คู่มอื ฐานการเรยี นรู้ นา้ สมุนไพรดอกอัญชนั มีดมี ากกว่าใหส้ สี วย สแกนเพ่อื อา่ น E-book ปาลิตา โตศรีสวสั ดเิ์ กษม ศูนยว์ ิทยาศาสตรเ์ พอื่ การศึกษาสระแก้ว
ฐานการเรยี นรู้ที่ 1 เรื่อง น้าสมนุ ไพรดอกอัญชันมดี มี ากกวา่ ใหส้ สี วย
แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เร่อื ง น้าสมนุ ไพรดอกอัญชนั มดี มี ากกว่าให้สสี วย จ้านวน 3 ชว่ั โมง
แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ที่ 1 เรื่อง น้าสมุนไพรดอกอัญชันมีดีมากกว่าให้สีสวย จา้ นวน 3 ชั่วโมง แนวคิด สมุนไพรไทยในท้องถ่ินมีหลายชนิด ซึ่งนามาเป็นส่วนผสมของยา เคร่ืองสาอาง เครื่องด่ืม ผสมในอาหาร ตา่ ง ๆ ซึง่ สมนุ ไพรอญั ชนั เป็นสมนุ ไพรชนิดหนึ่งทพี่ บมากในทอ้ งถิ่น มีดอกสีมว่ ง สนี าเงิน สีขาว มสี รรพคุณโดดเด่น ในเร่ืองการบารุงเส้นผมให้เงางาม ช่วยบารุงสายตา และมีประโยชน์ในด้านอ่ืน ๆ อีกมากมาย อัญชันถือเป็น สมุนไพรที่มีการใช้มาแต่โบราณ แต่เมื่อนาการบูรณาการความรู้ใน 4 วิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และ คณิตศาสตร์ ท่ีเรียกว่าสะเต็มศึกษามาประยุกต์ใช้ โดยเน้นการนาความรู้มาใช้แก้ปัญหาหรอื การ นาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง จะพบว่ามีการนาเทคโนโลยีมาใช้ คือ การใช้ไซริงดูดนามะนาวท่ีมีสมบัติความเปน็ กรดมาฉีดลงในนาสมุนไพรดอกอัญชันในภาชนะเพ่ือให้สีของนาเปลี่ยนสีจากสีนาเงินเป็นสีม่วง สีม่วงอ่อน โดย สามารถปรบั เปลี่ยนเฉดสีและรสชาติของนาอญั ชนั ได้ตามความต้องการ ใหม้ คี วามแตกตา่ งกันภายในแกว้ เป็นการ ออกแบบและสร้างสรรค์เมนูนาอัญชนั ให้น่าสนใจมากขนึ นอกจากนีเพื่อเปน็ การเพม่ิ ความหลากหลายในนาอัญชัน ผู้ผลติ ยังสามารถใสเ่ นือวุ้น เนือมะพรา้ วอ่อน เม็ดแมงลกั หรือสมุนไพรอ่ืน ๆ ไดต้ ามความต้องการ วัตถุประสงค์ 1. อธิบายการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชนั โดยการบรู ณาการสะเต็มศึกษาและสมุนไพรไทยในท้องถ่ิน 2. ออกแบบ สร้างสรรค์เมนู และลงมือปฏิบัติการทานาสมุนไพรดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็ม ศกึ ษาและสมนุ ไพรไทยในทอ้ งถน่ิ 3. เห็นความสาคัญของการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชันโดยการบูรณาการสะเต็มศกึ ษาและสมนุ ไพรไทยใน ท้องถิน่ เนอื หา 1. การทานาสมุนไพรดอกอัญชนั โดยการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษาและสมนุ ไพรไทยในทอ้ งถน่ิ 1.1 ความรูเ้ บืองต้นเก่ยี วกับสมุนไพรดอกอญั ชัน 1.1.1 ความหมายของสมุนไพร 1.1.2 ช่ือวิทยาศาสตร์ วงศ์ และชื่ออื่น ๆ ของสมุนไพรอญั ชนั 1.1.3 ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ 1.1.4 การเลือกใช้ประโยชนข์ องดอกอญั ชนั 1.1.5 สรรพคุณและขอ้ ควรระวังของสมนุ ไพรดอกอญั ชนั 1.2 วธิ ีการออกแบบและสร้างสรรค์เมนูการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชนั 1.3 หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์นาสมนุ ไพรดอกอญั ชันเปลย่ี นสี 1.3.1 กรด-เบส 1.3.2 รงควตั ถขุ องสดี อกอญั ชนั 1.3.3 วติ ามิน 1.4 ประโยชน์ของนาสมุนไพรดอกอัญชนั
2. การออกแบบและปฏบิ ตั ิการทานาสมุนไพรดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษาและสมนุ ไพรไทย ในท้องถิ่น 2.1 การออกแบบเชงิ วศิ วกรรมการทานาสมุนไพรดอกอญั ชนั โดยการบูรณาการสะเต็มศึกษาและ สมนุ ไพรไทยในทอ้ งถ่นิ 2.1.1 การระบุปัญหา 2.1.2 การค้นหาแนวคดิ ท่เี กี่ยวขอ้ ง 2.1.3 การวางแผนและพัฒนา 2.1.4 การทดสอบและการประเมนิ ผล 2.1.5 การนาเสนอผลลพั ธ์ 2.2 การปฏบิ ัติการทานาสมุนไพรดอกอัญชนั โดยการบูรณาการสะเตม็ ศกึ ษาและสมนุ ไพรไทยใน ทอ้ งถิ่นตามการออกแบบเชิงวิศวกรรมการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชันโดยการบูรณาการสะเตม็ ศึกษาและสมนุ ไพร ไทยในทอ้ งถน่ิ
แผนผงั ความเชือ่ มโยงสะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ท S : Science T : Technology E : Eng วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรร ความรู้ ประโยชน์ท่ไี ด้รบั กระบวนการ 1. ความหมายของ 1. กล่นิ และรสชาติ การผลิต สมุนไพร 2. สรรพคุณของนา 1. การระบปุ ัญ 2. ช่อื วิทยาศาสตร์ วงศ์ สมนุ ไพรดอกอญั ชนั ตอ่ 2. การค้นหาแ และชอื่ อืน่ ๆ ของสมนุ ไพร สขุ ภาพ อญั ชัน เกี่ยวข้อง 2. ลกั ษณะทาง 3. การวางแผ พฤกษศาสตร์ 3. การเลือกใชป้ ระโยชน์ พัฒนา ของดอกอญั ชนั 4. การทดสอบ 4. สรรพคุณและขอ้ ควร ระวังของสมุนไพรดอก ประเมนิ ผล อัญชัน 5. การนาเสน 4. กรด-เบส 5. รงควัตถขุ องสดี อก อัญชนั 6. วิตามนิ แผนผังความเช่อื มโยงสะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถนิ่
ที่สอดคลอ้ งกับเนือหา เรือ่ ง “นาสมุนไพรอญั ชนั มดี มี ากกว่าให้สีสวย” gineering M : Mathematics C : Culture รมศาสตร์ คณิตศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่น รออกแบบ ความรู้ ตน้ กา้ เนดิ 1. การชัง่ ปรมิ าณ 1. ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ญหา แนวคดิ ที่ วตั ถุดิบในการทา ด้านการทานา นาสมนุ ไพรดอก สมนุ ไพรดอก ผนและการ อัญชัน เชน่ อญั ชัน นาตาล สมนุ ไพร บและการ 2. การตวงนา และ 2. ภูมิปัญญาท้องถนิ่ ล นามะนาว ด้านสมุนไพร นอผลลัพธ์ 3. รปู ทรงเรขาคณิต เพือ่ ใช้ในการ ของภาชนะที่ ประกอบอาชีพ บรรจุนาสมนุ ไพร 4. การคานวณหา ต้นทุน/กาไร นทีส่ อดคลอ้ งกบั เนอื หา เรอื่ ง “นา้ สมุนไพรอญั ชันมีดีมากกว่าให้สีสวย”
ขนั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ขันท่ี 1 กิจกรรมการเรียนรปู้ ระสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผูจ้ ัดกิจกรรมทักทายและแนะนาตนเองแกผ่ ู้รับบรกิ าร รวมทังชีแจงวัตถุประสงค์ของฐานการ เรยี นรู้ เร่อื ง นาสมุนไพรอัญชนั มีดมี ากกว่าใหส้ ีสวย ได้แก่ (1) อธิบายการทานาสมุนไพรดอกอญั ชันโดยการบรู ณาการสะเต็มศึกษาและสมนุ ไพรไทย ในทอ้ งถนิ่ (2) ออกแบบและสร้างสรรค์เมนูการทานาสมุนไพรดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา และสมุนไพรไทยในท้องถน่ิ (3) เหน็ ความสาคัญของการนาสมนุ ไพรดอกอญั ชนั โดยการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษาและสมุนไพร ไทยในท้องถ่ิน หลงั จากนันผูจ้ ดั กิจกรรมเกร่ินวา่ กิจกรรมการเรียนรู้การทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชันเปน็ การเรยี นรสู้ ะ เตม็ ศึกษาบรู ณาการกบั ทอ้ งถนิ่ ซึง่ สะเต็มศึกษาเป็นการบรู ณาการวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และ คณติ ศาสตร์ ท่ีผู้รับบรกิ ารจะได้ลงมือปฏิบตั เิ รียนรกู้ ารทางานและใช้ความคดิ ในดา้ นต่าง ๆ ซึ่งผู้รับบริการตอ้ ง ออกแบบและสรา้ งสรรค์สงิ่ ทีต่ อ้ งการพัฒนาหรอื นวตั กรรมเพอ่ื แกป้ ัญหาในชวี ติ จริงรวมทังการพฒั นาผลผลติ ใหม่ที่ เปน็ ประโยชน์ต่อการดาเนินชีวติ และการประกอบอาชีพผ่านประสบการณ์ในการทากิจกรรมในครงั นี ซึ่งกิจกรรม ดงั กลา่ วจะเป็นการบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถิน่ เขา้ ไปดว้ ย วัฒนธรรมเปน็ ทุกส่ิงทกุ อยา่ งทสี่ รา้ งขึนเพอ่ื การ ดารงชวี ิตที่ดีขึนมกี ารสบื ทอดมรดกทางสงั คมไปสู่คนรุ่นหลัง วฒั นธรรมจึงแสดงถึงขีดความสามารถของมนุษยเ์ พ่อื สร้างองค์ความรใู้ หม่ ๆ สาหรบั การปรับตวั แกป้ ญั หา พฒั นาวถิ กี ารดาเนนิ ชีวิตและตอบสนองความต้องการของ มนุษยท์ งั ทางกายและใจ 2. ผูจ้ ดั กิจกรรมให้ผรู้ ับบรกิ ารทาแบบทดสอบก่อนเรียน เรอ่ื ง นาสมุนไพรอัญชันมดี มี ากกว่าให้สีสวย 3. ผู้จัดกิจกรรมซักถามประสบการณเ์ ดมิ ของผู้รับบรกิ ารเกี่ยวกับเรอื่ งที่จะเรยี นรู้ โดยสุม่ ผู้รบั บรกิ าร จานวน 3 – 5 คน ตามความสมคั รใจ ให้ตอบคาถาม จานวน 4 ประเด็น ดงั นี ประเด็นท่ี 1 “ท่านคิดว่า การทานาสมนุ ไพรดอกอัญชัน คืออะไร และมวี ิธีการทาอยา่ งไรบา้ ง ให้ ยกตวั อย่าง” ประเด็นท่ี 2 ให้ระบปุ ญั หาในชวี ิตจรงิ ทีพ่ บเกย่ี วกบั การทานาสมุนไพรดอกอัญชันว่ามปี ญั หา อะไรบ้าง และจะแก้ไขได้อยา่ งไร ประเดน็ ที่ 3 “การทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชันใชเ้ วลานานหรอื ไม่ อยา่ งไร” ประเดน็ ที่ 4 “ท่านคดิ ว่ามวี ิธีการทานาสมุนไพรดอกอญั ชันได้หรือไม่ อย่างไร” 4. ผ้จู ดั กิจกรรมและผรู้ บั บริการแลกเปลย่ี นความคิดเห็นและสรปุ ผลการเรียนรู้รว่ มกัน 5. ผู้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมของผู้รับบริการกับเนือหาการเรียนรู้ เร่ือง การทานา สมุนไพรดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษาและสมุนไพรไทยในท้องถ่ิน โดยบรรยายเร่ือง การทานา สมุนไพรดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษาและสมุนไพรไทยในท้องถิ่น ตามใบความรู้ของผู้จัดกิจกรรม เรื่อง การทานาสมุนไพรดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษาและสมุนไพรไทยในท้องถิ่น ซึ่งมีรายละเอียด หวั ขอ้ ของเนือหาดังนี การทา้ น้าสมุนไพรดอกอัญชนั โดยการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษาและสมุนไพรไทยในท้องถ่นิ (1) ความรูเ้ บืองต้นเกี่ยวกบั สมนุ ไพรดอกอัญชนั (1.1) ความหมายของสมนุ ไพร (1.2) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ วงศ์ และชื่ออนื่ ๆ ของสมุนไพรอญั ชัน (1.3) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
(1.4) การเลอื กใชป้ ระโยชน์ของดอกอญั ชัน (1.5) สรรพคณุ และข้อควรระวังของสมุนไพรดอกอัญชัน (2) วิธีการออกแบบและสรา้ งสรรค์เมนกู ารทานาสมุนไพรดอกอัญชนั (3) หลักการทางวทิ ยาศาสตร์นาสมนุ ไพรดอกอัญชนั เปลย่ี นสี (3.1) กรด-เบส (3.2) รงควตั ถขุ องสีดอกอัญชนั (3.3) วติ ามนิ 1.4 ประโยชน์ของนาสมุนไพรดอกอญั ชัน หลังจากนัน ผจู้ ดั กิจกรรมเชอ่ื มโยงสะเต็มศกึ ษากับการบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถิน่ ทส่ี อดคล้อง กับเนือหาท่ีจะเรยี นรู้ ตามใบความรขู้ องผู้จัดกจิ กรรม เรือ่ ง แผนผงั ความเช่อื มโยงสะเต็มศกึ ษากบั การบูรณา การวัฒนธรรมท้องถน่ิ ท่ีสอดคล้องกบั เนอื หาสะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ “นาสมุนไพรอญั ชันมดี ี มากกว่าให้สีสวย” ดงั นี 5.1 Science (วทิ ยาศาสตร์) ความรู้ (1) ความหมายของสมนุ ไพร (2) ช่ือวิทยาศาสตร์ วงศ์ และชอ่ื อืน่ ๆ ของสมุนไพรอญั ชนั (3) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ (4) การเลือกใช้ประโยชน์ของดอกอญั ชนั (5) สรรพคุณและข้อควรระวงั ของสมุนไพรดอกอญั ชัน (6) กรด-เบส (7) รงควัตถขุ องสดี อกอัญชัน (8) วิตามนิ 5.2 Technology (เทคโนโลยี) ประโยชนท์ ไี่ ดร้ ับ (1) กล่นิ และรสชาติ (2) สรรพคณุ ของนาสมุนไพรดอกอัญชันต่อสุขภาพ 5.3 Engineering (วิศวกรรมศาสตร์) กระบวนการออกแบบการผลิต (1) การระบุปญั หา (2) การค้นหาแนวคดิ ท่ีเกี่ยวข้อง (3) การวางแผนและการพัฒนา (4) การทดสอบและการประเมินผล (5) การนาเสนอผลลัพธ์ 5.4 Mathematics (คณิตศาสตร)์ ความรู้ (1) การชั่งปรมิ าณวัตถดุ ิบในการทานาสมุนไพรดอกอัญชนั เชน่ นาตาล สมุนไพร (2) การตวงนา และนามะนาว (3) การคานวณหา ตน้ ทุน/กาไร
(4) รปู ทรงเรขาคณติ ของภาชนะที่บรรจุนาสมนุ ไพร 5.5 Culture (วัฒนธรรมท้องถ่ิน) ต้นกา้ เนดิ (1) ภมู ิปัญญาท้องถิน่ ดา้ นการทานาสมนุ ไพรดอกอัญชนั (2) ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ด้านสมุนไพรเพอื่ ใชใ้ นการประกอบอาชีพ 6. ผจู้ ัดกิจกรรมแจกใบความรู้สาหรับผู้รับบริการ เรือ่ ง “นาสมุนไพรอญั ชันมีดีมากกวา่ ให้สีสวย” ให้ ผู้รบั บรกิ ารศึกษาเปน็ ขอ้ มลู และแนวคิดเกยี่ วกับส่ิงที่จะเรยี นรู้ ประกอบการออกแบบวธิ กี ารแก้ปัญหาโดย เช่อื มโยงสะเต็มศกึ ษาทบี่ ูรณาการกบั วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ หลังจากนัน ผ้จู ัดกิจกรรมและผู้รับบรกิ ารแลกเปล่ียน ความคดิ เหน็ และสรุปผลการเรยี นรู้รว่ มกัน ขนั ตอนที่ 2 กิจกรรมการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ท่ที ้าทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมเชอ่ื มโยงเนอื หาในขนั ตอนท่ี 1 เรื่อง นาสมนุ ไพรอัญชนั มดี ีมากกว่าใหส้ ีสวย” โดยให้ ผู้รับบรกิ ารชมคลิปวิดีโอเรื่อง การทานาสมุนไพรดอกอัญชนั จากอินเตอร์เนต็ https://cookpad.com/th/recipes/2391288-น้ำอญั ชนั มะนำว จานวน 5 นาที หลงั จากนันผจู้ ัดกิจกรรมเสนอ สถานการณ์ในชีวิตจรงิ ท่เี กี่ยวข้อง ดงั ตัวอย่าง ปจั จุบนั สมุนไพรดอกอญั ชันมีมากมายในทอ้ งถ่ิน สามารถนามาทาเปน็ เคร่อื งดืม่ ใชเ้ ป็นสผี สมอาหาร ประกอบอาหาร เครอื่ งสาอาง และเปน็ ตัวทดสอบอนิ ดเิ คเตอร์ ผู้จัดกิจกรรมตังประเด็นคาถามให้กับผู้รับบริการว่า “ถ้าสมมุติว่าท่านเป็นผู้ผลิตนาสมุนไพรดอก อญั ชันขายในตลาด ใหม้ ีความแตกตา่ งกว่านาสมุนไพรดอกอญั ชนั ทวั่ ๆ ไป ท่านจะมวี ธิ ใี ดบา้ งทจ่ี ะทาใหน้ าสมนุ ไพร ดอกอัญชนั ให้หอมอร่อย สดช่นื น่าดืม่ มากกว่าเดิม” หลังจากนันผู้จัดกิจกรรมอธิบายและสาธิตการทานาสมุนไพรดอกอัญชัน ตามใบความรู้สาหรับผู้จัด กจิ กรรมเร่ือง การทานาสมุนไพรดอกอัญชัน พร้อมทังให้ผ้รู ับบริการร่วมปฏบิ ัตใิ นการสาธิตของผู้จัดกจิ กรรมดว้ ย 2. ให้ผู้รับบริการตังประเด็นข้อสงสัยหรือส่ิงท่ีอยากรู้ในกระบวนการหรือหลักการที่เกี่ยวข้องจากการ สาธติ ของผ้จู ัดกิจกรรม รวมไปถงึ การนาไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ จริง 3. ผู้จดั กิจกรรมและผู้รับบรกิ ารแลกเปล่ียนความคิดเหน็ และสรปุ ผลการเรียนรู้รว่ มกนั ขันตอนท่ี 3 กิจกรรมการสรุปผลการน้าวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจ้าวัน (I : Implementation Conclusion Activity) 1. แบง่ ผรู้ บั บรกิ ารออกเปน็ กลมุ่ ๆ ละ 4 – 8 คน ใหอ้ อกแบบและสร้างสรรค์เมนู ลงมือปฏบิ ัติโดยการ วางแผนและดาเนินการเก่ียวกบั การทานาสมนุ ไพรดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษาและสมุนไพรไทยใน ท้องถิ่น ตามใบกิจกรรมของผู้รับบริการเร่ือง ออกแบบและสรา้ งสรรค์เมนูการทานาสมุนไพรดอกอัญชันโดยการบรู ณาการสะเต็มศกึ ษาและสมุนไพรไทยในทอ้ งถิน่ ทังนี ผูจ้ ัดกิจกรรมเตรียมวัสดอุ ุปกรณ์ใหก้ ับผู้รับบริการในการออกแบบและสร้างเมนกู ารทานาสมนุ ไพร ดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษาและสมุนไพรไทยในท้องถิ่น (นาเปล่า/นาแข็ง/ดอกอัญชัน/นาตาล/ มะนาว หมอ้ / เตาแก๊ส /ตาช่ัง/ ตะแกรงกรอง/ กระบวย/ กระบอกตวงนา /ผลิตภัณฑ์บรรจนุ าสมนุ ไพร) 2. ผู้รับบรกิ ารนาเสนอผลงานการออกแบบและสรา้ งสรรคเ์ มนู ลงมือปฏิบัติการทดลอง 3. ให้ผู้รบั บรกิ ารตอบคาถามจากประสบการณ์ท่ีได้เรียนรู้ผ่านกจิ กรรมครงั นี ในประเดน็ ประเดน็ ที่ 1 ในการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชันของท่านมีลักษณะและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ประเดน็ ที่ 2 ทา่ นใช้ความรทู้ างดา้ นวทิ ยาศาสตรใ์ นกจิ กรรมการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชนั บา้ ง
หรอื ไม่ อยา่ งไร ประเด็นท่ี 3 ท่านใช้ความรูท้ างดา้ นคณติ ศาสตร์ในกจิ กรรมการทานาสมนุ ไพรดอกอัญชนั บ้าง หรือไม่ อย่างไร ประเดน็ ที่ 4 ท่านใช้อินเตอร์เน็ตสบื ค้นข้อมูลบ้างหรือไม่ สบื คน้ ในเร่ืองใดบ้าง ประเด็นที่ 5 ท่านใชก้ ระบวนการเทคโนโลยีในกจิ กรรมการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชันบ้างหรอื ไม่ อยา่ งไร 4. ให้ผรู้ ับบรกิ ารตอบคาถามโดยสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถามใน ประเด็น “ท่านจะนาความรู้ เร่ือง นาสมุนไพรอัญชันมีดีมากกว่าให้สีสวย ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาหรือใช้ ประโยชนใ์ นชีวิตจริงไดอ้ ย่างไร 5. ผ้จู ัดกจิ กรรมและผรู้ บั บริการแลกเปลยี่ นความคดิ เห็นและสรปุ ผลการเรียนรู้รว่ มกนั ตาม PowerPoint เร่อื งการสรปุ ผลการเรยี นรู้เรอ่ื ง นาสมุนไพรอญั ชันมดี มี ากกว่าใหส้ ีสวย 6. ให้ผรู้ ับบรกิ ารทาแบบทดสอบหลังเรียน เรอ่ื ง นาสมนุ ไพรอญั ชันมีดมี ากกว่าให้สสี วย 7. ใหผ้ ู้รบั บริการทาแบบประเมินความพึงพอใจในการเข้ารว่ มกจิ กรรม สือ่ วสั ดอุ ุปกรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบก่อนเรียน เรอื่ ง นาสมนุ ไพรอญั ชนั มดี ีมากกว่าใหส้ สี วย 2. ใบความรู้ของผู้จัดกิจกรรม เรื่อง การทานาสมุนไพรดอกอัญชันโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษาและ สมุนไพรไทยในท้องถ่ิน 3. ใบความรู้ของผู้จัดกิจกรรม เร่ือง แผนผังกระบวนการและเนือหา สะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรม ทอ้ งถิน่ “นาสมนุ ไพรอญั ชนั มีดมี ากกว่าใหส้ สี วย” 4. ใบความรสู้ าหรับผ้รู ับบริการ เรอื่ ง นาสมนุ ไพรอญั ชันมีดมี ากกว่าใหส้ สี วย 5. คลิปวิดีโอเร่ือง การทานาสมนุ ไพรดอกอัญชนั 6. ใบความรู้สาหรบั ผู้รับบริการ เร่ือง การทานาสมนุ ไพรดอกอัญชัน 7. ใบกิจกรรมของผู้รับบริการ เร่ือง ออกแบบและสร้างเมนูพร้อมลงมือปฏิบัติการทานาสมุนไพรดอก อญั ชันโดยการบรู ณาการสะเต็มศกึ ษาและสมุนไพรไทยในทอ้ งถ่ิน 8. วัสดุอุปกรณ์ให้กับผู้รับบริการในการออกแบบและสร้างเมนูพร้อมลงมือปฏิบัติการทานาสมุนไพรดอก อญั ชนั โดยการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษาและสมุนไพรไทยในทอ้ งถ่นิ ((นาเปล่า/ดอกอัญชนั /นาตาล/ มะนาว หม้อ/ เตา แกส๊ /ตาช่ัง/ ตะแกรงกรอง/ กระบวย/ กระบอกตวงนา /ผลิตภณั ฑบ์ รรจุนาสมนุ ไพร) 9. PowerPoint เรือ่ งการสรปุ ผลการเรยี นรูเ้ ร่อื ง นาสมนุ ไพรอญั ชันมดี ีมากกวา่ ให้สสี วย 10. แบบทดสอบหลังเรยี น เรอื่ ง นาสมุนไพรอัญชนั มีดมี ากกว่าให้สสี วย 11. แบบประเมนิ ความพึงพอใจทม่ี ีต่อกิจกรรมการเรยี นรูเ้ รอ่ื ง ในการเขา้ ร่วมกจิ กรรม การวดั และประเมินผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นรว่ ม ความตังใจ และความสนใจของผูร้ ับบรกิ าร 2. ผลการทดสอบกอ่ นและหลงั เรียน 3. ผลการออกแบบและสรา้ งสรรค์นวัตกรรมและส่ิงท่ีต้องการพฒั นา/ชนิ งาน/ผลงาน 4. ผลการประเมินความพงึ พอใจในการเข้ารว่ มกจิ กรรม
บันทึกผลหลงั การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการใชแ้ ผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 1. จานวนเนอื หากับจานวนเวลา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล ...................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 2. การเรียงลาดับเนือหากบั ความเขา้ ใจของผรู้ บั บรกิ าร เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 3. การนาเข้าส่บู ทเรยี นกับเนือหาแต่ละหัวข้อ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 4. วธิ กี ารจัดกจิ กรรมการเรียนรกู้ บั เนือหาในแตล่ ะข้อ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตุผล ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 5. การประเมนิ ผลกับวัตถปุ ระสงค์ในแต่ละเนอื หา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตุผล ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ผลการเรียนรู้ของผ้รู บั บรกิ าร ............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ของผูจ้ ัดกจิ กรรม ............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ขอ้ เสนอแนะ ............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................
แบบทดสอบก่อนเรียน เร่อื ง น้าสมนุ ไพรดอกอัญชนั มีดมี ากกว่าให้สสี วย คา้ ชแี จง 1. แบบทดสอบจานวน 5 ข้อ ขอ้ ละ 2 คะแนน คะแนนเตม็ 10 คะแนน 2. ใหเ้ ลอื กคาตอบทีถ่ กู ท่ีสุดเพียงขอ้ เดียว 1. สมุนไพร หมายถึงขอ้ ใด ก. ผลติ ผลธรรมชาติ ไดจ้ าก พืช ทใี่ ช้เป็นยา หรอื ผสมกบั สารอืน่ ตามตารบั ยา เพ่ือบาบัดโรค บารุง ร่างกาย หรอื ใช้เป็นยาพิษ ข. ผลติ ผลธรรมชาติ ไดจ้ าก สัตว์ และแร่ธาตุ ที่ใช้เปน็ ยา หรือผสมกบั สารอ่ืนตามตารบั ยา เพ่ือ บาบัดโรค บารงุ รา่ งกาย หรอื ใช้เป็นยาพิษ ค. ผลติ ผลธรรมชาติ ไดจ้ าก แร่ธาตุ ทใี่ ช้เปน็ ยา หรือผสมกบั สารอ่นื ตามตารับยา เพ่อื บาบดั โรค บารุง ร่างกาย หรอื ใช้เปน็ ยาพษิ ง. ผลิตผลธรรมชาติ ได้จาก พืช สตั ว์ และแร่ธาตุ ที่ใชเ้ ปน็ ยา หรอื ผสมกับสารอื่น ตามตารับยา เพอ่ื บาบัดโรค บารงุ ร่างกาย หรอื ใช้เปน็ ยาพิษ 2. สมุนไพรดอกอญั ชันนอกจากทาเครื่องดื่มสมุนไพรแล้ว ยังนาไปทาอะไรได้อีก ก. ผสมในอาหาร ข. เคร่อื งสาอาง ค. ทดลองอินดิเคเตอร์ ง. ถูกทกุ ข้อ 3. ข้อใดตอ่ ไปนกี ล่าวถกู ต้อง ก. สารทีอ่ ยู่ในดอกอัญชันชว่ ยเพ่ิมประสิทธิการทางานของดวงตา ตามัว ตาฟาง ข. อัญชนั เป็นพืชตระกลู ถั่ว ปลกู ได้ท่วั ไป ค. ดอกอญั ชันมีสนี าเงินและสมี ว่ งเท่านนั ง. ขอ้ ค กล่าวไมถ่ กู ตอ้ ง 4. การนาสมุนไพรไปใช้ ผ้ใู ชต้ อ้ งศึกษาเรียนรู้เก่ียวกบั อะไรบ้าง ก. ความรู้ด้านวทิ ยาศาสตร์ ข. ความร้ดู ้านพฤกษศาสตร์ ค. ความรู้ด้านวธิ ีการใชย้ าสมุนไพร ง. ถกู ทุกข้อ 5. สารใดต่อไปนที ี่มอี ยู่ในดอกอญั ชัน ก. ฟโี อไฟตนิ ข. คลอโรฟลิ ส์ ค. แคโรทีนอยด์ ง. แอนโทไซยานิน
ใบความรู้ส้าหรับผ้จู ดั กิจกรรม เร่อื ง การทา้ นา้ สมุนไพรดอกอัญชนั โดยการบูรณาการสะเตม็ ศึกษาและสมนุ ไพรไทยในท้องถน่ิ 1. ความรเู้ บืองต้นเกย่ี วกบั สมุนไพรดอกอัญชนั สมนุ ไพร หมายถงึ \"ผลติ ผลธรรมชาติ ได้จาก พชื สตั ว์ และแร่ธาตุ ท่ใี ชเ้ ป็นยา หรอื ผสมกับสารอนื่ ตามตารับยา เพอื่ บาบัดโรค บารงุ รา่ งกาย หรือใชเ้ ปน็ ยาพษิ \" หากนาเอาสมนุ ไพรตังแต่สองชนิดขนึ ไปมาผสม รวมกันซง่ึ จะเรียกว่า ยา ในตารบั ยา นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสตั ว์และแร่ธาตอุ กี ด้วย เราเรยี ก พืช สัตว์ หรอื แรธ่ าตุท่เี ปน็ ส่วนประกอบของยานีวา่ เภสัชวตั ถุ พืชสมนุ ไพรบางชนดิ เชน่ เรว่ กระวาน กานพลู และจันทน์เทศ เปน็ ตน้ 1.1 ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Clitoria ternatea L. ช่ือสามญั : Blue Pea, Butterfly Pea วงศ์ : LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE ช่ืออื่น : แดงชนั (เชยี งใหม)่ ; อัญชัน (ภาคกลาง); เออื งชัน (ภาคเหนือ) 1.2 ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ เปน็ ไมล้ ม้ ลุกเลือยพัน ยาว 1-5 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรยี งสลบั ใบยอ่ ย 3-9 ใบ รูปรีแกมขอบขนานหรือรูปรีแกมไขก่ ลับ กวา้ ง 1-3 ซม. ยาว 2-5 ซม. ดอกเดีย่ ว ออกท่ีซอกใบ กลบี ดอกรปู ดอกถ่วั สีนาเงิน ม่วงหรือขาว ตรงกลางกลบี สีเหลืองหมน่ ขอบสขี าว ผลเป็นฝกั รปู ดาบ โคง้ เลก็ น้อย ปลายเป็นจะงอย แตกเปน็ 2 ฝา เมล็ดรปู ไต จานวน 6-10 เมลด็ 1.3 การเลือกใช้ประโยชน์ ส่วนที่ใช้ : กลีบดอกสดสีนาเงนิ จากต้นอญั ชัน และรากของต้นอญั ชันดอกสีขาว - ดอกสนี าเงนิ ใช้เปน็ สแี ต่งอาหาร ขนม ใชก้ ลีบดอกสด ตาเติมนาเลก็ น้อย กรองด้วยผา้ ขาวบาง คนั เอานาออก จะไดน้ าสีนาเงนิ (Anthocyanin) ใชเ้ ป็น indicator แทน lithmus ถา้ เตมิ นามะนาวลงไปเลก็ น้อย จะกลายเปน็ สีม่วง ใช้แตง่ สอี าหารตามต้องการ มักนิยมใช้แต่งสนี าเงนิ ของขนมเรไร ขนมนาดอกไม้ ขนมขหี นู และ ยังนาดอกสดมารบั ประทานเป็นเครือ่ งเคยี งคู่กบั นาพรกิ ชนิดตา่ ง ๆ นามาตม้ ดื่ม หรอื นามาใช้บารุงผมให้ดกดาเงา งามและรักษาผมร่วงไดอ้ ีกด้วย - รากตน้ อัญชนั ดอกสขี าว ใชเ้ ป็นยาขับปัสสาวะ ยาระบาย
1.4 สรรพคณุ และข้อควรระวงั ของสมนุ ไพร ดอกอญั ชนั มีคุณสมบตั ิในการเป็นสารตา้ นอนุมลู อิสระ โดยในดอกอญั ชนั นันมีสารตัวหนึง่ ที่ช่อื ว่า แอนโทไซยานนิ (Anthocyanin) ซึ่งสารชนิดนสี ามารถช่วยเพมิ่ ประสทิ ธิภาพการทางานของดวงตา เพม่ิ ความ สามารถในการมองเหน็ แกอ้ าการตาฟาง ตามวั หรือภาวะการเส่อื มของดวงตาทมี่ าจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน โรคตอ้ กระจก และมีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวยี นของโลหิต ทาให้เลือดไปเลียงส่วนตา่ ง ๆ ไดด้ ีมากขึน และยงั มีฤทธิ์ตา้ นการออกซิเดชนั่ ของไขมัน ชะลอการเกดิ โรคทเ่ี กดิ จากคอเลสเตอรอลชนดิ ทไ่ี ม่ดี (LDL) อุดตันในหลอด เลือด และโรคหลอดเลอื ดหัวใจแข็งตัวอีกด้วย และคุณสมบตั ิทส่ี าคญั อีกอยา่ งหน่งึ กค็ ือ ดอกอญั ชันนนั ยังช่วยยบั ยัง การรวมตัวของเกลด็ เลอื ด ชว่ ยขับปัสสาวะ และช่วยผอ่ นคลายกล้ามเนอื สรรพคณุ สมุนไพรอญั ชนั แบง่ ออกได้ดงั นี (1) ดอกอัญชนั - ชว่ ยเสริมสร้างภูมติ ้านทานให้รา่ งกายและเพ่มิ พลงั ทาใหร้ า่ งกายมีแรงขึน - สารต้านอนมุ ูลอสิ ระในดอกอัญชนั ชว่ ยในการชะลอวยั และรวิ รอยแหง่ วยั - ชว่ ยบารงุ สมอง - ชว่ ยลดความเสยี่ งของการเกดิ โรคหัวใจและภาวะหลอดเลือดหวั ใจอดุ ตัน - ช่วยลดความเสย่ี งจากการเกดิ โรคมะเร็ง - ช่วยลดระดับนาตาลในเลอื ดในผ้ปู ่วยโรคเบาหวาน - ช่วยล้างสารพิษและขบั ของเสียออกจากร่างกาย - แกอ้ าการปสั สาวะพิการ - แกอ้ าการฟกชา - ชว่ ยปอ้ งกันและบรรเทาอาการเหนบ็ ชาตามนิวมือนิวเท้า (2) ใบอญั ชัน - ช่วยขับปัสสาวะ - ช่วยบารงุ สายตาและอาการตาแฉะได้ (3) รากอัญชัน - นามาปรุงเป็นเป็นยาขับปัสสาวะและยาระบายได้ - แกอ้ าการปวดฟนั และทาให้ฟนั แขง็ แรง โดยการนารากมาถูทฟี่ ัน - ช่วยเพิม่ ประสทิ ธิภาพในการมองเหน็ ให้ดียิง่ ขึน โดยนารากไปถกู ับนาฝน แลว้ นามาท่ี หยอดตาและหู ขอ้ ควรระวัง ดอกอญั ชันเป็นสมนุ ไพร แตก่ ย็ ังมโี ทษถา้ หากใช้มากเกินไป โดยอย่าดืม่ นาอัญชนั ท่ีมีสเี ข้มมากเกินไป เพราะจะทาใหไ้ ตทางานหนักขนึ ในการขับสารสีจากอัญชันออกมา และผู้ที่ป่วยดว้ ยโรคโลหิตจางกไ็ ม่ควรจะ รบั ประทานดอกอญั ชนั รวมทังอาหารหรือเครื่องดมื่ ท่ีมสี ่วนประกอบของอญั ชันดว้ ย เพราะในดอกอญั ชันนันมีสารท่ี มฤี ทธใ์ิ นการละลายล่ิมเลอื ด อาจเปน็ อนั ตรายตอ่ ผู้ปว่ ยโลหิตจาง
2. วธิ ีการออกแบบและสร้างสรรค์เมนูการท้าน้าสมุนไพรดอกอัญชัน ลักษณะของดอกอัญชนั ดอกอัญชันจะแทงดอกออกบริเวณปลายยอดตามซอกใบทข่ี อ้ ก่งิ ดอกเปน็ ดอก เดี่ยว มี 3 ชนิด คือ ดอกสขี าว สีม่วง และนาเงนิ ปจั จบุ ันมีการกลายพนั ธเุ์ ป็นหลายสี เช่น สีเหลือง สีชมพู และสี คราม ดอกมีทงั ดอกชนั เดียว และดอกบิดซ้อนกนั ดอกมลี กั ษณะคล้ายดอกถวั่ หรอื ฝาหอยเซลล์ กลีบดอกยาว ประมาณ 4-9 ซม. กลีบเลียงยาว 1.7-2.2 ซม. มขี นปกคลุมเลก็ นอ้ ย วธิ กี ารทานาสมุนไพรดอกอญั ชนั มะนาว จะนาส่วนของดอกท่ีมีสนี าเงนิ จะใชแ้ บบดอกสดหรอื แห้งก็ได้ มา ต้มในนาเดอื ด ประมาณ 2-3 นาที ใช้ตะแกรงกรองแยกเอาแต่นา แลว้ เตมิ นาตาลหรอื นาเชื่อม หรือใสน่ าผงึ กไ็ ด้ ถ้าจะให้มีรสชาติเปรียวอมหวานกลมกลอ่ มจะต้องเติมมะนาวลงไป เมื่อเตมิ มะนาวลงไปแล้วนาอัญชันจะเปลย่ี นสี จากสีนาเงินเปน็ สมี ่วง หรอื สมี ว่ งออ่ น ทาให้ดนู ่าสนใจยิง่ ขึน นอกจากนเี พอื่ เป็นการเพิม่ ความหลากหลายในนา อัญชันผูผ้ ลิตยงั สามารถใสเ่ นอื ว้นุ เนอื มะพรา้ วอ่อน เม็ดแมงลกั หรอื สมนุ ไพรอนื่ ๆ ได้ตามความต้องการ วธิ ีทามี ดังนี สว่ นผสม - ดอกอัญชันแห้ง 10 กรมั - นา 2 ลติ ร - นาตาลทราย 350 กรมั - นามะนาว (ตามชอบ) - นาแขง็ วิธีทานาอญั ชนั 1. ล้างดอกอัญชัน และนานาสะอาดตังไฟตม้ นาให้เดือดแล้วใสด่ อกอัญชนั ในนาเดือด ปิดฝา ต้มต่อ ประมาณ 2-3 นาที ยกลงจากเตา กรองดอกอญั ชันออกเอาเฉพาะนา 2. ใส่นาตาลทรายคนให้ละลาย ต้มตอ่ ใหพ้ อเดอื ดแล้วยกลง รอจนนาอัญชันเริ่มเยน็ นาไซรงิ ทม่ี นี ามะนาว ฉีดลงในแกว้ ตามชอบแล้วนานาแข็งใส่ตามลงไปในแก้วแล้วใสน่ าอญั ชันลงไป สจี ากนาอัญชันจะเริ่มเปลย่ี นเป็นสี มว่ งอ่อน และเขม้ ตามลาดับ ถา้ ต้องการให้มเี นอื วนุ้ มะพร้าวออ่ น เม็ดแมงลกั และสมนุ ไพรอ่นื ๆ กเ็ พ่ิมในแกว้ ก็ได้ เหมือนกนั ก็จะไดค้ วามอรอ่ ยเพิม่ ขึนอกี ดว้ ย 3. หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์น้าสมุนไพรดอกอัญชันเปลี่ยนสี 3.1 กรด-เบส สารละลายกรด – เบส สมบัติของสารละลายกรด – เบส สารละลายตา่ ง ๆ ที่ใช้ในชีวติ ประจาวันแตล่ ะชนดิ จะมีสมบตั ิแตกต่างกนั มีทังชนิดท่ีมีฤทธิ์กดั กร่อน หรือทเี่ รียกวา่ มีสมบัตเิ ปน็ กรด และชนิดทีม่ สี มบัตเิ ปน็ เบส สารบางชนดิ เปน็ อนั ตราย แต่บางชนิดสามารถนามาใช้
ประโยชน์ได้ สมบัตขิ องสารละลายกรด-เบส จงึ เป็นเกณฑ์อกี ประเภทหนึ่งท่นี ักวทิ ยาศาสตรน์ ามาใช้ในการจาแนก ประเภทของสาร สารละลายกรด กรด หมายถึง สารประกอบทมี่ ีธาตไุ ฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ เมอื่ ละลายนาแล้วสามารถแตกตวั ให้ ไฮโดรเจนไอออน ( H+ ) สมบัติของสารละลายกรด 1. กรดทุกชนดิ มรี สเปรียว 2. เปลีย่ นสกี ระดาษลิตมัสจากสีนาเงินเป็นสีแดง (มีค่าpH นอ้ ยกว่า 7) 3. ทาปฏิกริ ิยากบั โลหะ เช่น สงั กะสี ทองแดง แมกนีเซียม อะลูมเิ นียม จะไดฟ้ องแกส๊ ไฮโดรเจนออกมา 4. กรดมีสมบตั กิ ดั กรอ่ นโลหะ หนิ ปูน เนือเยื่อของรา่ งกาย ถา้ กรดถกู ผิวหนังจะทาให้ผวิ หนงั ไหม้ ปวด แสบปวดรอ้ น ถ้ากรดถกู เส้นใยของเสือผา้ เสน้ ใยจะถกู กัดกร่อนให้ไหม้ได้ นอกจากนียงั ทาลายเนอื ไม้ กระดาษ และพลาสติกบางชนิดไดด้ ว้ ย 5. กรดทาปฏิกิริยากบั หนิ ปนู ซง่ึ เปน็ สารประกอบของแคลเซียมคารบ์ อเนต ทาให้หนิ ปนู กรอ่ น จะไดแ้ กส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ซง่ึ มีสมบตั ิทาใหน้ าปูนใสขุ่น 6. สารละลายกรดทกุ ชนดิ นาไฟฟ้าไดด้ ี เพราะกรดสามารถแตกตวั ใหไ้ ฮโดรเจนไอออน 7. ทาปฏิกริ ิยากบั เบสไดเ้ กลือและนา 8. กรดทาปฏกิ ริ ิยากับโลหะได้แกส๊ ไฮโดรเจนซง่ึ เปน็ แก๊สที่เบา ติดไฟได้ ประเภทของสารละลายกรด สารละลายกรดแบง่ เป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. กรดอินทรีย์ (Organic acid) เป็นกรดที่ได้จากธรรมชาติ จากสิ่งมีชวี ิต เช่น - กรดแอซติ กิ (acetic acid) หรือกรดนาสม้ ไดจ้ ากการหมกั แป้งหรือนาตาลโดยใช้จุลินทรยี ์ ซึ่ง นิยมใชใ้ นการผลิตนาส้มสายชู - กรดซติ รกิ (citric acid) หรอื กรดมะนาว เป็นกรดทีอ่ ยู่ในผลไมท้ ม่ี ีรสเปรียว เช่น ส้ม มะนาว - กรดแอสคอร์บกิ (ascorbic acid) หรือวิตามนิ ซี มีอยู่ในผลไมท้ ีม่ รี สเปรียว - กรดอะมิโน (amino acid) เปน็ กรดทใี่ ช้สรา้ งโปรตนี มักพบในเนอื สตั ว์ ผลไม้เปลือกแขง็ หรอื พืชตระกูลถ่ัว 2. กรดอนนิ ทรีย์ (Inorganic Acids) เป็นกรดทไ่ี ด้จากแร่ธาตุ จึงอาจเรียกว่ากรดแร่กไ็ ด้ มี ความสามารถในการกดั กรอ่ นสงู ถา้ ถกู ผวิ หนังหรือเนอื เยื่อของร่างกายจะทาให้ไหม้ แสบ หรือมผี ื่นคัน ตัวอยา่ งเชน่ - กรดไฮโดรคลอรกิ (hydrochloric acid) หรือกรดเกลือ - กรดไนตริก (nitric acid) หรอื กรดดินประสวิ - กรดคารบ์ อนิก (carbonic acid) หรอื กรดหนิ ปูน - กรดซลั ฟวิ รกิ (sulfuric acid) หรือกรดกามะถัน
สารละลายเบส เบส คือ สารประกอบทท่ี าปฏกิ ิริยากับกรด แลว้ ไดเ้ กลือกบั นาจะสามารถแตกตัวให้ไฮดรอกไซดไ์ อออน (OH-) เบสทกุ ชนดิ จะมรี สฝาด สมบตั ขิ องสารละลายเบส 1. เบสทกุ ชนดิ มรี สฝาดหรอื เฝ่อื น 2. เปลย่ี นสกี ระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็นสีนาเงนิ (มคี ่าpH มากกวา่ 7) 3. ทาปฏิกริ ยิ ากับนามันพชื หรือนามันหมู จะได้สารละลายท่ีมีฟองคล้ายสบู่ 4. ทาปฏิกริ ิยากบั แอมโมเนยี ไนเตรตจะไดแ้ ก๊สที่มีกลิ่นฉนุ ของแอมโมเนีย 5. สามารถกดั กรอ่ นโลหะ อะลมู เิ นยี มและสังกะสี และมีฟองแก๊สเกิดขนึ 6. ทาปฏิกริ ิยากับกรดได้เกลือและนา เชน่ สารละลายโซดาไฟ (โซเดียมไฮดรอกไซด)์ ทาปฏกิ ิรยิ ากับ กรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอรกิ ) ไดเ้ กลอื โซเดยี มคลอไรด์ หรือเกลือแกงที่ใชป้ รงุ อาหาร นอกจากนี โซดาไฟยงั สามารถทาปฏกิ ริ ิยากับกรดไขมนั ได้เกลอื โซเดยี มของกรดไขมัน หรือทเี่ รยี กว่า สบู่ ประเภทของเบส ตวั อยา่ งสารละลายเบสในชีวิตประจาวันและสงิ่ แวดล้อม มีดงั ตอ่ ไปนี สารประเภททาความสะอาด - โซเดยี มไฮดรอกไซด์ (NaOH) ใช้ทาสบู่ - แอมโมเนีย (CH3) นายาล้างกระจก,นายาปรบั ผา้ นมุ่ - โซเดียมคารบ์ อเนต (Na2CO3) อุตสาหกรรมผงซกั ฟอก สารปรุงแต่งอาหาร - โซเดียมไฮดรอกไซด (NaOH) ทาผงชูรส - โซเดยี มไบคาร์บอเนต (NaHCO3) ทาขนม สารทใ่ี ช้ทางการเกษตร ไดแ้ ก่ ป๋ยุ - ยเู รีย [CO(NH2)2] ใช้ทาปุ๋ย - แคลเซยี มไฮดรอกไซด์ [Ca(OH)2] แกด้ ินเปรยี ว ยารกั ษาโรค - NH3(NH4)2CO3 แกเ้ ป็นลม - แคลเซียมไฮดรอกไซด์ [ Ca(OH)2] ลดกรดในกระเพาะอาหาร - แมกนเี ซียมไฮดรอกไซด์ [ Mg(OH)2] ลดกรดในกระเพาะอาหาร , ยาถา่ ย 3.2 รงควตั ถุของสดี อกอญั ชนั รงควตั ถุ (Pigment) หมายถึง สารสี ทีผ่ ลติ ขึนจากสงิ่ มชี ีวิตทังพืชและสตั ว์ ตัวอย่างสารสี เชน่ - คลอโรฟลิ ส์ (chlorophyll ) และฟีโอไฟตนิ (pheophytin) เปน็ สารสีในพชื ทมี่ สี ีเขียว - แคโรทนี อยด์ (carotenoid) เปน็ สารสีในพืชที่มสี ีเหลอื ง สม้ และส้มแดง ท่ไี ม่ละลายในน้า ละลายไดด้ ใี นนามันและตวั ทาละลายอินทรยี ์
- แอนโทไซยานนิ (anthocyanin) เปน็ สารสีในพืช ทังผัก ผลไม้ และดอกไมท้ ่ีมีสแี ดงและสมี ่วง และละลายไดด้ ีในนา - ไมโอโกลบิน (myoglobin) เปน็ ในเนอื สตั ว์ (meat) รงควัตถเุ หล่านใี ช้เปน็ สารใหส้ ี (coloring agent) ในอาหารได้ เชน่ สกัดสีเขยี วจากใบเตย หรือสีมว่ งจากดอก อญั ชัน เปน็ ตน้ 3.3 วิตามิน คาวา่ “วิตามิน” หรอื “ไวตามนิ ” คือ สารอินทรยี ์ทมี่ ีความจาเปน็ ตอ่ ร่างกายของเราทุกคน โดยเปน็ ตัว ช่วยในการทาให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายเกิดความสมดุลขนึ ตลอดจนเสรมิ สร้างการเจริญเตบิ โตของรา่ งกาย และเสริมสร้างสุขภาพท่ีดภี ายในรา่ งกายขึน ท่สี าคญั คอื ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตหรอื สังเคราะห์วติ ามนิ ขึนได้ เองในรา่ งกาย จาเปน็ ต้องไดร้ บั สารอาหารจากอาหารทเี่ รารับประทานเข้าไปในแต่ละมอื หรือการได้รบั ผลิตภณั ฑ์ อาหารเสรมิ เข้าไปเพื่อทดแทนวิตามนิ ทีร่ ่างกายเราขาดไป วติ ามินมีต่าง ๆ มากมายหลากหลายประเภท แตโ่ ดยหลักๆ แล้ว วติ ามนิ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วติ ามนิ ทล่ี ะลายในนา อย่างพวกวิตามนิ ซี และวติ ามนิ บีทกุ ชนดิ และวิตามินทีไ่ มล่ ะลายในนา แต่ละลายในนามนั อย่างพวกวิตามินเอ, วติ ามินอี, วิตามินดี, วิตามนิ เค เป็นตน้ นอกจากนียงั มวี ติ ามนิ อีกมากมาท่จี าเป็นตอ่ ระบบการ ทางานของร่างกายเรา ลองมาดูประโยชนข์ องวิตามินหลักๆ ทส่ี าคัญตอ่ ร่างกายว่ามอี ะไรบา้ ง วติ ามินเอ วติ ามนิ เอ หรอื เรตินอล จดั เป็นวติ ามินท่ีละลายในไขมันหรือนามัน ซง่ึ ภายในร่างกายของเราสามารถเกบ็ วิตามินเอได้ ทาให้ไม่จาเปน็ ตอ้ งรบั ประทานอาหารท่ีมีวิตามนิ เอทกุ วนั โดยแหลง่ อาหารท่มี วี ติ ามนิ เอ ไดแ้ ก่ อาหาร จาพวกตบั , บร็อกโคลี, ผกั โขม, ฟักทอง, นามนั ตบั ปลา, แครอท, ไข,่ นม, มะละกอ, มะม่วง, ถั่วลนั เตา เปน็ ตน้ ประโยชนข์ องวติ ามนิ เอ – ชว่ ยบารุงสายตา ปอ้ งกันภาวะตาแห้ง หรือตาบอด – ช่วยเสรมิ สร้างภูมิคุม้ กันโรคต่าง ๆ – ชว่ ยแก้ปญั หาเรื่องผิวพรรณ ลดจุดดา่ งดา ทาให้ผวิ แข็งแรง – ช่วยเสรมิ สรา้ งความแขง็ แรงของกระดกู ฟนั และเหงอื ก – ช่วยบารุงใหผ้ มมีสุขภาพดี – ช่วยรกั ษาสิว ริวรอยตา่ ง ๆ – ช่วยรักษาโรคไทรอยด์เปน็ พิษ และโรคถงุ ลมโป่งพองได้ อันตรายจากการไดร้ บั วิตามินเอมากเกนิ ขนาด – การรับประทานวติ ามนิ เกินวันละ 15,000 ไอยู อยา่ งต่อเน่อื งติดต่อกนั ทุกวันจะเกิดเปน็ พษิ ตอ่ ตับขึน – สาหรับผู้หญงิ ทตี่ ังครรภ์หากไดร้ ับวิตามนิ เอเกินขนาดจะทาให้ทารกที่ออกมาพกิ ารได้ – อาการทีบ่ ่งชวี ่ากาลงั ได้รบั วิตามินเอเกินขนาด ได้แก่ ผมรว่ ง, ท้องเสีย, อาเจยี น, เปน็ ผน่ื , ปวดศีรษะ, รอบเดอื นมาผิดปกติ, ตับบวมโต, ปวดกระดูก และอ่อนเพลีย เป็นตน้
วติ ามินบี วติ ามินบี หรอื วติ ามนิ รวม เรียกว่ามีอยดู่ ้วยกันหลากหลายชนดิ ไมว่ ่าจะเปน็ วติ ามินบี 1, วติ ามนิ บี 2, วติ ามินบี 3, วติ ามินบี 5, วติ ามนิ บี 6, วติ ามินบี 7, วิตามนิ บี 9, วติ ามนิ บี 12, วิตามนิ บี 15 หรอื วิตามินบี 17 เป็น ต้น โดยวิตามนิ บตี ่าง ๆ เหลา่ นีจะให้ประโยชนแ์ ละผลขา้ งเคยี งท่ีแตกต่างกัน วติ ามนิ บี 1 วิตามนิ บี 1 หรือ ไทอามนี จัดเป็นวิตามินที่ละลายในนา รา่ งกายไมส่ ามารถเก็บสะสมไว้ในรา่ งกายได้ โดย วติ ามนิ จะถูกขบั ออกทางปสั สาวะ รา่ งกายจงึ จาเป็นต้องได้รับการชดเชยใหมท่ ุกวัน เปน็ วิตามินท่ีสังเคราะหม์ าจาก เชือแบคทเี รีย, รา และพืช ซึง่ แหล่งอาหารท่มี ีวิตามนิ บี 1 อยู่ ได้แก่ ส้ม, หน่อไม้ฝร่ัง, เนือสัตว์, ตบั , ขา้ วกลอ้ ง, เมล็ดทานตะวัน, ถั่วตา่ งๆ, มนั เทศ, ข้าวโอต๊ , ขนมปัง, ยสี ต,์ ธัญพืชตา่ งๆ, ปลา, ราจมูกข้าว, ขา้ วกล้อง เปน็ ต้น ประโยชนข์ องวติ ามนิ บี 1 – ช่วยบารงุ สมองและระบบประสาท – ชว่ ยป้องกนั การเกดิ โรคอัลไซเมอร์ หรือภาวะสมองเส่อื ม – ชว่ ยใหเ้ จรญิ อาหาร – ชว่ ยในเรอื่ งระบบยอ่ ยอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง – ชว่ ยสรา้ งเสริมการเจรญิ เตบิ โตของร่างกาย – ช่วยรักษาโรคงูสวัด – ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการผา่ ตัดทาฟนั – ชว่ ยให้ระบบการทางานของกล้ามเนือและหวั ใจดขี ึน – ชว่ ยแก้อาการเมารถ เมาเรอื หรือเมาเครอ่ื งบนิ ได้ อันตรายจากการไดร้ บั วิตามินบี 1 มากเกนิ ขนาด – เนอื่ งจากวิตามนิ บนี ันเปน็ วิตามนิ ที่ละลายในนา หากร่างกายได้รบั ในปรมิ าณทม่ี ากเกินไปก็มักจะขบั ออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ จงึ ทาใหว้ ิตามินบไี ม่เขา้ ไปสะสมอยภู่ ายในรา่ งกายจนเกดิ ภาวะพิษในร่างกาย ขนึ ได้ และอาการบง่ ชวี ่าร่างกายได้รับวติ ามนิ บี 1 มากเกนิ ไปนันไม่คอ่ ยพบ อาจมที ่ัวๆ ไป เชน่ ภาวะตัวบวม, ใจเตน้ เร็ว, อาการสน่ั หรอื ภูมแิ พ้ เป็นตน้ วิตามินบี 2 วิตามนิ บี 2 หรอื ไรโบฟลาวนิ หรือทค่ี นสมัยก่อนอาจรูจ้ ักกนั ในชือ่ วติ ามนิ จี จัดเปน็ วติ ามนิ ท่ีละลายในนา ดดู ซมึ งา่ ย เชน่ เดยี วกันกบั วติ ามนิ บี 1 ร่างกายไม่เกบ็ สะสมวิตามินบี 2 ไว้ เราจึงจาเป็นต้องได้รบั วติ ามนิ บี 2 เป็น ประจา ซง่ึ แหล่งอาหารท่ีมวี ติ ามินบี 2 อยู่ ไดแ้ ก่ โยเกริ ์ต, มะเขอื เทศ, เนอื , พืชผกั ใบเขยี วต่างๆ, ถั่วตา่ งๆ, เมลด็ อัล มอนด์, ไข,่ เนือปลา, ตับ หรือเมลด็ ธัญพืชต่างๆ เป็นตน้ ประโยชน์ของวิตามนิ บี 2 – ชว่ ยสร้างเสรมิ การเจรญิ เตบิ โตให้แกร่ ่างกาย – ช่วยใหผ้ วิ พรรณมีสุขภาพดี – ชว่ ยให้สุขภาพเล็บและผมแข็งแรง – ชว่ ยใหอ้ วยั วะระบบสบื พนั ธุ์แขง็ แรง – ชว่ ยป้องกันอาการเจ็บหรอื แสบทเี่ กดิ ภายในชอ่ งปาก หรือโรคนกกระจอกเทศ
– ชว่ ยบารงุ สายตาในการมองเห็น และอาการออ่ นล้าของสายตา – ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรน – ช่วยในการเผาผลาญแป้ง, ไขมัน และโปรตนี อนั ตรายจากการไดร้ บั วติ ามนิ บี 2 มากเกนิ ขนาด – เนือ่ งจากวิตามินบีนนั เปน็ วิตามินที่ละลายในนา หากรา่ งกายไดร้ บั ในปรมิ าณทีม่ ากเกนิ ไปกม็ ักจะขับ ออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ จงึ ทาให้วติ ามินบีไมเ่ ขา้ ไปสะสมอยู่ภายในร่างกายจนเกดิ ภาวะพษิ ในร่างกาย ขนึ ได้ และอาการบ่งชวี ่ารา่ งกายไดร้ บั วิตามนิ บี 1 มากเกินไปนนั ไมค่ อ่ ยพบ อาจมที วั่ ๆ ไป เช่น เกดิ อาการชา หรือ แสบยิบๆ หรอื อาการคนั เปน็ ต้น วิตามนิ บี 3 วติ ามนิ บี 3 หรือ ไนอะซิน หรอื วติ ามนิ พพี ี จดั เปน็ วติ ามนิ ท่ีละลายในนาเช่นเดยี วกับวติ ามินบีอ่ืน ๆ โดย รา่ งกายของเรานนั จะสามารถสรา้ งไนอะซนิ ขนึ ได้เองโดยใช้กรดแอมิโนทรปิ โตแฟน แต่หากร่างกายกาลงั ขาด สารอาหารอย่างวติ ามินบี 1, บี 2 และบี 6 รา่ งกายจะไมส่ ามารถสรา้ งไนอะซนิ จากทริปโตแฟนขึนได้ ซึ่งในอาหาร ทก่ี รดอะมโิ นทรปิ โตแฟน ได้แก่ เห็ด, อะโวคาโด, ยีสต์, มะเขือเทศ, แครอท, บร็อกโคล,ี มนั ฝรัง่ เป็นต้น สว่ นแหลง่ ของวิตามินบี 3 จะอยใู่ นอาหารจาพวกเนือ, นม, ไข,่ ถ่ัวตา่ งๆ, เมล็ดธญั พชื ตา่ งๆ, ตบั เปน็ ต้น ประโยชนข์ องวติ ามนิ บี 3 – ช่วยควบคุมระดับนาตาลในเลอื ด – ชว่ ยลดคอเลสเตอรอลและไตรกรเี ซอไรด์ – ช่วยให้ระบบการไหลเวยี นของเลือดในรา่ งกายดีขนึ – ช่วยบารงุ ผวิ พรรณใหส้ วยสดใสเปลง่ ปลัง่ – ช่วยบารงุ ระบบประสาท – ช่วยลดภาวะอาการซมึ เศรา้ – ช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบ – ชว่ ยให้ระบบย่อยอาหารทางานไดด้ ีขนึ – ชว่ ยแกอ้ าการรอ้ นใน – ชว่ ยลดกลิ่นปาก – ช่วยปอ้ งกนั อาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรน – ชว่ ยลดความดนั โลหติ อันตรายจากการไดร้ ับวติ ามนิ บี 3 มากเกนิ ขนาด หากรบั ประทานมากเกินขนาดอาจกอ่ ให้เกิดผลขา้ งเคียงได้ เชน่ อาการหน้าแดง, คันตามตวั , อาการรอ้ น วบู วาบ เปน็ ตน้ และหา้ มให้สตั ว์เลียงรบั ประทาน วติ ามินบี 6 วิตามินบี 6 หรือ ไพริด็อกซนิ จดั เปน็ วติ ามินทีล่ ะลายในนาอีกชนดิ หนง่ึ โดยจะถูกขับออกจากรา่ งกายได้ ในเวลา 8 ช่วั โมง หลงั จากรบั ประทานอาหารเขา้ ไป โดยแหลง่ อาหารทม่ี วี ติ ามินบี 6 อยู่ ได้แก่ เมล็ดธัญพืชตา่ ง ๆ, ถ่ัวต่าง ๆ, เนือสัตว์, ข้าวซ้อมมือ, กลว้ ย, ขนมปงั , นม, พชื ผักต่าง ๆ เป็นต้น
ประโยชน์ของวติ ามินบี 6 – ช่วยป้องกนั การเกิดน่วิ ในไต – ชว่ ยป้องกันการเกิดโรคหวั ใจ – ช่วยสร้างเสริมระบบภูมคิ ้มุ กนั โรคต่าง ๆ – ชว่ ยให้ร่างกายสามารถดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดขี ึน – ชว่ ยบารุงผวิ พรรณ – ช่วยใหร้ ะบบย่อยในร่างกายทางานได้ดีขึน – ช่วยสรา้ งเซลล์เม็ดเลือดแดง – ช่วยบรรเทาอาการคลน่ื ไส้วงิ เวยี นศรี ษะ – ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก – ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องช่วงก่อนมีรอบเดอื นของผ้หู ญิง – ชว่ ยบรรเทาอาการอาเจยี นในสตรมี คี รรภ์ – ช่วยลดอตั ราการเส่ียงตอ่ การเกดิ โรคมะเรง็ ลาไส้ อนั ตรายจากการไดร้ ับวติ ามินบี 6 มากเกินขนาด หากรับประทานวติ ามินบี 6 มากเกนิ ไปอาจสง่ ผลเสียตอ่ รา่ งกายได้ โดยจะทาให้เกิดอาการข้างเคียง เชน่ อาการเท้าชาและกระตกุ หรือฝนั แล้วเหมือนจรงิ มากเกนิ ไป และมีอาการกระสับกระส่ายในชว่ งเวลากลางคนื เปน็ ตน้ นอกจากนี หากรับประทานติดตอ่ กนั ทุกวันเป็นประจาในขนาด 2–10 กรัม อาจส่งผลกอ่ ให้เกิดปัญหาต่อระบบ ประสาทได้ วติ ามนิ บี 7 วิตามินบี 7 หรอื ไบโอตนิ หรอื วิตามนิ บดี ับเบิลยู จัดเปน็ อกี หนึ่งวติ ามินท่ีมปี ระโยชนต์ ่อรา่ งกาย และเปน็ วิตามินที่ละลายนาได้ โดยแหลง่ อาหารที่สาคญั ของวติ ามนิ บี 7 อยู่ ได้แก่ ตบั , เครือ่ งในสตั ว์, สัตวป์ ีก, เมลด็ ธญั พชื ต่าง ๆ ท่ีไม่ขดั สี, ถ่ัวเหลอื ง, ไขแ่ ดง, กะหล่าดอก เปน็ ต้น ประโยชน์ของวติ ามนิ บี 7 – ชว่ ยบารุงสขุ ภาพผิวและเส้นผมให้แข็งแรง – ช่วยปอ้ งกันภาวะผมหงอกก่อนวยั – ชว่ ยปอ้ งกนั อาการผมรว่ ง – ช่วยบารงุ ระบบประสาท – ช่วยบารุงไขกระดกู ให้แขง็ แรง – ช่วยให้ร่างกายสามารถผลติ กรดอะมโิ นท่ีจาเปน็ ตอ่ ร่างกาย – ช่วยควบคมุ ระดับนาตาลในเลอื ด – ช่วยผลิตฮอรโ์ มนเพศในช่วงวยั รนุ่ – ช่วยบารงุ เลบ็ ไมใ่ หเ้ ปราะหรือแตกหกั ง่าย อนั ตรายจากการไดร้ บั วิตามินบี 7 มากเกนิ ขนาด เนอื่ งจากวิตามินบี 7 หรือไบโอตนิ นีจดั เป็นวิตามินที่ละลายในนาได้ เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณมาก เกินไป สว่ นใหญร่ ่างกายมกั จะขับออกมาในรูปของปสั สาวะ จึงไม่มีภาวะพษิ ท่ไี ดร้ ับจากการรับประทานวิตามนิ ชนดิ นมี ากเกนิ ไป
วติ ามนิ บี 9 วิตามินบี 9 หรอื โฟเลต หรอื วติ ามินเอม็ โฟเลต จัดเปน็ วติ ามินในกลุม่ วิตามินท่ีละลายนา เป็นวติ ามินทีม่ ี ประโยชน์ต่อรา่ งกายชนิดหนงึ่ โดยแหง่ อาหารสาคัญทม่ี วี ติ ามินบี 9 อยู่ ไดแ้ ก่ ไขแ่ ดง, ตบั , เมล็ดธัญพืชตา่ ง ๆ, ถ่วั ต่าง ๆ, ข้าวซ้อมมอื , ยีสต,์ อะโวคาโด, ฟกั ทอง, พืชผกั ใบเขียว, แคนตาลูป, ผลไม้รสเปรียว, ส้ม, กล้วย เปน็ ตน้ ประโยชน์ของวติ ามินบี 9 – ช่วยสร้างเสริมภมู คิ ุ้มกันโรคตา่ ง ๆ – ชว่ ยพัฒนาระบบสมองและประสาท – ช่วยสรา้ งเสรมิ เซลล์เม็ดเลอื ดแดง – ชว่ ยในการเผาผลาญโปรตนี – ช่วยเสรมิ สร้างกรดนิวคลีอิก – ช่วยเสรมิ สรา้ งการเจรญิ เติบโตของเดก็ – ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ – ช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลกู , มะเร็งกระเพาะ และมะเรง็ ลาไส้ – ชว่ ยปอ้ งกนั ภาวะแทง้ หรอื พกิ ารในเด็กทารกของหญงิ ตงั ครรภ์ – ช่วยเสริมสร้างนานมของหญงิ หลังคลอด – ช่วยบารงุ ผิวพรรณ – ช่วยป้องกนั ภาวะผมหงอกก่อนวัยอนั ควร – ช่วยป้องกนั อาการแพจ้ ากภาวะอาหารเปน็ พิษ – ชว่ ยปอ้ งกนั การเกิดพยาธใิ นลาไส้ อนั ตรายจากการไดร้ ับวิตามนิ บี 9 มากเกนิ ขนาด การรบั ประทานวิตามนิ บี 9 มากเกินขนาด อาจมใี นบางรายทมี่ อี าการผืน่ แพ้ขึนได้ และอาจทาใหเ้ กิดโรค โลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12 ขึนได้ วิตามินบี 12 วิตามนิ บี 12 หรือไซยาโนโคบาลามิน หรอื วติ ามินแดง เป็นวิตามนิ ทลี่ ะลายนา ซึง่ จัดเป็นสารอาหารทพี่ บ ไดใ้ นเนือสตั วเ์ ทา่ นัน ไม่มอี ยู่ในพชื ผักต่าง ๆ โดยแหง่ อาหารสาคญั ที่มีวิตามนิ บี 12 อยู่ ได้แก่ หอยนางรม, หอยแครง, เคร่อื งในสตั ว์, ตับ, เนอื ปลา, ไข,่ นม, ชีส เปน็ ต้น ประโยชนข์ องวติ ามินบี 12 – ชว่ ยสร้างเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง – ชว่ ยลดอัตราความเสยี่ งต่อภาวะโรคหัวใจ – ชว่ ยบารุงระบบประสาทและสมอง – ช่วยแก้อาการซึมเศรา้ – ช่วยสรา้ งเสริมโปรตนี – ชว่ ยป้องกนั ภาวะโลหติ จาง – ช่วยเสรมิ สร้างการเจรญิ เติบโตของรา่ งกาย – ชว่ ยใหเ้ ด็กเจริญอาหาร – ชว่ ยสร้างเสริมสมาธิ ความจา และการทรงตวั
– ชว่ ยปอ้ งกันโรคมะเรง็ จากการสูบบุหร่ี – ชว่ ยเสริมสรา้ งกระดูกใหแ้ ข็งแรง อันตรายจากการได้รบั วิตามนิ บี 12 มากเกินขนาด การรบั ประทานวติ ามนิ บี 12 มากเกินขนาด ยงั ไม่พบการเกดิ อนั ตรายกับรา่ งกายทีร่ ้ายแรง อาจมสี วิ ขึน มาก หรอื ปัสสาวะมีกลนิ่ แรง และเส้นประสาทอาจหนาขนึ เปน็ ต้น วติ ามนิ ซี วติ ามนิ ซี หรอื กรดแอสคอรบ์ ิก จัดเปน็ วิตามนิ ที่ละลายในนา และจะสลายตวั ไดอ้ ยา่ งรวดเร็วเมือ่ ถูกแสง หรอื ความรอ้ น ซ่งึ วิตามินซีจัดเป็นวิตามินทส่ี าคัญต่อร่างกายอย่างยง่ิ เพราะเรยี กได้วา่ เป็นสารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระทีม่ ี ประสทิ ธิภาพสงู มากๆ โดยในสัตวส์ ่วนใหญ่นันจะสามารถสงั เคราะหว์ ิตามินซขี นึ ได้เอง แตใ่ นมนษุ ย์ หนตู ะเภา และ ลิง จาเปน็ ต้องไดร้ ับจากการรับประทานอาหารท่ีมีวติ ามินซีเขา้ ไป โดยแหล่งอาหารทมี่ ีวิตามนิ ซอี ยู่ ไดแ้ ก่ ผลไม้รส เปรียวทังหลาย, มะเขอื เทศ, ส้ม, มันฝรงั่ , ผลไมต้ ระกูลเบอร์รท่ี งั หลาย, แคนตาลูป, พริกไทย, ดอกกะหล่า เป็นตน้ ประโยชน์ของวิตามนิ ซี – ช่วยเสรมิ สรา้ งเสน้ ใยคอลลาเจนให้แกเ่ ซลลต์ า่ ง ๆ ในร่างกาย – ช่วยป้องกนั โรคหวัด – ช่วยเสริมสร้างระบบภมู ิคุ้มกันของรา่ งกาย – ช่วยให้ผวิ พรรณดี สดใส เปลง่ ปล่งั – ชว่ ยป้องกนั การเกิดมะเร็งต่าง ๆ – ชว่ ยลดความดันโลหติ – ชว่ ยปอ้ งกนั อาการเลือดออกตามไรฟนั – ช่วยเพ่มิ การดดู ซึมของธาตเุ หล็กภายในร่างกาย – ชว่ ยรักษาแผลสด หรอื แผลจากไฟไหม้ได้ – ช่วยสมานแผลใหห้ ายเรว็ ขนึ – ชว่ ยลดระดบั คอเลสเตอรอลในเลือด – ช่วยยาทใี่ ช้สาหรบั การรักษาโรคตดิ เชอื ทางเดินปัสสาวะมปี ระสิทธภิ าพมากขนึ – ช่วยตา้ นทานอนมุ ลู อสิ ระไดด้ มี าก – ชว่ ยป้องกันรา่ งกายจากการตดิ เชือจากแบคทเี รียและไวรสั หลายชนิด – ชว่ ยซ่อมแซมสว่ นทีส่ ึกหรอภายในร่างกาย – ชว่ ยสรา้ งเม็ดเลือดขาว – ช่วยต้านทานอาการภูมแิ พ้ – ช่วยปอ้ งกันการเกิดโรคเกาต์ – ช่วยปอ้ งกนั โรคโลหติ จาง อันตรายจากการไดร้ ับวิตามนิ ซมี ากเกินขนาด การรบั ประทานวิตามนิ ซีมากเกนิ ขนาดอาจก่อให้เกดิ โรคนว่ิ จากกรมออกซาลกิ และกรดยูรกิ ได้ และอาจมี อาการปัสสาวะบ่อย, ทอ้ งร่วง, ปวดศรี ษะ หรือเปน็ ผน่ื ตามผิวหนงั เปน็ ต้น ฉะนันควรรับประทานวติ ามินซใี น ปรมิ าณทีเ่ พยี งพอตอ่ ร่างกาย
วติ ามินดี วติ ามนิ ดี หรือ แคลซเิ ฟอรอล หรอื วิตามนิ แดด จัดเป็นวติ ามนิ ท่ลี ะลายในนามนั โดยรา่ งกายของเราจะ ไดร้ ับวติ ามนิ ชนิดนีจากการไดร้ บั แสงแดด หรืออาหารทร่ี ับประทานเขา้ ไป โดยแหล่งอาหารทม่ี วี ิตามินดอี ยู่ ได้แก่ นม, เนย, ปลา, เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ, ไข่แดง, ตับ เป็นต้น ประโยชน์ของวติ ามนิ ดี – ชว่ ยในเรอ่ื งการดดู ซึมของวติ ามนิ เอ – ชว่ ยเสริมสร้างฟอสฟอรัสและแคลเซียม ท่ีเปน็ ส่วนสาคัญต่อการเจรญิ เติบโตของกระดกู และฟัน – ช่วยแกภ้ าวะเย่ือบุตาอักเสบ – ชว่ ยปอ้ งกนั การเกิดโรคมะเรง็ ลาไส้ – ช่วยแก้โรคหวัดได้หากรบั ประทานรว่ มกับวิตามินเอและซี – ช่วยป้องกันภาวะการเกิดโรคกระดกู พรนุ อนั ตรายจากการได้รับวติ ามินดมี ากเกนิ ขนาด การรับประทานวิตามินดมี ากเกินขนาดอยา่ งต่อเน่ืองตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานานอาจกอ่ ให้เกดิ อันตรายต่อ รา่ งกายขึนได้ โดยมีอาการตา่ ง ๆ เช่น คันตามบรเิ วณผิวหนัง, มีอาการทอ้ งรว่ ง, เจบ็ บริเวณดวงตา, กลันปสั สาวะ ไม่อยู่, อาเจยี น หรือมีหนิ ปนู แคลเซยี มสะสมอยู่ตามผนงั หลอดเลอื ด ปอด กระเพาะอาหาร หรือตบั และไตได้ วติ ามนิ อี วติ ามินอี หรือ ไทโคฟีรอล หรือ ไทโคไทรอีนอล จัดเป็นวิตามนิ ที่ละลายในนามันหรอื ไขมัน เมื่อ รับประทานเขา้ ไปจะถูกเกบ็ สะสมตามเนือเย่อื ไขมัน, เลอื ด, ตอ่ มหมวกไต, ต่อมใต้สมอง, หัวใจ, มดลูก และ กล้ามเนอื อณั ฑะ โดยแหลง่ อาหารสาคัญที่มีวติ ามินอีอยู่ ไดแ้ ก่ อะโวคาโด, พชื ผกั ใบเขยี ว, เมล็ดธัญพืชตา่ งๆ, เนือสตั ว์, ขา้ วโพด, ไขแ่ ดง เปน็ ตน้ ประโยชน์ของวิตามนิ อี – ช่วยคงความออ่ นเยาวใ์ ห้แก่ใบหนา้ และผวิ พรรณ ดอู ่อนกว่าวัย – ช่วยชะลอความเส่ือมสภาพของเซลล์เนอื เยื่อต่างๆ – ช่วยปอ้ งกนั และละลายลม่ิ เลือดในร่างกาย – ชว่ ยปอ้ งกนั การเกดิ โรคมะเรง็ ตา่ งๆ ไดห้ ลากหลายชนดิ – ชว่ ยเพิ่มออกซิเจนให้แก่รา่ งกาย – ช่วยให้ปอดแข็งแรง – ชว่ ยยบั ยงั การเจรญิ เตบิ โตของเซลลม์ ะเร็งบรเิ วณเต้านม – ชว่ ยปกปอ้ งรา่ งกาย ปอ้ งกนั การเกิดปฏกิ ริ ยิ าออกซิเดชนั ของคอเลสเตอรอลชนิดท่ีไม่ดี – ชว่ ยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกตา – ชว่ ยให้รา่ งกายสดชืน่ ไมอ่ อ่ นเพลีย – ช่วยสมานแผลไหมบ้ รเิ วณผวิ หนังให้หายไดเ้ ร็วขึน – ช่วยปอ้ งกนั การเกดิ แผลเป็นที่หนาและนูนขึน – ชว่ ยบรรเทาอาการขาตงึ หรือเกิดตะครวิ – ช่วยลดความเส่ียงหรือความรนุ แรงของโรคสมองเสือ่ ม หรือภาวะอัลไซเมอร์
– ชว่ ยลดอตั ราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนือหัวใจขาดเลือด – ช่วยป้องกันภาวการณเ์ กดิ โรคอมั พาต หรอื อัมพฤกษ์ – ช่วยลดความดันโลหิต – ช่วยปอ้ งกนั ภาวะการแท้ง อันตรายจากการไดร้ ับวติ ามนิ อมี ากเกินขนาด การรับประทานวติ ามนิ อมี ากเกนิ ขนาดอาจทาใหเ้ กิดอาการคลนื่ ไส้ ปวดท้องขนึ ได้ โดยเฉพาะผทู้ ่ี รบั ประทานยาตา้ นการแข็งตวั ของเลือดไมค่ วรรบั ประทานวิตามนิ นสี งู เกินไป เนอื่ งจากจะทาให้เลอื ดหยุดไหลยาก และหา้ มใช้ในผทู้ ีข่ าดวติ ามินเค เพราะจะสง่ ผลให้เลอื ดหยุดไหลได้ยากเชน่ เดียวกัน วิตามินเค วติ ามนิ เค หรอื แอลฟาฟลิ โลควโิ นน จดั เป็นวติ ามินทลี่ ะลายในนามนั โดยวติ ามินเคนีจะมอี ยู่ดว้ ยกนั 3 ชนิด คือ -วติ ามินเค 1 ทีพ่ บไดม้ ากในพชื ผกั ใบเขยี ว, กีวี และอะโวคาโด -วิตามนิ เค 2 เป็นประเภทที่สามารถสร้างขึนได้โดยแบคทเี รยี กลุม่ โพรโบติกในลาไส้ใหญ่ของเรา และพบ มากในอาหารประเภทเนือ, นม, ไข,่ ถว่ั หมกั ญีป่ ุ่น -วิตามนิ เค 3 จัดเป็นวิตามนิ สังเคราะห์ อยใู่ นรปู ท่ีละลายนา เป็นวติ ามินทม่ี ีพษิ ซึ่งเป็นวติ ามนิ ทห่ี ้ามไม่ให้ นามาผลิตเป็นอาหารเสรมิ เพราะมีอนั ตรายและส่งผลใหเ้ กดิ อาการแพ้ ประโยชนข์ องวิตามนิ เค – ชว่ ยบรรเทาภาวะอาการรอบเดือนทม่ี ามากผดิ ปกติ – ชว่ ยปอ้ งกันภาวะเลอื ดออกภายในร่างกาย หรือเลอื ดไหลไมห่ ยุด – ช่วยให้กระดูกแขง็ แรง ไม่เปราะบาง – ช่วยในการสร้างลิม่ เลอื ดภายในรา่ งกาย อนั ตรายจากการไดร้ บั วิตามินเคมากเกนิ ขนาด การรบั ประทานวิตามนิ เคมากเกินขนาดจะสง่ ผลเสียต่อรา่ งกายโดยอาจมอี าการทอ้ งรว่ งอยา่ งหนกั ซึ่งก่อน ซือมารบั ประทานควรปรกึ ษาแพทย์ทุกครงั เพราะแมว้ ่าวิตามินเคนนั จะมคี วามแตกตา่ งจากวติ ามนิ ทล่ี ะลายใน ไขมันประเภทอืน่ คือจะไมส่ ะสมในรา่ งกายเหมอื นชนดิ อน่ื กต็ าม แต่วิตามินเคสังเคราะหก์ ็จัดเปน็ วิตามินทอี่ นั ตราย หากรับประทานมากเกินขนาด หรือไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายนน่ั เอง วติ ามนิ เปน็ สงิ่ ทีจ่ าเป็นมากสาหรบั ร่างกาย เพ่อื ให้ร่างกายเจรญิ เติบโตไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์และลดอาการ เจบ็ ป่วยจากโรคภัยตา่ ง ๆรวมถึงโรคขาดสารอาหารด้วย แตใ่ นขณะเดยี วกันเราเองต้อง้ไรับวิตามินชนดิ ตา่ ง ๆใน ปริมาณทร่ี า่ งกายตอ้ งการด้วย ไมม่ ากหรือนอ้ ยจนเกนิ ไป 1.4 ประโยชนข์ องนาสมุนไพรดอกอญั ชนั 1.4.1 นาสมุนไพรดอกอญั ชนั เปน็ เครอื่ งดม่ื ท่มี สี รรพคณุ คือ - ช่วยเสริมสร้างภูมติ ้านทานให้ร่างกายและเพ่มิ พลังทาใหร้ า่ งกายมแี รงขึน - สารต้านอนุมูลอสิ ระในดอกอญั ชนั ช่วยในการชะลอวยั และรวิ รอยแหง่ วัย - ชว่ ยบารุงสมอง
- ช่วยลดความเส่ยี งของการเกดิ โรคหัวใจและภาวะหลอดเลือดหวั ใจอุดตัน - ชว่ ยลดความเสยี่ งจากการเกิดโรคมะเร็ง - ชว่ ยลดระดับนาตาลในเลือดในผู้ปว่ ยโรคเบาหวาน - ชว่ ยล้างสารพษิ และขับของเสียออกจากรา่ งกาย - แกอ้ าการปัสสาวะพกิ าร - แกอ้ าการฟกชา - ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหน็บชาตามนิวมือนวิ เทา้ 1.4.2 วิตามินซี วิตามินซี หรอื กรดแอสคอรบ์ กิ จดั เปน็ วติ ามินที่ละลายในนา และจะสลายตวั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เมอ่ื ถกู แสง หรอื ความรอ้ น ซ่ึงวิตามนิ ซีจดั เปน็ วติ ามินที่สาคญั ต่อร่างกายอย่างยง่ิ เพราะเรียกได้วา่ เป็นสารต้านอนุมูล อิสระที่มีประสิทธภิ าพสูงมาก ๆ อาหารทม่ี วี ติ ามินซอี ยู่ ไดแ้ ก่ ผลไม้รสเปรยี วทงั หลาย, มะเขือเทศ, ส้ม, มันฝรงั่ , ผลไม้ตระกูลเบอรร์ ท่ี ังหลาย, แคนตาลปู , พรกิ ไทย, ดอกกะหลา่ เปน็ ตน้ ประโยชนข์ องวติ ามนิ ซี – ช่วยเสริมสรา้ งเสน้ ใยคอลลาเจนให้แก่เซลล์ตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย – ช่วยปอ้ งกนั โรคหวัด – ช่วยเสรมิ สรา้ งระบบภมู ิคุ้มกนั ของร่างกาย – ชว่ ยให้ผวิ พรรณดี สดใส เปล่งปลงั่ – ชว่ ยป้องกันการเกิดมะเร็งต่าง ๆ – ชว่ ยลดความดันโลหติ – ชว่ ยป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟัน – ช่วยเพิม่ การดดู ซมึ ของธาตเุ หล็กภายในรา่ งกาย – ช่วยรกั ษาแผลสด หรอื แผลจากไฟไหมไ้ ด้ – ช่วยสมานแผลใหห้ ายเรว็ ขนึ – ช่วยลดระดบั คอเลสเตอรอลในเลอื ด – ชว่ ยยาท่ใี ช้สาหรบั การรักษาโรคตดิ เชอื ทางเดินปสั สาวะมปี ระสิทธิภาพมากขึน – ชว่ ยต้านทานอนุมูลอิสระไดด้ ีมาก – ชว่ ยป้องกนั รา่ งกายจากการตดิ เชอื จากแบคทเี รียและไวรัสหลายชนดิ – ชว่ ยซ่อมแซมส่วนทส่ี กึ หรอภายในรา่ งกาย – ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว – ช่วยตา้ นทานอาการภูมิแพ้ – ชว่ ยป้องกนั การเกดิ โรคเกาต์ – ชว่ ยปอ้ งกันโรคโลหติ จาง
ใบความรู้สา้ หร เร่ือง แผนผังกระบวนการและเนอื หา สะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการวฒั แผนผงั ความเช่อื มโยงสะเต็มศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรม S : Science T : Technology E : Eng วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรร ความรู้ ประโยชนท์ ไี่ ดร้ ับ กระบวนการ 1. ความหมายของ 1. กล่นิ และรสชาติ การผลิต สมนุ ไพร 2. สรรพคุณของนา 1. การระบุปัญ 2. ชื่อวทิ ยาศาสตร์ วงศ์ สมุนไพรดอกอัญชันตอ่ 2. การค้นหาแ และช่อื อน่ื ๆ ของสมนุ ไพร สขุ ภาพ อญั ชัน เกี่ยวข้อง 2. ลกั ษณะทาง 3. การวางแผ พฤกษศาสตร์ 3. การเลอื กใช้ประโยชน์ พัฒนา ของดอกอญั ชัน 4. การทดสอบ 4. สรรพคณุ และขอ้ ควร ระวังของสมนุ ไพรดอก ประเมินผล อัญชัน 5. การนาเสน 4. กรด-เบส 5. รงควัตถขุ องสดี อก อญั ชนั 6. วิตามนิ
รบั ผจู้ ัดกจิ กรรม ฒนธรรมทอ้ งถน่ิ “น้าสมุนไพรดอกอญั ชนั มดี มี ากกวา่ ใหส้ สี วย” มท้องถนิ่ ทส่ี อดคล้องกบั เนือหา เรอื่ ง “นาสมนุ ไพรดอกอญั ชันมีดมี ากกวา่ ใหส้ ีสวย” gineering M : Mathematics C : Culture รมศาสตร์ คณติ ศาสตร์ วฒั นธรรมทอ้ งถิ่น รออกแบบ ความรู้ ต้นกา้ เนิด 1. การช่งั ปริมาณ 1. ภูมิปัญญาท้องถ่นิ ญหา แนวคิดที่ วตั ถุดบิ ในการทา ดา้ นการทานา นาสมุนไพรดอก สมุนไพรดอก ผนและการ อัญชัน เชน่ อญั ชนั นาตาล สมุนไพร บและการ 2. การตวงนา และ 2. ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ล นามะนาว ดา้ นสมุนไพร นอผลลัพธ์ 3. รูปทรงเรขาคณติ เพือ่ ใชใ้ นการ ของภาชนะที่ ประกอบอาชีพ บรรจุนาสมนุ ไพร 4. การคานวณหา ต้นทุน/กาไร
ใบความร้สู า้ หรับผจู้ ัดกจิ กรรม เรือ่ ง การทา้ นา้ สมนุ ไพรดอกอัญชันมดี มี ากกว่าให้สีสวย วตั ถดุ ิบและอปุ กรณ์ 1. ดอกอัญชันแหง้ 5 กรัม 2. นา 2 ถว้ ย 3. นาเชื่อม 4 ช้อนโตะ๊ 4. นามะนาว 2 ซีซ.ี หรอื ตามชอบ 5. นาแข็ง 1 แก้ว 6. ไซริง 7. หม้อ 8. เตาแก๊ส 9. ตาชั่ง 10. ตะแกรงกรอง 11. กระบวย 12. กระบอกตวงนา 13. ผลิตภัณฑ์บรรจุนาสมุนไพร เชน่ แกว้ ขวด วิธีท้าน้าอัญชนั 1. ล้างดอกอัญชัน และนานาสะอาดตังไฟตม้ นาให้เดือดแลว้ ใส่ดอกอัญชันในนาเดอื ด ปิดฝาต้มประมาณ ตม้ ตอ่ ประมาณ 2-3 นาที ยกลงจากเตา กรองดอกอญั ชนั ออกเอาเฉพาะนา เตรียมไว้ 2. รอจนนาอญั ชันเร่มิ อ่นุ ใส่นาเชอ่ื มลงไปคนใหเ้ ข้ากัน นานาแขง็ ใสแ่ กว้ เทนาสมนุ ไพรดอกอญั ชันลงไป ในแกว้ จากนันนาไซรงิ ดดู นามะนาว ประมาณ 2 ซีซี. หรือตามชอบ ฉีดลงในแกว้ (ถ้าต้องการให้สว่ นใดของนา อัญชนั มีสีเปลี่ยนไป จะตอ้ งฉีดส่วนนันกอ่ น) จะไดส้ ีที่เปล่ียนไปตามตอ้ งการ 3. ถา้ ต้องการอยากให้มเี นอื วนุ้ มะพร้าวออ่ น เมด็ แมงลัก และสมุนไพรอื่น ๆ เพิ่มในแกว้ กไ็ ด้เหมอื นกนั ก็ จะได้ความอร่อยเพิม่ อีกด้วย เคล็ดลบั ความอร่อย 1. การเลอื กสมุนไพร การเลือกสมนุ ไพรทจ่ี ะนามาทานาสมุนไพร ต้องคานงึ ถงึ สมุนไพรที่สด ถ้าเป็น สมนุ ไพรทตี่ ้องทาให้แห้ง ควรเลือกสมนุ ไพรท่ีใหม่สะอาด ดูลักษณะ สี กลนิ่ ดวู ่ามีเชือราหรอื ไม่ สมุนไพรท่สี ดใหม่ ช่วยให้ไดค้ ณุ คา่ ทางโภชนาการสงู สีสนั นา่ รับประทาน 2. ความสะอาด ทังสมนุ ไพรและภาชนะทใ่ี ชต้ อ้ งสะอาด ป้องกนั การปนเปือ้ นเชือ ถ้าไมส่ ะอาด อาจทา ใหผ้ ู้ด่ืมนาสมนุ ไพร ทอ้ งเสีย และยังทาให้สมนุ ไพรเก็บไม่ได้นานเท่าท่ีควร 3. ภาชนะทีใ่ ช้ ภาชนะทต่ี ม้ ควรจะเป็นหม้อเคลือบ ไม่ควรใช้หม้ออลมู ิเนยี ม เพราะอาจทาให้กรดทีอ่ ยู่ใน สมุนไพรกัดภาชนะ ถา้ เปน็ หมอ้ หรอื กระทะทองเหลืองจะทาใหร้ สของนาสมุนไพรเปล่ียนไป นอกจากนกี ารที่เราด่ืม นาสมุนไพรทมี่ สี ารโลหะหนกั ผสมอยอู่ าจจะเป็นอนั ตรายตอ่ รา่ งกายได้ สาหรบั ภาชนะท่บี รรจุควรจะเป็นขวดแกว้ จะสะดวกในการนึ่ง และนาสมุนไพรจะไม่ทาปฏิกิรยิ ากบั ขวดแก้ว ภาชนะท่เี ป็นแกว้ ยังดูใสสะอาดน่าดื่มยง่ิ ขึน 4. เทคนคิ ของการที่ทาใหน้ าสมนุ ไพรอยู่ไดน้ านถงึ 7 วนั โดยไมต่ อ้ งใสส่ ารกนั บดู คือระหว่างท่ีรอให้นา สมุนไพรเย็นตวั นนั ใหน้ าหมอ้ นาสมนุ ไพรนี ใสล่ งในกะละมังทม่ี นี าเยน็ อยู่ วธิ นี ีจะทาให้นาสมนุ ไพรอยู่ได้นานขนึ
ใบความรสู้ ้าหรับผู้รบั บริการ เรื่อง น้าสมนุ ไพรดอกอัญชันมีดีมากกวา่ ใหส้ ีสวย 1. ความร้เู บืองต้นเกย่ี วกบั สมนุ ไพรดอกอญั ชัน สมนุ ไพร หมายถงึ \"ผลติ ผลธรรมชาติ ไดจ้ าก พืช สตั ว์ และแร่ธาตุ ทใี่ ช้เปน็ ยา หรอื ผสมกบั สารอนื่ ตามตารบั ยา เพอื่ บาบัดโรค บารงุ รา่ งกาย หรอื ใช้เปน็ ยาพิษ\"[1] หากนาเอาสมนุ ไพรตังแตส่ องชนิดขึนไปมาผสม รวมกนั ซงึ่ จะเรยี กวา่ ยา ในตารบั ยา นอกจากพืชสมนุ ไพรแล้วยงั อาจประกอบดว้ ยสัตว์และแรธ่ าตุอกี ด้วย เราเรียก พชื สตั ว์ หรือแร่ธาตุท่เี ปน็ ส่วนประกอบของยานวี า่ เภสัชวตั ถุ พชื สมนุ ไพรบางชนดิ เช่น เร่ว กระวาน กานพลู และจนั ทนเ์ ทศ เปน็ ต้น 1.1 ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Clitoria ternatea L. ช่ือสามัญ : Blue Pea, Butterfly Pea วงศ์ : LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE ช่ืออื่น : แดงชัน (เชียงใหม่); อัญชนั (ภาคกลาง); เออื งชัน (ภาคเหนือ) 1.2 ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ เปน็ ไม้ลม้ ลกุ เลือยพนั ยาว 1-5 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบยอ่ ย 3-9 ใบ รูปรแี กมขอบขนานหรอื รปู รีแกมไข่กลับ กวา้ ง 1-3 ซม. ยาว 2-5 ซม. ดอกเดยี่ ว ออกท่ีซอกใบ กลบี ดอกรปู ดอกถั่ว สนี าเงิน มว่ งหรอื ขาว ตรงกลางกลบี สีเหลืองหมน่ ขอบสขี าว ผลเป็นฝัก รปู ดาบ โค้งเล็กนอ้ ย ปลายเปน็ จะงอย แตกเป็น 2 ฝา เมล็ดรูปไต จานวน 6-10 เมล็ด 1.3 การเลือกใช้ประโยชน์ ส่วนท่ีใช้ : กลบี ดอกสดสนี าเงินจากต้นอญั ชัน และรากของต้นอัญชันดอกสีขาว - ดอกสีนาเงนิ ใช้เปน็ สแี ต่งอาหาร ขนม ใชก้ ลบี ดอกสด ตาเตมิ นาเลก็ น้อย กรองดว้ ยผา้ ขาวบาง คันเอานาออก จะไดน้ าสีนาเงิน (Anthocyanin) ใชเ้ ป็น indicator แทน lithmus ถ้าเติมนามะนาวลงไปเลก็ น้อย จะกลายเป็นสีมว่ ง ใช้แต่งสอี าหารตามตอ้ งการ มักนิยมใช้แต่งสีนาเงนิ ของขนมเรไร ขนมนาดอกไม้ ขนมขหี นู และ ยงั นาดอกสดมารับประทานเป็นเคร่อื งเคียงคู่กบั นาพริกชนิดต่าง ๆ นามาตม้ ดม่ื หรือนามาใชบ้ ารุงผมให้ดกดาเงา งามและรักษาผมรว่ งไดอ้ กี ด้วย - รากต้นอัญชนั ดอกสีขาว ใชเ้ ปน็ ยาขับปสั สาวะ ยาระบาย
1.4 สรรพคณุ และขอ้ ควรระวังของสมนุ ไพร ดอกอัญชันมคี ุณสมบตั ิในการเปน็ สารตา้ นอนมุ ูลอิสระ โดยในดอกอญั ชันนันมสี ารตวั หนงึ่ ท่ีชอ่ื วา่ แอนโทไซยานนิ (Anthocyanin) ซึง่ สารชนิดนสี ามารถชว่ ยเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการทางานของดวงตา เพม่ิ ความ สามารถในการมองเหน็ แกอ้ าการตาฟาง ตามัว หรือภาวะการเสื่อมของดวงตาที่มาจากโรคเบาหวาน โรคตอ้ หิน โรคต้อกระจก และมหี น้าทไ่ี ปชว่ ยกระตนุ้ การไหลเวยี นของโลหิต ทาให้เลอื ดไปเลียงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึน และยัง มฤี ทธติ์ ้านการออกซเิ ดชน่ั ของไขมนั ชะลอการเกดิ โรคท่ีเกิดจากคอเลสเตอรอลชนดิ ท่ีไม่ดี (LDL) อุดตนั ในหลอด เลอื ด และโรคหลอดเลือดหวั ใจแขง็ ตัวอกี ดว้ ย และคณุ สมบตั ิทสี่ าคญั อกี อย่างหนงึ่ ก็คือ ดอกอัญชนั นนั ยงั ชว่ ยยับยัง การรวมตัวของเกล็ดเลือด ชว่ ยขบั ปัสสาวะ และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนือ สรรพคณุ สมนุ ไพรอัญชนั แบ่งออกเปน็ ส่วน ๆ ไดด้ งั นี (1) ดอกอัญชนั - ช่วยเสรมิ สรา้ งภูมิตา้ นทานให้รา่ งกายและเพ่มิ พลงั ทาใหร้ ่างกายมแี รงขึน - สารต้านอนมุ ูลอิสระในดอกอัญชันชว่ ยในการชะลอวยั และรวิ รอยแหง่ วยั - ช่วยบารงุ สมอง - ช่วยลดความเสยี่ งของการเกิดโรคหวั ใจและภาวะหลอดเลือดหวั ใจอดุ ตัน - ช่วยลดความเสย่ี งจากการเกิดโรคมะเร็ง - ชว่ ยลดระดับนาตาลในเลอื ดในผ้ปู ว่ ยโรคเบาหวาน - ชว่ ยล้างสารพษิ และขับของเสียออกจากรา่ งกาย - แก้อาการปัสสาวะพกิ าร - แกอ้ าการฟกชา - ชว่ ยป้องกันและบรรเทาอาการเหนบ็ ชาตามนวิ มือนวิ เทา้ (2) ใบอัญชนั - ช่วยขบั ปัสสาวะ - ชว่ ยบารุงสายตาและอาการตาแฉะได้ (3) รากอญั ชนั - นามาปรุงเปน็ เป็นยาขบั ปัสสาวะและยาระบายได้ - แกอ้ าการปวดฟนั และทาให้ฟันแข็งแรง โดยการนารากมาถูทฟ่ี นั - ช่วยเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการมองเห็นให้ดีย่ิงขึน โดยนารากไปถูกับนาฝน แลว้ นามาที่ หยอดตาและหู ขอ้ ควรระวัง ดอกอัญชันเปน็ สมนุ ไพร แต่ก็ยังมีโทษถา้ หากใชม้ ากเกนิ ไป โดยอย่าดม่ื นาอัญชันที่มีสเี ข้มมากเกนิ ไป เพราะจะทาใหไ้ ตทางานหนักขนึ ในการขับสารสีจากอัญชนั ออกมา และผ้ทู ีป่ ว่ ยดว้ ยโรคโลหติ จางกไ็ มค่ วรจะ รบั ประทานดอกอญั ชันรวมทงั อาหารหรือเครอื่ งดมื่ ท่มี สี ว่ นประกอบของอญั ชนั ด้วย เพราะในดอกอญั ชนั นันมีสารท่ี มีฤทธิใ์ นการละลายลมิ่ เลือด อาจเป็นอนั ตรายตอ่ ผูป้ ่วยโลหิตจาง
2. วิธีการออกแบบและสร้างสรรคเ์ มนกู ารทา้ น้าสมนุ ไพรดอกอัญชัน ลักษณะของดอกอัญชัน ดอกอัญชนั จะแทงดอกออกบรเิ วณปลายยอดตามซอกใบทข่ี ้อก่ิง ดอกเป็นดอก เดย่ี ว มี 3 ชนดิ คือ ดอกสีขาว สมี ่วง และนาเงิน ปัจจบุ นั มีการกลายพันธ์ุเปน็ หลายสี เช่น สีเหลอื ง สีชมพู และสี คราม ดอกมีทงั ดอกชนั เดยี ว และดอกบดิ ซอ้ นกัน ดอกมีลักษณะคล้ายดอกถว่ั หรือฝาหอยเซลล์ กลบี ดอกยาว ประมาณ 4-9 ซม. กลีบเลยี งยาว 1.7-2.2 ซม. มขี นปกคลุมเล็กน้อย วธิ กี ารทานาสมนุ ไพรดอกอัญชนั จะนาสว่ นของดอกทม่ี ีสนี าเงิน จะใชแ้ บบดอกสดหรอื แห้งก็ได้ มาต้มใน นาเดอื ด ประมาณ 2-3 นาที ใช้ตะแกรงกรองแยกเอาแต่นา แลว้ เตมิ นาตาลหรือนาเชอื่ ม หรอื ใสน่ าผึงกไ็ ด้ ถ้าจะให้ มีรสชาตเิ ปรยี วอมหวานกลมกลอ่ มจะต้องเติมมะนาวลงไป เมอื่ เติมมะนาวลงไปแล้วนาอญั ชนั จะเปลีย่ นสจี ากสีนา เงินเปน็ สมี ่วง หรอื สีมว่ งอ่อน ทาใหด้ นู ่าสนใจย่ิงขึน นอกจากนเี พ่ือเป็นการเพ่มิ ความหลากหลายในนาอญั ชนั ผูผ้ ลติ ยงั สามารถใส่เนือว้นุ เนือมะพรา้ วออ่ น เมด็ แมงลัก หรือสมุนไพรอน่ื ๆ ได้ตามความต้องการ วธิ ที ามดี ังนี ส่วนผสม - ดอกอัญชันแหง้ 5 กรัม - นา 2 ถ้วย - นาเชื่อม 4 ชอ้ นโต๊ะ - นามะนาว (ตามชอบ) - นาแขง็ 1 แกว้ วิธีทานาอญั ชนั 1. ล้างดอกอัญชนั และนานาสะอาดตงั ไฟต้มนาให้เดือดแล้วใส่ดอกอัญชันในนาเดือด ปิดฝาต้มประมาณ ตม้ ตอ่ ประมาณ 2-3 นาที ยกลงจากเตา กรองดอกอญั ชันออกเอาเฉพาะนา เตรยี มไว้ 2. รอจนนาอญั ชนั เรมิ่ อุน่ ใส่นาเชื่อมลงไปคนให้เขา้ กัน นานาแขง็ ใส่แก้วแล้วนาไซริงดดู นามะนาวตาม ชอบ ฉีดลงในแก้ว (ถ้าตอ้ งการให้สว่ นใดของนาอัญชันมสี เี ปล่ียนไป จะตอ้ งฉีดส่วนนนั ก่อน) จะได้สที ่ี เปล่ียนไปตามตอ้ งการ 3. ถ้าตอ้ งการอยากใหม้ ีเนือว้นุ มะพร้าวออ่ น เม็ดแมงลกั และสมนุ ไพรอื่น ๆ เพมิ่ ในแก้วกไ็ ดเ้ หมือนกนั ก็ จะได้ความอร่อยเพิ่มอกี ดว้ ย 3. หลกั การทางวิทยาศาสตร์น้าสมุนไพรดอกอญั ชันเปล่ียนสี 3.1 กรด-เบส สารละลายกรด – เบส สมบัตขิ องสารละลายกรด – เบส สารละลายตา่ ง ๆ ท่ีใช้ในชีวิตประจาวนั แตล่ ะชนิดจะมีสมบัติแตกต่างกัน มที ังชนิดท่ีมีฤทธิ์กัดกรอ่ น หรือทีเ่ รยี กวา่ มีสมบัติเป็นกรด และชนิดท่ีมสี มบัตเิ ปน็ เบส สารบางชนิดเป็นอันตราย แต่บางชนดิ สามารถนามาใช้ ประโยชน์ได้ สมบัติของสารละลายกรด-เบส จงึ เป็นเกณฑ์อกี ประเภทหนึ่งท่นี ักวิทยาศาสตรน์ ามาใช้ในการจาแนก ประเภทของสาร
สารละลายกรด กรด หมายถึง สารประกอบทีม่ ีธาตไุ ฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ เมือ่ ละลายนาแล้วสามารถแตกตัวให้ ไฮโดรเจนไอออน ( H+ ) สมบัตขิ องสารละลายกร 1. กรดทุกชนดิ มีรสเปรยี ว 2. เปลย่ี นสกี ระดาษลิตมัสจากสนี าเงินเป็นสแี ดง (มีค่าpH นอ้ ยกว่า 7) 3. ทาปฏกิ ริ ยิ ากบั โลหะ เช่น สังกะสี ทองแดง แมกนีเซยี ม อะลูมิเนียม จะได้ฟองแกส๊ ไฮโดรเจนออกมา 4. กรดมสี มบตั กิ ดั กร่อนโลหะ หนิ ปนู เนอื เยื่อของร่างกาย ถา้ กรดถูกผิวหนังจะทาให้ผิวหนงั ไหม้ ปวด แสบปวดรอ้ น ถ้ากรดถูกเส้นใยของเสือผ้า เส้นใยจะถูกกัดกรอ่ นให้ไหม้ได้ นอกจากนยี งั ทาลายเนอื ไม้ กระดาษ และพลาสติกบางชนดิ ไดด้ ้วย 5. กรดทาปฏกิ ริ ยิ ากับหินปนู ซ่งึ เปน็ สารประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต ทาใหห้ นิ ปูนกรอ่ น จะไดแ้ กส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึง่ มีสมบตั ทิ าใหน้ าปนู ใสข่นุ 6. สารละลายกรดทุกชนิดนาไฟฟ้าได้ดี เพราะกรดสามารถแตกตวั ให้ไฮโดรเจนไอออน 7. ทาปฏกิ ิรยิ ากับเบสได้เกลือและนา 8. กรดทาปฏิกริ ิยากบั โลหะไดแ้ กส๊ ไฮโดรเจนซ่ึงเป็นแกส๊ ท่ีเบา ติดไฟได้ ประเภทของสารละลายกรด สารละลายกรดแบ่งเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1. กรดอนิ ทรีย์ (Organic acid) เปน็ กรดท่ีได้จากธรรมชาติ จากส่ิงมชี วี ติ เช่น - กรดแอซติ กิ (acetic acid) หรอื กรดนาส้ม ได้จากการหมกั แปง้ หรอื นาตาลโดยใชจ้ ลุ ินทรยี ์ ซ่ึง นิยมใช้ในการผลิตนาสม้ สายชู - กรดซติ ริก (citric acid) หรือกรดมะนาว เปน็ กรดที่อยู่ในผลไมท้ ่ีมีรสเปรียว เช่น สม้ มะนาว - กรดแอสคอร์บกิ (ascorbic acid) หรอื วติ ามินซี มีอยูใ่ นผลไม้ทีม่ ีรสเปรยี ว - กรดอะมโิ น (amino acid) เป็นกรดทใี่ ช้สร้างโปรตนี มกั พบในเนือสตั ว์ ผลไมเ้ ปลอื กแขง็ หรอื พชื ตระกลู ถ่วั 2. กรดอนินทรยี ์ (Inorganic Acids) เป็นกรดท่ีได้จากแร่ธาตุ จึงอาจเรียกวา่ กรดแรก่ ็ได้ มี ความสามารถในการกดั กร่อนสูง ถา้ ถูกผิวหนงั หรือเนอื เยื่อของร่างกายจะทาใหไ้ หม้ แสบ หรอื มีผ่ืนคนั ตัวอยา่ งเชน่ - กรดไฮโดรคลอรกิ (hydrochloric acid) หรือกรดเกลอื - กรดไนตรกิ (nitric acid) หรอื กรดดนิ ประสวิ - กรดคาร์บอนิก (carbonic acid) หรือกรดหินปูน - กรดซลั ฟวิ รกิ (sulfuric acid) หรอื กรดกามะถัน สารละลายเบส เบส คอื สารประกอบท่ีทาปฏกิ ริ ยิ ากับกรด แล้วไดเ้ กลือกบั นาจะสามารถแตกตวั ให้ไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-) เบสทกุ ชนดิ จะมีรสฝาด
สมบัติของสารละลายเบส 7. เบสทุกชนิดมีรสฝาดหรือเฝ่อื น 8. เปล่ยี นสกี ระดาษลิตมัสจากสแี ดงเป็นสนี าเงนิ (มคี ่าpH มากกวา่ 7) 9. ทาปฏิกิรยิ ากับนามันพืช หรอื นามนั หมู จะไดส้ ารละลายทีม่ ฟี องคล้ายสบู่ 10. ทาปฏกิ ิรยิ ากบั แอมโมเนียไนเตรตจะไดแ้ กส๊ ที่มีกล่ินฉุนของแอมโมเนีย 11. สามารถกดั กร่อนโลหะ อะลูมเิ นียมและสังกะสี และมฟี องแกส๊ เกดิ ขึน 12. ทาปฏิกริ ยิ ากับกรดได้เกลอื และนา เชน่ สารละลายโซดาไฟ (โซเดียมไฮดรอกไซด์) ทาปฏกิ ิรยิ ากบั กรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอรกิ ) ไดเ้ กลอื โซเดียมคลอไรด์ หรอื เกลือแกงที่ใชป้ รุงอาหาร นอกจากนี โซดาไฟยังสามารถทาปฏิกิริยากบั กรดไขมนั ไดเ้ กลือโซเดยี มของกรดไขมัน หรือทเ่ี รียกว่า สบู่ ประเภทของเบส ตวั อย่างสารละลายเบสในชีวิตประจาวันและส่งิ แวดลอ้ ม มดี งั ตอ่ ไปนี สารประเภททาความสะอาด - โซเดยี มไฮดรอกไซด์ (NaOH) ใชท้ าสบู่ - แอมโมเนยี (CH3) นายาล้างกระจก,นายาปรับผา้ นมุ่ - โซเดียมคารบ์ อเนต (Na2CO3) อตุ สาหกรรมผงซักฟอก สารปรุงแตง่ อาหาร - โซเดยี มไฮดรอกไซด (NaOH) ทาผงชูรส - โซเดยี มไบคารบ์ อเนต (NaHCO3) ทาขนม สารทใ่ี ช้ทางการเกษตร ไดแ้ ก่ ปุ๋ย - ยเู รีย [CO(NH2)2] ใช้ทาปยุ๋ - แคลเซยี มไฮดรอกไซด์ [Ca(OH)2] แกด้ ินเปรียว ยารักษาโรค - NH3(NH4)2CO3 แกเ้ ป็นลม - แคลเซยี มไฮดรอกไซด์ [ Ca(OH)2] ลดกรดในกระเพาะอาหาร - แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ [ Mg(OH)2] ลดกรดในกระเพาะอาหาร , ยาถ่าย 3.2 รงควัตถุของสีดอกอัญชนั รงควตั ถุ (Pigment) หมายถึง สารสี ท่ีผลติ ขึนจากส่งิ มชี วี ิตทงั พชื และสัตว์ ตัวอยา่ งสารสี เช่น - คลอโรฟลิ ส์ (chlorophyll ) และฟโี อไฟติน (pheophytin) เปน็ สารสีในพชื ทีม่ ีสีเขียว - แคโรทีนอยด์ (carotenoid) เปน็ สารสีในพืชทีม่ สี ีเหลือง สม้ และส้มแดง ท่ีไมล่ ะลายในน้า ละลายไดด้ ใี นนามนั และตวั ทาละลายอนิ ทรยี ์ - แอนโทไซยานิน (anthocyanin) เป็นสารสีในพชื ทังผกั ผลไม้ และดอกไม้ท่มี ีสีแดงและสีมว่ ง และและลายไดด้ ีในนา - ไมโอโกลบนิ (myoglobin) เป็นในเนือสัตว์ (meat)
รงควัตถเุ หล่านใี ชเ้ ป็นสารใหส้ ี (coloring agent) ในอาหารได้ เช่น สกัดสเี ขียวจากใบเตย หรือสมี ว่ งจากดอก อัญชนั เป็นต้น 3.3 วิตามนิ คาว่า “วิตามิน” หรือ “ไวตามนิ ” คอื สารอนิ ทรยี ์ทมี่ คี วามจาเปน็ ต่อรา่ งกายของเราทกุ คน โดยเปน็ ตวั ช่วยในการทาให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายเกิดความสมดุลขึน ตลอดจนเสรมิ สรา้ งการเจริญเติบโตของร่างกาย และเสรมิ สร้างสขุ ภาพที่ดภี ายในรา่ งกายขึน ท่ีสาคญั คือร่างกายของเราไม่สามารถผลติ หรือสังเคราะหว์ ติ ามนิ ขึนได้ เองในร่างกาย จาเป็นต้องได้รบั สารอาหารจากอาหารท่ีเรารบั ประทานเข้าไปในแตล่ ะมอื หรือการได้รับผลิตภัณฑ์ อาหารเสริมเข้าไปเพือ่ ทดแทนวิตามนิ ท่รี า่ งกายเราขาดไป วิตามนิ มีต่าง ๆ มากมายหลากหลายประเภท แต่โดยหลักๆ แล้ว วิตามินจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื วติ ามนิ ทีล่ ะลายในนา อย่างพวกวติ ามินซี และวิตามินบที กุ ชนดิ และวติ ามินทไี่ มล่ ะลายในนา แต่ละลายในนามัน อย่างพวกวติ ามินเอ, วิตามินอี, วติ ามนิ ดี, วติ ามินเค เป็นตน้ นอกจากนียังมีวติ ามินอีกมากมาทจี่ าเป็นตอ่ ระบบการ ทางานของรา่ งกายเรา ลองมาดูประโยชนข์ องวิตามินหลักๆ ที่สาคญั ต่อร่างกายว่ามอี ะไรบ้าง วิตามินเอ วิตามินเอ หรอื เรตนิ อล จัดเปน็ วิตามินท่ีละลายในไขมันหรือนามนั ซ่ึงภายในรา่ งกายของเราสามารถเก็บ วิตามนิ เอได้ ทาให้ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งรับประทานอาหารทม่ี วี ติ ามินเอทุกวนั โดยแหลง่ อาหารทม่ี ีวิตามินเอ ได้แก่ อาหาร จาพวกตบั , บร็อกโคลี, ผักโขม, ฟักทอง, นามนั ตับปลา, แครอท, ไข,่ นม, มะละกอ, มะมว่ ง, ถ่ัวลนั เตา เป็นตน้ ประโยชน์ของวิตามนิ เอ – ชว่ ยบารงุ สายตา ปอ้ งกันภาวะตาแหง้ หรอื ตาบอด – ช่วยเสรมิ สรา้ งภูมคิ ุ้มกนั โรคตา่ ง ๆ – ชว่ ยแก้ปัญหาเร่อื งผิวพรรณ ลดจุดด่างดา ทาให้ผิวแข็งแรง – ชว่ ยเสรมิ สรา้ งความแขง็ แรงของกระดกู ฟนั และเหงอื ก – ชว่ ยบารุงใหผ้ มมีสุขภาพดี – ช่วยรักษาสวิ ริวรอยต่าง ๆ – ชว่ ยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ และโรคถุงลมโป่งพองได้ อันตรายจากการได้รบั วิตามนิ เอมากเกินขนาด – การรบั ประทานวติ ามนิ เกนิ วนั ละ 15,000 ไอยู อยา่ งต่อเนือ่ งติดต่อกนั ทุกวันจะเกิดเปน็ พษิ ต่อตับขึน – สาหรับผู้หญงิ ที่ตังครรภ์หากไดร้ บั วติ ามินเอเกนิ ขนาดจะทาให้ทารกที่ออกมาพกิ ารได้ – อาการที่บง่ ชวี า่ กาลงั ไดร้ บั วิตามินเอเกินขนาด ได้แก่ ผมร่วง, ท้องเสีย, อาเจยี น, เป็นผนื่ , ปวดศีรษะ, รอบเดือนมาผิดปกติ, ตบั บวมโต, ปวดกระดกู และอ่อนเพลีย เป็นต้น วิตามนิ ซี นามะนาวที่ใสใ่ นนาสมุนไพรดอกอัญชัน จะเกดิ การเปล่ยี นสจี ากสนี าเงิน เปน็ สีม่วง เนื่องจากนามะนาวมี สมบตั ิเป็นกรด และมีวิตามินซี หรือ กรดแอสคอรบ์ กิ จัดเปน็ วิตามนิ ทล่ี ะลายในนา และจะสลายตัวไดอ้ ย่างรวดเรว็ เม่อื ถูกแสง หรือความร้อน ซึง่ วิตามินซีจัดเปน็ วติ ามนิ ทส่ี าคญั ตอ่ รา่ งกายอย่างย่ิงเพราะเรียกไดว้ ่าเป็นสารตา้ น อนุมลู อสิ ระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ๆ อาหารทม่ี ีวิตามินซอี ยู่ ไดแ้ ก่ ผลไมร้ สเปรยี วทังหลาย, มะเขือเทศ, สม้ , มัน ฝร่ัง, ผลไม้ตระกูลเบอร์รท่ี ังหลาย, แคนตาลูป, พริกไทย, ดอกกะหล่า เป็นตน้
ประโยชนข์ องวติ ามนิ ซี – ชว่ ยเสรมิ สร้างเส้นใยคอลลาเจนใหแ้ ก่เซลลต์ ่าง ๆ ในร่างกาย – ชว่ ยปอ้ งกนั โรคหวดั – ช่วยเสรมิ สรา้ งระบบภมู ิคุ้มกนั ของร่างกาย – ช่วยให้ผิวพรรณดี สดใส เปลง่ ปลงั่ – ชว่ ยปอ้ งกันการเกิดมะเรง็ ต่าง ๆ – ชว่ ยลดความดนั โลหติ – ชว่ ยป้องกนั อาการเลือดออกตามไรฟัน – ชว่ ยเพ่มิ การดดู ซึมของธาตเุ หล็กภายในร่างกาย – ชว่ ยรักษาแผลสด หรือแผลจากไฟไหม้ได้ – ช่วยสมานแผลให้หายเรว็ ขึน – ชว่ ยลดระดบั คอเลสเตอรอลในเลือด – ชว่ ยยาทใี่ ช้สาหรับการรักษาโรคตดิ เชือทางเดินปสั สาวะมปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ – ช่วยต้านทานอนมุ ูลอิสระได้ดีมาก – ชว่ ยปอ้ งกันร่างกายจากการตดิ เชอื จากแบคทเี รียและไวรสั หลายชนดิ – ชว่ ยซอ่ มแซมส่วนที่สกึ หรอภายในร่างกาย – ช่วยสรา้ งเมด็ เลอื ดขาว – ช่วยต้านทานอาการภมู แิ พ้ – ช่วยปอ้ งกนั การเกิดโรคเกาต์ – ช่วยปอ้ งกนั โรคโลหติ จาง อนั ตรายจากการได้รับวติ ามินซมี ากเกนิ ขนาด การรบั ประทานวิตามินซมี ากเกินขนาดอาจก่อใหเ้ กดิ โรคนวิ่ จากกรมออกซาลิกและกรดยรู ิกได้ และอาจมี อาการปสั สาวะบ่อย, ท้องร่วง, ปวดศรี ษะ หรอื เปน็ ผื่นตามผวิ หนงั เป็นต้น ฉะนันควรรับประทานวติ ามนิ ซีใน ปริมาณทเี่ พยี งพอต่อรา่ งกาย 1.4 ประโยชนข์ องนาสมุนไพรดอกอญั ชนั 1.4.1 นาสมนุ ไพรดอกอัญชัน เปน็ เครอ่ื งด่มื ท่ีมีสรรพคณุ คอื - ชว่ ยเสริมสรา้ งภมู ติ ้านทานให้รา่ งกายและเพมิ่ พลังทาใหร้ ่างกายมีแรงขนึ - สารต้านอนุมลู อิสระในดอกอญั ชนั ช่วยในการชะลอวยั และริวรอยแห่งวัย - ชว่ ยบารุงสมอง - ชว่ ยลดความเส่ียงของการเกดิ โรคหัวใจและภาวะหลอดเลอื ดหวั ใจอดุ ตนั - ช่วยลดความเสย่ี งจากการเกดิ โรคมะเร็ง - ชว่ ยลดระดบั นาตาลในเลือดในผู้ปว่ ยโรคเบาหวาน - ชว่ ยล้างสารพิษและขบั ของเสยี ออกจากรา่ งกาย - แก้อาการปัสสาวะพิการ - แก้อาการฟกชา - ชว่ ยปอ้ งกนั และบรรเทาอาการเหนบ็ ชาตามนวิ มือนวิ เท้า
1.4.2 ใช้ในการทดลองอินดเิ คเตอร์ อินดเิ คเตอร์ คอื สารที่ใช้บอกความเปน็ กรด-เบส ของสารละลายไดอ้ ยา่ งหนึง่ สารประกอบท่ี เปลย่ี นสีไดท้ ี่ pH เฉพาะตัว จะถกู นามาใช้เป็นอนิ ดิเคเตอรไ์ ด้ เช่น ฟนี อลฟ์ ทาลีน จะไม่มีสเี มื่ออยใู่ นสารละลาย กรด และจะเปล่ยี นเป็นสีชมพู เมอื่ อยู่ในสารละลายเบสทม่ี ี pH 8.3.
ใบกิจกรรมส้าหรบั ผู้รบั บริการ เรอื่ ง การออกแบบและสร้างสรรค์เมนู การท้าน้าสมนุ ไพรดอกอัญชันโดยบูรณาการสะเต็มศกึ ษาและสมุนไพรไทยในทอ้ งถน่ิ วัตถุประสงค์ ออกแบบ สร้างสรรค์เมนู และลงมอื ปฏบิ ตั ิการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชนั โดยการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษา และสมนุ ไพรไทยในทอ้ งถน่ิ คา้ ชแี จง ใหผ้ ู้รบั บริการออกแบบ สรา้ งสรรค์เมนู และลงมือปฏิบัติการทานาสมนุ ไพรดอกอญั ชัน 1. การวางแผนการออกแบบ สรา้ งสรรค์เมนู และลงมือปฏบิ ตั ิจากอปุ กรณ์ที่เตรยี มให้ โดยการบรู ณาการ สะเตม็ ศึกษาและสมนุ ไพรไทยในท้องถิ่น 2. ปฏิบตั กิ ารทานาสมุนไพรดอกอัญชนั โดยการบรู ณาการสะเตม็ ศกึ ษาและสมนุ ไพรไทยในท้องถ่นิ 3. บนั ทึกผลการปฏบิ ัติการทานาสมนุ ไพรดอกอัญชนั โดยการบูรณาการสะเตม็ ศกึ ษาและสมนุ ไพรไทยใน ท้องถ่ิน 4. สรุปปัญหา/อปุ สรรค ในการทานาสมุนไพรดอกอัญชันมะนาวโดยการบูรณาการสะเตม็ ศกึ ษาและ สมุนไพรไทยในท้องถิน่ วัสดแุ ละอปุ กรณท์ ่ีเตรียมให้สาหรบั การออกแบบและปฏิบัตกิ ารทานาสมุนไพรดอกอญั ชัน ท่ี รายการ จ้านวนต่อกลุ่ม 1 ดอกอญั ชันแหง้ 5 กรัม 2 นา 2 ถว้ ย 3 นาเชอ่ื ม 4 นามะนาว 4 ชอ้ นโตะ๊ 5 นาแขง็ 2 ซีซี. 6 ไซรงิ 1 แก้ว 7 หมอ้ 1 อนั 8 เตาแกส๊ 1 ใบ 9 เครอื่ งชง่ั ขนาด 1 กก. 1 เตา 10 ตะแกรงกรอง 1 อัน 11 กระบวย 1 อนั 12 กระบอกตวงนา 1 อัน 13 แกว้ 1 อนั 1 ใบ
จดุ ประสงคใ์ นการท้านา้ สมุนไพรดอกอญั ชัน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….............................… ร่างแบบแผนการน้าสมุนไพรดอกอญั ชัน 1. การระบปุ ญั หา 2. การค้นหาแนวคิดท่ีเก่ียวขอ้ ง 3. การวางแผนและพฒั นา
4. การทดสอบและการประเมินผล ผลการปฏิบัตงิ านในวันท่ดี าเนนิ การทานาสมุนไพรดอกอญั ชัน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ตารางบนั ทกึ ผล ภายหลงั การทา้ น้าสมนุ ไพรดอกอัญชนั สตู ร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ครังท่ี ลักษณะภายนอกทสี่ งั เกตได้ ผลการทา้ นา้ สมนุ ไพรดอกอญั ชัน ในด้านรสชาติและสี 1 2 3 5. การนา้ เสนอผลลพั ธ์ จากการทานาสมุนไพรดอกอญั ชนั ด้วยสูตร………………....……………………………………………………………..….. ในวนั ทีด่ าเนินการทาสมนุ ไพรดอกอญั ชันพบว่า...........…….……………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เนื่องจาก………………………………………………………………....................................................................................…. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สรปุ ปญั หา/อปุ สรรค ในการทา้ นา้ สมนุ ไพรดอกอญั ชัน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบทดสอบหลังเรียน เร่ือง นา้ สมุนไพรดอกอัญชนั มดี ีมากกว่าให้สสี วย ค้าชีแจง 1. แบบทดสอบจานวน 5 ข้อ ขอ้ ละ 2 คะแนน คะแนนเต็ม 10 คะแนน 2. ใหเ้ ลอื กคาตอบท่ถี ูกที่สดุ เพียงขอ้ เดยี ว 1. สมนุ ไพร หมายถงึ ข้อใด ก. ผลติ ผลธรรมชาติ ไดจ้ าก พชื สัตว์ และแรธ่ าตุ ท่ีใช้เป็นยา หรอื ผสมกับสารอ่ืน ตามตารบั ยา เพ่อื บาบัดโรค บารุง ร่างกาย หรอื ใชเ้ ป็นยาพิษ ข. ผลติ ผลธรรมชาติ ไดจ้ าก พืช ที่ใชเ้ ปน็ ยา หรอื ผสมกบั สารอืน่ ตามตารับยา เพอื่ บาบัดโรค บารุง รา่ งกาย หรอื ใชเ้ ปน็ ยาพิษ ค. ผลติ ผลธรรมชาติ ไดจ้ าก สัตว์ และแร่ธาตุ ทใี่ ช้เป็นยา หรอื ผสมกบั สารอ่นื ตามตารับยา เพ่ือ บาบัดโรค บารงุ รา่ งกาย หรือใช้เป็นยาพษิ ง. ผลติ ผลธรรมชาติ ได้จาก แร่ธาตุ ท่ีใชเ้ ปน็ ยา หรือผสมกับสารอ่ืนตามตารบั ยา เพื่อบาบดั โรค บารงุ ร่างกาย หรอื ใช้เป็นยาพิษ 2. สมุนไพรดอกอัญชันนอกจากทาเคร่อื งดื่มสมนุ ไพรแลว้ ยงั นาไปทาอะไรได้อีก ก. ผสมในอาหาร ข. เคร่ืองสาอาง ค. ทดลองอินดเิ คเตอร์ ง. ถูกทกุ ขอ้ 3. ข้อใดต่อไปนกี ล่าวถูกตอ้ ง ก. สารท่อี ยู่ในดอกอัญชันชว่ ยเพิม่ ประสิทธิการทางานของดวงตา ตามวั ตาฟาง ข. อัญชันเป็นพืชตระกูลถ่ัว ปลูกได้ท่วั ไป ค. ดอกอัญชนั มสี ีนาเงนิ และสีม่วงเทา่ นนั ง. ขอ้ ก และ ข กลา่ วถูกต้อง 4. การนาสมนุ ไพรไปใช้ ผใู้ ช้ต้องศึกษาเรยี นรเู้ กยี่ วกับอะไรบ้าง ก. ความรู้ดา้ นวิทยาศาสตร์ ข. ความรดู้ า้ นพฤกษศาสตร์ ค. ความรู้ด้านวธิ ีการใช้ยาสมนุ ไพร ง. ถกู ทุกขอ้ 5. สารใดตอ่ ไปนีทมี่ ีอยู่ในดอกอัญชัน ก. แอนโทไซยานนิ ข. คลอโรฟิลส์ ค. แคโรทนี อยด์ ง. ฟโี อไฟตนิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: