ข้อสอบวิชาชวี วิทยา เรอ่ื งการดำรงชวี ิตของพชื ................................................................................................................................................................................. จงเลอื กคำตอบทถี่ ูกท่สี ดุ เพียงข้อเดียว 1. ทา่ นไม่สามารถศึกษาเซลล์ในเน้ือเยือ่ ท่อลำเลยี งน้ำในพชื ใด A.ลิเวอร์เวิรต์ B. หวานทะนอย C. หญ้าถอดปล้อง D. เฟิร์น 2. ข้อใดเป็นกลุม่ พืชที่ไดจ้ ากการจำแนกโดยใชล้ กั ษณะการมีหรือไม่มีเน้ือเย่ือทอ่ ลำเลียง A. Gymnosperm และ Angiosperm B. Bryophyte และ Tracheophyte C. Monocotyledon และ Dicotyledon D. Epiphyte และ Pteridophyte 3. ขอ้ ใดเป็นพืชท่ีจดั อยู่ในกลุ่มเดียวกนั ทั้งหมด A. มอส เฟิรน์ หวายทะนอย B. สนสามใบ ปรง แปะกว๊ ย C. หญา้ ถอดปล้อง กก กลว้ ยไม้ D. มะเม่ือย สนทะเล มะขาม 4. ข้อใดต่อไปนี้เปน็ ลักษณะขอพืชใบเลย้ี งคู่ A. เส้นใบเปน็ แบบร่างแห B. มัดทอ่ ลำเลียง เรยี งเปน็ วงรอบลำตน้ C. มใี บเลีย้ ง 2 ใบ D. ถกู ทกุ ขอ้ 5. ลักษณะของท่อลำเลยี งอาหาร และทอ่ ลำเลยี งน้ำของพชื A และ B เปน็ ดังนี้ ลกั ษณะท่อลำเลียง พืช A พชื B ก. กลมุ่ ทอ่ ลำเลยี งน้ำ-อาหาร เรยี งเปน็ วงกลมรัศมีเดียวกัน กระจายทว่ั ไป ข. กลมุ่ ท่อลำเลยี งน้ำ อยู่ที่เปลือกไม้ กระจายทั่วไป ค. เน้ือเยือ่ แคมเบียม มเี ปน็ รอบวงตน้ มกี ระจายเป็นแห่งๆ ง. กล่มุ ท่อลำเลียงอาหาร อยทู่ เี่ ปลือกไม้ กระจายท่ัวไป จากข้อมูลพืช A และ B ควรเปน็ พืชชนิดใด ตามลำดับ A. เทยี น กุหลาบ B. มะพร้าว ต้นตาล C. มะม่วง ขา้ วโพด D. ออ้ ย ขนุน 6. ต้นมะม่วงทเ่ี ราเห็นด้วยตาเปล่าอยูใ่ นระยะใดของวงจรชีวิต A. แกมีโตไฟต์ B. สปอโรไฟต์ C. เซลลส์ ืบพันธุ์ D. สปอร์ 7. การเรียงลำดบั ในวงชีวติ สลับของพืชดอก
การสืบพนั ธุ์ของพชื ดอก
8.โครงสรา้ งใดท่ีพชื ใชใ้ นการสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศ A. ใบ B. ผล C. ดอก D. ลำตน้ 9. ลักษณะต่อไปน้ี ใช้แยกพชื ใบเลย้ี งเดย่ี วออกจากพืชใบเลยี้ งคู่ ยกเวน้ ข้อใด A. ระบบราก B. รปู แบบของเส้นใบ C. นับจำนวนเอ็มบรโิ อในเมล็ด D. จำนวนกลีบดอก 10. นำลำต้นและรากพืช 4 ชนดิ มาสอ่ งดดู ้วยกล้องจลุ ทรรศน์ พบวา่ ลำตน้ พชื ชนดิ ท่ี 1 มไี ซเล็มและโฟลเอ็มเรยี งตวั อยูท่ ่วั ลำตน้ ลำตน้ พืชชนดิ ท่ี 2 มไี ซเล็มและโฟลเอ็มเรยี งตวั เป็นวงรอบลำตน้ ลำต้นพชื ชนิดท่ี 3 มไี ซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพธิ มีโฟลเอ็มแทรกอยรู่ ะหวา่ งไซเล็ม ลำต้นพืชชนิดที่ 4 มไี ซเล็มเรยี งตัวเปน็ แฉกออกจากกึง่ กลางราก โดยโฟลเอม็ แทรกอยู่ระหว่างแฉก อยากทราบวา่ พืชชนิดใดเปน็ พืชประเภทเดียวกัน A. พืชชนิดท่ี 1 และ 3 A. พืชชนิดท่ี 1 และ 4 B. พืชชนดิ ท่ี 2 และ 3 C. พชื ชนิดท่ี 3 และ 4 11.ทา่ นไม่สามารถศึกษาเซลลใ์ นเน้อื เย่อื ทอ่ ลำเลียงนำ้ ในพชื ใด A. ลิเวอรเ์ วิรต์ B. หวานทะนอย C. หญา้ ถอดบอ้ ง D. เฟริ น์ 12.เน้อื เย่ือพืชชนิดใดบา้ งต่อไปน้ี ทีไ่ มพ่ บในโครงสรา้ งของใบพชื ก. parenchyma ข. Epidermis ค. xylem ง. Vascular cambium
A. ก และ ข B. ข และค C. ก และ ง D. ง 13. การลำเลยี งท่เี กดิ ขน้ึ ในเนื้อเย่ือท่อลำเลียงอาหารส่วนใหญ่คือการลำเลยี งสารในข้อใด A. นำ้ ตาลซโู ครส B. นำ้ ตาลกลูโคส C. นำ้ ตาลฟรักโทส D. นำ้ ตาลมอลโทส 14.ในเวลากลางวนั พชื ลำเลยี งน้ำขน้ึ ไปท่ีปลายยอดของต้นไม้ท่ีสงู มากๆ โดยอาศัยแรงในข้อใดเปน็ หลัก A. แรงดันราก B. แรงดงึ จากใบ C. แรงแคพลิ ลารี D. ลมแรง และแสงแดดจัด 15.ขอ้ ใดถูกตอ้ งเก่ยี วกบั การลำเลียงสารระยะไกลโดยเน้ือเยื่อลำเลียงอาหาร A.เปน็ การลำเลียงแบบ osmosis B. เปน็ การลำเลียงแบบ passive transport C.เป็นการลำเลยี งในทศิ ทางเดียวกบั การลำเลียงนำ้ D. เปน็ การลำเลียงที่อาศัยความแตกตา่ งของแรงดัน 16.ขอ้ ใดลำดบั เหตกุ ารณก์ ารลำเลียงสารอาหารไดถ้ ูกต้อง…………………………………………………………………………..……………… 1. น้ำตาลกลูโคสถกู เปล่ียนเป็นนำ้ ตาลซูโครส 2. น้ำตาลถูกลำเลยี งออกจากไซโตพลาสซึม 3.น้ำตาลถูกเคลอื่ นยา้ ยเขา้ ส่โู ฟลเอม็ และลำเลียงไปตามทอ่ โฟลเอม็ 17. จากรปู ก และ ข เปน็ รปู ของใบท่มี องจากมุมตา่ งกัน P จากรปู ข คอื อกั ษรใดในรปู ก A. A B. D C. E D. B 18. การคายนำ้ ของพืช มีสว่ นช่วยในกระบวนการใด ก. การลำเลียงนำ้ โดยทำให้เกิดแรงดึงน้ำจากสว่ นล่างขึน้ สสู่ ว่ นบน ข. ช่วยในการดูดน้ำของขนราก ค. ชว่ ยลดอณุ หภมู ิของใบ ง. ช่วยในการลำเลียงอาหารจากใบไปสสู่ ว่ นต่างๆของลำตน้ จ. ชว่ ยลำเลียงแรธ่ าตไุ ปส่ใู บ ข้อใดถูกต้องท่ีสุด A. ก ค และ จ B. ข ค และ ง C. ก ข และ ง D. ข ง และ จ 19. ข้อใดไมถ่ กู ต้อง เกีย่ วกับการลำเลียงในพชื 1) การลำเลยี งน้ำจากรากขึ้นไปสบู่ ริเวณยอดของไม้ยนื ตน้ ขนาดใหญ่ เก่ยี วข้องกับแรงดึงจากการคายนำ้ ที่ใบ และแรงดันรากมากที่สุด 2) การแพร่ของนำ้ ในไซเล็มเข้าส่โู ฟลเอ็ม ทำให้เกดิ แรงดนั ที่ใชใ้ นการลำเลียงสารอาหารในซฟี ทิวบ์ 3) การลำเลียงธาตุอาหารแบบใช้พลงั งาน ทำใหพ้ ชื สามารถสะสมธาตุอาหารสำคญั บางชนดิ ได้
4) การลำเลียงนำ้ และแรธ่ าตุเขา้ สเู่ อนโดเดอร์มิสเป็นแบบซิมพลาสเท่านนั้ 20. ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง 1) ดา้ นบนของใบไม้สีเขียวมีสเี ข้มกว่าดา้ นลา่ ง เพราะเซลล์ผิวมีคลอโรพลาสตม์ ากกว่า 2) การคายน้ำเป็นการสูญเสียนำ้ ของพืชสู่บรรยากาศในรปู ไอนำ้ ผา่ นปากใบ และในรปู หยดน้ำผา่ นไฮดาโทด 3) เมื่อความเข้มแสงลดลง ปรมิ าณ K+ ในเซลล์คมุ ลดลง ทำใหค้ วามเต่งของเซลล์คมุ ลดลง ปากใบจงึ ปิด 4) เมอื่ นำ้ ในดนิ ลดลง พชื เริม่ ขาดนำ้ จึงสังเคราะห์จิบเบอเรลลิน ทำให้ปากใบปดิ มีผลให้การคายน้ำลดลง 21. ข้อใดกล่าวถูกต้องเก่ียวกบั การลำเลยี งอาหารของพชื ก. พืชลำเลยี งอาหารในรูปนำ้ ตาลกลโู คสและแปง้ ข. ทิศทางการลำเลยี งอาหารของพชื สามารถลำเลยี งขน้ึ สู่ปลายยอดและลงสู่ปลายราก ค. ท่อลำเลียงอาหารของลำตน้ เทียนเรียงเป็นระเบียบอยู่รอบลำตน้ ง. การลำเลียงอาหารของพืชต้องอาศยั แรงดึงจากการคายน้ำจงึ สามารถลำเลยี งอาหารขึ้นสูป่ ลายยอดได้ A. เฉพาะ ก B. เฉพาะ ค C. เฉพาะ ก และ ง D. เฉพาะ ข และ ค 22. ข้อใดถูกตอ้ งเกี่ยวกับการลำเลียงนำ้ ตาลทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของใบข้นึ ไปยงั ผลออ่ นท่ียอด น้ำตาล กลไก เนอ้ื เยอ่ื ลำเลียง การแพร่ ซีฟทิวป์ A กลูโคส แรงดันราก เวสเซล .B. กลโู คส การแพร่ เวสเซล C. ซโู ครส แรงดนั ของนำ้ ซฟี ทวิ ป์ .D ซโู ครส . 23. พืช A และ B เจรญิ เติบโตในสภาพแวดลอ้ มท่ีตา่ งกนั คอื ทะเลทรายและป่าดบิ ชืน้ โดยพชื แตล่ ะชนิด มีลกั ษณะใบตา่ งกนั ดงั นี้ พืช A ใบมีการลดรูปใหม้ ีขนาดเล็ก มีสารเคลอื บท่ีผิวใบหนา และมีจานวนปากใบนอ้ ย พืช B ใบมีขนาดใหญ่ มีสารเคลือบท่ีผิวใบบาง และมีจานวนปากใบมาก ผลการศกึ ษาอตั ราการคายนา้ ของพชื 2 ชนดิ ในชว่ งเวลาหน่งึ เป็นดงั กราฟ จากขอ้ มลู ขอ้ ใดระบกุ ราฟแสดงอตั ราการคายนา้ ของพชื และลกั ษณะพนื้ ท่ที ่ีเหมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตดงั กล่าวไดถ้ กู ตอ้ ง 1. กราฟท่ี 1 แสดงอตั ราการคาบนา้ ของพชื A ซง่ึ เจรญิ ไดด้ ใี นทะเลทราย 2. กราฟท่ี 1 แสดงอตั ราการคาบนา้ ของพืช B ซง่ึ เจรญิ ไดด้ ีในทะเลทราย 3. กราฟท่ี 2 แสดงอตั ราการคาบนา้ ของพืช A ซง่ึ เจรญิ ไดด้ ใี นทะเลทราย 4. กราฟท่ี 2 แสดงอตั ราการคาบนา้ ของพชื A ซง่ึ เจรญิ ไดด้ ใี นป่าดิบชืน้ 5. กราฟท่ี 2 แสดงอตั ราการคาบนา้ ของพืช B ซง่ึ เจรญิ ไดด้ ีในป่าดบิ ชืน้
24. ถา้ ตอ้ งการศกึ ษาผลของแสงท่ีมีตอ่ การคายนา้ และการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ชนิดหนึ่ง โดยนาพืชท่ีมีอายแุ ละจานวนใบเท่ากนั มาจดั ชดุ การทดลองในภาวะท่ีแตกตา่ งกนั ดงั ตาราง ชุดการทดลอง การจดั ชุดทดลอง ตาแหน่งทว่ี าง 1 คลมุ ใบพชื ดว้ ยถงุ พลาสติกใส ท่ีมีแสง 2 คลมุ ใบพชื ดว้ ยถงุ พลาสตกิ ใส ทมี ืด 3 ไมค่ ลมุ ใบพืชดว้ ยถงุ พลาสติกใส ท่มี ีแสง 4 ไมค่ ลมุ ใบพชื ดว้ ยถงุ พลาสติกใส ท่ีมืด วางชดุ การทดลองทงั้ 4 ชดุ ไวเ้ ป็นเวลา 1 วนั แลว้ เปรยี บเทียบปรมิ าณนา้ ท่ีพชื คายออกมาและการสรา้ งอาหารของพชื ชดุ การทดลองคใู่ ดสามารถเปรยี บเทียบผลการทดลองเพ่อื ศกึ ษาเรอ่ื งดงั กล่าวได้ 1.ชดุ การทดลองท่ี 1 และ 2 2.ชดุ การทดลองท่ี 1 และ 3 3.ชดุ การทดลองท่ี 2 และ 3 4.ชดุ การทดลองท่ี 2 และ 4 25. จดั ชดุ ทดลองเพ่ือศกึ ษาการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื โดยนาพืชใสใ่ นกรวยแกว้ แลว้ คว่าลงในบีกเกอร์ แลว้ นาหลอดทดลองท่ีมีนา้ เตม็ หลอดครอบกรวยแกว้ ไว้ จากนนั้ ใชโ้ คมไฟสอ่ งไปยงั ชดุ การทดลองเป็นเวลา 20 นาที พบวา่ มีฟองแก็สขนึ้ ภายในหลอดทดลองท่ีมีนา้ เต็ม ดงั ภาพ หากศกึ ษาเพิม่ เตมิ ว่า ความเข้มแสงส่งผลต่ออัตราการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื หรอื ไม่ ควรปรบั ชดุ การทดลองและเปรียบเทยี บผล การทดลองนีอ้ ย่างไร 1. เพ่มิ ปรมิ าณนา้ ในบีกเกอร์ แลว้ เปรยี บเทียบจานวนฟองแก็สออกซิเจนท่เี กิดขนึ้ 2. เพ่มิ ความสวา่ งของหลอดไฟ แลว้ เปรยี บเทียบจานวนฟองแก็สคารบ์ อนไดออกไซดท์ ่ีเกิดขนึ้ 3. เพ่มิ จานวนของพชื นา้ ท่ีใช้ แลว้ เปรยี บเทียบจานวนฟองแก็สคารบ์ อนไดออกไซดท์ ่เี กิดขนึ้ 4. เพ่มิ ระยะห่างระหวา่ งบีกเกอรก์ บั หลอดไฟ แลว้ เปรยี บเทยี บจานวนฟองแก็สออกซเิ จนท่เี กิดขนึ้ 26. จดั ชดุ การทดลอง 2 ชดุ เพ่อื ศกึ ษาการลาเลียงนา้ ของพืช โดยนาพชื ชนิดหนง่ึ ท่มี ีขนาด อายแุ ละจานวนใบเทา่ กนั แชใ่ นกระบอกตวงท่มี ีนา้ 30 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร และเตมิ นา้ มนั พชื ปรมิ าตร 3 ลกบาศกเ์ ซนตเิ มตร ลงในแตล่ ะชดุ การทดลองเพ่ือปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กิดการระเหยท่ผี วิ นา้ ดงั ภาพ แลว้ นาชดุ การทดลองท่ี 1 และ 2 ไปวางในบรเิ วณ A และ B ท่มี ีความชืน้ สมั พทั ธแ์ ละอณุ หภมู ิตา่ งกนั โดยมีปัจจยั ภายนอกอน่ื ๆ เหมือนกนั เม่ือเวลาผ่านไป 24 ชม. สงั เกตระดบั นา้ ในกระบอกตวง แลว้ บนั ทึกปรมิ าตรนา้ หลงั การทดลอง ไดผ้ ลดงั ตาราง
บรเิ วณใดท่ีทาใหพ้ ชื มีการลาเลียงนา้ มายงั ปากใบไดด้ ีกวา่ เพราะเหตใุ ด 1. บรเิ วณ A เพราะมีความชืน้ สมั พทั ธส์ งู และมอี ณุ หภมู ิต่า 2. บรเิ วณ A เพราะมีความชืน้ สมั พทั ธต์ ่าและมอี ณุ หภมู ิสงู 3. บรเิ วณ B เพราะมีความชืน้ สมั พทั ธต์ ่าและมีอณุ หภมู สิ งู 4. บรเิ วณ B เพราะมีความชืน้ สมั พทั ธส์ งู และมอี ณุ หภมู ิต่า 25. พจิ ารณาสมการการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง คารบ์ อนไดออไซด์ + A แสง B + C + นำ้ คลอโรฟิ ลด์ จากสมการ A B C คืออะไร ตามลำดบั ………………………………………………………………………………….. 26. พจิ ารณาส่วนประกอบต่าง ๆของดอกไม้ 4 ชนดิ ดังตอ่ ไป ชนิดของดอกไม้ กลบี เลี้ยง กลีบดอก เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมยี ร้วิ ประดับ A- - B- - C D- ดอกไมช้ นิดใดบ้างเป็นดอกครบสว่ น B. B C D C. B C D. C A. A B C 23. จากรูปเปน็ ภาพตดั ตามขวางของใบ แตล่ ะส่วนเรียกว่าอะไร ทำหนา้ ท่ีใดบา้ ง A. ………………….ทำหนำ้ ที่.................................................... B. ………………….ทำหนำ้ ที่.................................................... C. ………………….ทำหนำ้ ที่.................................................... D. ………………….ทำหนำ้ ที่.................................................... 24. ข้อสรุปจากรปู ภาพตำแหน่ง โครงสร้างและหนา้ ท่ี ตำแหน่ง โครงสร้างและหนา้ ที่ ก. ..................................................................................... ข. ........................................................................................ ค. .............................................................................................
27. การปฏิสนธิในพชื ดอก A. pollination คือ................................................................................ B. fertilization คอื ................................................................................ C. seed germination คือ................................................................................ D. spore germination คือ................................................................................ 28. คขู่ องคำในข้อใดมคี วามสมั พันธ์กนั น้อยที่สุด A. anther กบั ovule B. microspore กบั pollen C. generative cell กบั tube cell D. Stigma กับ pollination จงระบุความหมายโครงสรา้ งตามตำแหน่งถกู ต้อง 33. การเปลีย่ นแปลงจากไมโครสปอรไ์ ปเปน็ ละอองเรณู โดย……………………………………………………………………………… 35. ผลของการปฏิสนธิซ้อนในพชื ทำให้เกดิ ……………………………………………………………………………………………………….. 36. โครงสรา้ งดอก ดงั ภาพ ถ้าดอกไม้นเี้ จรญิ เปน็ ผลชมพู่ ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง A. A ปฎสิ นธิ B และ B เจรญิ พัฒนาเปน็ เนือ้ ผล B. A ปฎสิ นธิ C และ C เจริญพัฒนาเปน็ เนอื้ ผล C. A ปฎสิ นธิ D และ F เจริญพัฒนาเปน็ เนอ้ื ผล D. A ปฎิสนธิ D และ E เจรญิ พัฒนาเปน็ เนอ้ื ผล 37. เมอื่ มีการปฏิสนธใิ นดอกไม้ทมี่ โี ครงสร้างดงั ภาพ ชนดิ ของผลที่เกิดขึ้นควรเป็นอยา่ งไร A. 1 ผล มี 1 เมล็ด B. 1 ผล มีหลายเมล็ด C. หลายผลอยู่ติดกันแตล่ ะผลมี 1 เมลด็ D. หลายผลอยตู่ ิดกันแต่ละผลมหี ลายเมลด็
38. Integument ซ่งึ เปน็ ส่วนหน่ึงของ ovule ทำหนา้ ทใ่ี ด A. ปอ้ งกนั การกดั กินของสัตว์กนิ พชื B. ทำใหเ้ กดิ การปฏิสนธิซ้อน C. พัฒนาไปเป็นเปลอื กเมลด็ D. ผลติ ฮอร์โมนที่จะทำใหก้ ารผสมเกสรเป็นผลสำเร็จ 39. พชื ชนดิ หนง่ึ มีดอก 1 ดอก องค์ประกอบของดอกมกี ลบี เลย้ี ง 5 กลีบ กลบี ดอก 5 กลีบ เกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 10 อนั ผลที่เกิดจาก ดอกนจ้ี ะเป็นผลชนิดใด A. ผลเด่ยี ว B. ผลกลุ่ม C. ผลรวม D. ถูกทง้ั ข้อ B และ C 40. ข้อใดมดี อกชอ่ ทัง้ หมด A . แอปเปลิ้ ขนุน น้อยหน่า B. หมอ่ น สตรอเบอรี่ จำปี C. ขนนุ ยอ สบั ปะรด D. มะมว่ ง ฝร่งั สาเก 41. ผลของฟกั ทอง มะละกอ แตงโม มีเมล็ดจำนวนมาก เพราะพัฒนามาจากดอกแบบใด A. ดอกช่อ หน่ึงรังไขห่ นงึ่ ออวลุ B. ดอกช่อ หลายรงั ไข่หลอมติดกัน C. ดอกเดย่ี ว หนง่ึ รังไขห่ นึง่ ออวลุ D. ดอกเดี่ยว หนงึ่ รังไขห่ ลายออวลุ 42. ข้อใดกล่าวถกู ตอ้ งเกี่ยวกบั ผลกลุ่ม (aggregate fruit) ก. เกิดจากดอกเดีย่ วที่มีรังไขเ่ ดียว แต่มีหลายออวุล ข. เกิดจากดอกเดี่ยวทีม่ ีหลายรังไข่ หรอื หลายคารเ์ พล ค. เกิดจากดอกช่อทีม่ ีหลายรังไข่ หรือหลายคาร์เพล ง. ตวั อย่าง ไดแ้ ก่ ฝักบัว สตรอเบอรร์ ่ี ลกู จาก ผลกุหลาบ A. ก ข B. ข ค C. ข ง D. ค ง 43.ลกั ษณะของดอกในข้อใดทจ่ี ะใหผ้ ลเด่ียวแนน่ อนที่สดุ A. ดอกทม่ี จี ำนวนเกสรเพศผู้ 5 อนั มยี อดเกสรเพศเมยี 5 อนั B. ดอกทม่ี จี ำนวนเกสรเพศผู้ 5 อนั มเี กสรเพศเมยี 1 อนั C. ดอกทม่ี จี ำนวนเกสรเพศผู้ 1 อนั มเี กสรเพศเมยี 5 อนั D. ดอกทม่ี จี ำนวนเกสรเพศผู้ 5 อนั มี 1 ออวลุ
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: