Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พึงตามรักษาจิตตน

พึงตามรักษาจิตตน

Published by wattanasak.sp, 2016-10-16 23:25:37

Description: พึงตามรักษาจิตตน

Search

Read the Text Version

พงึ ตาจมติรักตษนา เขมรังสี ภิกขุ

พงึ ตามรักษา จิตตน เขมรงั ส ี ภกิ ขุ

พงึ ตามรักษาจิตตนเขมรงั ส ี ภิกขุพิมพ์ครัง้ ท ี่ ๑  พฤศจกิ ายน ๒๕๕๕  จ�ำนวนพิมพ ์ ๓๕,๐๐๐ เล่มจัดพมิ พ์โดย วัดมเหยงคณ ์ ต�ำบลหนั ตรา  อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐ โทรศัพท ์ : (๐๓๕) ๘๘๑-๖๐๑-๒ โทรสาร : (๐๓๕) ๘๘๑-๖๐๓ www.mahaeyong.org,  www.watmahaeyong.netออกแบบ / จัดทำ� รูปเล่ม / พิสจู นอ์ กั ษร คณะศษิ ยช์ มรมกัลยาณธรรมพิมพท์ ี่ บรษิ ทั ขุมทองอุตสาหกรรมและการพิมพ ์ จ�ำกัด โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๕-๗๘๗๑-๓

ขอมอบเปน็ ธรรมบรรณาการ แด่ จาก

ทอ่ี ยขู่ องจติ ทหี่ างา่ ย คอื ลมหายใจ เพยี งคอยตามรู้อยู่หายใจเขา้ หายใจออก ยาวหรอื สัน้ 4 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

5เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

นะมัตถุ รัตตะนะตะยัสสะ ขอนอบน้อมแดพ่ ระรตั นตรยั  ขอความผาสกุ ความเจรญิในธรรมจงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมท้งั หลาย ตอ่ ไปนกี้ เ็ ปน็ เวลาอนั สมควรทจ่ี ะได้ปรารภธรรม เราทงั้ หลายมาพรอ้ มเพรยี งกัน เพ่ือท่ีจะฟังธรรมกันในบรรยากาศท่ี 6 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ร่มรื่นท่ามกลางแมกไม้ นั่งอยู่บนพ้ืนดินตามโคนไม ้ ธรรมชาตเิ ชน่ นสี้ ปั ปายะเหมาะท่ีจะให้เราได้ฟงั ธรรม ได้ปฏิบตั ิธรรม ได้ปรารภธรรมะในบรรยากาศของผู้มีศีลเชญิ ชวนให้จติ ใจของเราผอ่ งใส การเป็นผู้มีศีล และการประพฤติพรหมจรรยข์ องเรานจ้ี ะท�ำใหจ้ ติ ใจของเราสะอาดผอ่ งใส เหมาะทจ่ี ะเปน็ เครอ่ื งรองรบัคณุ ธรรมตา่ งๆ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ  เสมอื นเสอื้ ผา้ทไ่ี ดช้ ำ� ระซกั ฟอกใหส้ ะอาดดแี ลว้  พรอ้ มท่ีจะนำ� มาย้อมสีต่างๆ ใหง้ ดงามขนึ้ มา เรา 7เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

ต่างมาประพฤติพรหมจรรย ์ รักษาศีล มีการส�ำรวมกาย ส�ำรวมวาจา ก็เหลือแต่ทางใจทเ่ี ราจะมาพฒั นาใหบ้ รสิ ทุ ธบ์ิ รบิ รู ณ์ด้วยการลดละสละกิเลส เจริญภาวนาอนั จะนำ� จติ ของเราให้พ้นจากทกุ ขไ์ ด้ การท่ีเราเข้ามาวัด หลีกเร้นจากเรอ่ื งบนั เทงิ ใจทเ่ี รา้ ใจใหล้ มุ่ หลง มาอยกู่ บัสถานทท่ี สี่ ปั ปายะตอ่ การปฏบิ ตั ิ ทำ� ใหจ้ ติของเราสงบระงบั  เสมอื นวา่ เราไดม้ าอยใู่ นถนิ่ ทอี่ ยขู่ องบดิ า คอื ไดท้ ำ� ตามคำ� สอนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้  สมเดจ็ 8 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

พ่อของเรา เหมือนดังท่ีพระองค์ได้ตรัสเลา่ ให้ภกิ ษทุ ง้ั หลายฟัง เรือ่ งนกมูลไถ  มีนกมูลไถตัวหนึ่ง ถูกเหยี่ยวเฉ่ียวเอาไป ในขณะท่ีมันอยู่ในกรงเล็บของเหย่ียว นกมูลไถก็ร�ำพึงร�ำพันว่า “เป็นเพราะเราอับโชค มาอยู่ในถิ่นของผู้อ่ืนถ้าเราอยู่ในถิ่นของบิดาของเรา เราจะสู้เหยี่ยวนีจ้ นเอาชนะได”้ เหย่ียวได้ฟังเจ้านกมูลไถก็คิดว่าเจ้านกนี่อวดดี ตัวมันเล็กนิดเดียว แรงก็ 9เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

นิดเดียว เหยี่ยวก็เลยถามว่า “ท่ีบอกว่าถ่นิ ของบดิ านั่นนะ่  ที่ไหนหรือ”  นกมูลไถก็ตอบว่า “ที่ท่ีชาวนาเขาไถดนิ ไวใ้ หม่ๆ นน่ั แหละถนิ่ บิดาของเรา” “เอา้  ถา้ อยา่ งนน้ั เราจะปลอ่ ยเจา้ ไป” เหยยี่ วกถ็ อื ดเี หมอื นกนั  ถอื วา่ มกี ำ� ลงัมาก จึงคิดสบประมาทว่า เจ้านกมูลไถน้ีมันจะเก่งสักแค่ไหนเชียว เดี๋ยวจะจับกินให้ด ู ก็เลยประมาท ปลอ่ ยนกมูลไถไป 10 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

นกมูลไถก็บินไปสู่ที่นาที่ชาวนาเขาไถเสร็จใหม่ๆ ซึ่งดินจะเป็นก้อนๆ มันก็ไปยืนอยู่บนก้อนดิน แล้วร้องท้าเหยี่ยว“มาซิเหยีย่ ว มาสู้กัน” เหยย่ี วกบ็ นิ วนอยบู่ นอากาศ มองดูนกมลู ไถอย ู่ พอไดย้ นิ คำ� ทา้ เหยย่ี วกโ็ กรธมาก คดิ วา่ ไอน้ กตวั นมี้ นั ตวั นดิ เดยี วยงั จะมาท้าเรา เหยี่ยวก็บินโฉบลงมาอย่างเร็วและแรง เอาหัวปักด่ิงลงมาจะเฉ่ียวนกมลู ไถ เจา้ นกมลู ไถคอยทา่ อย ู่ พอไดจ้ งั หวะเห็นเหย่ียวดิ่งตัวลงมา มันก็ผลุบตัวลงไป 11เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

หลบซอ่ นอยใู่ ตก้ อ้ นดนิ  เหยยี่ วเบรกไมท่ นัอกจงึ กระแทกก้อนดนิ ส้ินใจตาย พระพทุ ธเจา้ ตรสั เรอื่ งนเี้ ปรยี บเทยี บให้ฟังว่า ภิกษุก็เหมือนกัน เมื่อไม่อยู่ในถนิ่ ทบ่ี ดิ า (พระองค)์  แนะนำ� ไว ้ ไปอยใู่ นถ่ินอ่ืนก็จะเป็นอันตราย ที่ใดหรือที่ไม่ใช่ถน่ิ ของบดิ า กค็ อื การปลอ่ ยจติ ใจไหลออกไปสอู่ ารมณภ์ ายนอก ปลอ่ ยใหจ้ ติ ใจเลอื่ นไหลไปในรูปสวย เสียงเพราะ กล่ินหอมรสอรอ่ ย สมั ผสั อนั นา่ ใครน่ า่ ปรารถนา นี่ไมใ่ ช่ท่ีซ่ึงพระบิดาแนะนำ� 12 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น



ถ้าภิกษุใดขืนปล่อยใจตัวเองออกไปหารูปสวย หาเสียงไพเราะ กลิ่นหอมรสอรอ่ ย สมั ผสั เครอื่ งปรนเปรอทางรา่ งกายก็ย่อมจะต้องตกอยู่ในเง้ือมมือของมารมารกไ็ ด้ชอ่ งไดโ้ อกาสเลน่ งานภกิ ษนุ ัน้ จนอาจถึงกับเสียชีวิตก็ได้ นั่นคือตายจากความเป็นสมณะ ต้องลาสิกขาออกไปหรอื ไมก่ ต็ อ้ งอาบตั  ิ อาบตั ใิ หญ ่ อาบตั นิ อ้ ยมีความเศร้าหมองหรือเดือดร้อนใจ เมื่อใจไปเกาะเกย่ี วยนิ ดอี ยกู่ บั กามคณุ อารมณ์จิตใจก็จะเป็นทุกข์เร่าร้อน หาความสุขสงบไม่ได้ 14 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ดังเรื่องของภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ซ่ึงท่านได้ยินค�ำเล่าลือถึงความงามของนางสริ มิ าวา่ เปน็ คนสวยมากกอ็ ยากเห็น นางสิริมาเป็นหญิงงามเมือง (หญิงโสเภณ)ี  ในสมยั นน้ั คนทจ่ี ะไดร้ บั คดั เลอื กใหเ้ ปน็ หญงิ งามเมอื งนต่ี อ้ งเปน็ หญงิ ทส่ี วยงามมาก ปรากฏว่านางสิริมาน้ี ภายหลังนางมีศรัทธาเล่ือมใสในพุทธศาสนาและยังบรรลุธรรมเป็นโสดาบันด้วย นางได้นมิ นต์พระไปรบั บาตรท่ีบา้ นนางทุกวันๆ 15เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

เมื่อถึงวาระ ภิกษุหนุ่มรูปน้ีก็ตั้งใจรอจะไปรบั บาตรทบี่ า้ นของนางสริ มิ า เตรยี มตัวตั้งแต่วันก่อน พอถึงเวลารุ่งอรุณก็รีบไปรบั บาตร เผอญิ วนั นน้ั นางปว่ ย ลงมาเองไม่ได้ ได้ให้คนรับใช้ลงมาใส่บาตรแทนภกิ ษรุ ปู นน้ั อยากเหน็ นางจงึ เงยหนา้ ขนึ้ ไปมองบนบา้ น เรยี กไดว้ า่ ภกิ ษนุ ไี้ มอ่ ยใู่ นถน่ิทอ่ี ยขู่ องบดิ า ไมส่ ำ� รวมตามองลงในบาตรเหลือบไปมองในที่ไม่ใช่ถิ่นของบิดา พอดีนางสริ มิ าลกุ จากทน่ี อนไมไ่ ดส้ ำ� รวมเสอ้ื ผา้ไปท่ีหนา้ ต่างเพอื่ มองดคู นรับใช้ใส่บาตร 16 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ภิกษุรูปน้ันมองเห็นนางแล้วก็เกิดปฏิพัทธ์เกิดความรักใคร่ในนาง ร�ำพึงว่าโอ!้  นขี่ นาดปว่ ยยงั สวยขนาดน ี้ กลบั มาถงึวัด ภิกษุน้ันก็ตรอมใจ ฉันข้าวไม่ลง ปิดฝาบาตรแล้วก็นอนคลุมโปงอยู่อย่างน้ันอาหารมื้อน้ันค้างบูดอยู่ในบาตร บาตรก็ไมไ่ ดล้ า้ ง นอนซมอย ู่ เพอ่ื นภกิ ษจุ ะมาคยุด้วยก็ไม่คุย นี่แหละ คนเราพอตกอยู่ในอารมณ์รัก ก็ปล่อยจิตใจให้จ่อมจมอยู่ในกองทกุ ข์ 17เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

ต่อมาปรากฏว่านางสิริมาซ่ึงป่วยหนกั ไดเ้ สยี ชวี ติ  ในสมยั นน้ั เขากจ็ ะนำ� ศพไปเผาทป่ี า่ ชา้  พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบเรอ่ื งภิกษุรูปน้ีด้วยพระญาณก็ขอให้เก็บศพไว้สักสามวันก่อนจึงค่อยเผา พอได้สามวันแล้วพระพุทธเจ้าจึงให้ประกาศท่ัวเมืองรวมทั้งภิกษุในวัดด้วยว่าใครอยากจะไปชมนางสิริมาก็ให้ตามพระองค์ไปที่ป่าช้าภิกษุหนุ่มที่นอนซมอยู่ก็ลุกขึ้นได้อย่างมีกำ� ลงั  เพราะอยากจะเห็นนางสริ ิมา  18 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ในปา่ ช้าน้ันเตม็ ไปด้วยผคู้ น ก็มีทั้งพระราชา ประชาชน และภกิ ษสุ งฆ ์ ตา่ งก็ไปรายลอ้ มศพนางสริ มิ า นางตายมาสามวนัแล้ว ก็ข้ึนอืดน้�ำเลือดน้�ำหนองไหลออกจากปาก มหี นอนชอนไชสง่ กลนิ่ เนา่ เหมน็พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามในท่ีชุมนุมน้ันว่านางสิริมาน้ีปกติค่าตัวเท่าไร มีผู้ทูลว่าหนง่ึ พนั กหาปณะ ใครจะเชยชมนางสริ มิ าต้องจ่ายถึงหน่ึงพันกหาปณะ ซ่ึงในสมัยนนั้ ถือวา่ แพงมาก 19เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

พระองค์ก็ให้ประกาศว่าใครจะรับนางสิริมาไปด้วยเงินหน่ึงพันกหาปณะเงียบ ไม่มีใครเอา ก็ลดราคาลงมา จากหนง่ึ พนั เหลอื หา้ รอ้ ยกเ็ งยี บ สองรอ้ ยหา้ สบิลดลงมาเหลือหน่ึงร้อย เหลือห้าสิบ จนลดลงมาเหลอื หนง่ึ กหาปณะกไ็ มม่ ใี ครเอาในทส่ี ุด กระทั่งให้ฟรๆี  ก็ยงั ไมม่ ีใครเอา จากนนั้ พระพทุ ธองคไ์ ดแ้ สดงธรรมโปรดพทุ ธบรษิ ทั แลว้ ตรสั วา่  “ดกู อ่ นภกิ ษ ุทง้ั หลาย เธอจงมองดมู าตคุ ามผนู้  ี้ นางเปน็  ท่ีพึงพอใจของชนท้ังหลาย เม่ือต้องการ  20 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

อภิรมย์กับนางเพียงคืนเดียว ต้องยอม จา่ ยดว้ ยทรพั ยถ์ งึ หนงึ่ พนั กหาปณะ แตม่ า บดั นแี้ มจ้ ะยกใหเ้ ปลา่ ๆ กไ็ มม่ ผี ใู้ ดตอ้ งการ ดเู ถดิ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กายนมี้ คี วามเสอ่ื มไป ส้ินไปเป็นธรรมดา เธอท้ังหลายจงแลด ูอตั ภาพอันอาดรู น”้ี ดงั นแี้ ลว้ ตรสั วา่  “ความตง้ั อยยู่ งั่ ยนื  ของรา่ งกายใดไมม่  ี ขอทา่ นจงดกู ายน ี้ ซง่ึ  กรรมทำ� ใหว้ จิ ติ รแลว้  มแี ผลอยเู่ ปน็ ประจำ�  มกี ระดกู เปน็ โครง นา่ เบอื่ หนา่ ย แตเ่ ปน็  ท่ีร�ำพึงถึงของหมู่ชน” ทรงชี้ให้เห็นถึง 21เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

ความไม่สวยไม่งามของสังขาร ของสรีระรา่ งกายนวี้ า่ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ของสวยงาม แตเ่ มอ่ืมองภายนอกกด็ วู า่ สวยงามเพราะมผี วิ หนงัปกปิดไว้ คนที่ไม่พิจารณาให้แยบคายก็เห็นว่าเป็นของงาม แต่ท่ีจริงแล้วมีสิ่งปฏกิ ลู ไหลออก แม้ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีส่ิงปฏิกูลไหลออกจากทวารท้ัง ๙ ทางตา ทางหูทางจมูก ทางปาก ทางทวารหนัก ทวารเบา ทางรขู ุมขนก็มไี หลออกมาอีก แสดงว่าภายในร่างกายน้ีเต็มไปด้วยของเสีย 22 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

พิจารณาว่าที่เราน่ังกันอยู่น่ี ก็น่ังพยุงเอาไส้ขดอยู่ในท้อง ซ่ึงมีอุจจาระ กินอาหารใหม่เข้าไปก็กลายเป็นอาหารเก่า แล้วกลายเปน็ อุจจาระ ยังมีปัสสาวะ มีน�้ำเหลือง มีเลือดหัวใจ ตับ ปอด ฟอนเฟะกันอยู่อย่างนี้นี่ขนาดว่าในขณะท่ีมีชีวิตอยู่นี่ก็ยังเป็นของปฏกิ ลู  ลองนกึ ดวู า่ ถา้ ถลกหนงั ออกไปแลว้ จะเปน็ อยา่ งไร คนเราแลดวู า่ งามกแ็ ค่หนังก�ำพร้าปิดไว้ ถ้าขูดเอาหนังมารวมๆกันแล้วก็คงจะเท่ากับเม็ดพุทรา มีความ 23เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

สวยอยู่แค่น้ัน ขูดแค่หนังก�ำพร้าออกก็ไม่งามแล้ว คราวนถี้ า้ เราพจิ ารณาใหท้ ะลเุ ขา้ ไปถงึ ขา้ งใน กจ็ ะเหน็ ความไมง่ ามของสงั ขารตวั เราเองกม็ คี วามสกปรก มคี วามไมง่ ามของคนอน่ื ก็เหมือนกนั  นอกจากน้ยี ังเปน็รงั แหง่ โรคภยั สารพดั อยา่ ง เฉพาะตวั ของสงั ขารเอง กเ็ สอื่ มชรา ทรดุ โทรมลงเรอื่ ยๆถ้าเราพิจารณาโดยแยบคายว่าเป็นของไม่งาม ก็เรียกว่าโยนิโสมนสิการ ถ้าเราพิจารณาไปในทางว่างาม ว่าสวย ก็เป็น 24 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

อโยนิโสมนสิการ เป็นการพิจารณาโดยไม่แยบคาย ไม่ตรงกับสภาพตามความเป็นจริง หากไม่มองให้ลึกซึ้งก็จะเกิดราคะ เกิดความก�ำหนัดยนิ ดใี นทางเพศ ดงั นนั้ พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนใหพ้ จิ ารณาให้แยบคาย พิจารณาย้�ำถึงความไม่งามการพจิ ารณาอยา่ งนเี้ ปน็ สง่ิ ทส่ี มควร ซงึ่ เราอาจจะไม่ค่อยอยากคิดพิจารณา ไม่ชอบในอารมณ์ท่ีมันไม่งาม แต่ท่ีจริงมันเป็นอุบาย เป็นค�ำสอนของพระพุทธเจ้าให้พิจารณา เพ่อื ท่จี ะขม่ ระงับกิเลสราคะ 25เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

26 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ส่วนการเพ่งมองไปในความงามไม่ใช่ท่ีอยู่ของบิดา เหมือนอย่างภิกษุรูปนั้นไม่ส�ำรวม จึงต้องถูกศรเสียดแทงใจเป็นทุกข ์ แต่ด้วยพระมหากรุณาของพระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้พิจารณา จึงหมดความหลงใหล การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าในครง้ั น้นั  ทำ� ใหม้ หาชนทงั้ หลายได้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล แม้ภิกษุรูปท่ีหลงใหลในตัวนางสิริมาก็ได้บรรลุโสดาปตั ตผิ ลด้วย 27เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

เพราะฉะนั้น การท่ีเราได้หลีกเร้นกันมาอยู่วัดก็เรียกว่าเรามาอยู่ในถ่ินบิดาของเรา พระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนวา่ ทอี่ ยขู่ องจิตที่จะเป็นไปสู่ความสงบระงับแห่งความทุกข์ ก็คือสติปัฏฐาน ๔ นี้เป็นท่ีอยู่ของบิดาที่จะต้องปฏิบัติตาม โดยพยายามมีสตริ กั ษาจิตใหอ้ ยู่ในอารมณก์ รรมฐาน พึงตามระลึกพิจารณากายในกาย อยู่เสมอ ตามระลึกพิจารณาเวทนาใน เวทนาอยู่เสมอ ตามระลึกรู้จิตในจิตอยู่เสมอ ตามระลึกรู้ธรรมในธรรมอยู่เสมอ 28 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

น้ีเป็นค�ำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนด้วยพระมหากรณุ าจติ ถ้าเราส่งจิตของเรามาอยู่กับสิ่งเหล่าน ้ี เรากจ็ ะมีความสงบระงบั ทจ่ี ะเปน็ทางให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง อันจะเป็นไปเพอื่ ความดบั ทกุ ข์ โดยตอ้ งอาศยั ความเพยี รประคองตงั้ จติ ไว ้ มสี ตสิ มั ปชญั ญะในการระลึกรู้กายในกายอยู่เนืองๆ อะไรคอื กายในกาย อตั ภาพสงั ขารรา่ งกายน ี้ ประกอบดว้ ยสว่ นตา่ งๆ ประชมุ 29เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

กันอยู่เป็นอวัยวะต่างๆ ก็พิจารณาเข้ามาในกายนี้ เหมือนเรามีของในตะกร้า เราก็พิจารณาดูว่าในตะกร้ามีอะไรอยู่บ้างกายน้ีก็เหมือนกัน การพิจารณาถึงความไม่สวยไม่งามนี้ก็เป็นการพิจารณากายในกาย พจิ ารณาผมบา้ ง ขนบา้ ง เลบ็ บา้ งฟนั บา้ ง หนงั บา้ ง เนอื้ บา้ ง เปน็ ของปฏกิ ลูในหนังเข้าไปก็มีเนื้อ มีเอ็นมีกระดูกอยู่ภายใน กระดกู กต็ อ่ กนั เปน็ ชน้ิ ๆ กะโหลกศีรษะ ตาท่ีโบ๋ลงไป จมูกที่โหว่มันมีหนังหุ้มอยู่ ท่ีจริงกะโหลกข้างในกลวงมีมันสมอง มีกระดูกต่อเป็นข้อๆ เป็นกระดูก 30 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

สนั หลงั  กระดกู ซโี่ ครง กระดกู แขน กระดกูมือ กระดูกนิ้ว กระดูกขา ที่นั่งอยู่น่ีก็พยงุ เอาโครงกระดกู ไว ้ พจิ ารณาไปอยา่ งนี้เรยี กว่า “พจิ ารณากายในกาย” ร่างกายประกอบด้วยอาการ ๓๒มผี ม ขน เลบ็  ฟนั  หนงั  เนอื้ เอน็  กระดกูอวยั วะภายในตา่ งๆ เชน่ ปอด ปอดกส็ บู ลมเข้าคายลมออกซักฟอกโลหิต ฟอนเฟะไปด้วยโลหิต โลหิตก็มีกล่ินคาว หัวใจก็สูบฉีดโลหิต ท�ำงานกันอย่างไม่หยุดย้ังไม่เคยได้พักผ่อนเลยนะ เป็นเคร่ืองจักร 31เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

ทที่ ำ� งานตลอดเวลา ถา้ หยดุ เมอ่ื ไหร ่ กต็ ายหลบั แลว้ กย็ งั ตอ้ งทำ� งานอย ู่ ปอดกด็  ี หวั ใจก็ดี เลือดก็ดี ต้องไหลเวียนกันอยู่ตลอดแล้วกเ็ ปน็ ของเปราะบาง เปน็ เนอื้ ออ่ นๆ ที่เสื่อมทรุดง่าย พิจารณาอย่างน้ีเรียกว่า“เหน็ กายในกาย” หรือแม้แต่พิจารณาอิริยาบถใหญ่บา้ งเลก็ บา้ งกเ็ ปน็ การพจิ ารณากายในกายอย ู่ กายนย้ี นื มสี ตริ ะลกึ รทู้ ก่ี าย เวลากายยืนเป็นอย่างไร จิตมาเกาะไว้ในถิ่นท่ีอยู่ของบดิ า ถา้ เราเอาจติ ของเราอยกู่ บั อารมณ์ 32 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

เหล่าน้ีถือว่าเราอยู่ในถ่ินของบิดา อยู่ในอารมณก์ รรมฐานตามค�ำสอนของพทุ ธบดิ าทตี่ รสั สอนไว ้ ยอ่ มจะเปน็ ไปเพอื่ ความดบั ทกุ ข์ ขอให้ต้ังสติตามรู้กาย น่ังอยู่ก็ให้รู้ตัวว่าน่ัง ยืนก็ระลึกรู้กายอยู่ว่าขณะนี้กายก�ำลังยืนอยู่ เดินก็ให้มีสติระลึกรู้กายท่ีก�ำลังเดิน ก้าวไป...รู้ ก้าวไป...รู้เคลื่อนไหวไป...รู้ นอนก็มีสติระลึกรู้อยู่ที่กายที่ก�ำลังนอน จิตมาเกาะไว้ท่ีกายน่ีก็จะท้ิงอารมณ์ภายนอกเพราะจิตมีที่อยู่ 33เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

เอาจิตมาอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน จิตจะมีความสงบ มีความสุข มีปีติ เบากายเบาใจ ถ้าจิตไม่มีท่ีเกาะ ไม่มีท่ีอยู่ จิตก็จะแล่นไปหลุดลอยไป ไหลไปเร่ืองอดีตอนาคต ไปเรอ่ื งลกู หลาน เรอ่ื งสาม ี ภรรยาเรอ่ื งงาน เรอ่ื งคนนนู้ ดา่ เรา คนนนั้ โกงเราอะไรไปเรอื่ ยอยา่ งนนั้  แลว้ กท็ กุ ขเ์ ศรา้ หมองเรียกว่าไม่อยู่ในถ่ินของบิดา แล่นไปสู่อารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น ส่งใจออกนอกกต็ อ้ งคอยระลกึ ส�ำรวมกลบั เขา้ มาหากาย 34 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

นง่ั ใหร้ ตู้ วั วา่ นง่ั  ตง้ั สตไิ ว ้ จติ มาเกาะเอาไวท้ ก่ี าย หมน่ั ระลกึ รทู้ ก่ี ายนเี้ ปน็ กรรมฐาน (กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน) ครน้ั เมอื่มอี ริ ยิ าบถยอ่ ยกร็ ะลกึ รสู้ กึ ไปดว้ ย ทำ� ความรสู้ กึ ตวั ในอริ ยิ าบถยอ่ ย มกี ารขยบั มอื กใ็ ห้รู้สึกว่ามือขยับไป มีการเหยียดแขนออกยกแขนขน้ึ มา กม้ บา้ ง เงยบา้ ง เหลยี วไปกใ็ หร้ สู้ กึ ตวั วา่ ก�ำลงั เหลยี วอยู่ กำ� ลงั เออื้ มมือไป ก�ำลังจับขยับเขยื้อนก็ให้รู้สึกตัวว่ากำ� ลงั ขยบั เขยอื้ น นเ่ี อากายเปน็ ทต่ี ง้ั ของสติอย่างนี้ก็ช่วยให้เกิดความสงบ มีปัญญาตามมาได้ 35เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

แม้แต่ก�ำลังทานอาหาร เวลาเค้ียวกใ็ หม้ สี ตริ กู้ บั การเคยี้ ว การเคยี้ วไปเคย้ี วมาล้ินตลบไปตลบมา ขากรรไกรเคลื่อนไหวแล้วกลืนลงไป เวลากลืนก็รู้สึกถึงการบบี รดั อาหารของกลา้ มเนอ้ื คอลงไป เวลาด่ืมก็ให้มีสติ น่ีปฏิบัติในขณะทานอาหารได้ หรอื แมเ้ วลาทอี่ าบนำ้�  ขนั ไปตกั  ยกมาราด หรอื วา่ นำ�้ ไหลมาถกู กาย กายขยบัเขยื้อน ถูตัวเคล่ือนไหว หัดรู้สึกตัวในขณะนนั้  แมน้ งุ่ หม่ เสอื้ ผา้ กร็ สู้ กึ ตวั  ในขณะ 36 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้มีสติ “อุจจาระปัสสาวะ กัมเม สัมปะชานะการี โหติ พึงท�ำความรู้ตัวในขณะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ” เรียกว่าทุกขณะปฏิบัติได้หมด เจริญสติไว้เสมอให้จิตเกาะอยู่กับกายรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่น่ีก็คอื กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน กายสว่ นยอ่ ยกายค้เู หยยี ด เคลอ่ื นไหว กม้ เงย เหลียวซา้ ยแลขวา เดนิ หนา้ ถอยหลงั  กระพรบิ ตาอ้าปาก กลืนน้�ำลาย ขยับเขยื้อนอยู่นี่ให้ร้สู ึกตัว 37เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

หรือแม้แต่การหายใจเข้าหายใจออกกเ็ ปน็ กาย เรยี กวา่  กายสงั ขาร สิ่งที่ปรุงแต่งกายนี้ กายนี้ด�ำรงอยู่ได้ก็ต้องมีลมหายใจปรงุ อย ู่ ถา้ ไมม่ ลี มหายใจเขา้ ออกกส็ ิ้นชวี ติ   ลมหายใจเข้าออกน้ีต้องมีอยู่ตลอดเวลา จึงเอาลมหายใจน่ีแหละมาเป็นที่ต้ังมาเป็นที่เกาะของจิตได้ เพราะว่ามันเปล่ียนแปลงอยู่ มีหายใจเข้าแล้วหายใจออก มันไม่ได้อยู่นิ่ง จิตบางทีถ้ามันไปอยู่กับอะไรนิ่งๆ มันไม่อยู่ มันหนีไปสู่ 38 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

39เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

อารมณ์ภายนอก แต่ถ้ามีอารมณ์อันใดที่มันเปล่ียนแปลงให้ดูไว้อยู่ จิตจะได้มีที่เกาะ หายใจเขา้ กร็  ู้ หายใจออกกร็  ู้ บางครง้ัลมหายใจกย็ าว เมอ่ื เราหายใจออกยาวก็ รชู้ ดั วา่ เราหายใจออกยาว เมอ่ื เราหายใจ เข้ายาวกร็ ู้ชดั วา่ เราหายใจเข้ายาว  เม่ือจิตมีท่ีเกาะอยู่ก็จะเกิดสมาธิบางครง้ั ลมหายใจกส็ น้ั  เมอื่ ลมหายใจออก สนั้ กใ็ หร้ ชู้ ดั วา่ เราหายใจออกสนั้  เมอ่ื ลม หายใจเขา้ สนั้ กใ็ หร้ ชู้ ดั วา่ เราหายใจเขา้ สนั้ประคองตง้ั จติ ไวอ้ ยกู่ บั ลมหายใจจติ จะเปน็ 40 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

สมาธิ โดยเฉพาะการก�ำหนดลมหายใจจะท�ำให้เกิดความสงบระงับท้ังกายทั้งใจทำ� ใหเ้ กดิ ความผาสกุ ทางกายทางใจ จติ จะเกิดปีติ เกิดความสุขกายก็จะผ่อนคลายหายปวด หายเจ็บ หายเม่อื ย เมื่อดูลมหายใจ จนกระท่ังจิตเป็นสมาธิ บางทีโรคภัยไข้เจ็บบางโรคก็อาจหายไปได ้ ดว้ ยอำ� นาจของสมาธ ิ อำ� นาจของปตี  ิ ซงึ่ ทำ� ใหก้ ายเบา ใจเบา จติ ทมี่ สี มาธนิ ี่ใจจะเบา กายจะเบา การดูลมหายใจนี่เปน็ สงิ่ ทเี่ ราไมต่ อ้ งไปแสวงหาทไ่ี หน อยทู่ ่ี 41เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

ตัวของเราเอง ท�ำได้ทุกขณะ ทอี่ ยขู่ องจติ ทหี่ าไดง้ า่ ย คอื ลมหายใจเพยี งคอยตามรอู้ ย ู่ หายใจเขา้  หายใจออกยาวหรือสั้น พงึ ศกึ ษาวา่  เราจกั เปน็ ผกู้ ำ� หนดร ู้ตลอดกองลมหายใจทงั้ ปวง หายใจออก  พึงศึกษาว่า เราจักเป็นผู้ก�ำหนด รตู้ ลอดกองลมหายใจทงั้ ปวง หายใจเขา้ 42 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ให้เราฝึกดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ก็จะรู้ท่ัวถึงกายทั้งหมด ศึกษา ส�ำเหนียกฝกึ หดั  ไมเ่ ชน่ นนั้ บางทมี นั กไ็ ปจมจอ่ มอยู่กบั อารมณเ์ ดยี ว ไมข่ ยายการรบั ร ู้ กฝ็ กึ หดัให้มันรู้ทั่วกาย ก�ำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจเขา้  กองลมหายใจออก และตลอดท่ัวกายท้ังหมด จิตมันจะแผ่ขยายความรู้สึกได้ท่ัวถึงกายทั้งหมด แล้วก็ยังรู้ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกอย ู่ พงึ ศกึ ษาวา่ เราจกั ระงบั กายสงั ขาร หายใจออก 43เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

พงึ ศกึ ษาวา่ เราจกั ระงบั กายสงั ขาร  หายใจเข้า ถ้าเรารู้จักปรับผ่อนให้ดีมันจะนุ่มนวลมันจะเบาจะละเอียดอ่อน เช่น ถ้าเราหายใจเข้าก็รู้จัก ค่อยๆ หายใจเข้าไปจนสดุ  หายใจออกก็คอ่ ยๆ ออก ผ่อนลมเข้า ผ่อนลมออก จะท�ำให้ลมนี้ละเอียดนมุ่ นวล ในการหายใจ เรยี กวา่ ผอ่ นระงบัลมหายใจเขา้ -ลมหายใจออก 44 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ถ้าเราหายใจฟืดฟาดรุนแรงนี่ลมก็จะหยาบ ดไี มด่ กี แ็ นน่  ดลู มหายใจไปนานๆถ้าไม่ละเอียดมันจะเสียดแทง เสียดแทงหนา้ อก แนน่ ตงึ  บางทกี เ็ จบ็ หนา้ อก แตถ่ า้ลมมันละเอียดแล้วนี่ มันจะไม่เสียดแทงฉะน้ันจะให้ลมละเอียดได้ก็ต้องคอยผ่อนระงับให้ดี หายใจเข้าออกยังไงให้นุ่มนวลละเอียดอ่อน ในท่ีสุดลมน้ีมันก็ละเอียดเขา้ ๆ เหมอื นไมห่ ายใจ แตท่ จี่ รงิ กย็ งั หายใจอยู่ 45เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ



ในสมาธริ ะดบั ตน้ ๆ ยงั หายใจอย ู่ ที่จะไมห่ ายใจกค็ อื ระดบั ฌาน ๔ แตไ่ มต่ ายนะ พวกเราน่ีพอรู้สึกเหมือนว่าไม่หายใจกม็ ักจะกลวั ตาย ตน่ื เตน้  ทำ� ใหเ้ สียสมาธิต่อไปนี้ต้องไม่กลัว ให้รู้ว่าแนวทางของการดูลมหายใจมันจะต้องเป็นอย่างนั้นคือลมมันจะต้องเบาลงๆ น้อยลงๆ จนกระทั่งเหมือนไม่หายใจก็ดูต่อไปเร่ือยๆลมมนั จะนง่ิ กน็ ่ิง มนั ไม่ตายหรอก พอถึงระดบั นส้ี ภาพจติ มนั กจ็ ะดงี าม มนั กจ็ ะไม่ฟุ้งซ่าน จะไม่ร้อนใจ เบาใจเบากาย เกิดปตี  ิ อมิ่ เอบิ ใจ เยน็ ใจโปรง่ โลง่ ใจ สขุ มากๆ 47เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ

ก็เย็นกายไปด้วย แต่แล้วพอปีติมากเกินไปก็ตอ้ งระงบั เหมือนกัน บางคนปีติล้นใจโลดโผน บางคนมีอาการเหมือนอยากจะวิ่งออกไปถนนฉะนนั้ ทง้ั ๆ ทมี่ นั มคี วามสขุ  หากมนั ลน้ มากก็ต้องมีการระงับ ควบคุมให้อยู่ในความเหมาะสมพอสมควร ก็ต้องก�ำหนดดูที่จิต ปีติสุขกถ็ ือว่าเปน็ เวทนา เป็นโสมนัสเวทนา เปน็ สขุ เวทนาทเ่ี กดิ ขนึ้  ขณะกำ� หนดดูเวทนาก็เรียกว่าเป็นการเจริญเวทนานุ- ปัสสนาสติปัฏฐาน ก�ำหนดดูกายไปเกิด 48 พ ึ ง ต า ม ร ั ก ษ า จ ิ ต ต น

ความสงบ มปี ตี  ิ กำ� หนดดปู ตี  ิ มคี วามสขุกำ� หนดรคู้ วามสขุ  จติ กำ� หนดรจู้ ติ  กำ� หนดสภาพธรรมต่างๆ ท่เี กดิ กับจิตใจ จิตที่มันมีสติมีสัมปชัญญะมีความเพยี ร มปี ญั ญาเกดิ ขนึ้  พจิ ารณาธรรม เหน็ธรรม เห็นสภาวธรรม พิจารณาธรรมท้ังหลายให้เห็นความเกิดขึ้น ความเสื่อมไปความดับไป ความบังคับบัญชาไม่ได้ คือทุกแนวทาง ในท่ีสุดแล้วต้องไปสูก่ ารเห็นไตรลักษณ์ เข้าถึงวิปัสสนาแล้วต้องเห็นไตรลกั ษณ ์ เหน็ ลกั ษณะ ๓ ประการกค็ อื 49เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook