บทแผเ่ มตตา สัพเพ สัตตา สตั ว์ทัง้ หลำยทเ่ี ป็นเพอื่ นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตำย ดว้ ยกนั ท้ังหมดท้งั สน้ิ อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเปน็ สขุ เถิดอยำ่ ได้มีเวรแก่กันและกันเลย อัพพะยาปัชฌา โหนตุ จงเปน็ สขุ เป็นสขุ เถดิ อยำ่ ได้เบียดเบียนซงึ่ กนั และกันเลย อะนฆี า โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสขุ เถดิ อย่ำได้มคี วำมทุกข์กำย ทุกขใ์ จเลย สขุ ี อตั ตานัง ปะรหิ ะรนั ตุ จงมคี วำมสุขกำย สขุ ใจ รกั ษำตนให้พ้นจำกทุกข์ภยั ทั้งสนิ้ เถิด
การบรหิ ารจติ และเจรญิ ปญั ญา ความหมายของสตสิ ัมปชญั ญะ สมาธิ และปัญญา สติสัมปชญั ญะ สมาธิ ปัญญา • ควำมระลกึ ไดแ้ ละรู้ตวั อยเู่ สมอวำ่ ตนเองกำลังทำ • ฝึกควบคุมจิตใจให้มีควำมจดจ่อแน่วแน่กับส่ิงใด • ควำมรอบรู้ ควำมรทู้ ่ัวไปที่เขำ้ ใจชัดเจน อะไรอยู่ รูว้ ่ำส่ิงใดควรทำ และไมค่ วรทำ ส่ิงหนึ่งโดยไม่เปล่ียนแปลง จนกว่ำจะถอนจิต และสำมำรถแบง่ แยกเหตแุ ละผลได้ ออกไปจำกสิ่งนน้ั
วิธีปฏิบัตขิ องการบริหารจติ และเจริญปัญญา การบรหิ ารจติ • กำรฝึกจิตเพอ่ื ใหเ้ กิดควำมสงบ มน่ั คงไมห่ ว่นั ไหวกบั ข้นั ตอนการบรหิ ารจติ และเจริญปญั ญา การเจรญิ ปัญญา สภำวะต่ำงๆท่เี ขำ้ มำกระทบ มคี วำมหมำย เชน่ เดยี วกบั กำรฝกึ สมำธิ ๑. บูชาพระรัตนตรยั ๒. นมัสการพระรัตนตรยั • กำรฝึกอบรมตนเอง เพอื่ ใหเ้ กิดควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ ๓. สมาทานเบญจศลี ในสิง่ ต่ำงๆ อยำ่ งถูกตอ้ งและรอบคอบ ตรงตำมควำม ๔. สมาทานสมาธิภาวนา เป็นจรงิ ๕. การฝึกสมาธิ ๖. แผ่เมตตา และอุทิศสว่ นกศุ ล
การฝกึ การยนื เดนิ นงั่ และนอนอยา่ งมีสติ ฝึกการเดนิ อย่างมีสติ ฝึกการน่ังอยา่ งมีสติ ใหก้ ำหนดรูว้ ำ่ ตนกำลงั เดินอยู่ ให้กำหนดรูว้ ่ำ ตนกำลงั นง่ั อยู่ กำ้ วเทำ้ ซ้ำยก็ให้กำหนดรู้ว่ำเท้ำซำ้ ย ควรนง่ั ตัวให้ตรง และกำหนดรูล้ มหำยใจเขำ้ -ออก อยำ่ งชำ้ ๆ กำ้ วเท้ำขวำ ก็ให้กำหนดรูว้ ำ่ เทำ้ ขวำ เดินไม่ช้ำหรือไมเ่ ร็วจนเกินไป แกวง่ แขนแตพ่ องำม ฝึกการนอนอยา่ งมสี ติ ฝึกการยืนอย่างมีสติ ใหก้ ำหนดรู้วำ่ ตนกำลงั นอนอยู่ พระพุทธเจ้ำทรงชี้แนะใหน้ อนในท่ำสหี ไสยำ ใหก้ ำหนดรวู้ ำ่ ตนกำลงั ยนื อยู่ คือ กำรนอนตะแคงขวำ เป็นท่ำนอนที่สุภำพ ยืนอยู่ทีใ่ ด เวลำใด และกำหนดลมหำยใจเข้ำ-ออก อยำ่ งชำ้ ๆ
การฝึกกาหนดรคู้ วามรูส้ กึ ของประสาทสัมผัสทั้ง ๖ ฝกึ การไดเ้ ห็น ระลึกถึงตา ภำวนำวำ่ ตาหนอ ฝกึ การได้ยนิ ระลกึ ถงึ หู ภำวนำวำ่ หหู นอ มองดู ภำวนำว่ำ เห็นหนอ ตง้ั ใจฟัง ภำวนำว่ำ เหน็ ปลาหนอ ฟังเสยี งนก ภำวนำว่ำ ได้ยินหนอ มองดปู ลา ภำวนำว่ำ ไดย้ ินเสยี งนกหนอ ฝึกการได้กล่นิ ระลกึ ถึงจมกู ภำวนำว่ำ จมูกหนอ ฝึกการไดร้ รู้ ส ระลึกถงึ ล้นิ ภำวนำวำ่ ล้ินหนอ ดมกลิ่น ภำวนำวำ่ ไดก้ ลนิ่ หนอ ตงั้ ใจลิม้ รส ภำวนำวำ่ กล่นิ มะลหิ นอ ลม้ิ รสนา้ ตาล ภำวนำวำ่ ลิ้มรสหนอ ดมดอกมะลิ ภำวนำว่ำ ล้ิมรสน้าตาลหนอหนอ ฝึกการสัมผัส ระลกึ ถงึ มอื ภำวนำวำ่ มอื หนอ ฝึกการใชค้ วามคดิ ระลกึ ถึงความคิด ภำวนำว่ำ ใช้ความคดิ หนอ หยบิ ของ ต้งั ใจคิด ภำวนำว่ำ ไดค้ ดิ หนอ หยบิ ปากกา ภำวนำว่ำ หยบิ ของหนอ คิดถึงแม่ ภำวนำวำ่ คดิ ถึงแมห่ นอ ภำวนำวำ่ หยิบปากกาหนอหนอ
การฝึกให้มสี มาธใิ นการฟงั การอ่าน การคดิ การถาม และการเขียน ฝึกให้มสี มาธใิ นการฟงั • เป็นกำรตั้งใจฟัง มีจิตจดจ่อในกำรฟงั จนเกิดควำมรูแ้ ละเข้ำใจในส่งิ ท่ีฟงั ฝึกใหม้ สี มาธใิ นการอ่าน • เปน็ กำรต้งั ใจอำ่ น มีจิตจดจอ่ ในกำรอำ่ น ทำใหอ้ ่ำนได้เขำ้ ใจและรวดเร็ว ฝึกใหม้ สี มาธใิ นการคิด • เปน็ กำรนำส่งิ ที่ได้ฟังและอ่ำนมำคิดพจิ ำรณำหำเหตผุ ลจนเขำ้ ใจแจ่มแจ้ง ฝกึ ให้มีสมาธใิ นการถาม • ถำมในส่งิ ทีค่ ิดแตไ่ ม่เข้ำใจ ถำมด้วยควำมอยำกรู้ ศึกษำเรียนรู้ให้เข้ำใจ ใช้ถ้อยคำสุภำพ ตรงประเด็น และถำมในสิง่ ท่ีมีประโยชน์ ฝกึ ให้มีสมาธิในการเขียน • จดบันทึกสง่ิ ที่ไดฟ้ งั อ่ำน คดิ และถำม เพ่ือกนั ลมื โดยตอ้ งเขยี นดว้ ยควำมตั้งใจ มีระเบียบ
ความรูเ้ บือ้ งต้นและความสาคญั ของศาสนสถาน สถานทส่ี าคัญของศาสนา ในการใชป้ ระกอบศาสนกจิ ต่างๆ วดั เป็นศำสนสถำนที่เปน็ ท่อี ยอู่ ำศยั ของพระภิกษสุ งฆ์และเปน็ สถำนท่ปี ระกอบพิธีกรรมทำงพระพุทธศำสนำ ภำยในวัดมีศำสนสถำนตำ่ งๆ เช่น • โบสถ์ คือ สถำนที่สำหรับพระสงฆ์ใชเ้ พื่อประชุมทำสังฆกรรมต่ำงๆ เช่น กำรทำพธิ อี ปุ สมบท เปน็ ต้น • เจดยี ์ คือ สิ่งที่กอ่ เปน็ ยอดแหลมเป็นทบ่ี รรจสุ ่ิงทเ่ี คำรพบชู ำ เชน่ พระธำตุ อฐั บิ รรพบุรุษ เปน็ ตน้ • วิหาร คือ สถำนทีส่ ำหรบั ประดษิ ฐำนพระพุทธรปู ซงึ่ คู่กบั โบสถ์ ใชป้ ระชุมสังฆกิจ โดยทั่วไปลักษณะของวหิ ำรแตกตำ่ งจำกโบสถต์ รงทไ่ี มม่ ใี บเสมำ ลอ้ มรอบ • ศาลาการเปรียญ คอื ศำลำอเนกประสงค์ใช้ประโยชนไ์ ดห้ ลำยอย่ำง เชน่ ใช้เปน็ สถำนทท่ี ำบุญตกั บำตรในวันพระ ฟังพระเทศน์ เปน็ ต้น • หอสวดมนต์ คอื ที่สำหรับใช้สวดมนตท์ ำวัตรเชำ้ และเยน็ ของพระสงฆ์และอบุ ำสก อุบำสกิ ำ • โรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม คือ สถำนทเี่ รียนธรรมะและภำษำบำลขี องพระสงฆ์และสำมเณร • กฏุ ิ คือ เรอื นหรือตึกสำหรบั พระภิกษุและสำมเณรใช้สำหรับอยูอ่ ำศัย • หอพระไตรปฎิ ก คอื สถำนท่ีเกบ็ พระไตรปฎิ ก และหนังสอื สำหรับกำรศึกษำคน้ คว้ำ
มัสยิด เปน็ ศำสนสถำนของศำสนำอสิ ลำม เปน็ สถำนท่ีทใี่ ช้ประกอบพิธกี รรมทำงศำสนำของมุสลิม โบสถค์ รสิ ต์ เป็นศำสนสถำนของครสิ ต์ศำสนำ เปน็ สถำนทีป่ ระกอบพธิ ีกรรมสำคญั ทำงศำสนำของชำวคริสต์ เทวสถาน เป็นศำสนสถำนของศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู เปน็ สถำนทส่ี ำหรบั ประกอบพิธกี รรม ทำงศำสนำของผูท้ ีน่ ับถอื ศำสนำพรำหมณ-์ ฮินดู และเป็นท่ปี ระดษิ ฐำนเทวรปู หรอื เทพเจำ้ สำคญั ของศำสนำ
การแสดงความเคารพต่อศาสนสถาน ๑ กราบไหวบ้ ูชาด้วยความสารวมและต้งั ใจ ๒ แตง่ กายเรียบรอ้ ย และแสดงกริ ยิ าวาจาทส่ี ภุ าพเมือ่ เข้าไปในศาสนสถาน ๓ ไมส่ วมหมวก รองเทา้ หรือกางรม่ เขา้ ไปในบริเวณศาสนสถาน ๔ ไมท่ าความสกปรกเสียหาย หรือสง่ เสยี งดังในศาสนถาน
การบารุงรกั ษาศาสนสถาน ๑ บรู ณปฏสิ ังขรณถ์ าวรวัตถุที่ชารุดทรดุ โทรม บรจิ าคทรัพย์ซอ่ มแซม หรอื ชกั ชวนใหผ้ ้อู ่ืนช่วยกันบารุงรักษา ๒ รกั ษาความสะอาดศาสนสถาน พรอ้ มทงั้ บรเิ วณโดยรอบ ๓ ปลกู ตน้ ไม้และบารงุ รกั ษาตน้ ไม้ เพอ่ื ให้ศาสนสถานมบี รรยากาศที่ร่มรนื่ สวยงาม และสงบรม่ เย็น ๔ ช่วยบริจาคสิ่งของต่างๆ ที่จาเป็นเพื่อใชป้ ระโยชนส์ ่วนรวม เชน่ โตะ๊ เกา้ อี้ ภาชนะต่างๆ เป็นตน้ ๕ ไมท่ าลายศาสนสถาน เช่น ไมข่ ีดเขียนกาแพง ฝาผนงั ให้สกปรกเลอะเทอะ ๖ ไมล่ กั ขโมยทรพั ยส์ มบตั ขิ องศาสนสถาน และช่วยกนั ปกป้องดูแลไมใ่ หผ้ ู้อืน่ ทาลายหรอื ลกั ขโมยทรัพย์สมบตั ขิ องศาสนสถาน
มรรยาทของศาสนิกชนทดี่ ี การปฏิบตั ิตนท่ีเหมาะสมตอ่ พระภกิ ษุ ๑ การสนทนากับพระภิกษุ พระภิกษเุ ปน็ ผู้ท่เี ผยแผพ่ ระพทุ ธศำสนำ ทำให้สงั คมเกิดควำมสงบสขุ ในกำรสนทนำกับทำ่ นจงึ ตอ้ งใชค้ ำพดู ทเี่ หมำะสมและสุภำพ เช่น • การใชส้ รรพนามแทนตัวเอง ใชค้ ำว่ำ ผม กระผม (สำหรบั ผชู้ ำย) ดฉิ นั (สำหรับผู้หญงิ ) • การใช้สรรพนามแทนพระภกิ ษุ ใชค้ ำว่ำ ใตเ้ ทา้ หลวงพอ่ ท่านพระครู ทา่ นเจา้ คณุ พระคณุ เจ้า เป็นต้น • เวลารบั คาใชค้ าวา่ ครับ ขอรบั (สำหรบั ผู้ชำย) คะ่ เจ้าคะ่ (สำหรบั ผหู้ ญงิ ) ถำ้ พระภิกษนุ ั้นเป็นพระเถระผ้ใู หญ่ ให้ประนมมอื พูดกับท่ำน สำหรับผ้หู ญงิ ไม่ควรพดู กบั พระสองตอ่ สองในท่ลี บั ตำคน เม่ือเสรจ็ ธรุ ะแล้วควร ลำกลบั ไม่ควรสนทนำนำนเกนิ ควร เพรำะเปน็ กำรรบกวนเวลำของท่ำน ก่อนกลับใหก้ รำบเบญจำงคประดิษฐ์แลว้ เดนิ เขำ่ ออกไป
๒ การแสดงความเคารพต่อพระภิกษุ อัญชลี การกราบ วนั ทา อภิวาท กำรกรำบพระทถ่ี กู ต้องออ่ นนอ้ ม จะต้องกรำบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ มีขนั้ ตอนในกำรปฏบิ ัติ ดงั น้ี ข้ันท่ี ๑ ทา่ เตรียม ใหน้ ั่งคุกเขำ่ ผชู้ ายนั่งคุกเขำ่ ทำ่ เทพบตุ ร คือ นัง่ บนส้นเท้ำ ปลำยเทำ้ ต้งั ตรง ลำตัวตรง เข่ำทง้ั สองห่ำงกนั เลก็ น้อย โดยวำงมอื ท้ังสองข้ำงบนหน้ำขำให้นิว้ ชดิ กัน ผหู้ ญิงนัง่ คุกเขำ่ ทำ่ เทพธิดำ คอื นง่ั บนส้นเท้ำปลำยเทำ้ ไขวก้ นั หรอื เหยยี ดตรง ขัน้ ที่ ๒ อัญชลี (ประนมมอื ) ประนมมือระดบั อก ปลำยน้วิ เบนออกจำกอกประมำณ ๔๕ องศำ แขนและศอกแนบลำตัว ขัน้ ที่ ๓ วันทา (ไหว)้ ยกมือขนึ้ พรอ้ มกบั ก้มศรี ษะลงรบั มอื เลก็ นอ้ ย ให้หัวแมม่ อื จรดระหวำ่ งค้วิ ปลำยนิว้ ชจ้ี รดไรผมเหนือหน้ำผำก ขั้นท่ี ๔ อภวิ าท (กราบ) กม้ ลงกรำบโดยให้แขนทงั้ สองลงพรอ้ มกนั มือทัง้ สองคว่ำลงวำงห่ำงกันเล็กน้อย ใหห้ นำ้ ผำกจรดพ้นื ได้ ขั้นที่ ๕ ท่าจบกราบ เม่อื กรำบครบ ๓ ครง้ั แล้ว ให้เงยหนำ้ ข้ึนยกตวั อยูใ่ นทำ่ วนั ทำ (ไหว)้ แลว้ ลดมอื ลงในท่ำอัญชลี (ประนมมือ) ทำเพยี งครั้งเดยี ว แลว้ นัง่ พับเพยี บ
การไหว้ กำรแสดงควำมเคำรพตอ่ พระภิกษุ ถ้ำอยใู่ นที่ท่ีไม่สำมำรถจะกรำบแบบเบญจำงคประดิษฐไ์ ด้ กใ็ หย้ ืนไหว้ไดท้ ง้ั ชำยและผหู้ ญงิ ยืนตรง ประนมมอื ขนึ้ ผชู้ าย ใหห้ วั แมม่ ืออยู่ระหวา่ งค้ิว น้ิวชีจ้ รดหนา้ ผาก นอ้ มตวั และกม้ ศรี ษะลง สืบเท้าขวาไปขา้ งหนา้ เล็กนอ้ ย ย่อเข่านอ้ มตัวลง ผหู้ ญงิ พรอ้ มกบั ประนมมือขน้ึ ใหห้ วั แมม่ ืออยู่ระหว่างค้วิ นิ้วชจ้ี รดหนา้ ผาก
การยืน เดิน และน่งั ทเี่ หมาะสมในโอกาสตา่ งๆ การยืน • กำรยืนตำมลำพงั ควรยืนอยูใ่ นลกั ษณะทสี่ ภุ ำพ ขำชดิ กนั ไม่หนั หน้ำหรอื แกว่งแขนไปมำ • กำรยนื เฉพำะหนำ้ ผใู้ หญ่ ถำ้ ไมจ่ ำเปน็ ไมค่ วรยนื ตรงหนำ้ ควรยนื เฉียงทำงดำ้ นใดด้ำนหน่ึง โดยอำจยนื ตรง ขำชดิ ปลำยเทำ้ แยกห่ำงกนั เล็กน้อย มือท้ังสองแนบข้ำงลำตัว หรอื อำจยนื คอ้ มส่วนบนต้งั แตเ่ อวขึ้นไปเลก็ น้อยมอื ประสำนกนั • กำรยนื ไหว้ผ้ใู หญ่ควรยืนส้นเทำ้ ชดิ ปลำยเทำ้ ห่ำงกนั เล็กน้อย ประนมมอื ขนึ้ น้ิวชอ้ี ยูร่ ะหว่ำงค้วิ ผชู้ ำยน้อมศีรษะลงพองำม ยกมือขึ้นและน้อมตัวลงส่วนผูห้ ญงิ ใหส้ บื เทำ้ ไปข้ำงหน้ำ เลก็ นอ้ ย และน้อมตัวลง การเดนิ • กำรเดนิ ตำมลำพัง พึงตั้งตัวตรง ไมก่ ม้ หน้ำหรอื ไมเ่ ชิดหนำ้ จนเกนิ ไป ระยะกำ้ วเท้ำไม่ยำวหรอื ส้นั จนเกนิ ไป ไมเ่ ดินเรว็ หรอื ชำ้ จนเกนิ ไป อย่ำเดินลงส้น แกวง่ แขนพอประมำณ • กำรเดินกับผูใ้ หญ่ ควรเดินตำมไปข้ำงหลงั เยื้องไปทำงซำ้ ยจำกทำ่ นประมำณ ๒-๓ ก้ำว เพอ่ื สะดวกแกก่ ำรสนทนำ กำรเดินให้อยู่ในกิริยำนอบน้อมมือประสำนไว้ข้ำงหนำ้ • กำรเดนิ สวนกับผู้ใหญ่ หรือกำรเดินผ่ำนผ้ใู หญ่ ควรหลกี ให้ห่ำงกันเลก็ นอ้ ย และคอ้ มตวั ลง เมอ่ื ผู้ใหญ่ทักทำยกใ็ ห้หยุดยนื มอื ประสำนกัน เมอ่ื จบกำรสนทนำแลว้ ให้ไหวค้ ้อมตัว ก่อนผ่ำนไป การน่งั • กำรนั่งเก้ำอี้ นงั่ ตัวตรงหลังพงิ พนกั เก้ำอี้ เท้ำชิด เขำ่ ชดิ มือวำงไว้บนหน้ำขำ ไมค่ วรน่งั “ไขว่ห้ำง” ควรน่ังเตม็ เก้ำอี้ อย่ำนงั่ โยกเก้ำอี้ เพรำะอำจเกิดอนั ตรำยได้ ถ้ำเปน็ นกั เรียนหญิง ต้องระวังเครอ่ื งแต่งกำย • กำรนัง่ กับพ้ืน ควรนัง่ พบั เพยี บ ยดื ตวั ใหต้ รง ถ้ำนง่ั ต่อหน้ำผใู้ หญ่ ต้องนง่ั เก็บปลำยเทำ้ มือประสำนกันวำงไวท้ บ่ี ริเวณหนำ้ ตกั นั่งเว้นระยะหำ่ งจำกท่ำนพอประมำณ • กำรน่งั คุกเขำ่ ควรน่งั ตัวตรง วำงกน้ ลงบนส้นเท้ำ ผชู้ ำยยกปลำยเทำ้ ตง้ั ตรง สว่ นผ้หู ญงิ ใหป้ ลำยเทำ้ ไขว้กนั หรอื เหยยี ดตรงก็ไดม้ อื ท้ังสองประสำนกัน หรือจะวำงคว่ำบนหนำ้ ขำก็ได้
ศาสนพิธี การอาราธนาศีล และสมาทานศลี การอาราธนาศีล กำรขอศีลจำกพระภกิ ษุ การสมาทานศลี กำรรับเอำศลี ไปเป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิ ๑ ก่อนการอาราธนาศีล เจา้ ภาพหรือประธานของงานจะตอ้ งจดุ ธปู เทยี นบชู าพระรัตนตรยั ๒ ทายกหรอื ผทู้ ไ่ี ด้รบั มอบหมายใหท้ าการอาราธนาศลี นัง่ คุกเขา่ ตอ่ หนา้ ประธานสงฆ์ กราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ คร้งั แลว้ ประนมมือต้งั ตวั ตรง จากน้นั กล่าวคาอาราธนาศลี
คาอาราธนาศีล มะยัง ภันเต วิสงุ วิสุง รกั ขะณัตถายะ ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ (คำแปล) ข้ำแตท่ ่ำนผู้เจรญิ ข้ำพเจ้ำทั้งหลำยขอศีลห้ำ พร้อมทง้ั ไตรสรณคมนเ์ พอ่ื จะแยกรกั ษำแตล่ ะขอ้ ทตุ ิยัมปิ มะยัง ภนั เต วิสงุ วิสงุ รกั ขะณตั ถายะ ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ (คำแปล) แมค้ รั้งท่ี ๒ ข้ำแตท่ ำ่ นผู้เจรญิ ... ตะติยัมปิ มะยัง ภนั เต วิสงุ วสิ งุ รกั ขะณตั ถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ (คำแปล) แมค้ รั้งที่ ๓ ข้ำแตท่ ่ำนผู้เจริญ...
๓ เมอื่ พิธกี รอาราธนาศีลเสรจ็ แล้ว พระภกิ ษุทเ่ี ป็นประธานสงฆจ์ ะหยบิ ตาลปตั รยกตั้งขา้ งหน้า แลว้ กลา่ วบทสวด ดงั น้ี คานมสั การพระพทุ ธเจา้ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มำสมั พุทธสั สะ (คำแปล) ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระผูม้ พี ระภำคเจำ้ พระองคน์ น้ั ซ่งึ เป็นผู้ไกลจำกกิเลส ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง ๔ หลงั กล่าวคานมสั การพระพุทธเจ้า พระสงฆ์จะสวดบทไตรสรณคมน์ เมื่อพระสวดใหว้ ่าตาม ดงั นี้
บทไตรสรณคมน์ พุทธัง สะระณงั คัจฉามิ ธัมมงั สะระณัง คจั ฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ (คำแปล) ขำ้ พเจ้ำขอถึงพระพทุ ธเจำ้ เปน็ ที่ระลึก ทตุ ิยมั ปิ พทุ ธัง สะระณงั คัจฉามิ ขำ้ พเจำ้ ขอถงึ พระธรรม เปน็ ทร่ี ะลึก ทตุ ยิ มั ปิ ขำ้ พเจำ้ ขอถึงพระสงฆ์ เป็นที่ระลึก ทตุ ยิ ัมปิ ธมั มงั สะระณงั คจั ฉามิ แม้วำระทสี่ อง ข้ำพเจำ้ ขอถงึ ... ตะตยิ มั ปิ แมว้ ำระที่สำม ข้ำพเจ้ำขอถงึ ... ตะตยิ ัมปิ สังฆงั สะระณัง คจั ฉามิ ตะติยัมปิ พุทธงั สะระณงั คัจฉามิ ธมั มัง สะระณงั คัจฉามิ สังฆงั สะระณงั คจั ฉามิ พระภกิ ษุจะสวดต่อท้ำยว่ำ ติสะระณะคะมะนงั นฏิ ฐิตงั ผูอ้ ำรำธนำศลี จะรับว่ำ อามะ ภันเต
๕ ขัน้ ตอนต่อไป พระภกิ ษจุ ะให้ศีลท่เี ราได้อาราธนาไวค้ ร้งั ละ ๑ ขอ้ ผรู้ ับศลี จะต้องว่าตามท่านดว้ ยความตั้งใจว่าจะนาไปปฏบิ ตั ิ ตามลาดับ ดงั น้ี คาสมาทานเบญจศลี ๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ (คำแปล) ขำ้ พเจำ้ ขอน้อมรบั ขอ้ กำหนดให้ละเวน้ จำกกำรฆำ่ สัตว์ ทำรณุ สัตว์ ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ (คำแปล) ข้ำพเจ้ำขอน้อมรบั ขอ้ กำหนดใหล้ ะเว้นจำกกำรเอำสิ่งของทเ่ี จ้ำของไมไ่ ด้ให้ ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ (คำแปล) ข้ำพเจำ้ ขอนอ้ มรับขอ้ กำหนดใหล้ ะเว้นจำกกำรประพฤตผิ ิดในกำม ๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ (คำแปล) ข้ำพเจำ้ ขอน้อมรับข้อกำหนดใหล้ ะเวน้ จำกกำรพดู เท็จ ๕. สุราเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ (คำแปล) ขำ้ พเจ้ำขอนอ้ มรบั ขอ้ กำหนดใหล้ ะเวน้ จำกกำรเสพสรุ ำและเมรยั อันเป็นทต่ี ้งั แห่งควำมประมำท
๖ จากนนั้ พระภกิ ษุจะสวดอานสิ งส์ของศลี มใี จความสาคญั วา่ “บคุ คลจะถึงสคุ ติโลก จะได้โภคทรัพย์ จะถึงพระนิพพานเพราะศีล เพราะฉะนนั้ ต้องรักษาศลี ใหบ้ ริสทุ ธิ์” เมอื่ พระภิกษสุ วดจบนกั เรยี นตอบรับวา่ “สาธ”ุ แล้วกราบเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ ครั้ง เป็นอนั เสรจ็ สนิ้ การสมาทานศีล
การอาราธนาธรรม การอาราธนาธรรม หมำยถงึ กำรกลำ่ วขอให้พระภกิ ษแุ สดงธรรมให้ฟัง กระทำหลงั จำกทไ่ี ด้กล่ำวอำรำธนำศลี และสมำทำนศลี แลว้ โดยไม่ตอ้ งกรำบอกี คาอาราธนาธรรม พรัหมา จะ โลกาธิปะตี สะหมั ปะติ กัตอัญชะลี อันธวิ ะรงั อะยาจะถะ สนั ตีธะ สตั ตาปปะระชักขะชาตกิ า เทเสตุ ธมั มงั อะนกุ มั ปิมัง ปะชงั (คำแปล) ท้ำวสหัมบดพี รหมผู้เปน็ ใหญข่ องโลก ได้ประนมหตั ถน์ มัสกำรกรำบทลู วิงวอน พระพุทธเจ้ำผู้ประเสริฐว่ำ สัตว์ทั้งหลำยที่มีกิเลสเบำบำงยังมีอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์ทรง แสดงธรรมเพอ่ื อนเุ ครำะห์หมู่สัตว์เหล่ำนั้นเถิด เมือ่ กลา่ วอาราธนาจบ พระภิกษจุ ะแสดงหลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ เมอ่ื จบแล้วให้ผฟู้ ังพระธรรมกม้ กราบ ๓ ครง้ั และถวายเครื่องกัณฑ์เทศน์ทเ่ี ตรียมไว้ พระภกิ ษทุ ี่แสดงธรรมจะใหพ้ รแกผ่ ูท้ าบญุ ให้ผูท้ าบุญกรวดนา้ และตง้ั ใจรบั พรจากพระภิกษุเป็นอันเสร็จพธิ ี
การอาราธนาพระปรติ ร การอาราธนาพระปริตร เปน็ กำรขอให้พระภิกษสุ วดมนต์ ถ้าสวดในงานมงคล เรียกว่า เจริญพระพุทธมนต์ ถ้าสวดในงานอวมงคล เรยี กว่า สวดพระพทุ ธมนต์ การอาราธนาพระปรติ รจะกระทาหลงั จากการสมาทานศลี เมอ่ื พระภกิ ษใุ หศ้ ลี จนจบ ผู้อาราธนาจะกล่าวคาอาราธนาพระปรติ ร จากน้ันพระภิกษเุ จริญพระพทุ ธมนต์ ผู้ร่วมพิธีน่ังพับเพยี บ ประนมมอื ฟงั ด้วยความเคารพ
คาอาราธนาพระปรติ ร วปิ ตั ติปะฏพิ าหายะ สพั พะสัมปตั ติสทิ ธิยา สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง สพั พะสัมปตั ตสิ ทิ ธยิ า วิปตั ตปิ ะฏพิ าหายะ ปะริตตัง พรถู ะ มงั คะลัง สัพพะภะยะวินาสายะ สพั พะสมั ปัตติสิทธิยา ปะรติ ตงั พรูถะ มังคะลัง วิปัตตปิ ะฏิพาหายะ สพั พะโรคะวนิ าสายะ (คำแปล) ขอพระคุณเจำ้ ท้ังหลำย โปรดสวดพระปรติ รอันเปน็ มงคล เพอ่ื ปอ้ งกันควำมทกุ ข์ ภยั อันตรำย และโรคภยั ไข้เจบ็ มิใหเ้ กิดขน้ึ
ระเบียบพธิ ีและการปฏบิ ัตติ นในวนั ธรรมสวนะ วนั ธรรมสวนะ วันธรรมสวนะ คือ วนั ฟงั ธรรม เรียกกันทั่วไปว่ำ วันพระ วนั ธรรมสวนะจะมอี ยู่ ๔ วัน ใน ๑ เดอื น คือ วันแรม ๘ ค่ำ วันขนึ้ ๘ ค่ำ วนั ขน้ึ ๑๕ ค่ำ วนั แรม ๑๕ ค่ำ ระเบียบพธิ ีการปฏบิ ตั ิ • ไปวดั ในวันพระและบำเพ็ญควำมดี เชน่ ทำบญุ ตักบำตร บรจิ ำคทรัพยแ์ ก่คนยำกจน หรือบริจำคเพื่อบำรุงวัด ตั้งใจรักษำศีลให้บริสุทธิ์ตลอดวัน ฟงั พระธรรมเทศนำ และสวดมนต์ • ไม่ทำชัว่ เชน่ ไม่ดม่ื เหล้ำ ไมเ่ ลน่ กำรพนนั ไม่พูดปด ไม่ฆ่ำสตั วห์ รือทำลำยชวี ติ ผู้อน่ื • ทำควำมดี เชน่ กำรมคี วำมเมตตำกรณุ ำใหก้ บั บคุ คลทว่ั ไปและสัตว์ตำ่ งๆ อำ่ นหนังสือธรรมะ สนทนำธรรมกบั ผู้รู้ ทำควำมสะอำดบ้ำนเรือนให้น่ำ อยู่อำศยั เปน็ ตน้
Search