1 เค้ารา่ งโครงการวจิ ยั การศกึ ษาพฤติกรรมการแลกเปลีย่ นความรบู้ นเครอื ข่ายออนไลน์ ของนกั ศึกษาระดับปรญิ ญาตรี สถาบันอดุ มศกึ ษาในภาคใต้ ประเทศไทย A study of knowledge sharing behavior on online networks in new normal in education of undergraduate students of higher education institutions in Southern, Thailand คมกรชิ รุมดอน ดร.นวพล แกว้ สุวรรณ สำนกั วทิ ยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 256…..
2 บทที่ 1 บทนำ 1. ที่มาและความสำคัญ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้เกิดผลกระทบวงกว้างในหลายมิติทั่วทั้งโลก รวมไปถงึ ผลกระทบตอ่ แวดวงการศกึ ษาตั้งแต่การปิดเรียน การปรับเปลีย่ นมาใชก้ ารเรยี นการสอนผา่ นกลไกตา่ ง ๆ ตลอดจนปญั หาทางเศรษฐกิจทต่ี ามมา ที่ทำให้นกั เรียน/นักศึกษาหลายคนต้องพักการเรยี น ทำให้เกิดความเหลื่อม ล้ำทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ผลการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (2564) พบว่า ใน สถานการณ์ COVID-19 เด็กเล็กมีการพัฒนาของกล้ามเนื้อที่ลดลง และเด็กโตจะได้รับผลกระทบในเรื่องของการ เรียนการสอนในวิชาที่ต้องฝึกปฏิบัติการ เช่น วิชาคอมพิวเตอร์ วิชาคหกรรม เป็นต้น สำหรับในส่วนของ มหาวิทยาลัยเองก็ทำให้มีรายได้ลดลง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชนที่ขาดรายได้จากนักศึกษาไทยและต่างชาติ จากสภาวะเศรษฐกิจของผู้ปกครองที่มีรายได้ลดลง ในส่วนของต่างประเทศ มหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ ใน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย ซ่ึงจะมีรายได้จากนักศึกษาต่างชาติหรือนักศึกษาต่างรัฐ เมื่อเกิด สถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดทำให้ต้องเรียนทางไกล นกั ศึกษาหลายคนมกี ารตัดสินใจทีจ่ ะพักการเรียนไว้ก่อน สง่ ผล ให้มหาวทิ ยาลัยหลายแห่งประสบปัญหารายได้ทล่ี ดลง นับเป็นปรากฎการณท์ ่ไี ม่เคยเกดิ ขน้ึ มาก่อน ทั้งน้ี สถานการณ์ COVID-19 ยงั ไดส้ ร้างปญั หาและเป็นอุปสรรคให้กบั ระบบการศึกษาในประเทศไทย แต่ ในอีกมุมหนึง่ กลับเป็นตัวแปรที่สำคญั ในการสร้างการเปล่ียนแปลงใหก้ ับการศึกษาในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใชใ้ น ระบบการศึกษาไทย ดังนั้น หากทุกฝ่ายในระบบการศึกษาไทยช่วยกันทำระบบกลไกการศึกษาที่เข้มแข็งก็จะ สามารถขบั เคล่ือนการศึกษาในสถานการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการดำเนินงานของระบบการศึกษาท่ี ดีควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ทันสถานการณ์และตามบริบทที่เปลี่ยนไป การบริหารจัดการระบบ การศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงต้องปรับตัวเข้าสู่ “การศึกษายกกำลังสอง” ที่จะเปลี่ยนจาก One-Size-Fits-All นำไปสู่การตอบโจทย์การเรียนรู้ และการพัฒนาของรายบุคคลมากยิ่งขึ้น (Office of the Basic Education Commission, 2020) สำหรับสถาบันทางการศึกษาที่มีการรับมือจากโรคระบาดของไวรัส COVID-19 ที่จะต้องเพิ่มระยะห่าง ระหว่างกันในสังคม (Social Distancing) จึงได้มีนโยบายในการนำระบบสำหรับการเรียนการสอนออนไลนเ์ ข้ามา ปรับใช้ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ อาทิ ถ่ายทอดสดการสอนผ่านระบบ Video Conference ด้วย Microsoft Teams, Google Meet หรือ Zoom และการใช้ห้องเรียนออนไลน์ (E-Classroom) ด้วย Google Classroom หรือ Microsoft Teams เพื่อการแจกจ่ายเอกสารประกอบการสอน การถามตอบ การสนทนา การมอบหมายงาน การ ตรวจงาน การสร้างแบบทดสอบ และการให้คะแนน เป็นตน้ (กนั ต์ เอี่ยมอินทรา, 2563; สุวมิ ล มธุรส, 2564)
3 การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนดังกล่าว เป็นการตอบโจทย์ของคนในยุคดจิ ิทัลที่มีพฤติกรรมการเรียนรู้ ด้วยตนเองตลอดเวลา เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ และความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียน การสอน และการแลกเปลี่ยนความรู้ ทั้งนี้ การตอบสนองความตอ้ งการและการเข้าถงึ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ขึ้นอยู่ กับความสามารถและวัตถุประสงค์ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของแต่ละคน อาทิ การเข้าถึงความรู้ การสร้างองค์ ความรู้ และการแลกเปลี่ยนความรู้ โดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ที่เรียกว่า “แพลตฟอร์ม การเรียนรดู้ ิจิทลั ” (Digital Learning Platform) เปน็ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรยี นรู้ให้เท่าทันกับการ เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ส่งเสริมให้คนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากสื่อดิจิทัล และการแลกเปลี่ยนความรู้ ผา่ นส่อื สงั คมออนไลน์ (Social Media) ทำให้คนในยุคดิจิทลั มีความสามารถในการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรม การเรียนรู้เพื่อตอบสนองความต้องการในการแลกเปลี่ยนความรู้ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้จากสื่อสงั คมออนไลน์ อาทิ Website, Fan page Facebook, Line Open Chat, LINE Official Account, Google Sites, Instagram, YouTube, Twitter เป็นต้น แพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลจึงกลายเป็นเทรนด์การเรียนรู้ของคนในยุคดิจิทัลท่ี สามารถเป็นได้ทั้งผู้เรียนรู้ Iรวมไปถึงการเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ทำให้เกิดเป็นข้อมลู จำนวนมากเพื่อนำมาวิเคราะห์ และประมวลออกมาเปน็ ความรู้ใหม่ (รุ่งหทยั บุญพรม, 2563) รวมไปถงึ ทักษะในการจัดการความรู้ ทเี่ ริม่ ตง้ั แตก่ าร สบื คน้ การแยกแยะขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จริง และนำขอ้ มลู ท่ีมาใช้ในการจัดการเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์และนักศึกษา มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดในจังหวัดซึ่งเป็นท่ีตง้ั ของวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย หรือ ในจังหวัดใกลเ้ คียงวิทยาเขตฯ ถูกจัดเป็นพืน้ ท่ีควบคุมสูงสดุ (สแี ดง) ในหลายจงั หวัด ซง่ึ ตามประกาศกระทรวงการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เรื่องมาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเช้ือไวรัส COVID-19 (ฉบับที่ 12 วันที่ 30 เมษายน 2564) ได้กำหนดแนวปฏิบัติเพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาพิจารณา ดำเนนิ การใหส้ อดคล้องกับสถานการณ์ และทางมหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ ได้วางแนวทางจัดการเรียนการสอน ภาคศึกษาท่ี 1/2564 โดยงดการจัดการเรียนการสอนในช้นั เรียนทง้ั หมด และพฒั นาการเรียนการสอนแบบภายใต้ รูปแบบผสมผสาน (Hybrid learning) ซึ่งใช้การเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning) พร้อมกับการจัดการเรียน การสอนรูปแบบอื่น ๆ ท่ีจะสามารถวัดและประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพตาม วัตถุประสงค์การเรียนแต่ละวิชา โดยการสอบจะวัดประเมินผลที่เป็น formative มากขึ้น อาทิ การสอบออนไลน์ การนำข้อสอบไปทำนอกห้องสอบ (take-home exam) การสะท้อนคิด (reflection) และการประเมินผลจาก กจิ กรรมหรอื ผลงาน เป็นต้น (ThaiPR.net, 2564) จากประเด็นปัญหา และสถานการณ์ที่กล่าวข้างต้นท่ีเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนโยบายส่งเสริมการจัดการเรียน การสอนของมหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ สง่ ผลให้ผู้วจิ ัยไดต้ ระหนักและเลง็ เหน็ ถงึ ความสำคัญของการแลกเปลี่ยน ความรู้ระหวา่ งนกั ศึกษาด้วยกันเอง การเรียนรู้เป็นทีม รวมถึงการศึกษาแนวทางในการทีเ่ หมาะสมต่อรูปแบบการ
4 เรยี นรู้ท่ีเปลยี่ นแปลงไปตามสถานการณท์ ี่เกดิ ขึน้ ผ้วู จิ ัยจงึ มีความสนใจทจ่ี ะศึกษาเกยี่ วกับระดับการนำความรู้ไปใช้ ในการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ พฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ เปรียบเทียบการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครอื ข่ายออนไลน์ และกำหนดแนวทางการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครอื ข่าย ออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยผลที่ได้จากการศึกษาจะนำไปสู่การ ทราบถึงระดับของการนำความรู้ไปใช้ในการแลกเปลี่ยนความรู้ พฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้ และได้แนว ทางการแลกเปลี่ยนความรู้ และเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนบนเครือข่ายออนไลน์ เพื่อนำไปสู่ การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ตลอดจน คาดว่าจะนำผลการวิจัยไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการจัดการเรยี นรู้บนเครอื ข่ายออนไลน์ของนักศกึ ษาระดับปริญญาตรี ชั้นปที ี่ 1 ทมี่ คี วามแตกต่างกนั ของกล่มุ คณะทศ่ี ึกษา และสามารถนำไปประยุกต์ใชใ้ นการเรยี นรู้ของนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี เพือ่ สร้างความคุ้นเคยในระดับอุดมศกึ ษาได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ 2. คำถามวจิ ัย 1. ระดับพฤติกรรมการนำความรู้ไปใช้ในการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้เป็นอยา่ งไร 2. พฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบนั อดุ มศกึ ษาในภาคใต้เป็นอยา่ งไร 3. การเปรียบเทียบการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบนั อุดมศึกษาในภาคใต้ตามกลุ่มสาขาวิชาเป็นอย่างไร 4. แนวทางการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษา ในภาคใต้เป็นอย่างไร 3. วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการวจิ ัย 1. เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการนำความรู้ไปใช้ในการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของ นกั ศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี สถาบันอดุ มศึกษาในภาคใต้ 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอดุ มศกึ ษาในภาคใต้ 3. เพื่อเปรียบเทียบการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศกึ ษาในภาคใตต้ ามกลุ่มสาขาวขิ า 4. เพื่อกำหนดแนวทางการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบนั อุดมศึกษาในภาคใต้
5 4. ขอบเขตการวจิ ัย กลุ่มประชากร เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล ประกอบด้วย มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ และมหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ ทุกหลกั สตู รและทุก คณะ ที่เขา้ ศึกษาตงั้ แต่ปีการศกึ ษาที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 ทมี่ ีความยินยอมเขา้ ร่วมโครงการวจิ ยั โดยสมคั รใจ กลุ่มตัวอย่าง เป็นกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล ประกอบด้วย มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ และมหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ โดยใชห้ ลกั พิจารณา การแบ่งกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และกลุ่มวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ที่เขา้ ศึกษาตั้งแต่ภาคการศึกษาที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 และประมาณการขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตาราง Krejcie and Morgan (1970) ด้วยความเชื่อมั่น 95% โดยการเทียบบัญญัติไตรยางศ์ และผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มกลุ่ม ตวั อย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) (พรรณี ลกี จิ วฒั นะ, 2555: 89) โดยกลุ่มที่ไม่ต้องถูกคัดเข้าคือ กลุ่มนักศึกษาที่ไม่สามารถเข้าร่วมกระบวนการวิจัย หรือพักการศึกษา หรือไมส่ ามารถให้ข้อมลู แกผ่ วู้ จิ ัยได้ และไมส่ มัครใจในการเขา้ ร่วมโครงการวจิ ัย เปน็ ตน้ ตวั แปรท่จี ะใช้ในการวจิ ัย ตัวแปรต้น (Independent Variables) ประกอบด้วย เพศ อายุ กลุ่มสาขาวิชา ศาสนา รายได้ต่อเดือน สถานภาพครอบครัว ประเภทที่อยู่อาศัย อุปกรณ์/เครื่องมือเทคโนโลยี ความถี่การใช้งานอุปกรณ์/เครื่องมือ เทคโนโลยีดิจิทัลแต่ละครั้ง ความถี่การใช้งานอุปกรณ์/เครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัลใน 1 สัปดาห์ ช่วงเวลาที่ใช้ เครือข่ายออนไลน์ สถานท่ีที่ใช้เครือข่ายออนไลน์ แพลตฟอร์มที่เข้าใช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และลักษณะ/ กระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ ตัวแปรตาม (Dependent Variables) คอื ลกั ษณะการเรยี นรู้เปน็ ทีมและพฤติกรรมการส่ือสารการเรียนรู้ เป็นทีม พฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ และแนวทางการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่าย ออนไลนข์ องนกั ศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบนั อุดมศึกษาในภาคใต้ การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้ของนักศึกษาบนเครือข่ายออนไลน์ใ นที่จัดการ เรยี นการสอน ในปีการศึกษา 2564 ของนกั ศกึ ษาระดับปริญญาตรี ผ่านแพลตฟอร์มออนไลนท์ ี่ใช้ในการศึกษาและ แลกเปลย่ี นความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมชัน้ เรยี น หรอื รายวิชาทที่ ำการลงทะเบียนเรียนในปกี ารศึกษา 2564 เท่านั้น พื้นทว่ี ิจัย ผู้วิจัยได้คัดเลือกสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาลที่มีพื้นที่การจัดตั้งในจงั หวัดของภาคใต้ (นับตั้งแต่ เริ่มการก่อต้ังมหาวิทยาลัย) จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ครอบคลุมทั้ง 5 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตปัตตานี วิทยาเขตหาดใหญ่ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี วิทยาเขตภูเก็ต และวิทยาเขตตรัง) มหาวิทยาลัย ทักษิณ (ครอบคลมุ ทงั้ 2 วิทยาเขต ไดแ้ ก่ วิทยาเขตสงขลา และวิทยาเขตพัทลงุ ) และมหาวทิ ยาลัยวลัยลกั ษณ์ เป็น หน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analyzed) เพ่อื ศกึ ษาและคัดเลือกกลมุ่ เปา้ หมายที่จะเข้าสู่กระบวนการวจิ ัย
6 ด้านระยะเวลา ผูว้ จิ ัยได้วางแผนการวิจยั ในระยะ 1 ปี ตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2564 - เดอื นธนั วาคม 2565 5. ประโยชน์ท่คี าดว่าจะไดร้ ับ 1. ทราบถึงระดับการนำความรู้ไปใช้ในการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ รวมถึงการนำไปประยุกต์ใช้กับสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่อื่นที่มีลักษณะ การบรหิ ารงานหรอื โครงสรา้ งในรปู แบบท่ีคลา้ ยคลงึ กัน 2. ทราบถึงพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบบริการสารสนเทศด้านการจัดการเรียนการสอน ส่ือ ทรัพยากรสารสนเทศในรูปแบบดิจิตอลคอลเล็กชัน รวมถึงสามารถนำไปใช้ในการออกแบบเครื่องมือสำหรับการ เข้าถึงสารสนเทศเพอื่ เพ่ิมศักยภาพของผู้เรยี น มากไปกว่านัน้ อาจนำไปสู่การปรับเปล่ียนโฉมของสถาบันอุดมศึกษา ในการก้าวสู่มหาวิทยาลัยดิจิตอล (Digital University) ตามแผนนโยบายประเทศไทย 4.0 ยุคของศตวรรษที่ 21 หรือยคุ ของความปกตถิ ดั ไป (The next normal) 3. คาดวา่ จะนำผลการวิจัยไปใช้เปน็ แนวทางในการจัดการเรยี นรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ที่มีความแตกต่างกันของกลุ่มคณะที่ศึกษาเพื่อนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรสารสนเทศท่ี เหมาะสมกับกลุ่มของศาสตร์สาขาวิชา รวมถึงได้แนวทางการแลกเปลี่ยนความรู้ และเตรียมความพร้อมในการ จัดการเรียนการสอนบนเครือข่ายออนไลน์ เพื่อนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี หรือระหว่างเพื่อนร่วมกลุ่มเรียนที่มีความหลากหลายทางด้านศาสตร์สาขาวิชาตามบริบทของ พนื้ ทห่ี รอื สถานการณ์ในปจั จบุ ัน 4. ได้ข้อมูลที่สามารถนำไปกำหนดเป็นแนวทางในการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน แบ่งปันความรู้บนเครือข่ายสื่อออนไลน์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับ ปริญญาตรีเพื่อสร้างความคุ้นเคยในการศึกษาในระดับอุดมศึกษา รองรับการศึกษาที่เท่าเทียม ทั่วถึงและส่งเสริม การเรยี นรตู้ ลอดชีวิต 6. นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1. การแลกเปลี่ยนความรู้ หมายถึง การสื่อสาร การพูดคุย การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) และความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และการสร้างความรู้ใหม่ร่วมกันของนักศึกษา ระดับปรญิ ญาตรี สถาบนั อุดมศึกษาในภาคใต้
7 2. เครือข่ายออนไลน์ หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนความรู้และการถ่ายทอดความรู้ของ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ Website, Fan page Facebook, Line Open Chat, LINE Official Account, Google Sites, Instagram, YouTube แ ล ะ Twitter เป็นต้น รวมไปถึงเครื่องมือที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ อาทิ Microsoft Teams, Google Meet และ Zoom เป็นต้น 3. สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ หมายถึง มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาลที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ขึ้นไป ที่มีพื้นที่การจัดตั้งในจังหวัดของภาคใต้ (นับตั้งแต่เริ่มการก่อตั้งมหาวิทยาลัย) จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ครอบคลุมทั้ง 5 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตปัตตานี วิทยาเขตหาดใหญ่ วิทยาเขตสุ ราษฎร์ธานี วิทยาเขตภูเก็ต และวิทยาเขตตรัง) มหาวิทยาลัยทักษิณ (ครอบคลุมทั้ง 2 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขต สงขลา และวทิ ยาเขตพัทลงุ ) และมหาวทิ ยาลยั วลัยลกั ษณ์
8 บทท่ี 2 วรรณกรรมและงานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้อง การศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษาพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับ ปรญิ ญาตรี สถาบนั อุดมศกึ ษาในภาคใต้ ประเทศไทย ผวู้ จิ ยั ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ งดังต่อไปน้ี 1. แนวคิดเก่ยี วกับการจดั การความรู้ 1.1 ความหมายของการจัดการความรู้ 1.2 ประเภทของความรู้ 1.3 องค์ประกอบของการจดั การความรู้ 1.4 กระบวนการจดั การความรู้ 2. แนวคดิ เกี่ยวกบั การแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ 2.1 ความหมายของการแลกเปล่ียนเรียนรู้ 2.2 องค์ประกอบของการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ 2.3 ปจั จยั ทม่ี ีอิทธพิ ลและสิง่ จงู ใจในการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ 2.4 ปญั หาและอุปสรรคตอ่ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 3. แนวคิดเกี่ยวกบั การเรียนรูเ้ ป็นทมี 3.1 ความหมายของการเรียนรู้เป็นทมี 3.2 พฤตกิ รรมการสื่อสารในการเรยี นร้เู ป็นทมี 4. งานวจิ ยั ที่เก่ยี วขอ้ ง 1. แนวคิดเกีย่ วกับการจดั การความรู้ 1.1 ความหมายของการจัดการความรู้ Tannenbaum (1998) อธิบายว่า การจัดการความรู้เป็นการรวบรวม การจัดโครงสร้าง การจัดระเบียบ การจัดเก็บ และการเข้าถึงข้อมูล เพื่อสร้างเป็นองค์ความรู้ และทำให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ในการ แบ่งปันความรู้นี้ต้องอาศัยวัฒนธรรมองค์กรเป็นสำคัญ เพราะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อความสำเร็จของการจัดการ ความรู้ และอาศัยบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ หรือความเฉลียวฉลาดในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์เป็นเครอื่ งมือทช่ี ่วยในการจัดการความรู้
9 Nonaka (1991) อธิบายว่า การจัดการความรู้ หมายถึง ความสามารถขององค์กรที่จะสร้างความรู้ใหม่ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง มกี ารเผยแพรค่ วามร้ทู ั่วทง้ั องคก์ ร และนำไปใช้ในระบบบรกิ ารและกระบวนการผลิต O'Dell และ Jackson (1998) อธิบายว่า การจดั การความรู้เป็นระบบทีจ่ ะคน้ หา เขา้ ใจ และใช้ความร้เู พ่ือ สรา้ งมลู คา่ Davenport และ Prusak (1998) อธิบายว่า การจัดการความรู้ หมายถึง กระบวนการที่จะเพิ่มศักยภาพ ของความรโู้ ดยการแบ่งกลมุ่ เขา้ รหสั การประสาน และถา่ ยโอนความรู้ Trapp (1999 อ้างถึงใน ธันยพร วณิชฤทยา, 2557) อธิบายว่า การจัดการความรู้ หมายถึง กระบวนการ ที่ประกอบด้วยงานต่าง ๆ จำนวนมาก มีการบริหารจัดการในลักษณะบูรณาการเพื่อก่อให้เกิดคุณประโยชนท์ ี่คาด ไว้ Henrie และ Hedgeeth (2003 อ้างถึงใน ธันยพร วณิชฤทยา, 2557) อธิบายว่า การจัดการความรู้ เป็น ระบบบริหารจัดการทรัพย์สินความรูข้ ององค์กรทั้งที่เป็นความรู้ฝงั ลกึ และความรู้ชดั แจ้ง ระบบการจัดการความรู้ จึงเป็นกระบวนการที่เกี่ยวกับการจำแนกความรู้ การตรวจสอบความรู้ การจัดเก็บความรู้ที่ตรวจสอบแล้ว การ กรองความรู้ และการเข้าถึงความรู้ โดยมีหลักการสำคญั คอื ทำให้ความรู้ถูกใช้ ถูกปรับเปลี่ยน และถูกยกระดับให้ สงู ขึ้น วิจารณ์ พานิช (2548: 3-5) อธิบายว่า การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรให้เป็น องคก์ รแหง่ การเรียนรู้ และบรรลคุ วามเปน็ ชมุ ชนนกั ปฏิบัติ ประเวศ วะสี (2545 อ้างถึงใน ศวิ นิต อรรถวฒุ กิ ลุ , 2551) อธบิ ายวา่ การจดั การความรู้ เป็นกระบวนการ ท่ีดำเนนิ การร่วมกนั เพอ่ื สร้างและใช้ความรู้ใหเ้ กดิ ผลสัมฤทธิ์ให้ดกี วา่ เดมิ การจดั การความร้เู ป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง กับการแปรข้อมูลเป็นสารสนเทศ แปรสารสนเทศเป็นความรู้ และใช้ความรู้เพื่อปฏิบัติการ และจะยกระดับไปถึง ปัญญา สรุปได้วา่ การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการหรือวธิ ีการเพือ่ ให้ได้มซี ึง่ ความรู้อย่างเป็นระบบ ได้แก่ การ กำหนด การแสวงหา การจัดเก็บ แลกเปลี่ยน การรวบรวม และการเข้าถึงข้อมูล เพื่อสร้างเป็นความรู้ และนำไป ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสม โดยอาศัยผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการแปลความหมาย และใช้ ประโยชนข์ องเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยที างด้านการสื่อสาร และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มาเป็นเครอ่ื งมอื ชว่ ยอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 1.2 ประเภทของความรู้ ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ความรู้ชัดแจ้งคือความรู้ที่เขียนอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร เช่น คู่มือ ปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา เว็บไซต์ Blog ฯลฯ ส่วนความรู้ฝังลึกคือความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคนที่ ไม่ได้ถอดออกมาเป็น
10 ลายลักษณ์อักษร หรือบางครั้งก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ความรู้ที่สำคัญส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็น ความรู้ฝังลึก อยู่ในผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง จึงต้องอาศัยกลไกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน สร้างความ ไวว้ างใจกนั และถ่ายทอดความรรู้ ะหว่างกันและกัน (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2559) 1. ความรูฝ้ งั ลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายโดยใช้คำพดู ได้ มรี ากฐานมาจากการ ปฏิบัติและประสบการณ์ มีลักษณะเป็นความเชื่อ ทักษะ และเป็นอัตวิสยั (Subjective) ต้องการฝึกฝนเพื่อให้เกิด ความเชี่ยวชาญ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนบุคคล มีบริบทเฉพาะ (Context-specific) ทำให้เป็นทางการและสื่อสาร ยาก เชน่ วิจารณญาณส่วนบุคคล ความลับทางการค้า วฒั นธรรมองคก์ ร ทักษะ ความเช่ียวชาญในเรื่องตา่ ง ๆ การ เรยี นรูข้ ององค์กร 2. ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่รวบรวมได้ง่าย จัดระบบ และถ่ายโอนโดยใช้ วิธีการดิจิทัล มีลักษณะเป็นวัตถุดิบ (Objective) สามารถแปลงเป็นรหัสในการถ่ายทอดโดยวิธีการที่เป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อถ่ายทอดความรู้ เช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทำงาน เอกสาร กลยทุ ธ์ และเปา้ หมายขององค์กร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2557) ได้แบ่งประเภทของความรู้ ได้ 2 ประเภท ดังน้ี (Choo, 2000; วจิ ารณ์ พานชิ , 2546; คณะพาณิชยศาสตรแ์ ละการบญั ชี จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2544) 1. ความรู้โดยนัยหรือความรู้ทม่ี องเห็นไม่ชดั เจน (Tacit Knowledge) จัดเป็นความรู้ทไ่ี มเ่ ป็นทางการ เปน็ ทักษะหรือความรู้เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลที่มาจากประสบการณ์ ความเชื่อ หรือความคิดสร้างสรรค์ในการ ปฏิบัติงาน อาทิ การถ่ายทอดความรู้ ความคิด การสังเกต การสนทนา การฝึกอบรม ความรู้ประเภทนี้เป็นหัวใจ สำคัญที่ทำให้งานประสบความสำเร็จ เนื่องจากความรู้ประเภทนี้เกิดจากประสบการณ์ และการนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนั้น จึงไม่สามารถจัดความรู้ให้เป็นระบบหรือหมวดหมู่ได้ และไม่สามารถเขียนเป็นกฎเกณฑ์หรือตำราได้ แต่ สามารถถา่ ยทอดและแบง่ ปนั ความรไู้ ดโ้ ดยการสงั เกตและเลยี นแบบ 2. ความรู้ทชี่ ัดแจ้งหรือความรู้ทเ่ี ป็นทางการ (Explicit Knowledge) เปน็ ความรู้ที่มีการบันทึกไว้เป็นลาย ลกั ษณอ์ ักษรในรปู แบบต่าง ๆ อาทิ สิง่ พมิ พ์ เอกสารขององค์การ ไปรษณยี ์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เว็บไซต์ ความรู้ประเภท นีเ้ ปน็ ความรทู้ ี่แสดงออกมาโดยใชร้ ะบบสญั ลกั ษณ์ สามารถสือ่ สารและเผยแพรไ่ ดอ้ ยา่ งสะดวก 1.3 องคป์ ระกอบของการจัดการความรู้ Ben (2005 อ้างถึงใน ศิวนิต อรรถวุฒิกุล, 2551) อธิบายว่า ความสำเร็จของการจัดการความรู้เกิดจาก การผสมผสานการทำงานระหว่างองคป์ ระกอบของการจัดการความรู้ ประกอบไปดว้ ย 1. คน กลยุทธ์หลักที่ใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยมุ่งที่ความสามารถของแต่ละคนที่จะ สร้างนวตั กรรม และมีความคล่องตัวท่จี ะปรับเปลยี่ นกลยุทธต์ ามสถานการณ์ การพฒั นาคนจงึ มีความสำคัญอันดับ แรก
11 2. กระบวนการของการจัดการความรู้ ประกอบด้วย แนวทางและขนั้ ตอนการจดั การความรู้ โดยต้องระบุ ประเภทของสารสนเทศที่ต้องการ ทั้งจากแหล่งข้อมูลภายในและภายนอก เป็นการแยกแยะความรู้และกำหนด โครงสร้าง รูปแบบ และตรวจสอบความถกู ต้อง ประกอบไปดว้ ย 3 ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ 2.1 การจดั หาความรจู้ ากแหล่งความรตู้ ่างๆ (Knowledge Acquisition) ซง่ึ เป็นขั้นตอนของการ พัฒนาและการสร้างความรู้ใหม่ อาทิ การวิจัยและพัฒนา จะทำให้มีความรู้ใหม่อยู่เสมอ เม่ือนำผลการวิจัยไปใช้ ก่อใหเ้ กิดปญั หาใหม่ก็มีการวจิ ัยใหม่ คน้ พบสิ่งใหม่ นำผลการวิจยั น้นั ไปพฒั นาอย่างต่อเน่อื ง 2.2 การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing) เป็นการใช้ความรูร้ ่วมกนั 4 ระดับ ได้แก่ Know What (รวู้ ่าคืออะไร) Know How (รูว้ ิธีการ) Know Why (รเู้ หตผุ ล) และ Care Why (ใส่ใจกบั เหตผุ ล) 2.3 การใช้หรือเผยแพร่ความรู้ (Knowledge Utilization) เป็นการเผยแพร่ความรู้ให้สามารถ เข้าถึงความรู้ได้ เพื่อประโยชนใ์ นการตัดสนิ ใจและดำเนนิ งานตามเปา้ หมายท่ีคาดไว้ 3. เทคโนโลยีสารสนเทศ (Technology) เป็นเครื่องมือเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของความรู้ให้เป็น ความรู้ทีเ่ กดิ ประโยชนต์ อ่ บุคคล ในเวลาและรูปแบบทบ่ี คุ คลน้ันตอ้ งการเรียกวา่ ระบบบรหิ ารความรู้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (2546 อ้างถึงใน ศิวนิต อรรถวุฒิกุล, 2551) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบของการจัดการความรู้ แบง่ ออกเป็น 6 หัวข้อหลกั ดงั นี้ 1. การปรับเปล่ยี นพฤติกรรม (Culture Change) เปน็ ขั้นตอนท่ีเก่ียวข้องกับการปรบั วิธีคิด ทัศนคติ และ พฤติกรรมของคนให้ตระหนักและเกิดความพร้อมในการจัดการความรู้ รวามทั้งแสวงหา สร้าง จัดเก็บ สืบค้น ตลอดจนถา่ ยโอน และนำความความรไู้ ปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ 2. การติดต่อสื่อสาร (Communication) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีช่องทางที่ดี มีประสิทธิภาพ พร้อมท่ี จะนำความรูต้ ่าง ๆ ที่มอี ยู่ในตวั บคุ คล หรอื อยใู่ นรปู แบบทจี่ ับต้องได้มาแลกเปลยี่ น และเผยแพรใ่ หก้ ับทุก ๆ คนได้ อย่างมีประสทิ ธิภาพ 3. กระบวนการทำงาน และเครื่องมือ (Process and Tools) ความรู้ต่าง ๆ สามารถเกิดการแลกเปลี่ยน ไปให้ผู้อื่นได้ด้วยกระบวนการการทำงาน เครื่องมือที่ดี และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลดีทั้งด้านการเรียนรู้ แนวคดิ ใหม่ ๆ และเกดิ ความกา้ วหนา้ ท่ีจะดำเนนิ กิจการไปสู่เปา้ หมาย 4. การอบรม และการเรียนรู้ (Training / Learning) การอบรม และแลกเปลี่ยนความรู้ก่อให้เกิดการ เรียนรู้ทางตรงที่ทั้งผู้ให้และผู้รับได้ร่วมกันสร้างขึ้น ทำให้เกิดการไหลเวียนของความรู้ที่จะเอื้ออำนวยให้เกิด ความสำเรจ็ ของงานย่งิ ขึ้น 5. ตวั ชวี้ ดั (Measurements) ความสำเรจ็ หรอื ผดิ พลาดของโครงการสามารถชใี้ หเ้ ห็นได้ด้วยตัวชว้ี ดั ซ่ึงได้ จัดทำตัวชี้วัดที่เหมาะสมแยกตามประเภทต่าง ๆ ตลอดจนให้ทุก ๆ คนมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น เพื่อให้ได้ท่ี ใกล้เคยี งกบั ความจริงมากท่สี ุด เพอ่ื นำมาประเมนิ ผลและพฒั นาโครงการให้สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ที่ต้งั ไว้
12 6. การยอมรับและการให้รางวัล (Recognition and Reward) เพื่อกระตุ้น ผลักดัน และส่งเสริมการ ดำเนนิ โครงการให้ไปถงึ ยังเป้าหมายท่ีตง้ั ไว้ โดยเนน้ การทำ Self-motivation and Self-rewarding ซง่ึ จะเป็นแรง กระตุ้นจากภายในสภู่ ายนอก (Inside-out) วิจารณ์ พานิช (2547) อธิบายว่า องค์ประกอบที่เป็นพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ ที่สำคัญของการจัดการ ความรู้ และจะต้องเช่อื มโยงและบูรณาการอย่างสมดลุ ดงั นี้ 1. คน ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นแหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ 2. เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ และ รวดเร็ว 3. กระบวนการความรู้ เป็นการบรหิ ารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อทำให้เกิดการ ปรบั ปรงุ และนวัตกรรม ศวิ นติ อรรถวุฒกิ ุล (2551) อธิบายองค์ประกอบของการจัดการความรู้ ไวด้ งั นี้ 1. บุคคล คือ บุคคลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อน หรือแม้แต่ผู้ที่กำลังสนทนา แลกเปลี่ยน และเชื่อมต่อข้อมูลอยู่บนออนไลน์ เข้ามามีบทบาทในการจัดการความรู้ ช่วยในการส่งเสริมและ สนบั สนุนใหก้ ารดำเนนิ การตามกระบวนการรวบรวมข้อมลู วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้นึ เป็นความรู้ และเป็นผู้นำ ความรู้ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ 2. สาระความรู้ หมายถึง เนื้อหา ความรู้ ภูมิปัญญา หรือข่าวสาร ทั้งที่เป็นโครงสร้างสำเร็จ (Structured Content) และที่ยังไม่เป็นโครงสร้างสำเร็จ (Unstructured content) รวมถึงสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นและได้รับมา หรือจากการแยกแยะ การแชร์ข้อมลู จากการสืบค้น 3. เทคโนโลยีและการสื่อสาร เป็นช่องทางและเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการศึกษา ค้นหาความรู้ จัดเก็บ ข้อมูล และการดึงเอาความรูไ้ ปใช้ ช่วยให้เกดิ พฤติกรรมของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สามารถแสดงความคดิ เห็น ต้ัง คำถามและหาคำตอบ เป็นตวั กลางในการถา่ ยทอด ชว่ ยใหเ้ กิดการตดิ ตอ่ ประสานงาน และเชือ่ มโยงคนเข้าดว้ ยกนั 4. กระบวนการ คือ รูปแบบหรือวิธีการดำเนินงาน หรือทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับขั้นตอน เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เป็นการเรียนรู้ การอบรม และแลกเปลี่ยนความรู้ เพอื่ ทำให้เกิดการปรับปรุง การสร้าง และการไหลเวยี นของความร้ทู ี่จะเอ้ืออำนวยให้เกดิ ความสำเร็จของงานย่ิงข้ึน และนำไปสูน่ วัตกรรม 5. การประเมิน ทำให้รับรู้ว่าการจัดการความรู้บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่เพียงใด และมีปัญหาอุปสรรค ใดบา้ งทที่ ำใหก้ ิจกรรมต่าง ๆ ไมป่ ระสบความสำเรจ็ ซ่งึ จะสะทอ้ นถึงประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล ช่วยให้สามารถ ทบทวนแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่าง ๆ ปรับปรุงให้กระบวนการให้ดียิง่ ข้นึ
13 1.4 กระบวนการจดั การความรู้ สถาบนั เพิม่ ผลผลติ แหง่ ชาติ (2547) อธบิ ายแนวคิดกระบวนการจัดการความรู้ดงั นี้ 1. ค้นหาความรู้ (Knowledge Identification) ค้นหาว่าองค์กรมีความรูอ้ ะไรบ้าง รูปแบบใด อยู่ที่ใคร มี ความร้อู ะไร และขาดความรอู้ ะไร 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation and Acquisition) เป็นวิธีการดึงความรู้มาจาก แหลง่ ตา่ ง ๆ ท่อี าจอย่กู ระจดั กระจาย หรืออาจสร้างความรูข้ ้นึ มาใหมจ่ ากความรเู้ ดิมก็ได้ 3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge Organization) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและนำความรู้ ดังกล่าวไปใช้ประโยชนไ์ ด้ 4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement) เพื่อให้ความรู้อยู่ ในรูปแบบและภาษาทีเ่ ขา้ ใจงา่ ย และใชง้ านไดง้ า่ ย หรืออาจเป็นการปรับรูปแบบใหเ้ ป็นมาตรฐานเดียวกัน 5. การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) หากความรู้ที่ได้มานัน้ ไมส่ ามารถนำไปเผยแพร่ ได้ความรู้น้นั จะเปน็ ความรู้ทีไ่ ร้คา่ ดงั น้ัน จงึ ตอ้ งมวี ิธจี ัดเก็บและกระจายความรูใ้ หถ้ งึ ผใู้ ช้ 6. การแบ่งปันแลกเปลีย่ นความรู้ (Knowledge Sharing) การจัดเก็บและเผยแพร่ความรู้ อาจทำได้เพียง ความรูท้ อ่ี ยู่ภายนอก แตค่ วามรู้ทีอ่ ยภู่ ายในคนที่จะได้จากการพบปะ พูดคุย เพอื่ แลกเปลย่ี นความรรู้ ่วมกัน 7. การเรียนรู้ (Learning) วตั ถุประสงคท์ สี่ ำคญั อีกอยา่ งหนง่ึ คือการเรยี นรู้ของบุคลากรและนำความรู้ไปใช้ เพ่อื ใหเ้ กิดการแกป้ ญั หาและพฒั นา หากไม่เกดิ การเรยี นรูค้ วามรู้นน้ั คงไม่มีประโยชน์อะไร บดินทร์ วจิ ารณ์ (2547: 45) อธิบายกระบวนการจัดการความรู้ ประกอบไปดว้ ย 5ข้นั ตอน ดังนี้ 1. Define การกำหนดชนดิ ของทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) หรือองคค์ วามร้ทู ่ี ตอ้ งการ เพอ่ื ตอบสนองกลยทุ ธ์ขององคก์ รหรอื การปฏิบัตงิ าน หรือการหาวา่ องคค์ วามรูห้ ลกั ๆ คอื อะไร 2. Create สร้างทุนทางปัญญา หรือการค้นหาใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วด้วยการส่งไปศึกษาเพิ่มเตมิ การสอนงาน หรือการเรยี นรูจ้ ากประสบการณ์แหง่ ความสำเร็จของผู้อื่น 3. Capture การเสาะหา และจัดเก็บองค์ความรู้ในองค์กรให้เป็นระบบทั้งองค์ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ที่เผยแพร่ออกมาในลักษณะของสื่อต่าง ๆ และในรูปของความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) หรือท่ี เรียกวา่ ประสบการณ์ 4. Share การแบ่งปัน แลกเปล่ยี น เผยแพร่ กระจาย ถ่ายโอนความรู้ และเกิดเป็นปัญญาปฏิบัติ ทำใหเ้ ห็น ความสามารถขององคก์ รมากข้นึ 5. User การใช้ประโยชน์ การนำไปประยุกต์ใช้งาน ก่อให้เกิดประโยชน์ และเกิดเป็นปัญญาปฏิบตั ิ ทำให้ เหน็ ความสามารถขององคก์ รมากข้นึ Marquardt (อ้างถึงใน ธันยพร วณิชฤทยา, 2557: 37-38) อธิบายประกอบของการจัดการความรู้ไว้ 4 ประการ ดงั นี้
14 1. การแสวงหาความรู้ (Knowledge Acquisition) เป็นความรู้ท่ีมีประโยชน์ และมีผลต่อการดำเนินงาน จากแหลง่ ต่าง ๆ ท้ังภายในและภายนอกองค์กร คือ 1.1 การแสวงหาและรวบรวมความรู้จากแหล่งภายในองค์กร (Internal Collection of Knowledge) เปน็ ความสามารถในการเรียนรูข้ องบุคคลท่ีเป็นปัจจัยเพมิ่ คุณค่าให้แก่องค์กร อาทิ การให้ความรู้กับ พนักงานจากประสบการณ์ตรง การลงมือปฏบิ ัติ และการดำเนนิ การเปลย่ี นแปลงในกระบวนการปฏบิ ัติงานตา่ ง ๆ 1.2 การแสวงหาและรวบรวมความรู้จากแหล่งภายในองค์กร (External Collection of Knowledge) เป็นการแขง่ ขนั ปรบั ปรงุ งานภายใต้สภาพแวดลอ้ มทใ่ี ชค้ วามคดิ การสรา้ งสรรค์ดว้ ยขอ้ มลู สารสนเทศ จากภายนอกด้วยวธิ ีการต่าง ๆ อาทิ การใชม้ าตรฐานเปรียบเทียบระหวา่ งองค์กร การเปดิ รบั ข่าวสารข้อมูลจากส่ือ แหล่งตา่ ง ๆ ตลอดจนการให้ความรว่ มมอื กับองค์กรอ่นื เพ่อื สัมพันธภาพและการร่วมทุน 2. การสร้างความรู้ (Knowledge Creation) ในการสร้างความรู้ใหม่เกี่ยวข้องกับแรงผลักดัน การหยั่งรู้ และความเขา้ ใจอย่างลึกซ้ึงของบคุ คล ดงั นี้ 2.1 การถ่ายทอดความรู้ที่มีในตัวบุคคลหนึ่งไปสูบ่ ุคคลอื่น 2.2 การผนวกรวมความรู้ของบุคคลกับความรู้ที่มีในองค์กรเป็นความรู้ใหม่และนำความรู้ไปใช้ ร่วมกนั 2.3 การรวบรวมความร้ทู มี่ ีอยูเ่ ข้าดว้ ยกนั หรือเป็นการเรยี นรู้จากประสบการณท์ ่ผี า่ นมา 2.4 สมาชิกในองคก์ รเปน็ ผู้คน้ พบความรู้ใหมใ่ นการดำเนินกิจกรรมเพื่อสรา้ งความรู้ 2.5 การเรยี นรโู้ ดยการปฏบิ ัตแิ ละแก้ปัญหาอยา่ งเปน็ ระบบ 3. การจัดเก็บและค้นคืนความรู้ (Knowledge Storage and Retrieval) สิ่งที่สำคัญในการจัดการความรู้ คอื การเกบ็ รักษาความรู้ และการนำความรไู้ ปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ในการเกบ็ สะสมความรสู้ ่ิงที่ต้องคำนงึ ถึง ดังน้ี 3.1 โครงสร้างและการจัดเก็บความรู้ ต้องเป็นระบบที่สามารถคน้ หา และส่งมอบได้อย่างถูกต้อง และรวดเรว็ 3.2 มีการจำแนกรายการต่าง ๆ อาทิ ข้อเท็จจริง นโยบายหรือขั้นตอนปฏิบัติงาน บนพื้นฐาน ความจำเป็นในการเรยี นรู้ 3.3 เป็นการจัดการที่สามารถส่งมอบให้ผู้ใช้ได้อย่างชัดเจนถูกต้อง ทันเวลา และเหมาะสมกับ ความตอ้ งการ การค้นคืนความรู้ (retrieval) เป็นการเข้าถึงสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อนำมาประยุกต์ในการปฏิบัติงานต่อไป องค์กรควรให้พนักงานทราบช่องทางหรือวิธีการสืบค้นความรู้ต่าง ๆ ทั้งในแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ อนั นำไปสกู่ ารถา่ ยทอดความร้ใู นองค์กร
15 4. การถ่ายทอดความรู้และการใช้ประโยชน์ (Knowledge Transfer and Utilization) มีความจำเป็น เพอ่ื ใหค้ วามรมู้ ีการกระจายและถา่ ยทอดไปอย่างรวดเรว็ เหมาะสมท่วั องค์กร วิธีการที่ความร้มู ีการถา่ ยทอดออกไป ดงั นี้ 4.1 การสือ่ สารเป็นภาษาเขยี น อาทิ การบันทึก รายงาน จดหมาย การตดิ ประกาศขา่ วสาร 4.2 การประชมุ หรอื การอบรมทั้งภายในและภายนอกองคก์ ร 4.3 การสอื่ สารในองค์กร ประเภทสอ่ื สง่ิ พมิ พ์ เครอื่ งเสียง และวดี ีทัศน์ 4.4 การเยี่ยมชมหรือการไปทศั นศกึ ษาดงู าน 4.5 การหมนุ เวียนเปลยี่ นหนา้ ทกี่ ารปฏบิ ตั งิ าน 2. แนวคดิ เก่ยี วกบั การแลกเปล่ียนเรียนรู้ 2.1 ความหมายของการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ Davenport และ Prusak (1998) อธิบายว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการ ความรู้ (Knowledge Management) โดยการพูดคยุ แลกเปล่ียนประสบการณ์ ความรทู้ ีเ่ กย่ี วข้องกับความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) และความรชู้ ัดแจง้ (Explicit Knowledge) Sveiby (2006 อ้างถึงใน ธันยพร วณิชฤทยา, 2557) อธิบายว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นรูปแบบหน่ึง ของการสื่อสาร ที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) และความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และเปน็ การสร้างความรู้ใหม่รว่ มกนั ดงั น้ัน การถ่ายโอนความรรู้ ะหว่างคนในองคก์ รจึงจำเป็นต้องใช้ การสอ่ื สาร สรุปได้ว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นหลักสำคัญของการจดั การความรู้ ในลักษณะการสื่อสาร การพูดคุย การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) และความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และ เปน็ การสรา้ งความรใู้ หมร่ ว่ มกนั 2.2 องค์ประกอบของการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ Mark (2001 อ้างถึงใน ธันยพร วณิชฤทยา, 2557) อธิบายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่จะต้องมีองค์ประกอบ ของความรู้ ท้ังความรู้ฝงั ลกึ และความรชู้ ัดแจง้ ควรมีแผนและกลยุทธ์ในการใช้ความรู้ และเข้าใจความแตกต่างการ ใช้และการสร้างความรู้ การสร้างวัฒนธรรมการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สมาชิกต้องเห็นคุณค่าของกันและกัน มี วิธีการแก้ปัญหาและมศี ักยภาพในเรียนรู้ การแลกเปลีย่ นความรู้โดยไม่หวังส่ิงตอบแทน และการใช้เทคโนโลยีช่วย นั้นมีส่วนจำเปน็ แต่ไม่อาจแก้ปัญหาได้ท้ังหมด ซึ่งคุณสมบตั ิของผู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้น้ันต้องไว้ใจกนั และเห็นคุณคา่ ขององคก์ รเช่นเดยี วกัน Warne และคณะ (2003) อธบิ ายองคป์ ระกอบของการแลกเปลีย่ นเรียนร้ทู ี่มีประสิทธภิ าพน ประกอบดว้ ย สิ่งเหล่านี้ 1) วัฒนธรรมของการเห็นคณุ ค่าของความรู้ 2) การมีข้อมูลที่เพียงพอ 3) การแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้นและ สามารถแสดงผังหรือการลื่นไหลของข้อมูล 4) เทคโนโลยีการสื่อสาร (Information Technology) 5) เครือข่าย
16 ระหว่างบุคคล (Personal networking) 6) การคิดเชิงระบบ (System Thinking) 7) ผู้นำ 8) บรรยากาศของการ สื่อสาร (Communication Climate) 9) การแก้ปัญหา (Problem solving) และ 10) การฝึกอบรม (ซึ่งเป็น องค์ประกอบท่สี นบั สนุนสูค่ วามสำเรจ็ ของการเรยี นรู้) Davenport และคณะ (1988) อธิบายว่า การแลกเปลย่ี นเรียนรู้ต้องมีการฟงั การสร้างแรงจงู ใจ การสอน การเรยี นรู้ การนำเสนอ การรว่ มมือ และการสื่อสารแบบมสี ่วนร่วม ซึ่งเป็นทกั ษะทสี่ ำคัญในการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ สุภณิดา ปุสุรินทร์คำ (2549) อธิบายว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประกอบด้วย 1) ชุมชนนักปฏิบัติ 2) การ ดำเนนิ กจิ กรรม 3) เทคโนโลยสี ารสนเทศ และ 4) ทรพั ยากรสนับสนุนการแบง่ ปันความรู้ สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประกอบด้วย ความรู้ คุณลักษณะของผู้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ศักยภาพในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีการร่วมมือกัน และมีการสื่อสารกันแบบมีส่วนร่วม โดยมีปัจจัย สนับสนุนดา้ นเทคโนโลยี บริบท และวฒั นธรรมขององค์การ 2.3 ปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลและสิ่งจูงใจในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ธันยพร วณิชฤทยา (2557) อธิบายปัจจัยที่ส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้แก่ พื้นที่สำหรับหาร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ กจิ กรรม และเครื่องมือและเทคโนโลยีในการแลกเปลี่ยนความรู้ ดงั น้ี 1. ปัจจัยด้านพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระบวนการสร้างความรู้เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของ ผ้คู นมาแลกเลยี่ นความรขู้ องตน ดงั นั้น พ้ืนทีท่ จ่ี ะรองรบั กระบวนการดงั กลา่ วจึงมีความสำคญั อยา่ งย่ิง Ba (บะ) เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลได้อย่างคร่าวๆ หมายถึง “สถานที่ สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่เอื้อให้เกิดการ ปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้คนที่มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน โดยอาจมีได้หลายสถานะ เช่น เป็นสถานที่จริง (Physical Space) ที่คนมาพบกัน อาทิ สำนักงาน ห้องประชุม ห้องกาแฟ หรืออาจเป็นสถานที่เสมือน (Virtual Space) ซ่ึง เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศทำให้เกิดขึ้นได้ อาทิ การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) เว็บไซต์ เว็บ บล็อก (Weblog) การประชุมทางไกล หรือเพียงสถานที่ในความคิด (Mental Space) ที่เกิดขึ้นจากการมี ประสบการณค์ วามคดิ และอุดมคติรว่ มกัน แนวคดิ เรื่อง Ba กระบวนการการสรา้ งความรู้เกิดขึน้ ในบรบิ ททผ่ี ้คู นมาร่วมแลกเปลย่ี นความรู้ของตน จาก ทง้ั 4 ขน้ั ตอนท่ีมกี ารเคลอ่ื นตัวของความรู้ และการเปล่ยี นแปลงลักษณะของความรู้ในคน หรือความรู้ฝังลกึ (Tacit Knowledge) กบั ความรแู้ จ้งชดั (Explicit Knowledge) ทำใหเ้ ห็นวา่ บรบิ ทในแต่ละขั้นตอนมีการเปล่ยี นแปลง ซ่ึง ท่ีจริงการท่ีบริบทนนั้ มีการเคล่ือนไหวเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละขัน้ ตอน เป็นการปรบั พน้ื ที่ให้เหมาะสมท่ีจะบ่มเพาะ การปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ของแต่ละบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ต่อเติมความรู้ของตนเองและของกลุ่ม ร่วมกันในแต่ละขัน้ ตอน ในปรัชญาของญี่ปุ่นได้เน้นใหค้ วามสำคัญอย่างย่ิงกบั บรบิ ทกับความรู้ ความรู้ที่ไม่มีบริบท เปน็ ไปไดแ้ ค่ข้อมูลข่าวสาร (Information) เท่านัน้ ดงั น้ัน Nonaka จึงให้แนวคิดเรื่อง Ba (บะ) มาร่วมในการสร้าง ความรู้
17 2. ปัจจัยด้านกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับการจัดการความรู้ ประกอบด้วยกระบวนการหลกั ๆ ไดแ้ ก่ 1) การค้นหาความรู้ 2) การสรา้ งและแสวงหาความรู้ 3) การจัดการความรู้ ให้เป็นระบบ 4) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ 5) การเข้าถึงความรู้ และ 6) การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และการเรียนรู้ และเพื่อให้มีการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจึงมีการใช้เครื่องมือหลากหลายประเภทใน การถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ รวมทั้งการช่วยให้ผู้ต้องการใช้ข้อมูลสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก เพื่อที่จะส่งเสริมให้การจัดการความรู้ให้มีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้มี หลากหลายประเภท ทั้งทเ่ี หมาะสมกับความรู้ท่ีเปน็ ประเภทความร้ทู ีช่ ดั แจง้ และความรู้แบบฝังลึก 3. ปัจจยั ดา้ นเครื่องมอื และเทคโนโลยี การแลกเปลีย่ นเรยี นรเู้ ป็นทง้ั กระบวนการและวิธีการ ซ่งึ เคร่ืองมือท่ี ใช้ในการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้มีมากมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กบั ความเหมาะสมและจดุ ประสงค์ทีจ่ ะนำไปใช้ เช่น การสนทนา (Dialogue) การมีพื้นที่ของชุมชน (Community Space) การเห็นคุณค่า (Focus on Value) การเรียนรู้จาก ประสบการณ์ (Learning from own experience) การเรียนรู้จากบทเรยี นเด่น (Learning from best practice) การเสริมพลงั (Empowerment) ซึ่งจะนำไปส่คู วามเขม้ แข็งของเครือข่ายที่เป็นชุมชนนกั ปฏิบตั ิ (Community of Practice - CoP) หมายถึง เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ เกิดจากความใกล้ชิด ความพึงพอใจ ความ สนใจและพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน ลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะเอื้อต่อการเรียนรู้และการสรา้ งความรู้ใหม่ๆ มากกว่า โครงสรา้ งทีเ่ ป็นทางการ 2.4 ปญั หาและอปุ สรรคตอ่ การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ Skyme (2004, อ้างใน ฐิติพัฒน์ พิชญธาดาพงศ์, 2548) อธิบายถึงปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการ แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ ดงั น้ี 1. “คนเชื่อว่าความรู้คืออำนาจ” สิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของผู้นำการเปลี่ยนแปลงภายใน องค์การที่ไม่เข้าใจหลักปัจจัยของมนุษย์ และทฤษฎีจูงใจอย่างเพียงพอ เพราะว่าในองค์การปัจจุบันจะต้องพึ่งพา ทีมงาน และการสั่งสมความรู้เป็นอย่างมาก ในข้อเท็จจริงจะมีบคุ คลอยู่เพียงน้อยนิดที่จะมีความรู้เพียงพอทีจ่ ะชกั จูงผู้ร่วมงานหรือผู้จ้างงานให้คล้อยตามได้ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าของ/ผู้จัดการ ไม่ต้องการที่จะสูญเสีย ความลับทางการค้า หรืออาจเป็นเพราะว่าผู้ชำนาญการที่ทำงานอยู่กับบริษัทหลายปี ได้สั่งสมการทำงานที่เป็น เอกลกั ษณ์ของตนเอง โดยไม่ไดต้ ระหนักถงึ ความรใู้ นระดบั ฝงั ลกึ ซง่ึ เปน็ เหตผุ ลทค่ี นไม่มกี ารแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ 2. อาการที่เรียกว่า “ที่นี่ไม่ยอมรับความคิดใหม่ ๆ” เหตุผลที่คนไม่ยอมรับความคิด ใหม่ ๆ เพราะวา่ เขามคี วามภมู ิใจท่ีไม่รับความคดิ ใหม่ และไม่สนใจทีจ่ ะคน้ หาวธิ ีการใหมส่ ำหรับตนเองด้วย 3. ไม่ได้ตระหนักว่าความรู้เฉพาะบางอย่าง มีประโยชน์สำหรับคนอื่นมากมาย กล่าวคือ บางคนอาจจะมี ความรู้สำหรับใช้งานในสถานการณ์หนึ่ง แต่ไม่เคยตระหนักถึงคนอื่นเขา เช่น บางคนคิดว่าตนเองมีความรู้อย่าง เพียงพอแล้วในสถานการณห์ น่ึง แตล่ มื นกึ ถงึ ไปว่าคนอ่ืนอาจจะไม่มีความรูใ้ นการแก้ปัญหาท่ีมีลักษณะคล้ายกันใน ลักษณะต่างกรรมต่างวาระกัน นอกจากนี้ ความรู้ที่บางคนได้รับมาจากการแสวงหาของตนเอง อาจจะนำมาใช้ใน
18 บริบทที่แตกต่างไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ความรู้เหล่านั้นจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ การพัฒนา นวัตกรรมหลายอยา่ งมาจากการเชื่อมโยงความรู้อย่างหลากหลายระหวา่ งหลกั เกณฑ์ที่แตกต่างกันและขา้ มองค์การ หลายรปู แบบ 4. ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ ผู้คนคิดว่าถ้าตนเองแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผู้อื่นจะนำไปใช้ในบริบทที่ผิดไป นำไป ประยุกต์ใช้ผดิ เพ้ียนและก็มากล่าวโทษตนเอง หรือบางทีก็นำไปใชง้ านใช้ประโยชน์โดยไม่ได้กลา่ วถงึ เจ้าของความรู้ ไมเ่ คยอา้ งอิงเจา้ ของแหลง่ ความรู้นัน้ ๆ 5. ไม่มีเวลา อาจเป็นไปได้ว่าการไม่มีเวลาเป็นเหตุหลักที่คนไม่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในองค์กร เช่น การเร่ ง ผลิตสินคา้ ใหท้ ันเวลาที่กำหนด เป็นกฎทีว่ า่ “ยิง่ คุณมีความรู้มากเท่าไหร่ ยง่ิ มีงานเข้าคิวรอคุณอยู่มากมาย” ดังน้ัน คุณจึงไม่มีเวลาที่จะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไม่มีเวลาที่จะนำความรู้ไปใส่ไว้ในฐานข้อมูล หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก่ ผู้ร่วมงาน วจิ ารณ์ พานิช (2547) อธบิ ายถึงปัญหาและอปุ สรรคเก่ียวกบั การแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ ดงั น้ี 1. ระบบความดีความชอบอาจไม่ส่งเสริมการแลกเปลีย่ นความรู้ หากพนักงานมองว่าความรู้นั้นเปน็ อาวุธ ส่วนตัวสำหรบั ใช้ในการแข่งขนั กับเพ่ือนรว่ มงาน 2. สถานะที่ไม่เท่าเทียมกัน อาจปิดกั้นการแลกเปลี่ยน เช่น พยาบาลส่วนใหญ่ลำบากใจที่จะเสนอแนะ วิธีการรักษาผูป้ ว่ ยแกแ่ พทย์ 3. ความห่างทัง้ ในเชิงระยะทางและในดา้ นเวลา ทำใหก้ ารแลกเปลีย่ นเกิดได้ยาก 4. ในคนบางกลุ่ม การแลกเปลี่ยนความรู้ในลักษณะข้อสารสนเทศจะไม่ได้รับความสนใจถ้าไม่มีผลการ วิเคราะห์แนบด้วย 5. คนบางคนไมเ่ ชอ่ื วา่ จะสามารถนำเสนอความรทู้ ีฝ่ งั ลึกได้ 6. เกดิ ความพิการของกลไกตลาด ในตลาดความรู้ โดยเปรียบเทยี บเป็น “ผู้ขาย” และ “ผู้ซือ้ ” จงึ เกดิ เป็น ความพิการของกลไกตลาดได้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ ผู้ซื้อกับผู้ขายไม่มีโอกาสพบกัน มีภาวะความรู้ล้นและ ความรู้ขาดแคลน เกิดการผูกขาดความรู้เกิดกักตนุ ความรแู้ ละภาวะสมองไหล เกิดโรค \"ท่นี ไ่ี ม่ยอมรบั ความคิดใหม่\" หรอื NIH (not – invented – here) ระบาดทำให้ปดิ กน้ั ตลาดการค้า สรุปได้วา่ ปัญหาและอปุ สรรคของการแลกเปลย่ี นเรียนรู้ ได้แก่ 1. ขาดการใหร้ างวลั และส่งิ จงู ใจ 2. ไมม่ เี วลาในการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ 3. พฤติกรรมส่วนบุคคล เชน่ การไมย่ อมรับความคดิ เหน็ ใหม่ ๆ และขาดความไวว้ างใจระหวา่ งกัน
19 3. การเรยี นรเู้ ป็นทมี 3.1 ความหมายของการเรียนรเู้ ปน็ ทมี Senge และคณะ (1994) อธิบายว่า การเรียนรู้เป็นทีมเป็นกระบวนการปรับแนวคิดแนวปฏิบัติ รวมท้ัง จุดมุ่งหมายของทีมให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และพัฒนาความสามารถเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมาชิกในทีมทุกคน ต้องการอยา่ งแทจ้ ริง Marquardt (1996) อธิบายว่า การเรียนรู้เป็นทีมมุ่งเน้นไปที่กระบวนการจัดการ และพัฒนา ความสามารถของทีม เพ่อื สรา้ งการเรียนรู้และผลลพั ธ์อนั เกดิ จากมวลสมาชิกให้ได้เปน็ ไปตามต้องการ Kasl และคณะ (1997) อธิบายว่า การเรียนรเู้ ปน็ ทีมเปน็ กระบวนการสร้างความรู้อย่างเปน็ ระบบระหว่าง สมาชกิ ในกลุ่ม Hackman (2002) อธิบายหลักการทำงานเป็นทีมว่า ทีมที่แท้จริงมีคุณลักษณะที่สำคัญ 4 ประการ คือ ภารกจิ ของทีม ขอบเขตการทำงานทีช่ ัดเจน การมอบหมายอำนาจในการบรหิ ารจดั การกระบวนการทำงานของทีม อยา่ งชัดเจน และการมีสมาชกิ อยู่ภายในชว่ งเวลาหนึง่ ท่ีเหมาะสม 3.2 พฤตกิ รรมการสอื่ สารในการเรียนรเู้ ป็นทีม ธันยพร วณิชฤทยา (2557) อธิบายพฤติกรรมการสื่อสารในการเรียนรู้เป็นทีมว่า เป็นการแสดงออกถึง พฤติกรรมและค่านิยมที่ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องของทีม Senge (1994) กล่าวว่า ลักษณะเชิงพฤติกรรม ของการสื่อสารเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความแตกต่างของประสิทธิภาพของทีมแต่ละทีม จากการศึกษาลักษณะการ เรียนรเู้ ปน็ ทีม พบวา่ พฤติกรรมการสื่อสารในการเรยี นรู้เป็นทีม ประกอบดว้ ย 1. การสนทนา (Dialogue) ในการเรยี นรเู้ ป็นทีม เปน็ การพดู คุยรว่ มกันของสมาชิกในทีม โดยสมาชกิ แสดง ความรสู้ ึก หรือความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งอิสระ รับฟังส่ิงท่ีอย่ใู นใจ และรว่ มคดิ ดว้ ยกันอย่างจริงใจ ทุกคนใน ทีมจะพูดด้วยความเคารพต่อความคิดเห็นของกัน และกันเปิดเผยความคิดและความรู้สึกกัน โดยปราศจากความ กลัวหรือความอาย การรับฟังทัศนะคติ มุมมอง และข้อสงสัยของผู้อื่นอย่างตั้งใจ การละความคิดเห็นเดิม ๆ ของ ตนเองไว้ ทำให้เขา้ ใจมมุ มองตา่ ง ๆ ได้กว้างมากขน้ึ 2. การอภิปราย (Discussion) ในการเรียนรูเ้ ป็นทีม สมาชิกแตล่ ะคนจะแสดงความคิดเหน็ ของตนเองโดย มกี ารแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ ท่แี ตกต่างกนั อยา่ งเตม็ ที่ และแสดงเหตุผลปกปอ้ งความคดิ เห็นของตน เพื่อให้สมาชิก ทุกคนไดว้ เิ คราะห์สถานการณ์ทง้ั หมด การอภิปรายเน้นการวิเคราะห์และแยกประเดน็ ท่ีสนใจออกเป็นส่วน ๆ เป็น การแสดงเหตุผลเพื่อให้สมาชิกในทีมยอมรับแนวคิดมุมมองของตนเอง เป้าหมายของการอภิปรายคือ เพื่อการ ตดั สนิ ใจเลอื กหาข้อตกลง ขอ้ สรปุ หรือหาทางแกป้ ัญหาที่มกี ารตกลงร่วมกัน เพือ่ ใชเ้ ป็นแนวทางการปฏิบัติของทีม ในช่วงเวลาน้ัน Marquardt (1996) อธิบายว่า การอภิปรายเป็นการบ่งบอกถึงระดับความเหนือชั้นในการฟังและการ สื่อสารระหว่างบุคคล นอกจากนั้นยังเป็นความต้องการในการค้นถึงความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นอิสระในประเด็น
20 เนื้อหา เป็นการฟังอย่างลึกซึ้งจากบุคคลอื่น ๆ ซึ่งผู้ฟังจะต้องพักการใช้มุมมองของตนไว้ก่อน กล่าวคือ การรับฟัง ผู้อื่นจะทำให้บุคคลได้พักความคิดของตนเองไว้ขณะหนึ่ง และเข้าใจร่วมใช้ความคิดอภิปรายในความคิดเห็นของ ผู้อ่นื 4. งานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้อง 4.1 การจดั การความรู้ กสิมา สังวรประเสริฐ (2549) ได้ทำการศึกษาเรื่อง “ความคิดเห็นของพนักงานในองค์การที่เป็นสมาชิก เครือข่าย สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม ที่มีต่อการจัดการความรู้ เพื่อสำรวจสภาพปัจจุบัน ของ ปจั จัยในการจัดการความรู้ ท้ัง 5 ด้าน ประกอบดว้ ย ดา้ นภาวะผ้นู ำ ด้านวัฒนธรรมองคก์ าร ดา้ นโครงสรา้ งพ้ืนฐาน ด้านเทคโนโลยี และด้านการวัดและประเมินผล กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในองค์การสมาชิก เครือข่ายสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม จำนวน 385 คน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างให้ ความสำคญั ปัจจัยในการจดั การความรดู้ ้านภาวะผนู้ ำ ด้านเทคโนโลยี และดา้ นวฒั นธรรมองค์การ อยู่ในระดับมาก ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการวัดและประเมินผล อยู่ในระดับปานกลาง ในขณะที่ระดับปัญหาของปัจจัยในการ จัดการความรู้ด้านภาวะผู้นำ ด้านวัฒนธรรมองค์กร ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเทคโนโลยี และด้านการวัดและ ประเมนิ ผล อย่ใู นระดบั ปานกลาง ทิตา ภานุรัตน์ (2549) ได้ทำการศึกษาเรื่อง “ความพึงพอใจของบุคลากรต่อพัฒนาไปสู่องค์กรแห่งการ เรียนรู้” กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรในวิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความพึงพอใจต่อการพัฒนาไปสู่ องคก์ รแห่งการเรยี นรู้ ตามวินยั 5 ประการของ Senge โดยเรยี งลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการมุ่งสู่ความ เป็นเลิศ (Personal Mastery) มากที่สุด รองลงมาคือ ด้านวิธีการคิดและมุมมองที่เปิดกว้าง (Mental Models) ด้านการคิดทั้งระบบ (System Thinking) ด้านการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม(Team Learning) และด้านการสร้าง วสิ ยั ทศั นร์ ว่ มกนั (Share Vision) 4.2 การแลกเปล่ยี นความรู้ ประเสริฐ เลอสรวง (2553) ได้ทำการศึกษาเรื่อง “ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน หน่วยงานภาครฐั : กรณศี ึกษาหน่วยงานราชการ สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย”ี เพอื่ ศกึ ษาปัจจัยส่วน บุคคลต่าง ๆ ที่มีผลต่อระดับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยด้าน เพศ อายุ และสถานภาพ ไม่มีความสัมพันธ์กับระดับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างมนี ัยสำคัญ ส่วนปัจจัยด้านระดบั การศึกษา การได้รับการฝึกอบรม และการเป็นคณะทำงานด้านการจัดการความรู้ มีความสัมพันธ์ต่อระดับการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเชิงบวก นอกจากนั้นยังพบว่า สิ่งที่บุคลากรส่วนใหญ่คาดหวังจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ คือ การพัฒนาความรู้ ความสามารถในการทำงาน ประโยชน์เพื่อความสำเร็จขององค์กรหรือส่วนรวม และเพ่ิม ความสำเร็จในงานของตน ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตัดสนิ ใจเลือกหรือไม่เลอื กที่จะแลกเปล่ียนเรียนรู้ คือ การ
21 พิจารณาถึงความน่าสนใจของหัวข้อองค์ความรู้นั้น การพิจารณาประโยชน์ที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการจดั สรรเวลาจากงานประจำ โดยปัจจยั ส่วนบุคคลทม่ี ีผลต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหน่วยงานภาครัฐ สรุป ได้เปน็ 4 ประเดน็ ใหญ่ ๆ ดังนี้ 1) ปจั จยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั องค์ความรู้ 2) ปัจจัยทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับประโยชนท์ ่ีได้รบั จากการ แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ 3) ปจั จัยท่เี กยี่ วข้องกับหนา้ ทค่ี วามรับผิดชอบในการทำงาน และ 4) ปจั จัยทางสังคมท่ีเกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์กับผูอ้ ่ืน สูติเทพ ศิริพิพัฒนกุล (2556) ได้ทำการศึกษาเรื่อง “การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาและการ เรียนรู้เป็นทีมของนิสิตปริญญาบัณฑิตด้วยรูปแบบการเรียนแบบผสมผสานที่ใช้เทคนิคการเรียนร่วมกันด้วย กรณศี กึ ษาและเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนเรียนรทู้ ี่ต่างกัน” ผลการวจิ ยั พบว่า 1. นิสิตปริญญาบัณฑิตที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนแบบผสมผสานที่ใช้เทคนิคการเรียนร่วมกันด้วย กรณีศึกษาและเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ต่างกัน พบว่า ทั้ง 4 กลุ่ม มีคะแนนความสามารถในการ แก้ปัญหาหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่ทั้ง 4 กลุ่มมีคะแนน ความสามารถในการแก้ปญั หาไมแ่ ตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 2. ผลของการพัฒนาการเรียนรู้เป็นทีมของนิสิตปริญญาบัณฑิตด้วยรูปแบบการเรียนแบบผสมผสานที่ใช้ เทคนิคการเรียนร่วมกันด้วยกรณีศึกษาและเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ต่างกัน พบว่า ค่าเฉลี่ยของ ความสามารถในการเรยี นรู้เปน็ ทีม ท้งั 4 กลมุ่ ไมแ่ ตกต่างกนั อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 3. รูปแบบการเรียนแบบผสมผสานที่ใช้เทคนิคการเรียนร่วมกันด้วยกรณีศึกษาและเทคโนโลยีการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ต่างกัน มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) บุคคล 2) เนื้อหา 3) กรณีศึกษา 4) สภาพแวดล้อมที่เอื้อ ต่อการแลกเปล่ียนเรยี นรู้ 5) เทคโนโลยีการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ และ 6) การประเมนิ ผล รูปแบบ มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นเตรียมความพร้อม 2) ขั้นดำเนินกิจกรรมการเรียนร่วมกันด้วยกรณีศึกษาและเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ได้แก่ 2.1) ขั้นทำความเข้าใจและระบุปัญหาร่วมกัน 2.2) ขั้นวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาร่วมกัน 2.3) ขั้น เสนอวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน 2.4) ขั้นตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน 2.5) ขั้นสรุปผลร่วมกัน และ 3) ขั้น ประเมินผล 4. ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกรณีศึกษาต่างกันที่ใช้เทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่างกันที่ส่งผลต่อการ พฒั นาความสามารถในการแกป้ ญั หา และการเรยี นรู้เปน็ ทมี อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 5. กลุ่มทดลองมีความพึงพอใจโดยรวมต่อรูปแบบการเรียนแบบผสมผสานที่ใช้เทคนิคการเรียนร่วมกัน ด้วยกรณีศึกษาและเทคโนโลยีการแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ทมี่ ีต่อการพฒั นาความสามารถในการแก้ปญั หาและการเรียนรู้ เปน็ ทมี อยู่ในระดบั มาก ศิวนิต อรรถวุฒิกุล (2551) ได้ทำการศึกษาเรื่อง “การพัฒนากระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยใช้ คอมพิวเตอร์สนับสนุนการเรียนรู้อย่างร่วมมือตามแนวคิดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเพื่อสร้างพฤติกรรมการ สรา้ งความรู้ของนิสติ นกั ศกึ ษาระดับบณั ฑติ ศกึ ษา” ผลการวจิ ยั พบวา่
22 1. องค์ประกอบของกระบวนการท่ีพัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 5 องคป์ ระกอบ คอื 1) บคุ คล 2) สาระความรู้ 3) เครื่องมือคอมพิวเตอร์สนับสนุนการเรียนรู้อย่างร่วมมือ 4) การปรับเปลี่ยนและการจัดการพฤติกรรม และ 5) การประเมนิ 2. ขั้นตอนของกระบวนการที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นแนะนำแนวทาง สร้างกลุ่ม สัมพันธ์ 2) ขั้นกำหนดความรู้นำไปสู้เป้าหมาย 3) ขั้นสืบเสาะแสวงหาเพื่อพัฒนาผลงาน 4) ขั้นพบปะแลกเปลี่ยน เพ่อื นเรยี นเพอ่ื นรู้ 5) ข้นั สรา้ งสรรค์เผยแพร่ รว่ มแกร้ ่วมปรบั และ 6) ข้นั ประเมินผลงาน ประสานความคดิ 3. กลุ่มตัวอย่างทมี่ พี ฤตกิ รรมเฉล่ยี พฤตกิ รรมการสรา้ งความรหู้ ลังการทดลอง สูงกวา่ ก่อนการทดลองอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05 ผลการวเิ คราะห์คะแนนการประเมินผลงานของกลุม่ ตวั อย่าง พบว่า คะแนนเฉลยี่ รวมของผลงานที่กลุ่มตวั อยา่ งพฒั นาข้นึ อยใู่ นระดับดี 4.3 การเรียนรูเ้ ป็นทมี อัมพร ปัญญา (2560) ได้ทำการศึกษาเรื่อง “การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมของพนักงาน ส่วนทอ้ งถ่ิน” ผลการวิจยั พบวา่ 1. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมของพนักงานส่วนท้องถิ่น โดยผู้เชี่ยวชาญ มีความเห็น สอดคล้องกันในทุกองค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ประกอบด้วย ภาวะผู้นำ การสื่อสารที่ดี ความเชี่ยวชาญส่วนบุคคล รูปแบบความคิดในใจที่เปิดกว้าง และความคิดเชิงระบบ 2) ด้านหลักการเรียนรู้ ประกอบด้วย การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้จากประสบการณ์ การเรียนรู้จากการปฏิบัติ การเรียนรู้จากสภาพ ความเป็นจริงในปัจจุบัน และการเรียนรู้วิธีที่จะเรียนรู้ และการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) 3) ด้านการ จัดการความรู้ ประกอบด้วย การแสวงหาความรู้ การสร้างความรู้ การเก็บรักษาความรู้ การวิเคราะห์และ กลั่นกรองความรู้ การถ่ายโอนและแบ่งปันความรู้ การนำความรู้ไปใช้และทำให้ถูกต้อง 4) ด้านการเป็นชุมชนนัก ปฏิบัติ ประกอบด้วย การมีหัวข้อความสนใจหรือความชำนาญอย่างเดียวกัน การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง การมีแนวปฏิบัตริ ่วมกัน และการบรหิ ารจดั การตามวตั ถปุ ระสงค์ 2. ผลการประเมินรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีมของพนักงานส่วนท้องถิ่น พบว่า โดยภาพรวมทุก องค์ประกอบอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านที่มคี ่าเฉลี่ยสูงทีส่ ุดอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้าน การถา่ ยโอนและแบ่งปนั ความรู้ รองลงมา ไดแ้ ก่ ด้านการมีปฏสิ ัมพนั ธก์ นั อย่างต่อเน่ือง อยใู่ นระดับมาก สว่ นดา้ นท่ี มีค่าเฉลี่ยที่น้อยที่สุด แต่อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการเรียนรู้ด้วยตนเองและด้านการเรียนรู้ด้วยวิธีเรียนรู้ ซึ่งมี คา่ เฉลย่ี เท่ากนั แสงเทียน พลับขจร (2553) ได้ทำการศึกษาเรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างผลการเรียนรู้เป็นทีมกับการ พัฒนาสมรรถนะของบุคลากรโรงพยาบาลสมิติเวช สาขาสุขุมวิท” ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเรียนรู้เป็นทีมของ บุคลากร โรงพยาบาลสมิติเวช สาขาสุขุมวิท ทั้งภาพรวมและรายด้านทุกด้าน คือ ความคิดสร้างสรรค์ ผลการ ปฏิบัติงาน การสื่อสาร และมนุษยสัมพันธ์อยู่ในระดับมาก 2) การพัฒนาสมรรถนะของบุคลากร โรงพยาบาลสมติ ิ
23 เวช สาขาสุขุมวิท ทั้งภาพรวมและรายค้านทุกด้าน คือ ความรู้ ทักษะ และทัศนคติอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพนั ธร์ ะหว่างผลการเรียนรู้เป็นทมี กับการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรโรงพยาบาลสมิตเิ วช สาขาสุขุมวิท มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง 4) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเรียนรู้เป็นทีม ได้แก่ ควรมีการรับฟังความ คิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน ควรส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และควรสร้างบรรยากาศในการทำงานให้มีความเป็น กันเอง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากร ได้แก่ บุคลากรควรมีการพัฒนาความรู้ และควรมี การเรยี นรูร้ ่วมกัน ผลจากการปริทัศน์เนื้อหา แนวคิด ทฤษฎี และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยสามารถนำมากำหนดเป็น แนวทางการนำขอ้ มลู และสาระสำคญั มาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ในกระบวนการวิจัยในขน้ั ตอนต่าง ๆ ได้ดังน้ี เอกสาร แนวคดิ ทฤษฎี กำหนดปญั หา แนวทางการศึกษาเพอื่ ใช้ประโยชนใ์ นกระบวนการวจิ ัย สนับสนุนการสรปุ วรรณกรรม และงานวจิ ยั และความสำคัญ พฒั นากรอบ การสรา้ ง กำหนดสถติ ทิ ี่ การวิเคราะห์ และอภิปรายผล ทเี่ กี่ยวขอ้ ง ทผี่ ู้วจิ ัยศกึ ษา แนวคดิ การวจิ ัย เครอ่ื งมือวิจยั ใช้ในการวจิ ยั ข้อมลู ของปญั หา ✓ และทบทวน ✓ ✓✓ ✓ ✓ ✓ 1. แนวคิดเกี่ยวกับการ ✓ ✓✓ ✓ จดั การความรู้ ✓ ✓ 1.1 ความหมายของการ ✓ ✓ จดั การความรู้ ✓ ✓✓ ✓ ✓ 1.2 ประเภทของความรู้ ✓ 1.3 องค์ประกอบของการ ✓ ✓ ✓✓✓ จดั การความรู้ ✓ 1.4 กระบวนการจัดการ ✓✓ ความรู้ ✓ 2. แนวคิดเกี่ยวกับการ ✓ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 2.1 ความหมายของการ ✓ ✓✓✓ แลกเปล่ียนเรียนรู้ 2.2 องค์ประกอบของการ ✓ แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ 2.3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลและ สิ่งจูงใจในการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ 2.4 ปญั หาและอุปสรรคต่อ การแลกเปล่ียนเรียนรู้
24 เอกสาร แนวคดิ ทฤษฎี กำหนดปัญหา แนวทางการศกึ ษาเพือ่ ใชป้ ระโยชน์ในกระบวนการวจิ ัย สนับสนุนการสรุป วรรณกรรม และงานวิจยั และความสำคญั พฒั นากรอบ การสร้าง กำหนดสถติ ทิ ี่ การวเิ คราะห์ และอภิปรายผล ท่เี กยี่ วข้อง ทผ่ี วู้ ิจัยศึกษา แนวคดิ การวจิ ัย เคร่อื งมอื วจิ ยั ใชใ้ นการวิจยั ขอ้ มลู ของปญั หา ✓ และทบทวน ✓ ✓ ✓✓✓ ✓ ✓ 3. แนวคิดเกี่ยวกับการ ✓ ✓✓ ✓ เรียนรเู้ ปน็ ทีม 3.1 ความหมายของการ ✓ ✓ ✓✓✓ เรยี นรู้เป็นทมี ✓ ✓ 3.2 พฤติกรรมการสื่อสาร ในการเรยี นร้เู ปน็ ทีม 4. งานวิจยั ท่ีเก่ยี วข้อง จากการทบทวนเนื้อหา แนวคิด ทฤษฎี วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และกำหนดแนวทางการนำข้อมูล และ สาระสำคัญมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในกระบวนการวิจัยในขั้นตอนต่าง ๆ ผู้วิจัยสามารถนำมากำหนดเป็นกรอบ แนวคดิ ในการวจิ ัยได้ดงั น้ี
กรอบการวิจยั 25 ตวั แปรตน้ การเรียนรูเ้ ป็นทมี (Team Learning) Knowledge Sharing 1. คุณลักษณะการเรยี นรู้เป็นทีม 2. พฤติกรรมการสือ่ สารการเรยี นรเู้ ปน็ ทีม ขอ้ มลู สว่ นบุคคล (Senge, 1994) 1. เพศ 2. อายุ พฤติกรรมการแลกเปลยี่ นความรบู้ นเครือขา่ ย 3. กลมุ่ สาขาวิชา ออนไลน์ของนกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี 4. ศาสนา สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ 5. รายได้ต่อเดือน 6. สถานภาพครอบครวั แนวทางการแลกเปลยี่ นความร้บู นเครอื ขา่ ยออนไลน์ 7. ประเภทที่อยู่อาศยั ของนกั ศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรี สถาบนั อุดมศึกษาในภาคใต้ กระบวนการแลกเปลี่ยนความรบู้ นเครอื ขา่ ยออนไลน์ 1. อปุ กรณ์/เคร่ืองมือเทคโนโลยีดิจทิ ลั 2. ความถก่ี ารใชง้ านอุกรณ์เครอ่ื งมือเทคโนโลยี ดจิ ิทลั แตล่ ะครงั้ 3. ความถก่ี ารใชง้ านอกุ รณ์เครอื่ งมอื เทคโนโลยี ดจิ ทิ ลั ใน 1 สัปดาห์ 4. ช่วงเวลาท่ีใช้เครือขา่ ยออนไลน์ 5. สถานทท่ี ีใ่ ชเ้ ครอื ข่ายออนไลน์ 6. แพลตฟอร์มที่เขา้ ใช้ในการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ 7. ลกั ษณะ/กระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้
26 บทท่ี 3 วธิ ีการดำเนนิ วจิ ัย การวิจยั ครงั้ นีเ้ ป็นการวจิ ยั เชิงสำรวจ เพอื่ ศึกษาพฤตกิ รรมการแลกเปลย่ี นความร้บู นเครือขา่ ยออนไลน์ของ นกั ศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี สถาบันอดุ มศกึ ษาในภาคใต้ ประเทศไทย มวี ิธกี ารดำเนินการวจิ ยั โดยใชว้ ิธีการวิจัยแบบ ผสมผสานวิธี (Mixed method) อย่างเป็นกระบวนการและดำเนินการอย่างเป็นระบบ (Systematic) และมี ทฤษฎีรองรับตามระเบยี บวธิ ีวจิ ยั ซงึ่ ประกอบดว้ ยรายละเอียด ดังน้ี 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครือ่ งมือทใี่ ชในการวิจยั 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ขอ้ มลู และสถิตทิ ี่ใช 5. จริยธรรมการวิจยั ในมนุษย์ 1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากร และพ้ืนทีว่ ิจัยทผี่ วู้ จิ ัยใชเ้ พ่อื ตอบวตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั ประชากร ผู้วิจัยได้คัดเลือกนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล ประกอบดว้ ย มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ และมหาวทิ ยาลยั วลัยลกั ษณ์ ทกุ หลกั สตู รและทุก คณะ ทีเ่ ข้าศกึ ษาต้ังแตป่ กี ารศึกษาท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 ที่มคี วามยินยอมเขา้ ร่วมโครงการวิจัยโดยสมคั รใจ กลุ่มตัวอย่าง เป็นกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ และมหาวิทยาลัยวลัยลกั ษณ์ โดยใช้หลกั พจิ ารณา การแบ่งกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และกลุ่มวิท ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ทำเข้าศึกษาตั้งแต่ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2564 และประมาณการขนาดกลุ่มตัวอย่างตาม ตาราง Krejcie and Morgan (1970) ด้วยความเชื่อมั่น 95% โดยการเทียบบัญญัติไตรยางศ์ และผู้วิจัยใช้วิธีการ ส่มุ กลุ่มตวั อย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) (พรรณี ลีกจิ วฒั นะ, 2555: 89) จำนวน ………… โดยกลุ่มที่ไม่ต้องถูกคัดเข้าคือ กลุ่มนักศึกษาที่ไม่สามารถเข้าร่วมกระบวนการวิจัย หรือพักการศึกษา หรอื ไม่สามารถให้ข้อมลู แกผ่ วู้ ิจัยได้ และไม่สมัครใจในการเขา้ รว่ มโครงการวจิ ยั เปน็ ต้น การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้ของนักศึกษาบนเครือข่ายออนไลน์ในที่จัดการ เรยี นการสอน ในปกี ารศกึ ษา 2564 ของนักศึกษาระดบั ปริญญาตรี ผา่ นแพลตฟอรม์ ออนไลน์ท่ีใชใ้ นการศึกษาและ แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียน หรือรายวิชาที่ทำการลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2564 เท่าน้ัน
27 ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสูญหายและผิดพลาดของข้อมูลผู้วิจัยจึงทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเกินกว่าที่กำหนด จำนวน ………… ฉบบั พื้นที่วิจัย ผู้วิจัยได้คดั เลือกสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาลที่มพี ื้นที่การจัดตั้งในจังหวัดของภาคใต้ (นับตั้งแต่เริ่มการก่อตั้งมหาวิทยาลัย) จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ครอบคลุมทั้ง 5 วิทยา เขต ได้แก่ วิทยาเขตปัตตานี วิทยาเขตหาดใหญ่ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี วิทยาเขตภูเก็ต และวิทยาเขตตรัง) มหาวิทยาลัยทักษิณ (ครอบคลุมทั้ง 2 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตสงขลา และวิทยาเขตพัทลุง) และมหาวิทยาลัย วลัยลักษณ์ เป็นหน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analyzed) เพื่อศึกษาและคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าสู่ กระบวนการวจิ ยั ด้านระยะเวลา ผูว้ จิ ยั ได้วางแผนการวิจัยในระยะ 1 ปี ตง้ั แต่ เดือนธนั วาคม 2564 - เดือนธนั วาคม 2565 2. เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชในการวจิ ัย เครื่องมือที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสำหรับการศึกษาพฤติกรรมการ แลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย โดยผวู้ จิ ัยไดแ้ บ่งออกเป็น 3 ตอน คอื ตอนท่ี 1 แบบสอบถามเก่ียวกับข้อมูลทัว่ ไปและกระบวนการแลกเปล่ยี นความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของ ผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ กลุ่มสาขาวิชา ศาสนา รายได้ต่อเดือน สถานภาพครอบครัว ประเภทที่อยู่ อาศยั อปุ กรณ์/เคร่ืองมือเทคโนโลยี ความถี่การใช้งานอุปกรณ์/เครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัลแต่ละครั้ง ความถ่ีการใช้ งานอุปกรณ์/เครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัลใน 1 สัปดาห์ ช่วงเวลาที่ใช้เครือข่ายออนไลน์ สถานท่ีที่ใช้เครือข่าย ออนไลน์ แพลตฟอรม์ ท่ีเข้าใช้ในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ และลกั ษณะ/กระบวนการแลกเปล่ียนความรู้ ซึ่งมีลักษณะ เป็นคำถามชนิดเลอื กตอบ (Selected Response) จำนวน 14 ข้อ ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นทีมเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่าย ออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย ถามในประเด็นเกี่ยวกับ คุณลักษณะการเรียนรู้เป็นทีมและพฤติกรรมการสื่อสารการเรียนรู้เป็นทีม ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบประเมินค่า 5 ระดับ (Rating Scale) รวมจำนวน 35 ขอ้ เกณฑ์การแปลความหมายคาเฉลี่ยระดับพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นทีมเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้บน เครอื ข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดบั ปริญญาตรี สถาบันอดุ มศกึ ษาในภาคใต้ ประเทศไทย มีดังน้ี ระดับพฤติกรรมการเรียนรเู้ ป็นทีมเพื่อการแลกเปลีย่ นความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ คะแนน มพี ฤตกิ รรมการเรยี นรเู้ ป็นทมี เพอื่ การแลกเปลี่ยนความรูบ้ นเครือข่ายออนไลน์ในระดบั มากที่สดุ 5 มพี ฤติกรรมการเรียนรู้เปน็ ทีมเพ่ือการแลกเปลยี่ นความร้บู นเครือขา่ ยออนไลน์ในระดบั มาก 4
28 มีพฤตกิ รรมการเรยี นรเู้ ปน็ ทีมเพื่อการแลกเปลยี่ นความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ 3 มีพฤติกรรมการเรยี นร้เู ปน็ ทมี เพื่อการแลกเปล่ยี นความรู้บนเครือขา่ ยออนไลน์ในระดับน้อย 2 มพี ฤตกิ รรมการเรยี นรเู้ ป็นทมี เพอ่ื การแลกเปลีย่ นความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ในระดับน้อยทส่ี ดุ 1 โดยเกณฑ์การแปลความหมายแบบสอบถามตอนที่ 2 ค่าเฉลี่ยของระดับพฤติกรรมการเรียนรูเ้ ป็นทีมเพ่ือ การแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศ ไทย มดี ังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545: 100) คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง มีพฤตกิ รรมการเรยี นรู้เป็นทีมเพื่อการแลกเปล่ียนความรบู้ นเครือขา่ ยออนไลน์ ในระดับมากที่สดุ คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง มีพฤติกรรมการเรียนรู้เปน็ ทีมเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถงึ มีพฤติกรรมการเรยี นรู้เปน็ ทีมเพื่อการแลกเปล่ียนความรบู้ นเครือขา่ ยออนไลน์ ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลีย่ 1.51-2.50 หมายถึง มีพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นทีมเพ่ือการแลกเปล่ียนความรู้บนเครือขา่ ยออนไลน์ ในระดบั น้อย คะแนนเฉลย่ี 1.00-1.50 หมายถึง มีพฤตกิ รรมการเรียนรู้เป็นทีมเพ่ือการแลกเปล่ียนความรู้บนเครือขา่ ยออนไลน์ ในระดับน้อยท่ีสดุ ตอนที่ 3 แบบสอบถามเกี่ยวกับระดับพฤติกรรมและพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่าย ออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย ถามในประเด็นเกี่ยวกับ พฤติกรรมการแลกเปลีย่ นความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบประเมนิ คา 5 ระดับ (Rating Scale) รวมจำนวน 20 ข้อ เกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ยระดับพฤติกรรมและพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่าย ออนไลนข์ องนักศกึ ษาระดับปริญญาตรี สถาบนั อุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย มีดงั นี้ ระดับพฤตกิ รรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ คะแนน มพี ฤตกิ รรมการแลกเปล่ยี นความรู้บนเครอื ขา่ ยออนไลน์ในระดับมากทสี่ ุด 5 มพี ฤตกิ รรมการแลกเปล่ยี นความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ในระดับมาก 4 มพี ฤติกรรมการแลกเปล่ียนความร้บู นเครือข่ายออนไลน์ในระดับปานกลาง 3 มพี ฤติกรรมการแลกเปลีย่ นความรบู้ นเครือข่ายออนไลน์ในระดบั น้อย 2 มีพฤตกิ รรมการแลกเปลย่ี นความรู้บนเครอื ข่ายออนไลน์ในระดับน้อยทส่ี ุด 1
29 โดยเกณฑ์การแปลความหมายแบบสอบถามตอนที่ 3 ค่าเฉลี่ยของระดับพฤติกรรมและพฤติกรรมการ แลกเปลีย่ นความรบู้ นเครือขา่ ยออนไลน์ของนักศึกษาระดับปรญิ ญาตรี สถาบนั อดุ มศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย มี ดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 100) คะแนนเฉลีย่ 4.51-5.00 หมายถงึ มีพฤติกรรมการแลกเปล่ียนความรบู้ นเครือขา่ ยออนไลน์ในระดบั มากท่สี ดุ คะแนนเฉลีย่ 3.51-4.50 หมายถงึ มีพฤตกิ รรมการแลกเปลยี่ นความรู้บนเครอื ขา่ ยออนไลน์ในระดับมาก คะแนนเฉล่ีย 2.51-3.50 หมายถึง มพี ฤติกรรมการแลกเปลย่ี นความรู้บนเครอื ขา่ ยออนไลน์ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลย่ี 1.51-2.50 หมายถงึ มีพฤตกิ รรมการแลกเปล่ยี นความรูบ้ นเครือข่ายออนไลน์ในระดับนอ้ ย คะแนนเฉลย่ี 1.00-1.50 หมายถึง มีพฤตกิ รรมการแลกเปลี่ยนความร้บู นเครือข่ายออนไลน์ในระดับน้อยทส่ี ุด 2.1 การสรา้ งและหาคุณภาพเครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวิจัย การสร้างเครื่องมือเพื่อการศึกษาพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย ผู้วิจัยมีวิธีการดำเนินการตามลำดับและขั้นตอนอย่าง เป็นระบบ ดงั ตอไปนี้ 1. ผู้วิจัยทำการศึกษารวบรวมขอมูลต่าง ๆ จากเอกสาร ตํารา และงานวิจัยท่ีเกี่ยวของกับพฤติกรรม สารสนเทศ และพฤติกรรมการแลกเปล่ียนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ เพอื่ ใหค้ รอบคลุมตามวัตถุประสงคท่ีผู้วิจัย กำหนดไว้ และนำมาสรา้ งแบบสอบถามเพ่ือใช้ในการวิจัย 2. ผู้วิจัยทำการร่างแบบสอบถามที่ได้จัดสร้างขึ้น รวมทั้งทำการพิจารณา ตรวจสอบ แก้ไขด้านการใช้ ภาษา และจัดรปู แบบของแบบสอบถามเพื่อให้มคี วามถกู ต้อง ครอบคลุมเนอื้ หา ก่อนทำการเสนอต่อผู้ทรงคณุ วุฒิ 3. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่ได้จัดสร้างขึ้นเสนอต่อผู้ทรงคุณวฒุ ทิ างด้านพฤตกิ รรมศาสตร์ หรือพฤติกรรม สารสนเทศ ด้านสารสนเทศศึกษา ด้านการศึกษา และด้านการวิจัย รวมจำนวน 3 ท่าน เพื่อทำการประเมิน ตรวจสอบคณุ ภาพ ความถกู ตอ้ ง ให้ข้อเสนอแนะของแบบสอบถามทีใ่ ช้ในการวจิ ยั เพ่ือให้แบบสอบถามมีความตรง เชงิ เนือ้ หา (Content Validity) ทงั้ น้ผี ู้วิจยั ใชห้ ลักการพิจารณาผู้ทรงคุณวุฒิจากคุณสมบัตแิ ละ ตำแหนง่ งาน คือ มี ประสบการณ์ความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญตามด้านและสาขาทีผ่ ู้วิจยั กำหนดไว้ นอกจากนี้อาจได้รบั การแต่งตั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือวิทยากร หรือสำเร็จการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาโทขึ้นไป โดยผู้วิจัยใช้การ คดั เลือกดว้ ยวธิ ีเจาะจง (Purposive Sampling) ประกอบด้วย 3.1 ผ้ทู รงคณุ วฒุ ทิ างด้านพฤติกรรมศาสตร์ หรอื สารสนเทศศึกษา จำนวน 1 คน 3.2 ผ้ทู รงคณุ วฒุ ทิ างดา้ นสารสนเทศศึกษา จำนวน 1 คน 3.3 ผู้ทรงคณุ วฒุ ิทางดา้ นการศกึ ษา หรอื การวจิ ยั จำนวน 1 คน 4. ผู้วิจัยนําผลประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน มาทำการพิจารณาค่าดัชนีความสอดคลองระหว่าง ประเดน็ ขอ้ คําถามกับวัตถุประสงค์การวิจยั และนยิ ามศัพท์เฉพาะหรือ IOC (Index of Congruence) และทำการ
30 วิเคราะห์ความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยเลือกข้อที่มีค่า IOC ≥ 0.50 ส่วนข้อที่มีค่า IOC น้อยกว่า 0.50 ผ้วู ิจัยนำมาทำการปรบั ปรุงแก้ไขใหม่ โดยผทู้ รงคุณวฒุ ลิ งความคิดเห็น และใหคะแนนตามเกณฑ์การประเมิน ขอ้ คำถาม ดงั นี้ +1 เมอ่ื แน่ใจว่าขอ้ คําถามน้ี วัดได้ตรงกับวัตถปุ ระสงค์การวิจยั และนิยามศพั ท์เฉพาะ 0 เมื่อไมแ่ นใ่ จว่าขอ้ คําถามน้ี วัดได้ตรงกับวัตถปุ ระสงค์การวิจยั และนิยามศพั ท์เฉพาะ -1 เมอ่ื แน่ใจว่าขอ้ คำถามนี้ วัดไดไ้ ม่ตรงกบั วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัยและนยิ ามศพั ท์เฉพาะ แล้วหาคา่ เฉล่ยี ของคะแนนรายข้อโดยใชส้ ตู รดงั น้ี (พวงรตั น์ ทวีรตั น์, 2531: 124) เมือ่ IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างขอ้ คําถามกบั วตั ถปุ ระสงค์การวิจัยและนิยามศัพทเ์ ฉพาะ ∑R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผทู้ รงคณุ วฒุ ิ N แทน จำนวนผูท้ รงคณุ วุฒิ 5. ผู้วิจัยได้นำผลการวิเคราะห์ค่า IOC (Index of Congruence) และประเด็นข้อเสนอแนะของ ผู้ทรงคุณวุฒิมาทำการพิจารณา ปรากฏว่าข้อคำถามส่วนใหญ่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.6 – 1 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ผู้วิจัยได้ กำหนดไว้ และผูว้ ิจยั ไดด้ ำเนินการปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ ความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวฒุ ิเพ่ิมเตมิ ต่อไป 6. ผูว้ จิ ยั ได้ดำเนินการจัดทำแบบสอบถามท่ปี รับปรุงจากขอเสนอแนะของผทู้ รงคุณวุฒิ 7. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามไปทดลองใชกับนักศึกษา (Tryout) ชั้นปีที่ 1 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน จากมหาวทิ ยาลัยนราธวิ าสราชนครินทร์ (ซงึ่ กำลังรา่ งพระราชบญั ญตั ใิ นการเปลยี่ นสถานภาพจากมหาวิทยาลัย ของรัฐบาลไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล) รวมทั้งสอบถามความชัดเจนด้านเนื้อหา ด้านสํานวน ภาษา เพอื่ ให้ตรงกับวตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัยแล้วนำผลมาดำเนนิ การวเิ คราะห์หาคา่ ความเท่ียง (Reliability) ตาม วิธีของ Cronbach โดยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟา (α– Coefficient) (อ้างใน พรรณี ลีกิจวัฒนะ, 2553: 204) โดยใช้สตู ร ดงั น้ี เม่อื α แทน คา่ ความเทีย่ งของแบบสอบถาม k แทน จำนวนขอ้ คำถามของแบบสอบถาม ∑ แทน ผลรวม แทน ความแปรปรวนของคะแนนแต่ละขอ ���������2��� แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ ���������2���
31 8. ผลการวเิ คราะหค์ ่าความเทยี่ ง (Reliability) พบวา แบบสอบถามตอนที่ 2 พฤติกรรมการเรียนรู้เป็นทีมเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของ นักศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี สถาบนั อดุ มศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย มีคา่ ความเทีย่ ง (Reliability) เทา่ กบั ..... ค่าความเที่ยง (Reliability) ของแบบสอบถามตอนที่ 2 พฤติกรรมการเรียนรู้เป็นทีมเพื่อการแลกเปลี่ยน ความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย มีค่าเท่ากับ 0.88 แบบสอบถามตอนที่ 3 ระดับพฤติกรรมและพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของ นกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี สถาบนั อุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย มคี า่ ความเทยี่ ง (Reliability) เทา่ กับ ... ค่าความเที่ยง (Reliability) ของแบบสอบถามตอนที่ 3 ระดับพฤติกรรมและพฤติกรรมการแลกเปลี่ยน ความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย มีค่าเทากับ 0.84 - 0.91 9. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามมาทำการปรับปรุงโครงสร้างและแก้ไขข้อมูลอีกครั้งเพื่อใช้เป็นแบบสอบถามท่ี ใชใ้ นการวิจยั ตอไป สำหรับขน้ั ตอนในการสร้างเครือ่ งมอื วจิ ัย ผูว้ ิจยั สามารถแสดงได้ตามขน้ั ตอน ดังภาพที่ 3.1
32 ศึกษาทฤษฎแี ละหลกั การสรา้ งแบบสอบถาม ร่างแบบสอบถามเกย่ี วกับพฤตกิ รรมการแลกเปล่ียนความรบู้ นเครอื ข่ายออนไลน์ของ นกั ศกึ ษาระดับปริญญาตรี สถาบนั อุดมศกึ ษาในภาคใต้ ประเทศไทย ผู้วจิ ยั ตรวจสอบและ แกไ้ ขปรับปรงุ จัดรูปแบบของแบบสอบถาม ไม่ผา่ น ใหแ้มลคีะวตารผมง่าตถนกูามตวอตั งถคุปรรอะบสคงลคุม์ การวจิ ยั ตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) ของแบบสอบถามโดยผทู้ รงคณุ วฒุ ิ จำนวน 3 ทา่ น แก้ไขปรับปรุง หาคา่ ความเทยี่ ง (Reliability) จากกลุ่ม Tryout จัดฉบบั เตรียมนาํ เคร่อื งมือไปใช้จริง ภาพที่ 3.1 ผงั งานข้นั ตอนการสรา้ งเครอื่ งมอื 3. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งน้ี ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมจากเอกสาร แนวคดิ งานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้อง และ แบบสอบถาม ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบประเมินค่า 5 ระดับ (Rating scale) จากกลุ่มนกั ศึกษาช้ันปที ี่ 1 จากทุกคณะ ของสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาลที่มีพื้นที่การจัดตั้งในจังหวัดของภาคใต้ (นับตั้งแต่เริ่ม การก่อตั้ง มหาวิทยาลัย) จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ครอบคลุมทั้ง 5 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขต
33 ปัตตานี วิทยาเขตหาดใหญ่ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี วิทยาเขตภูเก็ต และวิทยาเขตตรัง) มหาวิทยาลัยทักษิณ (ครอบคลมุ ท้งั 2 วิทยาเขต ไดแ้ ก่ วทิ ยาเขตสงขลา และวทิ ยาเขตพทั ลงุ ) และมหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ ซึ่งนักศึกษา กลุ่มดังกล่าวเป็นนักศึกษาใหม่ที่ยังคงต้องมีการปรับตัวในการเรียนภายในสถาบันระดับอุดมศึกษา และต้องมีการ ปรับตัวในการจัดการเรียนการเรียนในรูปแบบของมหาวิทยาลัยอีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส สง่ ผลให้การจัดการเรียนการสอนมกี ารเปลี่ยนแปลงรูปแบบซง่ึ แตกต่างไปจากเดิม ดงั น้นั ผวู้ จิ ัยจึงคัดเลือกนักศึกษา กลุ่มดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการวิจัย โดยผู้วิจัยใช้วิธีการส่งมอบแบบสอบถาม หรือลิงก์ของแบบสอบถามออนไลน์ (Google form) ให้แก่นักศึกษาด้วยตนเอง โดยเบื้องต้นจะทำการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการ นักศึกษาของหน่วยงานคณะหรือสาขาวิชาที่นักศึกษาสังกัด (ทั้งนี้ในกระบวนการเก็บรวบรวมแบบสอบถามผู้วิจยั จะให้นักศึกษาเลือกตอบอย่างอิสระ โดยที่ผู้วิจัยจะไม่ทำการกดดัน หรือบ่งชี้คำตอบใด ๆ) ซึ่งผู้วิจัยทำการเก็บ รวบรวมข้อมูลในช่วงวนั ที่ 1 เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 – วนั ท่ี 1 เดอื นมีนาคม พ.ศ. 2565 รวมเวลา 3 เดอื น ท้ังน้ี ผู้วิจยั สามารถอธบิ ายขน้ั ตอนของการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้ ดงั นี้ 1. นําหนังสือบันทึกข้อความขอความอนเุ คราะห์ในการขอเข้าเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มนกั ศึกษาชั้นปีที่ 1 ของสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาลในภาคใต้ จำนวน 3 แห่ง จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองในช่วงวันท่ี 1 เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 – วนั ที่ 1 เดอื นมนี าคม พ.ศ. 2565 รวมเวลา 3 เดอื น โดยเบอ้ื งตน้ จะทำการติดต่อประสานงานกับผู้บริหาร หรอื เจา้ หนา้ ทฝี่ ่ายกิจการนกั ศกึ ษาของหนว่ ยงานคณะหรอื สาขาวชิ าท่นี กั ศึกษาสงั กดั เพอ่ื ขออนุญาตเข้าดำเนินการ เก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มนักศึกษา ทั้งนี้ในขณะที่ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลกับนักศึกษาจะไม่ทำการกดดัน หรอื แสดงกิริยาท่ีกอ่ ให้เกิดความไม่สบายใจ หรอื อดึ อดั ใจแก่นกั ศึกษา ซ่ึงผ้วู ิจัยจะปฏบิ ตั ิและคำนึงถงึ หลกั จริยธรรม การวิจัยในมนุษยอ์ ยเู่ สมอ 2. การเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากแบบสอบถามในครั้งนี้ ผู้วิจัยสามารถเก็บกลับคืนได้ จำนวน……..ฉบับ (เพ่ือ ป้องกันการสูญหายและผิดพลาดของข้อมูล ผู้วิจัยจึงทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเกินกว่าที่กำหนด) คิดเป็นร้อย ละ……..ของแบบสอบถามที่ได้จากการตอบทั้งหมด และทำการตรวจสอบคัดเลือกแบบสอบถาม เพื่อนำมา ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมทางสถติ ิในขนั้ ตอนตอไป เพื่อให้การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย รวมทั้งการเข้าถึงผู้ให้ข้อมูล เป็นไปอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรมอันถือเป็นบทบาทหลักที่นักวิจัยพึงมี โดยยึดหลักเกณฑ์ตามคำประกาศ เฮลซิงกิ (Declaration of Helsinki) และแนวทางการปฏิบัติการวจิ ัยทางคลินิกทดี่ ี (ICH GCP) ผ้วู จิ ัยตระหนกั และ พึงปฏิบัติตามจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเป็นไปตามระเบียบของสำนักงาน มาตรฐานการวิจัยในคน ของสำนักงานการวิจยั แห่งชาติ (วช.) โดยผูว้ ิจัยได้เข้าร่วมอบรมในหลักสูตรจรยิ ธรรมการ วิจัยในมนุษย์ จากมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ในกิจกรรมการอบรม “จรยิ ธรรมการวิจัยในมนุษย”์ เปน็ เวลา 1 วัน ทง้ั นี้ ได้รับประกาศนียบัตรรับรองการผ่านการอบรม เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 และผ่านการทดสอบตามหลักสูตร
34 หลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สำหรับนักวิจัยของสำนักงานมาตรฐานการวจิ ัยในคน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เม่ือวนั ท่ี 29 มนี าคม 2563 ตามขอ้ กำหนดของคณะกรรมการจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในมนุษย์ ทั้งนี้ในการเก็บข้อมูลมีการปกป้องสิทธิ์และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ให้ข้อมูลที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยการ แนะนำตัวผูว้ ิจัย พร้อมชี้แจงวตั ถุประสงค์ของการวจิ ัยแก่กลุม่ ตวั อย่างทกุ คน รวมถึงประโยชนท์ ี่จะเกิดขึน้ จากงาน การวิจัย พร้อมให้คำรับรองว่าจะรักษาความลับของกลุ่มตัวอย่างและข้อมูลที่ได้จะนำไปเพื่อการวิเคราะห์ใน ภาพรวมเพื่อการวิจัยเท่านั้น โดยจะไม่มีการระบุหรือเปิดเผยชื่อของกลุ่มตัวอย่าง แต่หากจำเป็นต้องมีการเอ่ยช่ือ ของกลุ่มตัวอย่างก็จะเป็นเพียงนามสมมติ นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างยังมีอิสระในการตัดสินใจเข้ามามีส่วนร่วมใน กระบวนการวิจัย นั่นคือกลุ่มตัวอย่างจะต้องเป็นผู้ที่เต็มใจให้ความร่วมมือและพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการวิจัยน้ี โดยสมัครใจ และขณะทำการเก็บข้อมูลผู้วิจัยจะให้เกียรติ เคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิของกลุ่มตัวอย่าง เช่น พูดคุย ด้วยความสุภาพ คำถามใดทกี่ ลมุ่ ตวั อย่างมีความอึกอัดใจหรือไม่ต้องการตอบ ผ้วู ิจยั จะให้อิสระแก่กลุ่มตัวอย่างโดย ไม่มีการบบี คั้น และหากมีความจำเป็นต้องมกี ารถ่ายภาพเพื่อประกอบการนำเสนอ ผลการวจิ ัยผวู้ จิ ัยจะขออนุญาต กอ่ นเสมอ หากกลุม่ ตวั อย่างไม่ยินยอมผวู้ จิ ัยจะไม่มีการถ่ายภาพ แต่จะใช้ภาพเขยี น แบบรา่ งเพ่อื อธบิ ายลักษณะใน การบรรยายถึงสิ่งที่ปรากฏแทน และนอกจากนี้ในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษา การตีความเกี่ยวกับ ข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมาต้องใหค้ วามสำคัญกับความหมาย (Meaning) ในทัศนะของกลุ่มตัวอย่าง (Emic Views) ไม่ใช่ทัศนะของผู้ศึกษา (Etic Views) และในการตีความ ผู้วิจัยพึงระวังอย่างยิ่งว่า ผลของการศึกษานั้นจะ กระทบกระเทือนหรอื ละเมิดสทิ ธิของกลมุ่ ตัวอย่างหรือผ้ถู ูกวจิ ยั หรือไม่อย่างไร เป็นตน้ 4. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และสถิตทิ ่ีใช ผูว้ ิจัยได้วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใชโ้ ปรแกรมสำเร็จรูปในการวเิ คราะห์ขอมลู ทางสถิติ ดังน้ี 1. วิเคราะห์แบบสอบถามตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปและกระบวนการแลกเปล่ียนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ ของผู้ตอบแบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์โดยใชสถติ กิ ารแจกแจงความถี่ และรอ้ ยละ สูตรสถติ ทิ ใี่ ชในการวิเคราะหข์ ้อมูล 1.1 ค่ารอ้ ยละ (Percentage) ใชสตู ร ดงั นี้ (พรรณี ลีกิจวัฒนะ, 2553: 236) PCT=������������ × 100 ������������ เม่ือ PCT แทน รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง ������������ แทน จำนวนสว่ นยอ่ ยทศ่ี กึ ษา ������������ แทน จำนวนใหญ่ทงั้ หมด
35 2. วิเคราะห์แบบสอบถามตอนที่ 2 พฤติกรรมการเรียนรู้เป็นทีมเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่าย ออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และคา่ สถิติ z-test สตู รสถิติที่ใชในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 คาเฉลี่ย (Mean) ใชสูตร ดังนี้ (พรรณี ลกี จิ วฒั นะ, 2553: 244-245) เมื่อ แทน ค่าเฉลย่ี ∑ x แทน ผลรวมของคะแนน n แทน จำนวนขอ้ มูลทง้ั หมด 2.2 สวนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใชวเิ คราะห์ข้อมูลรว่ มกับคาเฉลี่ยเพื่อแสดง ลักษณะการกระจายของคะแนนในแตล่ ะขอ ใชสูตร ดงั นี้ (พรรณี ลีกจิ วฒั นะ, 2553: 247) เม่ือ S แทน สวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ∑ แทน ผลรวม X แทน คะแนนแต่ละตวั ในชุดข้อมลู แทน คาเฉลีย่ ของคะแนนในชดุ ข้อมูล n แทน จำนวนข้อมลู ทั้งหมด (ขนาดของกลุมตวั อย่าง) 2.3 ค่าสถติ ิ z-test ใชว้ ิเคราะหแ์ ละเปรยี บเทียบการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ตามกลุ่มศาสตร์สาขาวิชา (กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ และกลมุ่ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ใชสตู ร ดงั นี้ (ยทุ ธ ไกยวรรณ์, 2549: 133) Z = ���̅���− ������������ ������ √������ เมือ่ ������1 แทน ค่าเฉล่ียของประชากรหรอื เกณฑ์ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตวั อย่าง ������ แทน ความเบ่ียงเบนมาตรฐานของประชากร n แทน จำนวนข้อมลู ทัง้ หมด (ขนาดของกลุมตวั อย่าง)
36 3. วิเคราะห์แบบสอบถามตอนที่ 3 ระดับพฤติกรรมและพฤติกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่าย ออนไลน์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ ประเทศไทย โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และค่าสถิติ z-test สตู รสถติ ิท่ีใชในการวเิ คราะห์ข้อมูล 3.1 คาเฉลีย่ (Mean) ใชสูตร ดังนี้ (พรรณี ลีกจิ วฒั นะ, 2553: 244-245) เมือ่ แทน ค่าเฉล่ีย ∑ x แทน ผลรวมของคะแนน n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 3.2 สวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใชวเิ คราะห์ข้อมลู ร่วมกับคาเฉลี่ยเพื่อแสดง ลักษณะการกระจายของคะแนนในแตล่ ะขอ ใชสูตร ดังนี้ (พรรณี ลกี ิจวฒั นะ, 2553: 247) เม่ือ S แทน สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ แทน ผลรวม X แทน คะแนนแต่ละตวั ในชุดข้อมลู แทน คาเฉลย่ี ของคะแนนในชดุ ขอ้ มูล n แทน จำนวนข้อมูลทงั้ หมด (ขนาดของกลุมตวั อย่าง) 3.3 คา่ สถติ ิ z-test ใช้วิเคราะหแ์ ละเปรียบเทยี บการแลกเปลีย่ นความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ของ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ตามกลุ่มศาสตร์สาขาวิชา (กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มมนุษยศาสตร์และ สงั คมศาสตร์ และกลมุ่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ใชสูตร ดงั นี้ (ยทุ ธ ไกยวรรณ์, 2549: 133) Z = ���̅���− ������������ ������ √������ เมือ่ ������1 แทน ค่าเฉล่ียของประชากรหรอื เกณฑ์ X แทน ค่าเฉล่ียของกลุ่มตวั อย่าง ������ แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากร n แทน จำนวนขอ้ มูลทง้ั หมด (ขนาดของกลุมตวั อย่าง)
37 5. จรยิ ธรรมการวจิ ัยในมนุษย์ 1. เพื่อให้งานวิจัยในครั้งนี้ เป็นไปอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรมอันถือเป็นบทบาทหลักที่นักวิจัยพึงมี ผู้วิจัยตระหนักและพึงปฏิบัติตามจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์โดยเป็นไปตามระเบียบของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเป็นไปตามระเบียบของสำนักงานมาตรฐานการวิจัยในคน ของสำนักงานการ วิจัยแห่งชาติ (วช.) ผู้วิจัยจึงเข้าร่วมอบรมในหลักสูตรจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตาม ข้อกำหนดของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนษุ ย์ ในกิจกรรมการอบรม “จรยิ ธรรมการวจิ ัยในมนุษย”์ เป็น เวลา 1 วัน ทง้ั นไ้ี ด้รบั ประกาศนียบัตรรบั รองการผา่ นการอบรม เมือ่ วนั ที่ 1 กรกฎาคม 2560 และผ่านการทดสอบ ตามหลกั สูตรหลักจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในมนุษย์ สำหรับนกั วจิ ยั ของสำนักงานมาตรฐานการวจิ ยั ในคน ของสำนักงาน การวิจัยแห่งชาติ (วช.) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2563 ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ พร้อมทงั้ ไดร้ ับประกาศนยี บัตรรบั รองผา่ นการทดสอบ 2. โครงการวิจัยเรื่องนี้ ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่โครงการ REC Number : …………………….โดยยึดหลักเกณฑ์ตามคำประกาศ เฮลซิงกิ (Declaration of Helsinki) และแนวทางการปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกที่ดี ( ICH GCP) เม่ือ วันท…ี่ ………………….. 3. นำเสนอเค้าโครงการวิจัย (Research Proposal) ต่อคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อขอความเห็นชอบด้านจริยธรรมการวิจัย โดยเป็นไปตามกรอบระเบียบของ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ (ขัน้ ตอนเร่มิ ดำเนินการหลงั จากการจดั ทำร่างเคา้ โครงการวจิ ัย) 4. ในการเก็บข้อมูลมีการปกป้องสิทธิ์และสร้างความมั่นใจให้แก่กลุ่มตัวอย่าง โดยการแนะนำตัวผู้วิจัย พร้อมชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยแก่กลุ่มตัวอย่าง รวมถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากงานการวิจัย พร้อมให้คำ รับรองว่าจะรักษาความลับและเก็บรักษาข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างโดยจะเก็บข้อมูลที่เป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ใน คอมพวิ เตอร์ทม่ี กี ารต้ังรหัสผ่าน และผวู้ จิ ยั เป็นผูท้ ราบรหสั ผา่ นเพือ่ เข้าถึงขอ้ มูลดังกล่าวเพยี งผเู้ ดียว สำหรับในส่วน ที่เป็นเอกสารข้อมูลผู้วิจัยจะเก็บไว้ในตู้เอกสารเฉพาะ ที่มีการปิดล็อคและผู้วิจัยเป็นเพียงผู้เดียวที่มีกุญแจเปิดตู้ เอกสาร และในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ให้ข้อมูล ผู้วิจัยจะเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ให้ข้อมูลได้ และผู้วิจัยจะระมัดระวังไม่ให้บุคคลอื่น ๆ เข้าถึงหรือรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ให้ข้อมูล ตลอดระยะเวลาในการทำ วจิ ยั 5. ในส่วนของข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้ ผู้วิจัยจะนำไปทำการวิเคราะห์ในภาพรวมเพื่อการวิจัยเท่านั้น โดย จะไมม่ ีการระบหุ รือเปดิ เผยชื่อของกลุม่ ตัวอยา่ ง แต่หากจำเปน็ ต้องมกี ารเอ่ยชื่อของกลุ่มตวั อย่างก็จะเป็นเพียงนาม สมมติ และนอกจากนี้ในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษา การตีความเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมาตอ้ ง ให้ความสำคัญกับความหมาย (Meaning) ในทัศนะของกลุ่มตัวอย่าง (Emic Views) ไม่ใช่ทัศนะของผู้ศึกษา (Etic
38 Views) และในการตีความผู้วิจัยพึงระวังอย่างยิ่งว่า ผลของการศึกษานั้นจะกระทบกระเทือนหรือละเมิดสิทธิของ กลุ่มตัวอย่างหรอื ผู้ถูกวจิ ัยหรอื ไมอ่ ยา่ งไร เปน็ ต้น 6. กลุม่ ตวั อย่างมีอสิ ระในการตัดสินใจเข้ามามีส่วนรว่ มในกระบวนการวจิ ัย นน่ั คอื กลุ่มตัวอย่างจะต้องเป็น ผู้ที่เต็มใจให้ความร่วมมือและพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการวิจัยนี้ด้วยความสมัครใจ โดยการรับทราบแบบชี้แจง ข้อมูลสำหรับอาสาสมัครโครงการวิจัยที่ใช้แบบสอบถามตอบด้วยตนเอง และลงนามในเอกสารแสดงความยนิ ยอม อาสาสมัครวจิ ัยโดยได้รับการบอกกล่าว และขณะทำการเก็บขอ้ มลู ผูว้ จิ ยั จะให้เกยี รติ เคารพในศักดิศ์ รแี ละสิทธิของ กลมุ่ ตัวอย่าง เชน่ พดู คุยดว้ ยความสุภาพ คำถามใดที่กลุ่มตัวอยา่ งมีความอึดอัดใจหรือไม่ต้องการตอบ ผู้วิจัยจะให้ อิสระแก่กลุ่มตัวอย่างโดยไม่มีการบีบคั้น และหากมีความจำเป็นต้องมีการถ่ายภาพเพื่อประกอบการนำเสนอ ผลการวจิ ัยผูว้ ิจัยจะขออนญุ าตก่อนเสมอ หากกลมุ่ ตัวอยา่ งไมย่ ินยอมผวู้ จิ ยั จะไมม่ ีการถ่ายภาพ แต่จะใช้ภาพเขียน แบบรา่ งเพอื่ อธบิ ายลักษณะในการบรรยายถึงสิง่ ท่ีปรากฏแทน 7. หากกลุ่มตัวอย่างมีข้อสงสัยเกี่ยวกับงานวิจัยชิ้นนี้ สามารถติดต่อผู้วิจัย อ.ดร.นวพล แก้วสุวรรณ สาขาวิชาการจัดการสารสนเทศ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ปัตตานี เบอร์โทรศัพท์ 099-475-8884 หรืออีเมล์ [email protected] และหากมีปัญหาสงสัยเกี่ยวกับสิทธิ ขณะเข้าร่วมการวิจัยน้ี หรือต้องการทราบข้อมูลเพ่ิมเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ งานหลักสูตรและพัฒนา คณาจารย์ กองบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี 94000 หรือทางโทรศัพท์ หมายเลข (073) 331251
ตารางที่ 3.1 การเปรียบเทียบระหว่างวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัย วิธีการวจิ ยั ประชา แตล่ ะระยะ วตั ถุประสงค์ วิธกี ารวจิ ัย ปร 1) เพ่ือศึกษาระดบั 1) ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 1) บทความว พฤติกรรมการนำความรู้ เก่ยี วกบั พฤติกรรมสารสนเทศ และพฤติกรรม และเอกสารท ไปใชใ้ นการแลกเปล่ยี น การแลกเปลี่ยนความรบู้ นเครือข่ายออนไลน์ ความรบู้ นเค ความรบู้ นเครอื ข่าย 2) วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรปุ ประเด็นโดย ฐานขอ้ มลู อ ออนไลนข์ องนักศกึ ษา ใชว้ ธิ ีการวเิ คราะหเ์ น้อื หา (Content (ThaiLIS) da ระดับปริญญาตรี analysis) และจัดหมวดหมู่ (Classification Scholar เป็น สถาบนั อดุ มศึกษาใน approach) ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การแลกเปลยี่ น 2) นกั ศึกษาร ภาคใต้ ความรบู้ นเครือข่ายออนไลน์ โดยใชว้ ธิ กี าร หลักสตู รและ วิจัยเชงิ คุณภาพ การศึกษา 25 3) สร้างเครื่องมอื วิจยั โดยนำผลจากการ ของรฐั บาล โ วิเคราะหเ์ น้อื หาในขอ้ ท่ี 2) มาใชเ้ ปน็ ข้อมูลใน ตาราง Krejc การสรา้ งแบบสอบถามเพอ่ื เปน็ เครื่องมือท่ีใช้ เชื่อม่ัน 95% ในการวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั การแลกเปลีย่ น 3) ผู้ทรงคุณว ความรู้บนเครือข่ายออนไลน์ ถูกตอ้ งของเน 4) ประเมนิ คณุ ภาพความถูกต้องของเนอื้ หา เคร่ืองมอื วิจัย และคา่ IOC ของเคร่อื งมอื วจิ ัยจาก ผู้ทรงคณุ วุฒิ 5) เก็บรวบรวมข้อมูลจากนกั ศกึ ษาระดบั ปริญญาตรชี ัน้ ปีท่ี 1 ทกุ หลักสตู รและทุกคณะ ทีเ่ ขา้ ศึกษาในปีการศกึ ษา 2564 ของ มหาวทิ ยาลยั ในกำกบั ของรฐั บาล
39 ากร/กลุ่มเป้าหมาย เคร่ืองมือและการวเิ คราะห์ และผลจากการดำเนินการวิจัย ระชากร/กลุม่ เป้าหมาย เครื่องมอื และการวิเคราะห์ ผลจากการดำเนนิ การ แตล่ ะวตั ถุประสงค์ วิชาการ บทความวิจยั งานวิจัย 1) แบบสอบถามการ สารสนเทศที่เกีย่ วข้องกับ ที่เกยี่ วขอ้ งกับการแลกเปลย่ี น แลกเปลย่ี นความรบู้ น ระดับพฤตกิ รรมของการ ครอื ข่ายออนไลน์ในชว่ ง 5 ปี ใน เครือข่ายออนไลน์ นำความรไู้ ปใชใ้ นการ อาทิ Thai Library Network 2) วเิ คราะหข์ อ้ มูลดว้ ยสถติ ิเชงิ แลกเปลยี่ นความรู้บน atabase และ Google พรรณนา อาทิ ความถี่ ร้อยละ เครือข่ายออนไลนข์ อง นตน้ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบีย่ งเบน นักศกึ ษาระดบั ปรญิ ญา ระดบั ปรญิ ญาตรชี นั้ ปที ่ี 1 ทกุ มาตรฐาน ตรี สถาบันอุดมศึกษาใน ะทุกคณะ ทเี่ ข้าศึกษาใน ปี ภาคใต้ และนำไปใชเ้ ปน็ 564 ของมหาวิทยาลยั ในกำกบั ข้อมูลพน้ื ฐานสำหรับการ โดยกำหนดกลมุ่ ตัวอยา่ งตาม วจิ ยั ในวัตถปุ ระสงคข์ ้อท่ี cie and Morgan (1970) ความ 2 % วฒุ ใิ นการตรวจสอบความ นอ้ื หา และค่า IOC ของ ย จำนวน 3 คน
6) วเิ คราะหข์ อ้ มลู ทไ่ี ด้จากการเกบ็ รวบรวม ข้อมูลจากเคร่อื งมอื วิจยั ดว้ ยค่าสถติ ใิ นเชิง ปรมิ าณ 7) สรุปผลการวจิ ัยในวัตถุประสงคข์ อ้ ที่ 1 และนำเสนอผลการวจิ ยั ในรูปแบบตาราง พรอ้ มคำอธิบายตาราง 2) เพือ่ ศกึ ษาพฤตกิ รรม 1) นำผลที่ไดจ้ ากวัตถุประสงค์ขอ้ ท่ี 1 1) นกั ศกึ ษาร การแลกเปลยี่ นความรู้ บนเครือข่ายออนไลน์ เกย่ี วกับประเด็นการนำความรู้ไปใชใ้ นการ หลกั สตู รและ ของนกั ศกึ ษาระดับ ปรญิ ญา ตรี แลกเปลย่ี นความรู้บนเครือขา่ ยออนไลน์มาใช้ การศกึ ษา 25 สถาบนั อดุ มศึกษาใน ภาคใต้ เปน็ ขอ้ มูลพื้นฐานในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ของรฐั บาล โ ตามวตั ถปุ ระสงค์ขอ้ ที่ 2 ตาราง Krejc 2) สร้างแบบสอบถามทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การ เชือ่ ม่ัน 95% แลกเปลย่ี นความรู้บนเครอื ข่ายออนไลน์ 2) ผู้ทรงคณุ ว 3) ประเมินคณุ ภาพคา่ IOC เครื่องมอื วิจัยจาก เคร่อื งมอื วิจยั ผทู้ รงคณุ วุฒิ 4) เก็บรวบรวมข้อมลู จากนักศึกษาระดับ ปรญิ ญาตรชี ั้นปีที่ 1 ทกุ หลักสตู รและทุกคณะ ท่ีเข้าศึกษาในปีการศึกษาที่ 2564 ของ มหาวิทยาลยั ในกำกบั ของรฐั บาล 5) วเิ คราะห์ข้อมลู ดว้ ยคา่ สถิติเชิงปรมิ าณท่ีได้ จากแบบสอบถาม 6) สรุปผลการวจิ ัยในวตั ถปุ ระสงคข์ อ้ ที่ 2 และนำเสนอผลการวิจยั ในรปู แบบตาราง พรอ้ มคำอธิบายตาราง
40 ระดบั ปรญิ ญาตรชี นั้ ปที ่ี 1 ทุก 1) แบบสอบถามการ สารสนเทศท่ีเกีย่ วขอ้ งกับ ะทกุ คณะ ท่ีเขา้ ศึกษาในปี แลกเปลย่ี นความรบู้ น พฤติกรรมการแลกเปลยี่ น 564 ของมหาวิทยาลัยในกำกบั เครอื ขา่ ยออนไลน์ ความรบู้ นเครอื ข่าย โดยกำหนดกลุ่มตวั อยา่ งตาม 2) วิเคราะห์ข้อมูลดว้ ยสถติ เิ ชิง ออนไลน์ของนักศกึ ษา cie and Morgan (1970) ความ พรรณนา อาทิ ความถี่ รอ้ ยละ ระดบั ปรญิ ญาตรี % คา่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบน สถาบนั อุดมศึกษาใน วุฒิในการประเมนิ คา่ IOC ของ มาตรฐาน ภาคใต้ ย จำนวน 3 คน
3) เพ่ือเปรยี บเทียบการ 1) นำผลที่ไดจ้ ากวัตุประสงค์ขอ้ ที่ 1 และ 2 1) ผลทไี่ ดจ้ า แลกเปลยี่ นความร้บู น มาใช้ในการวิเคราะหเ์ พือ่ เปรยี บเทยี บการ ระดับพฤติกร เครอื ข่ายออนไลน์ของ แลกเปลย่ี นความร้บู นเครอื ขา่ ยออนไลน์ แลกเปลยี่ นค นักศกึ ษาระดับปรญิ ญา 2) สรปุ ผลการวิจยั ในวัตถปุ ระสงคข์ ้อที่ 3 นกั ศกึ ษาระด ตรีสถาบันอดุ มศึกษาใน และนำเสนอผลการวจิ ยั ในรูปแบบตาราง สถาบันอดุ มศ ภาคใตต้ ามกลมุ่ เปรยี บเทยี บพร้อมคำอธิบายตาราง ประสงค์ข้อท สาขาวิชา แลกเปลยี่ นค นกั ศึกษาระด สถาบันอดุ มศ 4) เพอ่ื กำหนดแนว 1) นำผลทไี่ ดจ้ ากวตั ปุ ระสงคข์ ้อ 1, 2 และ3 1) ผลท่ไี ดจ้ า ทางการแลกเปลี่ยน มาใชใ้ นการกำหนดแนวทางทางการ ระดบั พฤติกร ความร้บู นเครอื ข่าย แลกเปลย่ี นความร้บู นเครอื ข่ายออนไลน์ โดย แลกเปลยี่ นค ออนไลน์ของนักศึกษา ใชว้ ิธกี ารวจิ ัยเชงิ คุณภาพ นกั ศึกษาระด ระดับปรญิ ญาตรี 2) สรปุ ผลการกำหนดแนวทางการ สถาบันอุดมศ สถาบันอุดมศกึ ษาใน แลกเปลย่ี นความรูบ้ นเครือขา่ ยออนไลนข์ อง ขอ้ ท่ี 2 การศ ภาคใต้ นักศึกษาระดบั ปริญญาตรี สถาบนั อดุ มศึกษา ความรู้บนเค ในภาคใต้ ระดับปรญิ ญ ภาคใต้ และจ เปรยี บเทยี บ เครือข่ายออ ปรญิ ญาตรสี กล่มุ สาขาวขิ
41 ากวัตุประสงคข์ อ้ ท่ี 1 การศึกษา 1) วเิ คราะห์ขอ้ มูลดว้ ยสถิติเชิง ผลการเปรยี บเทยี บของ รรมการนำความรไู้ ปใช้ในการ พรรณนา อาทิ คา่ เฉลีย่ และ การแลกเปลย่ี นความรูบ้ น ความรู้บนเครอื ข่ายออนไลน์ของ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน เครอื ข่ายออนไลนข์ อง ดับปรญิ ญาตรี 2) วิเคราะห์เพ่อื เปรียบเทยี บ นักศกึ ษาระดบั ปริญญา ศกึ ษาในภาคใต้ และจากวัตุ การแลกเปลี่ยนความรบู้ น ตรี ไดแ้ ก่ กลมุ่ ท่ี 2 การศึกษาพฤติกรรมการ เครือข่ายออนไลนข์ อง วทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ กลุ่ม ความรบู้ นเครือข่ายออนไลนข์ อง นักศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี มนษุ ยศาสตรแ์ ละ ดบั ปรญิ ญา ตรี ด้วยค่าสถติ ิ z-test สังคมศาสตร์ และกลมุ่ ศกึ ษาในภาคใต้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละ การวิเคราะหข์ อ้ มลู เชงิ เทคโนโลยี ากวัตปุ ระสงค์ขอ้ ท่ี 1 การศกึ ษา คุณภาพ ด้วยการวเิ คราะห์ แนวทางการแลกเปลี่ยน รรมการนำความรไู้ ปใช้ในการ เนอ้ื หา (Content analysis) ความรู้บนเครือขา่ ย ความรูบ้ นเครอื ขา่ ยออนไลน์ของ และจดั หมวดหมู่ประเดน็ ออนไลน์ของนกั ศึกษา ดบั ปรญิ ญาตรี เนอ้ื หา (Classification ระดับปริญญาตรี ที่ ศกึ ษาในภาคใต้ จากวตั ปุ ระสงค์ approach) เหมาะสมกับบริบทของ ศึกษาพฤตกิ รรมการแลกเปลย่ี น ของมหาวทิ ยาลัยใน ครือข่ายออนไลนข์ องนกั ศึกษา ภาคใต้ สำหรับสถาบัน ญา ตรี สถาบนั อดุ มศึกษาใน บริการสารเทศ หรอื จากวตั ปุ ระสงค์ขอ้ ท่ี 3 การ หน่วยงานทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั บการแลกเปลย่ี นความรู้บน การบรกิ ารสารสนเทศ ท้ัง อนไลนข์ องนักศกึ ษาระดบั ภาครัฐบาลและ สถาบนั อุดมศกึ ษาในภาคใตต้ าม ภาคเอกชน ขา
42 ประวัตคิ ณะผู้วิจยั หวั หน้าโครงการวิจัย 1. ชื่อ-สกลุ (ภาษาไทย) นายคมกรชิ รมุ ดอน (ภาษาอังกฤษ) Mr.Komgrit Rumdon 2. เลขหมายประจำตวั ประชาชน 1 4101 00283 33 5 3. ตำแหนง่ ปจั จบุ ัน บรรณารกั ษ์ 5. หน่วยงานและสถานที่อยู่ที่ติดต่อได้สะดวก สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ปตั ตานี 181 ถ.เจริญประดิษฐ์ ต.รูสะมิแล อ.เมืองปตั ตานี จ.ปัตตานี 94000 โทรศัพท/์ โทรสาร 073-331300 E-mail [email protected] 6. ประวัตกิ ารศกึ ษา ระดบั การศกึ ษา ปที สี่ ำเรจ็ การศกึ ษา สาขาวชิ า สถาบนั ปริญญาโท 2562 สารสนเทศศาสตรมหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ (สารสนเทศศาสตร)์ ปรญิ ญาตรี 2558 ศลิ ปศาสตรบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ (สารสนเทศศาสตร์) 7. ผลงานทางวชิ าการ คมกริช รุมดอน และชลภัสส์ วงษ์ประเสริฐ (2562). การตัดสินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทย: กรณศี กึ ษาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ. การประชมุ วิชาการเสนอผลงานวิจัยระดบั บัณฑิตศึกษาแห่งชาติ ครัง้ ที่ 48 ร่วมกบั การประชมุ วิชาการบัณฑิตศกึ ษา ระดับชาติและนานาชาตคิ ร้ังที่ 9, 223: H12-H18. Rumdon, K. & Wongprasert, C. (2017). Political Information Communication of Thai People: Literature Review. Proceeding in 13th International Conference on Humanities and Social Sciences (IC-HUSO), Faculty of Humanities and Social Sciences, Khon Kaen University.
43 ผ้รู ว่ มวิจยั 1. ชอื่ – สกุล (ภาษาไทย) ดร.นวพล แกว้ สวุ รรณ (ภาษาอังกฤษ) Dr.Nawapon Kewsuwun 2. เลขหมายประจำตัวประชาชน 1 9002 00050 27 3 3. รหัสประจำตัวนกั วจิ ัยแห่งชาติ (ถา้ ม)ี 1410813 4. ตำแหนง่ ปจั จุบนั อาจารย์ หลักสตู รศิลปศาสตรบัณฑติ สาขาวชิ าการจดั การสารสนเทศ คณะมนษุ ยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี 5. หน่วยงานและสถานที่อยู่ที่ติดต่อได้สะดวก สาขาวิชาการจัดการสารสนเทศ คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี 181 ถ.เจรญิ ประดิษฐ์ ต.รูสะมิแล อ.เมอื งปัตตานี จ.ปัตตานี 94000 โทรศัพท/์ โทรสาร 073-331304 ต่อ 3057 โทรสาร 073-312232 E-mail [email protected] 6. ประวตั ิการศึกษา ปที สี่ ำเร็จการศกึ ษา สาขาวชิ าทส่ี ำเรจ็ การศกึ ษา จบจากสถาบนั ระดบั การศกึ ษา 2562 ปรัชญาดุษฎบี ัณฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ปริญญาเอก (สารสนเทศศึกษา) ปริญญาโท 2558 ครุศาสตรอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยพี ระ ปรญิ ญาตรี มหาบณั ฑติ จอมเกล้าเจา้ คุณทหาร (เทคโนโลยีทางการศึกษา) ลาดกระบัง 2555 บริหารธรุ กิจบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยี (ระบบสารสนเทศทาง ราชมงคลตะวนั ออก คอมพิวเตอร์) 7. สาขาวิชาการที่มีความชำนาญพิเศษ (แตกตา่ งจากวุฒิการศึกษา) ระบุสาขาวิชาการ การจัดการสารสนเทศและความรู้ สารสนเทศศาสตร์ การบรกิ ารสารสนเทศ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ 8. ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยระบุสถานภาพ ในการทำการวิจัยว่าเป็นผู้อำนวยการแผนงานวิจัย หัวหน้าโครงการวิจัยหรือผู้ร่วมวิจัยในแต่ละข้อเสนอ การวิจยั เปน็ ตน้ 8.1 ผู้อำนวยการแผนงานวิจัย : ชอ่ื แผนงานวจิ ัย.........ไมม่ .ี ......... 8.2 หัวหน้าโครงการวิจยั : ช่อื โครงการวจิ ัยดงั น้ี 1. การจัดการความรู้ด้วยวงจร SECI Model เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่ยั่งยืนตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของนักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ตำบลรูสะมิแล จังหวดั ปตั ตานี (ทุนส่วนตวั )
44 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศสู่การประยุกต์ใช้ประกอบการ สอนของครูโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาปตั ตานี จังหวัดปัตตานี (ทุน สว่ นตวั ) 3. พฤติกรรมสารสนเทศด้านสุขภาพในการดูแลสุขภาวะเพื่อการป้องกันโรคเบาหวานของ ผู้สงู อายใุ นสงั คมพหุวัฒนธรรม (ทนุ ส่วนตัว) 8.3 งานวจิ ัยที่ทำเสร็จแล้ว : ชอ่ื ข้อเสนอการวิจัย ปีทีพ่ ิมพ์ การเผยแพร่ และแหลง่ ทุน 1. จิรัชยา เจียวก๊ก ฐาณิดาภัทฐ์ แสงทอง และนวพล แก้วสุวรรณ. (2563). รายงานวิจัยฉบับ สมบูรณ์ประเมินกจิ กรรมการขับเคลื่อนงานพัฒนาตลาดเทศบาลเมืองปตั ตานีให้เป็นอุทยานอาหารเพ่ือสุขภาพ. สงขลา: สถาบันการจัดการระบบสุขภาพ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 8.4 งานวิจัยที่กำลังทำ : แหลง่ ทุน สถานภาพในการวจิ ัย ข้อเสนอการวิจัย ทุนสว่ นตัว 50% การจัดการความรู้ดว้ ยวงจร SECI ทุนส่วนตัว (หัวหน้าโครงการวจิ ัย) Model เพอื่ พัฒนากระบวนการ เรียนรทู้ ่ยี ง่ั ยืนตามหลกั ปรชั ญา ทุนสว่ นตัว 80% เศรษฐกิจพอเพยี ง ของนักศึกษา (หวั หนา้ โครงการวจิ ัย) การศึกษานอกระบบและการศึกษา ทนุ พฒั นาศักยภาพการทำวิจัย ตามอัธยาศัย ตำบลรสู ะมแิ ล จงั หวัด ของอาจารย์ร่นุ ใหมส่ ำนัก 80% ปัตตานี (หัวหนา้ โครงการวจิ ยั ) ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลต่อการยอมรับการนำ คณะกรรมการการวจิ ัยแหง่ ชาติ เทคโนโลยีสารสนเทศส่กู าร 100% ประยุกตใ์ ช้ประกอบการสอนของครู (หัวหนา้ โครงการวจิ ยั ) โรงเรยี นขยายโอกาส สังกดั สำนกั งาน เขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา ปัตตานี จงั หวัดปตั ตานี พฤติกรรมสารสนเทศด้านสขุ ภาพใน การดูแลสขุ ภาวะเพอื่ การป้องกัน โรคเบาหวานของผสู้ ูงอายใุ นสังคมพหุ วฒั นธรรม รูปแบบการถา่ ยโอนความรู้เพ่ือ ส่งเสรมิ สมรรถนะการแข่งขนั ของกลมุ่ วิสาหกจิ ชมุ ชนปัตตานี
Search
Read the Text Version
- 1 - 47
Pages: