Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานคอมพิวเตอร์เนื้อ

โครงงานคอมพิวเตอร์เนื้อ

Published by สุธีรา จันแก้ว, 2020-02-20 23:45:34

Description: โครงงานคอมพิวเตอร์เนื้อ

Search

Read the Text Version

โครงงานคอมพิวเตอร    เรือ่ ง     กลุม สาระการเรียนรวู ิทยาศาสตรและเทคโนโลย ี         จดั ทาํ โดย  1.นางสาวกมลทพิ ย กล่นิ ทอง เลขท9่ี   2.นางสาวรมิตา พทุ ธรกั ษา เลขท่ี14  3.นางสาวสธุ รี า จันแกว เลขท1ี่ 5          ช้ันมัธยมศึกษาปที่4/4        รายงานวิชา ง  ปการศึกษา 2562  โรงเรียนนารีนกุ ูล อาํ เภอเมือง  สํานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษาอุบลราชธานเี ขต29   

1 เก่ียวกับโครงงาน  โครงงานคอมพิวเตอร    เรอื่ ง เครอื่ งพลิกเน้อื มหัศจรรย  กลมุ สาระการเรยี นรู วทิ ยาศาสตรและเทคโนโลย ี ผจู ดั ทาํ  1.นางสาวกมลทพิ ย กลนิ่ ทอง เลขที่9    2.นางสาวรมติ า พุทธรักษา เลขที1่ 4    3.นางสาวสธุ รี า จนั แกว เลขท่ี15  ครูท่ีปรึกษา 1.นางสาวพิชชญาดา สยุ ะรา  ตาํ แหนงคร ู 2.นายพนัสแกน อาสา  ตาํ แหนงคร ู สถานศกึ ษา โรงเรียนนารนี กุ ูล อําเภอเมอื งอบุ ลราชธาน ี สํานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาอุบลราชธานี เขต29                             

2 กิตตกิ รรมประกาศ  โครงงานคอมพวิ เตอรเรื่องนสี้ ําเร็จลุลว งไปดวยความเมตตาชวยเหลอื อยางย่งิ จากคุณครภู ทั รดนยั พล สูงเนนิ ครูผสู อนวิชาคอมพิวเตอร และคณุ ครพู นสั แกน อาสา ครผู สู อนวชิ าฟสิกสทีเ่ ปนท่ีปรึกษาในดาน วิชาการและการจดั ทําโครงงาน  ขอขอบคุณพระคุณคณะคุณครูโรงเรยี นนารีนุกูลทุกทานที่มีสว นชวยสนับสนนุ ใหการเรยี นรปู ระสบผล สําเร็จขอบคุณเพอ่ื นๆทกุ คนทมี่ สี วนชว ยแนะนําตชิ มการทาํ โครงงานในครงั้ น้ี ขอบคุณกาํ ลังใจดๆี จากคณุ พอ  คณุ แมที่คอยใหค ําปรกึ ษาขอบพระคณุ ทานผอู าํ นวยการดรุ ิยะ จนั ทรป ระจาํ ที่เอื้อเฟอ สถานท่ีในการนําสนอ โครงงานนี้ ความดีอนั เกดิ จากการศกึ ษาคน ควาในครัง้ น้ี คณะผูจดั ทาํ โครงงานขอขอบมอบแดบิดา มารดา ครู อาจารยแ ละผมู พี ระคุณทกุ ทานทีม่ สี ว นชวยผลักดนั และเปนกาํ ลงั ใจ ซง่ึ ผูจ ดั ทําซาบซ้ึงในความกรณุ าอันย่งิ ใหญ จากทา น และขอขอบพระคณุ มา ณ โอกาสน ้ี    คณะผจู ดั ทํา  11กุมภาพนั ธ 2563             

3 หวั ขอ โครงงาน : เ​ ครอ่ื งตากเนอ้ื มหศั จรรย  ประเภทของโครงงาน : ก​ ารพัฒนาเคร่อื งมือ  ผเู สนอโครงงาน :​ นางสาวกมลทิพย กลน่ิ ทอง เลขท่9ี   นางสาวรมติ า พทุ ธรักษา เลขที1่ 4  นางสาวสธุ ีรา จันแกว เลขที1่ 5  ครูทป่ี รึกษาโครงงาน :นายภทั รดนัย พลสงู เนิน  ปการศกึ ษา :2562    บทคดั ยอ  เครื่องพลิกเนือ้ มหศั จรรยน ม้ี ีวตั ถปุ ระสงคจ ัดทําขึน้ เพ่อื อํานวยความสะดวกใหผทู ีท่ ําอาชพี ขายเน้ือแหง เพราะ ในปจจุบันผูที่มีอาชีพเหลานีต้ องทําการตากเน้อื ในกระดงหรอื อปุ กรณก ารตากเนอ้ื ตา งๆท่ไี มส ามารถอาํ นวย ความสะดวกใหม ากกวา ท่คี วรและอีกทัง้ ยงั ตอ งเสียเวลาในการพลกิ เนือ้ จํานวนมากและบางครั้งเนอ้ื บางสว น อาจจะแหงไมส นิทเพราะไดรับแสงอาทิตยไมท่ัวถึงทางคณะผจู ัดทําไดเล็งเหน็ ถงึ ปญหาเหลา นจ้ี ึงไดจ ัดทําเคร่ือง พลกิ เนอื้ มหศั จรรยขน้ึ มาเพือ่ อาํ นวยใหค วามสะดวกแกผูท ําอาชีพนี้เพราะเครื่องพลิกเนอ้ื อตั โนมัตินี้จะทําการ หันตะแกรงตากเนอ้ื ไปตามแสงของดวงอาทิตยและทําการพลิกเนอื้ เมอื่ อณุ หภมู ิถงึ                        

สารบัญ  4 เรือ่ ง หนา   เกีย่ วกับโครงงาน ก  กติ ตกิ รรมประกาศ ข  บทคัดยอ ค  บทท1ี่ บทนํา  5  -ทมี่ าและความสําคญั ของโครงงาน 5  -วัตถุประสงค 5  -ขอบเขตการศึกษาคนควา 5  -ประโยชนท ค่ี าดวา จะไดร บั 6  บทที่ 2 เอกสารและโครงงานทีเ่ กี่ยวขอ ง 13  บทท่ี 3 วธิ ีการจดั ทําโครงงาน 13  -วัสดแุ ละอุปกรณ 13  -วิธีการจัดทาํ โครงงาน 14  บทที่ 4 ผลการศกึ ษา 15  บทท่ี 5 สรปุ ผลและขอ เสนอแนะ 15  -สรปุ ผลการศึกษา 15  -ประโยชนท ี่ไดจากโครงงาน 15  -ขอ เสนอแนะ 16  บรรณานกุ รม 17  ภาคผนวก 18  ขอมลู ขอ จัดทาํ              

5 บทท่ี 1  บทนํา  ท่ีมาและความสาํ คัญของงาน : ปจจบุ ันเคร่อื งตากเนื้อมคี วามลา หลงั ไปมากซึ่งทําใหก ารตากเน้อื นัน้ ไมเ ปน ผล เทา ไหรบ างทเี นื้ออาจะแหง ไมเทากันหรือตอ งเสียเวลาไปกบั การตากเน้ือซ่ึงตองคอยดูวาเนื้อฝงไหนแหงแลว บา งแตโครงงานเครื่องตากเนือ้ มหัศจรรยจะทําใหการตากเนือ้ มปี ระสิทธภิ าพและงายขน้ึ กวา เดมิ จะทาํ ให สะดวกสบายมากยิ่งขึน้   วัตถปุ ระสงค : พัฒนาเครื่องมอื ทีใ่ ชใ นการตากเนอื้ ใหม ีคุณภาพมากข้นึ เพอื่ ใหก ารใชงานสะดวกมากยิง่ ขึ้นและ ประหยดั เวลา  ขอบเขตและการศึกษาคน ควา : ทําการศึกษาคน ควาเกีย่ วกบั เครื่องตากเน้ือจากอนิ เทอรเน็ตและจากบคุ คลท่ี ประกอบอาชพี ขายเน้อื แหง ศึกษาจากแมค าหรอื พอคานําความรมู าประยกุ ตใช ระยะเวลาทใ่ี ชใ นการศึกษาใช เวลานานหน่งึ เดอื น  ประโยชนท่คี าดวาจะไดร บั : เครือ่ งตากเนื้อมปี ระสิทธิภาพมากข้ึน เพือ่ ใหการตากเนื้อนน้ั มีความสะดวกสบาย  เพอื่ ใหบุคคลทต่ี อ งการตากเน้อื นําเคร่อื งตากเน้อื มหศั จรรยไปใช                             

6 บทที่ 2  เอกสารและโครงงานที่เกยี่ วขอ ง    ในการจดั ทาํ โครงงานคอมพิวเตอร กลมุ ของขาพเจา เครือ่ งพลิกเนอ้ื มหศั จรรยนมี้ วี ตั ถุประสงคจ ดั ทํา ขนึ้ เพ่ืออํานวยความสะดวกใหผทู ท่ี าํ อาชีพขายเนอ้ื แหงเพราะในปจ จุบันผูทม่ี อี าชีพเหลาน้ตี องทําการตากเนือ้ ในกระดงหรอื อุปกรณการตากเน้อื ตางๆทไ่ี มสามารถอํานวยความสะดวกใหมากกวาทีค่ วรและอกี ท้ังยังตอ งเสีย เวลาในการพลิกเนือ้ จาํ นวนมากและบางครัง้ เน้ือบางสวนอาจจะแหงไมสนทิ เพราะไดร ับแสงอาทติ ยไมทั่วถึง  ทางคณะผูจ ัดทําไดเ ลง็ เหน็ ถึงปญ หาเหลาน้ีจงึ ไดจ ดั ทําเครือ่ งพลกิ เนอ้ื มหศั จรรยข ึน้ มาเพื่ออาํ นวยใหความ สะดวกแกผ ทู าํ อาชีพน ้ี เอกสารท่ีเกย่ี วขอ ง :  เน้ือแดดเดียว   1. ขอบขาย  1.1 ม​ าตรฐานผลิตภัณฑช ุมชนนี้ครอบคลมุ เน้อื ท่ีทําใหแหง พอหมาด ทําจากเนอื้ วัวและเน้ือ ควาย มีลกั ษณะเปนแผน และเปนเสนหนา บรรจใุ นภาชนะบรรจ ุ 2. บทนยิ าม ความหมายของคําทใ่ี ชในมาตรฐานผลิตภัณฑชุมชนนี้ มีดังตอ ไปน ้ี 2.1 เนอื้ แดดเดียว หมายถึง ผลติ ภัณฑท ี่ไดจากการนาํ เนอ้ื ววั หรอื เนอ้ื ควายมาตดั ใหเ ปนแผน หรือเปน เสน หนาปรงุ รสดวยเครอื่ งปรุงรส ​เครอ่ื งเทศ หรือสมุนไพร เชน นาํ้ ตาล น​ า้ํ ปลา ​นํ้าผง้ึ ​เกลอื   ซอี ๊วิ ขาว กระเทยี ม รากผกั ชี พรกิ ไทย ​ผงพะโล หมักใหเ ขา กัน นาํ ไปทําใหแหง พอหมาดโดยใชค วาม รอ นจากแสงอาทติ ยหรือแหลง พลังงานอ่นื กอ นบริโภคตอ งนําไปทําใหสุก  3. คณุ ลกั ษณะที่ตอ งการ  3.1 ลกั ษณะทัว่ ไป  ในภาชนะบรรจเุ ดยี วกนั ตองมีขนาดใกลเ คียงกนั   3.2 ส​  ี ตองมสี ีทดี่ ีตามธรรมชาติของเนื้อแดดเดียว  3.3 ก​ ลิน่ รส  ตอ งมกี ลิน่ รสที่ดตี ามธรรมชาติของเนอ้ื แดดเดยี ว ปราศจากกลนิ่ รสอ่นื ทไี่ มพงึ ประสงค เชน   กลิ่นอบั กลิน่ หนื ​รสขม 

7 3.4 ลักษณะเนือ้ สัมผสั   ตองนมุ ไมเหนียวหรือแขง็ กระดาง เมอื่ ตรวจสอบโดยวิธใี หคะแนนตามขอ 8.1 แลว ตอ งได คะแนนเฉลย่ี ของแตล ะลักษณะจากผตู รวจสอบทุกคน ไมนอ ยกวา 3 คะแนน และไมม ีลักษณะใดได 1  คะแนนจากผูต รวจสอบคนใดคนหนึง่   3.5 ส​ ง่ิ แปลกปลอม  ตอ งไมพบส่ิงแปลกปลอมท่ไี มใชส ว นประกอบที่ใช เชน เสน ผม ดนิ ทราย กรวด ชน้ิ สวนหรอื ส่งิ ปฏกิ ลู จากสัตว  3.6 วอเตอรแอกทิวติ ี (water activity​) ตอ งไมเกนิ 0.85 หมายเหตุ วอเตอรแอกทิวติ  ี (w​ ater activity)​ เปน ปจ จัยสําคญั ในการคาดคะเนอายกุ ารเก็บรักษาอาหารและเปนตวั บงช ้ี ถึง ความปลอดภัยของอาหารโดยทาํ หนาที่ควบคุมการอยูร อด การเจริญ และการสรา งสารพษิ ของ จลุ นิ ทรีย  3.7 ว​ ัตถเุ จอื ปนอาหาร  3.7.1 หามใชส สี ังเคราะหท ุกชนิด  3.7.2 หามใชโซเดยี มไนเทรต โพแทสเซยี มไนเทรต (potasium nitrate​) โซเดียมไน ไทรต หรอื โพแทสเซยี มไนไทรต  3.8 จ​ ลุ นิ ทรีย  3.8.1 สตาฟโ ลคอ็ กคัส ออเรยี ส (Staphylococcus aureus)​ ตองนอ ยกวา 200 โค โลนตี อ ตวั อยา ง 1 กรัม  3.8.2 เอสเชอริเชยี โคไล (Escherichia coli)​ โดยวธิ ีเอ็มพเี อน็ (MPN​) ตองนอ ยกวา   50 ตอ ตวั อยาง 1 กรมั   3.8.3 ย​ ีสตและราตองไมเกนิ 500 โคโลนีตอ ตัวอยา ง 1 กรมั   แสงอาทิตย เปนรังสแี มเหลก็ ไฟฟา สวนหนึ่งทป่ี ลอ ยออกจากดวงอาทติ ย โดยเฉพาะอยา งยงิ่ แสงในชวง อินฟราเรด ​แสงทต่ี ามองเห็น และอัลตราไวโอเล็ต บนโลก แสงอาทติ ยถูกกรองผานชั้นบรรยากาศโลก และเห็น ชดั เปนแสงกลางวนั เมือ่ ดวงอาทติ ยอ ยเู หนือเสน ขอบฟา แสงอาทติ ยมีสขี าว เกิดจากแสงท้ัง7สมี ารวมกัน โดย แสงอาทติ ยจ ะมคี วามยาวคลน่ื ประมาณ 400-700nm แสงทคี่ วามยาวคล่ืนตํ่าสุดคือสีมวง สนี ้าํ เงนิ จนมาถงึ สี แดง ท่ีมคี วามยาวคลื่นประมาณ 700nm 

8 เมอื่ รังสจี ากดวงอาทติ ยโ ดยตรงไมถ กู เมฆกัน้ แสงอาทิตยจะเปน แสงจา และรังสคี วามรอ นประกอบกัน  เมอ่ื รงั สจี ากดวงอาทิตยโดยตรงถูกเมฆกน้ั หรอื สะทอนออกไปโดยวัตถอุ นื่ จะเหน็ ไปแสงพรา กระจาย (diffused  light)  แสงอาทติ ยใชเวลาเดินทางถงึ โลกราว 8.3 นาที โดยเฉลยี่ ตองใชพลงั งานระหวา ง 10,000 ถึง 170,000  ปจ ึงจะออกจากภายในดวงอาทติ ย แลว คอยถกู เปลง จากพ้ืนผวิ เปนแสงได[ 1]  แสงอาทติ ยโ ดยตรงมีประสทิ ธิภาพความสอ งสวางอยทู ร่ี าว 93 ลูเมนตอวตั ตข องฟลกั ซการแผร ังสี แสง อาทติ ยสวางใหค วามสวา งประมาณ 100,000 ลักซหรอื ลเู มนตอ ตารางเมตรทีพ่ ้นื ผวิ โลก องคประกอบของแสง อาทิตยท ่ีระดบั พนื้ ตอตารางเมตร เมอ่ื ดวงอาทิตยอยูทจี่ ุดเหนือศรี ษะ อยูทร่ี าว 527 วัตตข องรังสีอินฟราเรด  445 วตั ตข องแสงทต่ี ามองเหน็ และ 32 วัตตของรังสอี ลั ตราไวโอเล็ต บนช้ันบรรยากาศ แสงอาทิตยเขม กวา ประมาณ 30% โดยมีสดั สว นอลั ตราไวโอเลต็ สูงกวา สามเทา รังสอี ัลตราไวโอเล็ตทเี่ พิม่ ขน้ึ นี้สว นใหญประกอบ ดว ยอลั ตราไวโอเลต็ คล่นื สัน้ ทเี่ ปนอันตรายตอ สิ่งมีชีวิต  แสงอาทติ ย เปน พลงั งานรูปแบบหนึ่ง ทเี่ กดิ จากปฏิกริ ยิ านิวเคลยี รฟ วสช นั (Nuclear fusion) บนดวง อาทิตย เกิดจากการหลอมรวมตัวกันของอะตอม ของธาตุไฮโดรเจน กลายเปน อะตอมของธาตุฮีเลยี ม ในการ เกิดปฏกิ ิรยิ าน้ี จะใหพ ลงั งานมหาศาล และพลงั งานรูปหนงึ่ ทเี่ กดิ ข้นึ น้ี แผร ังสีในรูปคลน่ื แมเหลก็ ไฟฟา มายงั โลกของเรา ที่เราพอสงั เกตเห็นไดใ นรูปของความรอน และแสง ทีเ่ ราเรยี กวา แสงแดด หรอื แสงอาทติ ย  คลนื่ แมเหลก็ ไฟฟาท่แี ผร งั สมี าจากดวงอาทิตยน ้ีมคี วามยาวคลน่ื ตา งๆ ตงั้ แตค วามยาวคลื่นมากกวา 1,000  ไมครอน (Micron) ตอเนอ่ื งกนั จนถงึ สน้ั กวา 0.2 ไมครอน (200 นาโนเมตร) ในบรรดาคล่นื แสงที่แผมา จากดวงอาทิตยท ัง้ หมด แสงสเี หลืองที่มคี วามยาวคลน่ื 0.55 ไมครอน (550 นาโนเมตร) เปนคลื่นแสงท่ีม ี ปริมาตรความเขมสงู สุด ดงั แสดงดวยเสน กราฟสเปคตรัม (Spectrum) ของคล่นื แสง และแสงแดดเปน คลื่น แสง ทเี่ หมาะสมทพ่ี ืชใชใ นการสังเคราะหแสงสรา งชวี มวล (Biomass) และมสี่ วนทาํ ใหพ ชื และสตั วด าํ รงชวี ิตอยู บนโลกนีไ้ ด  อณุ หภมู  ิ อณุ หภูมิ คือการวดั คาเฉลยี่ ของพลังงานจลนของอนุภาคในสสารใด ๆ ซ่ึงสอดคลอ งกับความรอนหรอื เย็นของสสารนัน้   ในอดตี มแี นวคดิ เก่ียวกบั อณุ หภูมิเกดิ ขึ้นเปน 2 แนวทาง คอื ตามแนวทางของหลักอณุ หพลศาสตร และ ตามการอธบิ ายเชิงจุลภาคทางฟสกิ สเชิงสถิติ แนวคิดทางอุณหพลศาสตรนัน้ ถกู พัฒนาขน้ึ โดยลอรด เคลวิน  โดยเก่ียวของกับการวัดในเชิงมหภาค ดงั น้ันคําจาํ กดั ความอุณหภูมใิ นเชิงอุณหพลศาสตรในเบือ้ งแรก จงึ ระบุ เกย่ี วกบั คา ตัวแปรตา ง ๆ ท่ีสามารถตรวจวัดไดจ ากการสังเกต สว นแนวทางของฟสิกสเชงิ สถิตจิ ะใหค วามเขาใจ ในเชิงลกึ ย่ิงกวาอุณหพลศาสตร โดยอธบิ ายถงึ การสะสมจาํ นวนอนุภาคขนาดใหญ และตีความพารามิเตอรต าง  ๆ ในอุณหพลศาสตร (เชิงมหภาค) ในฐานะคา เฉลีย่ ทางสถติ ิของพารามเิ ตอรข องอนุภาคในเชิงจลุ ภาค 

9 ในการศกึ ษาฟส ิกสเชิงสถิติ สามารถตคี วามคาํ นิยามอุณหภมู ใิ นอุณหพลศาสตรว า เปนการวดั พลังงาน เฉลีย่ ของอนภุ าคในแตล ะองศาอสิ ระในระบบอุณหพลศาสตร โดยท่อี ุณหภูมินน้ั สามารถมองเปน คุณสมบัตเิ ชิง สถติ ิ ดังนนั้ ระบบจงึ ตอ งประกอบดวยปรมิ าณอนุภาคจาํ นวนมากเพ่อื จะสามารถบง บอกคา อณุ หภมู อิ นั มีความ หมายทีน่ าํ ไปใชประโยชนไ ด ในของแข็ง พลงั งานนพ้ี บในการส่นั ไหวของอะตอมของสสารในสภาวะสมดุล ใน แกส อุดมคติ พลงั งานนีพ้ บในการเคลือ่ นไหวไปมาของอนุภาคโมเลกลุ ของแกส    สสารทั้งหลายประกอบดว ย อะตอมรวมตวั กนั เปนโมเลกลุ การเคลื่อนทีข่ องอะตอม หรือการสัน่ ของ โมเลกุล ทําใหเกดิ รปู แบบของพลงั งานจลน ซึง่ เรยี กวา “ความรอน” (Heat) เราพจิ ารณาพลงั งานความรอ น  (Heat energy) จากพลงั งานทั้งหมดท่ีเกดิ ขึน้ จากการเคลอื่ นที่ของอะตอมหรือโมเลกุลทัง้ หมดของสสาร   อณุ หภมู ิ (Temperature) หมายถึง การวดั คา เฉลี่ยของพลงั งานจลนซ งึ่ เกิดข้นึ จากอะตอมแตล ะตัว  หรือแตละโมเลกุลของสสาร เมอื่ เราใสพ ลงั งานความรอ นใหกบั สสาร อะตอมของมนั จะเคลือ่ นทเี่ ร็วขน้ึ ทาํ ให อณุ หภูมสิ งู ข้นึ แตเ มอื่ เราลดพลังงานความรอน อะตอมของสสารจะเคล่ือนทช่ี าลง ทําใหอ ุณหภมู ลิ ดตํา่ ลง   หากเราตม น้าํ ดวยถวยและหมอบนเตาเดยี วกัน จะเห็นไดวาน้าํ ในถว ยจะมอี ุณหภมู สิ งู กวา แตจะมี พลังงานความรอ นนอยกวาในหมอ เนอื่ งจากปริมาณความรอ นขน้ึ อยกู ับมวลทงั้ หมดของสสาร แตอุณหภูมิเปน เพยี งคา เฉลี่ยของพลังงานในแตละอะตอม ดังนน้ั บรรยากาศชนั้ บนของโลก (ช้ันเทอรโมสเฟย ร) จึงมีอณุ หภูมสิ งู   แตมีพลังงานความรอ นนอ ย เน่อื งจากมีมวลอากาศอยอู ยา งเบาบาง  สเกลอุณหภูม ิ   องศาฟาเรนไฮต ​ในป ค.ศ.1714 กาเบรียล ฟาเรนไฮต (Gabrial Fahrenheit) นกั ฟสกิ สชาวเยอรมัน ไดประดิษฐเทอรม อมิเตอรซ ึง่ บรรจปุ รอทไวใ นหลอดแกว เขาพยายามทาํ ใหปรอทลดตํา่ สุด (0°F) โดยใชน ้าํ แขง็ และเกลอื ผสมน้าํ เขาพิจารณาจุดหลอมละลายของนํ้าแขง็ เทากับ 32°F และจดุ เดอื ดของน้าํ เทา กบั 212°F  องศาเซลเซยี ส ในป ค.ศ.1742 แอนเดอส เซลเซยี ส (Anders Celsius) นกั ดาราศาสตรชาวสวีเดน ได ออกแบบสเกลเทอรม อมิเตอรใ หอ า นไดงายข้ึน โดยมีจดุ หลอมละลายของนา้ํ แข็งเทา กบั 0°C และจดุ เดอื ดของ นํา้ เทา กับ 100°C  เคลวิน (องศาสัมบรู ณ) ​ตอ มาในคริสศตวรรษท่ี 19 ลอรด เคลวนิ (Lord Kelvin) นักฟส กิ สชาว อังกฤษ ผูค นพบความสมั พันธระหวา งความรอ นและอณุ หภูมวิ า ณ อณุ หภมู ิ -273°C อะตอมของสสารจะไมมี การเคลื่อนที่ และจะไมม ีสง่ิ ใดหนาวเยน็ ไปกวา นไ้ี ดอ กี เขาจงึ กาํ หนดให 0 K = -273°C (ไมต องใชเ คร่อื งหมาย ° 

10 กํากับหนา อกั ษร K) สเกลองศาสมั บูรณห รอื เคลวิน เชนเดยี วกบั องศาเซลเซียสทุกประการ เพียงแต +273  เขาไปเมอื่ ตองการเปลี่ยนเซลเซียสเปน เคลวิน    เซน็ เซอรวดั อณุ หภมู ิ (TEMPERATURE SENSOR) คือ เซน็ เซอรเ พือ่ การรับรูหรอื ตรวจจับระดับ อุณหภมู ิ เร่ิมแรกการพฒั นาเซน็ เซอรตรวจวัดอณุ หภูมิน้ันมาจากความตองการในอุตสาหกรรมเคร่ืองปรับ อากาศ ตอมาจึงไดมีการพัฒนาเซ็นเซอรตรวจวดั ท่มี คี ุณสมบัติหลายอยาง (Multisensor) ทัง้ นี้เพอื่ ตรวจวดั ความสบาย (Comfort Sensor) โดยการนาํ เอาเซน็ เซอรหลายชนิดรวมเขา ดว ยกนั เชน เซ็นเซอรวัดอณุ หภมู  ิ เซน็ เซอรวัดความชื้น และเซน็ เซอรว ัดการไหลเวยี นของอากาศ การตรวจวัดอุณหภมู ิใชร ปู แบบการเปลย่ี นแปลง ระดบั แรงดนั ไฟฟาจากสญั ญาณอนาลอ็ กไปสสู ญั ญาณดจิ ติ อล โดยสมั พนั ธก บั อุณหภมู ิ โดยมรี ูปแบบใหญๆของ เซนเซอรอ ยดู วยกนั 3 รปู แบบคือ 1.Thermocouples เปนอุปกรณเบ้ืองตน ในการวดั อุณหภูมิซึง่ สามารถ เกบ็ อุณหภมู ไิ ด 273 เคลวิน โดยใชหลกั การเปล่ยี นแปลงอณุ หภมู ิเปนแรงเคล่ือนไฟฟา ทํามาจากโลหะตวั นําที่ ตางชนิดกัน 2 ตัว มาเช่อื มตอปลายท้ังสองเขา ดว ยกนั ที่ปลายดานหนงึ่ เรยี กวา \"จดุ อณุ หภมู \"ิ สว นปลายอกี ดานหนึง่ ปลอยเปด ไว เรยี กวา \"จุดอา งองิ \" หากที่จุดวดั อุณหภมู ิและจุดอางองิ มีอุณหภมู ิตา งกนั กจ็ ะทําใหม ี การนาํ กระแสในวงจร Thermocouple วสั ดุทใ่ี ชท าํ Thermocouples เปน วัสดทุ ม่ี ีคณุ ภาพ ทําใหระดับแรง ดนั ไฟฟาทไี่ ดม คี วามถกู ตอ งสงู 2.Resistance Temperture Detecor(RTD) คอื ตวั เซน็ เซอรอุณหภูมิทใี่ ช หลักการเปลีย่ นแปลงคาความตา นทานของโลหะ ซึง่ คาความตา นทานดังกลา วจะมคี าเพิม่ ตามอุณหภมู ิ ความ ตา นทานของโลหะท่เี พมิ่ ข้ึนน้ี เรียกวา “สัมประสทิ ธ์กิ ารเปลย่ี นแปลงอุณหภมู แิ บบบวก” นยิ มนําไปใชในการ วดั อุณหภมู ใิ นชว ง -270 to 850 °C. วสั ดุทน่ี ํามาใชจะเปน โลหะที่มีความตา นทานจาํ เพาะต่ํา เชน แพลทนิ ัม,  ทงั สเตน และ นกิ เกลิ 3.Thermistor เปน อปุ กรณค วามตานทานชนิดท่สี ามารถเปลย่ี นคาความตานทานเม่อื ไดรับความรอ น โดยท่คี าความตานทานจะเปลย่ี นแปลงแบบไมเปน เชงิ เสน กับอุณหภูมิ แบงเปน 2 ลกั ษณะ  คือ Positive Temperature Comitial (PTC) เปน ชนิดที่ปกติจะมคี าความตานทานตาํ่ เมอ่ื ไดร บั ความรอนจะ ทาํ ใหม คี าความตา นทานสงู ขึ้นตามลําดับอณุ หภมู ิ นาํ ไปใชต รวจสอบระดบั ความรอน หรือทําใหเ กดิ ความรอ น ขึน้ เพื่อควบคุมการจายแรงดนั ไฟฟาใหกบั ขดลวด เชน วงจรลา งสนามแมเหล็กอตั โนมัตขิ องเครื่องรับโทรทศั นส  ี (Degaussing coil) เปนตน Negative Temperature Comitial (NTC) เปน ชนิดที่ปกตจิ ะมีความตานทานสงู เมื่อไดร บั ความรอน คาความตา นทานจะตาํ่ ลง ใชงานดานการตรวจสอบความรอนเพอื่ ควบคุมระดบั การทํางาน  เชน ในวงจรขยายเสยี งท่ดี ีใชต รวจจับความรอนที่เกิดจากการทาํ งานแลวปอนกลบั ไปลดการทํางานของวงจรให นอ ยลง เพอื่ อปุ กรณหลกั จะไมเกดิ ความรอ นมากจนเกินไป 

11 โครงงานท่ีเก่ยี วของ : โครงงาน (Project Approach) คอื กจิ กรรมท่ีเปดโอกาสให ผูเรียนไดท ําการศกึ ษา คนควาและฝกปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเองตามความสามารถ ความถนดั และความสนใจ โดยอาศยั กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร หรอื กระบวนการอืน่ ๆ ไปใชใ นการศกึ ษาหาคําตอบ โดยมีครูผสู อนคอยกระตุน แนะนําและใหค าํ ปรกึ ษาแกผ เู รียนอยา งใกลช ิด ตั้งแตการเลอื กหัวขอ ทีจ่ ะศกึ ษา คน ควา ดาํ เนนิ งานตามแผน กาํ หนดขน้ั ตอน การดาํ เนินงานและการนําเสนอผลงาน ซง่ึ อาจทําเปนบุคคลหรือเปนกลุม โครงงาน คือ การศึกษาคนควาเก่ียว กบั ส่ิงใดส่ิงหนึง่ หรอื หลายๆส่งิ ที่อยากรคู าํ ตอบใหล ึกซงึ้ หรอื เรยี นรูในเรอ่ื งนั้นๆใหมากขึ้น โดยใชก ระบวนการ  วิธีการที่ศกึ ษาอยางมรี ะบบ เปน ขั้นตอน มีการวางแผนในการศกึ ษาอยางละเอยี ด ปฏบิ ตั งิ านตามแผนท่วี างไว  จนไดขอสรปุ หรอื ผลสรุปทเี่ ปน คาํ ตอบในเรือ่ งนน้ั ๆ โครงงานพฒั นาเครื่องมอื โครงงานประเภทนีเ้ ปนโครงงาน เพ่ือพฒั นาเครื่องมอื ชว ย สรา งงานประยุกตตางๆ โดยสวนใหญจะอยใู นรปู ซอฟตแ วร เชน ซอฟตแ วรว าดรปู   ซอฟตแวรพิมพง าน และซอฟตแ วรชวยการมองวัตถุในมุมตางๆ เปนตน สาํ หรบั ซอฟตแวรเ พอ่ื การพิมพงานน้ัน สรา งขน้ึ เปนโปรแกรมประมวลคาํ ซงึ่ จะเปน เคร่อื งมอื ใหเราใชในการพมิ พง านตา งๆบนเครอ่ื งคอมพวิ เตอร สวน ซอฟตแ วรก ารวาดรูป พัฒนาขน้ึ เพอื่ อํานวยความสะดวกใหการวาดรปู บนเคร่ืองคอมพวิ เตอรใหเ ปน ไปได โดย งา ย สําหรับซอฟตแวรชว ยการมองวตั ถุในมมุ ตางๆ ใชสาํ หรับชว ยการออกแบบสิ่งของ อาทิเชน ผูใชวาดแจกัน ดา นหนา และตอ งการจะดูวาดานบนและดานขางเปนอยา งไร กใ็ หซอฟตแ วรคาํ นวณคาและภาพทีค่ วรจะเปน มาให เพอ่ื พิจารณาและแกไ ขภาพแจกันที่ออกแบบไวไ ดอ ยางสะดวก  ตวั อยา งช่อื โครงงาน  -โปรแกรมการคนหาคาํ ภาษาไทย  -โปรแกรมอา นอักษรไทย  -โปรแกรมวาดภาพสามมติ  ิ -โปรแกรมเขาและถอดรหสั ขอ มูล  -โปรแกรมบีบอัดขอ มลู   -โปรแกรมประมวลผลคาํ ไทยบนระบบปฏบิ ตั กิ ารลีนุกซ  -โปรแกรมการออกแบบผังงาน  -พอรตแบบขนานของไทย  การสรา งโครงงาน กลมุ ของขา พเจา เคร่อื งพลกิ เน้ือมหศั จรรยนม้ี ีวัตถปุ ระสงคจ ัดทาํ ขน้ึ เพอื่ อาํ นวย ความสะดวกใหผทู ่ีทําอาชพี ขายเน้อื แหงเพราะในปจจบุ นั ผทู ีม่ ีอาชพี เหลา น้ีตอ งทาํ การตากเน้อื ในกระดงหรือ อุปกรณการตากเนอ้ื ตางๆท่ไี มส ามารถอํานวยความสะดวกใหมากกวา ท่ีควรและอกี ทัง้ ยังตองเสยี เวลาในการ พลิกเนอ้ื จํานวนมากและบางครั้งเนือ้ บางสวนอาจจะแหงไมส นิทเพราะไดร บั แสงอาทิตยไมท่วั ถงึ ทางคณะผจู ดั

12 ทําไดเลง็ เห็นถึงปญ หาเหลา น้ีจงึ ไดจัดทาํ เคร่อื งพลกิ เน้ือมหัศจรรยข น้ึ มาเพ่อื อาํ นวยใหค วามสะดวกแกผ ทู ํา อาชีพน ้ี                                                

13 บทท่ี 3  วิธีการจดั ทําโครงงาน  วัสดุและอุปกรณ  วัสดุและอปุ กรณท ีใ่ ชใ นการจดั ทาํ โครงงาน  1.ฟน เฟอง  2.เซนเซอรจ ับทิศทางของแสง  3.ตะแกรง2อนั   4.อลมู เิ นียม  5.ปุม สัง่ งานฟนเฟอ ง  วธิ ีการจดั ทาํ โครงงาน  1.สรา งโครงของโตะพลกิ เน้ือดวยอลูมเิ นียม  2.ตอ แผงวงจรของฟน เฟองมาตอขา ดว ยกนั   3.ใชต ะแกรง2อนั มาประกบกัน  4.ตดิ ต้ังแผงวงจรของระบบควบคมุ เขา กบั แผงวงจรของฟน เฟองและระบบเซนเซอรจับความรอ น                           

14 บทที่ 4  ผลการศึกษา    ไดศึกษาปญ หาของการตากเนอ้ื วธิ กี ารที่ทาํ ใหการตากเนือ้ งายดายมากข้นึ เเละยังไดศ ึกษาเก่ยี วกบั วิธี การ  สรางอกี ดวย ทาํ ใหการตากเน้อื สะดวกสบายมากข้ึนมาก  กวาวธิ ตี ากเนือ้ เเบบเดมิ ๆ ซึ่งนวตั กรรมนจี้ ะไปชว ยใหรนระยะเวลาในการตากหรอื การพลิกเน้ืออกี ดา นหนง่ึ    จากการที่ศกึ ษา วิธตี ากเนอ้ื เเบบเดิมๆ จะเปน การตากใสกระดงเเลว ใหเเหงขางหนง่ึ เเลวกไ็ ปพลกิ ทลี ะชิน้ จน ครบ   เเลว ตากอีกดานใหเ เหง ซึง่ การตากเเบบนี้ทาํ ใหเสียเวลาเเละยงุ ยากตอ การทาํ งาน การสรางเครอื่ งตากเน้ือนี้ขนึ้ มาทําใหสะดวกตอการใชชีวิตมากขึ้น       

15 บทท่ี 5  สรุปผลและขอ เสนอแนะ    ปจจุบนั เคร่อื งตากเนื้อมคี วามลา หลงั ไปมากซงึ่ ทาํ ใหก ารตากเนอ้ื นั้นไมเปน ผลเทาไหรบ างทีเนอ้ื อาจะ แหง ไมเทา กนั หรอื ตอ งเสียเวลาไปกับการตากเน้ือซึ่งตองคอยดวู าเนือ้ ฝง ไหนแหงแลว บางแตโ ครงงานเครอ่ื งตาก เนื้อมหศั จรรยจ ะทาํ ใหก ารตากเนอ้ื มปี ระสทิ ธภิ าพและงา ยขน้ึ กวาเดิมจะทําใหส ะดวกสบายมากยิง่ ข้ึน กลุม พวกเราจงึ ทําการศึกษาคน ควา เกย่ี วกบั เคร่อื งตากเนื้อจากอนิ เทอรเ นต็ และจากบคุ คลทปี่ ระกอบอาชพี ขายเนื้อ แหง ศึกษาจากแมคา หรือพอ คานําความรมู าประยุกตใ ช ระยะเวลาท่ใี ชใ นการศกึ ษาใชเ วลานานหนึ่งเดอื น  จึงไดจดั ทาํ เครอื่ งตากเนื้อน้ีข้นึ มา เพอ่ื ประหยดั เวลา ประหยดั เเรงงาน ลงเเรงนอ ย เเตไดผ ลผลิตมาก    ขอ เสนอแนะ    ถา สามารถพัฒนาไดมากกวานี้ ควรจะมเี ซนเซอรจบั ทิศทางของเเสง สรางใหเ ครอ่ื งมีความทนั สมยั เเละ คลาสสกิ มากขึน้ เพือ่ ใหเ กดิ ความอยากใช เเละขายไดใ นตลาดมากขึ้น สามารถเพิ่มยอดใหท ้งั คนผลติ เครอื่ งพลิก เนอื้ เเละคนขายเน้อื เเหง                   

16 บรรณานุกรม    ‘การตากเนื้อ’.2560.(ออนไลน).สบื คนไดจาก:https://www.gotoknow.org​ (;วันทีส่ บื คน ขอมูล:18 มกราคม  2563)  ‘การทาํ เครอ่ื งตากเน้ือ’.2561.(ออนไลน) .สืบคนไดจ าก:https://www.n​ ectec.or.th (;วนั ที่สืบคน ขอ มูล:18  มกราคม 2563)  ‘อปุ กรณใ นการทาํ เครอื่ งตากเนื้อ’.2561.(ออนไลน).สบื คน ไดจาก guru.sanook.com (;วนั ทส่ี ืบคนขอ มูล:18  มกราคม 2563)                                       

17   ภาคผนวก   ภาพท่ี 1      ภาพท่ี 2               

18 ขอมูลผจู ดั ทํา    ​ชอื่ นางสาว กมลทพิ ย นามสกุล กลิ่นทอง  อายุ 16 ป    ที่อยู 94 หมู 1 ต. ไรน อ ย อ.เมอื ง จ. อบุ ลราชธานี 34000  เบอรโทร 0868712088             ชอ่ื นางสาว รมิตา นามสกุล พุทธรกั ษา  อายุ 16 ป  ทอ่ี ยู 109 หมู 7 ต.ขี้เหล็ก อ.เมือง  จ.อุบลราชธานี 34000  เบอรโ ทร 0656501021               ชือ่ นางสาว สธุ ีรา นามสกลุ จันเเกว   อายุ 16 ป  ท่ีอยู 208/2 ซ.รม ฉตั ร ต.เเสนสุข อ.วารินชําราบ   จ.อบุ ลราชธานี 34190  เบอรโทร 0966467086       

19      


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook