่ใจ ว่า จะได้สาระและคณุ ค่าทเ่ี ก่ยี วขอ้ งในการเรยี นรู้ คาถามหลกั ทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์งาน มคี าถามหลัก 3 ข้อ 2.1 ภาระงานใดงานใดเป็นข้อกาหนดของงาน 2.2 การจดั เรยี งลาดับของแต่ละภาระงานคืออะไร 2.3 เวลาทใ่ี ช้ในการทาแตภ่ าระงาน 3. การวิเคราะหภ์ าระงาน การวิเคราะห์ภาระงานคลา้ ยคลงึ กับการวิเคราะหง์ านแต่ มรี ะดับของการ วิเคราะหอ์ ยทู่ ี่รายละเอยี ด – หนว่ ยย่อย การ วิเคราะหง์ านทาไดโ้ ดยการจาแนกงานออกเป็นภาระงานหลาบ ภาระ จากนั้นวิเคราะห์ภาระงานก็จะสามารถเคราะห์ย่อยลง ส่วนประกอบโดยใช้คาถามในการวิเคราะห์ เชน่ เดียวกนั กับการวิเคราะหง์ าน ดงั น้ี • สว่ นประกอบของแตล่ ะภาระงานคืออะไร • สว่ นประกอบของแต่ละ สว่ นสามารถนามาเรยี งลาดบั ดว้ ย อะไรได้บ้าง • ส่วนประกอบแต่ละส่วนตอ้ งใช้เวลาเทา่ ไร 4. การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ การวเิ คราะหส์ าระการเรียนรจู้ ะเปน็ การจากัดขอบเขต ของเรื่องท่ี จะนามาสอนกับเรื่องที่ไม่ต้องนามาสอน ซึ่งมี ความสาคัญยิ่งในปัจจุบันเนื่องจากหนังสือเรียนบรรจุ สาระ สนเทศไว้มากเกนิ กวา่ ท่จี ะมาสอนอย่างมปี ระสิทธผิ ลในระยะเวลาหนึง่ ภาคเรียน ควรยึดหลกั ว่า เพอื่ เป็นผลดี ต่อ การ เรียนรู้จริงๆ ของผู้เรียน สื่อการเรียนรู้ท่ีจาเปน็ ถึงแมว้ ่าจะนอ้ ย แต่ก็ดีกว่าสื่อการเรยี นรู้ขนาดใหญ่ แต่ไม่ไดช้ ่วยให้ประสบความสาเรจ็ ในการเรยี น 5. การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ เนื้อหาสาระที่ช่วยให้ผู้เรียน เกิดการ เรียนรู้ตามจุดประสงค์ อาจจะแบ่งได้หลายลักษณะ เช่น กาเย่ และบริกส์ กาหนดสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ข้อมูลที่เป็นความรู้ 2) เจตคติ 3) ทักษะ เดคโค แบ่งสาระการเรียนรู้ตามจุดประสงค์เป็น 1) ทักษะ 2) ความรู้ที่เป็นข้อมูลธรรมดา 3) ความคิดรวบยอดและหลักการ 4) การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรคแ์ ละการ ค้นพบ 6. การออกแบบและพัฒนาภาระงาน 1. การระบุความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากการ ปฏิบัติงาน โดยเรม่ิ จากพิจารณาและวิเคราะห์มาตรฐานการ เรยี นรู้ในหลกั สูตร ผลการเรียนท่ีคาดหวัง หรือ วัตถุประสงค์การ เรียนรู้ เพื่อสามารถระบุขอบเขตและประเภทของความรู้ ทักษะ และคุณลักษ ะที่พ่ึง ประสงค์ 2. ออกแบบภาระงานทผ่ี ้เู รยี นตอ้ งใชค้ วามรูแ้ ละ ทักษะ (จากข้อ 1) ลักษณะสาคญั ของงานคือ ต้อง

คู่มือศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๖ กระตุ้นหรือ สร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน มีความท้าทาย แต่ไม่ยากเกินไปจน ผู้เรียนทาไม่ได้ และใน ขณะเดียวกันต้องครอบคลุมสาระสาคัญ ทางวิชาและทักษะที่ลึกซึ้ ง เพื่อให้สามารถนาผลการประเมินไป ใชไ้ ดอ้ ย่างสมเหตุสมผลและน่าเชอื่ ถือ 7. การกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) หรือ เกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนเป็นปรนัย เป็นท่ี ยอมรับและสามารถ สะท้อนให้เห็นถึงระดับของผลสัมฤทธิ์ทางด้านความรู้ทักษะและ คุณลักษณะที่พึง ประสงค์เกณฑ์การให้คะแนนส่วนมากมักจะอยู่ ในรูปตาราง 2 มิติ ประกอบด้วย ส่วนหัว Rows จะแสดง ระดับคุณภาพของความรู้ ทักษะและความสามารถของแต่ละ Column จานวน Rows จะ ขึ้นอยู่กับจานวน ของระดับคุณภาพที่ต้องการใช้ และส่วนมากจะ อยู่ระหว่าง 2 ถึง 3 ระดับ การออกแบบและพัฒนาภาระ งาน 8. การวางแผนการจัดการเรียนรู้ 1) เมื่อมีความชดั เจนเก่ียวกับจดุ หมายการเรียนรู้และหลักฐานท่ี เปน็ รูปประธรรมแล้วผู้สอนสามารถเร่ิมวางแผนการจัดการ เรียนรไู้ ด้โดยอาจต้ังคาถามดงั ตอ่ ไปนี้ 2) ความรู้ และทักษะอะไรจะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถตาม จุดหมายที่กาหนดไว้ 3) กิจกรรมอะไรจะช่วยพัฒนา นักเรียนไปสู่จุดหมายดังกล่าว 4) สื่อการสอนจึงจะเหมาะสมสาหรับกิจกรรมการเรียนรู้ขั้นต้น 5) การ ออกแบบโดยรวมสอดคลอ้ งและลงตัวหรือไม่ 9. สรุป ในการจัดการเรียนการสอนจะตัดสนิ ใจวา่ ปญั หาในการพัฒนา ศักยภาพของผู้เรียนนั้นเป็น ปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยการศึกษาการ วางแผนจัดการเรียนการสอนจะต้องมีการวิเคราะหเ์ นื้ อหาสาระ วเิ คราะห์ งานและภาระงานการวิเคราะห์ภาระงานนาไปสกู่ ารปฏิบตั ิเพอ่ื สนองตอบ ความต้องการ การเรยี นรู้ กล่าวคือการทบทวนระบบหรือกระบวนการเพื่อ ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้ นและผู้เรียนจะ ได้ รับภาระงาน สาหรับการเรียนการสอนส่วนภาระหน้าที่ไม่เกีย่ วข้องก็ควรจะถูกตัดออก หรือใช้วิธีอื่นท่ีไม่ใช่ การสอนพลังงานที่เลือกมาต้องทามีประสิทธิผลและ ประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องแสวงหา วิธกี ารทดี่ ีทสี่ ุดภายใต้ กรอบค่าใชจ้ ่ายทีไ่ ดร้ บั (มปี ระสิทธิภาพ) 1.6. รปู แบบการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้เทคโนโลยี แนวคิดการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ว่าขณะนี้มี เทคโนโลยี มีความกว้าหน้าก้าวไกลไปในลักษณะรูปแบบไดบ่างทั้งทางด้านวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีใหม่ๆ ให้ ผูเ้ รียนมคี วามรู้ความเข้าใจ และทกั ษะในการใชเ้ ทคโนโลยี มาเป็นเครอื่ งมือในการเรียนรู้ของตนเองและงาน แนวการจัดการเรียนรูก้ ระบวนการเรียนการสอนตามแนวคิดในการปฏิรปู ต้องแตกต่างไปจากการเรียนการ สอนแบบด้งั เดมิ กล่าวคือ ๑) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้ผูเ้ รียนเกิดความรู้ ความคิดโดยฝึก การคิดวิเคราะห์วิจารณ์อยา่ งมีเหตุผล การใฝ่หาความรู้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อนำไปใช้ในการพฒั นา ตนเอง และแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันอยา่ งเหมาะสม ๒) จดั ระบบเครือข่ายการเรียนร้ใู หเ้ ปน็ แหลง่ ความรู้ส าหรบั การค้นคว้าหาความรู้ทกุ ๆ ด้านท่ีผู้เรยี น ต้องการ เช่น สื่อมวลชนทุกแขนง เครื่องคอมพิวเตอร์ ทรัพยากรท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน และหน่วยงาน ต่างๆ ใหผ้ ู้เรียนสามารถเรยี นรพู้ ฒั นาตนเอง และพฒั นาสังคมและสิง่ แวดลอ้ มได้อย่างกวา้ ง-ขวาง ๓) จัดกิจกรรมท้ังใน และนอกหลักสูตร โดยให้ผู้ทำกิจกรรมที่ต้องเรยี นในห้องเรียนใหเ้ สร็จส้ินและ ใหแ้ บง่ เวลาทำกจิ กรรมนอกหลักสูตรเพอ่ื เสรมิ ประสบการณท์ างสงั คม ๔) ปรบั กระบวนการเรียนการสอน และเทคนคิ การสอนของครูให้สอดคล้องกับเปา้ หมายของการจัด การศึกษาเน้นให้ครเู ปน็ เพียงผู้อำนวยความสะดวกและช้ีแนะให้ผเู้ รียนทำการศึกษาคน้ คว้า คิดและจัดสินใจ

คู่มอื ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๗ ดว้ ยตนเองขณะเดียวกนั ครูตอ้ งเป็นต้นแบบด้านคุณธรรม และจริยธรรมดว้ ย ซ่งึ ต้องปลูกฝงั ทง้ั ในชว่ั โมงเรียน และกิจกรรมการฝกึ ปฏิบัติ ผลทเี่ กดิ กับผเู้ รยี น ผลการเรียนร้จู ากการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้เทคโนโลยี ช่วยใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรูท้ ักษะการใช้เทคโนโลยี ในการสร้างความรู้ และพัฒนางาน บูรณาการการใช้เทคโนโลยีกับการวิเคราะห์ปัญหาและการท างานเปน็ ทมี พัฒนาคณุ ค่าทศั นคติ และจรยิ ธรรมในเชิงบวกในการใช้เทคโนโลยพี ฒั นาคณุ ภาพชีวิต 1.7. การจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้การเลน่ ปนเรยี น Plan and Learn ความหมายการเรียนรู้แบบเล่น ปนเรยี น เป็นวธิ ีการต่างๆท่นี ำมาสอนความรู้หรือทักษะซง่ึ ครูต้องการจงู ใจผเู้ รียนใหเ้ รียนรู้จากกิจกรรม เป็น กิจกรรมท่ีเด็กคดิ วา่ เด็กได้เลน่ ชาญชัย ศรีไสยเพชร อธิบายว่า เป็นวิธีการสอนที่ให้เด็กได้เลน่ ได้ทำกจิ กรรม ควบคู่ไปกับการเรียน ตามหลกั จิตวิทยาหรือหลกั ธรรมชาติน้นั ย่อมชอบการเล่น การแสดง ชอบกิจกรรมอย่แู ลว้ การจดั บทเรยี นให้ มีกิจกรรมการเล่นย่อมจะทำใหเ้ ด็กสนุกสนานและอยากเรียนมากขึ้น ครูควรจะแทรกบทเรียนไว้ในการเลน่ การทำกิจกรรม เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยการกระทำ ด้วยการแสดง ด้วยการเล่น ภายใต้การ ควบคุมของครู เป็นการนำเอาความซกุ ซนของเดก็ มาใช้ให้เกดิ ประโยชน์ในการเรียนการสอน การเล่นเป็นการแสดงออกถึงความสามารถในการใช้ร่างกาย ความคิด ภาษา การแสดงออกทาง อารมณ์และการสัมพนั ธ์กับผู้อื่น เป็นการใชพ้ ลงั งานสว่ นเกินของเด็ก ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมตามสัญชาตญิ าณ ทั้งยังเป็นการทบทวนการปฎิบัติตามวัฒนธรรมที่กอ่ ให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและเป็นการลองผิด ลองถูก ที่ค้นคว้าด้วยการสัมผัสด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นผลรวมของพฤติกรรมทั้งหมดของเด็ก อันเป็นสว่ นสำคัญของพัฒนาการทางสตปิ ญั ญาของเด็ก แนวทางการจดั การเรยี นรู้ การเล่นของเล่นที่มสี ่วนช่วยเสรมิ พัฒนาการด้านตา่ งๆ ของเด็กอย่างมาก สำหรับการเล่นท่ีสง่ เสริม พัฒนาการทางสติปัญญา ทิศนา เขมมณี (2532: 87-89) ไดเ้ สนอแนะไว้ดังน้ี 1. การเล่นแบบสำรวจตรวจค้น (Exploration play) การเล่นที่ส่งเสริมการรับรู้และประสบการณ์ ซ่งึ มีพน้ื ฐานมาจากความสนใจ สงสัยและความกระตือรอื ร้น อยากรอู้ ยากเหน็ ทมี่ ใี นตัวเดก็ ซงึ่ จะชว่ ยให้เด็กได้ ข้อมูลเพิ่มข้ึนเกี่ยวกับส่ิงทีส่ ำรวจโดยทำให้เกิดการเรยี นรูแ้ ละพัฒนาการ ด้านความคดิ รวบยอด และจะเปน็ พื้นฐานการนำไปสู่การค้นพบการตัดสนิ ใจ และการแก้ปญั หาทไ่ี ม่เคยเรยี นร้หู รอื ไมป่ ระสบการณ์มาก่อน 2. การเล่นแบบทดสอบ (Testing play) การเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการคิดอย่างมีเหตุผลการที่เดก็ ได้ สำรวจและทดลองเพ่อื ทดสอบ ชว่ ยให้เด็กไดพ้ ัฒนาความคิดอยา่ งมีเหตุผล ซ่งึ เป็นกระบวนการทางสตปิ ัญญา ที่สำคัญมาก เด็กที่สำรวจสิ่งของต่างๆ มักจะมีการทดสอบคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ เช่น เด็กกดปุ่มพัดลม ปิด เปดิ และน่งั ดใู บพกั หมุน เปน็ ตน้ 3. การเลน่ แบบออกกำลงั กาย (Physicay play) การเลน่ ท่ีส่งเสริมความพรอ้ มในการเรียนรู้เป็นการ เล่นในลกั ษณะการออกกำลังกายช่วยพฒั นากลา้ มเนื้อทั้งเลก็ และใหญ่ ทงั้ ยงั ชว่ ยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง กลา้ มเน้อื ต่างๆ ใหเ้ กดิ ความพร้อมในการเรยี นรู้ ซึง่ แมว้ า่ Physical play จะมีบทบาทที่ชดั เจนในการพัฒนา ทางกาย แต่ก็มีส่วนสัมพันธ์ในการพัฒนาทางสติปัญญาด้วย เพราะความพร้อมทางกายเป็นองค์ประกอบ สำคญั ทีจ่ ะช่วยใหพ้ ฒั นาการทางสติปญั ญาดว้ ยเพราะความพร้อมทางกายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้ พฒั นาการทางสติปัญญาเปน็ ไปอย่างเหมาะสม

คู่มือศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๘ 4. การเลน่ สมมติและการเล่นเลียนแบบ (Dramatic play and initiation) การเลน่ ที่ส่งเสริมการใช้ ความคดิ และจนิ ตนาการ เป็นการกระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ใช้ความคิดและจินตนาการของตนฝึกการคดิ คำนงึ การสร้าง มโนภาพ ซ่ึงจะทำให้เด็กเข้าใจนามธรรมมากข้ึน รวมทงั้ รูจ้ ักปรับตัว เขา้ กบั ผู้อื่นได้ 5. การเล่นสร้าง (Construction play) เป็นการเล่นที่เด็กจะนำข้อมูลความรู้ทัศนคติต่างๆจาก ประสบการณ์มาสัมพันธ์กันในรูปแบบใหม่ อันก่อให้เกิดความคิดและประสบการณ์ใหม่ในด้านสร้างสรรค์ เพื่อให้การเลน่ ประสบความสำเร็จ การเล่นลักษณะน้ีมีค่อนข้างมากในชนบท วัสดุอุปกรณ์ในการเล่นมักทำ จากวัสดเุ หลือใช้ หรอื วสั ดุทม่ี อี ยใู่ นธรรมชาติ เชน่ การเลน่ ร้อยดอกไม้ และนำไปเล่นสมมติซอ้ื ขายดอกไม้ 6. การเล่นแบบสัมผัสกระทำ (Manipulative play) เป็นการเล่นที่ส่งเสริมการสังเกตการณ์คิด จำแนก การคิดเปรยี บเทียบและการคิดหาความสมั พันธ์ เช่น การเลน่ ต่อตวั นำภาพมาต่อให้เป็นรปู ภาพ เป็น ตน้ 7. การเล่นท่สี ่งเสรมิ ทักษะทางภาษาและความจำ (Verbal play) ทกั ษะทางภาษาของเด็ก เปน็ ดชั นี บ่งชป้ี ระการสำคญั ประการหนง่ึ ของพฒั นาการทางสติปัญญาของเด็ก การเล่นชว่ ยฝึกทกั ษะการฟัง ทำให้เด็ก สามารถเข้าใจผู้อื่นได้ง่าย การเล่นช่วยฝึกทักษะการพูด ทำให้เด็กสามารถสื่อความคิดต่างๆ ของตนให้ผูอ้ ่ืน เข้าใจได้ เช่น การเล่นร้องเพลงและการทำท่าประกอบจังหวะ การเล่นเล่าเรื่อง การเล่นท่องคำคล้องจอง และทำทา่ ประกอบเป็นตน้ 8. การเล่นเกม (Games) เป็นการเลน่ ที่ส่งเสริมการคิดการตัดสนิ ใจ เกมบางอยา่ งเด็กตอ้ งอาศัยการ ออกกำลงั กาย การเล่นนับวา่ มสี ่วนช่วยพฒั นาสตปิ ญั ญาของเด็ก ในการเลน่ เกมเด็กตอ้ งจดจำกติกา ขอ้ ตกลง ตอ้ งตัดสินใจและใช้ไหวพริบ นอกจากนย้ี ังชว่ ยพัฒนาดา้ นร่างกาย สงั คม และสตปิ ัญญา เทคนคิ การสอนเรียนปนเล่น Play and Learn เป็นอีกทางเลือกหนง่ึ ที่เพื่อนครจู ะนำไปเป็นแนวทาง และปรบั ปรงุ ประยกุ ต์ใช้ให้เข้ากับเน้ือหาวิชา ของแต่ละคน ในการจัดการเรียนการสอนวิชาพิมพ์ดีดไทย เทคนิคการสอนเรียนปนเล่นอย่าเพิ่งตกใจ ว่า เรยี นไปด้วยเล่นไปดว้ ยแลว้ อย่างนีเ้ ดก็ จะได้รับความร้หู รือเปล่าขั้นตอนสำคญั ๆ มดี ังนี้ - เริ่มเข้าสู่บทเรียนด้วยเรื่องทั่วๆ ไป (เล่าเรื่องตลกๆ ) ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นเทคนคิ ส่วนตัวของผู้สอนที่ ต้องฝกึ ฝน ซงึ่ เป็นเร่ืองไม่ยาก เรียนรกู้ ันได้ - เข้าสู่บทเรียนด้วยเนื้อหาตามแบบแผนการสอนและสังเกตบรรยากาศพฤติกรรมผูเ้ รียนขั้นตอนนี้ สำคัญมาก เด็กจะไดร้ ับเนื้อหามากน้อยแค่ไหนข้นึ อยู่กับครูผู้สอน ทีจ่ ะตอ้ งนำ EQ มารว่ มกบั IQ ให้ได้ มี มุขตลกมาสอดแทรก และท่สี ำคญั ครตู ้องตามทันมุขตา่ งๆ ที่นกั เรียนนำมาพดู กัน - ขณะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนครูจะต้องปล่อยให้นักเรียนมกี ารทำกิจกรรมร่วมกันแม้จะเปน็ งานเดย่ี วแตน่ ักเรียนกส็ ามารถที่จะมปี ฏสิ มั พนั ธร์ ว่ มกบั ผ้อู ืน่ ไดเ้ ดก็ สามารถเคลือ่ นท่ีภายในห้อง แต่ไมใ่ ช่สร้าง ความวนุ่ วาย - ข้ันสุดทา้ ยซงึ่ สามารถสรุปและตรวจสอบไดว้ า่ การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนในคาบนนั้ ประสบ ความสำเร็จมากน้อยเพยี งใด คอื การตรวจสอบชน้ิ งาน โดยวธิ ตี ่าง ๆ เช่น นำเสนอหน้าชั้นเรยี น การร่วม อภิปรายรายงานผล การแชร์ความคิดเหน็ การโหวตให้คะแนนหรอื แม้แต่การร่วมสง่ SMS ให้แก่ผลงานที่ นักเรียนชนื่ ชอบ ฯ เทคนิคการสอนวิธีเรียนปนเล่น จึงน่าจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่เพื่อนครูจะนำไปเป็นแนวทาง และปรับ ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเนือ้ หาวิชาของแต่ละคนการเลน่ แต่ละอย่างของเดก็ นั้น ให้ความสำคัญต่อร่างกายของ เขาอยา่ งไร

คมู่ ือศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๙ 1. กล้ามเนอื้ มัดเล็ก หมายถงึ การใช้มือ การหยิบจบั ซง่ึ เป็นพ้นื ฐานของการท่เี ด็กจะพฒั นาการ การ เขยี น การทำงานในชวี ติ ประจำวัน และการช่วยเหลอื ตัวเอง 2. กล้ามเนื้อมัดใหญ่ คือ กล้ามเนื้อแขนขา การทรงตัว ทำให้เด็กสุขภาพดี แข็งแรง คล่องแคล่ว ทะมดั ทะแมงเลน่ กฬี าได้ดี 3. ด้านสังคมและจริยธรรม การทีเ่ ด็กเล่นเป็นกลุ่ม จะเรียนรู้การปรับตัวอยู่กับผู้อื่น พอใจที่จะอยู่ ร่วมกับสงั คมและมีกิจกรรมร่วมกนั รวมทั้งเรยี นร้วู ่าทำอย่างไรให้เป็นท่ี ยอมรบั ของคนอื่น (การเล่นของเด็ก โตก็จะมีกติกาเกิดขึ้น นั้นก็คือ พื้นฐานที่เด็กจะได้พัฒนาในด้านของการที่จะเติบโตข้ึนมาอยู่ในกฎระเบียบ ของครอบครวั โรงเรียน และสังคมได้) 4. ด้านภาษา ในการเลน่ หลาย ๆ อยา่ ง เดก็ จะต้องมีการพูดจา สอ่ื สาร มกี ารตอบโต้ โดยเฉพาะการ เล่นบางอยา่ งจะตอ้ งใช้การพูดในการเล่น เชน่ การเลน่ เป็นหมอ พยาบาล พ่อแม่ลกู เป็นการพัฒนาทางด้าน ภาษาอย่างดี การเล่นของเด็กช่วงขวบปีแรก มักเป็นการเล่นคนเดียว เด็กที่โตขึ้นคือประมาณ 2-3 ขวบ เด็กจะ เริ่มเล่นรวมกลุ่ม เมื่อเด็กเห็นคนอ่ืนเล่น ก็จะสนใจและเดินเข้ามาเล่นด้วย แต่เวลาเล่นกลับเล่นคนเดียว ไม่ ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กัน ของเล่นเด็กวัยนี้จะเป็นของเล่นที่เริ่มใช้กล้ามเนื้อมัดย่อยและมัดใหญ่เข้ามาบ้าง เช่น การขีดเขียนของเล่น ตอก เรยี ง เตะ ขว้างเกิดขนึ้ บา้ ง สามารถท่ีจะเรียงบล็อก สามารถตอ่ ภาพจกิ๊ ซอร์ได้บ้าง เลน่ ตุ๊กตาได้ เมอื่ เดก็ อายุ 3 ขวบขึน้ ไป กจ็ ะเริ่มเลน่ เป็นกลุ่ม แบบมีปฏิสมั พนั ธ์กนั วยั นี้จะชอบเล่นซุกซนว่ิง ปีนป่าย กระโดดในทก่ี วา้ ง เชน่ วง่ิ เล่น ไล่จับ ไปวิง่ เลน่ ไปข่จี ักรยานเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น 2. การบรหิ ารจัดการชั้นเรียนของฝา่ ยศิลปะบำบัด 1 การนำทฤษฏี Universal Design มาใช้ในฝ่ายศิลปะบำบัดเพื่อเป็นแนวทางการบริหารในชั้น เรยี น

คู่มอื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๐

คมู่ อื ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๑ การใชห้ ลักการจิตวิทยาในฝ่ายศิลปะบำบดั หอ้ งเรยี นเชิงบวก (Positive Classroom) (จิตวิทยาเชงิ บวกในช้ันเรียน : Positive Psychology in the Classroom) นพ.พนม เกตุมาน จิตวทิ ยาเชิงบวก เปน็ แนวทางจิตวิทยาแนวทางใหม่ ทศ่ี ึกษาพฤติกรรมมนุษย์ ทีเ่ กิดจากอารมณ์เชิง บวก ที่ทำให้คนมีความสุข และทำให้เกิดพฤติกรรมเชิงบวก สามารถนำมาใช้ในการเรยี นรู้ การทำงาน และ การดำเนินชีวิต จิตวิทยาในแนวทางเดิม (traditional psychology) ศึกษาอารมณ์ที่ทำให้เกิดความไม่สบาย เช่น เครียด กังวล ซึมเศรา้ การเรียนรู้ท่ีผา่ นมาได้ใช้แนวทางด้านลบมาเปลีย่ นพฤตกิ รรม โดยเชื่อวา่ ถ้าหลีกเลีย่ ง อารมณด์ า้ นลบ จะเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม ความรสู้ ึกด้านลบ การลงโทษ การเปรยี บเทยี บ การตำหนิ กดดัน จะทำใหเ้ กิดการเรยี นรู้ เช่น • ถ้าไม่เรียนจะโดนลงโทษ • ถา้ คะแนนต่ำจะส้เู ขาไม่ได้ จะพ่ายแพ้ จะแขง่ กับใครไม่ได้ • ถ้าไม่อา่ นหนังสือจะสอบตก จะอบั อาย ชวี ิตจะล้มเหลว • ถา้ ไม่ตงั้ ใจเรยี นจะโง่ ไร้คณุ คา่ • ถา้ ทำงานไม่เสร็จ จะไม่ได้เล่น • เรียนไม่ดี ชีวติ จะล้มเหลว การเรียนรู้ในแนวทางนี้อย่างเดียว จะทำให้ผู้เรียนขาดความสุข แข่งขัน ไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวก เรียนรดู้ ้วยความจำใจ ทำใหเ้ ครียดและซึมเศร้าได้ง่าย ชีวิตเต็มไปด้วยความกังวล และความกลัว โดยเฉพาะ เมื่อเกิดปัญหา หรือความล้มเหลว เครียดและซึมเศร้า มองตนเองไม่ดี เพราะถูกฝึกมาให้ชีวิตต้องป้องกัน ความผิดพลาดตลอดเวลา ครูควรระมัดระวังทัศนคติเชิงลบนี้ เพราะถ้าใช้มากๆโดยไม่มีด้านบวก จะเกิด ปญั หาในบคุ ลกิ ภาพ ควรหาทางใชแ้ นวคดิ ของ Positive Psychology เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นเกดิ แรงจงู ใจจากภายใน มีความสุขในการเรียนรู้ อยากเรียนรู้มากกว่าถูกบังคับ มีพลังต่อสู้ได้กับความล้มเหลว ไม่ติดอยู่กับ ความสำเร็จแต่เพยี งอย่างเดยี ว จติ วทิ ยาเชงิ บวก สง่ เสรมิ การเรยี นรู้ โดยมหี ลกั การให้ผูเ้ รียนเกิดแรงจงู ใจจากภายใน โดยเรมิ่ ต้นจาก การมอี ารมณด์ า้ นบวก ทำให้เรยี นรู้ได้อยา่ งสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ จนลืมเวลา เกดิ ความไหลลน่ื ในการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในการเรียนรู้นั้นผู้เรียนมีแรงจูงใจ มีส่วนร่วมเกิดความสัมพันธ์ ความ ผูกพนั กับผู้เรยี นดว้ ยกนั และกับผสู้ อน เช่ือมโยงกับชวี ิตจริง เกดิ ความสำเรจ็ ในตนเอง นำไปใช้ไดใ้ นอนาคต แนวทางของ Positive Psychology (Martin Seligman) มีหลกั การสรุปได้ 5 มิติ (PERMA) ดังนี้ 1. P-Positive Emotion ผู้เรยี นเกดิ ความรู้สึกทางบวก เชน่ สนุก ตน่ื เตน้ ท้าทาย ท่ึง ชวนคิด อยาก รู้ อยากเอาชนะ อยากเปลี่ยนแปลง ชื่นชมตนเอง ชื่นชมผู้อื่น รู้สึกดีต่อตนเอง ภูมิใจตนเอง ชื่นชมกลุ่ม กิจกรรมในการเรียนรู้ จึงควรออกแบบให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วม ทำงานร่วมกัน ช่วยกันแก้ปัญหา และเอาชนะ อุปสรรคต่างๆด้วยกัน เมื่อจบการเรียนรู้ ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเห็นคุณค่าตนเอง ภูมิใจตนเอง อยากเรียนรู้ ต่อไปดว้ ยตัวเอง และยงั รู้สึกเปน็ ท่ียอมรบั จากเพ่อื น จากครู จากชุมชนสิง่ แวดลอ้ ม 2. E-Engagement ผู้เรียนมีพฤติกรรมมีส่วนร่วม (engage) ในกิจกรรม โดยการมีส่วนร่วม แสดงออก ร่วมมือ ไม่สนใจกิจกรรมอื่น ให้เวลา และทุ่มเทในงาน การออกแบบกิจกรรมที่ดี จะช่วยให้เกิด

คมู่ อื ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๒ ความร่วมใจกับผู้สอนและร่วมมือกนั ในกลุ่ม การใช้กระบวนการกลุ่มที่ดี มีการแบ่งกลุ่มให้เสมอภาคกันทุก กลุ่ม (heterogeneous) ฝึกให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นที่แตกต่าง เน้นกระบวนการกลุ่ม (process) มากกว่า ผลงานกลุ่ม (product) มีการสังเกตพฤติกรรมกลุ่ม มีการสอนงานกลุ่ม (group coaching) มีการประเมิน กลุ่ม และให้มี constructive feedback สม่ำเสมอ จะช่วยให้เกิดความมีส่วนร่วมนี้ ผู้สอนควรสังเกต พฤติกรรมและการมีส่วนรว่ มอยา่ งต่อเน่ือง และช่วยเหลือผู้เรยี นที่ไม่เช่อื มโยงกบั กลุ่มให้ร่วมมือกับกลุ่มมาก ขน้ึ ใหเ้ พอ่ื นยอมรบั มีการรบั ฟัง แสดงความความเห็น ถกเถยี ง สรุป มีการฝึกทักษะผนู้ ำผู้ตาม การมสี ่วนร่วม นั้น เกิดขึ้นระหว่างคนกับกิจกรรม และระหวา่ งคนด้วยกันเอง (ระหว่างเพ่ือน ระหว่างครูกับนักเรยี น) และ ระหวา่ งคนกบั ส่ิงแวดล้อม 3. R-Relationship ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างดี มีความร่วมมือร่วมใจ (collaboration )เป็น อันหนึ่งอันเดียว (cohesion) มีการสื่อสาร (communication) แบ่งปันร่วมทุกข์ร่วมสุข (sharing) มีความ เป็นผู้นำผู้ตาม (leadership) ในความสัมพันธ์ที่ดนี ้ัน มีความรู้สึกที่ดีตามมา เห็นคุณค่าของการทำงานกลุม่ ยอมรับความแตกต่าง ได้ช่วยเหลือส่งเสรมิ กัน สะทอ้ นถึงการทำงานหรือใชช้ ีวติ กันในสงั คม ในกล่มุ ทต่ี อ้ งการ เน้นทักษะสังคมในการทำงานร่วมกัน การประเมินเพือ่ สรา้ งสรรค์โดยไม่มีคะแนน จะช่วยให้เกิดการพัฒนา ผู้เรียน ความสัมพันธ์เชงิ บวกนั้น เกิดขึ้นระหว่างคนกับกิจกรรม และระหว่างคนดว้ ยกันเอง (ระหว่างเพ่อื น นักเรยี น ระหวา่ งครกู ับนักเรยี น) และระหวา่ งคนกบั สิ่งแวดลอ้ ม 4. M-Meaning สงิ่ ทเ่ี รยี นรมู้ คี วามหมายสำคัญ มคี ณุ ค่า ตอบคำถามของเป้าหมายชีวิต สัมพันธ์กับ การเรียนรู้ในอดีต ชวนให้คิดถึงการเรียนรู้เดิม สัมพันธ์กับปัจจุบัน คือ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิด หรือความเชื่ออะไร เกิดการเปลี่ยนแปลงใดในปัจจุบัน ทำให้มีแรงจูงใจจะทำอะไรต่อไป สัมพันธ์กับอนาคต จะนำไปใช้กับชีวิตได้อย่างไร ผู้สอนควรช่วยให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์นี้เป็นระยะๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเห็น ความสำคัญและคุณค่าของสิ่งที่เรียนตอ่ ตนเอง การเรียนร้แู บบ Problem-based Learning เปน็ ตัวอย่างท่ีดี เรื่องหน่งึ ทช่ี วนใหผ้ ู้เรยี นไดล้ องสมั ผัสปญั หาก่อน สรา้ งความตระหนัก และชวนคิดให้แกป้ ัญหา ความท้าทาย จะสร้างแรงจูงใจ อยากรูอ้ ยากเหน็ นำไปสูก่ ารเรียนรู้ทเ่ี หมาะสมกับชีวติ จรงิ ความรทู้ างทฤษฎีจะนำมาใชเ้ พื่อ แก้ปญั หา เห็นคุณคา่ และความหมายของการเรียน 5. A-Accomplishment การเรียนรู้นั้นทำให้เกิดความสำเร็จอะไรในชีวิต ผู้เรียนเกิดความรู้สึก ทางบวก เมื่อได้ทบทวนว่าได้อะไรบ้าง แม้แต่เป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ได้ความรู้ ข้อคิด ได้ทักษะ ได้ทัศนคติ ใหม่ เช่น เกิดความอยากรู้ อยากเรียน อยากอ่าน อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่ม ความสำเร็จน้ัน เกิดข้นึ ระหว่างกิจกรรม (process accomplishment) หรือ เม่อื ทำได้สำเร็จ (product accomplishment) ครูช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกทำได้สำเร็จเป็นขั้นๆ ทีละน้อย ให้ชื่นชมกับความก้าวหน้าของตนเอง โดยไม่จำเป็น เปรียบเทียบกับคนอื่น สรปุ การสร้างจิตวิทยาเชิงบวก ใช้แนวทาง 5 มติ ิ เรียกโดยใชต้ วั ยอ่ ว่า PERMA ครสู ามารถประยุกต์ PERMA Model มาใชใ้ นหอ้ งเรียน โดยการออกแบบกิจกรรม ใหผ้ ูเ้ รียนมอี ารมณ์ด้านบวก มีความผูกพันกัน กิจกรรม มีความสมั พนั ธก์ ันดแี ละสมั พนั ธก์ ับครทู ด่ี ี เหน็ คุณค่าของส่ิงทเ่ี รยี น และมคี วามสำเร็จจากการเรียนรู้ นัน้ ครูสามารถประเมินการเรยี นร้โู ดยการให้ผูเ้ รียนสะท้อนการเรยี นรู้ (reflection) ในตอนทา้ ยกิจกรรม โดยให้ผู้เรียนแสดงว่าในการเรียนรู้นั้นรู้สึกอย่างไร เป็นความรู้สึกด้านบวกหรือไม่ (positive emotion) มี ส่วนร่วมในกิจกรรม (engagement) นั้นอย่างไร ความความสัมพันธ์ผูกพันกับเพื่อนๆและผู้สอน

คมู่ อื ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๓ (relationship) มากน้อยแค่ไหน สิ่งที่เรียนรู้ใหม่นั้นมีคุณค่าต่อชีวิตอย่างไร นำไปใช้ได้อย่างไร (meaning) และรสู้ กึ วา่ ไดท้ ำอะไรสำเรจ็ บา้ ง (accomplishment) การใช้จิตวิทยาเชิงบวก จะช่วยให้ผู้เรียนมีอารมณ์ด้านบวก ในการเรียน อยากเรียนรู้ต่อ ไปเรียนรู้เพิ่มเติม และนำไปใช้ในการดำเนินชีวติ ต่อไป โดยกำหนดเป้าหมายและการเรียนรู้ดว้ ยตัวเอง เป็นการเรียนรู้ต่อเนื่อง ตลอดชีวิต และช่วยใหเ้ กดิ ความสมั พันธท์ ่ดี ี เกิดทกั ษะสำคัญท่ีจำเปน็ ในศตวรรษท่ี 21 คอื -ความร่วมมอื รว่ มใจ (collaboration) -การส่ือสารทางบวก (positive communication) -ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) -การคิดไตร่ตรองอย่างมีเหตผุ ล (critical thinking) -คุณคา่ ของการเรียนรูโ้ ดยใชแ้ นวทางจิตวิทยาเชงิ บวก เมื่อใช้แนวทางของจิตวิทยาเชิงบวกในห้องเรียน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้เรียน และ ผู้สอน 1 ห้องเรียนมีความสุข 2 เรยี นรู้อยา่ งมีความสขุ อยากเรยี น อยากรู้ ไปเรียนรู้เอง 3 เรียนแล้วจำได้ ทำไดจ้ รงิ เรียนรแู้ บบต่อยอด เช่อื มโยงกัน 4 เรยี นแล้วนำไปใช้ได้ในชีวติ เหน็ คณุ ค่าและประโยชน์ 5 ผเู้ รยี นมคี วามสัมพนั ธก์ นั ดี ชว่ ยเหลือ ไมแ่ ข่งขนั 6 ผูส้ อนมคี วามสขุ สนุก อยากสอน การประเมินผลการเรยี นรู้ ครูสามารถออกแบบการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ในผู้เรียน ได้ดงั นี้ 1 การสังเกตและบนั ทึกพฤติกรรมผเู้ รียน (behavior observation) 2 การเขียนสะทอ้ นการเรยี นรู้ (reflection) 3 การตดิ ตามพฤติกรรมหลงั การเรียนรู้ (long term follow up of behaviors) ทฤษฎที ่ีเก่ียวขอ้ งกับ Positive Psychology FLOW (Mihaly Csikszentmihalyi) คือ คำอธิบายประสบการณ์ที่มคี วามสุขในการเรยี นรู้หรือการ ทำงาน เพลิดเพลินทำไปจนลมื วันเวลา มีความสุขการกระทำจนไมอ่ ยากเลกิ และอยากทำสิง่ นน้ั ต่อไปเร่ือยๆ เกิดความไหลลื่นในการเรียนรู้ เกิดจากการได้ทำในสิ่งท่ชี อบ เกิดความสนกุ ตนื่ เตน้ อยากรู้อยากเห็น ท้าทาย รู้สึกดีต่อตนเอง ได้เรียนรู้และประสบความสำเร็จในการกระทำนั้น เห็นคุณค่าและความหมายรวมท้ัง ประโยชนท์ ี่เกิดข้นึ ทั้งตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน อารมณ์ที่เกดิ ขึ้นเปน็ อารมณ์ดา้ นบวก (positive emotion) Broaden and Build Theory (Barbara Fredrickson ) ทฤษฎีที่อธิบายว่าเมื่อคนมีอารมณ์บวก (positive emotion) จะมีผลทำให้จิตใจกว้าง เปิดรับข้อมูลใหม่ การเรียนรู้ใหม่ได้เร็ว มีประสิทธิภาพ เป็น การเรียนรู้ทางบวก (positive education) คนทมี่ ีอารมณด์ ้านบวก มกั จะเปน็ ทร่ี ักของคนอนื่ มีความยืดหยุ่น (resilience) เรียนรู้ได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และลดผลของ negative emotion จึงช่วยป้องกันปัญหา อารมณ์ ลดความกังวล หรืออารมณซ์ ึมเศร้า ช่วยให้สุขภาพจติ ดีขึน้ อีคิวดขี ้นึ บทบาทครใู นการใช้ จิตวทิ ยาเชิงบวกในชน้ั เรียน การพฒั นา Positive Emotion อารมณ์ดา้ นบวก กระตนุ้ ผู้เรียนให้เกิดแรงจงู ใจ อยากเรยี นรู้ มีส่วน ร่วมในกิจกรรม เกิดขึ้นเมื่อมีความสัมพันธ์ที่ดี การสื่อสารที่ดี ทัศนคติที่ดีระหว่างกัน กิจกรรมทำให้เกิด

คมู่ ือศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๔ อารมณ์บวก ไดแ้ ก่ ความสนุก ตนื่ เต้น อยากรู้อยากเห็น ทา้ ทาย เกดิ ความสำเรจ็ เป็นขน้ั ๆ ทำใหเ้ กดิ ความรู้สึก ดีต่อตนเอง เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ ชื่นชมความหมายและประโยชน์ในการเรียนรู้ต่อตนเอง ผู้อื่นและ สิ่งแวดล้อม ครูช่วยให้นักเรียนรู้จักอารมณ์ตนเอง เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึก ความคิด และ พฤติกรรม ให้กล้าแสดงออกทางอารมณ์ แลกเปล่ยี นกนั ยอมรบั อารมณ์ เรมิ่ ตัง้ แต่เดก็ เล็ก และให้ความสำคัญ ของการจัดการเรยี นรูโ้ ดยใหเ้ กดิ ความสมดุลของ ความคดิ ความรูส้ กึ และพฤตกิ รรม อารมณด์ ้านบวก สามารถกระตนุ้ ใหร้ ับรู้ได้ 3 ระดับ ตามเวลา ดงั นี้ 1. การทบทวนอดีต (past) การชื่นชม เชื่อมโยงกับความรู้หรือประสบการณ์เก่า เกิดความเข้าใจ ยอมรับ ใช้กิจกรรมให้ระลึกถึงคนที่มีคุณค่า ให้ขอบคุณคนที่ทำดี (gratitude) ชื่นชมตนเอง ให้อภัย (forgiveness) คนที่ทำผดิ พลาด ให้อภัยตนเอง ใหย้ ้อนเวลากลับไปบอกตนเองในอดตี 2. การทบทวนตนเองในปัจจุบัน (present) การฝึกสติ (mindfulness) ทบทวนความสนุก (savoring) ให้ฝึกระลึกถึงความคิดความรู้สึกตนเอง การมรสติทำให้ใจสงบ สามารถคิดเชื่อมโยงไปในอดีต เช่อื มโยงไปในอนาคต ให้ทบทวนตนเอง ร้ตู นเอง (self awareness training) ลดอคติ สำรวจความคิดความ เชอื่ ด้วยใจเป็นกลาง 3. การคาดหวงั ในอนาคต (hope) การเห็นคณุ คา่ การคาดหวังในอนาคต การนำประสบการณ์ไปใช้ หรอื ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิต มคี วามคาดหวังด้านบวกในอนาคต (optimism) การสร้าง Relationship ความสัมพนั ธ์ในการเรยี นรู้ มี 2 ด้าน 1. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน สร้างด้วยการออกแบบการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม ใช้กิจกรรม กลุ่ม เพื่อฝึกทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ การทำงานร่วมกันเป็นทีม (collaboration) การสื่อสาร (communication) การเปน็ ผู้นำ (leadership) 2. ความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน ครูควรรู้จักนักเรียนทุกคนเป็นรายบุคคล มีทัศนคติด้าน บวกต่อเด็ก จำชื่อและรายละเอยี ดส่วนตัว รู้ความชอบ ความถนัด จุดเด่น ภูมิหลังครอบครัวและปัญหา ให้ ความเสมอภาค ให้โอกาสเดก็ รับฟัง ไม่กดดัน ไม่ใช้อำนาจ เปิดโอกาสใหเ้ ด็กเรยี นรู้อย่างอสิ ระ ให้เด็กได้ใช้ ศกั ยภาพตนเองอยา่ งเตม็ ที่ การจดั ประสบการณ์เรียนรู้ ควรใช้กจิ กรรมกลุม่ การทำงานรว่ มกนั เปน็ ทีม ให้เกดิ การทำงานร่วมกัน แบง่ ปนั ช่วยเหลือ ยอมรับ ฟัง ส่อื สาร ใหเ้ กิดการยอมรับและเรยี นรรู้ ่วมกัน (collaboration) การสร้าง Meaning การเรียนรู้จะมีความน่าสนใจ อยากเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนมีเป้าหมายของตนเอง เห็น ประโยชน์คุณค่า ครูช่วยสร้างได้ ด้วยการอธิบายเป้าหมายและคุณค่า ความสำคัญของกิจกรรมนั้น และ เชื่อมโยงใหเ้ ห็นการนำไปใช้งาน แก้ปัญหา หรือมีประโยชนต์ ่อตนเอวอยา่ งไร (เชื่อมโยงกับอนาคต) และถ้า เชื่อมโยงไปถงึ การเรียนรหู้ รอื ประสบการณ์เก่า จะช่วยใหส้ นกุ ในการเขา้ ใจและเหน็ ภาพรวม เห็นความหมาย และคุณค่าในชวี ิตมากขึ้น ทำให้เขา้ ใจสนกุ และเพลดิ เพลินกบั การเรียน ครูสามารถกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญของ meaning ได้ เริ่มต้นกิจกรรม ใช้คำถามนำว่า ทำไมถึงต้องเรยี นหรอื มกี ิจกรรมนี้ ใครมีประสบการณ์เดิมในเรื่องที่จะเรียนรู้มาแล้ว มันมีประโยชน์อยา่ งไร เกยี่ วขอ้ งกับชีวิตอย่างไร นำไปใชอ้ ย่างไรในชวี ิต ระหวา่ งกจิ กรรม ใหล้ องคิดวา่ สิ่งที่กำลงั เรยี นรู้นั้น สัมพันธ์ กับชีวติ อยา่ งไร เอาไปใชไ้ ด้มย้ั ใชอ้ ย่างไร เมือ่ จบกจิ กรรม ใหล้ องสงั เคราะหว์ ่า จะเอาไปใช้ที่ไหน อยา่ งไร การสง่ เสรมิ Accomplishment ครคู วรช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรู้สึกวา่ ประสบความสำเร็จ ทำได้ ทำ ไดม้ ากขึ้นกวา่ เดิม เห็นความก้าวหน้าของตนเอง การจดั ประสบการณ์เรียนรู้ ควรให้ทา้ ทาย ยากเล็กน้อยแต่ พอทำได้สำเร็จ เกิดความภูมิใจตนเอง แล้วเพิ่มความยากขึ้นเล็กน้อย เพียงพอให้กระตุน้ ความอยากลอง ท้า

ค่มู อื ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๕ ทายเล็กน้อยแต่ทำได้มากขึ้นตามลำดับ ให้เหมาะสมกับความสามารถของเด็กแต่ละคน เด็กที่เก่ง ควรมี กิจกรรมทา้ ทายที่ยากกวา่ เด็กปกติทั่วไปมิฉะนั้นจะเบื่อและหมดความสนใจ ในการเรียนแบบกลุม่ ย่อย ควร คละเดก็ ท่มี ีความแตกต่างกันทุกด้าน สำหรับเดก็ เก่ง ความทา้ ทายควรอยู่ท่เี ด็กเกง่ ชว่ ยสอนเด็กไมเ่ กง่ ครูช่วย สร้างความสำเร็จได้ ด้วยการให้นักเรียนทบทวนตนเองว่า ได้ทำอะไรสำเร็จ ทั้งในกระบวนการ (process) ระหวา่ งทาง และ ผลลพั ท(์ product) ปลายทาง สรปุ จติ วิทยาเชิงบวก ช่วยส่งเสรมิ ให้เกิดการเรยี นสูก่ ารเปลี่ยนแปลงจากภายใน โดยการเรียนรูท้ ี่เกิด อารมณ์เชิงบวก มีความผูกพันกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การเรียนรู้บรรลุเป้าหมาย โดยเกิดคุณค่าและ ความหมายตอ่ ชีวิต แหลง่ ข้อมูลเพม่ิ เติม What are Positive and Negative Emotions and Do We Need Both? https://positivepsychologyprogram.com/positive-negative-emotions/#psychology ABA – การวิเคราะห์พฤติกรรมประยุกต์ ABA หรือ Applied Behavior Analysis เป็นกลยุทธ์ทีใ่ ช้เวลาใน การทดสอบและข้อมลู สำหรับการสอนเด็กทมี่ คี วามบกพรอ่ ง มกั ใชก้ ับเดก็ ออทสิ ติกสเปกตรัมผิดปกติ แต่เป็น เครือ่ งมอื ท่ีมปี ระสทิ ธิภาพสำหรับเด็กทมี่ พี ฤติกรรมผดิ ปกติพกิ ารหลายคนและความพิการทางสติปญั ญาอย่าง รุนแรง เป็นการรักษาเฉพาะสำหรับความผิดปกติของออทิสติกสเปกตรัมที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA (สำนกั งานคณะกรรมการอาหารและยา) ABA ขึ้นอยู่กับผลงานของ BF Skinner หรือที่เรียกว่าบิดาแห่ง Behaviorism พฤติกรรมนิยมเป็น เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการทำความเขา้ ใจพฤติกรรม หรือเป็นท่ีรู้จักกันว่าเป็นเหตุฉุกเฉินในระยะสาม พฤติกรรมคือการกระตนุ้ การตอบสนองและการเสริมแรง เป็นทีเ่ ข้าใจกันก่อนว่าพฤตกิ รรมและผลหรือ ABC ABC ของ ABA ก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนพฤติกรรมและอาจมีหรือไม่มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ พฤติกรรมคือสิ่งที่เราทำ: เราพยายามที่จะ \"ปฏิบัติ\" พฤติกรรมหรือหาวิธีที่จะอธิบายพฤติกรรมได้อย่าง ตรงไปตรงมา เราไม่อยากพูดว่า \"จิมมี่ดูไม่สุภาพ\" เราจะพูดว่า \"จิมมี่ตะโกนใส่ครูและเรียกเธอว่าคำที่ไม่ เหมาะสมสำหรับเชื้อชาติ\" สุดท้ายผลหรือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากพฤติกรรม โดยปกติแล้วเราจะมองหาการ เสรมิ แรง: กล่าวคอื จมิ ม่ีออกจากการเรียกครูว่าชอื่ ไม่ดี มันเป็นความสนใจจากเพ่ือนของเขา? มันถูกส่งไปยัง ออฟฟิศเพื่อใหเ้ ขาพลาดการทดสอบตัวสะกดหรือไม่? นกั วทิ ยาศาสตรค์ นอืน่ ทใ่ี ห้เครดิตกับการพัฒนา ABA คอื Ivar Lovaas นกั จติ วทิ ยาจาก University of California Los Angeles ผลงานท่ีสำคญั ของเขาในการใช้ behaviorism กับเด็กพกิ ารอย่างมากกับออทิ สติกนำไปสู่ส่ิงที่เราเรยี ก ABA สำหรับคนจำนวนมาก behaviorism ดเู หมอื น mechanistic สุดเหวย่ี ง มนุษย์มีคุณค่าและมีความหมายในการกำหนดสิ่งมีชีวิตและเราอยากจะเชื่อว่ามีบางอย่างที่มีพลัง ลึกลับเกี่ยวกับพฤติกรรม - Freudianism จึง. แม้ว่าพฤตกิ รรมอาจเป็นเรื่องง่าย แต่พฤติกรรมนิยมอาจเป็น วิธีท่ีดที ่สี ดุ ในการกำจดั อคติทางวฒั นธรรมทง้ั หมดของเราและดูพฤตกิ รรมตามที่เป็นอยู่ นีเ่ ปน็ ประโยชน์อย่าง ยิ่งกับเด็กออทิสติกที่มีปัญหาในการสื่อสารการโต้ตอบทางสังคมและภาษาที่เหมาะสม การย้ายไปสู่ภาวะ ฉุกเฉินสามครั้งช่วยให้เราสามารถประเมินสิ่งที่เราเห็นเมื่อเราเห็นพฤติกรรม ความรู้สึกโกรธกับจิมม่ี? ก่อน

คูม่ ือศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๖ หนา้ นีค้ อื อะไร? มันทำให้มัน? ลกั ษณะการทำงานมลี กั ษณะอย่างไร? และในที่สุดสง่ิ ทเ่ี กิดขน้ึ เมอ่ื อารมณ์โกรธ Jimmy? ABA ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนพฤติกรรมทางสังคมการทำงานและ การศึกษาที่เหมาะสม รูปแบบพิเศษของ ABA หรือที่เรียกว่า VBA หรือ Verbal Behavioral Analysis ใช้ หลักการของ ABA เป็นภาษา; \"พฤตกิ รรมทางวาจา\" ตัวอย่างของ ABA Design การออกแบบ ABA ในรูปแบบตา่ งๆทใ่ี ช้ใน การวิจัยเรอ่ื ง เดียว การวิจัยเร่ืองเดียว เปน็ หัวข้อหนึง่ ท่ีหัวขอ้ - ไม่ว่าจะเป็นรายบคุ คลหรือกล่มุ - ทำหนา้ ทเ่ี ปน็ ตวั ควบคุมของตนเอง สามารถใช้เพ่ือ ทดสอบความสำเร็จของการแทรกแซงบคุ คลโรงเรยี นหรอื ชมุ ชนและให้มาตรการประเมนิ ผลเพื่อประสิทธิผล โดยทั่วไปของการแทรกแซงดังกล่าว สมมติว่าเรากำลังทำการทดลองเพื่อหาผลกระทบของภาพประกอบใน การอ่านความเข้าใจระหว่างนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 ภายใต้รูปแบบการออกแบบ ABA: นักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปที ่สี ามจะเริ่มจากการอ่านยอ่ หน้าท่ีเปน็ ข้อความเท่านนั้ (ระยะ \"A\") และไดร้ บั การทดสอบเพ่ือ ประเมินความเข้าใจในการอ่านของพวกเขา จากนั้นกลุ่มเดียวกันจะถูกขอให้อ่านย่อหน้าอีกครั้งโดยใช้ ภาพประกอบ (\"B\" phase) และได้รับการทดสอบอีกครั้ง เพื่อให้รูปแบบ ABA สมบูรณ์นักเรียนจะได้รับอีก วรรคหน่งึ เปน็ ขอ้ ความเทา่ น้นั และได้รับการทดสอบเป็นคร้ังสดุ ทา้ ย คุณสมบตั ิหลกั ของ ABA Design แบบจำลอง ABA มีหลายลกั ษณะของวิธกี ารวิจัยเร่อื งเดยี วแบบอน่ื ๆ : การ ออกแบบ ABA ช่วยให้นักวิจัยได้รับการวัดซ้ำเพื่อสร้างรูปแบบที่สอดคล้องกันในการทำงานช่วยให้นักวิจัย สามารถวัดพฤตกิ รรมไดอ้ ย่างถกู ต้องภายใต้สภาวะควบคุมท่มี ีคา่ สมำ่ เสมอ เน้นที่ตัวแปรเดียวมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมากกว่า ชุดของตัวแปรไม่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ที่ได้เม่ือ เทียบกบั ประชากรทวั่ ไป แตเ่ ปน็ อยา่ งไรการแทรกแซงควบคมุ มผี ลตอ่ เร่อื งและเรื่องเดยี ว การออกแบบ ABAB ส่วนขยายของโมเดลคือการออกแบบ ABAB นี้เกี่ยวข้องกับการวัดพื้นฐาน (ระยะ \"A\") แนะนำการรักษา (ระยะ \"B\") ถอนการรกั ษาและ reintroducing มนั เปน็ ครง้ั สดุ ท้าย น่ถี ือว่าเป็น รูปแบบการยนื ยันท่ีไม่เพยี ง แต่บอกให้เราทราบวา่ ผลจะสามารถทำซ้ำไดห้ รือไม่ แตผ่ ลที่ได้คือมปี ระสิทธิภาพ อย่างไร ในบางกรณผี ลกระทบอาจสนั้ และเส่ือมเสยี เมื่อเวลาผา่ นไป ในบางรายอาจทำใหบ้ ุคคลหรอื กลุม่ ได้รับ ความสนใจมากขึน้ Byiers, B; Reichle, J .; และ Symon, F. \"การออกแบบการทดลองแบบเดี่ยวสำหรับการปฏิบัติตาม หลักฐาน\" แอมเจ Speech Lang Pathol 2012; 21 (4): 397-414; DOI: 10.1044 / 1058-0360 (2012 / 11-0036)

โครงสรา้ งแผนการจัดการศึกษาตามหลกั สูตรปฐมวยั สำหรบั เด็กที่มคี วามจำเปน็ พิเศษ ฝ่ายศลิ ปะบำบดั ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 1 จังหวดั นครปฐม คู่มอื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๗

คมู่ อื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๘ แนวทางการจัดกิจกรรมศลิ ปะบำบัดเพอื่ บรรลเุ ป้าหมาย/คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1 กิจกรรมจิตรกรรม ตวั บง่ ชี้ ๑ วาดภาพระบายสีตามจินตนาการอยา่ งสรา้ งสรรค์ อายุ สภาพท่พี ึงประสงค์ ๑๘ เดอื น – ๓ ปี ๑. จับดินสอ/สีเทยี นขีดเขยี นแบบไร้ทิศทางและไรค้ วามหมาย ๒. จับดินสอ/สีเทยี น ขูดเขยี นเป็นเส้นและมีทิศทาง ๓. จบั ดินสอ/สีเทยี น ลากเส้นตามเสน้ ประ ๓ – ๔ ปี ๑. จำแนกสีไดอ้ ย่างน้อย ๓ สี ๒. จำแนกขนาดเลก็ /ใหญ่ของรปู ท่ีวาด ๓. ระบายสีไปในทศิ ทางเดยี วกนั ๔.สื่ อสารเก่ยี วกบั สงิ่ ทวี่ าดออกมา ๔ ปขี ้นึ ไป ๑.วาดภาพออกมาเป็นเค้าโครงของส่ิงตา่ งๆ รอบตัว 2 กจิ กรรมประตมิ ากรรม ตวั บ่งชี้ ๑ ป้ันดว้ ยดินนามนั ตามจนิ ตนาการอย่างสร้างสรรค์ อายุ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ ๑๘ เดอื น – ๓ ปี ๑. สนใจหยิบดินน้ำมนั ข้ึนมาเล่น ๒. จบั ดินนา้ มันขน้ึ มาบีบ ๓. จับดินนา้ มันขน้ึ มากำ ๓ – ๔ ปี ๑. แบง่ ดนิ น้ำมันออกจากกอ้ น ๒. นวดดินนำ้ มันเป็นเสน้ ยาว ๔ ปขี ้ึนไป ๑. คลงึ ดินนำ้ มนั เปน็ รูปทรงกลม ๒. ปน้ั ดนิ นำ้ มันขึ้นเปน็ เคา้ โครงอิสระ 3 กจิ กรรมภาพพิมพ์ ตัวบ่งชี้ ๑ พิมพภ์ าพจากวสดธุ รรมชาตแิ ละวสดุสงั เคราะห์ตามจินตนาการอยา่ งสร้างสรรค์ อายุ สภาพทพ่ี ึงประสงค์ ๑๘ เดอื น – ๓ ปี ๑. สนใจหยิบแมพ่ ิมพข์ ึ้นมาเลน่ ๓ – ๔ ปี ๑. กดแม่พมพ์ลงบนช้ินงานโดยรายละเอียดของสีไมช่ ัดเจน ๔ ปขี ึ้นไป ๑. กดแม่พมพล์ งบนชนิ้ งานโดยรายละเอยี ดของสีชดั เจน 4 กิจกรรมประยุกตศ์ ิลป์ ตวั บ่งช้ี ๑ ประดิษฐ์ดว้ ยวัสดธุ รรมชาตแิ ละวสั ดสุ ังเคราะห์ตามจนิ ตนาการอย่างสรา้ งสรรค์ อายุ สภาพที่พงึ ประสงค์ ๑๘ เดอื น – ๓ ปี ๑. ขยำ้ กระดาษ ๒. ฉกี กระดาษ ๓ – ๔ ปี ๑. ขยำ้ กระดาษเป็นก้อน ๒. ฉีกกระดาษเป็นชิ้น ๔ ปขี ้ึนไป ๑. ใชก้ าวในการติดวสั ดุต่างๆ เขา้ ดว้ ยกัน

คู่มอื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๙ กำหนดตารางการสอนและระยะเวลาแผนการสอน ศิลปะบำบดั ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จงั หวัดนครปฐม หน่วยการเรยี นรู้ที่ แผนการสอน วัตถุประสงค์ เนอ้ื หา/กิจกรรม ระยะเวลา 1 จิตรกรรม ฝกึ ทกั ษะการระบาย พ.ค. – ก.ค. (ระบายส)ี สี ขดี เขียน 1. ระบายสกี รอบรปู ภาพขนาดใหญ่ 2. ระบายสีรปู ภาพขนาดใหญ่3. 2565 2 ประติมากรรม ฝึกทกั ษะการปน้ั ระบายสรี ปู ภาพขนาดเล็ก 3. วาดรูปทรงตามแบบท่ีกำหนดและ ส.ค. – ก.ย. ระบายสี 2565 4. วาดรปู วงกลม, สามเหลีย่ ม, สเี่ หล่ยี ม โดยไม่มีเสน้ กำหนด (อิสระ) 5. ระบายสรี ปู ภาพขนาดใหญ่ โดยใช้สี เมจกิ 6. ระบายสีรปู ภาพขนาดเล็ก (หลาย รปู ) โดยใช้สีเมจกิ 7. วาดภาพตามเสน้ ปะไข่ปลา และ ระบายสใี ห้สวยงาม (รปู ภาพขนาด ใหญ่ ๑ รปู ) 8. วาดภาพตามเส้นปะไข่ปลา และ ระบายสใี หส้ วยงาม (รูปภาพขนาดเลก็ หลายรปู ) 9. โยงเส้นจบั คู่รปู สัตวแ์ ละระบายสี 10. วาดรูปตามมือตวั เองและระบายสี ใหส้ วยงาม 1. กดดินน้ำมนั ตามช่องว่างรูปภาพ 2. ปน้ั แก้วใสข่ องดว้ ยดินเหนียว 3. ป้ันแก้วใส่ของดว้ ยดินนำ้ มนั 4. การทำ Paper Macha 5. การคลึงดนิ น้ำมนั ใหย้ าว ป้ันกลม ทำใหแ้ บน 6. ปั้นผลไมใ้ นจินตนาการ 7. สตั วใ์ นจินตนาการ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ แผนการสอน วัตถปุ ระสงค์ เนือ้ หา/กจิ กรรม ระยะเวลา 1. จุ่มสวี สั ดธุ รรมชาติ 3 ภาพพมิ พ์ ฝึกทกั ษะการ ต.ค. – พ.ย. พมิ พ์ จาก 2565

คมู่ อื ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๐ ธรรมชาติ และ 2. ระบายสีน้ำลงบนแปน้ พิมพ์ ตรายาง มนษุ ยส์ รา้ งขึน้ รปู สตั ว์ แล้วป้ัมอิสระลงบนกระดาษ 3. เปา่ สี 4. พมิ พ์ใบไม้ วสั ดุจากธรรมชาติอย่าง สร้างสรรค์ 5. พมิ พเ์ ชอื ก 6. กลิ้งลกู แก้วสตี า่ ง ๆ 4 ศิลปะประยกุ ต์ ทักษะหลากหลาย 1.แยกหนิ สีวางรูปทรงทก่ี ำหนด ธ.ค. 65 - (สอ่ื ประสม) วิธที างศิลปะท่ที ำ 2. โรยทรายตามรูปภาพ มี.ค.66 ใหเ้ กิดผลงานที่ 3. ปม๊ั รูปสัตว์ระบายสี สร้างสรรค์ 4. เมล็ดถ่ัวติดรปู ภาพ 5. ตดั กระดาษและติดตามภาพรปู ทรงท่ี กำหนด 6. ตดิ ปะใบไม้รปู ผลไม้ 7. ฉกี ติด ปะ 8. ตัดเชือกติดรปู ทรง 9. การตดิ สติกเกอรผ์ ลไม้ 10.ตะเกียบคีบวตั ถุขนาดใหญ่ ติดปะบน กาว 11. ตัดกระดาษเปน็ ช้ินเลก็ โดยใชก้ รรไกร 12. ฉกี กระดาษสี ๒ สเี ปน็ ช้นิ เลก็ และแยก สีติดปะลงในรปู ภาพ 13. แยกเมล็ดถ่ัวเขียว ถัว่ เหลือง แล้วติดปะ ลงบนรูปวงกลม ซา้ ยและขวา 14. แกะ ตดิ ปะ สต๊ิกเกอรแ์ ยกสหี ลายสี 15. ระบายสีน้ำโดยใชว้ สั ดุธรรมชาติ (เชน่ ใบไม้ กง่ิ ไม้ ก้อนหนิ ) 16. จ้มิ ติดปะ ตัวตุ๊ดตู่ (วงกลมขนาดเลก็ ) ตามเส้นรปู ภาพ 17. ตัดใบไม้แหง้ และใบไม้สด แยกนำมา ติดปะบนรูปภาพ ตารางวคิ ราะหเ์ น้อื หา แผนการสอน ศิลปะบำบัด ศนู ย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จังหวัดนครปฐม ท่ี หวั ข้อ เนือ้ หา/กิจกรรม จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1 จติ รกรรม 1. ระบายสีกรอบรูปภาพขนาดใหญ่ 1. ผู้เรียนสามารถระบายสีรปู ร่างรปู ทรง ต่างๆ ได้ (ระบายสี) 2. ระบายสรี ปู ภาพขนาดใหญ่ 3. ระบายสรี ปู ภาพขนาดเล็ก

ค่มู อื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๑ 3. วาดรปู ทรงตามแบบท่ีกำหนดและ 2. ผเู้ รยี นสามารถระบายสไี ม้ได้ถูกต้องตาม ระบายสี แบบอยา่ งศิลปะ 4. วาดรูป วงกลม, สามเหลี่ยม, สเ่ี หลย่ี ม 3. ผเู้ รียนสามารถระบายสีเมจิกไดต้ ามหลัก โดยไม่มีเสน้ กำหนด (อสิ ระ) ศิลปะ 5. ระบายสรี ูปภาพขนาดใหญ่ โดยใช้สเี ม 4. ผู้เรียนสามารถลากเสน้ ตามแนวเสน้ ปะ จกิ ไขป่ ลาได้ 6. ระบายสรี ูปภาพขนาดเลก็ (หลายรูป) 5. ผูเ้ รียนลากเส้นได้ดว้ ยตนเอง โดยใช้สีเมจิก 7. วาดภาพตามเสน้ ปะไขป่ ลา และระบาย สใี หส้ วยงาม (รูปภาพขนาดใหญ่ ๑ รูป) 8. วาดภาพตามเส้นปะไขป่ ลา และระบาย สใี หส้ วยงาม (รปู ภาพขนาดเลก็ หลายรูป) 9. โยงเส้นจบั คูร่ ปู สัตว์และระบายสี 10. วาดรปู ตามมือตัวเองและระบายสีให้ สวยงาม 2 ปั้น 1. กดดินน้ำมันตามช่องว่างรปู ภาพ 1. ผู้เรยี นสามารถนวดดนิ ได้ 2. ปน้ั แก้วใส่ของดว้ ยดินน้ำมัน 2. ผูเ้ รียนสามารถคลงึ ดินได้เป็นเสน้ แนว 3. ปน้ั แกว้ ใส่ของด้วยดินเหนียว ยาว 4. การทำ Paper Macha 3. ผูเ้ รียนใช้น้มิ มอื กดดินได้ 5.การคลึงดนิ น้ำมันให้ยาว ป้นั กลม ทำให้ 4. ผู้เรียนสามารถปน้ั รปู ทรงกระบอกได้ แบน และตกแตง่ ใหส้ วยงามตามจนิ ตนาการของ 6. ป้ันผลไม้ในจินตนาการ ผู้เรียน 7. สตั ว์ในจินตนาการ 5. ผู้เรยี นสามารถปัน้ ผลไม้ตา่ งๆ ได้ 6. ผู้เรียนสามารถปัน้ สตั วต์ ่างๆ ได้ตาม จนิ ตนาการ 7. ผู้เรยี นสามารถฉีกกระดาษแชใ่ นนำ้ ได้ 8. ผู้เรยี นทากาวและแปะกระดาษได้ ท่ี หวั ขอ้ เนอ้ื หา/กจิ กรรม จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 3 ภาพพมิ พ์ 1. จุม่ สีวสั ดธุ รรมชาติ 1. ผเู้ รยี นสามารถพิมพภ์ าพใบไม้ได้ 2. ระบายสนี ำ้ ลงบนแป้นพิมพ์ ตรายางรปู สัตว์ โดยใช้สีโปสเตอร์ แล้วป้มั อิสระลงบนกระดาษ 2. ผเู้ รียนสามารถพิมพล์ ายนว้ิ มอื ได้ 3. เป่าสี ตามจนิ ตนาการ 4. พิมพ์ใบไม้ วัสดุจากธรรมชาติอย่างสรา้ งสรรค์ 3. ผู้เรียนสามารถพมิ พเ์ ชือกให้ 5. พิมพ์เชอื ก สวยงามได้ 6. กล้ิงลกู แก้วสตี า่ ง ๆ

คมู่ อื ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๒ 4. ผู้เรยี นสามารถใช้ปากเปา่ ไปตาม ทศิ ทางตา่ งๆ ไดจ้ นเกิดเปน็ ภาพ จนิ ตนาการ 5. ผูเ้ รียนสามารถกลง้ิ ลูกแกว้ ตาม ทิศทางตา่ งๆ โดยมีความสุขและเกดิ งานอยา่ งสร้างสรรค์ 4 ศลิ ปะประยุกต์ 1.แยกหินสวี างรปู ทรงที่กำหนด 1. ผู้เรียนสามารถ ตดั ตดิ ปะ ให้เกดิ 2. โรยทรายตามรปู ภาพ เปน็ งานสร้างสรรค์ได้ 3. ป๊มั รูปสตั วร์ ะบายสี 2. ผเู้ รียนสามารถนำวสั ดทุ ่เี หลือใช้ 4. เมลด็ ถัว่ ติดรปู ภาพ 5. ตดั กระดาษและตดิ ตามภาพรปู ทรงที่กำหนด หรอื วัสดตุ ามธรรมชาตมิ าสร้างผลงาน 6. ติดปะใบไม้รปู ผลไม้ ทางศลิ ปะได้อยา่ งอิสระ และมี 7. ฉกี ติด ปะ ความสขุ 8. ตัดเชือกตดิ รปู ทรง 9. การติดสตกิ เกอรผ์ ลไม้ 3. ผู้เรยี นสามารถผสมผสานงานศิลปะ 10.ตะเกียบคีบวัตถุขนาดใหญ่ ติดปะบนกาว11. ตัด ต่างๆ ทำให้เกดิ ผลงานในจิตนาการได้ อยา่ งสวยงาม กระดาษเป็นช้นิ เลก็ โดยใชก้ รรไกร 12. ฉีกกระดาษสี ๒ สเี ปน็ ช้นิ เล็กและแยกสีติดปะ ลงในรูปภาพ 13. แยกเมลด็ ถ่ัวเขยี ว ถ่ัวเหลอื ง แล้วติดปะลงบน รูปวงกลม ซา้ ยและขวา 14. แกะ ติดปะ สติ๊กเกอรแ์ ยกสีหลายสี 15. ระบายสนี ้ำโดยใช้วัสดุธรรมชาติ (เช่น ใบไม้ ก่งิ ไม้ กอ้ นหิน) 16. จมิ้ ตดิ ปะ ตัวตุ๊ดตู่ (วงกลมขนาดเลก็ ) ตามเสน้ รปู ภาพ 17. ตดั ใบไม้แห้ง และใบไม้สด แยกนำมาตดิ ปะบน รปู ภาพ เกณฑ์การประเมิน การกำหนดเกณฑ์การประเมินและการให้ระดับคุณภาพ ผลการประเมินพัฒนาการของเด็กทั้ง 4 กิจกรรม และทักษะที่จำเป็นเฉพาะความพิการ ในแต่ละสภาพที่พึงประสงค์ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ การผ่านตัว บ่งชี้และมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ดังนั้นในระดับชั้นเรียนและระดับสถานศึกษา ควรกำหนดใน ลักษณะเดียวกัน สถานศึกษาสามารถกำหนดเกณฑ์การประเมินและการให้ระดับ คุณภาพผลการประเมิน พัฒนาการของเด็กทส่ี ะทอ้ นมาตรฐานคุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์หรอื พฤติกรรมท่จี ะประเมนิ ตัวอยา่ งเกณฑ์การประเมินและการใหร้ ะดบั คณุ ภาพ ความสามารถ ความหมาย ปรากฏพฤติกรรมตามช่วงอายุ เปน็ ไปตามสภาพที่พึงประสงค์ ทำได้ (

คู่มือศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๓ ทำไม่ได้ ไม่ปรากฏพฤติกรรมตามชวงอายุ เป็นไปตามสภาพทพ่ี ง ประสงค์ โดยมกี ารกระตุ้น ตวั อยา่ งแบบประเมนิ ความสามารถพน้ื ฐานในการทำกิจกรรมศิลปะ ช่อื ......................................................นามสกลุ .............................................ช่ือเลน่ .......................................... อายุ...........ปี.........เดือน..................ประเภทความพกิ าร................................................................................ วันท่ปี ระเมินการพฒั นา..........................................................................อาย.ุ .................ปี.......................เดือน อายุพัฒนาการ ๑8 เ ดือน – 3 ปี ประเภท พัฒนาการท่ีคาดหวงั ความสามารถ ทำได้ ทำไมไ่ ด้ จิตรกรรม 1. จับดินสอ/สเี ทียน ขีดเขยี นแบบไรท้ ิศทางและไร้ ความหมาย 2. จบั ดินสอ/สีเทยี น ขีดเขียนเปน็ เส้นไม่มีทิศทาง 3. จบั ดินสอ/สีเทียน ลากเส้นตามเสน้ ประ ประตมิ ากรรม 4. สนใจหยิบดนิ นำ้ มนั ข้นึ มาเลน่ 5. จับดินนำ้ มันขน้ึ บีบหรือกำ 6. สนใจหยิบปูนปลาสเตอร์ขน้ึ มาเลน่ ภาพพมิ พ์ 7. สนใจหยบิ แมพ่ มิ พข์ ้นึ มาเล่น ประยุกตศ์ ลิ ป์ 4. ขยำ้ กระดาษ 5. ฉีกกระดาษ อายุพฒั นาการ 3 – 4 ปี ประเภท พัฒนาการทคี่ าดหวงั ความสามารถ ทำได้ ทำไม่ได้ จิตรกรรม 6. จำแนกสีได้อย่างน้อย 3 สี 7. จำแนกขนาดเล็ก/ใหญ่ของรปู ที่วาด 8. ระบายสไี ปในทศทางเดียวกัน 9. ส่ือสารเกีย่ วกบั ส่ิงทว่ี าดออกมา ประติมากรรม ๑0. แบ่งดนิ นำ้ มนั ออกจากกอน ๑๑. นวดดินน้ำมนั เป็นเส้นยาว ภาพพมิ พ์ ๑๒. เทนำ้ ลงในภาชนะได้ ประยกุ ตศ์ ิลป์ ๑๓. เทปนู ปลาสเตอรล์ งในภาชนะได้

คู่มือศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๔ ประเภท พัฒนาการทค่ี าดหวัง ความสามารถ ทำได้ ทำไมไ่ ด้ ๑๔. คนปูนปลาสเตอร์แบบไม่มที ิศทางดว้ ยช้อนได้ ๑๕. คนปูนปลาสเตอร์แบบทวนเข็มนาฬกาดว้ ยช้อนได้ 16. จำแนกสไี ด้อยา่ งน้อย 3 สี ภาพพิมพ์ 17. กดแม่พิมพล์ งบนชิน้ งานโดยรายละเอียดของสไี ม่ ชัดเจน 18. ขูดสีลงบนกระดาษโดยใชพ้ ้นื ท่ีแตกตา่ งๆ กัน ประยุกต์ศิลป์ ๑9. ขย้ำประดาษเปน็ กอ้ น 20. ฉีกกระดาษเป็นช้ิน 21. มีความเข้าใจในการใชก้ าวติดวสั ดุตา่ งๆ เข้าด้วยกนั อายุพฒั นาการ 4 ปีข้นึ ไป ประเภท พัฒนาการทค่ี าดหวัง ความสามารถ ทำได้ ทำไมไ่ ด้ จติ รกรรม 22. วาดภาพออกมาเปน็ เค้าโครงของสิ่งตา่ งๆรอบตวั ประตมิ ากรรม ๒3. คลึงดนิ นา้ มนั เปน็ รูปทรงกลม ๒4. ปัน้ ดนิ นามนั ขน้ึ เป็นเค้าโครงอสิ ระ ๒5. แกะปนู ปลาสเตอร์ออกจากแบบหล่อได้ ภาพพมิ พ์ 26. กดแมพ่ มิ พล์ งบนช้ินงานโดยรายละเอยี ดของสี ชดั เจน ประยกุ ต์ศิลป์ 27. ใชก้ าวในการติดวัสดตุ า่ งๆเข้าด้วยกัน ลงช่อื ......................................ผ้ปู ระเมิน (......................................)

คู่มอื ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๕ แนวทางการจดั การศึกษาฝ่ายศลิ ปะบำบัด ๑. ศึกษาหลกั สูตร ศึกษามาตรฐาน ๒. รวบรวมข้อมูลเกีย่ วกบั ตวั เดก็ ประวัติครอบครวั ประวตั ิทางการแพทย์ ประเภทความพิการ ๓. ประเมินพฒั นาการเดก็ ๓.๑ ใช้แบบประเมิน DSPM หรือ DAIM ของกรมอนามัย และแบบประเมนิ กิจกรรมศิลปะ ต้นปีการศกึ ษาโดยครูและผปู้ กครอง ๓.๒ ใชแ้ บบประเมินที่หลากหลาย โดยนักสหวิชาชีพและครผู สู้ อนกจิ กรรมศิลปะ ๓.๓ รวบรวมขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการประเมนิ มาจดั ทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP) ๔. จดั ทำแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP) ๔.๑ การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) ควรมกี ารแต่งต้ังคณะกรรมการ จัดทำแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคลและตรวจสอบหรอื ประเมินพฒั นาการ ๔.๒ การจัดทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP) มอี งค์ประกอบดงั นี้ ๔.๒.๑ ข้อมูลท่วั ไป ๔.๒.๒ ข้อมลู ด้านการแพทยห์ รอื ด้านสขุ ภาพ ๔.๒.๓ ข้อมูลดา้ นการศึกษา ๔.๒.๔ ขอ้ มูลอ่นื ๆ ท่จี ำเป็น ๔.๒.๕ การกำหนดแนวทางการศกึ ษาและการวางแผนการจัดการศึกษาพเิ ศษ ๔.๒.๖ ความตอ้ งการด้านสิ่งอานวยความสะดวก เทคโนโลยสี ่ิงอานวยความ สะดวกสอื่ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ๔.๒.๗ คณะกรรมการจัดทำแผน ๔.๒.๘ ความเห็นของบิดา มารดา ผปู้ กครอง หรือผู้เรียน 5. จดั ทาแผนการจัดกจิ กรรมศลิ ปะ ๖.๑ ศกึ ษามาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และสภาพท่พี ึงประสงค์ ตามชว่ งอายุของเด็ก เพ่ือนำม จดั ทำแผนการจดั กจิ กรรมศลิ ปะ 5.๒ จัดทำแผนการจัดกิจกรรมศิลปะอย่างหลากหลาย ครอบคลุมสภาพที่พึงประสงค์ ซ่ึง เปลย่ี นเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ครบทุกสภาพที่พงึ ประสงคใ์ นช่วงอายจุ ริงหรืออายพุ ฒั นาการ 6. จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 6.๑จัดกจิ กรรมตามแผนการจดั กิจกรรมศิลปะโดยใชกจิ กรรมหลัก 4 กจิ กรรม ไดแ้ ก่ จติ รกรรม ประติมากรรม ภาพพมิ พ์ ประยุกต์ศิลป์ ในการพฒั นาเด็ก 6.๒ในการจัดกิจกรรมใหค้ ำนึงถงึ แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล ( IEP) ของเด็กแตล่ ะ คน เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการจาเป็นตามทีว่ างแผนไว 6.๓ ในบางทักษะที่จำเป็นเฉพาะความพิการหรือบางทักษะที่เป็นปัญหาของเด็ก อาจต้อง จัดการ เรียนการสอนเป็นรายบคุ คล 7. ประเมนิ พัฒนาการ 7.๑ ประเมินตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) ซึง่ มี ๕ ระดับ เปน็ ระบบตัวเลข คอื ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ หรือ เป็นระบบที่ใช้คำสำคัญ เช่น ดีเยี่ยม, ดีมาก, ดี, พอใช, ควรส่งเสริมหรือตามที่ สถานศึกษากำหนด อย่างน้อยภาคเรยี นละ ๑ ครง้ั

คู่มอื ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๖ 7.๒ ประเมินตามแผนการจัดกจิ กรรมศิลปะโดยมีเกณฑ์เปน็ ๒ ระดบั เป็นระบบท่ใี ชค้ ำสำคัญ ได้แก่ ทำได้ ทำไมไ่ ด้ ตามที่สถานศึกษากำหนดอย่างนอ้ ยภาคเรยี นละ ๒ ครัง้ 7.๓ ประเมินอายพุ ฒั นาการเมื่อสิน้ ปกี ารศึกษาเพ่ือเปรยี บเทียบกับต้นปีการศกึ ษา 8. สรปุ และรายงานผล 8.๑ สรปุ ผลการประเมนิ เปา้ หมายระยะสน้ั และระยะยาวในแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และรายงานผบู้ รหิ าร และผ้ปู กครอง 8.๒ สรุปผลการประเมินพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ตามมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พงประสงค์ ในชว่ งอายขุ องเดก็ ทุกมาตรฐานและรายงานผูบ้ รหิ าร และผูป้ กครอง 8.๓ สรุปผลการประเมินอายุพัฒนาการเด็ก และรายงานผู้บริหาร และผู้ปกครองการสร้างรอย เชอื่ มตอ่ ระหว่างการศกึ ษาระดับปฐมวัยกบั ระดับประถมศกึ ษาปที ี่ ๑ การสรา้ งรอยเชอื่ มต่อระหวา่ งการศกึ ษา ระดับปฐมวัยกับระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน เฉพาะความพิการ หรือโรงเรียนจัดการเรียนรวม หรือ ศูนย์การศึกษาพิเศษในระดับที่สูงขึ้นมี ความสาคัญอย่างยิ่ง ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในการ ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี สามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างราบรื่น การเชื่อมต่อของ การศกึ ษาระดับปฐมวยกับระดับ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ หรอื ระดับทสี่ งู ขึ้น จะประสบผลสำเร็จได้ บุคลากรทุก ฝ่ายท่เี กีย่ วข้องตอ้ ง ดำเนนิ การดังตอ่ ไปน้ี เคร่อื งมือแบบประเมินผลการเรยี นรู้กจิ กรรมศลิ ปะบำบดั เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 5 หมายถึง ทำได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอย่างผูอ้ ื่นได้ 4 หมายถงึ ทำไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถงึ ทำไดโ้ ดยมีการช่วยเหลือ ชีแ้ นะจากผู้อื่นบา้ งเลก็ น้อย 2 หมายถึง ทำได้โดยมีการช่วยเหลอื ช้ีแนะ จากผู้อน่ื 1 หมายถึง ทำได้โดยมีผอู้ ืน่ พาทำ เกณฑ์การผา่ น คือ ผูเ้ รียนทำไดร้ ะดบั 4 หรือ 5

คมู่ ือศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๗ บคุ ลากรฝ่ายศิลปะบำบัด ปกี ารศกึ ษา 2564

คูม่ อื ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๘ แนวทางการกระบวนการศึกษาฝา่ ยศิลปะบำบัด

คู่มอื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๙

คู่มือศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๔๐ การให้บรกิ ารช่วยเหลอื ระยะแรกเริม่ EI และเตรียมความพร้อม ฝ่ายศลิ ปะบำบัด ปีการศึกษา 2562-2563

คู่มอื ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๔๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook