ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) อ.ดร.สุทธริ กั ษ์ อ้วนศิริ 1 สาขาวชิ าเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภฏั หมูบ่ า้ นจอมบงึ
2
ความหมายของความหลากหลายทางชวี ภาพ • ความหลากหลายของสิง่ มีชีวิตชนดิ ตา่ ง ๆ ท่ีดารงชวี ิตอย่ใู นแหลง่ ที่อยูอ่ าศยั เดียวกนั หรอื แตกตา่ งกัน • ส่งิ มีชวี ิตต่างชนดิ กนั จะมีความแตกตา่ งกันในด้านชนดิ และจานวน หรอื ทางสาย พนั ธกุ รรม 3
นกฟินช์ บนหมเู่ กาะกาลาปาโกส แต่ละชนิดจะมีขนาด รปู รา่ ง และจะงอยปาก แตกต่างกนั เป็นผลมาจากชนิดของอาหารทกี่ ินและสภาพแวดล้อมทเี่ ป็นแหลง่ อาศยั 4
ประเภทของความหลากหลายทางชวี ภาพ ความหลากหลายทางพันธุกรรม เป็นความหลากหลายท่ีปรากฏไม่ชัดเจน โดยส่ิงมีชีวิตท่ีมีลักษณะภายนอก คล้ายกันมากอาจมีองค์ประกอบทางพันธุกรรมที่แตกต่าง ความหลากทางพันธกุ รรมทีเ่ กิดโดย ธรรมชาติ สิง่ มชี วี ิตมีการสบื พนั ธุเ์ พ่อื ดารง เผ่าพันธ์ุซ่งึ ส่วนใหญ่เป็นการผสมพนั ธุ์ ภายในสปีชีส์เดียวกัน เช่น การผสมพนั ธุ์ ระหว่างพืชทท่ี นต่อแมลงศตั รูพืชด้วย กนั เอง 5
แตบ่ างกรณเี ป็นการผสมพนั ธขุ์ า้ มสปชี สี ์ ซง่ึ จะทาใหเ้ กดิ ความหลากหลาย ทางพันธกุ รรมข้ึน เช่น การผสมพันธร์ุ ะหวา่ งพืชท่ีทนต่อแมลงศตั รูพืชกบั พืชทท่ี น ต่อเชือ้ รา ซง่ึ จะทาใหไ้ ด้พืชทท่ี นตอ่ ท้งั แมลงศัตรูพชื และเชื้อรา 6
ความหลากหลายทางชนิดพนั ธ์ุ เปน็ ความหลากหลายท่สี ามารถพบเห็นได้ชัดเจน เกีย่ วข้องกับจานวนชนดิ ของสิง่ มชี ีวติ ท่ีอาศัยอยบู่ นโลก ซ่ึงสงิ่ มชี ีวิตบนโลกอาจมีจานวนถงึ 50 ลา้ นชนดิ 7
1. ความมากชนิด (species richness) หมายถงึ จานวนชนดิ ของส่งิ มีชีวิตตอ่ หน่วยเนื้อที่ ส่วนความสม่าเสมอ ของชนิดหมายถึงสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในท่ีนั้น ในพื้นท่ี หน่ึง ๆ จะมีความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต (species diversity) มาก ที่สุดก็ต่อเม่ือมีจานวนส่ิงมีชีวิตมากมายหลายชนิดและแต่ละชนิดมีสัดส่วน เทา่ ๆ กัน 8
ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิตนั้นแตกต่างไปตามพ้ืนที่ ในเมืองหนาว เช่น ไซบีเรีย หรอื แคนาดา ในเนื้อที่ 1 เฮกเตอร์ (100 x 100 ม.) มีต้นไม้เพียง 1 ถึง 5 ชนิดเท่านั้น ส่วน ในป่าเตง็ รังของไทย มตี น้ ไม้ 31 ชนิด ป่าดิบแลง้ 54 ชนิด และในปา่ ดิบชนื้ มีอย่นู บั ร้อยชนิด เขตไซบีเรีย ปา่ เตง็ รงั ป่าดิบชน้ื 9
2. ความสม่าเสมอของชนิดสง่ิ มีชีวิต (species evenness) สัดส่วนของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศหนึ่ง ๆ ดังน้ันความหลากหลายทางชนิด พันธุ์จึงสามารถวัดได้จากจานวนของสิ่งมีชีวิตและจานวนประชากรของส่ิงมีชีวิต แตล่ ะชนิดรวมถึงโครงสร้างของอายุและเพศของประชากรด้วยความหลากหลาย ของชนดิ พนั ธ์จุ ะแตกตา่ งกันไปตามพื้นท่ีพ้ืนที่ เช่น มีป่าอยู่ 2 แห่ง แต่ละแห่งมี ต้นไม้จานวน 100 ต้น และมีอยู่ 10 ชนิดเท่ากัน แต่ป่าแห่งแรกมีต้นไม้ชนิดละ 10 ต้น เท่ากันหมด ส่วนป่าแห่งท่ี 2 มีต้นไม้ชนิดหนึ่งมากถึง 82 ต้น อีก 9 ชนดิ ที่เหลือ มีอยอู่ ย่างละ 2 ต้น ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีจานวนต้นไม้เท่ากันและมี จานวนชนิดต้นไม้เท่ากันด้วย แต่ป่าแห่งแรกเม่ือเข้าไปดูแล้วจะมีความรู้สึกว่า หลากหลายกว่าปา่ แหง่ ท่ีสอง 10
ความหลากหลายของระบบนิเวศหรือแหลง่ ท่อี ยอู่ าศยั (Ecological system diversity หรือ Habitat diversity) ประกอบดว้ ยความหลากหลาย 3 ประเด็น คือ ก) ความหลากหลายของถนิ่ ตามธรรมชาติ ( habitat diversity) บรเิ วณใดทมี่ คี วามหลากหลายของแหล่งทอ่ี ยู่อาศยั จะมชี นิดของสิ่งมชี วี ิต ท่ีหลากหลายไปดว้ ย 11
12
ข. ความหลากหลายของการทดแทน (Successional diversity) เมื่อสิง่ มชี ีวิตเรม่ิ พัฒนาขน้ึ ในพน้ื ท่ที ่ไี ม่เคยมีสิง่ มชี วี ิตขึน้ มาก่อนและพฒั นาขึ้นเปน็ ชมุ ชนสงิ่ มีชีวติ สมบูรณ์ (climax stage) เมือ่ เกิดการรบกวนหรือการทาลาย ระบบนเิ วศลงไป เช่น พายุ ไฟป่า การตัดไม้ทาลายป่า ฯลฯ ก็จะทาใหร้ ะบบ นิเวศเกิดการเสยี หายหรือถกู ทาลาย 13
14
ประเภทของความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางระบบนเิ วศ เป็นความหลากหลายของแหลง่ ท่ีอยู่ทส่ี ง่ิ มชี วี ิตน้นั อาศัยอยู่ เพราะสิ่งมชี ีวติ แต่ ละชนิดจะเลือกสภาพแวดล้อม หรือแหลง่ ทีอ่ ยูอ่ าศัยให้เหมาะสมกบั การดารงชีวติ และการขยายเผา่ พนั ธ์ุ ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนเิ วศทะเลทราย 15
บรเิ วณต่างๆ ของโลกมีลักษณะทางกายภาพของสง่ิ แวดล้อมแตกตา่ งกนั ทาใหม้ ีระบบนิเวศแตกต่างกัน ระบบนิเวศปา่ ชายเลน ระบบนเิ วศนา้่ เคม็ 16
การเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมทเ่ี กดิ จากการกระทา่ ของมนษุ ย์ • การใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพในการหลอมรวมเซลล์สืบพันธ์ุของแกะกบั แพะ แล้วใส่เข้า ไปให้เจรญิ เติบโตในมดลูกของแกะ ทาให้ได้สัตว์ลกู ผสมสายพนั ธ์ุใหม่มีชื่อวา่ กปี • ลกั ษณะเดน่ ของกปี คือ มีเขาและขน ทีม่ ีลกั ษณะผสมระหวา่ งขนแพะกบั ขนแกะ • นอกจากน้ี ก็มีการผสมพนั ธสุ์ นุ ัขระหว่างสายพันธ์ุตา่ ง ๆ ด้วย 17
ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย ประเทศไทยเปน็ หนึ่งใน 20 ประเทศทีม่ ที รัพยากรชวี ภาพหลากหลาย มากท่ีสุดแหง่ หน่ึงของโลก พนั ธ์ุพืช พันธ์สุ ตั ว์ รวมทงั้ ความหลากหลายทาง ชวี ภาพ (Biodiversity) หรอื ทรัพยากรชีวภาพ (Bioresource) เป็นฐานสาคญั ของการเกษตร ยารักษาโรค และเศรษฐกิจท้ังระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ สาเหตุสาคัญท่ีทาให้ในพ้นื ทป่ี ่าตามธรรมชาตใิ นประเทศไทยมีความ หลากหลายของพันธ์พุ ชื และพนั ธ์ุสัตว์เป็นอย่างมาก เนอื่ งจากเหตุผลหลาย ประการไดแ้ ก่ 1. ประเทศไทยต้ังอยใู่ นโซนรอ้ นเหนอื เสน้ ศูนยส์ ูตรเล็กนอ้ ยและอยตู่ ิด ทะเล 2. มีความแตกตา่ งกันของสภาพภูมปิ ระเทศและภมู ิอากาศในแต่ละ ภมู ิภาคของประเทศไทย 18
ประเภทของปา่ ไม้ ป่าไม้ในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. ปา่ ดงดบิ หรือป่าไมผ่ ลดั ใบ (Evergeen forest) เปน็ ระบบนเิ วศนข์ องปา่ ไมช้ นดิ ทปี่ ระกอบดว้ ยพนั ธ์ุไมช้ นิดไมผ่ ลัดใบคือ มีใบเขียวตลอดเวลา แบ่งออกเปน็ 4 ชนิด คือ 1.1. ปา่ ดบิ เมอื งร้อน (Tropical evergreen forest) เป็นป่าท่อี ยูใ่ นเขตลมมรสุมพัดผา่ นเกือบตลอดปี มีปรมิ าณน้าฝนมาก แบ่งออกเปน็ : - ป่าดงดบิ ชนื้ (Tropical rain forest) - ป่าดงดบิ แล้ง (Dry evergreen forest) - ปา่ ดงดบิ เขา (Hill evergreen forest) 19
ปา่ ดงดิบชืน้ (Tropical rain forest) ป่าดงดิบชน้ื ในประเทศไทยมีการกระจายสว่ นใหญ่อยู่ทางภาคใต้และ ภาคตะวนั ออกของประเทศ อาจพบในภาคอน่ื บา้ ง แตม่ กั มลี กั ษณะโครงสรา้ งท่ี เปน็ สงั คมยอ่ ยของสังคมปา่ ชนิดนี้ ปา่ ดงดิบชน้ื ขน้ึ อยู่ในท่ีราบหรือบนภเู ขาท่ี ระดบั ความสงู ไมเ่ กิน 600 เมตรจากระดบั น้าทะเล ในภาคใตพ้ บได้ตัง้ แต่ตอนล่าง ของจังหวัดประจวบครี ขี นั ธ์ลงไป จนถึงชายเขตแดน ส่วนทาง ภาคตะวันออกพบในจังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง และบางส่วน ของจังหวดั ชลบรุ ี 20
ปา่ ดิบแลง้ (Dry evergreen forest) ป่าดบิ แล้งของเมอื งไทยพบกระจายตง้ั แตต่ อนบนของทวิ เขาถนนธงชยั จากจงั หวัดชุมพรขึ้นมาทางเหนือ ปกคลุมลาดเขาทางทิศตะวนั ตกของทิวเขา ตะนาวศรไี ปจนถึงจงั หวดั เชยี งราย สว่ นซีกตะวันออกของประเทศปกคลุมตั้งแต่ ทิวเขาภูพานต่อลงมามาถึงทวิ เขาบรรทัด ทิวเขาพนมดงรักลงไปจนถึงจังหวัด ระยองขึน้ ไปตามทิวเขาดงพญาเย็น ทิวเขาเพชรบูรณจ์ นถงึ จังหวัดเลยและน่าน นอกจากนี้ ยงั พบในจงั หวดั สกลนคร และทางเหนือของ จังหวัดหนองคายเลยี บลาน้าโขง ในส่วนท่ตี ดิ ต่อกบั ประเทศลาว ป่าชนดิ นีพ้ บตง้ั แต่ระดบั ความสูง จากนา้ ทะเลปานกลางประมาณ 100 เมตรขึ้นไปถึง 800 เมตร 21
ปา่ ดบิ เขา (Hill evergreen forest) ปา่ ดงดิบเขาอาจพบได้ในทุกภาคของประเทศในบริเวณท่ีเป็นยอดเขาสงู พบตงั้ แตเ่ ขาหลวง จ.นครศรธี รรมราช เขตรกั ษาพนั ธ์ุสัตวป์ ่าหว้ ยขาแขง้ ขึ้นไป จนถงึ ยอดเขาสงู ๆ ในภาคเหนือ เช่น ยอดดอยอินทนนท์ ดอยปุย และยอดดอย อ่ืนๆ ในจงั หวดั เชยี งใหม่ เชยี งราย และแม่ฮ่องสอน เปน็ ตน้ ส่วนทางภาค ตะวันออกพบไดบ้ น ยอดดอยภหู ลวง ภูกระดงึ ยอดเขาสงู ในเขตรกั ษา พนั ธ์ุสตั ว์ปา่ ภเู ขยี ว อุทยานแหง่ ชาตเิ ขาใหญ่ เป็นต้น 22
1.2. ปา่ สน (Coniferous forest) ป่าชนิดนถ้ี ือเอาลักษณะโครงสรา้ งของสงั คมเป็นหลักในการจาแนก โดยเฉพาะองคป์ ระกอบของชนดิ พนั ธุ์ไม้ในสงั คมและไมเ้ ด่นนา อาจเป็นสนสอง ใบหรอื สนสามใบ 23
1.3. ป่าพรุหรอื ป่าบงึ (Swamp forest) พบตามที่ราบลมุ่ มีนา้ ขงั อยู่เสมอ และตามริมฝงั่ ทะเลท่มี โี คลนเลนท่วั ๆ ไป แบ่งออกเปน็ - ป่าพรุ (Peat Swamp) - ปา่ ชายเลน (Mangrove swamp forest) 24
ปา่ พรุ (Peat Swamp) เป็นสังคมปา่ ทอ่ี ยู่ถัดจากบริเวณสงั คมป่าชายเลน โดยอาจจะเป็นพ้ืนที่ ลุม่ ที่มีการทับถมของซากพชื และอินทรยี วตั ถุท่ีไมส่ ลายตวั และมนี า้ ท่วมขงั หรือ ช้นื แฉะตลอดปี จากรายงานของกองสารวจดิน กรมพัฒนาท่ีดิน (2525) พนื้ ท่ีที่ เป็นพรพุ บในจังหวัดตา่ ง ๆ ดังนี้ นราธิวาส 283,350 ไร่ นครศรธี รรมราช 76,875 ไร่ ชมุ พร 16,900 ไร่ สงขลา 5,545 ไร่ พัทลุง 2,786 ไร่ ปัตตานี 1,127 ไร่ และตราด 11,980 ไร่ สว่ นจังหวดั ทีพ่ บเลก็ นอ้ ย ไดแ้ ก่ สุราษฎรธ์ านี ตรงั กระบ่ี สตูล ระยอง จนั ทบรุ ี เชียงใหม่ (อ.พรา้ ว) และจงั หวดั ชายทะเลอนื่ ๆ รวมเปน็ พน้ื ที่ 400,000 ไร่ อย่างไรก็ตาม พืน้ ท่ีสว่ นใหญ่ถกู บกุ รุกทาลายระบาย น้าออกเปลยี่ นแปลงสภาพเป็นสวนมะพร้าว นาขา้ ว และบ่อเล้ยี งกุ้งเลีย้ งปลา คงเหลอื เป็นพ้นื ทกี่ ว้างใหญใ่ นจงั หวดั นราธวิ าสเท่าน้ัน คอื พรุโต๊ะแดง ซ่ึงยังคง เป็นป่าพรุสมบรู ณ์ และพรุบาเจาะ ซง่ึ เป็นพรุเสอ่ื มสภาพแล้ว 25
ป่าชายเลน (Mangrove swamp forest) เปน็ สงั คมปา่ ไม้บริเวณชายฝัง่ ทะเลในจงั หวดั ทางภาคใต้ กลาง และ ภาคตะวนั ออก และมีนา้ ข้ึน-นา้ ลงอย่างเดน่ ชัดในรอบวัน 26
4. ป่าชายหาด (Beach forest) แพร่กระจายอยูต่ ามชายฝ่ังทะเลท่ีเป็นดินกรวด ทราย และโขดหนิ ดินมี ฤทธิ์เปน็ ดา่ ง 27
2. ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) เปน็ ระบบนเิ วศน์ป่าชนดิ ทปี่ ระกอบดว้ ยพนั ธไุ์ ม้ชนิดผลัดใบหรือท้ิงใบเก่า ในฤดูแล้ง เพื่อจะแตกใบใหม่เมื่อเข้าฤดูฝน ยกเว้นพืชชั้นล่างจะไม่ผลัดใบ จะพบ ป่าชนิดนี้ตง้ั แตร่ ะดับความสงู 50-800 เมตร เหนอื ระดบั นา้ ทะเล แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 2.1. ป่าเบญจพรรณ ลกั ษณะทั่วไปเป็นป่าโปรง่ พื้นทีป่ า่ ไม้ไมร่ กทึบ มีไม้ไผช่ นดิ ตา่ งๆ ข้นึ อยู่ มาก มอี ยู่ทว่ั ไปตามภาคต่างๆ ที่เปน็ ที่ราบ หรือตามเนินเขา พันธ์ุไม้จะผลดั ใบใน ฤดูแล้ง การกระจายของป่าเบญจพรรณในประเทศไทย พบในภาคเหนือ ภาค กลาง และภาคอีสาน ครอบคลุมต่าลงไปจนถึงจงั หวัดประจวบครี ขี ันธ์ตอนบน มี ปรากฏทรี่ ะดับความสูงตั้งแต่ 50 เมตร ถงึ 800 เมตร หรือสูงกวา่ นใ้ี นบางจุด 28
29
2.2. ป่าแดง ป่าแพะ หรือปา่ เต็งรงั พบข้ึนสลับกับป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ขนาดเล็ก และขนาดกลาง ไม้เด่นอันเป็นไม้ดัชนีประกอบด้วยไม้ในวงศ์ยาง ฤดูแล้งจะผลัด ใบ และมีไฟปา่ เปน็ ประจา ป่าเต็งรังมีถิ่นกระจายโดยกว้าง ๆ ซ้อนทับกันอยู่กับป่าเบญจพรรณ แต่ อาจแคบกวา่ เล็กน้อยทง้ั น้ีเนือ่ งจากมปี จั จยั กาหนดท่เี กีย่ วขอ้ งกับความแห้งแล้ง มี ปรากฏตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีข้ึนไปจนถึงเหนือสุดในจังหวัดเชียงราย ป่าชนิดนี้ เป็นสงั คมพชื เดน่ ในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่ปรากฏสลับกันไปกับ ป่าเบญจพรรณ ในพ้ืนที่ท่ีมีความแห้งแล้งจัด กักเก็บน้าได้เลว เช่น บนสันเนิน พ้ืนที่ราบทเี่ ป็นทรายจัด หรือบนดนิ ลูกรังทีม่ ีชั้นของลกู รังตื้น ต้ังแต่ระดับความสูง จากระดบั นา้ ทะเล 50-1,000 เมตร 30
31
2.3. ปา่ หญา้ เกิดจากการทาลายสภาพป่าไม้ท่ีอุดมสมบูรณ์ ดินมีความเส่ือมโทรม มี ฤทธ์ิเป็นกรด ต้นไม้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ จึงมีหญ้าต่างๆ เข้าไปแทนที่ แพร่กระจายทั่วประเทศในบรเิ วณทป่ี า่ ถูกทาลายและเกิดไฟปา่ เป็นประจาทุกปี 32
33
ประเทศไทยอยู่ในบริเวณศนู ยก์ ลางทีม่ กี ารกระจายพันธ์ุของพืชและสตั ว์ กล่าวคือเป็นเขตซ้อนทับกันของกลุ่มพรรณพฤกษชาติ (Floristic Region) ถึง 3 กลุ่มคือ กลุ่มอินโด-เบอร์มีส (Indo-Burmese elements) กลุ่มอินโด-ไชนิส (Indo-Chinese elements) และกลุ่มมาเลเซีย (Malaysian elements) ในส่วนของสัตว์ป่า ประเทศไทยถือเป็นจุดซ้อนทับของเขตสัตว ภูมิศาสตร์ (Zoological Region) 3 เขตเช่นกันคือ เขตชิโน-หิมาลัย (Shino- Himalayan) เขตอินโด-ไชนสี (Indo-Chinese) และเขตชนุ ดา (Sundaic) 34
ประโยชนข์ องความหลากหลายทาง มนุษยส์ ามารถได้รับประโยชนจ์ ากความหลากหลายทางธรรมชาตใิ นหลาย ๆ ดา้ น ดังน้ี 1. ประโยชนด์ ้านการบริโภคใช้สอย หมายถงึ ประโยชนข์ องความหลากหลายทาง ชวี ภาพทีเ่ ปน็ ทรพั ยากร ทางธรรมชาติอันเอื้อต่อปัจจยั ในการดารงชวี ิตใหแ้ กม่ นษุ ย์ เช่น ด้าน อาหาร เครอื่ งนุง่ ห่ม ท่ีอยอู่ าศยั ยารกั ษาโรค เปน็ ตน้ 2 . ประโยชน์ดา้ นการผลติ ดา้ นการอุตสาหกรรม ผลผลติ ของปา่ ท่นี ามาใช้ ประโยชนไ์ ม่วา่ จะโดยตรง เช่น การปา่ ไม้ ของปา่ หรอื โดยออ้ ม เชน่ การสกัดสารเคมจี ากพชื ในปา่ 3. ประโยชน์อนื่ ๆ อันได้แกค่ ุณค่าในการบารุงรักษาระบบนเิ วศให้สามารถดารง อยูไ่ ด้ และดูแลระบบนเิ วศ ใหค้ งทน เชน่ การรักษาหน้าดินการตรงึ ไนโตรเจนสู่ดนิ การ สังเคราะหพ์ ลงั งานของพืช การควบคมุ ความชื้น เป็นตน้ ซ่งึ จัดเปน็ ประโยชน์ทีส่ าคญั ตลอด ทัง้ ในด้านนันทนาการและการท่องเทีย่ วของมนุษย์ 35
การสญู เสยี ความหลากหลายทางธรรมชาติ สาเหตขุ องการสญู เสยี ความหลากหลายทางชีวภาพ การสญู เสยี ความหลากหลายทางธรรมชาติท่ีเกดิ จากการกระทาของ มนษุ ย์ในพื้นทีท่ ่ีกระทบต่อระบบนเิ วศสามารถจาแนกได้ประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ 1) การลดพืน้ ท่ี (reduction) 2) การแบ่งแยกพ้นื ท่ี (fragmentation) 3) การแทนท่ี (substitution) 4) การทาให้สูญพนั ธุ์ (extinction) 5) การทาใหป้ นเปอ้ื น (contamination) 36
การอนรุ ักษพ์ ้นื ทเ่ี พอ่ื การรกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพ การอนรุ ักษ์พน้ื ท่ี เพอื่ เปน็ ทีอ่ ยอู่ าศยั ของส่ิงมีชวี ติ และแหลง่ พันธกุ รรม ของสิ่งมีชีวติ ในประเทศไทยมกี ารกันพืน้ ท่เี พอื่ เป็นพ้ืนที่อนุรักษ์ใน 6 ลกั ษณะ โดยมวี ตั ถุประสงค์ทแ่ี ตกต่างกนั ไป ดงั ตอ่ ไปนี้คอื 1. อทุ ยานแหง่ ชาติ เป็นพื้นทท่ี ่ีรฐั บาลสงวนไว้เปน็ พิเศษเพือ่ ประโยชน์ ทางการคมุ้ ครองรักษาหรอื อนรุ กั ษ์สภาพธรรมชาตแิ ละถ่นิ กาเนิดทรพั ยากร ธรรมชาติทงั้ หลายในอุทยานแหง่ ชาติน้ัน ประกอบกนั การศึกษาค้นควา้ ทาง วทิ ยาศาสตร์ และการ พกั ผอ่ น หยอ่ นใจเช่นอทุ ยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยาน แหง่ ชาตทิ งุ่ แสลงหลวง เปน็ ตน้ 37
2. วนอุทยาน เปน็ สถานที่ทม่ี ีทวิ ทัศน์สวยงาม มีจุดเดน่ ตามธรรมชาตทิ ่ี เปน็ ลักษณะเฉพาะของพ้ืนทเี่ ชน่ นา้ ตก ถา้ หน้าผา มพี ืน้ ทขี่ นาดเล็ก เหมาะ สาหรบั การพกั ผ่อนหย่อนใจ เช่น วนอทุ ยานถา้ ปลา จงั หวัดแม่ฮ่องสอน วน อุทยานแพะเมืองผี จังหวัดแพร่ เปน็ ตน้ 38
3. สวนพฤกษศาสตร์ เปน็ สวนทีส่ รา้ งขน้ึ สาหรบั การรวมพนั ธุไ์ มเ้ พ่อื จุดประสงค์ ทาง การศึกษา อาจจะเปน็ การรวบรวมพนั ธุ์ไมใ้ นท้องถ่ินหรือ ต่างท้องถิน่ กันกไ็ ด้ โดยมกี ารจัดแยกหมวดหมขู่ องต้นไม้ ในประเทศไทยมกี ารจดั ตง้ั สวน พฤกษศาสตร์ 15 แห่ง เชน่ สวนพฤกษศาสตร์สริ กิ ติ ์ิ จังหวดั เชยี งใหม่ สวนพฤกษศาสตรภ์ าคกลาง เขาแค จงั หวัดสระบุรี สวนพฤกษศาสตรพ์ ทั ลุง จังหวดั พัทลุง เปน็ ต้น 39
4. สวนรุกขชาติ เป็นพน้ื ทีท่ ่ีรวบรวมพนั ธไ์ุ มเ้ พื่อการพกั ผ่อนของประชาชน เปน็ พืน้ ทข่ี นาดเล็ก ไมม่ กี ารจัด หมวดหมมู่ ากนกั ในประเทศไทยมีจานวน 44 แห่ง เช่น สวนรกุ ขชาตหิ ้วยแก้ว จงั หวดั เชียงใหม่ เป็นตน้ 40
5. เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ ่า เปน็ พืน้ ท่กี าหนดใหเ้ ป็นทีอ่ ยู่อาศยั ของสัตวป์ า่ โดย ปลอดภัยเพอ่ื ให้สัตว์ป่าได้สบื พนั ธุ์ ขยายพันธ์ไุ ด้มากขึน้ และกระจายออกไปยงั แหล่งใกลเ้ คยี งในประเทศไทยเช่นเขตรกั ษาพันธส์ุ ตั ว์ปา่ ทงุ่ ใหญ่นเรศวร หว้ ยขา แขง้ 41
6. เขตหา้ มล่าสตั ว์ป่า เขตหา้ มล่าสัตวป์ ่าเป็นอาณาบริเวณทีร่ าชการ กาหนดใหเ้ ป็นทอ่ี ยู่อาศัยของสตั ว์ปา่ บางชนิดขนาดไม่กวา้ ง ขวาง สว่ นใหญเ่ ป็น พื้นท่สี าธารณประโยชน์ เช่น เขตห้ามล่าสตั ว์ป่าเขาน้อยเขาประดู่ เขตห้ามลา่ สตั วป์ า่ บงึ บอระเพด็ เปน็ ต้น 42
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: