Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา

ประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา

Published by preamsak2547, 2020-07-31 10:51:39

Description: ประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

ประชาธปิ ไตย ในพระพุทธศาสนา –+

หลักประชาธปิ ไตยท่วั ไปในพระพทุ ธศาสนา –––– พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประชาธปิ ไตยมาตั้งแต่เร่ิมแรก กอ่ นที่ พระพทุ ธเจ้าจะทรงมอบให้พระสงฆ์เป็นใหญใ่ นกจิ การทั้งปวงเสยี อีก 1. พระพุทธศาสนามีพระธรรมวนิ ัยเปน็ ธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คือ คำสอนทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงแสดง พระวนิ ัยคอื คำสั่งอนั เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ิท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงบัญญัตขิ ้ึนเม่ือรวมกนั เรียกว่า พระ ธรรมวินยั 2. มีการกำหนดลกั ษณะของศาสนาไว้เรยี บร้อย ไม่ปลอ่ ยให้เป็นไป ตามยถากรรม ลักษณะของพระพทุ ธศาสนาคือสายกลาง ไม่ซา้ ยสุด ไม่ ขวาสดุ ทางสายกลางน้เี ปน็ ครรลอง อาจปฏิบตั ิคอ่ นขา้ งเครง่ ครัดก็ได้ โดยใชส้ ิทธใิ นการแสวงหาอดเิ รกลาภตามท่ีทรงอนญุ าตไว้ ในสมัย ต่อมา เรยี กแนวกลางๆ ของพระพุทธศาสนาว่า วิภัชชวาที คอื ศาสนาที่ กล่าวจำแนกแจกแจง ตามความเปน็ จรงิ บางอยา่ งกล่าวยืนยันโดยส่วน เดยี วได้ บางอยา่ งกล่าวจำแนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ ไป

3. พระพทุ ธศาสนา มีความเสมอภาคภายใต้พระธรรมวินยั บคุ คลท่ี เป็นวรรณะกษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแตเ่ ดมิ รวมท้ังคนวรรณะ ตำ่ กว่านั้น เชน่ พวกจณั ฑาล พวกปุกกุสะคนเกบ็ ขยะ และพวกทาส เมื่อ เข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาอยา่ งถูกตอ้ งแล้ว มคี วามเท่าเทยี ม กัน คอื ปฏบิ ัติตามสกิ ขาบทเท่ากัน และเคารพกนั ตามลำดบั อาวุโส คือผู้ อปุ สมบทภายหลังเคารพผูอ้ ปุ สมบทก่อน 4. พระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา มสี ิทธิ เสรภี าพภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั เชน่ ในฐานะภิกษุเจ้าถนิ่ จะมีสิทธไิ ด้รับของแจกก่อนภกิ ษุอาคนั ตุกะ ภิกษุ ท่ีจำพรรษาอยูด่ ว้ ยกันมีสิทธไิ ด้รับของแจกตามลำดับพรรษา มีสิทธริ บั กฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจวี รตลอด 4 เดอื นฤดหู นาว เท่าเทยี มกัน นอกจากนน้ั ยังมีเสรภี าพท่จี ะเดินทางไปไหนมาไหนได้ จะ อยจู่ ำพรรษาวัดใดก็ได้เลือกปฏบิ ัติกรรมฐานข้อใด ถอื ธดุ งควตั รข้อใดก็ ได้ทง้ั สิน้ ฃ 5. มกี ารแบ่งอำนาจ พระเถระผู้ใหญท่ ำหนา้ ที่บรหิ ารปกครองหมู่ คณะ การบัญญตั ิพระวินัย พระพุทธเจา้ ทรงบัญญัตเิ อง เช่นมภี ิกษผุ ู้ทำ ผดิ มาสอบสวนแลว้ จงึ ทรงบัญญัติพระวนิ ัย ส่วนการตัดสินคดีตามพระ วินัยทรงบญั ญัติแลว้ เปน็ หน้าทขี่ องพระวินยั ธรรมซึ่งเท่ากับศาล 6. พระพุทธศาสนามหี ลักเสยี งข้างมาก คือ ใช้เสียงขา้ งมาก เป็น เกณฑ์ตดั สิน เรียกว่า วิธเี ยภุยยสิกา การตดั สนิ โดยใชเ้ สยี งข้างมาก ฝา่ ยใดไดร้ ับเสยี งข้างมากสนับสนนุ ฝา่ ยน้ันเป็นฝา่ ยชนะคดี

หลกั ประชาธิปไตยในการที่พระพุทธเจ้า ทรงมอบความเปน็ ใหญแ่ กส่ งฆ์ การมอบความเป็นใหญ่แก่สงฆ์มีลกั ษณะตรงกับหลัก ประชาธปิ ไตยหลายประการ สว่ นมากเปน็ เรอื่ งสงั ฆกรรม คือการประชุม กันทำกจิ สงฆ์อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ให้สำเร็จ การทำสังฆกรรมประกอบด้วย สว่ นสำคัญ 5 ประการ ถ้าทำผดิ พลาดประการใดประการหน่งึ จะทำ ให้สงั ฆกรรมน้ันเสียไป ใชไ้ ม่ได้ ไม่มีผล คือเปน็ โมฆะ สว่ นสำคัญ 5 ประการมีดงั นี้คอื 1 จำนวนสงฆอ์ ยา่ งต่ำทีเ่ ข้าประชมุ การกำหนดจำนวนสงฆผ์ ู้เข้า ประชมุ อยา่ งต่ำวา่ จะทำสังฆกรรมอยา่ งใดไดบ้ ้างมี 5 ประเภท คือ 1.1 ภิกษุ 4 รปู เขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆ์จตรุ วรรค 1.2 ภกิ ษุ 5 รปู เขา้ ประชุม เรียกวา่ สงฆ์ปัญจวรรค 1.3 ภกิ ษุ 10 รูป เข้าประชุม เรียกวา่ สงฆท์ สวรรค 1.4 ภกิ ษุ 20 รูปเขา้ ประชุม เรียกว่า สงฆ์วีสติวรรค 1.5 ภกิ ษุกว่า 20 รปู เขา้ ประชมุ เรียกว่า อติเรกวสี ตวิ รรค

2 สถานทปี่ ระชุมของสงฆ์เพอ่ื ทำสงั ฆกรรม เรยี กว่า สีมา แปลวา่ เขตแดน สีมา หมายถึงพน้ื ดิน ไมใ่ ช่อาคาร อาคารจะสรา้ งเปน็ รปู ทรง อยา่ งไรหรือไมม่ ีอาคารเลยกไ็ ด้ สมี ามี 2 ประเภทใหญ่ๆ คอื พัทธสีมา สมี าทีผ่ ูกแลว้ และอพัทธสีมา สมี าท่ีไม่ตอ้ งผูก พทั ธสีมามีหลายชนิด จะ กล่าวเฉพาะวิสุงคามสีมา แปลว่าสมี าในหมูบ่ า้ น ซ่งึ แยกออกต่างหาก จากอาณาเขตของประเทศ การขอวสิ ุงคามสมี าตอ้ งขอจากประมุขของ รัฐ ในประเทศไทยขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัว ใน ประเทศมาเลเซีย ขอพระราชทานจากพระราชาธบิ ดแี ห่งมาเลเซีย ใน ประเทศสหรฐั อเมริกา ขอจากผวู้ า่ การมลรฐั ทว่ี ัดตั้งอยู่ ไม่ใชข่ อจาก ประธานาธิบดี เพราะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อขอแล้วตอ้ งทำพิธี ถอนสีมาในบรเิ วณน้ัน ซ่ึงอาจเคยเป็นวดั ผกู พัทธสีมามาแล้วในสมยั โบราณกไ็ ด้ แล้วทำพิธีผูกพทั ธสีมา สีมาซง่ึ ทำสังฆกรรมผูกแลว้ นี้จะคง อยูต่ ลอดไปจนกวา่ โลกนี้แตกสลาย กลายเป็นธลุ ีคอสมิค ยกเวน้ จะทำ พิธถี อนสมี าเสีย อพทั ธสีมามมี ากมายหลายชนิดเช่นเดียวกัน จะกลา่ วเฉพาะ สีมาน้ำ หรอื เรียกว่า อุทกุกเขปสีมา แปลว่า สมี าชว่ั วักน้ำสาด สีมาชนดิ น้ไี ม่ต้องผูกแตส่ รา้ งอาคาร หรอื อยู่ในเรือแพ ภายในหนองบึง แมน่ ้ำ ทะเล ซ่ึงมีน้ำขังตลอดปี และอยูห่ ่างจากฝง่ั ประมาณ 2 ชวั่ วกั นำ้ สาด ของบุรุษผมู้ ีกำลงั ปานกลาง สมี าน้ำน้ใี ชท้ ำสงั ฆกรรมไดเ้ หมอื น วิสุงคามสีมาเช่นกัน สว่ นมากนิยมทำกนั ในวดั หรือสำนักสงฆ์ท่ียงั ไม่ได้ ขอพระราชทานวิสุงคามสมี า การกำหนดสีมาข้นึ นี้ เพ่อื ป้องกันไม่ใหใ้ คร เขา้ มายุ่งเก่ียว ทำให้สังฆกรรมเสยี ไป หรอื มเี จตนามาทำลายสงฆท์ ราบ ผ้ปู ระกาศมีรูปเดียวหรอื 2 รปู ก็ได้ เรียกว่า พระคู่สังฆกรรมโดยตรง เพราะภายในสีมาน้ัน สงฆ์มีอำนาจสิทธขิ าด ใครจะอ้างเปน็ เจ้าของไมไ่ ด้

3 การประกาศเรื่องท่ปี ระชุม และการประกาศขอความเห็นชอบ สงฆ์จะ ประชุมกนั ทำสังฆกรรมเร่อื งอะไรก็ตาม จะตอ้ งมกี ารประกาศเรือ่ งน้ันให้ สงฆ์ทราบ ผู้ประกาศมรี ูปเดียวหรอื 2 รูป กไ็ ด้ เรียกวา่ พระค่สู วดหรอื พระกรรมวาจาจารย์ เมอ่ื ประกาศให้ทราบแล้ว ยังมีการประกาศขอ ความเหน็ ชอบจากสงฆ์อกี ถา้ เปน็ เรอ่ื งไมส่ ำคัญนัก มกี ารประกาศให้ ทราบ 1 ครง้ั และประกาศขอความเห็นชอบอีก 1 ครัง้ เรยี กว่า ญตั ติ ทตุ ยิ กรรม เช่น การประกาศมอบผ้ากฐินแก่ภิกษุรปู ใดรูปหนึง่ การ แต่งตั้งภิกษุเป็นเจา้ หนา้ ที่ทำการสงฆต์ า่ งๆ ถา้ เปน็ เร่อื งสำคัญมาก มี การประกาศใหท้ ราบ 1 ครั้ง และประกาศขอความเหน็ อีก 3 คร้ัง รวม เปน็ 4 ครงั้ เรยี กวา่ ญัตติจตุตถกรรม เช่นการให้อปุ สมบท การลงโทษ ภกิ ษุผู้ประพฤตมิ ชิ อบ 7 อยา่ ง มตี ัชชนียกรรม (การตำหนิโทษ) เป็นตน้ การยกโทษเมอ่ื ภกิ ษนุ ัน้ ประพฤตติ นดีแล้วและการแต่งต้ังภิกษใุ ห้เป็น ผสู้ อนภกิ ษุณี เป็นต้น 4 สิทธขิ องภกิ ษุผเู้ ขา้ ประชุม ภกิ ษุผู้เขา้ ร่วมประชุมทำสังฆกรรมทุก รูปมสี ิทธแิ สดงความคดิ เหน็ ท้ังในทางเห็นดว้ ยและในทางคัดคา้ น ตามปกตเิ มื่อภกิ ษุผูป้ ระกาศ หรอื พระคู่สวดถามความคดิ เหน็ ของที่ ประชุม ถา้ เห็นดว้ ย ให้ใช้วธิ ีน่ิง ถ้าไม่เห็นดว้ ยใหค้ ดั คา้ นขน้ึ จะต้องมีการ ทำความเขา้ ใจกนั จนกวา่ จะยอมเห็นด้วย ถ้าภิกษุผคู้ ัดค้าน ยงั คงยนื กรานไมเ่ ห็นด้วย การทำสังฆกรรมนั้นๆ เช่น การอุปสมบท หรือการ มอบผา้ กฐนิ ย่อมไม่สมบรู ณ์ จึงเห็นไดว้ า่ มติของทป่ี ระชุมตอ้ งเปน็ เอก ฉันทค์ ือเหน็ พร้อมกันทกุ รูป 5 มติที่ประชุม การทำสังฆกรรมท้ังหมด มติของทปี่ ระชุมตอ้ งเป็น เอกฉนั ท์ คือเป็นทีย่ อมรับของภิกษทุ ุกรปู ท้ังน้ีเพราะในสงั ฆมณฑลน้ัน ภิกษทุ ้ังหลายต้องอยรู่ ่วมกัน มคี วามไว้เนื้อเช่ือใจกัน กลา่ วคอื มีศีลและ มีความเห็นเหมอื น ๆ กนั จงึ จะมีความสามัคคี สบื ต่อพระพทุ ธศาสนาได้

อยา่ งถาวร แต่ในบางกรณี เม่ือภกิ ษุมีความเห็นแตกตา่ งกันเปน็ สอง ฝ่ายและมจี ำนวนมากด้วยกันตอ้ งหาวิธีระงบั โดยวิธจี ับฉลาก หรอื การ ลงคะแนนเพ่อื ดวู ่าฝา่ ยไหนได้เสียงข้างมาก กต็ ดั สินไปตามเสียงขา้ ง มากน้ัน วธิ ีนเ้ี รยี กวา่ เยภุยยสิกา การถอื เสยี งขา้ งมากเป็นประมาณ ตามหลักประชาธิปไตยทัว่ ไป ซึ่งแสดงวา่ มติท่ีประชมุ ไม่ได้ใช้มติเอก ฉนั ทเ์ สมอไป ลกั ษณะอนื่ ๆ ที่แสดงถงึ ความเป็นประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา 1 พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตใหภ้ กิ ษศุ กึ ษาพระพุทธศาสนาดว้ ยภาษา ใด ๆ ก็ได้ คือศกึ ษาด้วยภาษาทตี่ นเองรูด้ ีท่ีสดุ ไม่ให้ผูกขาดศึกษาด้วย ภาษาเดียว เหมือนศาสนาพราหมณท์ ี่ต้องศึกษาด้วยภาษาสนั สกฤต เพียงภาษาเดียว แต่การท่ีคณะสงฆ์ไทยใช้ภาษาบาลเี ป็นหลัก กเ็ พือ่ สอบ ทานความถกู ต้องในกรณีท่ีมีความสงสัยเท่าน้ัน สว่ นการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาจะใชภ้ าษาทอ้ งถ่ินใด ๆ ก็ได้ 2 พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆป์ ฏิบัติคลอ้ ยตามกฎหมาย ของประเทศท่ีตนอาศัยอยู่ การปฏิบตั ใิ ด ๆ ที่ไม่มหี ้ามไว้ในศีลของภกิ ษุ แตผ่ ดิ กฎหมายของประเทศน้นั ๆ ภกิ ษุก็กระทำไม่ได้ ขอ้ น้ที ำให้ภิกษุ สามารถอยไู่ ด้ในทกุ ประเทศโดยไมม่ คี วามขดั แย้งกับรัฐบาล และ ประชาชนของประเทศนั้น ๆ 3 กอ่ นปรินิพพาน พระพุทธเจา้ ทรงอนุญาตไว้ว่า ถา้ สงฆ์ปรารถนา จะถอนสิกขาบทเลก็ นอ้ ย(คือ เลิกศีลข้อเลก็ น้อย) เสียกไ็ ด้ พระสงฆ์ฝ่าย เถรวาทตกลงกันไม่ได้วา่ ข้อใดเป็นสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย จึงมมี ตไิ มใ่ หถ้ อน สิกขาบทใด ๆ ท้งั สนิ้ ส่วนพระสงฆฝ์ ่ายมหายานมีมติให้ถอนสิกขาบทท่ี เห็นว่าเลก็ น้อยได้ เม่อื กาลเวลาล่วงไปกย็ ่ิงถอนมากข้นึ ทกุ ที การปฏบิ ัติ ระหว่างพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทกบั ฝ่ายมหายานจึงแตกต่างกันมากยิ่งข้นึ

หลกั การพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การวิทยาศาสตร์ หลักการของพระพุทธศาสนากับหลักการของวิทยาศาสตรม์ ที ั้ง สว่ นทส่ี อดคล้อง และส่วนที่แตกตา่ งกัน ดงั ตอ่ ไปน้ี ความ สอดคล้องกนั ของหลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลักการ วทิ ยาศาสตร์ 1. ในดา้ นความเชื่อ (Confidence) หลักการวทิ ยาศาสตร์ ถือ หลักวา่ จะเช่อื อะไรนั้นจะต้องมกี ารพสิ จู นใ์ ห้เห็นจรงิ ได้เสียกอ่ น วิทยาศาสตรเ์ ช่ือในเหตผุ ล ไม่เช่ืออะไรลอย ๆ และต้องมหี ลักฐานมา ยนื ยัน วทิ ยาศาสตร์ไมอ่ าศัยศรทั ธาแตอ่ าศยั เหตุผล เช่ือการทดลองวา่ ให้ความจรงิ แก่เราได้ แตไ่ มเ่ ชอ่ื การดลบันดาลของสิง่ ศกั ด์ิสทิ ธิ์ เพราะ ทุกอยา่ งดำเนินอย่างมีกฎเกณฑ์ มเี หตผุ ล และวทิ ยาศาสตรอ์ าศยั ปัญญาและเหตุผลเปน็ ตัวตัดสินความจริง วิทยาศาสตร์มคี วามเชื่อว่า สรรพสงิ่ ในจักรวาลลว้ นดำเนนิ ไปอย่างมีเหตุผล มีความเป็นระเบียบ และมีกฎเกณฑ์ทแี่ นน่ อน หลักการทางพระพทุ ธศาสนา มหี ลกั ความเชื่อเชน่ เดยี วกบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ ไมไ่ ด้สอนให้มนุษย์เชอ่ื และศรทั ธาอย่างงมงายใน อทิ ธิปาฏหิ ารยิ ์ และอาเทศนาปาฏหิ ารยิ ์ แต่สอนใหศ้ รัทธาในอนสุ าสนี ปาฏหิ าริย์ ทจ่ี ะกอ่ ให้เกดิ ปัญญาในการแก้ทุกข์แก้ปญั หาชวี ิต ไมส่ อนให้ เชื่อให้ศรัทธาในสง่ิ ท่อี ยนู่ อกเหนือประสาทสัมผัสเช่นเดียวกับ วทิ ยาศาสตร์ สอนใหม้ นุษย์นำเอาหลกั ศรทั ธาโยงไปหาการพิสจู น์ด้วย ประสบการณ์ ด้วยปญั ญา และด้วยการปฏิบตั ิ ดังหลักของความเช่อื ใน “กาลามสตู ร” คืออยา่ เชอ่ื เพียงเพราะให้ฟังตามกันมา อยา่ เช่อื เพยี ง เพราะได้เรียนตามกนั มา

อย่าเชอื่ เพยี งเพราะไดถ้ ือปฏิบตั ิสืบต่อกันมา อย่าเชอ่ื เพยี งเพราะเสียงเลา่ ลือ อย่าเชอื่ เพยี งเพราะอา้ งตำรา อย่าเชอ่ื เพียงเพราะตรรกะ หรอื นึกคิดเอาเอง อย่าเชอ่ื เพียงเพราะอนุมานหรือคาดคะเนเอา อย่าเชอ่ื เพยี งเพราะคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล อยา่ เชือ่ เพียงเพราะตรงกับทฤษฎีของตนหรอื ความเหน็ ของตน อย่าเชื่อ เพียงเพราะรูปลักษณะน่าเชอ่ื อย่าเชอ่ื เพยี งเพราะทา่ นเป็นสมณะหรือเป็นครอู าจารยข์ องเรา ในหลักกาลามสตู รนี้ พระพทุ ธเจ้ายงั ตรสั ตอ่ ไปวา่ จะตอ้ งรู้เข้าใจ ด้วยวา่ ส่งิ เหล่านีเ้ ปน็ กุศล หรืออกุศล ถ้ารู้ว่าเปน็ อกศุ ล มีโทษ ไมเ่ ป็น ประโยชน์ ทำให้เกดิ ทุกข์ พึงละเสีย ถ้ารูว้ า่ เปน็ กศุ ล มีคณุ เปน็ ประโยชน์ เปน็ ไปเพอ่ื ความสุข ก็ใหถ้ ือปฏบิ ัติ นนั่ คอื ศรัทธาหรือความเชื่อท่ี ก่อใหเ้ กดิ ปญั ญา

2. ในด้านความรู้ (Wisdom) ทั้งหลักการทางวิทยาศาสตร์และ หลักการของพระพุทธศาสนา ยอมรบั ความรู้ที่ไดจ้ ากประสบการณ์ หมายถงึ การที่ตา หู จมกู ล้ิน กาย ได้ประสบกับความรู้สึกนึกคดิ เช่น รสู้ กึ ดใี จ รสู้ ึกอยากได้ เป็นต้น วิทยาศาสตร์เรมิ่ ต้นจากประสบการณค์ ือ จากการที่ได้พบเห็นสิง่ ตา่ ง ๆ แลว้ เกิดความอยากรู้อยากเห็นกแ็ สวงหา คำอธิบาย วทิ ยาศาสตร์ไม่เช่ือหรอื ยึดถืออะไรล่วงหนา้ อยา่ งตายตวั แต่ จะอาศัยการทดสอบด้วยประสบการณส์ บื สาวไปเรื่อย ๆ จะไมอ่ ้างอิงถึง สิ่งศกั ด์สิ ิทธ์ิใด ๆ ทีอ่ ย่นู อกเหนือประสบการณ์และการทดลอง วทิ ยาศาสตร์แสวงหาความจรงิ สากล (Truth) ได้จากฐานท่เี ป็นความ จรงิ เฉพาะองคค์ วามรใู้ นทางวิทยาศาสตร์ได้จากประสบการณ์ ความรู้ ใดทอี่ ยนู่ อกขอบเขตของประสบการณไ์ มถ่ อื ว่าเป็นความรทู้ าง วิทยาศาสตร์พระพุทธเจ้ากท็ รงเริ่มคิดจากประสบการณ์คอื ประสบการณ์ท่ีได้เหน็ ความเจบ็ ความแก่ ความตาย และทีส่ ำคญั ทีส่ ุด คอื ความทุกข์ พระองคม์ ีพระประสงคท์ ี่จะค้นหาสาเหตุของทกุ ข์ในการ ค้นหาน้ี พระองค์มิไดเ้ ช่ืออะไรล่วงหนา้ อยา่ งตายตวั ไมท่ รงเช่ือวา่ มีพระ ผเู้ ปน็ เจา้ หรอื ส่ิงศักดสิ์ ทิ ธใ์ิ ด ๆ ทจี่ ะใหค้ ำตอบไดแ้ ตไ่ ดท้ รงทดลองโดย อาศัยประสบการณ์ของพระองคเ์ องดงั เป็นทที่ ราบกนั ดอี ยู่แล้ว หลกั การพระพุทธศาสนาและหลักการทางวิทยาศาสตร์มีส่วนที่ ตา่ งกันในเรือ่ งนี้คอื วทิ ยาศาสตรเ์ น้นความสนใจกบั ปัญหาทเ่ี กดิ ขึ้นจาก ประสบการณด์ ้านประสาทสัมผัส (ตา หู จมูก ลิน้ กาย) ส่วน พระพุทธศาสนาเนน้ ความสนใจกับปญั หาที่เกิดทางจติ ใจ หลักการทาง พระพุทธศาสนามสี ว่ นคล้ายคลึงกับหลักการทางวทิ ยาศาสตร์ในหลาย ประการ เชน่ ในขณะท่มี นี กั วิทยาศาสตร์กลมุ่ หนึ่งมุง่ แสวงหาความจรงิ ของธรรมชาตทิ ่ีเรียกวา่ วิทยาศาสตรบ์ ริสทุ ธิ์ (Pure Science) และมี นักวทิ ยาศาสตรอ์ ีกกลุ่มหนึ่งมุ่งแสวงหาความรทู้ ีจ่ ะนำมากอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อมนษุ ย์ท่ีเรียกว่า วิทยาศาสตร์ประยุกต์

หลักการพระพุทธศาสนากเ็ ชน่ เดียวกัน พระพทุ ธเจ้าตรสั รู้พระ สัทธรรมเพ่อื สอนให้มนษุ ย์เกดิ ปัญญา 2 ทางคอื ทางแรก สอนใหเ้ กิด ความรู้ความเข้าใจที่ถกู ต้องในธรรมชาตแิ ละในกฎธรรมชาติ เช่น สอน ใหร้ ู้หลักอิทัปปัจจยตา หลกั ไตรลักษณ์ หลักอริยสัจ หลักเบญจขนั ธ์ ทางทีส่ อง สอนให้เกิดความรู้ความเข้าใจในคุณค่าทางจริยธรรม เพอื่ นำไปใชไ้ ปปฏบิ ัตใิ ห้เกิดผลดีตอ่ ตนเอง ต่อสังคม และต่อธรรมชาติท่ี เรยี กวา่ ไตรสิกขา สอนให้ละเวน้ ความชว่ั สอนใหก้ ระทำความดี และ สอนให้ทำจติ ใจใหส้ งบบริสุทธิ์ อยา่ งไรก็ตามหลกั การพระพุทธศาสนาจะมีฐานะคล้ายกบั วทิ ยาศาสตร์บริสทุ ธ์ิ แตจ่ ริยศาสตรแ์ นวพุทธไมเ่ หมือนกับวิทยาศาสตร์ ประยุกต์ ดังท่านพระธรรมปิฎก แสดงความเห็นไว้ในการบรรยายเร่ือง พระพทุ ธศาสนาในฐานะรากฐานของวิทยาศาสตร์ตอนหนึ่งวา่ “วิทยาศาสตร์นำเอาความรู้จากกฎธรรมชาติ โดยสอนให้มนษุ ย์ร้จู กั ใช้เทคโนโลยี เพ่อื ควบคุมธรรมชาติ สว่ นปรัชญาพทุ ธสอนใหม้ นษุ ย์นำ สจั ธรรมมาสร้างจริยธรรมเพ่ือดำเนินชวี ติ ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ สอนให้มนษุ ยใ์ ชป้ ญั ญา ในการแกป้ ญั หาชวี ิตและพัฒนาคุณภาพชวี ติ ”

ความแตกตา่ งของหลักการพระพทุ ธศาสนากบั หลักการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. มุง่ เข้าใจปรากฎการณ์ทางธรรมชาติหลักการทางวิทยาศาสตร์ มงุ่ เข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกดิ ข้ึน ตอ้ งการรูว้ า่ อะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผลท่ีตามมา เช่น เมือ่ เกิดฟา้ ผา่ ต้องร้อู ะไรคอื สาเหตขุ องฟ้าผา่ และผลทต่ี ามมาหลังจากฟา้ ผ่าแล้วจะเปน็ อย่างไร หลักการ พระพทุ ธศาสนาก็ม่งุ เข้าใจปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ เช่นเดยี วกัน แต่ต่าง ตรงท่ี พระพทุ ธศาสนาเนน้ เป็นพเิ ศษเกยี่ วกบั วถิ ีชวี ติ ของมนุษย์ มากกว่ากฎเก่ยี วกบั ส่ิงท่ไี ร้ชีวติ จดุ หมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คอื สอนใหค้ นเปน็ คนดีข้นึ พัฒนาขน้ึ สมบรู ณข์ ้นึ 2. ต้องการเรียนรกู้ ฎธรรมชาติ หลักการทางวทิ ยาศาสตร์ต้องการ เรยี นร้กู ฎธรรมชาตแิ ละหาทางควบคมุ ธรรมชาติ หรือเอาชนะธรรมชาติ พดู อีกอยา่ งหน่งึ กค็ ือ วิทยาศาสตรเ์ น้นการควบคมุ ธรรมชาติภายนอก มงุ่ แก้ปัญหาภายนอกวิทยาศาสตร์ถอื ว่าการพสิ จู น์ทดลองทาง วิทยาศาสตร์เปน็ สิง่ ท่นี ำมาแสดงให้สาธารณชนประจักษช์ ดั เปน็ หลักฐานยืนยันในสิง่ ที่คน้ พบนั้นได้ จึงจะเป็นการยอมรบั ในวงการ วทิ ยาศาสตร์ หลักการพระพุทธศาสนาเป็นการทดสอบความร้สู ึกทุกข์ หรอื ไมเ่ ป็น ทกุ ข์ ซึ่งเปน็ สง่ิ ท่ีประจักษช์ ัดในจิตใจเฉพาะตน ไม่สามารถตีแผ่ให้ สาธารณชนประจักษด์ ้วยสายตา แตพ่ ิสูจน์ทดลองได้ด้วยความรสู้ กึ ใน จติ ใจ และหลกั การพระพุทธศาสนาไม่ไดเ้ น้นในเร่อื งให้สาธารณชน ยอมรับหรอื ไมย่ อมรับ มุ่งใหศ้ ึกษาเข้าไปในจิตใจตนเอง แตม่ ุ่งแสวงหา ความจริงจากท้งั ภายนอกและภายในตวั มนุษย์อันเป็นเหตุที่ทำให้เกดิ ปญั หา ทางด้านจิตวิญญาณอนั เป็นผลกระทบตอ่ การดำรงชีวติ และตอ่ คุณภาพชวี ติ สอนใหค้ นควบคุมภายในจิตใจตวั เอง ลำพงั แต่ ความสามารถทีค่ วบคุมธรรมชาติได้ ไมอ่ าจทำให้ความสงบสุขเกิดขน้ึ ใน โลกมนุษย์ มนษุ ยต์ อ้ งรจู้ กั ควบคมุ ตนเอง ให้มจี ิตใจดงี ามด้วย สันตสิ ุข

ท่ีแทจ้ รงิ จึงจะเกดิ ขึ้นได้ และสอนมนษุ ย์ดำรงชีวติ ให้สอดคล้อง กลมกลนื กบั ธรรมชาตสิ ิง่ แวดลอ้ ม 3. ยอมรับโลกแหง่ สสาร (Matter) สสาร หมายถึง ธรรมชาตแิ ละ สรรพสิง่ ทัง้ หลายท่ีมอี ยจู่ รงิ รวมทัง้ ปรากฏการณ์และความเป็นจริง ตามภาวะวสิ ยั (ObjectiveReality) ดว้ ย ซ่ึงสรรพส่งิ เหล่าน้ีมีอยู่ ตา่ งหากจากตวั เรา เป็นอสิ ระจากตัวเรา และเป็นส่ิงท่สี ะท้อนข้ึนใน จติ สำนกึ ของคนเราเมอ่ื ได้สัมผสั มัน อนั ทำให้ไดร้ บั รู้ถึงความมอี ยู่ของ สงิ่ นัน้ ๆ กล่าวโดยทั่วไปแลว้ สสารมคี ณุ ลักษณะ 3 ประการคือ 1) เคล่อื นไหว (Moving) อย่เู สมอ 2) เปลี่ยนแปลง (Changing) อย่เู สมอ 3) การเคลอ่ื นไหวและการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวนั้น มิใช่เป็น การเคลอ่ื นไหวเปลีย่ นแปลงอย่างส่งเดช แต่หากเป็นการเคลื่อนไหว เปล่ยี นแปลงอย่างมกี ฎเกณฑ์ท่เี รยี กกันว่า กฎแหง่ ธรรมชาติ (Laws of Natires) วิทยาศาสตรย์ อมรับโลกแห่งสสารซ่งึ เทียบไดก้ บั “รูปธรรม” ใน ความหมายของพระพทุ ธศาสนา อันหมายถึงสิง่ ท่ีมอี ยู่จรงิ ทางภาววสิ ัย ทอ่ี วัยวะสัมผัสของมนษุ ย์สัมผัสได้ วทิ ยาศาสตร์มุ่งศึกษาด้านสสารและ พลังงาน ยอมรับโลกแหง่ สสาร ทรี่ บั รู้ดว้ ยประสาทสมั ผัสทั้ง 5 วา่ มจี ริง โลกทีอ่ ยู่พ้นจากนัน้ วิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับ สว่ นแนวคดิ ทาง พระพุทธศาสนานี้ ชี้ว่าสจั ธรรมสงู สุด (นิพพาน) ซึ่งเป็นสภาวะที่ ประสาทสัมผสั ของมนุษย์ปุถุชนทีเ่ ต็มไปดว้ ยกิเลส ตัณหา ไม่สามารถ รับรูไ้ ด้ พระพุทธศาสนาแบ่งส่ิงทมี่ ีอยจู่ ริงของสองพวกใหญ่ ๆ คือ “สงั ขตธรรม” (ส่งิ ทีป่ จั จยั ปรุงแตง่ ) ไดแ้ ก่ สสารและ “อสงั ขตธรรม” (สง่ิ ที่ปจั จยั มไิ ด้ปรุงแตง่ ) คือ นิพพาน วทิ ยาศาสตรย์ อมรับวา่ สังขต ธรรมมจี ริง แต่อสังขตธรรมอย่เู หนือการรบั รูข้ องวิทยาศาสตร์

สจั ธรรมในพระพุทธศาสนานนั้ มที ง้ั ทสี่ ามารถแสดงให้เห็นประจักษ์ เปน็ สาธารณะไดแ้ ละไม่สามารถแสดงให้ประจักษเ์ ป็นสาธารณะได้ แต่ แสดงโดยการประจักษ์ในตนเองได้ (หมายถึงมีท้ังท่ีสามารถรับรดู้ ว้ ย ประสาทสัมผสั และรบั รูด้ ว้ ยใจ) ความจริงระดบั ต้น ๆ และระดับกลาง ๆ ใคร ๆ ก็อาจเขา้ ใจและเห็นจริงได้ เช่น คนโลภมาก ๆ อิจฉามาก ๆ ไมม่ ี ความสงบสุขแหง่ จติ ใจอย่างไรบ้าง คนทม่ี ีเมตตา ไมป่ รารถนาร้ายต่อ ใคร ๆ มคี วามสขุ ไม่มเี วร ไม่มภี ัย อย่างไรบ้าง ความจริงเหลา่ นี้ ล้วน สามารถแสดงให้ประจกั ษไ์ ด้ ชใ้ี ห้ดูตัวอย่างได้ แตป่ รมัตถธรรม อัน สงู สุดนัน้ ผทู้ ่ีได้พบแลว้ ยากจะอธบิ ายใหค้ นอ่ืนเข้าใจได้ เป็นสภาวะทผ่ี ้รู ู้ เอง เหน็ เอง จะพึงประจักษ์เฉพาะตวั 4. มุ่งความจริงมาตีแผ่ วทิ ยาศาสตร์น้ันแสวงหาความรู้จาก ธรรมชาติและจากกฎธรรมชาตทิ ี่มอี ยู่ภายนอกตวั มนุษย์ (มงุ่ เน้นทาง วตั ถุหรือสสาร) ไม่ไดส้ นใจเรื่องศีลธรรม เร่ืองความดีความช่วั สนใจ เพียงคน้ คว้าเอาความจรงิ มาตแี ผใ่ หป้ ระจักษ์เพยี งดา้ นเดียว เช่น วิทยาศาสตร์พบเรอ่ื งการระเบดิ แต่ควรระเบดิ อะไร ไม่ควรระเบดิ อะไร ไมอ่ ย่ใู นขอบขา่ ยของวทิ ยาศาสตร์ การค้นพบทางวิทยาศาสตรจ์ งึ มที ั้ง คณุ อนนั ตแ์ ละมโี ทษมหันต์ กระบวนการผลิตทางวิทยาศาสตรก์ อ่ ให้เกิด ผลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม คำสอนทางพระพุทธศาสนานัน้ เน้นเรอ่ื ง ศีลธรรม ความดคี วามชัว่ มงุ่ ให้มนษุ ย์มีความสขุ เปน็ ลำดบั ขนึ้ ไปเรือ่ ย ๆ จนถึงความสงบสขุ อนั สงู สดุ คอื นิพพาน ฉะนั้นกระบวนการปฏบิ ตั ิ ธรรมในพทุ ธศาสนาจึงส่งเสริมให้มนษุ ยอ์ นรุ ักษธ์ รรมชาติ อนรุ ักษ์ ส่งิ แวดล้อม

คำสอนทางพระพุทธศาสนานัน้ เนน้ เรื่องศลี ธรรม ความดีความชัว่ มุ่งให้มนุษย์มีความสขุ เป็นลำดับขนึ้ ไปเรอื่ ย ๆ จนถึงความ สงบสุข อนั สูงสุดคอื นิพพาน ฉะนั้นกระบวนการปฏบิ ตั ิธรรมในพุทธ ศาสนาจงึ ส่งเสรมิ ใหม้ นษุ ยอ์ นุรักษธ์ รรมชาติ อนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ ม

การคดิ ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนากับการคิดแบบ วิทยาศาสตร์ การคดิ ตามนัยแหง่ พระพทุ ธศาสนา การคิดตามนัยแห่ง พระพุทธศาสนา เป็นการศกึ ษาถึงวิธกี ารแก้ปญั หาตามแนว พระพุทธศาสนา ทีเ่ รียกวา่ วธิ ีการแกป้ ัญหาแบบอริยสัจ มีดังนีค้ อื 1. ขนั้ กำหนดรทู้ ุกข์ การกำหนดร้ทู กุ ข์หรือการกำหนดปญั หาว่าคอื อะไร มขี อบเขตของปัญหาแค่ไหน หน้าท่ที ่ีควรทำในขั้นแรกคือให้ เผชญิ หนา้ กับปัญหา แล้วกำหนดรูส้ ภาพและขอบเขตของปญั หานั้นให้ ได้ ข้อสำคญั คือ อยา่ หลบปญั หาหรือคดิ ว่าปัญหาจะหมดไปเองโดยท่เี รา ไม่ตอ้ งทำอะไร หน้าทีใ่ นข้ันนเ้ี หมือนกบั การทหี่ มอตรวจอาการของคนไข้ เพอ่ื ให้รูว้ ่าเป็นโรคอะไร ท่ีสว่ นไหนของรา่ งกาย ลุกลามไปมากนอ้ ย เพยี งใด ในธัมมจักกัปปวตั ตนสตู ร มตี วั อย่างการกำหนดรู้ทกุ ข์ตาม แนวทางของพุทธพจน์ทีว่ ่า “เกิดเปน็ ทกุ ข์ แก่เปน็ ทุกข์ ตายเปน็ ทุกข…์ ปรารถนาสง่ิ ใดไม่ได้สง่ิ นน้ั เป็นทุกข์” 2. ขั้นสบื สาวสมุทัย ไดแ้ ก่เหตขุ องทุกข์หรอื สาเหตขุ องปัญหา แล้ว กำจัดใหห้ มดไป ขน้ั นเี้ หมือนกบั หมอวนิ ิจฉัยสมฏุ ฐานของโรคกอ่ นลง มือรักษา ตัวอยา่ งสาเหตุของปญั หาที่พระพุทธเจา้ แสดงไว้คอื ตณั หา ได้แก่ กามตณั หา ภวตัณหา และวภิ วตณั หา 3. ขนั้ นโิ รธ ได้แกค่ วามดบั ทุกข์ หรอื สภาพทไ่ี ร้ปญั หา ซ่ึงทำให้สำเร็จ เป็นจรงิ ข้ึนมา ในข้นั นีต้ อ้ งตงั้ สมมตฐิ านว่าสภาพไร้ปัญหานัน้ คืออะไร เขา้ ถงึ ได้หรอื ไม่ โดยวิธใี ด เหมอื กบั การทหี่ มอตอ้ งคาดว่าโรคนีร้ กั ษาให้ หายขาดไดห้ รือไม่ ใช้เวลารักษานานเท่าไร ตัวอย่างเชน่ นพิ พาน คือ การดับทุกขท์ ั้งปวงเปน็ ส่ิงท่เี ราสามารถบรรลุถงึ ไดใ้ นชาตินดี้ ว้ ยการ เจริญสติพฒั นาปญั ญาเพื่อตดั อวิชชา และดับตณั หา 4. ขัน้ เจริญมรรค ได้แก่ ทางดับทกุ ข์ หรือวิธีแก้ปัญหา ซ่ึงเรามี หน้าท่ลี งมือทำ เหมือนกบั ท่ีหมอลงมอื รกั ษาคนไข้ดว้ ยวธิ กี ารและ

ขั้นตอนท่ีเหมาะควรแกก่ ารรักษาโรคนั้น ขน้ั นอี้ าจแบง่ ออกเปน็ 3 ขั้น ยอ่ ยคอื 4.1 มรรคขน้ั ที่ 1 เป็นการแสวงหาและทดลองใชว้ ิธกี ารต่าง ๆ เพอ่ื คน้ หาวธิ ีการทเ่ี หมาะสมทสี่ ดุ เช่น พระพุทธเจ้าในชว่ งท่ีเปน็ คฤหัสถ์ เคยใช้ชวี ติ แบบบำรุงบำเรอตน หมกหม่นุ ในโลกีย์สุข แต่ก็ทรงรู้สึกเบ่อื หนา่ ย จงึ ออกผนวชแล้วไปบำเพย็ โยคะบรรลสุ มาธขิ น้ั สงู สุดจากสำนัก ของอาฬารดาบสและอุทกดาบส แมใ้ นข้ันน้ีพระองคย์ ังร้สู ึกว่าไม่บรรลุ ความพ้นทุกข์จึงทดลองฝกึ การทรมานตนด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ เช่น กา รอดอาหาร เป็นตน้ 4.2 มรรคข้ันท่ี 2 เป็นการวเิ คราะห์ผลการสงั เกตและทดลองทีไ่ ด้ ปฏิบตั ิมาแลว้ เลอื กเฉพาะวิธีการทเี่ หมาะสมทส่ี ุด ดังกรณีทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงพจิ ารณาเห็นวา่ กามสุขัลลกิ านุโยค (การบำเรอตนด้วยกาม) และอัตตกลิ มถานุโยค (การทรมานตนเอง) ทไ่ี ดท้ ดลองมาแลว้ ไม่ใช่ วิธกี ารทถ่ี กู ต้อง เพราะเป็นเรื่องสดุ โต่งเกินไป ทัง้ การบำเพ็ญโยคะกท็ ำ ใหไ้ ด้เพียงสมาธิ ยงั ไม่ได้ปัญญาเครอื่ งดบั ทุกข์ ดังน้นั วธิ ีการแห่ง ปัญญาจะสามารถช่วยให้พน้ ทกุ ขไ์ ด้ 4.3 มรรคขั้นที่ 3 เปน็ การสรุปผลของการสังเกตและทดลอง เพื่อให้ได้ความจริงเกีย่ วกับเรื่องน้ัน ดงั กรณที ี่พระพทุ ธเจา้ ได้ข้อสรุปว่า ทางสายกลางท่ไี ม่ตึงเกนิ ไปหรอื ไมห่ ยอ่ นเกิน เปน็ ทางดบั ทกุ ข์ ทางนี้ เป็นวิถีแหง่ ปัญญาท่เี รม่ิ ตน้ ดว้ ยสมั มาทิฏฐิ (ความเหน็ ชอบ) สรปุ ก็คือ มรรคมีองค์ 8 นนั่ เองแนวคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ เรียกอีกอย่างหนง่ึ ว่า วธิ ีการทาง วิทยาศาสตร์ มขี ั้นตอนดงั น้ี (พระราชวรมุน.ี 2540 : 40-43) 1. การกำหนดปญั หาให้ถูกต้อง ในขน้ั นี้นกั วิทยาศาสตร์กำหนด

ขอบเขตของปัญหาให้ชัดเจนว่า ปัญหาอยู่ตรงไหน ปัญหานัน้ นา่ จะมี สาเหตมุ าจากอะไร ตัวอยา่ งเชน่ การคน้ พบดาวเนปจูนเมื่อ พ.ศ. 2386-2389 เรมิ่ จากการท่ีนกั ดาราศาสตร์กำหนดปญั หาวา่ ทำไมดาว ยูเรนัสซงึ่ พวกเขาเขา้ ใจวา่ เปน็ ดาวเคราะห์ดวงท่อี ยู่ไกลที่สุดจากดวง อาทติ ย์จึงมวี ิถโี คจรไม่เป็นไปสม่ำเสมอตามกฎแรงโน้มถ่วงนักดารา ศาสตร์กลุ่มหนง่ึ สรปุ วา่ กฎแรงโนม้ ถ่วงคงใช้ไม่ไดก้ ับส่ิงท่ีอยไู่ กลดวง อาทิตย์มาก ๆ อยา่ งดาวยูเรนัส แตน่ กั ดาราศาสตรอ์ ีกกลุม่ หนง่ึ สนั นษิ ฐานวา่ สาเหตุทีว่ ิถโี คจรของดาวยูเรนัส น่าจะมาจากการที่มแี รง โน้มถ่วงจากดาวเคราะห์ท่ียงั ค้นไม่พบมากระทำการ นกั ดาราศาสตร์ กลุ่มนจี้ ึงเริ่มศึกษาหาตำแหน่งของดาวลึกลับดวงนน้ั และค้นพบดาว เนปจนู ในเวลาต่อมา 2. การตัง้ สมมติฐาน นักวทิ ยาศาสตร์ใช้ข้อมลู เทา่ ทม่ี อี ย่ใู นขณะนั้น เปน็ ฐานในการตง้ั สมมติฐานเพอ่ื ใชอ้ ธิบายถึงสาเหตขุ องปัญหาและ เสนอคำตอบหรือทางออกสำหรบั ปัญหานน้ั ตวั อยา่ งเช่น ในเรอ่ื งการ คันพบดาวเนปจูนน้ัน นักดาราศาสตร์กลุ่มหนงึ่ ต้ังสมมตฐิ านว่า สาเหตุ ที่วิถโี คจรของดาวยูเรนสั ไมเ่ ป็นไปสมำ่ เสมอนา่ จะเนอื่ งมาจากแรงโน้ม ถ่วงทีม่ าจากดาวเคราะห์ท่ียังค้นไม่พบ พวกเขาตัง้ สมมตฐิ านว่าน่าจะมี ดาวเคราะห์อีกดวงหน่ึงซึ่งมวี ถิ โี คจรหา่ งจากดวงอาทิตย์มากกว่าดาว ยูเรนัส และในระหว่าง พ.ศ. 2386-2389 นักดาราศาสตร์สองคน คอื จอห์น อาดัม และเลอเวอริเอร์ ต่างกใ็ ชค้ ณติ ศาสตร์คำนวณหาตำแหน่ง ของดาวเนปจูน และทำนายตำแหนง่ ของดาวดวงนไ้ี ว้ใกล้เคยี งกัน การ ทำนายของนักดาราศาสตรท์ ั้งสองเป็นเพียงการคาดคะเนความจริงซ่ึง อยใู่ นข้ันตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับคำตอบของปัญหา 3. การสังเกตและการทดลอง เปน็ ข้นั ตอนสำคัญทสี่ ุดของการศึกษา หาความจริงทางวิทยาศาสตร์ การสงั เกตเปน็ การรวบรวมข้อมลู มาเปน็ เคร่อื งมือสนบั สนนุ ทฤษฎที ่ีอธบิ ายปรากฏการณ์ เช่น นักดาราศาสตร์

เชือ่ ว่า โจฮัน แกลล์ ไดใ้ ชก้ ล้องโทรทรรศนส์ ่องทอ้ งฟา้ จนค้นพบดาว เนปจนู เมื่อ พ.ศ. 2389 นอกจากนั้น การทดลองหลายตอ่ หลายครั้ง ชว่ ยใหค้ ้นพบหลกั การทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละสรา้ งความนา่ เชอ่ื ถือให้กบั การคน้ พบน้นั เช่น ในราว พ.ศ. 2150 นายแพทยว์ ลิ เลียม ฮาวยี ์ ใช้ วิธีการทดลองจนคน้ พบการไหลเวยี นของโลหติ ไปท่วั ร่างกาย เขา สังเกตจังหวะชพี จรและการเตน้ ของหวั ใจ ผา่ ศพและซากสัตวเ์ พอ่ื ตรวจสอบหลายครั้ง จนกระทั่งได้ข้อสรปุ ว่า หวั ใจสูบฉดี โลหิตไปทวั่ ร่างกายทางหลอดเลือดแดง และโลหติ ไหลกลบั ไปยังหัวใจทางหลอด เลือดดำ 4. การวิเคราะห์ข้อมลู ขอ้ มูลท่ีได้จากการสังเกตและทดลองมี จำนวนมาก นักวิทยาศาสตร์ต้องพิจารณาแยกแยะข้อมูลเหลา่ นัน้ พรอ้ มจัดระเบียบขอ้ มลู เขา้ เป็นหมวดหม่แู ละหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ขอ้ มลู ต่าง ๆ เชน่ นักเคมชี ื่อ ดมติ ริ เมนเดลิฟ (D. Mendelief)พบวา่ ธาตบุ างธาตุมคี ุณสมบัติทางเคมคี ล้ายกัน จงึ ได้จัดหมวดหมใู่ ห้กบั ธาตุ เหลา่ นน้ั โดยคิดตารางธาตุ (periodic table) ซงึ่ แบง่ ธาตทุ ีม่ ี คุณสมบตั ิทางเคมคี ล้ายกันไวใ้ นกลุ่มเดยี วกนั ในตารางนป้ี รากฏวา่ มี ช่องว่างเกิดขึ้นเป็นระยะ ชอ่ งวา่ งนแ้ี สดงว่าต้องเป็นที่สำหรับธาตทุ ่ียัง ค้นไมพ่ บ นกั เคมยี ุคตอ่ มาได้ค้นพบธาตใุ หม่จำนวนมาก แล้วนำมาเติม ใส่ช่องวา่ งในตารางธาตุของเมนเดลฟิ 5. การสรุปผล ในการสรปุ ผลของการศึกษาค้นคว้านักวทิ ยาศาสตร์ อาจใช้ภาษาธรรมดาเขยี นกฎหรือหลักการทางวิทยาศาสตรอ์ อกมา บางครั้งนกั วิทยาศาสตรจ์ ำเป็นตอ้ งสรุปผลด้วยคณติ ศาสตร์ ตวั อยา่ งเชน่ อัลเบริ ต์ ไอสไตน์ พบความสมั พนั ธ์ระหว่างพลงั งานและ มวลสารจึงเขยี นสรุปผลการค้นพบทฤษฎีสมั พันธเ์ ป็นสมการวา่ E=MC2 หมายความว่า พลังงาน (E = Energy) เท่ากบั มวลสาร (M = Mass) คูณด้วยความเร็วของแสงยกกำลังสอง

เปรยี บเทียบวธิ ีการทางวิทยาศาสตรก์ ับวธิ ีการแก้ปญั หา แบบอรยิ สจั

พระพุทธศาสนาเป็นศาสตรแ์ ห่งการศกึ ษา คำวา่ “การศกึ ษา” มาจากคำวา่ “สกิ ขา” โดยทว่ั ไป หมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การฝกึ อบรม” “การคน้ คว้า” “การ พฒั นาการ” และ “การรแู้ จ้งเหน็ จริงในส่ิงทั้งปวง” จะเห็นไดว้ า่ การศึกษาในพระพุทธศาสนามหี ลายระดับ ตงั้ แตร่ ะดับต่ำสุดถงึ ระดบั สงู สุด เมื่อแบ่งระดับอยา่ งกว้าง ๆ มี 2 ประการคือ 1. การศกึ ษาระดบั โลกิยะ มีความมุ่งหมายเพอ่ื ดำรงชีวติ ในทาง โลก 2. การศกึ ษาระดับโลกตุ ระ มีความมงุ่ หมายเพื่อดำรงชวี ติ เหนือ กระแสโลก ในการศึกษาหรือการพฒั นาตามหลักพระพุทธศาสนา นนั้ พระพทุ ธเจา้ สอนให้คนไดพ้ ฒั นาอยู่ 4 ด้าน คอื ดา้ นร่างกาย ด้านศลี ดา้ นจิตใจ และดา้ นสตปิ ญั ญา โดยมีจุดมงุ่ หมายใหม้ นุษยเ์ ปน็ ทงั้ คนดี และคนเกง่ มใิ ชเ่ ป็นคนดีแตโ่ ง่ หรือเปน็ คนเก่งแตโ่ กง การจะสอนให้ มนุษยเ์ ปน็ คนดแี ละคนเก่งนั้น จะต้องมหี ลักในการศึกษาทถ่ี ูกต้อง เหมาะสม ซ่งึ ในการพัฒนามนุษย์นนั้ พระพุทธศาสนามงุ่ สร้างมนษุ ย์ให้ เปน็ คนดีกอ่ น แล้วจึงคอ่ ยสร้างความเก่งทีหลัง นนั่ คือสอนใหค้ นเรามี คุณธรรม ความดีงามก่อนแลว้ จึงให้มีความรูค้ วามเข้าใจหรือสติปญั ญา ภายหลงั ดังน้ันหลกั ในการศึกษาของพระพุทธศาสนา นัน้ จะมี ลำดับ ข้ันตอนการศึกษา โดยเร่ิมจาก สลี สิกขา ต่อดว้ ยจิตตสิกขาและข้นั ตอน สดุ ทา้ ยคอื ปัญญาสิกขา ซึ่งขั้นตอนการศึกษาทั้ง 3 น้ี รวมเรยี กว่า \"ไตรสกิ ขา\" ซึ่งมีความหมายดังน้ี

1. สลี สิกขา การฝึกศกึ ษาในดา้ นความประพฤติทางกาย วาจา และอาชพี ให้มีชีวิตสจุ ริตและเกอื้ กูล (Training in Higher Morality) 2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาด้านสมาธิ หรือพัฒนาจิตใจใหเ้ จริญ ไดท้ ่ี (Training in Higher Mentality หรือ Concentration) 3. ปญั ญาสกิ ขา การฝกึ ศกึ ษาในปัญญาสงู ข้นึ ไป ใหร้ ้คู ดิ เขา้ ใจ มองเหน็ ตามเป็นจริง (Training in Higher Wisdom) ความสมั พันธ์ของไตรสิกขา ความสัมพันธแ์ บบต่อเนอื่ งของไตรสิกขาน้ี มองเห็น ไดง้ า่ ยแม้ในชีวิตประจำวัน กล่าวคอื (ศีล -> สมาธิ) เมอื่ ประพฤติดี มคี วามสัมพนั ธ์ งดงาม ไดท้ ำประโยชนอ์ ย่างนอ้ ยดำเนนิ ชีวิตโดยสจุ ริต มน่ั ใจในความ บริสทุ ธ์ิของ ตน ไม่ตอ้ งกลัวต่อการลงโทษ ไม่สะดุ้งระแวงต่อการ ประทษุ ร้ายของคู่เวร ไม่หวาดหว่นั เสียวใจต่อเสียงตำหนิหรือความรู้สึก ไม่ยอมรับของสังคม และไม่มีความฟงุ้ ซ่านวุ่นวายใจ เพราะความรู้สึก เดอื ดรอ้ นรังเกยี จในความผิดของตนเอง จติ ใจก็เอบิ อิ่ม ชื่นบานเป็นสุข ปลอดโปร่ง สงบ และแน่วแน่ มงุ่ ไปกบั สิ่งที่คิด คำท่ีพดู และการท่ีทำ (สมาธิ -> ปัญญา) ย่ิงจิตไม่ฟงุ้ ซา่ น สงบ อย่กู ับตวั ไรส้ ิ่งขนุ่ มวั สดใส มงุ่ ไปอย่างแน่วแน่เทา่ ใด การรับรู้ การคิดพินิจ พิจารณามอง เห็นและเขา้ ใจส่ิงตา่ งๆกย้ ิง่ ชัดเจน ตรงตามจริง แลน่ คล่อง เป็นผลดีในทางปัญญามากข้ึนเท่านั้น อุปมาในเรอ่ื งน้ี เหมือนว่าต้งั ภาชนะน้ำไวด้ ว้ ยดี เรยี บร้อย ไม่ไปแกล้งสัน่ หรือเขย่ามนั ( ศลี ) เมอื่ นำ้ ไม่ถูกกวน คน พัด หรือเขยา่ สงบนิ่ง ผงฝุ่นตา่ งๆ ก็นอนกน้ หายขุ่น น้ำก็ใส (สมาธ)ิ เมือ่ น้ำใส ก็มองเห็นสิ่งตา่ งๆ ได้ชดั เจน ( ปัญญา ) ในการปฏบิ ตั ิธรรมสงู ขึน้ ไป ที่ถึงข้ันจะใหเ้ กิดญาณ อันรู้แจง้ เห็นจรงิ จนกำจดั อาสวกิเลสได้ ก็ยิง่ ตอ้ งการจติ ท่ีสงบนิ่ง ผ่อง ใส มสี มาธแิ นว่ แนย่ ิ่งขึ้นไปอกี ถงึ ขนาดระงับการรับรทู้ างอายตนะต่างๆ

ได้หมด เหลืออารมณห์ รือสิง่ ท่กี ำหนดไวใ้ ช้งาน แต่เพียงอยา่ งเดียว เพือ่ ทำการอย่างได้ผล จนสามารถกำจัดกวาดล้างตะกอนท่ีนอนกน้ ได้ หมดส้ิน ไม่ให้มีโอกาสขุน่ อกี ต่อไป ไตรสกิ ขานี้ เมื่อนำมาแสดงเปน็ คำสอนในภาคปฏบิ ัตทิ วั่ ไป ไดป้ รากฏใน หลักทีเ่ รยี กวา่ โอวาทปาฏโิ มกข์ ( พทุ ธโอวาททีเ่ ปน็ หลกั ใหญ่ อยา่ ง ) คือ สพพปาปสส อกรณ การไม่ทำความชวั่ ท้ังปวง ( ศีล ) กุสลสสปู สมปทา การบำเพ็ญความดีให้เพยี บพรอ้ ม (สมาธิ ) สจติ ตปรโิ ยทปน การทำจติ ของตนให้ผ่องใส (ปญั ญา ) นอกจากนี้ยงั มีวธิ ีการเรียนรตู้ ามหลักโดยท่ัวไป ซึ่งพระพทุ ธเจ้า พระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ 5 ประการ คอื 1. การฟัง หมายถงึ การตัง้ ใจศึกษาเล่าเรยี นในหอ้ งเรยี น 2. การจำได้ หมายถงึ การใช้วิธีการต่าง ๆ เพ่อื ให้จำได้ 3. การสาธยาย หมายถงึ การท่อง การทบทวนความจำบ่อย ๆ 4. การเพ่งพนิ ิจดว้ ยใจ หมายถึงการตง้ั ใจจินตนาการถึงความรู้ นัน้ ไวเ้ สมอ 5. การแทงทะลุดว้ ยความเห็น หมายถงึ การเข้าถึงความรอู้ ยา่ ง ถกู ต้อง เป็น ความรู้อย่างแท้จริง ไม่ใชต่ ิดอยู่แต่เพียงความจำเท่าน้ัน แต่เป็นความรู้ความจำทสี่ ามารถนำมาประพฤติปฏิบัตไิ ด้ จะเห็นไดว้ ่า สลี สิกขา จติ ตสกิ ขา และปัญญาสกิ ขา การศึกษาท้ั 3 ข้นั นี้ ต่างก็เป็นพ้ืนฐานกนั และกัน ซึง่ ในการศึกษา พทุ ธ ศาสนามุ่งสอนใหค้ นเปน็ คนดี คนเกง่ และสามารถอยใู่ นสังคมได้อยา่ งมี ความสขุ จากกระบวนการศกึ ษาทกี่ ล่าวมาท้งั 3 ข้นั ตอนของพุทธ

ศาสนานี้ หากสามารถนำไปปฏบิ ตั อิ ย่างจริงจัง ก็จะเกิดผลดกี บั ผปู้ ฏิบัติ ซ่ึงหลกั การท้ัง 3 นนั้ เปน็ ที่ยอมรับจากชาวโลก ทำใหพ้ ุทธศาสนาได้ แพรห่ ลายไปในประเทศต่าง ๆ ท่วั โลก จึงนับไดว้ ่าพุทธศาสนาเป็น ศาสตร์แห่งการศกึ ษาอยา่ งแท้จริง

พระพทุ ธศาสนาเน้นความสมั พันธข์ องเหตุปจั จยั และ วิธีการแกป้ ญั หา พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสมั พันธ์ของเหตุปจั จัย หลกั ของเหตปุ ัจจัย หรอื หลกั ความเป็นเหตเุ ปน็ ผล ซงึ่ เป็นหลกั ของเหตปุ ัจจัยท่ีอิงอาศัยซง่ึ กันและกัน ทเี่ รยี กว่า \"กฎปฏิจจสมปุ บาท\" ซ่งึ มีสาระโดยย่อดังน้ี \"เมอ่ื อันนี้มี อันนี้จงึ มี เมื่ออันนไ้ี ม่มี อนั น้กี ็ไม่มี เพราะอันนเ้ี กดิ อันนี้จงึ เกดิ เพราะอันน้ีดับ อันนี้จงึ ดับ\"นี่เปน็ หลักความจริงพื้นฐาน วา่ สง่ิ หน่งึ ส่งิ ใดจะเกดิ ขึน้ มาลอย ๆ ไมไ่ ด้ หรือในชีวติ ประจำวนั ของเรา \"ปญั หา\"ท่ี เกิดข้ึนกบั ตวั เราจะเป็นปญั หาลอย ๆ ไม่ได้ จะต้องมเี หตุปัจจัยหลายเหตุ ที่ก่อให้เกดิ ปัญหาข้ึนมา หากเราตอ้ งการแก้ไขปัญหาก็ต้องอาศยั เหตุ ปจั จัยในการแก้ไขหลายเหตปุ ัจจยั ไมใ่ ช่มเี พยี งปัจจัยเดียวหรอื มเี พียง หนทางเดยี วในการแก้ไขปญั หา เป็นต้น คำวา่ \"เหตปุ ัจจยั \" พุทธศาสนาถอื ว่า สิ่งท่ีทำใหผ้ ลเกดิ ขน้ึ ไม่ใช่ เหตอุ ย่างเดียว ตอ้ งมปี จั จัยตา่ ง ๆ ด้วยเม่อื มีปจั จัยหลายปัจจัยผลก็ เกิดขน้ึ ตัวอย่างเช่น เราปลูกมะมว่ ง ต้นมะมว่ งงอกงามขึ้นมาต้น มะม่วงถอื ว่าเป็นผลที่เกิดข้ึน ดังน้ันต้นมะม่วงจะเกดิ ข้ึนเป็นต้นท่ี สมบูรณไ์ ดต้ ้องอาศัยเหตปุ ัจจยั หลายปัจจัยทีก่ ่อให้เกิดเป็นตน้ มะมว่ งได้ เหตุปัจจยั เหลา่ นั้นไดแ้ ก่ เมล็ดมะม่วง ดนิ น้ำ ออกซเิ จน แสงแดด อณุ หภมู ทิ ่ีพอเหมาะ ปุ๋ย เป็นต้น ปัจจัยเหลา่ นพี้ รงั่ พร้อมจึงกอ่ ให้เกิดตน้ มะม่วง ตัวอย่างความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย เชน่ ปญั หาการมี ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นต่ำ ซ่ึงเปน็ ผลท่เี กิดจากการเรยี นของนักเรยี น มีเหตปุ ัจจัยหลายเหตปุ ัจจยั ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดการเรยี นอ่อน เช่น ปัจจัยจาก ครูผู้สอน ปจั จัยจากหลักสูตรปจั จัยจากกระบวนการเรียนการสอนปจั จยั จากการวดั ผลประเมินผล ปัจจัยจากตัวของนักเรยี นเอง เปน็ ต้น

ความสัมพันธข์ องเหตปุ จั จยั หรือหลักปฏิจจสมุปบาท แสดงให้ เห็นอาการของสงิ่ ทั้งหลายสัมพันธ์เนอ่ื งอาศัยเป็นเหตุปัจจัยต่อกัน อย่างเป็นกระแส ในภาวะทเ่ี ป็นกระแสนี้ ขยายความหมายออกไปใหเ้ ห็น แง่ต่าง ๆ ได้คือ - ส่งิ ทั้งหลายมคี วามสัมพันธ์ต่อเน่อื งอาศยั เป็นปจั จยั แก่กนั - สิ่งท้ังหลายมีอยู่โดยความสัมพันธ์กนั - สง่ิ ทง้ั หลายมีอยู่ด้วยอาศัยปจั จยั - ส่ิงทง้ั หลายไม่มคี วามคงท่อี ยู่อย่างเดมิ แมแ้ ตข่ ณะเดยี ว (มี การเปลยี่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่อย่นู ิง่ ) - สงิ่ ทั้งหลายไม่มีอยโู่ ดยตัวของมนั เอง คอื ไม่มีตัวตนท่แี ท้จรงิ ของมัน - สง่ิ ทัง้ หลายไม่มมี ลู การณ์ หรอื ต้นกำเนดิ เดิมสุด แตม่ ี ความสมั พันธแ์ บบวฏั จักร หมนุ วนจนไม่ทราบวา่ อะไรเป็นต้นกำเนิดท่ี แทจ้ รงิ หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาของพระพทุ ธศาสนาท่ีเนน้ ความสมั พันธ์ของเหตุปัจจัยมีมากมาย ในทน่ี ีจ้ ะกลา่ วถงึ หลกั คำสอน 2 เร่อื ง คือ ปฏิจจสมุปบาท และอรยิ สัจ 4 ปฏจิ จสมุปบาท คือ การทสี่ ่ิงทง้ั หลายอาศัยซึง่ กันและกันเกิดข้ึน เป็น กฎธรรมชาติท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบ การที่พระพุทธเจ้าทรงคน้ พบกฎ นี้นีเ่ อง พระองคจ์ ึงไดช้ ่อื วา่ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ กฏปฏจิ จสมปุ บาท เรยี กอีกอย่างหน่งึ ว่า กฏอิทปั ปัจจยตา ซึ่งก็คือ กฏแหง่ ความเป็นเหตุ เปน็ ผลของกันและกันน่นั เอง

กฏปฏจิ จสมุปบาท คือ กฏแห่งเหตุผลที่วา่ ถา้ ส่ิงนี้มี ส่ิงนั้นกม็ ี ถา้ สิง่ นดี้ ับ ส่ิงน้นั ก้ดับ ปฏิจจสมุปบาทมีองคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1) อวิชชา คือ ความไม่รูจ้ ริงของชวี ิต ไมร่ ู้แจง้ ในอรยิ สัจ 4 ไม่ร้เู ท่า ทันตามสภาพที่เป็นจริง 2) สงั ขาร คือ ความคดิ ปรุงแตง่ หรือเจตนาทั้งที่เป็นกศุ ลและอกุศล 3) วญิ ญาณ คือ ความรบั รตู้ อ่ อารมณ์ต่างๆ เช่น เห็น ไดย้ นิ ได้กล่ิน รู้รส รู้สัมผสั 4) นามรปู คือ ความมีอยู่ในรปู ธรรมและนามธรรม ได้แก่ กายกับจติ 5) สฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย และใจ 6) ผัสสะ คอื การถกู ต้องสัมผัส หรือการกระทบ 7) เวทนา คือ ความรสู้ กึ ว่าเป็นสขุ ทกุ ข์ หรอื อเุ บกขา 8) ตณั หา คือ ความทะเยอทะยานอยากหรอื ความต้องการในสง่ิ ที่ อำนวยความสุขเวทนา และความด้ินรนหลีกหนีในส่ิงที่ก่อทุกขเวทนา 9) อปุ าทาน คือ ความยึดม่ันถอื มั่นในตัวตน 10) ภพ คือ พฤติกรรมท่ีแสดงออกเพ่ือสนองอุปาทานนนั้ ๆ เพ่อื ให้ ไดม้ าและให้เป้นไปตามความยึดม่ันถอื มั่น 11) ชาติ คอื ความเกดิ ความตระหนกั ในตัวตน ตระหนักใน พฤติกรรมของตน

12) ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อุปายาสะ คอื ความ แก่ ความตาย ความโศกเศรา้ ความคร่ำครวญ ความไมส่ บายกาย ความไม่สบายใจ และความคับแคน้ ใจหรอื ความกลดั กลุ่มใจ องค์ประกอบท้งั 12 ประเภทนี้ พระพุทธเจา้ เรียกว่า องคป์ ระกอบ แห่งชวี ิต หรือกระบวนการของชีวิต ซ่งึ มคี วามสัมพนั ธ์เก่ียวเน่อื ง กนั ทำนองปฏิกริ ยิ าลูกโซ่ เปน็ เหตปุ ัจจยั ต่อกัน โยงใยเป็นวงเวียนไม่ มตี ้นไม่มปี ลาย ไม่มที ่ีส้นิ สุด กล่าวคอื องค์ประกอบของชีวิตตาม กฏปฏิจจสมปุ บาทดังกล่าวนเ้ี ป็นสายเกิดเรียกว่า สมทุ ัยวาร

ลงิ กค์ ลปิ วดี โี อ วดี โี อประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา https://youtu.be/JfwlfT4r5ps วีดโี อพระพุทธศาสนากับวทยาศาสตร์ https://youtu.be/q1KZ6vujJt0 พระพุทธศาสนาเปน็ ศาสตร์แหง่ การศกึ ษา https://youtu.be/NPP295OG-5o


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook