Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ

หนังสือ

Description: หนังสือ

Search

Read the Text Version

หน่วยการเรยี นรู้ เรอ่ื ง พนั ธุกรรมรจู้ ักฉนั รจู้ กั เธอ จดั ทาโดย กลุ่มวทิ ยาศาสตรน์ ่ารู้ โรงเรยี นโพธิต์ ากพิทยาคม สานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาหนองคาย

คำนำ หนว่ ยการเรยี นรู้ เร่ืองพนั ธุกรรมรจู้ กั ฉนั ร้จู ักเธอ รายวชิ าพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว23101 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนโพธติ์ าก พิทยาลม เลม่ นไี้ ดจ้ ดั ทาขึ้นเพื่อใชเ้ ป็นแนวทางในการจัดการเรยี นรโู้ ดยเน้น ผู้เรียน เป็นสาคัญ ให้นกั เรียนมสี ว่ นรว่ มในการจดั กจิ กรรมและกระบวนการ เรยี นรู้ สามารถสร้างองค์ความรไู้ ดด้ ้วยตนเอง สร้างสถานการณ์การเวียนรู้ท้ัง ในห้องเรยี นและนอกหอ้ งเรียน นักเรียนสามารถเชือ่ มโยงความรใู้ นกลุ่มสาระ การเรยี นรู้ อน่ื ๆ ได้ ในเชงิ บูรณาการด้วยวธิ กี ารท่หี ลากหลาย เนน้ กระบวนการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และสรปุ ความรูด้ ้วย ตนเอง ทาให้นักเรียน ไดร้ ับการพัฒนาท้ังต้านความรู้ ด้านทักษะ/กระบวนการ และด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และ ค่านิยมทดี่ ี นาไปสกู่ ารอยรู่ ่วมกันในสังคมอยา่ งสนั ตสิ ุข หน่วยการเรียนรู้ เรือ่ งพันธุกรรมรู้จกั ฉันรจู้ ักเธอ ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่มนไี้ ด้ออกแบบการเรียนรู้ด้วย เทคนคิ และวิธีการสอนอยา่ งหลากหลาย เพื่อ การจัดการเรยี นร้สู าหรับนกั เวยี นให้บรรลเุ ป้าหมายของหลกั สตู รตอ่ ไป กลมุ่ วทิ ยาศาสตร์นา่ รู้

สว่ นประกอบ เรื่อง ความสมั พนั ธระหวา่ ง ยีน โคโมโซม ดเี อ็ม เรอ่ื ง กฎของเมนเดล เรอื่ ง จโี นโทป์ ฟีโนโทป์ เรอ่ื ง การแบ่งเซลล์ เรอ่ื ง โรคทางพนั ธกุ รรม เรื่อง เทคโนโลยที างชีวภาพ

บทที่ 1 เร่อื ง ควำมสัมพันธระหว่ำง ยีน โคโมโซม ดีเอ็ม ลกั ษณะทางพันธุกรรมถูกควบคมุ โดยยนี ซงึ่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของดีเอ็นเอ ดี เอ็นเอเปน็ ส่วนหนึ่งของโครโมโซมซ่งึ อยใู่ นนิวเคลยี ส ยีนเปน็ หนว่ ยย่อยท่ีเลก็ ทส่ี ดุ ทางพันธุกรรม ยนี ที่ควบคุมลกั ษณะของสงิ่ มชี วี ติ เรยี กวา่ จีโนไทป์ ลักษณะที่ปรากฏออกมา เรียกวา่ ฟีโนไทป์ การศึกษาการถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม เรียกว่า พนั ธุศาสตร์ (Genetics) ส่วน ยีน (Gene) เป็นขอ้ มลู ทางพนั ธกุ รรมที่เรยี งอยูบ่ นโครโมโซมในนิวเคลียส โดยมี จานวนมากมายเรยี งต่อกันเปน็ สายคล้ายลูกปดั ยนี ของพอ่ อยูภ่ ายในนิวเคลยี สของเซลลอ์ สจุ ิ และยีนของแมอ่ ย่ภู ายใน นิวเคลยี สของเซลลไ์ ข่ เม่อื มกี ารสบื พนั ธ์เุ ซลลอ์ สุจิ และเซลลไ์ ข่จะเกดิ การ ปฏสิ นธิ นวิ เคลียสของเซลลอ์ สจุ จิ ะรวมกบั นวิ เคลียสของเซลล์ไข่ ได้นวิ เคลียส ของเซลล์ใหม่ เรยี กวา่ ไซโกต ซงึ่ เปน็ เซลล์เริม่ ตน้ ของส่ิงมชี วี ิตใหมห่ รอื กค็ ือ “ลูก”ดังนั้น ลกู จงึ มยี นี มาจากพอ่ ครงึ่ หนึ่ง และจากแม่อกี คร่งึ หน่ึง ลักษณะ ต่างๆ ท่ีประกอบขึ้นเปน็ ตวั เรานน้ั ได้มาจากพ่อและแม่ สิ่งทพี่ ่อแม่สง่ ผ่านมาให้ เรานีเ้ รียกวา่ ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ซงึ่ ทาใหเ้ ราเหมอื นพอ่ และแม่และเม่อื พิจารณาใหล้ ะเอยี ดข้ึนไปอีกจะพบวา่ ลักษณะทเ่ี ราเหมอื นแมน่ ัน้ จะเหมือนตา

กบั ยายของเรา เชน่ เดียวกนั ลักษณะทีเ่ ราเหมอื นพอ่ กจ็ ะเหมือนปกู่ บั ย่าด้วย แสดงวา่ ลักษณะทางพันธุกรรมจะมีการถ่ายทอดจากรนุ่ หนง่ึ ไปสู่อกี ร่นุ หนงึ่ โดยผ่านการสืบพนั ธุ์ โครโมโซม (Chromosome) เปน็ เส้นใยเล็กๆ ประกอบดว้ ยโปรตีน โครโมโซมของส่ิงมชี ีวติ แตล่ ะชนิดจะมจี านวนคงท่ี และไม่เท่ากบั โครโมโซมของ ส่งิ มชี ีวิตอนื่ โครโมโซมในเซลลร์ ่างกายของส่ิงมีชีวติ มรี ูปรา่ งลกั ษณะเหมือนกัน เป็นคู่ๆ แตล่ ะคเู่ รียกวา่ ฮอมอโลกสั โครโมโซม (Homologous Chromosome) เมือ่ แบ่งเซลลโ์ ครโมโซมแตล่ ะแท่งจะประกอบด้วยโครมาทดิ 2 โครมาทดิ (Chromatid) ทเ่ี หมอื นกัน บรเิ วณที่โครมาทิดท้งั สองติดกนั เรียกวา่ เซนโทร เมยี ร์ (Centromere) โครโมโซมในเซลล์ร่างกายเรียกวา่ ออโตโซม

(Autosome) และในเซลลส์ ืบพนั ธุค์ ือไข่และอสจุ เิ รยี กวา่ โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) ในสง่ิ มชี ีวติ ต่างชนดิ กันจะมีจานวนไม่เท่ากนั เชน่ คนมีโครโมโซมจานวน 46 แท่ง จัดเป็นคๆู่ ได้ 23 คู่ โดยทโ่ี ครโมโซม 23 คู่ ของคนเรา แบ่งเป็น 1. ออโตโซม 22 คู่ มลี กั ษณะเหมือนกันท้ังในเพศชายและเพศหญิง 2. โครโมโซมเพศ เปน็ โครโมโซมคทู่ ่ี 23 มีลกั ษณะแตกต่างกนั ระหวา่ งเพศชาย และเพศหญิง โครโมโซมเพศในเพศชายแท่งหน่งึ มีขนาดใหญเ่ รยี กวา่ โครโมโซม X อกี แทง่ หนึ่งมีขนาดเลก็ เรยี กว่า โครโมโซม Y เราใช้สัญลักษณ์ XY แทนโครโมโซมเพศของเพศชาย เราใช้สญั ลกั ษณ์ XX แทนโครโมโซมเพศของเพศหญิง โครโมโซมเป็นทอ่ี ยขู่ อง ดีเอน็ เอ (DNA) แต่ละชว่ งของ DNA คือยนี DNA เป็นสารพันธุกรรม แต่ยีนเป็นตวั กาหนดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมแต่ละ ลกั ษณะ

ยีนทีค่ วบคมุ ลักษณะใดลักษณะหนึ่งมี 2 แบบ เรยี กว่า แอลลีน (Allele) แต่ ละลักษณะในมนษุ ยเ์ ช่นลกั ษณะของผมถกู ควบคมุ ด้วย 2 แอลลนี ได้แก่ แอ ลลนี ลักษณะเด่น กบั แอลลนี ลกั ษณะดอ้ ย จีโนไทป์ (Genotype) คอื ยนี ท่ีควบคมุ ลกั ษณะของสงิ่ มชี วี ติ เช่น AA, aa, Aa ฟีโนไทป์ (Phenotype) คอื ลักษณะท่ีปรากฏออกมาให้เหน็ เปน็ ผลมาจากจโี น ไทปน์ ่ันเอง เชน่ ผมหยกิ เนือ่ งจากมจี โี นไทป์เป็น AA และ Aa ผมเหยยี ดตรง เนื่องจากมจี ีโนไทป์เปน็ aa

บทที่ 2 เรอื่ ง กฎของเมนเดล ประวตั ขิ องเมนเดล (Biography of Gregor Mendel) เกรเกอร์ เมนเดล (พ.ศ. 2365-พ.ศ. 2427) บดิ าทางพันธุศาสตร์ เกิดที่ เมืองไฮน์เซนดรอฟ ประเทศออสเตรยี เป็นบุตรชายคนเดยี วในจานวนพีน่ อ้ ง 3 คน ของครอบครวั ชาวนาทีย่ ากจน โดยตอ่ มา เมนเดลได้ไปบวชแลว้ ไดร้ ับ ตาแหนง่ รับผิดชอบดูแลสวน ในปี พ.ศ. 2390 เกรเกอร์ เมนเดล เผชญิ ความผิดหวงั นบั 20 ปี ท่เี ขายงั คงสอนหนงั สือเพ่อื ชดเชยความผดิ หวงั เขาทางานในสวนของวัดทุกเวลาทว่ี า่ ง ท่ีนน่ั มพี นั ธุพ์ ืช มากมาย แต่ละชนิดแตกตา่ งหลากหลายอยา่ ง ความแตกตา่ งนี้ ทาใหเ้ กรเก อรน์ กึ สงสยั เขาไดผ้ สมพันธ์ถุ ัว่ เดยี ว กันและตา่ งพันธ์ุ เป็นจานวนแตกต่างถึง 22 ชนดิ ของตน้ ถ่ัว เพ่อื ศกึ ษาลกั ษณะทง้ั หมด เป็นเวลารวม 8 ปเี ตม็ ในการ ทดลองรว่ มพันครง้ั พบได้ 3 ส่ิง ดงั น้ี

• สิง่ แรก เม่อื ผสมพนั ธุถ์ ั่วชนิดตา่ งกนั สองชนดิ ผลผลิตต่อมาท่ีไดเ้ ปน็ พันธุ์ชนิด เดยี ว ยกตวั อย่าง ถา้ หากเขาผสมพันธถ์ุ ่วั เมลด็ สีเหลอื งกับชนิดเมลด็ สแี ดง มันจะผลิตพันธ์ุเมลด็ สเี หลืองออกมา • ต่อไป เมือ่ ผสมพนั ธุ์ต่างชนิดกันของผลผลิตรนุ่ แรก รุน่ ตอ่ ไปจะมเี มล็ดทง้ั สอง ชนิด ในทุกๆสี่ตน้ จะมีสามต้นที่มีเมล็ดสีเหลอื ง และ 1 ตน้ ทีม่ เี มล็ดสีเขียว นี่ เป็นเพราะวา่ หน่วยถา่ ยพันธ์ุที่ผลติ เมล็ดสีเหลอื งเป็นหนว่ ยถา่ ยพันธ์ุท่ี เด่น คอื โดมแิ นนท์ยนี หนว่ ยถา่ ยพันธ์ทุ ่ีผลติ เมลด็ สีเขียวเรยี กวา่ รเี ซสซีพยนี หรอื หน่วยถา่ ยพนั ธด์ุ อ้ ย • ส่งิ ทีส่ าม ถา้ หากเขาผสมพนั ธถ์ุ ั่วต่างชนิดกนั ดว้ ยถั่วสองชนดิ หรือมากกว่า นั้นทีม่ ีลกั ษณะแตกต่างกนั เขาจะคน้ พบกฎข้อทสี่ าม สมมติว่าเขาผสมพันธุ์ ถว่ั ทม่ี เี มล็ดเรียบสีเหลืองกับพันธถ์ุ วั่ ที่มเี มล็ด หยาบสีเขียว รุน่ แรกเมลด็ เรยี บสี เหลอื งจะเป็นตวั เด่น ในรนุ่ ต่อไปจะมีอัตราส่วนเมลด็ เรียบสีเหลือง 9 สว่ น ตอ่ เมลด็ เรยี บสเี ขยี ว 3ส่วน เมลด็ หยาบสีเหลอื ง 3 ส่วน ต่อเมล็ดหยาบสีเขยี ว 1 ส่วน

กำรทดลองของเมนเดล เมนเดลประสบผลสาเรจ็ ในการทดลอง จนตงั้ เปน็ กฎเกยี่ วกบั การถ่ายทอด ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมจากพอ่ แมม่ ายงั ลูกหลานใน ช่วงต่อๆมาไดเ้ นอ่ื งจาก สาเหตุสาคญั สองประการ คอื 1. เมนเดลร้จู ักเลอื กชนดิ ของพชื มาทาการทดลอง พชื ทเ่ี มนเดลใชใ้ นการทดลอง คอื ถัว่ ลนั เตา (Pisum sativum) ซง่ึ มขี อ้ ดใี นการศกึ ษาดา้ นพนั ธศุ าสตรห์ ลาย ประการ เชน่ 1.1 เป็นพชื ทผ่ี สมตัวเอง (self- fertilized) ซึง่ สามารถสรา้ งพันธุ์แท้ได้ ง่าย หรอื จะทาการผสมขา้ มพันธุ์ (cross-fertilized) เพอ่ื สรา้ งลกู ผสมก็ทาได้ ง่ายโดยวิธผี สมโดยใชม้ ือชว่ ย (hand pollination) 1.2 เปน็ พืชท่ปี ลกู งา่ ย ไมต่ ้องทานบุ ารงุ รักษามากนกั ใช้เวลาปลูกตัง้ แต่ ปลูก จนถึงเกบ็ เกี่ยวภายในหน่ึงฤดูปลกู (growing season) หรือประมาณ 3 เดือน เท่านน้ั และยังใหเ้ มล็ดในปรมิ าณท่มี ากด้วย 1.3 เปน็ พืชท่ี มลี ักษณะทางพันธกุ รรม ทแี่ ตกตา่ งกันชดั เจนหลาย ลกั ษณะ ซ่ึงในการทดลองดงั กลา่ ว เมนเดลไดน้ ามาใช้ 7 ลักษณะด้วยกัน 2.เมนเดลรูจ้ ักวางแผนการทดลอง

2.1 เลือกศกึ ษาการถ่ายทอดลักษณะของถว่ั ลันเตาแตล่ ะลกั ษณะ ก่อน เมือ่ เข้าใจหลกั การถ่ายทอดลักษณะน้ัน ๆ แลว้ เขาจงึ ไดศ้ กึ ษาการ ถ่ายทอดสองลักษณะไปพร้อม ๆ กนั 2.2 ในการผสมพันธุ์จะใชพ้ ่อแม่ พนั ธุแ์ ท้ (pure line) ในลักษณะที่ ตรงกันข้ามกัน มาทาการผสมข้ามพันธเ์ุ พอ่ื สร้างลูกผสมโดยใชม้ ือช่วย (hand pollination ) 2.3 ลกู ผสมจากขอ้ 2.2 เรยี กวา่ ลกู ผสมช่วงท่ี 1 หรอื F1( first filial generation) นาลูกผสมทไ่ี ดม้ าปลกู ดูลกั ษณะท่ีเกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร บันทกึ ลักษณะและจานวนท่พี บ2.4 ปลอ่ ยใหล้ ูกผสมช่วงท่ี 1 ผสมกนั เอง ลูกทีไ่ ด้ เรยี กวา่ ลูกผสมชว่ งที่ 2 หรอื F2( second filial generation) นาลูกชว่ งที่ 2 มาปลกู ดูลกั ษณะตา่ ง ๆ ที่เกิดข้ึนวา่ เป็นอยา่ งไร บันทึกลกั ษณะและจานวนที่ พบลักษณะตา่ ง ๆ ของถ่วั ลนั เตาท่เี มนเดล ใช้ในการศึกษาการถา่ ยทอด ลักษณะพันธกุ รรม 1. ลักษณะของเมลด็ – เมล็ดกลม และ เมล็ดย่น (round & wrinkled) 2. สขี องเปลือกหุ้มเมล็ด – สีเหลือง และ สเี ขยี ว (yellow & green) 3. สขี องดอก – สมี ่วงและ สขี าว (purple & white) 4. ลกั ษณะของฝกั – ฝกั อวบ และ ฝกั แฟบ (full & constricted) 5. ลกั ษณะสีของฝัก – สีเขียว และ สเี หลอื ง (green & yellow )

6. ลักษณะตาแหน่งของดอก-ดอกติดอยู่ทกี่ ง่ิ และเป็นกระจุกท่ีปลายยอด (axial & terminal) 7. ลักษณะความสงู ของต้น – ต้นสูง และ ตน้ เตี้ย (long & short)

ขอ้ สรปุ จำกกำรวิเครำะห์ของเมนเดล 1. กำรถ่ำยทอดลกั ษณะหน่ึงลกั ษณะใดของส่ิงมชี ีวิตถูกควบคุมโดยปัจจัย (fector) เปน็ คูๆ่ ตอ่ มำปจั จัยเหล่ำน้ันถกู เรยี กวำ่ ยนี (gene) 2. ยนี ทค่ี วบคุมลกั ษณะต่ำงๆจะอยกู่ ันเปน็ คู่ๆ และสำมำรถถำ่ ยทอดไปยังรุ่นต่อไปได้ 3. ลักษณะแตล่ ะลกั ษณะจะมียีนควบคุม 1 คู่ โดยมยี นี หน่ึงมำจำกพอ่ และอกี ยนี มำจำกแม่ 4. เมือ่ มีกำรสร้ำงเซลลส์ ืบพันธ(์ุ gamete) ยีนท่ีอยเู่ ปน็ คู่ๆจะแยกออกจำกกนั ไปอยูใ่ นเซลล์ สบื พันธข์ุ องแตล่ ะเซลล์และ ยนี เหล่ำนั้นจะเขำ้ คู่กันได้ใหมอ่ กี ในไซโกต 5. ลักษณะทไี่ ม่ปรำกฏในรุ่น F1 ไม่ไดส้ ญู หำยไปไหนเพยี งแต่ไมส่ ำมำรถแสดงออกมำได้ 6. ลักษณะทป่ี รำกฏออกมำในรุ่น F1 มีเพยี งลักษณะเดียวเรียกว่ำ ลักษณะเดน่ ( dominant) สว่ นลกั ษณะทปี่ รำกฏในรุ่น F2 และมีโอกำสปรำกฏในรุ่นต่อไปได้น้อยกวำ่ เรียกว่ำ ลักษณะดอ้ ย (recessive) 7. ในรนุ่ F2 จะได้ลกั ษณะเดน่ และลักษณะดอ้ ยปรำกฏออกมำเป็นอัตรำสว่ น เดน่ : ด้อย = 3 : 1

กฎของเมนเดล กฎขอ้ ที่ 1 กฎแหง่ การแยก ( Law of Segregation ) สำระสำคัญของกฎ ยีนทอ่ี ยู่ค่กู นั จะแยกตวั ออกจากกนั ไปอยู่ในแต่ ละเซลลส์ บื พันธ์ุ ดังน้ันภายในเซลล์สืบพันธ์จุ ะไม่มียีนทเ่ี ป็นคกู่ ันเลย

กฎขอ้ น้ี เมลเดลไดศ้ กึ ษำกำรถำ่ ยทอดลักษณะโดยพิจำรณำยีนค่เู ดยี ว ( Monohybrid cross ) ตวั อย่ำง ถ้านาถว่ั ลนั เตารุน่ พอ่ แม่ ( P ) ลกั ษณะเมล็ดกลมกับเมลด็ ขรุขระที่ ต่างเปน็ พันธ์ุแท้มาผสมกนั จะได้รุ่นลกู ( F1 ) มีจโี นไทปแ์ ละฟโี นไทป์ชนดิ เดียวกนั ทัง้ หมด และปลอ่ ยให้รนุ่ F1 ผสมกนั เองไดร้ นุ่ หลาน ( F2 )จะได้จโี น ไทปแ์ ตกต่างกนั เป็น 3 ชนดิ ในสัดส่วน 1 : 2 : 1 และไดฟ้ โี นไทปแ์ ตกตา่ งกัน เป็น 2 ชนดิ ในสดั สว่ น 3 : 1 ซงึ่ พิจารณาไดด้ งั นี้

กฎข้อท่ี 2 กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอสิ ระ ( Law of independent assortment ) สำระสำคัญของกฎ ยนี ที่อย่เู ป็นคกู่ นั เมอ่ื แยกออกจากกันแลว้ แตล่ ะยนี จะไปกบั ยีนอน่ื ใดกไ็ ดอ้ ยา่ งอสิ ระ นัน่ คือ เซลลส์ ืบพนั ธ์จุ ะมีการรวมกลมุ่ ของหนว่ ยพันธุกรรมของลกั ษณะตา่ งๆ โดยการรวมกลมุ่ ที่เปน็ ไปอยา่ งอิสระ จงึ ทาให้สามารถทานายผลทเ่ี กิดข้ึนในรุน่ ลกู ร่นุ หลานได้ กฎข้อนี้ เมนเดลได้ศึกษา การถา่ ยทอดลกั ษณะโดยพจิ ารณาจากยนี 2 คู่ ( Dihybrid cross )

ดังนน้ั เราสามารถใชส้ ูตรหาชนดิ เซลล์สืบพันธ์ุ คือ 2n ( n = จานวนคู่ของ heterozygous gene ) ตวั อยำ่ ง สิ่งมชี ีวติ ชนิดหน่งึ มีจโี นไทป์ AaBbCc จะสรา้ งเซลล์สบื พนั ธุ์ทีม่ ยี นี ตา่ งกันไดก้ ่ีแบบ วิธีที่ 1 ใชส้ ตู ร ชนดิ เซลลส์ ืบพนั ธ์ุ = 2n = = 8 ชนดิ

วิธที ่ี 2 ใชก้ ฎแหง่ การรวมกลมุ่ โดยอสิ ระ ขอ้ ควรทรำบ 1. ยีนที่อยใู่ นเซลลส์ บื พนั ธเ์ุ ดยี วกนั จะตอ้ งไม่มยี ีนที่เป็นคอู่ ัลลลี กนั 2.โครโมโซมทอ่ี ยู่ในเซลลส์ บื พนั ธเ์ุ ดียวกัน จะต้องไม่ มโี ครโมโซมท่ีเป็นคู่กัน หรอื เป็นโฮโมโลกสั เนอ่ื งจาก

เซลล์สืบพันธมุ์ กั เกดิ การจากแบ่งเซลล์ท่ีมกี ารแบ่ง นวิ เคลียสแบบไมโอซสิ การทดสอบพันธุกรรม (Test Cross) Test Cross คอื การนาสิ่งมีชวี ิตท่สี งสยั วา่ เปน็ ลักษณะเดน่ หรือไม่ไปผสม กับลักษณะดอ้ ยของสง่ิ มีชวี ิตน้ัน(tester) แล้วสงั เกตุอตั ราสว่ นของลูกทไ่ี ด้ มี ขน้ั ตอนดังน้ี 1. นาตวั ทม่ี ีลักษณะเดน่ ไปผสมกบั ตัวทมี่ ีลกั ษณะดอ้ ย 2. รอดูอัตราสว่ นในรุน่ ลูก โดยพจิ ารณาดงั น้ี

การผสมกลบั (Back Cross) Backcross (กำรผสมกลับ) เหมอื นกับ Test Cross แตเ่ ป็นการนารนุ่ F1 กลบั ไปผสมกบั พอ่ หรอื แม่ ตัวอยา่ ง ผสมตัวเอง โดยการนาถ่วั ลนั เตาเมล็ดเรยี บนั้น ไปปลกู แลว้ ปลอ่ ยให้ผสม ตัวเอง ถ้าลูกทไ่ี ดเ้ ป็นเมลด็ เรียบทง้ั หมดแสดงวา่ มีจีโนไทป์เปน็ SS แตถ่ ้า อตั ราส่วนของลกู เป็นเมล็ดเรียบ : เมลด็ ย่น = 3 : 1 แสดงวา่ มีจีโนไทป์เป็น Ss

การถา่ ยทอดนไี้ มเ่ ปน็ ไปตามกฎของเมนเดล ยนี ท้งั สองทค่ี วบคุมลักษณะจะไม่ ข่มซง่ึ กนั และกนั แตส่ ามารถแสดงความเด่นได้ เท่าๆกันจึงปรากฏลักษณะ ออกมาร่วมกัน เช่น 1. การถ่ายทอดลกั ษณะหมเู่ ลือดระบบ ABO ถูกควบคุมดว้ ยยนี ซ่งึ มีอลั ลลี เกีย่ วข้อง 3 อลั ลลี คือ IA , IB, iพบวา่ อัลลีล IA และอลั ลลี IB ตา่ งก็แสดง ลกั ษณะเด่นเท่าๆกัน (อลั ลีล IA และอัลลีล IB ต่างก็เปน็ Co – dominant allele สว่ นอลั ลลี i เปน็ recessive allele) - IAIA และ IA i แสดง หมูเ่ ลือด A - IBIB และ IB i แสดง หม่เู ลอื ด B - IAIB แสดง หมเู่ ลือด AB - ii แสดง หมูเ่ ลอื ด O

การข่มแบบไมส่ มบูรณ์ (Incomplete Dominant) Incomplete dominant คอื การแสดงออกของ gene ท่ีเปน็ gene เดน่ ไมส่ ามารถขม่ gene ด้อยไดอ้ ย่างสมบูรณ์ ทาให้มกี ารแสดงออกของ gene ทั้งสองแบบเปน็ ผสมกนั หรอื เปน็ แบบกลาง ๆ ระหว่างสองลกั ษณะ เชน่ สีดอก ล้ินมงั กร =1 : 1

บทที่ 3 เรอ่ื ง ฟีโนไทป์ จโี นไทป์ ลกั ษณะต่าง ๆ ท่ีแสดงออกในสิ่งมชี ีวิตแตล่ ะชนดิ เชน่ สงู –เตย้ี ผม หยกิ –ผมตรง เรียกวา่ ฟีโนไทป์ (phenotype) สว่ นลกั ษณะของยนี ทคี่ วบคมุ ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมในส่ิงมีชีวติ เรียกวา่ จโี นไทป์ (genotype) เขยี นแทน ดว้ ยอักษรภาษาองั กฤษเปน็ คู่ เช่น TT, Tt และ tt, T เปน็ แอลลีลเดน่ (dominant allele) และ t เปน็ แอลลีลด้อย (recessive allele) กฎทางพนั ธุศาสตร์ของเมนเดลอธิบายไวว้ า่ “สงิ่ มชี ีวติ ที่สืบพันธุ์แบบ อาศัยเพศจะมีสิง่ ทคี่ วบคุมลักษณะทางพนั ธุกรรม (แอลลลี ของยนี ) อยู่กนั เป็น คู่ ๆ แตล่ ะค่จู ะแยกออกจากกันเม่อื มีการสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธุ์ ทาใหเ้ ซลล์สืบพนั ธุ์ แตล่ ะเซลล์มสี ง่ิ ควบคมุ อยู่เพยี ง 1 หน่วย และเมอื่ เซลลส์ ืบพนั ธุผ์ สมกนั สง่ิ ที่ ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมนีก้ ็จะกลับเขา้ มาคู่กนั อกี ” เมนเดลอธบิ ายว่า เมื่อ ผสมพันธ์ุถว่ั ลนั เตาต้นสูงพนั ธุแ์ ท้ TT กบั ต้นเตย้ี แคระพันธุ์แท้ tt จะไดล้ ูกร่นุ F1 ทมี่ ีจโี นไทป์เปน็ Tt และมฟี ีโนไทปเ์ ป็นต้นสงู ทง้ั หมด และถ้านาลกู รุ่น F1 มา ผสมกนั เองก็จะไดร้ ุน่ ลกู F2 ทมี่ ีจโี นไทป์ 3 แบบ คอื TT, Tt และ tt และมีฟี โนไทป์ 2 ลกั ษณะ คือ ต้นสงู กบั ตน้ เตีย้ ในอตั ราสว่ น 3:1



บทท่ี 4 เร่อื ง กำรแบง่ เซลล์ การแบง่ เซลล์ (Cell Division) คอื การเพ่ิมจานวนของเซลล์ (cell) ในส่งิ มีชวี ติ เพือ่ การเจรญิ เติบโตและรักษา ซ่อมแซมรา่ งกายส่วนที่สกึ หรอ รวมถงึ สรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์ท่คี งไวซ้ ึ่งสารพนั ธกุ รรม ทาหน้าทค่ี วบคุมลักษณะ และการแสดงออกทเี่ ป็นเอกลกั ษณข์ องสงิ่ มชี ีวิต การแบง่ ตัวของนิวเคลียส (Karyokinesis) มดี ้วยกนั 2 ลักษณะ คือ การแบ่งเซลล์ แบบไมโทซิส (Mitosis) คอื การเพ่ิมจานวนของเซลล์ รา่ งกาย (Somatic Cell) ในสงิ่ มชี วี ติ หลายเซลล์ (Multicellular Organism) เชน่ พืช สตั ว์และมนุษย์ และเปน็ การแบ่งเซลลเ์ พอ่ื การสืบพนั ธใ์ุ น สิ่งมชี วี ติ เซลลเ์ ดยี ว (Unicellular Organism) และการสรา้ งเซลล์สบื พันธ์ใุ น พืช ซงึ่ การแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ เปน็ การเพม่ิ จานวนเซลลจ์ าก 1 เซลล์ด้ังเดิม เพิ่มจานวนขน้ึ เปน็ 2 เซลล์ โดยทเี่ ซลลเ์ กดิ ใหมย่ งั คงมีคุณสมบตั เิ หมือนเซลล์ ตน้ แบบทุกประการ ทัง้ ชนดิ และจานวนของโครโมโซม (Chromosome) ซึง่ การ แบ่งตัวแบบไมโทซสิ น้ี สามารถจาแนกออกเป็น 5 ระยะหรือที่เรยี กกันว่า “วัฏ จกั รเซลล์” (Cell Cycle) ได้ดังนี้

ภาพเปรียบเทียบระหว่างเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ • ระยะอนิ เตอร์เฟส (Interphase) เปน็ ระยะพกั และเตรียมการ แบ่งเซลล์ กจิ กรรมของเซลล์ในระยะนม้ี กี ารเจรญิ เติบโตเตม็ ที่ มี กระบวนการเมทาบอลิซมึ (Metabolism) สงู เซลลส์ ะสม

วัตถดุ บิ สาหรับการสังเคราะหส์ ารตา่ ง ๆ และท่สี าคญั คอื การ สังเคราะหส์ ารพันธกุ รรมหรอื ดีเอ็นเอ (DNA) เพิม่ ขน้ึ ทาให้มกี าร จาลองตวั ของโครโมโซมเพิม่ ข้ึน 1 ชดุ เพือ่ เตรยี มพรอ้ มสาหรบั การแบง่ ตวั ของนิวเคลยี สและไซโทพลาซึมในขั้นตอนต่อไป • ระยะโพรเฟส (Prophase) : โครงสร้างของโครโมโซมจะปรากฏ ใหเ้ ห็นเป็นรูปตัวเอกซ์ (X) ชดั เจนขึ้น โดยในเซลล์ของสัตว์มกี าร เคลือ่ นทีข่ องเซนทรโิ อล (Centriole) ซึ่งเคล่ือนตัวไปอยบู่ รเิ วณ ขัว้ ตรงขา้ มท้งั 2 ดา้ นของเซลล์ กอ่ นสรา้ งเส้นใยโปรตนี ท่ี เรยี กว่า “ไมโทติกสปนิ เดลิ ” (Mitotic Spindle) หรอื “สปนิ เดลิ ไฟเบอร์” (Spindle Fiber) ไปยดึ เกาะเซนโทรเมียร์ (Centromere) หรอื บรเิ วณจุดกึง่ กลางของโครโมโซม ซ่งึ ใน เซลล์พืชจะมขี ้ัวตรงกนั ข้าม (Polar Cap) ทาหน้าทแ่ี ทนเซนทริ โอล โดยในปลายระยะนี้ เย่ือหุ้มนวิ เคลียส (Nuclear Membrane) และนิวคลโี อลัส (Nucleolus) ภายในเซลลจ์ ะค่อย ๆ สลายตัวไป • ระยะเมทำเฟส (Metaphase) : เปน็ ระยะที่เส้นใยสปินเดลิ หด ตัวและดึงใหโ้ ครโมโซมมาเรยี งตวั อยรู่ ่วมกนั ในแนวก่งึ กลางของ เซลล์ และเปน็ ช่วงเวลาท่โี ครโมโซมมกี ารหดตัวลงสนั้ ท่สี ดุ เพ่ือ เตรียมพรอ้ มสาหรบั การแบ่งตัวและการเคล่อื นที่ สง่ ผลใหร้ ะยะเม

ทาเฟสเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแกก่ ารนับจานวน ศึกษารปู รา่ ง และความผิดปกติของโครโมโซม (Karyotype) โดยโครโมโซม เริ่มมีการเคลือ่ นท่แี ยกออกจากกนั ในชว่ งปลายของระยะน้ี • ระยะแอนำเฟส (Anaphase) : เป็นระยะท่เี ส้นใยสปินเดลิ หด สั้นลงจนทาให้โครมาทดิ (Chromatid) หรือ แท่งแตล่ ะแท่งในคู่ โครโมโซมถูกดงึ แยกออกจากกันไปอยู่บรเิ วณขัว้ ในทศิ ทาง ตรงกันขา้ ม โครโมโซมภายในเซลล์จะเพิม่ จานวนขนึ้ เป็น 2 เทา่ ซ่งึ ถือเป็นกระบวนการแบง่ ตวั เพอ่ื สรา้ งเซลล์ใหมข่ ้ึน 2 เซลล์ ซึง่ ระยะแอนาเฟสเปน็ ระยะทใ่ี ชเ้ วลาสั้นทส่ี ดุ ในขน้ั ตอนท้ังหมด • ระยะเทโลเฟส (Telophase) : เปน็ ระยะทโี่ ครมาทดิ ซงึ่ แยก ออกจากกันหรอื ทเี่ รยี กว่า “โครโมโซมลกู ” (Daughter Chromosome) เกิดการรวมกลมุ่ กันบรเิ วณขัว้ ตรงข้ามของเซลล์ จากนน้ั โครโมโซมลกู แต่ละแทง่ จะคลายตวั ออกเปน็ เสน้ ใยโครมา ทิน (Chromatin) ขณะเดยี วกันเสน้ ใยสปนิ เดิลจะละลายตวั ไป เกิดนิวคลีโอลัสและเยือ่ ห้มุ นิวเคลยี สขนึ้ อกี ครงั้ ล้อมรอบเสน้ ใย ดงั กล่าว ดงั น้นั ตอนปลายของระยะน้ี จะเหน็ เซลล์มนี ิวเคลยี ส เพม่ิ ขนึ้ เป็น 2 สว่ น

การแบง่ เซลล์ แบบไมโอซิส (Meiosis) คอื การเพม่ิ จานวนเซลล์ใน สงิ่ มีชวี ิตท่มี คี วามซบั ซ้อนและมีข้นั ตอนมากข้นึ เพอื่ การสรา้ งเซลลส์ ืบพันธ์ุ เปน็ การเพ่ิมจานวนเซลลจ์ ากเซลล์ดงั้ เดมิ 1 เซลล์ กอ่ กาเนิดเซลล์ใหม่ 4 เซลล์ โดย ภายในเซลล์เหลอื จานวนโครโมโซมเพยี งครึง่ เดยี ว ซง่ึ เซลลเ์ หลา่ นี้ เมือ่ เกดิ การ ปฏิสนธหิ รือเข้ากระบวนการผสมพันธุ์ จะก่อให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงภายในสาร พันธกุ รรม หรือ การแปรผันทางพนั ธกุ รรม (Gene Variation) ซ่งึ เป็นจุด กาเนดิ ของการพัฒนาความหลากหลายทางชวี ภาพ และววิ ฒั นาการของ สิง่ มชี วี ิต โดยขน้ั ตอนของการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิสสามารถจาแนกออกเป็น 2 ข้ันตอน โดยในแต่ละขั้นตอนมดี ้วยกนั 5 ระยะเชน่ เดียวกบั การแบง่ เซลลแ์ บบ

ไมโทซสิ คือ ระยะอินเตอรเ์ ฟส (Interphase) โพรเฟส (Prophase) เมทาเฟส (Metaphase) แอนนาเฟส (Anaphase) และเทโลเฟส (Telophase) ดังนี้ • กำรแบง่ เซลล์แบบไมโอซิสขน้ั ท่ี 1 (Meiosis I) : จะมปี รากฏการณ์ ท่เี กดิ ข้นึ ตา่ งไปจากการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส คอื ในระยะโพรเฟส หลงั การจาลองตัวของดเี อ็นเอ โครโมโซมที่เปน็ ค่เู หมือน (Homologous Chromosome) จะเคลอื่ นทเี่ ข้าหากนั หรอื ทีเ่ รยี กวา่ “การเกิดไซแนปซสิ ” (Synapsis) ซึง่ โครโมโซมคู่เหมือนทีแ่ นบชดิ ตดิ กนั จะมีช่วงบรเิ วณปลายไขว้สลับกนั เป็นปรากฏการณ์การ เปลย่ี นแปลงชิ้นสว่ นของโครมาทิด (Crossing Over) ระหวา่ ง โครโมโซมคเู่ หมอื นในบรเิ วณดังกล่าว ซ่งึ ทาใหเ้ กดิ การผนั แปรของยีน ในสิ่งมีชีวิตรุ่นต่อไป การแบ่งเซลลจ์ ะดาเนินตอ่ ไป โดยไม่สิ้นสดุ ลงเมื่อ เสร็จการใหก้ าเนิดเซลลใ์ หม่ 2 เซลลเ์ หมือนการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิส แตจ่ ะเร่ิมการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ ในข้นั ที่ 2 ต่อไปเลยทันที • กำรแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิสข้นั ท่ี 2 (Meiosis II) : โดยกอ่ นจะเร่ิม การแบ่งเซลลใ์ นขัน้ ท่ี 2 นี้ เซลล์บางชนดิ จะเกดิ ระยะอินเตอร์เฟสขน้ึ เป็นชว่ งเวลาสนั้ ๆ แต่จะไมม่ กี ารจาลองตัวของดเี อน็ เอขน้ึ อกี ส่งผลให้ การแบง่ เซลล์ในขั้นตอนนี้ มคี วามคล้ายคลึงกับการแบง่ เซลล์แบบไมโท ซิสเป็นอยา่ งมาก ดังน้นั จากการแบ่งเซลลท์ ั้งหมด 2 ครงั้ ทาใหเ้ มอื่

สน้ิ สุดกระบวนการทั้งหมด จะไดเ้ ซลลใ์ หม่จานวน 4 เซลล์ ซง่ึ แตล่ ะ เซลลจ์ ะมจี านวนโครโมโซมลดลงเหลอื เพียงคร่งึ หนึ่งของเซลล์ด้งั เดิม กำรแบง่ ตวั ของไซโทพลำซมึ (Cytokinesis) มดี ว้ ยกัน 2 ลกั ษณะ คือ • การเกิดร่องแบ่ง (Furrow Type) ในเซลล์สตั ว์ โดยเย่ือหมุ้ เซลล์จะ คอดกวิ่ จากทัง้ 2 ดา้ นเข้าสู่ใจกลางเซลล์ จากการเคลื่อนตวั ของไมโคร ฟิลาเมนท์ (Microfilament) หรอื เสน้ ใยโปรตีนท่อี ยู่ใต้เยอ่ื หมุ้ เซลล์

ทาการแบ่งไซโทพลาซึมของเซลล์สัตวอ์ อกเปน็ 2 สว่ น สุดทา้ ยเกดิ เป็นเซลล์ใหม่ข้ึนจานวน 2 เซลล์ • การสร้างผนังก้นั (Cell Plate Type) ในเซลลพ์ ชื เกิดเซลลเ์ พลท (cell plate) ขนึ้ ตรงบรเิ วณกึ่งกลางเซลล์ ก่อนขยายตัวออกไปท้งั 2 ดา้ นของเซลล์ กลายเป็นผนงั เซลล์ (Cell Wall) ซ่งึ แยกนวิ เคลยี ส ออกจากกนั หลังจากการแบ่งตัวของนิวเคลยี ส การกอ่ ตวั ขน้ึ ของผนัง เซลล์ทาใหก้ ารแบ่งไซโทพลาซมึ ในขั้นตอนสดุ ท้ายเสรจ็ สมบูรณ์

บทท่ี 5 เร่อื ง โรคทำงพันธุกรรม คือ โรคท่เี กดิ จากความผิดปกติในพนั ธุกรรม หรือเกดิ ขนึ้ ในโครโมโซม ซึง่ สามารถถ่ายทอดภายในครอบครัวจากรนุ่ สรู่ ่นุ ได้ และก่อใหเ้ กิดความผิดปกติ ตง้ั แตก่ าเนิด ในปัจจุบนั ยงั ไมม่ ีวิธรี ักษาใหห้ ายได้ ทาได้เพยี งรักษาตามอาการ และตดิ ตามผลเป็นระยะเท่าน้ัน

โรคทางพันธุกรรม (Genetic Disorders) สามารถแบ่งออกเปน็ หลายประเภท ตามการเกดิ โรคและลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ดงั น้ี โรคทเี่ กดิ จำกควำมผดิ ปกตขิ องยีนเดยี่ ว (Single Gene Disorder) คือโรค ทางพันธกุ รรมท่เี กิดจากการผา่ เหล่าของยีน โดยการผ่าเหล่านอี้ าจเกิดขึน้ ท่ี โครโมโซมเพยี งแทง่ เดยี ว หรือที่โครโมโซมหลายแทง่ กไ็ ด้ ความผดิ ปกตอิ าจเกิด จากการถ่ายทอดกนั ทางพนั ธกุ รรมของยีน 2 ชนดิ คือ ยีนเด่น (Dominant) และยนี ดอ้ ย (Recessive) ดงั นี้ ▪ โรคทเ่ี กดิ จำกยีนเดน่ (Autosomal Dominant) เกิดจากการทีท่ ารกไดร้ บั ยนี เดน่ มาจากพ่อหรือแม่คนใดคนหนงึ่ ซง่ึ การได้รบั ยนี เดน่ ท่ีมพี ันธกุ รรมผดิ ปกติ เพยี ง 1 ยนี ทาใหม้ โี อกาสทจี่ ะเกดิ โรคทางพนั ธุกรรมไดถ้ ึง 50% ตา่ งโรคจากยนี ดอ้ ยท่ตี ้องมยี นี ดอ้ ย 2 ยีนขน้ึ ไปจงึ จะทาใหม้ ีโอกาสเกิดโรคทางพันธกุ รรมได้ โดยโรคทเี่ กิดจากยีนเดน่ ได้แก่ โรคประสาทชักกระตุก (Huntington's Disease) โรคท้าวแสนปม (Neurofibromatosis) และโรคถุงน้าในไต (Polycystic Kidney Disease) เป็นตน้ ▪ โรคทเี่ กดิ จำกยนี ดอ้ ย (Autosomal Recessive) เปน็ โรคท่เี กดิ จากการไดร้ บั ยนี ดอ้ ยจากพ่อและแม่ โดยจะแสดงอาการก็ต่อเมอ่ื พอ่ และแมอ่ ยใู่ นสถานะเป็น พาหะทั้งคู่ เด็กท่เี กิดจงึ จะมโี อกาสเป็นโรคทเ่ี กดิ จากยนี ด้อย หากมเี พยี งพ่อหรือ แม่คนใดคนหนง่ึ เป็นพาหะ หรอื มีอาการปว่ ยเพยี งคนเดยี ว โอกาสทเ่ี ดก็ จะไดร้ บั ยนี ท่แี สดงโรคก็จะน้อยลง โรคทเี่ กดิ จากยนี ดอ้ ย ได้แก่ โรคเม็ดเลอื ดแดงรูป

เคียว (Sickle Cell Disease) โรคซสี ติกไฟโบรซีส (Cystic Fibrosis) โรคฟี นิลคโี ตนูเรีย (Phenylketonuria) และโรคถุงน้าในไตในยนี ด้อย (Autosomal Recessive Polycystic Kidney Disease) ▪ โรคท่ีเกดิ จำกโครโมโซมเพศ (X-linked) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกดิ ไดน้ ้อย โดยมีสาเหตุเกดิ จากความผดิ ปกติของยนี เดน่ (Sex-linked Dominant) และ ยีนด้อย (Sex-linked Recessive) ท่ีอยภู่ ายในโครโมโซมเพศ ส่งผลให้เกดิ โรค ตา่ ง ๆ เชน่ โรคฮโี มฟีเลยี (Hemophilia) เปน็ ตน้ โรคท่เี กดิ จำกควำมผดิ ปกตขิ องโครโมโซม (Chromosomal Abnormalities Disorder) มีสาเหตุเกดิ จากลกั ษณะโครโมโซม หรือจานวนของโครโมโซม ผิดปกติ ซึ่งสามารถแบง่ ความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมได้เป็น 2 แบบได้แก่ ▪ ควำมผิดปกตทิ จ่ี ำนวน (Numerical Abnormalities) เกิดจากการที่ โครโมโซมมีจานวนเกินหรอื ขาดไป โรคทางพันธุกรรมท่ีเกิดในกลมุ่ น้ี ได้แก่ ดาวน์ซนิ โดรม (Down Syndrome) และโรคเทอรเ์ นอร์ (Turner's Syndrome) เป็นต้น ▪ ควำมผิดปกติของลกั ษณะโครโมโซม (Structural Abnormalities) เกิด จากลักษณะของโครโมโซมผดิ เพีย้ นไปจากทค่ี วรจะเป็น เช่น ขาดหายไป หรือมี โครโมโซมซ้ากนั อยผู่ ิดตาแหน่ง ขาดออกจากกัน กลบั หวั กลบั หาง หรอื มี ลกั ษณะคลา้ ยแหวนหรอื เปน็ วงกลม โรคทางพันธกุ รรมทีเ่ กดิ จากความผดิ ปกติ

เหลา่ น้ีไดแ้ ก่ โรคมนุษยห์ มาป่า (Wolf-Hirschhorn Syndrome) หรือโรคจา คอบเซน (Jacobsen Syndrome) โรคทีเ่ กดิ จำกกำรกลำยพนั ธขุ์ องพันธกุ รรม (Complex Disorders หรือ Multifactorial Inheritance) เปน็ โรคทเ่ี กิดจากการกลายพันธขุ์ องยนี โดยมปี ัจจัยมาจากวถิ ีการใชช้ ีวติ หรอื สภาพแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลงไป ซง่ึ โรคใน กลุ่มที่พบไดบ้ อ่ ยคอื โรคหัวใจ โรคอลั ไซเมอร์ โรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือ โรคมะเรง็ เป็นตน้ โรคทำงพนั ธุกรรมท่พี บไดบ้ ่อย โรคทีเ่ กิดจากความผิดปกติทาง พันธกุ รรมมีมากมายหลายชนดิ ขึ้นอยกู่ บั ความผิดปกตขิ องสารพนั ธุกรรม แต่ที่ พบได้บ่อยน้นั ไดแ้ ก่ ▪ โรคถุงนา้ ในไต (Polycystic Kidney Disease) ▪ โรคเม็ดเลอื ดแดงรปู เคยี ว (Sickle Cell disease) ▪ โรคซีสตกิ ไฟโบรซสี (Cystic fibrosis) ▪ โรคประสาทชักกระตกุ (Huntington's disease) ▪ โรคธาลัสซีเมยี (Thalassemia) ▪ โรคฮโี มฟเี ลยี (Hemophilia) ▪ ดาวน์ซนิ โดรม (Down Syndrome) ▪ โรคตาบอดสี

กำรวนิ จิ ฉัยโรคทำงพันธกุ รรม การวินจิ ฉัยโรคทางพนั ธุกรรมนน้ั แพทย์จะคานงึ ถงึ ลกั ษณะทางกายภาพของพอ่ แม่ ประวัติครอบครัว และนามา วเิ คราะหร์ ่วมกับผลการตรวจพันธุกรรมด้วยวิธตี า่ ง ๆ โดยสงิ่ ทีช่ ่วยใหแ้ พทย์ สามารถวินจิ ฉยั หาโรคทางพนั ธุกรรมได้มีดังน้ี กำรตรวจรำ่ งกำย ลักษณะทางกายภาพสามารถบง่ บอกความผิดปกติ ทางพนั ธุกรรมได้ โดยวธิ ดี งั กล่าวจะทาเมอื่ เดก็ คลอดออกมาแลว้ โดย ผู้เช่ียวชาญทางด้านพันธกุ รรมจะทาการตรวจวัดขนาดศรี ษะ ระยะห่างระหว่าง ดวงตา ความยาวของแขนและขา อาจมกี ารตรวจระบบประสาท ตรวจสายตา และเอกซเรย์ดูภายในร่างกาย เพอื่ นามาวนิ จิ ฉยั ว่าทารกป่วยดว้ ยโรคทาง พันธุกรรมหรือไม่ ประวัตสิ ุขภำพของพอ่ และแม่ ประวัตกิ ารรกั ษาตา่ ง ๆ ของพอ่ และ แม่ทีเ่ กดิ ข้ึนต้งั แตก่ าเนิดถอื เปน็ ปจั จัยสาคัญทจ่ี ะชว่ ยใหแ้ พทยว์ ิเคราะหไ์ ด้ว่า ทารกทกี่ าลงั จะเกดิ มาหรอื เกิดมาแล้วนน้ั มีความผิดปกติทางพนั ธุกรรมหรือไม่ ประวัตสิ ขุ ภำพของครอบครวั ความผิดปกติทางพนั ธุกรรมมกั เกิดขึ้น ภายในครอบครวั ดงั น้ันหากแพทยท์ ราบว่ามีคนในครอบครัวปว่ ยดว้ ยโรคทาง พนั ธกุ รรมใด ๆ ก็ตาม ก็จะทาให้แพทยส์ ามารถวเิ คราะห์แบบแผนความเสี่ยง ของโรคทางพันธกุ รรมท่อี าจเกดิ กบั ทารกทีก่ าลังจะเกดิ มาได้

กำรตรวจพนั ธุกรรม เปน็ การตรวจทส่ี ามารถระบุความผดิ ปกติของ พนั ธุกรรมได้ชัดเจน และสามารถตรวจได้หลายวธิ ี โดยมกั ใชก้ ารตรวจพนั ธุกรรม กบั กรณีดังตอ่ ไปนี้ ▪ ตรวจหาโรคทางพันธุกรรมของทารกในครรภ์ของแม่ ▪ ตรวจหาความผิดปกตขิ องยีนในรา่ งกายของพอ่ และแม่ ที่อาจถ่ายทอดไปสลู่ กู ได้ ▪ การตรวจคดั กรองตวั ออ่ นในครรภ์ของแม่เพอ่ื หาโรคทางพันธกุ รรม ▪ ตรวจหาโรคทางพันธุกรรมในผู้ใหญก่ อ่ นทจี่ ะเกิดอาการข้นึ ▪ ตรวจวินจิ ฉัยเพื่อยนื ยันโรคในผทู้ ี่เร่มิ มอี าการของโรคทางพันธกุ รรม ▪ ตรวจวนิ ิจฉัยเพอื่ ใช้ประกอบในการเลอื กใชย้ าและปริมาณของยาทเ่ี หมาะสมกับ ผปู้ ่วย ในการตรวจ แพทยจ์ ะนาเอาตวั อยา่ งเลอื ดหรือเนื้อเยือ่ ของผเู้ ขา้ รับการตรวจ หรือใชอ้ ปุ กรณ์พเิ ศษเพือ่ นาตัวอยา่ งดีเอน็ เอของทารกในครรภ์ส่งตรวจยัง ห้องปฏิบัติการ โดยในการตรวจทางห้องปฏิบตั กิ ารสามารถตรวจหาความ ผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรมได้ 3 วิธี คอื ▪ กำรตรวจสำรพนั ธุกรรม (Molecular Genetic Tests) เปน็ การตรวจโดยนา ยนี หรอื ดเี อ็นเอ (DNA) ชว่ งสัน้ ๆ มาตรวจเพือ่ ระบลุ กั ษณะของยนี ว่ามีการ เปลีย่ นแปลงหรือมกี ารกลายพนั ธ์ซุ ึง่ นาไปสโู่ รคทางพนั ธุกรรมหรอื ไม่

▪ กำรตรวจโครโมโซม (Chromosomal Genetic Tests) เปน็ การตรวจ วเิ คราะห์โครโมโซม หาความเปลยี่ นแปลงในโครโมโซม ความยาว และจานวน ▪ กำรตรวจสำรชวี เคมใี นพันธกุ รรม (Biochemical Genetic Tests) เปน็ การ ตรวจนับและดกู ารทางานของระดับโปรตีนภายในสารพันธุกรรม ซ่งึ ความ ผิดปกติเพียงเล็กน้อยกก็ อ่ ใหเ้ กิดโรคทางพันธุกรรมได้ การตรวจพันธุกรรมสามารถทาไดต้ ัง้ แต่ทารกยังอย่ใู นครรภ์ หรือแม้จะเขา้ สูว่ ยั สูงอายแุ ล้วกส็ ามารถตรวจได้ ซึ่งการตรวจนจ้ี ะช่วยให้แพทยพ์ บความผดิ ปกติ ท่ีแม้จะไม่สามารถรกั ษาใหห้ ายได้ แตก่ ็ช่วยใหแ้ พทย์สามารถวางแผนในการ ดูแลและประคับประคองอาการของผูป้ ่วยไดด้ ีย่งิ ขน้ึ นอกจากนี้ การตรวจ พนั ธกุ รรมยังช่วยใหบ้ ุคคลในครอบครวั ทราบถงึ ความเสย่ี งทจ่ี ะมกี ารถา่ ยทอด ความผิดปกตทิ างพนั ธุกรรมไปสูค่ นรุ่นต่อ ๆ ไป หรือผลกระทบทอ่ี าจเกิดขึ้นใน ครอบครวั กำรรักษำโรคทำงพันธุกรรม โรคทางพันธกุ รรมเกิดข้ึนจากสาร พนั ธุกรรมท่เี ปน็ ต้นกาเนดิ ของเซลลใ์ นรา่ งกาย จึงทาให้โรคทางพันธกุ รรมส่วน ใหญ่ไม่สามารถรกั ษาให้หายได้ ทาได้เพยี งรักษาตามอาการ หรือ ประคับประคองสขุ ภาพของผปู้ ่วยให้สมบรู ณม์ ากที่สุด นอกจากน้ี ผู้ปว่ ยโรคทาง พนั ธุกรรมจาเปน็ ตอ้ งพบแพทย์อยา่ งสมา่ เสมอเพ่อื ตดิ ตามอาการ และป้องกนั ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกดิ ข้นึ ในภายหลัง

ในปจั จุบนั มีการรกั ษาแบบใหม่ท่เี รียกวา่ การรักษาดว้ ยวิธียีนบาบดั (Gene Therapy) ซึ่งเปน็ เทคนคิ การรักษาท่จี ะเข้าไปเปลยี่ นแปลงยนี ของผู้ป่วย ทาให้ ความผดิ ปกติลดลงหรอื หมดไปได้ แต่การรกั ษาดงั กลา่ วกย็ งั ไมม่ ผี ลยืนยนั วา่ มี ประสทิ ธภิ าพเพยี งใด และยงั คงอย่ใู นระหว่างการศกึ ษาวจิ ยั กำรป้องกนั โรคทำงพนั ธกุ รรม ในปัจจบุ นั ยังไมม่ ีวิธีใดทางการแพทย์ ทีช่ ว่ ยปอ้ งกนั โรคทางพันธกุ รรมได้ แตก่ ็สามารถรับมอื ได้ โดยครอบครวั ทม่ี ี ประวตั โิ รคทางพนั ธกุ รรม หรอื มคี วามเสย่ี งวา่ ความผดิ ปกตนิ ้ีจะถ่ายทอดไปยงั สมาชกิ ครอบครัวรุ่นตอ่ ไป ควรเข้ารับการปรกึ ษาทางพันธุศาสตร์ก่อนต้ังครรภ์ (Prenatal Genetic Counseling) ซง่ึ ผู้เชย่ี วชาญจะคอยแนะนาและใหข้ ้อมูล เกย่ี วกบั โอกาสและความเสย่ี งท่ีจะเกิดข้นึ ในระหว่างการตง้ั ครรภ์ เพ่อื ให้ ครอบครวั ท่วี างแผนจะมบี ุตรสามารถตดั สนิ ใจได้วา่ จะเรม่ิ การต้งั ครรภห์ รือไม่ การเข้ารับคาปรึกษาไมจ่ าเป็นตอ้ งเป็นครอบครวั ที่มีความเสยี่ งโรคทาง พนั ธกุ รรมเท่านั้น แต่ยังมคี นบางกล่มุ ที่ควรเข้ารับคาปรกึ ษาดว้ ย เชน่ ▪ ผทู้ ม่ี อี ายมุ ากกวา่ 35 ปี และต้องการมีบตุ ร ▪ ผทู้ ีเ่ คยมปี ระวตั ิการแทง้ หรอื ทารกเสยี ชวี ิตในครรภโ์ ดยไมท่ ราบสาเหตมุ ากกวา่ 3 ครั้ง ▪ ผู้ทเี่ คยได้รับการรักษาดว้ ยเคมบี าบัด และผู้ท่มี ีปญั หาสุขภาพ เช่น โรคลมชัก โรคเบาหวาน เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทารกได้

▪ ผู้ท่เี คยไดร้ ับสารเคมที อี่ าจส่งผลให้เกิดความพิการแตก่ าเนิดของทารก ▪ ผู้ทีม่ ีการติดเช้อื ไวรสั ระหว่างตง้ั ครรภ์ ▪ ผู้ที่ใช้ยาหรือแอลกอฮอลใ์ นระหว่างต้ังครรภ์ ▪ มารดาท่มี ีผลการตรวจสงสยั กลมุ่ อาการดาวนข์ องทารกในครรภ์ (Nuchal Translucency Screening) ▪ มารดาทม่ี กี ารตรวจอลั ตราซาวด์และพบความผิดปกตขิ องทารก ▪ ผทู้ ม่ี ีความกังวลวา่ จะเกิดความพกิ ารแตก่ าเนิดของทารก หรอื โรคทาง พันธกุ รรม และต้องการการตรวจวินจิ ฉัยเพ่มิ เตมิ ในการเข้ารบั คาปรึกษา จะกินเวลา 20-60 นาทตี ่อครงั้ โดยผู้เชยี่ วชาญอาจให้ ทง้ั พ่อและแมท่ าการตรวจทางพนั ธกุ รรมเพิ่มเตมิ วิธีการตรวจขึน้ อย่กู ับอายุ ครรภ์ โดยวิธที ี่นยิ มใชใ้ นการตรวจทางพนั ธกุ รรม ได้แก่ ▪ กำรเจำะนำ้ ครำ่ (Amniocentesis) เป็นการตรวจโดยเจาะเอาน้าคร่าทีอ่ ยู่ รอบตัวเด็กภายในมดลกู มาตรวจ วิธนี จี้ ะใชก้ ับครรภท์ ี่มอี ายุ 16-20 สปั ดาห์ ซึง่ จะช่วยใหแ้ พทย์และพอ่ แม่ทราบถึงความผิดปกติของทารกทจี่ ะเกิดมาได้ ▪ กำรตรวจโครโมโซม (Chorionic Villus Sampling) เป็นการตรวจโดยนา ตัวอย่างของรกมาตรวจดูความผิดปกติท่ีโครโมโซม โดยมกั ตรวจในช่วงอายุ ครรภ์ 10-13 สัปดาห์ ซึ่งการตรวจเหลา่ นจี้ ะช่วยประกอบคาแนะนาและการตัดสินใจของครอบครวั และหากหลงั เร่มิ ตง้ั ครรภ์แลว้ ทารกมคี วามผดิ ปกติ ผเู้ ชี่ยวชาญก็จะชี้แจงทงั้ ขอ้ ดี

ข้อเสีย หรอื เสนอทางเลือกใหค้ รอบครัวตดั สนิ ใจอีกครัง้ หนึ่ง หากครอบครวั ตดั สินใจจะยตุ ิการตั้งครรภ์ กส็ ามารถทาไดท้ นั ทโี ดยไม่ผดิ กฎหมาย โรคทางพันธกุ รรมเป็นโรคทไี่ มส่ ามารถคาดเดาการเกิดได้ แต่กส็ ามารถรับมอื และแกไ้ ขปญั หาได้ หากเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโรคนเ้ี ปน็ อยา่ งดี นอกจากน้ียัง ชว่ ยใหค้ ูส่ ามีภรรยาทีต่ อ้ งการมบี ตุ รสามารถวางแผนครอบครวั ไดอ้ ย่างรอบคอบ มากขนึ้ อีกด้วย

บทที่ 6 เรอ่ื ง เทคโนโลยีชวี ภำพ เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) คือ ความรทู้ เ่ี กยี่ วข้องกับการ ประยกุ ต์ใชส้ ง่ิ มีชีวติ หรอื ผลติ ภณั ฑ์ตา่ งๆ ของสิง่ มีชวี ติ เช่น เอนไซม์ หรือ โปรตนี ชนดิ ต่างๆ เปน็ ตน้ เพ่อื ใหเ้ กิดประโยชน์กับมนุษยชาติ ความร้ทู างด้านเทคโนโลยีชีวภาพอาจกอ่ ใหเ้ กิดกระบวนการ เปลยี่ นแปลงทางเคมีและทางชวี ภาพของสงิ่ มชี ีวิตชนดิ ต่างๆ ส่งผลใหเ้ กิด กระบวนการสร้าง กระบวนการทาลาย หรือการก่อให้เกดิ ส่งิ ใหม่ท่ดี าเนนิ อยู่ใน สง่ิ มชี ีวติ ซึ่งกระบวนการ ทางชีวเคมีที่เกดิ ข้ึนภายในเซลล์ของสิ่งมชี วี ิต เปน็ ผล มาจากการทางานของสารพนั ธกุ รรม หรอื ดเี อ็นเอ และหนว่ ยพนั ธกุ รรมหรอื ยนี การศึกษางานดา้ นเทคโนโลยีชวี ภาพจึงต้องอาศยั ความรพู้ ้ืนฐาน เกยี่ วกบั สารพันธุกรรม และพฤตกิ รรมของสารพันธุกรรม รวมทงั้ วธิ กี ารสาคัญตา่ งๆที่มี สว่ นเกยี่ วข้องกับกระบวนการดา้ นเทคโนโลยีชีวภาพเพ่อื การ นาไปใชอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ เทคโนโลยชี ีวภาพทเ่ี กา่ แก่ทส่ี ุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตกิ ็ คือ เทคโนโลยีการหมัก (Fermentation Technology)

และ เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ คอื เทคโนโลยีรีคอมบแิ นนทด์ เี อ็นเอ (DNA Recombinant Technology) หรอื พันธวุ ศิ วกรรม (genetic engineering) เทคโนโลยชี ีวภาพ (Biotechnology) เปน็ ความรู้ หรอื วชิ าการที่ สามารถนาส่ิงมีชวี ติ หรอื ผลผลิตจากสงิ่ มีชวี ติ มาใช้ หรอื มาปรับเปลีย่ น และ ประยุกต์ เพ่ือใชป้ ระโยชน์ เรารูจ้ กั การใช้เทคโนโลยชี วี ภาพมานานแลว้ การทา น้าปลา ซีอ๊วิ การหมักอาหาร หมักเหลา้ ล้วนเป็นเทคโนโลยชี วี ภาพแบบดั้งเดมิ เชน่ เดียวกับ การปรบั ปรุงพันธ์ุพืช สตั ว์ ใหม้ ีผลผลติ มากขึน้ มีคุณภาพดีขึ้น หรอื การนาสมนุ ไพรมาใชร้ กั ษาโรค บารุงสขุ ภาพ กจ็ ดั วา่ เปน็ เทคโนโลยีชวี ภาพ แบบด้ังเดมิ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมอื่ กลา่ วถงึ เทคโนโลยชี วี ภาพ เรามกั หมายถึง เทคโนโลยสี มยั ใหม่ ที่มวี ิทยาศาสตรห์ ลายสาขาวชิ าผสมผสานกนั อยู่ ทั้ง ชีววิทยา เคมี ชีวเคมี ไปจนถึง ฟสิ ิกส์ และวศิ วกรรม ซง่ึ อาจเรยี กไดว้ า่ เป็น “สหวิทยาการ” ทนี่ าความรพู้ น้ื ฐานด้านต่างๆ เกย่ี วกบั สิ่งมีชีวิต ไปใชใ้ ห้เกิด ประโยชน์ จากบทความทางวิชาการประกอบการอภปิ ราย เรอื่ ง เทคโนโลยชี ีวภาพสาหรับฟาร์มเพาะและเลย้ี งกงุ้ กุลาดา โดย รศ. น.สพ. เกรียง ศกั ด์ิ พูนสขุ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ในงานวนั กุ้ง

กุลาดา ครงั้ ที่ 11 ทีจ่ ังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้กลา่ วไวว้ ่า เทคโนโลยชี ีวภาพ หมายถึง การนาหลกั การ หรอื วทิ ยาการทางวิทยาศาสตร์ มาประยกุ ตใ์ ช้ในการ ผลติ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เพอื่ เพ่มิ ประสิทธิภาพให้มีคณุ ประโยชนม์ ากท่สี ุด จาก การแปลความหมายของคาว่า BIO หมายถงึ สง่ิ มชี ีวติ TECHNOLOGY หมายความถึง วิทยาการ หรือวธิ กี าร อาจสรุปง่ายๆว่า เทคโนโลยชี ีวภาพ หมายถึง วทิ ยาการทางวทิ ยาศาสตร์ ในการนาเอาสิ่งมชี วี ติ มาใช้

ผลิตภณั ฑ์ต่างๆ ท่ีถูกจัดอยูใ่ นกลมุ่ ของเทคโนโลยีชวี ภาพมมี ากมาย ได้แก่ 1. พันธุวศิ วกรรม : เปน็ กระบวนการ ทีเ่ จาะจงเลือกหนว่ ยพนั ธกุ รรม (Gene) บางตวั ของสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ ใดชนิดหน่ึง (ไม่ว่าจะเป็นพชื สตั ว์ หรือ จุลนิ ทรยี ์) และนาไปใส่ในส่งิ มีชวี ิตอกี ประเภทหนึง่ เพอ่ื ทาให้เกดิ ลกั ษณะพิเศษทตี่ ้องการ รวมถงึ การตัด และต่อพนั ธุกรรม เชน่ การตดั พันธกุ รรมในการสรา้ งน้าย่อย ของเชือ้ R. oryzae ไปต่อเพิม่ ให้กับ R. oryzae อกี ตวั หนง่ึ ทาให้ R. oryzae ตัวทถ่ี ูกเพิ่มพนั ธกุ รรม สามารถสรา้ งน้ายอ่ ยไดม้ ากขึน้ 2. การผลติ วคั ซนี : วัคซีนทกุ ชนิดนบั ว่าเป็นผลิตภณั ฑเ์ ทคโนโลยีชวี ภาพ เช่นเดยี วกนั วัคซีน อาจเตรียมไดจ้ ากเซลล์ของตวั กอ่ โรคทงั้ หมด (Whole cells) หรอื เตรยี มจากเปลอื กหมุ้ ตัวเชอ้ื (Capsule) หรอื เตรียมจากสว่ นขน ละเอยี ดรอบตวั เชื้อ (Pilli) ก็ได้ 3. สารกระตนุ้ การสร้างภูมคิ ุม้ กนั โรค : ผนงั เซลล์ของจลุ นิ ทรียบ์ างชนิด มี สว่ นประกอบของสารในกลุม่ polysaccharides (เชน่ Oligosaccharide และ Peptidoglycan เป็นตน้ ) สารพวกนี้ มคี ุณสมบตั ิในการเกาะจับจลุ นิ ทรียต์ ัว

กอ่ โรค และสามารถกระตนุ้ ใหร้ า่ งกายสร้างภูมคิ มุ้ กนั โรคไดด้ ีขึ้น ผลิตภัณฑ์ใน กล่มุ นี้ มตี งั้ แต่การใชต้ วั เซลล์ (Whole cell), สกดั เพยี งบางสว่ น เชน่ สาร Oligosaccharide จากผนงั เซลล์ของยสี ต์ แบคทเี รยี Pediococcus spp. และ Lactobacillus บางสายพันธุ์ 4. นา้ ย่อย หรือ เอน็ ไซม์ : น้าย่อยทสี่ รา้ งจากสตั ว์แต่ละชนิด มคี วามสามารถ ในการย่อยวัตถดุ บิ อาหารสตั วไ์ ด้แตกต่างกนั เม่อื ใหส้ ตั วก์ นิ วัตถดุ บิ บางชนดิ แลว้ สตั วไ์ ม่สามารถย่อยได้ ทาให้ส้ินเปลืองวัตถุดบิ ดังนนั้ เป้าหมายของการใช้ วตั ถดุ บิ ในปรมิ าณนอ้ ย แตใ่ ห้เกดิ ประโยชน์ (ย่อย) ไดด้ ีท่ีสดุ ปัจจบุ นั จงึ ไดม้ ี การผลติ นา้ ยอ่ ย ทั้งชนดิ จาเพาะ เช่น นา้ ย่อยท่ียอ่ ยสารกลแู คน (Glucanase) หรอื ในรปู ของน้ายอ่ ยรวม (Enzyme cocktail) มาใช้ผสมในอาหารสัตว์ ทาให้ สามารถลดปรมิ าณการใช้วตั ถดุ ิบได้ และสตั ว์เจรญิ เติบโตไดด้ ี นา้ ย่อยท่ี กลา่ วถงึ น้ี คือผลิตภณั ฑ์ที่ไดจ้ ากกระบวนการสนั ดาป (Metabolic products) ซ่งึ ส่วนใหญ่มาจากกระบวนการหมกั ของจุลินทรีย์

5. วติ ามิน : วิตามิน เป็นผลิตภณั ฑจ์ ากกระบวนการสันดาปทเี่ กิดข้ึนตาม ธรรมชาตจิ ากการผลิตของจลุ ินทรยี ์ เชน่ กากเบยี ร์ จะมีส่วนประกอบของ วติ ามนิ บี หลายชนดิ เป็นตน้ 6. โปรตีน และกรดอะมโิ น : ตวั เซลลข์ องจลุ นิ ทรยี ์หลายชนดิ มสี ว่ นประกอบ ของโปรตนี และกรดอะมิโน 7. สารสกัดจากพชื : สารสกดั จากพชื บางชนดิ มีคณุ สมบตั ิ เป็นสารทาลาย ศัตรพู ืช หรือ ออกฤทธิ์ทาลายแบคทีเรียบางชนิดได้ 8. สารเสรมิ ชวี นะ : หรอื ท่ีเรียกว่า โปรไบโอตกิ เปน็ ผลติ ภณั ฑ์ทาง เทคโนโลยชี ีวภาพ ทีอ่ าจกล่าวได้ว่า ผลติ ภัณฑก์ ลมุ่ นี้ เปน็ ทร่ี ้จู ักมากทสี่ ุดใน วงการการเลย้ี งสัตว์ สารเสริมชีวนะ ประกอบด้วยกลมุ่ ของจลุ ินทรียท์ ี่มี คณุ ประโยชน์ ไดแ้ ก่ แบคทเี รีย (Bacteria) ยีสต์ (Yeasts) และรา (Fungi) โดยเฉพาะพวกแบคทเี รยี ทสี่ ามารถสรา้ งกรดแลคตคิ และกรดไขมันระเหย (Lactic acid and Volatile Fatty acid) ความสาคญั ของสารเสริมชวี นะ นอกจากจะสรา้ งกรด เพ่ือยบั ยง้ั การเจรญิ ของจลุ ินทรยี ต์ ัวกอ่ โรคแลว้ ยังมี

ความสามารถในการเจริญทวีจานวนไดร้ วดเร็ว เบียดบัง หรือขม่ และแข่ง จลุ นิ ทรีย์ทก่ี อ่ โรคได้อีกดว้ ย และสารเสรมิ ชีวนะน้ี ตัวเซลล์ยงั ประกอบดว้ ย สารสาคัญ ในการกระต้นุ การสร้างภมู คิ ุ้มกนั โรค พวก polysaccharide และ peptidoglycan อีกด้วย มีผูอ้ ธบิ ายถึงการทจ่ี ุลินทรยี พ์ วกนี้

ผลติ ภณั ฑ์ชวี ภาพ : ผลติ ภณั ฑท์ างชวี ภาพ ท่ใี ช้ในการเลยี้ งกุ้ง มีหลาย ประเภท เช่น 1. ผลติ ภัณฑท์ ใ่ี ช้ในการควบคุมคณุ ภาพน้า และการบาบัดน้า ส่วนใหญ่เปน็ กลุ่ม จุลนิ ทรีย์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook