Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ หลักสูตรระยะสั้น ศิลปะบำบัดการใช้ลมเพื่อการพูด ปีการศึกษา 2564

แผนการจัดการเรียนรู้ หลักสูตรระยะสั้น ศิลปะบำบัดการใช้ลมเพื่อการพูด ปีการศึกษา 2564

Published by Anurat Onsong, 2021-08-08 03:35:47

Description: ฝ่ายศิลปะบำบัด ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จังหวัดนครปฐม

Search

Read the Text Version

á¼¹¡Òè´Ñ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ARTTherapy Using thewindfor speaking ÈÅԻкӺ´Ñ ¡»ÃÒÐèãÓª»ÅŒ‚¡ÁÒÃà¾ÈÖ¡×ÍèÉ¡ÒÒòÃõ¾öÙ´ô â´Â¹ÒÂÍ¹ÃØµÑÍŒ¹Ê§¤ ฝ���าย���ศลิปะบำบัด ศูนยการศกึษาพิเศษเขตการศึกษา๑จังหวัดนครปฐม สำนักบริหารงานการศึกษาพเิศษ สงักัดคณะกรรมการการศึกษาขน้ัพืน้ฐาน กระทรวงศึกษาธกิาร

คำนำ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ฝ่ำยศิลปะบำบัดฉบับน้ี ดำเนินงำนตำมแผนปฏิบัติกำร ปีกำรศึกษำ ๒๕64 ของกลุม่ บริหำรวชิ ำกำร ศูนย์กำรศึกษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ ๑ จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นกิจกรรมศิลปะบำบัด เพื่อกำรใช้ลมในกำรพูดได้จัดเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีกำรพัฒนำศักยภำพทำงด้ำนกำรส่ือสำรและภำษำ จัด กิจกรรมนนั ทนำกำรพัฒนำกำรใช้กำรลมในกำรฝึกพูด รวมถงึ ทักษะอนื่ ๆ ท่ีเด็กท่ีมีควำมจำเป็นพิเศษได้รับเช่น ทักษะสังคม กล้ำมเน้ือมัดเล็ก มือ สำยตำ และปำก กิจกรรมนี้มีกำรดำเนินงำนระยะสั้น ซึ่งควำมสอดคล้อง กับวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้ำประสงค์ของศูนย์กำรศึกษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ ๑ จังหวัดนครปฐม และตำม หลกั สูตรปฐมวันสำหรบั เด็กที่มคี วำมจำเป็นพิเศษ ซง่ึ เปน็ หลกั สูตรสถำนศึกษำ/ ในกำรน้ี ขอขอบพระคุณผู้อำนวยกำรศูนย์กำรศึกษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ ๑ จังหวัดนครปฐม ที่ ให้คำปรึกษำ แนะนำ และบุคลำกรทุกท่ำนที่ให้ควำมร่วมมือในกำรดำเนิน ฝ่ำยศิลปะบำบัดเพื่อกำรใช้ลมใน กำรพดู ดำเนนิ กำรจดั กำรเรียนกำรสอนใหม้ ปี ระสิทธภิ ำพต่อไป ฝ่ำยศิลปะบำบัด

สารบัญ หนา้ คานา ก สารบญั ข ศลิ ปะบาบัด (Art Therapy) สาหรับเด็กที่มีความจาเปน็ พเิ ศษ 1 ของศูนย์การศกึ ษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จงั หวัดนครปฐม กาหนดตารางการสอนและระยะเวลา ศิลปะบาบัด เพอื่ การฝึกการใช้ลมพฒั นาทกั ษะ 18 ด้านการสื่อสารและภาษา ปีการศกึ ษา 2564 ตารางวิคราะหเ์ นือ้ หาแผนการสอน ศิลปะบาบัด เพ่อื การฝึกการใชล้ มพัฒนาทกั ษะ 18 ดา้ นการสอ่ื สารและภาษาปีการศึกษา 2564 ตารางจดั การเรยี นการสอน แผนการสอน ศิลปะบาบดั เพือ่ การฝึกการใชล้ มพัฒนาทักษะ 19 ดา้ นการสื่อสารและภาษาปีการศกึ ษา 2564 20 แผนการจัดการเรยี นรู้หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 ภาพพมิ พ์ 20 แผนการสอน 1. การเป่าสีดว้ ยหลอด 22 แผนการสอน 2. สร้างเส้นผมให้หนหู๋ น่อย 24 แผนการสอน 3. ปลูกตน้ ไม้แสนสวย 26 แผนการสอน 4. โควิด-19 ตัวเจา้ ปญั หา 28 28 แผนการจัดการเรยี นรู้หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 2 ศลิ ปะประยุกต์ 30 แผนการสอน 5. ท่เี ป่าสุดมหศั จรรย์ 32 แผนการสอน 6. ลน้ิ มหศั จรรย์ 34 แผนการสอน 7. หนอนนอ้ ย กระดึบ กระดึบ 36 แผนการสอน 8. สตั ว์ตวั นอ้ ยมหศั จรรย์พ่นลม 38 แผนการสอน 9. จานบินหมนุ หมนุ แผนการสอน 10. พระอาทติ ยห์ มุน หมุน

ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑ ศลิ ปะบำบดั (Art Therapy) สำหรับเด็กที่มีควำมจำเป็นพเิ ศษของ ศูนยก์ ำรศกึ ษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ 1 จังหวดั นครปฐม พัฒนำกำรทำงศลิ ปะ (Art Development Stages) วกิ เตอร์ โลเวนเฟลด์ แบง่ ขั้นพฒั นาการทางศลิ ปะ มีทั้งหมด 6 ขน้ั คือ 1. ข้ันขีดเขย่ี (The Scribbling Stage) 2. ขน้ั กอ่ นมรี ูปแบบ (The Preschematic Stage) 3. ขัน้ มีรูปแบบ (The Schematic Stage) 4. ข้นั เขา้ กล่มุ เพื่อน (The Gang Age) 5. ขน้ั คล้ายธรรมชาติ (The Pseudo-Naturalistic Stage) 6. ขั้นศลิ ปะวัยรุน่ (Adolescent Art) วกิ เตอร์ โลเวนเฟลด์ อธบิ ายขนั้ พฒั นาการทางศลิ ปะ โดยคณุ ลักษณะ 3 ด้านคอื 1. ลักษณะการวาดภาพ (Drawing Characteristics) 2. การแสดงพื้นที่ (Space Representation) 3. การแสดงภาพคน (Human Figure Representation) พัฒนำกำรทำงศิลปะของเด็ก ศลิ ปะจัดเป็นภาษาของมนษุ ยใ์ นอกี ลักษณะหนง่ึ ด้วยเหตุที่ศิลปะสามารถเป็นส่ือโยงความคิดความ เขา้ ใจต่อกันของมวลมนษุ ยไ์ ด้ศิลปะเป็นสว่ นหนง่ึ ของการแสดงออกทางภาษา การแสดงออกทางศิลปะมักจะ แตกตา่ งกันออกไป ตามแนวจินตนาการและการสร้างสรรคข์ องแต่ละบุคคล นักจิตวิทยาส่วนมากเช่ือกันว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวและประจาตัวเชื่อกันว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณสมบัติ เฉพาะตวั และประจาตวั สาหรบั เดก็ ซ่ึงจะพัฒนาการไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ข้ึนอยู่กับสิ่งแวดล้อมและโอกาสที่ผู้เกี่ยวข้องกับเด็กจะ จัดสรรส่งเสริมให้ความคิดสร้างสรรค์น้ีจะส่งผลสะท้อนถึงเด็กในหลายๆ ด้าน เช่น ระดับความเชื่อม่ันใน ตนเองการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและสติปัญญา การแสดงออกเหล่าน้ีเราพอจะมองเห็นได้จากการวาด ภาพระบายสี การป้ัน เป็นต้น วิคเตอร์โลเวนเฟลด์ (Victor Lowenfeld) นักจิตวิทยาการศึกษาได้ ทาการศึกษาค้นคว้างานทางด้านศิลปะของเด็ก และการคิดสร้างสรรค์จากงานทางศิลปะ โดยให้เด็ก แสดงออกทุกอยา่ งอย่างอสิ ระเขาทดลองกบั เดก็ ทีม่ ฐี านะทางเศรษฐกจิ ปานกลาง อายุต้ังแต่ 2 ปีคร่ึงขึ้นไป ให้เดก็ วาดภาพด้วยสเี ทียน จะสอี ะไรกไ็ ด้ พบวา่ เด็กมพี ฒั นาการในการวาดขีดเข่ียเปน็ 4 ขั้น ไดแ้ ก่ 1. ข้ันขีดเขี่ย (Scribbling Stage) ประมำณอำยุระหว่ำง 2-4 ปี ข้ันน้ีแบ่งระยะของพัฒนาการ ได้ ออกเปน็ 4 ขัน้ คอื 1.1. Disordered Scribbling (2 ปี) การขีดเขียนยังเป็นแบบสะเปะสะปะ กล่าวคือ การขดี เขียนจะเปน็ เส้นย่งุ เหยิง โดยปราศจากความหมาย ทั้งนี้เน่ืองมาจากการประสานงานของกล้ามเน้ือ ยงั ไมด่ ี เช่น การบงั คับกล้ามเน้ือเล็กๆ ยังไม่ได้ จะทดลองง่ายๆ โดยให้เด็กวัยน้ีกามือ แล้วให้เด็กยกน้ิวที่ ละนิ้ว หรอื สองน้ิวกไ็ ด้ เด็กจะทาไม่ได้ หรือลองให้เดก็ ชกเรา เดก็ จะยกแขนชกพร้อมๆ กนั ทัง้ 2 แขน เป็น ต้น

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒ 1.2. Longitudinal Scribbling ข้ันขีดเป็นเส้นยาว เด็กจะเคลื่อนแขนขีดได้เป็นเส้นแนว ยาว ขีดเขี่ยซ้าๆ หลายครั้ง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แสดงให้เห็นพัฒนาการทางกล้ามเน้ือว่าเด็กค่อยๆ ควบคุมกลา้ มเนอื้ ของการเคล่อื นไหวของตนเองใหด้ ีขนึ้ ระยะน้เี ด็กจะเร่มิ รู้สึกสนุกและสนใจเปน็ ครง้ั แรก 1.3. Circular Scribbling เป็นขั้นที่เด็กสามารถขีดลากเป็นวงกลม ระยะนี้การ ประสานงานของกล้ามเน้ือ (motor Coordination) ดีขึ้นการประสานงานของกล้ามเน้ือมือและสายตา (Eye-hand Coordination) ดีข้ึนเด็กสามารถขีดเส้น ซึ่งมีเค้าเป็นวงกลมเป็นวงกลมเป็นระยะเด็ก เคลือ่ นไหวไดต้ ลอดทัง้ แขน 1.4. Noming Scribbling ข้ันให้ช่ือรอยขีดเขียน การขีดเขียนชักมีความหมายข้ึน เช่น จะวาดเป็นรูป น้อง พี่ พ่อ แม่ ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีอยู่ใกล้ตัวเด็ก ขณะขีดเขียนไปเด็กก็จะบรรยายไปด้วย ถา่ ยทอดออกมาในรูปการขดี เขยี นและความคดิ คานงึ ในภาพ พัฒนาการทัง้ 4 ระยะนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับเด็ก แต่ละบุคคลไปคงตัวเสมอไป เด็กที่มีพัฒนาการข้ึนเร็วจะถึงขั้น Noming Scribbling ก่อนซึ่งนับเป็นขั้น พฒั นาการที่สาคัญมาก จากการใช้ความคิดนึกคิดในการเคล่ือนไหวของเด็ก ท้ังๆท่ีภาพน้ันจะไม่เป็นรูปร่าง ดงั กลา่ วเลย ซงึ่ เดก็ จะบรรลถุ ึงขน้ั น้เี ม่อื ใกล้ 4 ขวบ 2. ขนั้ เรมิ่ ขดี เขยี น (Pre-Schematic Stage) (4-7 ป)ี เป็นระยะเริ่มต้นการขีดเขียนภาพอย่างมีความหมาย การขีดเขียนจะปรากฏเป็นรูปร่างขึ้น สัมพันธก์ ับความจรงิ ของโลกภายนอกมากข้ึน มคี วามหมายกับเดก็ มากข้นึ ซึ่งจะสังเกตได้จาก 2.1. คนทวี่ าดอาจเปน็ พอ่ แม่ พี่ น้อง ตุก๊ ตาทรี่ กั ฯลฯ 2.2. ชอบใช้สีท่สี ะดดุ ตาไมค่ านงึ ถงึ ความเป็นจริงตามธรรมชาติการแลว้ แตส่ ไี หนประทับใจ 2.3. ช่องไฟ (Space) ภายในภาพยังไม่เปน็ ระเบยี บสิ่งท่ีเขยี นมกั กระจดั กระจาย ง.การออกแบบ (Design) ไมค่ ่อยมีหรือไมม่ เี อาเลย แล้วแต่จะนกึ คดิ 3. ข้ันขีดเขียน (Schematic Stage) (7-9 ปี) เป็นขั้นที่ขีดเขียนให้คล้ำยของจริง และควำมเป็น จริงจะพิจำรณำไดต้ ำมลำดบั ดงั น้ี 3.1. คน รูปที่ออกมาจะแสดงพอเป็นสัญลักษณ์ ถ้าวาดรูปคนเราอาจไม่รู้ว่าเป็นคนรูป คน และภาพท่ีออกมาเปน็ รูปทรงเรขาคณิต เช่น ส่วนใดที่เด็กเห็นว่าสาคัญ น่าสนใจก็จะวาดส่วนใหญ่เป็น พิเศษ ส่วนไหนทไ่ี มส่ าคญั อาจตัดทิ้งไปเลย ฉะน้ันเราจะเห็นเด็กวัยนี้วาดภาพส่วนต่างๆ ขาดหายไป เช่น ลาตัว ขา เทา้ ฯลฯ ซึง่ ไมใ่ ช่เรือ่ งประหลาดอะไรเลย บางทีอาจเป็นเด็กหัวโต ตาโต แขนโต ฯลฯ แล้วแต่เด็ก จะใหค้ วามสาคัญอะไรและบางทใี่ นรูปหน่งึ จะย้าหลายๆ อย่าง(ซ้ากัน) ในภาพ 3.2. การใชส้ ี สว่ นมากใช้สีตรงกบั ความจริง แตม่ ักใช้สีเดียวตลอด เชน่ พระอาทิตย์ต้อง สีแดงตลอด ท้องฟ้าต้องสฟี ้าตลอด ประสบการณ์ของเดก็ จะทาให้ใช้สีได้ถูกต้อง และตรงกับความเป็นจริง ข้นึ ถา้ ใบไมส้ ดตอ้ งสีเขียว ถ้าใบไม้แหง้ ต้องสนี ้าตาล เป็นต้น 3.3. ช่องวาง (Space) มีการใช้เส้นฐาน (based line) แล้วเขียนทุกอย่างสัมพันธ์กัน บนเส้นฐาน เช่น วาดรูป คน สุนัข ต้นไม้ บ้าน อยู่บนเส้นเดียวกัน ภาพที่ออกมาจะเป็นแบบลาดับ เหตุการณ์ ส่วนสูง ขนาด ยังไม่มีความสัมพันธ์กัน เช่น ดวงอาทิตย์ อยู่บนขอบของกระดาษ รูปคนก็ อาจสงู ถงึ ใกล้ขอบกระดาษ เป็นตน้ 3.4. งานออกแบบ ไมค่ อ่ ยดี มักจะเขียนตามลักษณะทต่ี นพอใจ

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓ 4. ข้ันวำดภำพของจริง (The Drawing Realism) (9-11 ปี) เป็นขั้นเริ่มต้นการขีดเขียนอย่างของจริงเน่ืองจากระยะน้ีตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ เด็ก เรม่ิ รวมกลุ่มกนั โดยแยกชาย หญิง เด็กผู้ชาย ชอบผาดโผน เดินทางไกล เด็กผู้หญิงสนใจเคร่ืองแต่งตัว เพอื่ แต่งตวั งานร่ืนเรงิ ฉะน้ันการขีดเขยี นจะแสดงออกในทานองต่อไปน้ีคือ 4.1. คน จะเน้นเร่อื งเพศด้วยเครือ่ งแตง่ ตัว แต่กระด้าง ๆ 4.2. สี ใช้ตามความเป็นจริง แต่อาจเพ่ิมความรู้สึก เช่น บ้านคนจนอาจใช้สีมัว ๆ บา้ นคนรวยอาจใชส้ ีสดๆ มีชวี ติ ชวี า 4.3. ช่องว่าง ทกุ อย่างในช่องวา่ งเหลื่อมล้ากนั ได้ เช่น ต้นไมบ้ งั ฟ้าได้ วาดฟ้าคลุมไปถึง ดินเส้นระดับ (Based Line) ค่อยๆ หายไป รูปผู้หญิงมักเน้นลวดลาย เคร่ืองแต่งกายมีดอกดวง รูปผู้ชายก็ ต้องเป็นรูปคาวบอย การจัดวัตถุให้สัมพันธ์กันเป็นเรื่องสาคัญมากในระยะนี้ เพราะเป็นระยะแรกของการ พัฒนาการทางการรบั ร้ทู างสายตา ซ่งึ จะนาไปสกู่ ารวาดภาพสามมติ ไิ ดอ้ ีกตอ่ หน่งึ 4.4. การออกแบบ ประสบการณ์ของเด็กจะทาให้การออกแบบดีขึ้น เป็นธรรมชาติขึ้น รจู้ ักการวางหนา้ ทข่ี องวัตถตุ ่างๆ 5.ขัน้ กำรใชเ้ หตผุ ล (The Stage of Reasoning) (11-12 ปี) ขนั้ กำรใชเ้ หตุผล ระยะเขา้ สู่วัยรุ่น เป็นระยะท่ีเด็กแสดงออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว เช่น เอาบรรทัด ดินสอมาร่อน แล้วทาเสียงอย่างเครื่องบินเป็นต้น เด็กจะทาอย่างเป็นอิสระ และสนุกสนาน ถ้าผู้ใหญ่ทาก็เท่ากับไม่เต็ม บาท ถ้าพิจารณาจากขน้ั น้จี ะสงั เกตวา่ 5.1. การวาดคน จะเห็นข้อต่อของคน ซึ่งเป็นระยะเด็กเร่ิมค้นพบ เสื้อผ้าก็มีรอยพล้ิวไหว มีรอยย่น รอยยับ คนแก่-เด็ก ต่างกันด้านสัดส่วนก็ใกล้ความจริงข้ึนมีรายละเอียดมากขึ้นแต่รายละเอียดที่ จาเป็นเทา่ นน้ั เนน้ ส่วนสาคัญทีเ่ กินความจริง ชอบวาดตนเองแสดงความรู้สึกทางร่างกายมากกว่าคุณลักษณะ ภายนอก 5.2. สี แบ่งเป็น 2 พวก พวกแรกจะใช้สีตามความเป็นจริง (Visually Minded)ส่วนอีก พวก (Non visually minded) มกั ใช้สีตามอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ตนเอง เชน่ ตอนเศร้าตอนมีความสุข มัก แสดงออกโดยเน้นความสัมพันธท์ างอารมณ์กับโลกภายนอก นบั เปน็ งานแสดงออกซึ่งการสร้างสรรค์งานทาง ศิลปะ 5.3. ชอ่ งว่าง พวก Visually Minded รจู้ กั เส้นระดับ รูปเริม่ มี 3 มติ โิ ดยการจัดขนาดวัตถุ เลก็ ลงตามลาดบั ระยะใกล้ไกล ส่วนพวก Non Visually Minded ไม่ค่อยใช้รูป 3 มิติชอบวาดภาพคน และมกั เขยี นโดยใชต้ นเองเป็นผูแ้ สดง สิ่งแวดลอ้ มจะเขยี นเมอื่ จาเป็นหรือเหน็ ว่าสาคญั เท่านน้ั 5.4. การออกแบบ พวก Visually Minded ชอบออกแบบทางสวยงาม พวก Non Visually Minded มองทางประโยชน์ อารมณ์แตท่ ้ังน้ีเปน็ เพยี งการเริ่มตน้ เทา่ นัน้ ยังไมเ่ ขา้ ใจการออกแบบอยา่ งจรงิ จงั

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๔ กำรจัดกำรศกึ ษำ “ศลิ ปะ” ตำมหลักศตุ รปฐมวัยสำหรบั เดก็ ท่ีมีควำมจำเป็นพิเศษของ ศนู ย์กำรศึกษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ 1 จังหวดั นครปฐม ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ๑ จังหวัดนครปฐม เป็นศูนย์ฟ้ืนฟูและเตรียมความพร้อม ศักยภาพเด็กพกิ ารเดก็ พกิ ารทุกประเภทความพกิ าร โดยไดจ้ ัดกจิ กรรมทกั ษะต่าง ๆ ที่จัดให้เด็กพิการท่ีมารับ บริการ เพอื่ พฒั นา ๔ ด้าน ได้แก่ ๑. พฒั นาดา้ นรา่ งกาย แบง่ ออกเปน็ ๒ ส่วน การใช้กล้ามเน้อื ใหญแ่ ละการใช้กลา้ มเน้ือเลก็ ๒. พฒั นาการทางด้านอารมณแ์ ละจติ ใจ ๓. พฒั นาการดา้ นการช่วยเหลือตนเองและสงั คม ๔. พฒั นาการด้านสติปญั ญา การจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็กปฐมวัยในแต่ละวัน นับว่ามีความสาคัญอย่างย่ิงสาหรับเด็กปฐมวัย นอกจากจะได้พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือเล็กและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตาแล้ว กิจกรรมศิลปะยังสอดคล้องกับแบบแผนการเรียนรู้ของสมอง หรือท่ีเรียกว่า Brain Base Learning (BBL) อกี ดว้ ย เด็กจะได้ฝึกปฏิบัติจริง มีประสบการณ์ตรง เรียนรู้ผ่านการสังเกตและฝึกกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพอ่ื พฒั นาจุดเช่อื มตอ่ ของใยประสาท ภายใต้สภาพแวดลอ้ มที่ผอ่ นคลาย มีอสิ ระทางความคิด กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ เป็นกจิ กรรมที่สามารถพัฒนากล้ามเน้ือเล็กได้เป็นอย่างดี และยังเชื่อมโยงพัฒนาการของอวัยวะ หลายส่วน ทาให้เกิดจุดเช่ือมต่อของใยประสาทที่สามารถพัฒนาไปสู่แบบแผนการเรียนรู้ของสมอง ในการ จัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ครูควรส่งเสริมจัดกิจกรรมให้เด็กมีประสบการณ์ตรงและฝึกปฏิบัติอย่าง หลากหลาย การสอนศิลปะสร้างสรรคส์ าหรบั เด็กปฐมวยั ทางศนู ย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ๑ จังหวัด นครปฐมได้จัดการเรียนการสอน ๔ หน่วยการเรียนหลักตามหลักสูตรปฐมวัยของสถานศึกษา ได้แก่ หน่วยการเรยี นท่ี ๑ จติ รกรรม หน่วยการเรยี นท่ี ๒ ประติมากรรม หนว่ ยการเรยี นที่ ๓ ภาพพมิ พ์ หนว่ ยการเรยี นที่ ๔ ศิลปะประยกุ ต์ ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว ครูสามารถส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่เพิ่มจุดเช่ือมต่อของใย ประสาท โดยส่งเสริมให้เด็กสังเกตรายละเอียดของส่ิงต่าง ๆ พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับ สายตา การพัฒนาระบบกายสัมผัสโดยให้เด็กมีโอกาสสัมผัสรับรู้วัสดุที่มีผิวสัมผัสต่างกันในระหว่างทา กิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ผ้ากระสอบ ผ้าสักหลาด กามะหย่ี กระดาษทราย กระดาษที่มีผิวสัมผัส ต่างกนั ฯลฯ ระหวา่ งทากจิ กรรมศิลปะ ครูต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น แสงสว่างพอเหมาะ มี เสยี งดนตรีเบา ๆ บรรยากาศผ่อนคลาย ทาให้เกิดการเช่ือมโยงสมองส่วนประสาทสัมผัสกับสมองส่วนท่ีคุม กล้ามเนือ้ พรอ้ ม ๆ กนั การเชอื่ มโยงสมองซกี ซ้ายเข้ากบั ซีกขวาที่เป็นดา้ นจนิ ตนาการ ดังนั้น งานศิลปะจึงไม่ ควรเป็นการลอกเลียนแบบหรือต้องทาให้เหมือนจริง รวมทั้งไม่เน้นความถูกต้องของสัดส่วน แต่ส่งเสริม พัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และความคิดสร้างสรรค์ ทาให้เด็กสนุกสนาน ซึมซับความงามของส่ิงต่าง ๆ รอบตัว มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในผลงานของตน ควบคู่กับความสามารถถ่ายทอดการรับรู้ภายในด้านมิติ รูปทรง ขนาด ระยะ ฯลฯ ตามจนิ ตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์เด็ก

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๕ ศิลปะสรา้ งสรรคก์ บั เด็กปฐมวัย เด็กในช่วงวัยน้โี ครงสรา้ งสมองซีกขวาซึง่ เกี่ยวกับศลิ ปะ จินตนาการ ความคิดสรา้ งสรรค์ดมี าก ถา้ ส่งเสริมอย่างถูกทิศถูกทางและทาให้เกิดพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แต่เม่ือไหร่ที่ เราไปขัดขวางพัฒนาการ บีบบังคับ สร้างความเป็นระบบแบบแผนมากเกินไป ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขัดขวาง จนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรคข์ องเดก็ การศึกษาไทยยังไม่มีความเข้าใจในการพัฒนาเด็กให้มีความคิดสร้างสรรค์ จะเห็นว่าทุกวันน้ีเรา พยายามสร้างกระบวนการคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กไทยมากขึ้น หากแต่บางคร้ังก็ยังไม่มีความเข้าใจมากพอ เดก็ แตล่ ะวัยมคี วามแตกตา่ งกันในการจัดกิจกรรมเพ่ือสร้างกระบวนการคิดสร้างสรรค์จึงต้องต่างกันไป เด็ก ในระดบั ชัน้ ปฐมวยั จงึ จาตอ้ งสร้างกระบวนการเรียนรู้ เราจะเนน้ ใหเ้ ด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เมื่อ เขาสนุกและเพลิดเพลิน แล้วจะทาให้เขาสามารถคิดอะไรได้แปลกใหม่อย่างมีอิสระ และเสรีภาพ คนท่ีจะ สร้างกระบวนการเรียนรูใ้ หเ้ ด็กตอ้ งเขา้ ใจ มิฉะน้ันจะไม่สามารถสร้างสถานการณ์ของการเรียนการสอนได้ใน การพัฒนาเสรภี าพการเขยี นการคิดได้อย่างแทจ้ ริง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยโดยผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิด จนิ ตนาการไดเ้ ตม็ ทตี่ าม ที่ไดเ้ หน็ เด็กสามารถสร้างจนิ ตนาการได้กว้างกว่าที่เราจะคาดเดาได้ บางทีก็อาจจะ สะทอ้ นจติ ใจความรสู้ กึ ของเดก็ ทบ่ี างท่ไี มส่ ามารถถา่ ยทอดเป็นคาพูดได้แต่สามารถถ่ายทอดมาทางงานศิลปะ สร้างสรรค์ได้ วิชาศิลปะสร้างสรรค์เป็นฐานทางการศึกษาพัฒนาการเด็กซึ่งควรเริ่มต้ังแต่เด็กยังเล็กอยู่การ เรียนร้ศู ิลปะสรา้ งสรรค์สาหรบั เดก็ ปฐมวัยนนั้ จะมุ่งเนน้ ถึงพัฒนาการดา้ นต่างๆของเด็กมากกว่าผลงาน ดังน้ัน จะเหน็ ว่ากิจกรรมตา่ งๆ ทางศลิ ปะสรา้ งสรรคจ์ ะเปน็ การฝึกกล้ามเน้ือมือให้แข็งแรง และสัมพันธ์กับการใช้ตา เช่นการป้ันแป้ง ดินน้ามัน วาดรูป และระบายสี เด็กได้ใช้ส่วนต่างๆของนิ้วมือ แขนไหล่ และส่วนอ่ืนๆของ ร่างกาย เปน็ การเตรยี มความพรอ้ มในด้านการใช้กล้ามเน้ือใหญ่-เล็กเป็นอย่างดี ทาให้เด็กสามารถหยิบจับส่ิง ตา่ งๆได้ อนั จะนาไปสูก่ ารเรียนร้ขู องเด็กต่อไป

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๖ ศิลปะกับควำมคดิ สร้ำงสรรค์ นกจติ วทิ ยาทางการศึกษาท่วั โลกเชอื่ กันว่าเด็กทุกคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และสามารถพัฒนาให้เจริญ งอกงามได้ตามระดับความสามารถของแต่ละบุคคล ถ้าหากเด็กน้ัน ๆ ได้รับการเสริมและสนับสนุนให้มีการ แสดงออกภายใต้ บรรยากาศที่มีเสรีภาพ สาหรับเด็กท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ในตัว สามารถพิจารณาจากพฤติกรรมได้หลาย ดา้ นดงั น้ี 1. การเปน็ ผูก้ ระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา 2. การเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ด้วย ความคดิ ของตนเอง 3. การเป็นผู้ชอบสารวจตรวจสอบ ความคดิ ใหม่ ๆ 4. การเป็นผู้เชื่อม่ันในความคิดของ ตวั เอง 5. การเป็นผสู้ อบสวนสง่ิ ต่าง ๆ 6. การเป็นผู้มีประสาทสัมผัสอันดีต่อ ความงาม จะเห็นได้ว่าการสร้างสรรค์ คือการเจริญงอกงามทั้งด้านความคิด ร่างกาย และ พฤติกรรม และศิลปะ สร้างสรรค์ คือ เครื่องมือท่ีดีและเหมาะสมท่ีสุดในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะ กระบวนการทาง ศิลปะสร้างสรรค์ไม่มีขอบเขตแห่งการส้ินสุด สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เด็กได้ตลอด เวลา นอกจากน้ียังช่วยให้เด็กเกิดความคิดท่ีต่อเนื่องอย่างไม่จบส้ิน และก้าวไปยังโลกแห่ง จินตนาการอย่างไม่มี ขอบเขต ๑ จิตรกรรม (การวาดรปู ระบายส)ี เปน็ อีกกจิ กรรมหนึ่งซึง่ ชว่ ยในการทางานประสานกันระหว่างมือ และตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พ้ืนผิว ขนาดที่จะต้องพบในชีวิตประจาวันของเขา ภาพท่ีจะเห็นต่อไปนี้ เป็นภาพ ท่ีวาดโดยเด็กปฐมวัยอายุ ๓-๔ ขวบ เป็นภาพท่ีวาดตามความคิดและจินตนาการของเด็กเป็นอีก กจิ กรรมหนงึ่ ซ่ึงช่วยในการทางานประสานกันระหว่างมือและตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดท่ี จะต้องพบในชีวติ ประจาวันของเขา ๒ ประติมากรรม (การป้ัน) การปั้นดินน้ามันหรือ ดินเหนียว แป้งโด ฯลฯ มาปั้นเป็นรูปต่างๆตาม จนิ ตนาการของเด็กแต่ ละคนซงึ่ จะแตกตา่ งกันไปเปน็ การฝึกสมาธิ และพัฒนากล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ ของเด็ก เด็กจะได้เรยี นรู้ รปู ร่าง ตา่ ง ๆ ความหมาย เกดิ จากนาวตั ถทุ ม่ี คี วามยืดหยนุ่ มาสร้างรปู ทรงใหเ้ กิดการสร้างสรรค์ ได้จากธรรมชาติและมนุษย์ สรา้ งขน้ึ เช่น ดินเหนียว ดินนา้ มัน แปง้ โด ดินกระดาษ ฯลฯ นาวัตถุดิบเหล่านี้ผ่านกระบวนการปั้น นวด ขูด แกะ เพม่ิ กด คลงึ ทาใหเ้ กดิ รูปทรงตามจินตนาการของผูเ้ รียนอยา่ งสร้างสรรค์ ๓. การพิมพ์ การพิมพ์ภาพเปน็ การสรา้ งภาพหรอื ลวดลายทเี่ กิดจากการนาวัสดุหลายๆประเภท เช่น ใบไม้ กง่ิ ไม้ ก้านกล้วย หรืออวัยวะของร่างกาย เช่น มอื เทา้ มาใช้เป็นแม่พิมพ์กดทับลงบนสีแล้วนาไป พิมพ์ บนกกระดาษหรือผา้ ก็ได้ การขูด การใชด้ นิ สอสีไมใ้ นการขูดลงกระดาษบนพน้ื ผิวท่ีแตกต่างกัน ทาให้เกิดลาย ที่หลากหลายให้ผ้เู รียนสนกุ กบั การคน้ หาลวดลาย การเป่าสี คือการนาสนี ้าหรือสีโปสเตอร์ ผสมกับน้าให้สีข้น

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๗ พอสมควร โดยการหยดสีลงบนกระดาษ ใช้หลอดกาแฟจ่อปลายหลอดท่ีสี แล้วเป่าให้สีกระจาย จะได้ภาพ สวยงามหลายหลากสี การกดพิมพ์ ด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น ก้านกล้วย ใบไม้ ลูกยาง นามาจุสีน้าหรือ โปสเตอร์ กดลงบนกระดาษทาใหเ้ กดิ ลาย สร้างเรื่องราวอย่างสร้างสรรค์ ๔. ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) ศิลปะท่ีสร้างข้ึนเพื่อสนองความต้องการด้านความสะดวกสบาย ทั้งทางกายและทางจิตใจของคนเรา ศิลปะประยุกต์จึงมีคุณค่าทางประโยชน์ใช้สอยต่อชีวิตประจาวันเป็น สาคญั เช่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า เคร่ืองใช้ เป็นต้น ลักษณะของศิลปะประยุกต์มีหลายแขนง เช่น พาณิชย ศิลป์ หตั ถกรรม มัณฑนศิลป์ สอื่ ผสม เปน็ ตน้ การประดิษฐ์เศษวัสดุ เป็นการช่วยส่งเสริมให้เด็กเห็นคุณค่าการประยุกต์ให้เศษวัสดุใกล้ตัว ช่วย รักษาสงิ่ แวดลอ้ ม เกิดความภาคภูมใิ จต่อผลงานของตนเอง สง่ เสริมใหเ้ ด็กเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทา มีส่วน ร่วมท้ังความคิด จิตใจ สมอง เกิดความประทับใจ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ จะทาให้เด็กค่อย ๆ เกิดความคิด สร้างจินตนาการ นาไปสกู่ ารคิดค้น การแก้ปัญหาและสรา้ งสรรค์งานใหม่ได้ การพบั กระดาษ เป็นกิจกรรมในการพัฒนาจิตใจและสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ทาให้ เด็กเกดิ ความสนใจ และรสู้ ึกสนกุ จึงทาซ้าแลว้ ซ้าอีก และเรียนรคู้ วามสัมพันธร์ ะหว่างความเคล่ือนไหวของมือ และการเปล่ยี นแปลงของรูปร่างจากกระดาษท่ีพับ การฉกี -ปะกระดาษ เปน็ กิจกรรม ที่ช่วยส่งเสริม การใช้ ทักษะมือและน้ิวมือ ท่ีเราเรียกว่ากล้ามเน้ือมัดเล็ก กล้ามเนื้อส่วนนี้จะทางานได้ดีต้องอาศัยการประสาน สมั พนั ธ์ระหว่างตากบั มือด้วย เทคนิคกำรเรยี นกำรสอนกับเดก็ ทม่ี คี วำมจำเปน็ พเิ ศษ “ศิลปะบำบัด” 1. เทคนิคกำรเรียนกำรสอนแบบกำรมอง (Visual) นักจิตวิทยาท่ีศึกษารูปแบบการเรียนรู้หรือลีลาการเรียนรู้ของมนุษย์ (Learning style) ได้พบว่า มนษุ ย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง คือ การรับรู้ทางสายตาโดยการมองเห็น (Visual percepters) การรับรู้ทางโสตประสาทโดยการได้ยิน (Auditory percepters) และ การรับรู้ทางร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวและการรู้สึก (Kinesthetic percepters) ซ่ึงสามารถนามาจัดเป็นลีลาการเรียนรู้ได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ผู้เรยี นแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกนั คอื 1.1 ) ผู้ที่เรียนรู้ทางสายตา (Visual learner) เป็นพวกที่เรียนรู้ได้ดีถ้าเรียนจากรูปภาพ แผนภมู ิ แผนผังหรือจากเน้อื หาทเ่ี ขยี นเปน็ เรื่องราวเวลาจะนึกถึงเหตกุ ารณใ์ ดก็จะนึกถึงภาพเหมือนกับเวลา ที่ดูภาพยนตร์คือมองเห็นเป็นภาพท่ีสามารถเคล่ือนไหวบนจอฉายหนังได้ เน่ืองจากระบบเก็บความจาได้ จัดเก็บส่ิงท่ีเรียนรู้ไว้เป็นภาพ ลักษณะของคาพูดท่ีคนกลุ่มนี้ชอบใช้ เช่น “ฉันเห็น” หรือ “ฉันเห็นเป็น ภาพ…..” พวก Visual learner จะเรียนได้ดีถ้าครูบรรยายเป็นเรื่องราว และทาข้อสอบได้ดีถ้าครูออก ข้อสอบในลักษณะท่ีผูกเป็นเรื่องราวนักเรียนคนใดที่เป็นนักอ่าน เวลาอ่านเน้ือหาในตาราเรียนท่ีผู้เขียน บรรยายในลักษณะของความรู้ ก็จะนาเร่ืองทอ่ี า่ นมาผกู โยงเป็นเร่ืองราวเพ่ือทาให้ตนสามารถจดจาเนื้อหาได้ ง่ายข้ึน เด็ก ๆ ที่เป็น Visual learner ถ้าได้เรียนเนื้อหาท่ีครูนามาเล่าเป็นเรื่อง ๆ จะน่ังเงียบ สนใจเรียน และสามารถเขียนผูกโยงเป็นเร่ืองราวได้ดี ผู้ที่เรียนได้ดีทางสายตาควรเลือกเรียนทางด้านสถาปัตยกรรม หรอื ด้านการออกแบบ และควรประกอบอาชีพมัณฑนากร วิศวกร หรือหมอผ่าตัด พวก Visual learner จะพบประมาณ 60-65 % ของประชากรท้งั หมด

ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๘ 1.2) ผู้ที่เรียนรู้ทางโสตประสาท (Auditory Learner) เป็นพวกท่ีเรียนรู้ได้ดีท่ีสุดถ้าได้ฟังหรือได้ พูด จะไม่สนใจรูปภาพ ไม่สร้างภาพ และไม่ผูกเรื่องราวในสมองเป็นภาพเหมือนพวกท่ีเรียนรู้ทางสายตา แต่ชอบฟังเรอื่ งราวซา้ ๆ และชอบเลา่ เรอื่ งใหค้ นอืน่ ฟัง คณุ ลักษณะพเิ ศษของคนกลมุ่ นี้ ไดแ้ ก่ การมีทักษะ ในการได้ยิน/ได้ฟังที่เหนือกว่าคนอ่ืน ดังนั้นจึงสามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดละออ และรู้จัก เลือกใชค้ าพดู ผู้เรียนทเ่ี ป็น Auditory learner จะจดจาความรู้ได้ดีถ้าครู พูดให้ฟัง หากครูถามให้ตอบ ก็จะสามารถตอบได้ทันที แต่ ถ้ าค รู ม อ บ หม ายใ ห้ไ ปอ่ าน ตา ร า ล่ ว ง หน้ าจ ะ จ า ไ ม่ไ ด้ จนกว่าจะไดย้ นิ ครอู ธิบายให้ฟงั เวลาทอ่ งหนังสือก็ต้องอ่าน ออกเสียงดังๆ ครูสามารถช่วยเหลือผู้เรียนกลุ่มน้ีได้โดย ใชว้ ิธีสอนแบบอภิปราย แต่ผทู้ เ่ี รยี นทางโสตประสาทก็อาจ ถูกรบกวนจากเสียงอ่ืน ๆ จนทาให้เกิดความวอกแวก เสีย สมาธิในการฟงั ไดง้ า่ ยเช่นกนั ในด้านการคิด มักจะคิดเป็นคาพูด และชอบพูดว่า “ฉัน ไดย้ นิ มาว่า……../ ฉันได้ฟังมาเหมอื นกบั ว่า……” พวก Auditory learner จะพบประมาณ 30-35 % ของ ประชากรท้ังหมด และมักพบในกลุ่มท่ีเรียนด้านดนตรี กฎหมายหรอื การเมอื ง สว่ นใหญจ่ ะประกอบอาชีพเป็นนัก ดนตรี พิธีกรทางวิทยุและโทรทัศน์ นักจัดรายการเพลง (disc jockey) นกั จิตวทิ ยา นักการเมือง เปน็ ต้น 1.3) ผู้ท่ีเรียนรู้ทางร่างกายและความรู้สึก (Kinesthetic learner) เป็นพวกท่ีเรียนโดยผ่านการ รับรู้ทางความรู้สึกการเคลื่อนไหวและร่างกาย จึงสามารถจดจาสิ่งท่ีเรียนรู้ได้ดีหากได้มีการสัมผัสและเกิด ความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งท่ีเรียน เวลานั่งในห้องเรียนจะนั่งแบบอยู่ไม่สุข นั่งไม่ติดที่ ไม่สนใจบทเรียน และไม่ สามารถทาใจให้จดจ่ออยู่กับบทเรียนเป็นเวลานาน ๆ ได้ คือให้นั่งเพ่งมองกระดานตลอดเวลาแบบพวก Visual learner ไมไ่ ด้ ครูสามารถสังเกตบุคลิกภาพของเด็กที่เป็น Kinesthetic learner ได้จากคาพูดท่ีว่า “ฉนั รสู้ ึกวา่ ……” 2. เทคนิคกำรเรียนกำรสอน แบบ BBL (Brain Based Learning) กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้องเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของ มนุษย์ โดยเช่ือว่าโอกาสทองของการเรียนรู้อยู่ระหว่างแรกเกิด – 10 ปี Regate และ Geoffrey Caine นักวจิ ัยเก่ียวกับการเรียนรู้โดยใชค้ วามรเู้ กี่ยวกับสมองเป็นหลัก ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนการ สอนทม่ี ีความสมั พนั ธ์กับสมองไว้ดังนี้ 1. สมองเป็นกระบวนการค่ขู นานสมองเปน็ อวยั วะท่มี ีความสาคญั ทสี่ ดุ ในร่างกายของคนเรา เพราะ การทมี่ นุษย์สามารถเรยี นรสู้ ิ่งตา่ ง ๆ ได้นน้ั จะตอ้ งอาศัยสมองและระบบประสาทเปน็ พน้ื ฐานของ การรบั รู้ รับความร้สู ึกจากประสาทสัมผัส ได้แก่ ตาทาให้เห็น หูทาให้ได้ยิน จมูกทาให้ได้กล่ิน ลิ้นทาให้ ไดร้ บั รส และผวิ กายทาใหเ้ กิดการสมั ผสั 2. สมองกับการเรียนรู้สมองไม่ได้มีหน้าท่ีเฉพาะรับรู้แต่เพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นอวัยวะท่ีสาคัญ ต่อการพัฒนาของอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย ซึ่งจะรวมถึงการคิด การเรียนรู้ การจา และพฤติกรรมของ

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๙ มนุษย์ มีความจาเปน็ อย่างยิ่งทคี่ รูผสู้ อนควรจะมีความรู้เร่ืองที่เก่ียวกับการทางานและการพัฒนาของสมอง เพ่ือจะได้วางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่กระตุ้นให้สมองคิดและทางานแบบท้าทาย ยั่วยุมาก ที่สุด ผู้เรียนไดค้ ิดและแสดงออกอยา่ งสร้างสรรค์ในทกุ ด้าน ซ่งึ จะทาใหผ้ เู้ รยี นได้พัฒนากระบวนการคิดและ เรยี นร้เู ต็มตามศกั ยภาพ เป็นรากฐานไปสูก่ ารเปน็ คนดี คนเก่งและมคี วามสขุ ในการดารงชีวิตและเม่ือเติบโต ขนึ้ จะได้เป็นเยาวชนพลเมอื งทด่ี ขี องสงั คมตอ่ ไป 3. การเรียนรูม้ ีมาแต่กาเนิด ในการเรียนรู้ของบุคคลเรานั้นจะเกิดขึ้นต้ังแต่เริ่มมีชีวิต และเป็นที่รู้ กันโดยทัว่ ไปวา่ การเรยี นรู้ที่ดที สี่ ุดนนั้ จะต้องลงมือปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเองหรอื เป็นการเรยี นร้โู ดยประสบการณต์ รง 4. รูปแบบการเรียนรู้ของบุคคล ผู้เรียนในห้องเรียนหน่ึง ๆ มักจะมีผู้ถนัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ ของตน ครจู ึงจาเปน็ ต้องจัดกจิ กรรมการเรียนรใู้ ห้เหมาะสมกับผู้เรียนทุกรูปแบบอย่างเสมอภาคกัน เพื่อให้ ผู้เรียนมีความสนุกสนานและเกิดความสุขในการเรียนรู้ตามรูปแบบท่ีตนถนัด รวมท้ังยังมีโอกาสพัฒนา ความสามารถด้านอน่ื ๆ ท่ีตนไมถ่ นัดอกี ด้วย 5. ความสนใจมีความสาคัญต่อการเรียนรู้ ความสามารถพิเศษของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 8 ด้าน ด้วยกนั มนษุ ย์ย่อมมคี วามแตกต่างระหว่างบุคคล แต่ละคนมักจะมีความเก่งไม่เหมือนกัน ควรเปิดโอกาส ใหผ้ เู้ รียนเป็นผ้วู างแผนในการพฒั นาตนเอง โดยเร่มิ จากรู้จักตนเอง รู้จุดเด่น จุดด้อย ค้นหาวิธีการพัฒนา ความเก่งใหแ้ ก่ตนเองท่จี ะนาไปสู่การปฏิบตั อิ ยา่ งมคี วามสขุ และเกดิ การเรียนรอู้ ย่างมคี วามหมาย 6. สมองมหี นา้ ท่ีสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ สมองของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือซีกซ้ายกับซีก ขวา สมองทั้งสองด้านมีความสัมพันธ์กัน สมองมีหน้าท่ี ควบคุมการรับรู้ การคิด การเรียนรู้และการจา ควบคมุ การทางานของอวัยวะต่าง ๆ ของรา่ งกาย และควบคมุ ความรู้สกึ และพฤติกรรม 7. การเรยี นรู้ในสง่ิ ทีส่ นใจสามารถรบั รู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสมองจะซึมซับข้อมูลที่บุคคลมีความ สนในเรื่องน้ันอยู่แล้ว เช่ือมโยงกับข้อมูลความรู้ใหม่ ประสานข้อมูลความรู้เข้าด้วยกัน ซ่ึงหมายความว่า การเรยี นรขู้ องมนษุ ยจ์ ะมีประสทิ ธภิ าพสูงข้นึ เมื่อมกี ารเชื่อมโยงระหว่างประสบการณเ์ ดิมของผู้เรียนกับการ จดั ประสบการณใ์ นการเรยี นร้ใู นแตล่ ะครง้ั 8.การเรยี นรเู้ กิดขนึ้ ได้เกีย่ วขอ้ งกบั กระบวนการทัง้ ในแบบที่มีจุดมุ่งหมายและไม่ได้ต้ังใจ การเรียนรู้ ของคนส่วนใหญ่มักเกิดการเรียนรู้ข้ึนได้จากส่ิงท่ีไม่ได้ตั้งใจ สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ใน สถานการณ์จริง เช่น ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เผชิญอยู่โดยไม่ได้คิดในการแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นมาก่อน โดยอาศัยประสบการณเ์ ดมิ ของแต่ละบคุ คลในการเรียนรู้ทจี่ ะแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 9. การเรียนรู้ท่ีเกิดจากกระบวนการสร้างความเข้าใจ การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากกระบวนการท่ีสร้าง ความเข้าใจ และให้ความหมายกับสิ่งท่ีรับรู้มา มีการเช่ือมโยงระหว่างส่ิงท่ีเรียนกับชีวิตจริง สอน/แนะนา บนพื้นฐานความรู้ ประสบการณแ์ ละทักษะทีม่ ีอยเู่ ดมิ ของผเู้ รยี น 10. การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ภาษาแรกของมนุษย์เราถูกเรียนรู้จาก ประสบการณ์ท่ีมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างหลากหลาย ด้วยคาศัพท์และไวยกรณ์ ถูกเรียนรู้โดยกระบวนการ เรียนรู้ภายในของบุคคลที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมภายนอก การเรียนรู้คือการ สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นเผชิญกับสถานการณ์ส่ิงแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้เซลล์สมองจะเกิดมีการเชื่อมต่ออย่าง สงู สุด เมอ่ื ถกู กระตุ้นใหเ้ ผชิญกบั สถานการณ์ท่ที า้ ทายให้ผู้เรยี นอยากเรียนรู้ โดยผ่านกระบวนการเล่นอย่าง สนุกสนาน และมีความสุข ปราศจากความเครียด เพราะความเครียดเป็นสิ่งท่ีบ่ันทอนการเรียนรู้ของ ผู้เรียนได้สมองของบุคคลมีความเท่าเทียมกันมนุษย์ทุกคนมีระบบสมองที่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าทุกคนจะมี

ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๐ ศักยภาพแตกต่างกันในด้านความรู้ความถนัดที่มีอยู่เดิม ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละคน แต่เราสามารถ เรยี นรู้ได้เต็มตามศักยภาพได้อย่างเทา่ เทียมกนั แนวทำงกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนตำมหลัก BBL 1. การจัดการเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงและถาวรนั้น จะต้องจัดให้ครบองค์ประกอบท้ัง 3 สว่ น ไดแ้ ก่ การรับรู้ การบรู ณาการความรู้ และการประยกุ ต์ใช้ เพ่ือเป็นการเช่ือมโยงความรู้สู่การปฏิบัติ จริงในวิถชี ีวิต 2. ครูผู้สอนจะต้องมีข้อมูล และรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล คิดและจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความ ถนัด/ความสามารถหรือความเก่งให้เก่งมากย่ิงข้ึน รวมท้ังการพัฒนาด้านอ่ืน ๆ อีกให้มีความเก่งหลาย ๆ ดา้ น เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนได้แสดงออกถึงความสามารถหรือความเก่งสู่สาธารณชน โดยอาจจัดเวทีให้แสดง อย่างอสิ ระ 3.การจัดการเรียนการสอนที่ดี ครูต้องมีความเข้าใจทักษะท่ีเกี่ยวโยงกับความสามารถพิเศษของ สมองแต่ละซกี สมองซกี ซ้ายสงั่ การทางานเกี่ยวกบั คา ภาษา ตรรก ตวั เลข/จานวน ลาดับ ระบบ การ คิดวิเคราะห์ และการแสดงออกเป็นต้น สมองซีกขวาจะสั่งการเก่ียวกับ จังหวะ ดนตรี ศิลปะ จินตนาการ การสรา้ งภาพ การรับรู้ การเหน็ ภาพรวม ความจา ความคิดสรา้ งสรรค์ เปน็ ตน้ 4.ควรจดั เนื้อหาท่ีมคี วามหลากหลายครอบคลมุ ทุกมติ ิของชวี ิตมนุษย์ กระบวนการเรียนรู้มีลักษณะ หลากหลายร่วมกันในลักษณะ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แหล่งการเรียนรู้หลากหลาย เช่น เรียนรู้จากสื่อ ธรรมชาติ จากคาบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ จากแหล่งงานอาชีพของชุมชน จากการค้นคว้าทางเทคโนโลยี ฯลฯ 5. ในกระบวนการเรียนรู้น้ัน ขณะท่ีผู้เรียนเรียนรู้น้ันอาจเป็นแค่การรับรู้ แต่ยังไม่เข้าใจ ความ เขา้ ใจอาจเกดิ ขึน้ ภายหลังจากทีผ่ ู้เรียนสามารถมองเห็นถึงความหมายและความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันถึงส่ิงต่าง ๆ ทีต่ นเองรับรจู้ ากแหลง่ ความรทู้ ีห่ ลากหลาย ในระดับที่สามารถอธิบายเชิงเหตุผลได้ ซ่ึงบางคร้ังการสอน ในชน้ั เรียนเมื่อจบลงบางบทเรยี นไม่สามารถทาให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรยี นรูไ้ ด้ เนือ่ งจากการสอนน้ันไม่สอดคล้อง กบั ประสบการณเ์ ดมิ ของผูเ้ รียน 6. บางคร้ังการจาเป็นสิ่งสาคัญและมีประโยชน์ แต่การสอนท่ีเน้นการจาไม่ก่อให้เกิดความ เช่อื มโยงให้เกิดการเรียนรู้และบางครั้งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเข้าใจ ถ้าครูไม่ได้ศึกษาลีลารูปแบบ การเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภท ว่ามีความชื่นชอบ ความถนัด วิธีการเรียนรู้ หลักการเรียนรู้ท่ีมี ประสิทธิภาพ และจัดกิจกรรมการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละประเภท จะส่งผลต่อการเรียนรู้ท่ีมี ประสทิ ธิภาพเช่นเดียวกัน 7. ครูจาเป็นต้องใชก้ ิจกรรมท่เี ป็นสถานการณ์ในชีวติ ประจาวนั ประกอบดว้ ย การสาธิต การทา โครงงาน ทัศนศึกษา การรับรู้ประสบการณ์ด้วยการมองเห็นของจริง การเล่าเรื่อง ละคร และการมี ปฏิสัมพันธ์ต่อคนหลาย ๆ ประเภท การเรียนแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาสามารถ เรียนรู้ได้ใน กระบวนการโดยผ่านเรอ่ื งหรือการเขียน 8.ควรสร้างสถานการณ์และส่ิงแวดล้อมให้ปลอดภัยเพ่ือ การเรียนรู้ โดยผ่านการเล่นแบบท้าทาย การเสี่ยง ความสนุกสนาน เป็นส่ิงจาเป็นที่ทาให้เกิดการเรียนรู้ การถูกทาโทษอันเนื่องมาจากความ ผิดพลาดจะทาให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ครูจึงไม่ควรลงโทษผู้เรียนในการเข้าร่วมกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียน เผชญิ กับสถานการณ์แวดล้อมท่ีกระต้นุ การเรยี นรู้

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๑ 9.ผเู้ รียนมคี วามแตกต่างกนั เกยี่ วกับความสามารถทางสตปิ ัญญา ความสามารถความเก่งของมนุษย์ คือ ทฤษฎพี หปุ ัญญา ความเป็นคนเกง่ คืออะไร มคี าตอบมากมายหลายรูปแบบ แต่สรุปรวมได้ว่า คนเก่ง คอื ผมู้ คี วามสามารถดา้ นใดด้านหนึ่งเฉพาะดา้ น หรอื หลาย ๆ ดา้ น ทีแ่ สดงออกถึงความสามารถได้อย่างเป็น ที่ประจกั ษ์ 3. เทคนิคกำรเรยี นกำรสอนแบบ Task analysis (กำรวิเครำะห์ภำระงำน) 1. วิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis) การวเิ คราะหภ์ าระงานเปน็ ส่วนหนึง่ ของการวิเคราะห์ การ เรยี นการสอน ซึ่งประกอบดว้ ย 3 ข้นั ตอน คอื 1. ตดั สินใจให้ไดว้ ่าเป็นความตอ้ งการในเรื่องการเรียนการ สอน มีภาระงานที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนการสอน 2. ตอ้ งความชดั เจนวา่ ต้องเรยี นรู้เรอ่ื งใดมากอ่ น จงึ จะนาไปสู่ ผลการเรียนรูท้ ค่ี าดหวงั 3. การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน จากข้ันท่ี 2 บอกให้รู้ว่า ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และ วดั ผลในเร่ืองใด 2. การวิเคราะห์งาน การวิเคราะห์งานเป็นการตรวจสอบว่าการศึกษานั้น ๆ มี งานใดท่ีเป็นชีวิต และมคี วามรู้ทกั ษะและเจตคตใิ ดบ้างทีน่ าไปสู่ ความสาเร็จในการทางานน้ัน ๆ การวิเคราะห์งานช่วยให้แน่ใจ ว่าจะได้สาระและคณุ ค่าทีเ่ กีย่ วขอ้ งในการเรียนรู้ คาถามหลักท่ีใช้ในการวิเคราะหง์ าน มคี าถามหลกั 3 ขอ้ • ภาระงานใดงานใดเป็นข้อกาหนดของงาน • การจดั เรียงลาดบั ของแตล่ ะภาระงานคืออะไร • เวลาท่ใี ชใ้ นการทาแตภ่ าระงาน 3. การวิเคราะห์ภาระงาน การวิเคราะห์ภาระงานคลา้ ยคลึงกับการวเิ คราะหง์ านแต่ มีระดับของการ วเิ คราะห์อยทู่ ่ีรายละเอยี ด – หนว่ ยย่อย การ วเิ คราะห์งานทาได้โดยการจาแนกงานออกเป็นภาระงานหลาบ ภาระ จากนั้นวิเคราะห์ภาระงานก็จะสามารถเคราะห์ย่อยลง ส่วนประกอบโดยใช้คาถามในการวิเคราะห์ เชน่ เดียวกนั กบั การวิเคราะหง์ าน ดงั น้ี • สว่ นประกอบของแต่ละภาระงานคอื อะไร • ส่วนประกอบของแต่ละ ส่วนสามารถนามาเรยี งลาดับด้วย อะไรได้บา้ ง • ส่วนประกอบแตล่ ะส่วนต้องใชเ้ วลาเท่าไร 4. การวิเคราะหส์ าระการเรยี นรู้ การวิเคราะหส์ าระการเรียนรู้จะเป็นการจากัดขอบเขต ของเร่ืองท่ี จะนามาสอนกับเรื่องท่ีไม่ต้องนามาสอน ซ่ึงมี ความสาคัญย่ิงในปัจจุบันเนื่องจากหนังสือเรียนบรรจุสาระ สนเทศไว้มากเกนิ กวา่ ทจ่ี ะมาสอนอย่างมปี ระสทิ ธผิ ลในระยะเวลาหนึ่งภาคเรียน ควรยึดหลักว่า เพื่อเป็นผลดี ตอ่ การ เรียนรู้จริงๆ ของผู้เรียน ส่ือการเรียนรู้ท่ีจาเป็นถึงแม้ว่าจะน้อย แต่ก็ดีกว่าสื่อการเรียนรู้ขนาดใหญ่ แตไ่ ม่ได้ชว่ ยใหป้ ระสบความสาเรจ็ ในการเรยี น 5. การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ เนื้อหาสาระท่ีช่วยให้ผู้เรียน เกิดการ เรยี นรู้ตามจุดประสงค์ อาจจะแบ่งได้หลายลักษณะ เช่น กาเย่ และบริกส์ กาหนดสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ข้อมูลท่ีเป็นความรู้ 2) เจตคติ 3) ทักษะ เดคโค แบ่งสาระการเรียนรู้ตามจุดประสงค์เป็น 1) ทักษะ 2) ความรู้ทเ่ี ป็นขอ้ มูลธรรมดา 3) ความคิดรวบยอดและหลักการ 4) การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์และการ ค้นพบ 6. การออกแบบและพัฒนาภาระงาน 1. การระบุความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากการ ปฏบิ ัติงาน โดยเริ่มจากพจิ ารณาและวิเคราะห์มาตรฐานการ เรียนรู้ในหลักสูตร ผลการเรียนท่ีคาดหวัง หรือ วัตถุประสงค์การ เรียนรู้ เพื่อสามารถระบุขอบเขตและประเภทของความรู้ ทักษะ และคุณลักษะท่ีพึ่ง

ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๒ ประสงค์ 2. ออกแบบภาระงานทผ่ี ้เู รียนต้องใชค้ วามรู้และ ทักษะ (จากขอ้ 1) ลักษณะสาคญั ของงานคือ ต้อง กระตุ้นหรือ สร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน มีความท้าทาย แต่ไม่ยากเกินไปจน ผู้เรียนทาไม่ไ ด้ และใน ขณะเดียวกันต้องครอบคลุมสาระสาคัญ ทางวิชาและทักษะที่ลึกซึ้ ง เพ่ือให้สามารถนาผลการประเมินไป ใชไ้ ดอ้ ย่างสมเหตุสมผลและนา่ เชอ่ื ถอื 7. การกาหนดเกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) หรือ เกณฑ์การประเมินท่ีชัดเจนเป็นปรนัย เป็นที่ ยอมรับและสามารถ สะท้อนให้เห็นถึงระดับของผลสัมฤทธิ์ทางด้านความรู้ทักษะและ คุณลักษณะที่พึง ประสงค์เกณฑ์การให้คะแนนส่วนมากมักจะอยู่ ในรูปตาราง 2 มิติ ประกอบด้วย ส่วนหัว Rows จะแสดง ระดับคณุ ภาพของความรู้ ทกั ษะและความสามารถของแต่ละ Column จานวน Rows จะ ข้ึนอยู่กับจานวน ของระดับคุณภาพท่ีต้องการใช้ และส่วนมากจะ อยู่ระหว่าง 2 ถึง 3 ระดับ การออกแบบและพัฒนาภาระ งาน 8. การวางแผนการจัดการเรียนรู้ • เม่ือมีความชัดเจนเก่ียวกับจุดหมายการเรียนรู้และหลักฐานท่ี เป็นรูปประธรรมแล้วผู้สอนสามารถเร่ิมวางแผนการจัดการ เรียนรู้ได้โดยอาจต้ังคาถามดังต่อไปนี้ • ความรู้ และทักษะอะไรจะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถตาม จุดหมายท่ีกาหนดไว้ • กิจกรรมอะไรจะช่วยพัฒนา นักเรยี นไปสจู่ ุดหมายดงั กล่าว • สือ่ การสอนจึงจะเหมาะสมสาหรับกิจกรรมการเรียนรู้ขั้นต้น • การออกแบบ โดยรวมสอดคลอ้ งและลงตวั หรือไม่ 9. สรุป ในการจดั การเรยี นการสอนจะตัดสินใจว่าปัญหาในการพัฒนา ศักยภาพของผู้เรียนนั้นเป็น ปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยการศึกษาการ วางแผนจัดการเรียนการสอนจะต้องมีการวิเคราะห์เน้ื อหาสาระ วิเคราะห์ งานและภาระงานการวิเคราะห์ภาระงานนาไปสู่การปฏิบัติเพ่ือสนองตอบ ความต้องการ การ เรยี นรูก้ ลา่ วคือการทบทวนระบบหรอื กระบวนการเพื่อ ช่วยให้ผ้เู รียนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้ นและผู้เรียนจะ ไดร้ บั ภาระงาน สาหรับการเรียนการสอนส่วนภาระหน้าที่ไมเ่ กี่ยวข้องกค็ วรจะถูกตัดออก หรือใช้วิธีอ่ืนท่ีไม่ใช่ การสอนพลังงานที่เลือกมาต้องทามีประสิทธิผลและ ประสิทธิภาพ ซ่ึงการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องแสวงหา วิธีการทดี่ ีทีส่ ดุ ภายใต้ กรอบคา่ ใช้จ่ายท่ีไดร้ ับ (มีประสิทธิภาพ)

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๓ พฒั นำกำรทำงดำ้ นภำษำและแสดงออกของเด็กอำยแุ รกเกดิ - 6 ขวบปี เดก็ อำยุ 1 เดอื น ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ จะตอบสนองตอ่ เสยี งดงั ๆ เช่น สะดุง้ ขยับตัว กำรแสดงออกทำงภำษำ : เดก็ ๆ จะสง่ เสยี งร้องเมื่อรสู้ กึ หวิ หรอื ไมส่ บายตัว เด็กอำยุ 2-3 เดือน ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ มีความสนใจเสียงพูดของคน มีการเคลื่อนไหวตัวเม่ือได้ยินเสียงคุณพ่อคุณแม่ เดก็ ๆ จะย้ิมและนงิ่ ฟงั กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ จะทาเสียงออ้ แอ้ (Babbling) เมอื่ เขาร้สู ึกพอใจ/ไมพ่ อใจ เดก็ อำยุ 5-6 เดือน ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ สามารถแยกทิศทางของเสยี ง เขาสามารถหนั ศีรษะไปตามเสยี งท่ีเรียกหรือเสียงดัง ต่างๆ ได้ กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ เร่ิมมีการเล่นเสียง (vocal play) เช่น มามา ดาดา ซึ่งอาจจะไม่มี ความหมายใดๆ แต่เป็นการเรียกร้องความสนใจ และบอกความต้องการบางอย่างนั้นเอง อีกท้ัง ยังสามารถ เลยี นเสียงตวั เอง มีการเปลง่ เสียงสงู ๆ ตา่ ๆ ได้ เด็กอำยุ 9 เดอื น ควำมเขำ้ ใจภำษำ : เดก็ ๆ สามารถทาตามคาสงั่ งา่ ยๆ ได้ เช่น สวสั ดี บา๊ ยบาย หรือบางครั้งเมื่อคุณพ่อคุณแม่ บอกให้เขาหยดุ เล่น เขากจ็ ะหยุดเล่นเม่ือถูกดหุ รือเมื่อคุณพ่อคณุ แม่บอกวา่ “อยา่ นะ” กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ เริ่มพูดตาม และเลียนเสียงของคนอ่ืน มีการทาเสียงต่างๆ เพ่ือเรียกร้อง ความสนใจ เดก็ ๆ จะพดู เป็นคาๆ เดยี ว และสามารถตอบสนองต่อการส่ือสารได้ เดก็ อำยุ 10-12 เดอื น ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ สามารถทาตามคาส่ังง่ายๆ ได้มากข้ึน สามารถเข้าใจคาพูดที่ได้ยินบ่อยๆ เขา สามารถหันไปหาเม่อื มคี นเรยี กช่ือได้ และเขา้ ใจคาศัพท์ประมาณ 10 คา กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ เรม่ิ พดู คาแรกทมี่ คี วามหมาย เชน่ คาว่า “หมา่ ” , “แม”่ แถมยังตอบคาถาม ด้วยการใช้ท่าทางร่วมกบั เสียงได้ นอกจากนี้ยังสามารถเรยี กคนอื่นๆ หรือวัตถุที่ต้องการจากท่าทางและเสียง ของเขา เดก็ อำยุ 1.6 ปี ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ สามารถทาตามคาส่ังท่ียากข้ึน เข้าใจคาห้ามง่ายๆ ได้ สามารถช้ีอวัยวะของ รา่ งกายได้ 1-3 อย่าง และรู้จกั ชือ่ คน ส่ิงของ และสัตวป์ ระมาณ 100 คา กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ สามารถพูดเป็นคาที่มีความหมายได้ ประมาณ 10-50 คา (ส่วนใหญ่จะ เป็นคา 1 พยางค์) เร่ิมนาคา 2 พยางค์มารวมกัน และบอกความต้องการง่ายๆ ได้ เช่น “เอา” , “ไป” , “หมา่ ” เปน็ ต้น

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๔ เดก็ อำยุ 2-2.6 ปี ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ รู้จักและเข้าใจคาศัพท์ได้ถึง 500 คา สามารถทาตามคาส่ังที่มี 2 ข้ันตอนที่ เก่ียวข้องกันได้ เด็กๆ สามารถรู้ชื่อคนในครอบครัว รู้จักหน้าท่ีของส่ิงของน้ันๆ ว่าใช้ทาอะไร เขาสามารถ เขา้ ใจประโยคคาถามหรอื คาส่งั สั้นๆ ไมซ่ ับซ้อน เช่น “นี่อะไร” , “แมอ่ ยไู่ หน” เปน็ ตน้ กำรแสดงออกทำงภำษำ : เดก็ ๆ สามารถพูดประโยคสั้นๆ 2-3 พยางคไ์ ด้ พูดคาศพั ท์ได้ถึง 50-500 คา อีก ทง้ั ยงั สามารถพูดโตต้ อบกบั เราได้ บอกช่ือเล่นของตัวเองได้ และมักจะมีคาติดปากว่า “นี่อะไร” สามารถส่ือ ความต้องการได้ แต่ยงั เรยี งคาไมถ่ ูกต้อง มกี ารใช้คาว่า “และ” ในการเชื่อมประโยค เด็กอำยุ 2.6-3 ปี ควำมเขำ้ ใจภำษำ : เดก็ ๆ เขา้ ใจคาศัพทม์ ากขึ้นถึง 500-1,200 คา สามารถทาตามคาส่ังท่ียากข้ึนได้ และ แยกแยะระหว่างส่งิ ที่เป็นอันใหญแ่ ละอนั เล็ก กำรแสดงออกทำงภำษำ : เดก็ ๆ สามารถพูดประโยคยาวข้ึน มีคาศัพท์ที่ดูได้ราวๆ 900 คา สามารถพูดเล่า เรื่องท่ีกาลังจะเกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังบอกชื่อและหน้าท่ีของวัตถุส่ิงของน้ันได้ มักจะตอบคาถามว่า “ใคร” , “อะไร” และยงั บอกได้เมอ่ื ต้องการทจี่ ะเขา้ หอ้ งน้านนั้ เอง เด็กอำยุ 3-4 ปี ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ เข้าใจคาศัพท์มากข้ึนถึง 2,400-3,600 คา มีการเรียนรู้การเข้าสังคมด้วยการ พูด เข้าใจคาบุพบท เช่น บน ใต้ ข้างบน ข้างล่าง สามารถเข้าใจคาสั่งท่ีเป็นประโยคยาวๆ ได้ เช่น กินข้าว เสร็จก่อนแล้วดูการ์ตูนได้นะคะ และเข้าใจคาวิเศษณ์ อย่างเช่น คาว่า “เก่ง” , “สวย” , “ใหญ่” , “เล็ก” เปน็ ต้น กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ สามารถพูดคยุ และตอบได้มากขึ้น สามารถสนทนาเป็นประโยคยาวๆ 3-4 คาได้ แต่ยงั พูดไม่ชดั เท่าไหร่ สามารถพดู คาศพั ทไ์ ดร้ าวๆ 900-1,500 คา มกี ารเล่าเร่ืองแบบถามคาตอบคา ได้ มักจะถามเสมอว่า “อะไร” , “ทีไ่ หน” , “ใคร” เป็นตน้ นอกจากนี้ยงั พูดเสียงสระได้ชดั ทกุ เสยี งอกี ดว้ ย เดก็ อำยุ 4-5 ปี ควำมเข้ำใจภำษำ : เดก็ ๆ เข้าใจคาศัพท์ 3,600-5,600 คา สามารถเข้าใจประโยคท่ีมีคาสั่ง 2-3 ขั้นตอน ได้ มีการเข้าใจรูปประโยคท่ีเป็นเหตุเป็นผลกันได้ อีกท้ังยังเข้าใจความหมายของจานวนนัดได้ไม่ต่ากว่า จานวน 3 อย่าง เชน่ “หยิบเสื้อ 3 ตัว” เป็นตน้ กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ สามารถพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ดี มีการขยายคาได้มากข้ึน พูดคาศัพท์ได้ ประมาณ 2,000 คา มกี ารพดู ประโยคที่ยาวคลา้ ยกับผู้ใหญ่ สามารถบอกช่ือจริงของตัวเองได้ และเล่าเร่ือง ได้โดยมีเน้ือหาที่ต่อเน่ืองกัน สามารถตอบคาถามจากเรื่องที่ฟังหรือดูได้ และเขามักจะชอบถาม “ทาไม” , “เมอ่ื ไหร่” , “อย่างไร” เปน็ คาตดิ ปากนั้นเอง เดก็ อำยุ 5-6 ปี ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ เข้าใจคาศัพท์ 6,500-9,500 คา สามารถเขา้ ใจลาดบั เกี่ยวกับเวลาก่อนและหลัง หรือเม่ือวานนไ้ี ด้ สามารถท่องพยัญชนะได้ เรม่ิ ร้จู กั ความหมายของป้ายหรอื สญั ลกั ษณ์ทพ่ี บเหน็ ได้ค่ะ กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ สามารถเล่าเรื่องทค่ี ุ้นเคย หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้อื่นได้ สามารถ เล่าเร่ืองลาดับเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันท่ีกาลังจะเกิดขึ้นได้ มีการใช้ไวยากรณ์ท่ีใกล้เคียงกับผู้ใหญ่อีก ด้วย

ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๕ เดก็ อำยุ 6 ปี ควำมเข้ำใจภำษำ : เด็กๆ เข้าใจคาศัพท์ 13,500-15,000 คา สามารถเข้าใจว่าสิ่งของมีคุณลักษณะ เหมอื นกัน หรอื ตา่ งกันอย่างไร เชน่ ปากกากับดินสอ หรือหมากบั แมว ตา่ งกันอยา่ งไร กำรแสดงออกทำงภำษำ : เด็กๆ สามารถพูดประโยคยาวๆ 6-8 คา ได้ มีการใช้คาเปรียบเทียบ ขนาด รปู ร่าง และลักษณะนัน้ เอง กำรฝึกพดู และกำรแก้ไขกำรพูด เสียงพยัญชนะ (Consonant) ลกั ษณะของเสียงพยญั ชนะ 3 ลักษณะ 1. ลักษณะของเสน้ เสยี ง (State of the glottis) มี 2 แบบ 1.1 เสียงโฆษะ(ก้อง) (Voiced Sounds) บ ด ม น ง ย ล ร ว อ 1.2 เสยี งอโฆษะ (ไมก่ ้อง) (Voiceless Sounds) ป พ ฟ ต ท ซ จ ช ก ค ฮ 1.2.1 เสียงธนติ มลี ม (Aspirated Sounds) พฟทซชคฮ 1.2.2 เสยี งสถิ ลิ ไมม่ ีลม (Unaspirated Sounds) ปตจก 2. ลักษณะของการออกเสยี ง (Manner of Articulation) 2.1 เสียงกักหรอื เสยี งระเบดิ (Stop / plosive) บปพดตทจกคอ 2.2 เสยี งเสียดแทรก (Fricative) ฟซฮ 2.3 เสยี งก่งึ เสียดแทรก (Affricate) ช 2.4 เสียงนาสิก (Nasal) มนง 2.5 เสยี งข้างลนิ้ (Lateral) ล 2.6 เสยี งรัว (Trill) ร 2.7 เสียงกง่ึ สระหรอื อัฒสระ (Semi – Vowel) ยว 3. ฐานกรณ์ที่เกดิ ของเสียง (Place of Articulation) 3.1 รมิ ฝีปาก (Bilabial) บปพภผมว 3.2 รมิ ฝีปากลา่ ง กบั ฟนั บน (Labio-dental) ฟฝ 3.3 ปลายลน้ิ กบั ปมุ่ เหงือก (Apico-alveolar)

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๖ ดฎ / ตฏ/ทธฒฑถฐ/ นณ/ลฬ/ร 3.4 ลน้ิ ส่วนหนา้ กบั ปมุ่ เหงือก (Lamino-alveolar) ซสศษ 3.5 ลิน้ ส่วนหนา้ กบั เพดานแขง็ ส่วนหนา้ (Lamino-Prepalatal) จฉชฌ 3.6 กลางลิน้ กับเพดานแข็ง (Front-palatal) ยญ 3.7 โคนลนิ้ กบั เพดานออ่ น (Dorso-velar) งกคข 3.8 สายเสยี ง (glottal) อหฮ พฒั นำกำรทำงภำษำถกู แบง่ ออกเปน็ 2 ด้ำน 1. ควำมเข้ำใจภำษำ คอื การทีเ่ ดก็ เข้าใจในสงิ่ ที่คนอืน่ พดู ส่ือสาร ทง้ั ในแงข่ องการเข้าใจคาศพั ท์ การเข้าใจคาสงั่ คาถาม ตลอดจนเข้าใจประโยค เรือ่ งเล่ายาวๆ หรือการสนทนาทซ่ี บั ซ้อนได้ 2. กำรสอื่ สำร / กำรพูด คอื การที่เด็กสอื่ สารโดยใชท้ งั้ สหี นา้ ทา่ ทางภาษากาย รวมท้ังการใช้คาพูด ในการสื่อสารกับคู่สนทนาหรอื ส่ือสารกับผอู้ ่นื ได้ ตลอดจนสามารถสื่อสารโดยใชป้ ระโยคยาวท่ีมี ความซับซอ้ น หรือใช้ภาษาในการบรรยายอธิบาย และเล่าเรือ่ งได้ พฒั นำกำรทำงดำ้ นภำษำชว่ งอำยุ 10 ปี ขั้นกำรฝกึ เสยี ง 1 ฝึกหนา้ กระจกให้ดตู าแหนง่ ทเ่ี กดิ ของเสียง 2 บรหิ ารรมิ ฝีปาก 3 ฝึกเปา่ ลม

ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๗

ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๘ กำหนดตำรำงกำรสอนและระยะเวลำ ศิลปะบำบัด เพอ่ื กำรฝึกกำรใช้ลมพฒั นำทักษะด้ำนกำรส่ือสำรและภำษำ ปีกำรศึกษำ 2564 ศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จงั หวัดนครปฐม หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ แผนการสอน วตั ถุประสงค์ เนอ้ื หา/กิจกรรม ระยะเวลา พ.ย. 2564 1 ภาพพิมพ์ ฝกึ ทกั ษะการเปา่ สี ใช้ลม 1. การเป่าสีดว้ ยหลอด ธ.ค. 2564 อย่างถูกวิธี 2. สรา้ งเสน้ ผมใหห้ นูห๋ นอ่ ย 2 ศิลปะประยกุ ต์ ฝึกทกั ษะทางศิลปะทท่ี า 1. เป่าปิงป่อง (ศิลปะ ใหเ้ กิดผลงานทส่ี ร้างสรรค์ 2. ล้นิ มหัศจรรย์ ประดษิ ฐ์) นาไปชว่ ยฝึกการใชล้ ม 3. มหศั จรรยพ์ ่นลม 4. หนอนน้อย กระดึบ กระดบึ 5. กังหนั ลม 6. ดอกไมโ้ ตล้ ม 7. ถนนแสนสนุก ตำรำงวิครำะห์เนอื้ หำแผนกำรสอน ศลิ ปะบำบดั เพอื่ กำรฝึกกำรใชล้ มพฒั นำทกั ษะดำ้ นกำรส่อื สำรและภำษำปกี ำรศึกษำ 2564 ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ เขตการศึกษา 1 จังหวดั นครปฐม ท่ี หัวขอ้ เน้อื หำ/กจิ กรรม จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม 1 ภาพพิมพ์ 1. การเป่าสีดว้ ยหลอด 1. ผเู้ รียนสามารถใชป้ ากเป่าไปตามทศิ ทาง 2. สรา้ งเส้นผมใหห้ น๋หู นอ่ ย ต่างๆ ไดจ้ นเกดิ เป็นภาพจนิ ตนาการ 3. ปลกู ตน้ ไมแ้ สนสวย 2. ผเู้ รยี นสามารถใช้ลมได้อย่างถูกต้อง 4. โควดิ -19 ตัวเจา้ ปัญหา 3. ผเู้ รยี นสรา้ งสรรค์ผลงานไดอ้ ยา่ งสวยงาม 2 ศิลปะประยกุ ต์ 5. ทีเ่ ป่าสดุ มหัศจรรย์ 1. ผู้เรยี นสามารถใชป้ ากเปา่ และออกเสยี ง (ศลิ ปะประดิษฐ์) 6. ลน้ิ มหัศจรรย์ พยญั ชนะ ป พ ฟ ต ท ซ จ ช ก ค ฮ ได้ 7. หนอนน้อย กระดบึ กระดบึ ถกู ตอ้ ง 8. สัตว์ตัวน้อยมหศั จรรยพ์ ่นลม 2. ผเู้ รียนสามารถใช้ลมได้อย่างถูกต้อง 9. จานบนิ หมนุ หมนุ 3. ผู้เรียนสรา้ งสรรค์ผลงานไดอ้ ย่างสวยงาม 10. พระอาทิตยห์ มนุ หมนุ

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๙ ตำรำงจัดกำรเรียนกำรสอน แผนกำรสอน ศิลปะบำบดั เพอ่ื กำรฝึกกำรใชล้ มพฒั นำทกั ษะด้ำนกำรสอ่ื สำรและภำษำปีกำรศกึ ษำ 2564 ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ เขตการศึกษา 1 จงั หวัดนครปฐม หน่วยการเรียนรู้ กจิ กรรม สปั ดาห์ 1 ภาพพมิ พ์ 1. การเปา่ สีด้วยหลอด 1-5 พ.ย. 64 2. สร้างเสน้ ผมใหห้ น๋หู น่อย 8-12 พ.ย. 64 2 ศลิ ปะประยุกต์ 3. ปลูกตน้ ไมแ้ สนสวย 15-19 พ.ย. 64 (ศิลปะประดษิ ฐ)์ 4. โควิด-19 ตวั เจ้าปญั หา 22-26 พ.ย. 64 5. ทเี่ ปา่ สุดมหัศจรรย์ 29 พ.ย.-3 ธ.ค. 64 6. ล้นิ มหัศจรรย์ 29 พ.ย.-3 ธ.ค. 64 7. หนอนนอ้ ย กระดบึ กระดึบ 6-10 ธ.ค. 64 8. สตั ว์ตัวน้อยมหศั จรรย์พน่ ลม 6-10 ธ.ค. 64 9. จานบนิ หมนุ หมนุ 20-24 ธ.ค. 64 10. พระอาทติ ยห์ มนุ หมุน 27-31 ธ.ค. 64

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๐ แผนการสอน ศลิ ปะบาบดั หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 ภาพพมิ พ์ กิจกรรมท่ี 1 เป่าสี พ.ย. วตั ถุประสงค์ การพิมพจ์ ากธรรมชาติและมนษุ ย์สรา้ งข้นึ จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. ผู้เรียนสามารถใช้ปากเป่าไปตามทิศทางต่างๆ ได้จนเกดิ เป็นภาพจนิ ตนาการ 2. ผเู้ รยี นสามารถใช้ลมไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง 3. ผู้เรยี นสรา้ งสรรค์ผลงานได้อย่างสวยงาม เรม่ิ ใชแ้ ผนวนั ที่ 1 พ.ย. 2564 สิ้นสุดแผน 30 พ.ย. 2564 ใช้เวลาสอน คาบละ 30 นาที พฒั นาการทเี่ กดิ ข้ึนระหว่างการเรยี นการสอน  พัฒนาการด้านร่างกาย  พฒั นาการด้านอารมณ์  พัฒนาการด้านการ  พฒั นาการดา้ นสตปิ ัญญา และจิตใจ ชว่ ยเหลอื ตนเองและสังคม จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทักษะกลา้ มเนอ้ื มดั เล็ก 2. พฒั นาทกั ษะการสอื่ สารและภาษา 3. สามารถใช้ความสมั พันธ์ระหวา่ งมือกบั ตา 4. สรา้ งสมาธิและความสนใจให้ผู้เรยี นได้ 5. สามารถใชล้ มในการพูดได้ถูกต้อง 6. มที กั ษะการใชร้ ปู ปาก สระ อู 7. สร้างปฏสิ ัมพันธ์อยูใ่ นสังคมกับผ้อู ่นื 8. สร้างความภาคภมู ิใจในผลงานตนเอง เนอื้ หา 1. เป่าสี กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นา 1. ผสู้ อนและผู้เรียนทักทาย “สวัสดีครบั ” และ “สวสั ดีคะ่ ” โดยผู้สอนรอ้ งเป็นเพลงและ ท่าทางให้ผ้เู รยี นสนใจ 2. ผู้สอนอธิบายกิจกรรมท่จี ะทา และนาเสนออปุ กรณ์ต่างๆ ในกจิ กรรมนนั้ ๆ 3. ผู้สอนสาธติ การพมิ พ์ภาพทถี่ ูกวธิ ี ขนั้ สอน ๑.ผูเ้ รียนรจู้ กั กบั อปุ กรณ์ เช่น พกู่ นั จานสี สนี า้ โปสเตอร์ ๒.ผู้เรยี นเดนิ มาหยบิ อุปกรณท์ ่ีผ้สู อนกาหนด ๓.ผเู้ รียนนาพ่กู ันจุ่มสแี ล้วหยดลงบนกระดาษทเ่ี ตรียมไว้ ๔.ผู้เรียนนาหลอดกาแฟมาเปา่ สีทห่ี ยดลงกระดาษให้กระจายออกไปแบบอิสระตาม ที่ตนเองชอบ

ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๑ 5.ผเู้ รียนนาผลงานโชวอ์ ย่างภาคภมู ิใจในตนเอง ขน้ั สรปุ ๑. ผู้เรียนให้ความร่วมมือในการทากจิ กรรมและมีสมาธิสามารถใช้ตาประสานสัมพันธ์กับมอื ขณะทา กจิ กรรมได้ ๒. ผูเ้ รียนเกบ็ อุปกรณ์ท่ีทาไว้ทีใ่ หเ้ รยี บร้อยและเดินมาส่งงานทีละคนและตรวจผลงานผูเ้ รยี น 3. ครพู ดู คยุ กบั ผู้เรยี น ซักถาม เก่ยี วกบั กจิ กรรม 4. เม่ือหมดชัว่ โมงผู้สอนใหน้ ักเรียนกล่าว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคุณคะ่ ” สือ่ /อุปกรณ์ ๑. สนี ้าโปสเตอร์ ๒. พู่กนั ๓. หลอดกาแฟ ๔. กระดาษ ๕. จานผสมสี การวดั และประเมินผล วธิ ีการสงั เกตพฤติกรรมผู้เรยี น และบนั ทกึ ระดบั ความสามารถของผู้เรียนในแบบประเมนิ ผลการ เรียนรู้ เครอ่ื งมือแบบประเมนิ ผลการเรียนร้กู ิจกรรมศิลปะบาบัด เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอย่างผอู้ ื่นได้ 4 หมายถงึ ทาไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถึง ทาได้โดยมีการช่วยเหลือ ชี้แนะจากผู้อนื่ บา้ งเลก็ นอ้ ย 2 หมายถึง ทาได้โดยมีการชว่ ยเหลอื ช้ีแนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถงึ ทาไดโ้ ดยมีผ้อู นื่ พาทา เกณฑก์ ารผ่าน คือ ผเู้ รียนทาได้ระดบั 4 หรอื 5

ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๒ กิจกรรมท่ี 2 สรา้ งเสน้ ผมให้หนูห๋ น่อย วตั ถปุ ระสงค์ ฝกึ ทักษะการเป่าสี ใช้ลมอยา่ งถกู วิธี จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. ผเู้ รียนสามารถใช้ปากเป่าไปตามทศิ ทางต่างๆ ได้จนเกิดเปน็ ภาพจนิ ตนาการ 2. ผเู้ รยี นสามารถใช้ลมได้อย่างถูกต้อง 3. ผู้เรยี นสรา้ งสรรค์ผลงานได้อย่างสวยงาม จดุ ประสงค์ 1. พัฒนาทักษะกล้ามเน้ือมัดเล็ก 2. พัฒนาทักษะการส่ือสารและภาษา 3. สามารถใชค้ วามสมั พันธร์ ะหวา่ งมือกับตา 4. สรา้ งสมาธแิ ละความสนใจใหผ้ ู้เรียนได้ 5. สามารถใช้ลมในการพดู ได้ถกู ตอ้ ง 6. มที กั ษะการใชร้ ปู ปาก สระ อู 7. สรา้ งปฏสิ มั พันธ์อยู่ในสังคมกับผู้อืน่ 8. สรา้ งความภาคภมู ิใจในผลงานตนเอง เน้อื หา 1. สรา้ งเสน้ ผมใหห้ นหู๋ นอ่ ย กิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันนา 1. ผ้สู อนและผู้เรียนทักทาย “สวัสดีครับ” และ “สวัสดีคะ่ ” โดยผูส้ อนร้องเป็นเพลงและ ทา่ ทางให้ผูเ้ รยี นสนใจ 2. ผู้สอนอธบิ ายกิจกรรมท่จี ะทา และนาเสนออปุ กรณ์ตา่ งๆ ในกิจกรรมนนั้ ๆ 3. ผู้สอนสาธติ การพิมพ์ภาพท่ีถกู วธิ ี ขั้นสอน ๑.ผเู้ รยี นรู้จกั กับอปุ กรณ์ เช่น พู่กัน จานสี สนี า้ โปสเตอร์ หลอดกาแฟ ๒.ผเู้ รยี นเดนิ มาหยิบอุปกรณ์ที่ผสู้ อนกาหนด ๓.ผู้เรียนนาพกู่ นั จมุ่ สีแล้วหยดลงบนกระดาษรูปคนอารมณ์ตา่ งๆ โดยไม่มเี สน้ ผมที่เตรยี มไว้ ๔.ผูเ้ รยี นนาหลอดกาแฟมาเปา่ สีทีห่ ยดลงกระดาษส่วนรปู ด้านบนให้กระจายออกไปให้ เหมือนเสน้ ผม 5.ผเู้ รียนนาผลงานโชวอ์ ย่างภาคภมู ใิ จในตนเอง ข้นั สรปุ ๑. ผู้เรยี นให้ความร่วมมอื ในการทากิจกรรมและมีสมาธิสามารถใชต้ าประสานสัมพันธก์ บั มอื ขณะ ทากจิ กรรมได้ ๒. ผเู้ รียนเก็บอปุ กรณท์ ่ีทาไวท้ ีใ่ หเ้ รียบรอ้ ยและเดินมาส่งงานทีละคนและตรวจผลงานผ้เู รยี น 3. ครูพูดคยุ กบั ผู้เรยี น ซักถาม เกี่ยวกบั กจิ กรรม

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๓ 4. เม่อื หมดชั่วโมงผ้สู อนให้นักเรียนกลา่ ว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคุณคะ่ ” ส่ือ /อปุ กรณ์ ๑. สนี า้ โปสเตอร์ ๒. พู่กนั ๓. หลอดกาแฟ ๔. กระดาษ ๕. จานผสมสี การวดั และประเมินผล วิธกี ารสังเกตพฤตกิ รรมผเู้ รยี น และบนั ทึกระดับความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรียนรู้ เครื่องมอื แบบประเมินผลการเรียนรกู้ จิ กรรมศิลปะบาบัด เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถงึ ทาไดด้ ้วยตนเองและเปน็ แบบอยา่ งผู้อ่ืนได้ 4 หมายถงึ ทาไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถึง ทาได้โดยมกี ารชว่ ยเหลือ ช้แี นะจากผู้อื่นบา้ งเล็กน้อย 2 หมายถึง ทาได้โดยมกี ารชว่ ยเหลอื ชี้แนะ จากผู้อื่น 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผู้อืน่ พาทา เกณฑ์การผา่ น คอื ผเู้ รยี นทาไดร้ ะดับ 4 หรอื 5

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๔ กจิ กรรมที่ 3 ปลูกตน้ ไม้แสนสวย วัตถุประสงค์ ฝกึ ทักษะการเป่าสี ใช้ลมอยา่ งถูกวิธี จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ผู้เรยี นสามารถใช้ปากเปา่ ไปตามทิศทางต่างๆ ได้จนเกดิ เป็นภาพจินตนาการ 2. ผูเ้ รียนสามารถใช้ลมได้อย่างถูกตอ้ ง 3. ผู้เรยี นสร้างสรรคผ์ ลงานไดอ้ ย่างสวยงาม จดุ ประสงค์ 1. พัฒนาทักษะกล้ามเนอื้ มดั เลก็ 2. พัฒนาทกั ษะการสอ่ื สารและภาษา 3. สามารถใชค้ วามสัมพันธร์ ะหว่างมือกบั ตา 4. สรา้ งสมาธิและความสนใจใหผ้ ู้เรยี นได้ 5. สามารถใช้ลมในการพูดได้ถูกต้อง 6. มีทกั ษะการใช้รูปปาก สระ อู 7. สรา้ งปฏสิ ัมพนั ธอ์ ยู่ในสังคมกับผอู้ ืน่ 8. สรา้ งความภาคภมู ิใจในผลงานตนเอง เน้ือหา 1. ปลูกต้นไม้แสนสวย กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้นั นา 1. ผสู้ อนและผู้เรยี นทักทาย “สวัสดีครบั ” และ “สวสั ดีค่ะ” โดยผูส้ อนรอ้ งเปน็ เพลงและ ท่าทางให้ผเู้ รยี นสนใจ 2. ผูส้ อนอธบิ ายกิจกรรมที่จะทา และนาเสนออปุ กรณต์ า่ งๆ ในกิจกรรมนน้ั ๆ 3. ผสู้ อนสาธติ การพิมพภ์ าพที่ถกู วธิ ี ขั้นสอน ๑.ผ้เู รียนร้จู กั กบั อปุ กรณ์ เช่น พู่กนั จานสี สนี ้าโปสเตอร์ หลอดกาแฟ ๒.ผู้เรียนเดนิ มาหยิบอุปกรณ์ที่ผสู้ อนกาหนด เปน็ รปู ลายปะรปู กระถาง 3.ผเู้ รียนเขียนตามเสน้ ปะและระบายสี 4.ผเู้ รียนนาพู่กันจ่มุ สีแล้วหยดลงบนกระดาษ ใช้หลอดเปา่ สใี หก้ ระจา่ ยออก ใหม้ รี ปู รา่ ง คล้ายตน้ ไม้ ใหไ้ ด้หลากหลายกิ่ง หลากสี ตามจนิ ตนาการผู้เรียน 5.ผเู้ รียนนากา้ นกล้วยท่ีตดั ออกมาจมุ่ สีเขยี ว เพอ่ื ทาเป็นใบไม้ ตกแตง่ ให้สวยงาม 6.ผู้เรียนนาผลงานโชวอ์ ย่างภาคภูมใิ จในตนเอง ขั้นสรปุ ๑. ผู้เรียนใหค้ วามรว่ มมือในการทากิจกรรมและมสี มาธิสามารถใช้ตาประสานสมั พันธก์ ับมอื ขณะ ทากจิ กรรมได้ ๒. ผู้เรียนเกบ็ อุปกรณท์ ่ีทาไวท้ ใี่ หเ้ รยี บรอ้ ยและเดินมาสง่ งานทีละคนและตรวจผลงานผ้เู รียน 3. ครพู ดู คุยกบั ผู้เรยี น ซกั ถาม เก่ียวกับกจิ กรรม

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๕ 4. เม่อื หมดชั่วโมงผ้สู อนให้นักเรียนกลา่ ว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคุณคะ่ ” ส่ือ /อปุ กรณ์ ๑. สนี า้ โปสเตอร์ ๒. พู่กนั ๓. หลอดกาแฟ ๔. กระดาษ ๕. จานผสมสี การวดั และประเมินผล วิธกี ารสังเกตพฤตกิ รรมผเู้ รยี น และบนั ทึกระดับความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรียนรู้ เครื่องมอื แบบประเมินผลการเรียนรกู้ จิ กรรมศิลปะบาบัด เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถงึ ทาไดด้ ้วยตนเองและเปน็ แบบอยา่ งผู้อ่ืนได้ 4 หมายถงึ ทาไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถึง ทาได้โดยมกี ารชว่ ยเหลือ ช้แี นะจากผู้อื่นบา้ งเล็กน้อย 2 หมายถึง ทาได้โดยมกี ารชว่ ยเหลอื ชี้แนะ จากผู้อื่น 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผู้อืน่ พาทา เกณฑ์การผา่ น คอื ผเู้ รยี นทาไดร้ ะดับ 4 หรอื 5

ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๖ กจิ กรรมที่ 4 โควิด-19 ตวั เจา้ ปัญหา วตั ถปุ ระสงค์ ฝึกทักษะการเปา่ สี ใช้ลมอย่างถกู วธิ ี จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. ผเู้ รียนสามารถใชป้ ากเป่าไปตามทศิ ทางต่างๆ ไดจ้ นเกิดเปน็ ภาพจนิ ตนาการ 2. ผู้เรียนสามารถใช้ลมไดอ้ ยา่ งถูกต้อง 3. ผู้เรียนสรา้ งสรรค์ผลงานได้อยา่ งสวยงาม จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทักษะกลา้ มเนือ้ มัดเล็ก 2. พฒั นาทกั ษะการส่อื สารและภาษา 3. สามารถใช้ความสัมพนั ธร์ ะหว่างมือกับตา 4. สร้างสมาธแิ ละความสนใจใหผ้ ู้เรียนได้ 5. สามารถใช้ลมในการพูดได้ถูกต้อง 6. มีทักษะการใช้รปู ปาก สระ อู 7. สรา้ งปฏิสัมพันธ์อยใู่ นสังคมกับผู้อืน่ 8. สร้างความภาคภูมิใจในผลงานตนเอง เน้ือหา 1. โควดิ -19 ตัวเจา้ ปัญหา กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั นา 1. ผู้สอนและผู้เรียนทักทาย “สวัสดีครบั ” และ “สวัสดคี ่ะ” โดยผสู้ อนร้องเป็นเพลงและ ท่าทางให้ผเู้ รยี นสนใจ 2. ผสู้ อนอธิบายกิจกรรมทจี่ ะทา และนาเสนออุปกรณต์ ่างๆ ในกิจกรรมนน้ั ๆ 3. ผ้สู อนสาธติ การพิมพภ์ าพท่ถี กู วิธี ขัน้ สอน ๑.ผูเ้ รยี นรู้จกั กับอปุ กรณ์ เชน่ พกู่ ัน จานสี สีน้าโปสเตอร์ หลอดกาแฟ ๒.ผเู้ รยี นเดินมาหยิบอุปกรณท์ ี่ผูส้ อนกาหนด เปน็ รูปลายปะรปู หน้ากากอนามัย 3.ผเู้ รยี นเขยี นตามเส้นปะด้สยปากกาดา 4.ผเู้ รียนนาพู่กันจมุ่ สีแลว้ หยดลงบนกระดาษ ใช้หลอดเปา่ สีให้กระจ่ายออก ใหม้ รี ูปร่างทรง กลม ผสมสีตามจนิ ตนาการของผเู้ รยี น 5.ผ้เู รียนนาตามาติด ทาใหโ้ ควิตมีชวี ิต และวาดรูปอารมณ์หนา้ ต่างๆ หลากหลายอารมณ์ เช่น ดีใจ เสียใจ โกรธ 6.ผเู้ รยี นนาผลงานโชว์อยา่ งภาคภมู ิใจในตนเอง ขน้ั สรปุ ๑. ผู้เรยี นใหค้ วามร่วมมือในการทากจิ กรรมและมสี มาธิสามารถใช้ตาประสานสัมพันธ์กบั มอื ขณะ ทากิจกรรมได้ ๒. ผูเ้ รยี นเก็บอุปกรณ์ท่ีทาไวท้ ใี่ ห้เรยี บรอ้ ยและเดินมาส่งงานทีละคนและตรวจผลงานผเู้ รยี น

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๗ 3. ครูพดู คุยกับผู้เรยี น ซักถาม เกี่ยวกบั กจิ กรรม 4. เมอ่ื หมดช่ัวโมงผสู้ อนใหน้ ักเรียนกล่าว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคุณคะ่ ” ส่ือ /อปุ กรณ์ ๑. สนี ้าโปสเตอร์ ๒. พกู่ นั ๓. หลอดกาแฟ ๔. กระดาษ ๕. จานผสมสี 6. กา้ นกล้วย 7. สีธรรมชาติ ไดแ้ ก่ 7.1. สีชมพู ไดจ้ าก ปูนแดง 7.2 สเี ขียว ได้จาก ใบอญั ชนั ใบตาลงึ 7.3 สดี า ได้จาก ถ่าน 7.4 สีเหลือง ได้จาก ผงขม้นิ 7.5 สแี ดง ไดจ้ าก ไมฝ้ าง 7.6 สมี ว่ ง ไดจ้ าก อัญชนั การวดั และประเมินผล วิธกี ารสงั เกตพฤตกิ รรมผูเ้ รียน และบนั ทกึ ระดับความสามารถของผู้เรียนในแบบประเมินผลการ เรยี นรู้ เครือ่ งมือแบบประเมนิ ผลการเรยี นรกู้ ิจกรรมศลิ ปะบาบดั เกณฑ์การวัดและประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถึง ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอยา่ งผู้อ่ืนได้ 4 หมายถึง ทาได้ด้วยตนเอง 3 หมายถึง ทาได้โดยมีการชว่ ยเหลือ ชแ้ี นะจากผู้อื่นบา้ งเล็กน้อย 2 หมายถงึ ทาได้โดยมกี ารช่วยเหลือ ชแ้ี นะ จากผู้อื่น 1 หมายถงึ ทาไดโ้ ดยมีผู้อน่ื พาทา เกณฑก์ ารผา่ น คือ ผเู้ รยี นทาได้ระดบั 4 หรือ 5

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๘ แผนการสอน ศลิ ปะบาบดั หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 ศลิ ปะประยกุ ต์ กจิ กรรมที่ 5 ที่เปา่ สดุ มหัศจรรย์ ธ.ค. วัตถุประสงค์ ฝึกทกั ษะทางศลิ ปะทท่ี าให้เกิดผลงานที่สร้างสรรค์ นาไปชว่ ยฝกึ การใช้ลม จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. ผเู้ รียนสามารถใชป้ ากเปา่ และออกเสยี งพยญั ชนะ ป พ ฟ ต ท ซ จ ช ก ค ฮ ไดถ้ ูกต้อง 2. ผู้เรียนสามารถใช้ลมไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง 3. ผ้เู รยี นสรา้ งสรรคผ์ ลงานได้อย่างสวยงาม เริ่มใช้แผนวันท่ี 1 ธ.ค. 2564 สนิ้ สุดแผน 31 ธ.ค. 2564 ใช้เวลาสอน คาบละ 60 นาที พฒั นาการท่เี กดิ ขึ้นระหวา่ งการเรียนการสอน  พฒั นาการด้านรา่ งกาย  พฒั นาการดา้ นอารมณ์  พัฒนาการดา้ นการ  พฒั นาการดา้ นสตปิ ัญญา และจิตใจ ชว่ ยเหลอื ตนเองและสังคม จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทกั ษะกล้ามเนือ้ มัดเล็ก 2. พัฒนาทักษะการส่ือสารและภาษา 3. สามารถใชค้ วามสมั พนั ธร์ ะหว่างมือกบั ตา 4. สรา้ งสมาธแิ ละความสนใจใหผ้ ู้เรียนได้ 5. สามารถใช้ลมในการพดู ไดถ้ ูกตอ้ ง 6. มีทักษะการใชร้ ูปปาก สระ อู 7. สรา้ งปฏสิ ัมพันธ์อยใู่ นสงั คมกับผูอ้ ืน่ 8. สรา้ งความภาคภูมิใจในผลงานตนเอง เนื้อหา 1. ทีเ่ ปา่ สุดมหัศจรรย์ กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนา ๑. ผู้สอนนารูปภาพที่เป่าสุดมหศั จรรย์ผูเ้ รยี นดู และดูคู่มอื การทา ขัน้ สอน 1. ผเู้ รียนตดั กระดาษสเี ปน็ ทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลาง 3 นิ้ว 2. ผ้เู รียนใชก้ รรไกรตัดใหเ้ ป็นทรงกลม และตดั เป็นเสน้ เขา้ หาจุดศนู ย์กลาง 1 เสน้ 3. ผูเ้ รยี นพับกระดาษสเี ป็นทรงกรวยตดิ ด้วยกาว 2 หน้า 4. ผเู้ รยี นตกแต่งใหก้ รวยใหเ้ ป็นรปู สัตวต์ า่ งๆ ตามจนิ ตนาการของผเู้ รยี น 5. ผู้เรยี นเจาะรตู รงปลายกรวยเพ่อื สอดหลอด 6. ผู้เรยี นนาลูกปงิ ปอ่ งมาวางไว้ด้านในกรวย 7. จากนั้นให้ผ้เู รยี นเป่าเพ่ือให้ลกู ปงิ ปอ่ งลอยบนอากาศ

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๙ ข้นั สรปุ ๑. ผู้เรยี นเลน่ กจิ กรรมได้รว่ มกบั ผู้ปกครอง ครู มปี ฏิสัมพันธท์ างสงั คม ๒. ผ้เู รยี นแสดงความภาคภมู ใจในผลงานตนเอง ส่ือ อุปกรณ์ 1. ลกู ปงิ ป่อง 2. กระดาษสี 2 หนา้ สีแดง มว่ ง เขียว ขาว ดา 3. หลอดกาแฟแบบงอได้ 4. กรรไกร 5. กาว 2 หน้าบาง 6. วงเวียน 7. กาว การวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารสังเกตพฤตกิ รรมผู้เรยี น และบันทกึ ระดบั ความสามารถของผู้เรียนในแบบประเมินผลการ เรยี นรู้ เคร่อื งมือแบบประเมินผลการเรยี นรกู้ ิจกรรมศิลปะบาบดั เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองและเปน็ แบบอย่างผูอ้ ่ืนได้โดยเปา่ ลมไดน้ าน 60 วนิ าที 4 หมายถงึ ทาได้ด้วยตนเองสามารถเป่าลมได้นาน 30 วนิ าที 3 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมีการชว่ ยเหลอื ช้แี นะจากผู้อ่นื บ้างเลก็ นอ้ ย 2 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมกี ารชว่ ยเหลอื ชแ้ี นะ จากผู้อน่ื 1 หมายถงึ ทาไดโ้ ดยมีผูอ้ น่ื พาทา เกณฑก์ ารผ่าน คือ ผู้เรยี นทาไดร้ ะดบั 4 หรือ 5

ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๐ กจิ กรรมที่ 6 ลน้ิ มหศั จรรย์ วตั ถปุ ระสงค์ ฝกึ ทักษะทางศลิ ปะทท่ี าให้เกดิ ผลงานทสี่ รา้ งสรรค์ นาไปช่วยฝกึ การใช้ลม จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. ผเู้ รยี นสามารถใชป้ ากเป่า และออกเสียงพยญั ชนะ ป พ ฟ ต ท ซ จ ช ก ค ฮ ได้ถกู ตอ้ ง 2. ผูเ้ รยี นสามารถใช้ลมได้อยา่ งถกู ตอ้ ง 3. ผเู้ รียนสร้างสรรค์ผลงานไดอ้ ย่างสวยงาม จุดประสงค์ 1. พัฒนาทักษะกลา้ มเนือ้ มัดเลก็ 2. พฒั นาทักษะการส่ือสารและภาษา 3. สามารถใช้ความสมั พนั ธร์ ะหว่างมอื กับตา 4. สร้างสมาธแิ ละความสนใจใหผ้ ู้เรยี นได้ 5. สามารถใช้ลมในการพดู ไดถ้ ูกต้อง 6. มที ักษะการใชร้ ูปปาก สระ อู 7. สรา้ งปฏสิ ัมพนั ธ์อย่ใู นสังคมกบั ผอู้ ื่น 8. สร้างความภาคภูมิใจในผลงานตนเอง เน้อื หา 1. ล้ินมหัศจรรย์ กจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ นา 1. ผสู้ อนนารปู ภาพล้นิ มหศั จรรย์ใหผ้ เู้ รยี นดู และดูคูม่ อื การทา ขัน้ สอน 1. ผู้เรยี นตัดกระดาษสนี า้ ตาลเข้มและสีนา้ ตาลอ่อน เป็นสีเ่ หล่ยี มผนื ผ้า 6x8 นว้ิ ตัดเป็นรูป สามเหลี่ยม 2. ผเู้ รียนพบั มุมบนของกระดาษสามเหลย่ี ม เศษ 3 สว่ น 4 ของกระดาษ ติดกาว 2 หน้า และนาหลอดกาแฟมาตดิ 3. ผเู้ รยี นตดั กระดาษสแี ดงขนาด 1x10 น้วิ ติดกาว 2 หนา้ บนหลอดแลว้ แปะกระดาษสี แดง 4. ผเู้ รยี นนากระดาษสีนา้ ตาลอ่อนแปะทับบนกระดาษสนี า้ ตาลเขม้ 5. ผเู้ รยี นพบั มุมกระดาษ 30 องศา 6. ผเู้ รยี นตกแต่งสว่ นต่างๆ ให้เป็นรปู สตั ว์ 7. ผู้เรียนกลับดา้ นหลงั ใช้ดนิ สอมว้ นกระดาษสแี ดง 8. ผู้เรียนเปำ่ ตรงหลอดกำแฟ ลมทำให้เส้นสแี ดงเคลอ่ื นไหวเหมอื นแลบล้ิน ข้นั สรุป ๑. ผูเ้ รียนเล่นกิจกรรมไดร้ ่วมกับผปู้ กครอง ครู มีปฏสิ มั พันธ์ทางสงั คม ๒. ผเู้ รยี นแสดงความภาคภมู ใจในผลงานตนเอง

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๑ สอื่ อุปกรณ์ 1. กระดาษสี 2 หนา้ สแี ดง น้าตาลเข้ม น้าตาลออ่ น (เขยี วเข้มและเขี่ยวออ่ น, นา้ เงินและฟา้ ) ขาวและ ดา 2. หลอดกาแฟแบบงอได้ 3. กรรไกร 4. กาว 2 หนา้ บาง 5. กาว 6. ดนิ สอ การวดั และประเมินผล วธิ กี ารสงั เกตพฤตกิ รรมผเู้ รียน และบนั ทึกระดบั ความสามารถของผู้เรียนในแบบประเมนิ ผลการ เรียนรู้ เคร่ืองมอื แบบประเมินผลการเรยี นรกู้ ิจกรรมศิลปะบาบดั เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 5 หมายถึง ทาได้ด้วยตนเองและเป็นแบบอย่างผ้อู ื่นได้โดยเป่าลมไดน้ าน 60 วินาที 4 หมายถึง ทาไดด้ ้วยตนเองสามารถเป่าลมได้นาน 30 วินาที 3 หมายถงึ ทาได้โดยมีการชว่ ยเหลอื ชแี้ นะจากผู้อืน่ บา้ งเลก็ นอ้ ย 2 หมายถงึ ทาไดโ้ ดยมกี ารชว่ ยเหลือ ชแี้ นะ จากผู้อนื่ 1 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมีผอู้ นื่ พาทา เกณฑก์ ารผ่าน คอื ผู้เรียนทาไดร้ ะดบั 4 หรือ 5

ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๒ กิจกรรมท่ี 7 หนอนนอ้ ย กระดบึ กระดึบ วัตถุประสงค์ ฝึกทกั ษะทางศลิ ปะท่ที าให้เกิดผลงานทสี่ ร้างสรรค์ นาไปชว่ ยฝึกการใช้ลม จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. ผูเ้ รียนสามารถใชป้ ากเปา่ และออกเสยี งพยญั ชนะ ป พ ฟ ต ท ซ จ ช ก ค ฮ ไดถ้ ูกตอ้ ง 2. ผู้เรยี นสามารถใช้ลมได้อยา่ งถูกตอ้ ง 3. ผเู้ รียนสร้างสรรคผ์ ลงานได้อย่างสวยงาม จุดประสงค์ 1. พัฒนาทักษะกล้ามเน้อื มัดเลก็ 2. พัฒนาทกั ษะการสอื่ สารและภาษา 3. สามารถใช้ความสัมพันธร์ ะหวา่ งมือกบั ตา 4. สรา้ งสมาธแิ ละความสนใจให้ผู้เรียนได้ 5. สามารถใช้ลมในการพูดไดถ้ ูกตอ้ ง 6. มีทกั ษะการใชร้ ูปปาก สระ อู 7. สร้างปฏสิ ัมพนั ธอ์ ย่ใู นสงั คมกับผอู้ ่ืน 8. สรา้ งความภาคภูมิใจในผลงานตนเอง เนอื้ หา 1. หนอนน้อย กระดึบ กระดึบ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั นา 1. ผู้สอนนารปู ภาพหนอนกระดำษให้ผ้เู รยี นดู และดูคูม่ ือการทา ขน้ั สอน 1. ผูเ้ รียนตัดกระดาษสีตัดขนาด 4x15 cm 2. ผเู้ รียนพับกระดาษตรงกลางเทา่ กนั 3. ผู้เรียนพบั เขา้ หากนั อย่างละครง่ึ ท้งั 2 ด้าน ใหไ้ ดข้ นาดพอประมาณ 4. ผเู้ รียนตกแต่งโดยตัดมมุ ให้สวยงาม 5. ผู้เรียนวาดรูปตา และปากให้สวยงาม 1 ด้าน 6. ผเู้ รียนและครู ผู้ปกครอง สรา้ งสนามแข่งขนั โดยใช้สติก๊ เกอร์ทาทางเพอ่ื แข่งขันเปน็ 2 ชอ่ งโดยมีจุดเริ่มตน้ และเสน้ ชัย 7. ผเู้ รยี นและครู ผู้ปกครอง นาตวั หนอนมาวางไวท้ จ่ี ุดเร่ิมตน้ จากนัน้ ใช้หลอดกาแฟเป่าตรง ดา้ นกลางหลังของหนอน เพอื่ ใหห้ นอนเคล่อื นไหวไปข้างหน้า ข้ันสรปุ ๑. ผเู้ รยี นเลน่ กจิ กรรมไดร้ ว่ มกับผู้ปกครอง ครู มปี ฏิสมั พนั ธท์ างสังคม ๒. ผเู้ รียนแสดงความภาคภมู ใจในผลงานตนเอง สือ่ อปุ กรณ์ 1. กระดาษสี 2 หน้า สแี ดง สีเขยี ว 2. หลอดกาแฟแบบพบั

ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๓ 3. สต๊ิกเกอร์เส้น 4. ปากกาเมจิกสดี า การวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารสังเกตพฤติกรรมผู้เรยี น และบันทึกระดับความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรียนรู้ เคร่ืองมือแบบประเมินผลการเรยี นรกู้ ิจกรรมศิลปะบาบัด เกณฑ์การวดั และประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถงึ ทาไดด้ ว้ ยตนเองและเป็นแบบอยา่ งผู้อ่ืนได้โดยเปา่ ลมไดน้ าน 60 วนิ าที 4 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองสามารถเป่าลมได้นาน 30 วนิ าที 3 หมายถงึ ทาได้โดยมกี ารชว่ ยเหลือ ชี้แนะจากผู้อ่ืนบ้างเลก็ นอ้ ย 2 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลอื ชีแ้ นะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถงึ ทาได้โดยมีผู้อ่นื พาทา เกณฑก์ ารผา่ น คือ ผเู้ รียนทาไดร้ ะดับ 4 หรอื 5

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๔ กิจกรรมท่ี 8 สตั ว์ตัวนอ้ ยมหศั จรรยพ์ ่นลม วตั ถุประสงค์ ฝกึ ทกั ษะทางศิลปะที่ทาให้เกดิ ผลงานที่สรา้ งสรรค์ นาไปช่วยฝึกการใช้ลม จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ผู้เรยี นสามารถใชป้ ากเป่า และออกเสยี งพยัญชนะ ป พ ฟ ต ท ซ จ ช ก ค ฮ ไดถ้ กู ตอ้ ง 2. ผูเ้ รยี นสามารถใช้ลมได้อย่างถกู ต้อง 3. ผ้เู รยี นสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างสวยงาม จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทกั ษะกลา้ มเนอื้ มดั เลก็ 2. พัฒนาทกั ษะการสือ่ สารและภาษา 3. สามารถใชค้ วามสมั พันธร์ ะหว่างมือกบั ตา 4. สรา้ งสมาธิและความสนใจใหผ้ ู้เรยี นได้ 5. สามารถใชล้ มในการพูดไดถ้ กู ตอ้ ง 6. มีทกั ษะการใชร้ ูปปาก สระ อู 7. สรา้ งปฏิสมั พันธอ์ ยใู่ นสงั คมกับผู้อนื่ 8. สรา้ งความภาคภูมิใจในผลงานตนเอง เนื้อหา 1. สตั วต์ ัวน้อยมหศั จรรยพ์ ่นลม กจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั นา 1. ผสู้ อนนารูปภาพสตั ว์นอ้ ยพ่นลมให้ผเู้ รียนดู และดคู ูม่ อื การทา ขั้นสอน 1. ผเู้ รยี นนาแกนในกระดาษทชิ ชู 1 ชน้ิ มาตงั้ ไว้ข้างหนา้ ผเู้ รยี น 2. ผู้เรียนนาจานสี ผสมสีเขียว ระบายแกนทชิ ชูท้ังหมด 3. ผู้เรยี นทาปอมปอมดว้ ยไหมพรม 2 ช้ินพร้อมติกลูกตาปลอม 4. ผู้เรยี นนาลุกตามาตดิ บนแกนทรี่ ะบายสจี นแห้งแลว้ และนากระดุมมาติดเปน็ จมูก 5. ผู้เรยี นนากระดาษวา่ วมาตัดขนาด 20x30 cm 6. ผู้เรียนตดั เป็นเสน้ โดยเหลือช่วงด้านท้ายกระดาษไว้ 1.5 น้ิว 7. ผเู้ รียนนากระดาษวา่ วมาติดให้สวยงาม 8. ผู้เรยี น ครู ผู้ปกครอง แข่งขนั กนั เป่าโดยกาหนดว่าใครเป่าไดน้ านท่สี ุดชนะ 9. ผูเ้ รยี น ครู ผู้ปกครอง แขง่ ขันกนั เปา่ โดยกาหนดวา่ ใครเป่าได้นานท่ีสุดชนะ โดยออกเสยี ง พยญั ชนะท่ผี เู้ รยี นไมไ่ ด้ตามแบบคัดกรองก่อนการเรียน ขัน้ สรปุ ๑. ผ้เู รียนเล่นกิจกรรมไดร้ ว่ มกบั ผู้ปกครอง ครู มปี ฏสิ ัมพนั ธ์ทางสังคม ๒. ผู้เรียนแสดงความภาคภมู ใจในผลงานตนเอง สื่อ อปุ กรณ์ 1. แกนกระดาษทชิ ชู 2. สี จานสี พู่กนั

ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๕ 3. กระดาษว่าว 4. ไหมพรม 5. กระดมุ 6. กาว การวัดและประเมินผล วิธกี ารสังเกตพฤตกิ รรมผเู้ รยี น และบนั ทึกระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมนิ ผลการ เรยี นรู้ เครือ่ งมือแบบประเมนิ ผลการเรียนรกู้ จิ กรรมศลิ ปะบาบัด เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล เกณฑก์ ารให้คะแนน 5 หมายถึง ทาได้ด้วยตนเองและเปน็ แบบอยา่ งผู้อ่ืนได้โดยเป่าลมไดน้ าน 60 วนิ าที 4 หมายถงึ ทาได้ด้วยตนเองสามารถเป่าลมได้นาน 30 วนิ าที 3 หมายถงึ ทาได้โดยมีการชว่ ยเหลอื ชแี้ นะจากผู้อ่ืนบ้างเลก็ นอ้ ย 2 หมายถงึ ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลอื ชีแ้ นะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผู้อื่นพาทา เกณฑ์การผ่าน คอื ผเู้ รยี นทาได้ระดบั 4 หรอื 5

ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๖ กจิ กรรมที่ 9 จานบนิ หมุน หมุน วตั ถปุ ระสงค์ ฝึกทกั ษะทางศิลปะที่ทาให้เกิดผลงานท่ีสร้างสรรค์ นาไปช่วยฝกึ การใช้ลม จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ผู้เรียนสามารถใชป้ ากเป่า และออกเสยี งพยัญชนะ ป พ ฟ ต ท ซ จ ช ก ค ฮ ไดถ้ กู ตอ้ ง 2. ผู้เรยี นสามารถใช้ลมได้อย่างถกู ต้อง 3. ผเู้ รียนสร้างสรรคผ์ ลงานไดอ้ ยา่ งสวยงาม จุดประสงค์ 1. พฒั นาทักษะกล้ามเนือ้ มัดเล็ก 2. พฒั นาทกั ษะการสือ่ สารและภาษา 3. สามารถใช้ความสมั พันธร์ ะหว่างมือกบั ตา 4. สร้างสมาธแิ ละความสนใจให้ผู้เรยี นได้ 5. สามารถใชล้ มในการพดู ไดถ้ ูกต้อง 6. มีทักษะการใชร้ ปู ปาก สระ อู 7. สรา้ งปฏิสัมพนั ธ์อยใู่ นสังคมกบั ผู้อนื่ 8. สร้างความภาคภมู ิใจในผลงานตนเอง เน้อื หา 1. จานบนิ หมุน หมนุ กจิ กรรมการเรียนรู้ ขัน้ นา 1. ผสู้ อนนารูปภาพจานบนิ หมุน หมุน ใหผ้ ู้เรยี นดู และดคู มู่ ือการทา ขน้ั สอน 1. ผู้เรยี นนากระปอ๋ งโคก๊ เปบ็ ซี่ มาตัด ¾ ตรงด้านท้ายของโค๊ก 2. ผูเ้ รยี นนาแกว้ กระดาษมาตัด ¼ ของแกว้ แล้วเจาะรูตรงกลาง 3. ผูเ้ รยี นเจาะรูตรงด้านข้างของแกว้ อกี 4 รใู หต้ รงกันขา้ มกนั 4. ผู้เรียนนาหลอดท่ีงอได้มาตัดยาวประมาณ 2 น้ิว แลว้ งอหลอดใสตรงรดู า้ นขา้ งของแกว้ 5. ผู้เรยี นนาฝาท้ายกระปอ๋ งโค๊ก ทากาวดา้ นท้ายของกระปอ๋ งและนาไปตดิ กบั แกว้ กระดาษ โดยด้านทา้ ยจะโคง้ นูนสามารถหมุนได้ 6. ผเู้ รยี นนาหลอดมาเปา่ ใหจ้ านบนิ หมุน 8. ผู้เรยี น ครู ผู้ปกครอง แขง่ ขันกันเปา่ โดยกาหนดว่าใครเป่าได้นานที่สดุ ชนะ ขน้ั สรุป ๑. ผเู้ รยี นเลน่ กจิ กรรมไดร้ ่วมกับผู้ปกครอง ครู มปี ฏสิ ัมพันธ์ทางสงั คม ๒. ผเู้ รียนแสดงความภาคภูมใจในผลงานตนเอง สอื่ อุปกรณ์

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๗ 1. กระปอ๋ งโค๊ก 2. แก้วกระดาษ 3. หลอด 4. กาว การวัดและประเมนิ ผล วิธกี ารสงั เกตพฤติกรรมผู้เรียน และบันทกึ ระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมนิ ผลการ เรียนรู้ เครื่องมอื แบบประเมนิ ผลการเรยี นร้กู จิ กรรมศิลปะบาบดั เกณฑ์การวัดและประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอย่างผู้อ่ืนได้โดยเป่าลมไดน้ าน 60 วินาที 4 หมายถงึ ทาไดด้ ้วยตนเองสามารถเป่าลมได้นาน 30 วนิ าที 3 หมายถึง ทาได้โดยมกี ารชว่ ยเหลือ ชี้แนะจากผู้อ่ืนบ้างเลก็ นอ้ ย 2 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมีการชว่ ยเหลือ ชีแ้ นะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถงึ ทาได้โดยมีผอู้ ื่นพาทา เกณฑ์การผ่าน คือ ผ้เู รยี นทาไดร้ ะดบั 4 หรอื 5

ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๘ กิจกรรมท่ี 10 พระอาทติ ยห์ มุน หมนุ วัตถปุ ระสงค์ ฝกึ ทักษะทางศลิ ปะท่ีทาใหเ้ กดิ ผลงานทส่ี รา้ งสรรค์ นาไปชว่ ยฝึกการใช้ลม จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. ผู้เรียนสามารถใช้ปากเป่า และออกเสยี งพยัญชนะ ป พ ฟ ต ท ซ จ ช ก ค ฮ ได้ถูกตอ้ ง 2. ผูเ้ รียนสามารถใช้ลมได้อย่างถกู ตอ้ ง 3. ผู้เรียนสร้างสรรคผ์ ลงานได้อย่างสวยงาม จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทกั ษะกล้ามเน้อื มัดเลก็ 2. พัฒนาทกั ษะการสือ่ สารและภาษา 3. สามารถใช้ความสมั พันธ์ระหว่างมอื กับตา 4. สร้างสมาธแิ ละความสนใจใหผ้ ู้เรยี นได้ 5. สามารถใชล้ มในการพดู ไดถ้ กู ต้อง 6. มที กั ษะการใชร้ ปู ปาก สระ อู 7. สร้างปฏสิ ัมพนั ธอ์ ยใู่ นสงั คมกับผอู้ นื่ 8. สรา้ งความภาคภมู ิใจในผลงานตนเอง เนื้อหา 1. พระอาทิตย์ หมนุ หมุน กิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั นา 1. ผู้สอนนารูปภาพพระอาทติ ย์หมุน หมนุ ให้ผูเ้ รียนดู และดูค่มู อื การทา ขน้ั สอน 1. ผู้เรยี นตดั กระดาษสเี หลอื งเปน็ ทรงกลม 2. ผเู้ รียนนาดนิ สอมาวงเสน้ ด้านในอีก 1 เส้น 3. แบง่ เสน้ ผ่าศูนย์กลาง ท้ัง 2 เส้น ให้แบ่งเสน้ เพมิ่ จากเส้นด้านนอกและเส้นด้านใน ให้ห่าง กนั ประมาณ 1 นิ้ว 4. ผเู้ รียนตดั และพบั กระดาษจากซ้ายไปขวา จนรอบทรงกลม 5. ผ้เู รยี นตกแต่ง ลูกตา และปาก ตามจินตนาการ 6. ผู้เรียนเจาะรตู รงกลางของพระอาทิตย์ 7. ผู้เรียนนาฝากลอ่ งทม่ี ขี นาดสงู 1.5 น้วิ เจาะรูและนากา้ นไมเ้ สยี บลูกชิ้นมาเสียบโดยให้ โผล เนอ้ื ไม้เลก็ นอ้ ย 8. ผู้เรยี นนาพระอาทติ ยท์ เี่ จาะรแู ลว้ มาเสยี บกับไมท้ กี่ ล่อง พร้อมเปา่ 8. ผเู้ รียน ครู ผู้ปกครอง แข่งขันกนั เป่าโดยกาหนดว่าใครเป่าไดน้ านทีส่ ุดชนะ ขนั้ สรปุ ๑. ผู้เรยี นเล่นกิจกรรมได้รว่ มกบั ผู้ปกครอง ครู มีปฏิสมั พนั ธท์ างสังคม ๒. ผู้เรยี นแสดงความภาคภมู ใจในผลงานตนเอง

ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๙ สอื่ อปุ กรณ์ 1. กระปอ๋ งโคก๊ 2. แกว้ กระดาษ 3. หลอด 4. กาว การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการสงั เกตพฤติกรรมผเู้ รียน และบนั ทกึ ระดับความสามารถของผู้เรียนในแบบประเมินผลการ เรียนรู้ เครอ่ื งมือแบบประเมนิ ผลการเรยี นรกู้ ิจกรรมศลิ ปะบาบัด เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถึง ทาไดด้ ว้ ยตนเองและเปน็ แบบอยา่ งผู้อ่ืนได้โดยเปา่ ลมไดน้ าน 60 วนิ าที 4 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองสามารถเป่าลมไดน้ าน 30 วนิ าที 3 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมีการช่วยเหลือ ชแ้ี นะจากผู้อ่ืนบ้างเลก็ นอ้ ย 2 หมายถึง ทาได้โดยมกี ารช่วยเหลอื ช้ีแนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผอู้ น่ื พาทา เกณฑ์การผ่าน คือ ผเู้ รียนทาไดร้ ะดับ 4 หรอื 5

TherAaRpTy Using thewindfor speaking “¾‹ÍáÁµ‹ŒÍ§µÃÐ˹ѡNjÒÅÙ¡µŒÍ§¡ÒþѲ¹ÒÀÒÉÒãË㌪ŒÀÒÉÒ·è¶ÕÙ¡µÍŒ§ Êè×ÍÊÒÃ໹šáÅо͋áÁ‹¤×ͺؤ¤Å·èªÕ‹ÇÂÅ¡Ùä´ŒÁÒ¡·ÊÕèØ´ ¶ŒÒ¾ºÇ‹ÒÅ¡ÙÁ¾Õ²Ñ¹Ò¡Ò÷ҧÀÒÉÒ·ÅèÕ‹ÒªŒÒÂÔè§ÃѺ¡Òý¡ƒ¾Ù´àÃçÇÁÒ¡à·‹Òäà ¨Ð໚¹¼Å´µÕÍ‹¡Òþ²Ñ¹Ò¤ÇÒÁÊÒÁÒö·Ò§ÀÒÉÒáÅСÒþ´Ù áÅÐÅ´¤ÇÒÁùØáç¢Í§¡Òþ´Ù¼´Ô»¡µÔä´”Œ º·¤ÇÒÁʶҺѹÃҪҹءÅÙ