ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ฟสิกส บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ! ! ตอนท่ี 1 ความเร็วเสียง เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ ซึ่งสงผลใหโมเลกุลของอากาศเกิดการอดั ตัว และขยาย ตวั แลวเกิดการถายทอดพลังงานไปได โดยที่อนุภาคอากาศไมไดเคลื่อนที่ไปกับพลังงานนั้น เมอ่ื พจิ ารณาการเคลอ่ื นทข่ี องเสยี งนน้ั จะพบวาเสยี งมีลกั ษณะเปน คลื่นตามยาว และ การเดิน ทางของเสียงนั้นตองอาศัยตัวกลางเสมอ เชน ในกรณนี ้ี ตัวกลางก็คือ อากาศนน่ั เอง ดงั นน้ั เสียงจึงมีลักษณะเปน คลื่นกล อกี ดว ย !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 1(มช 38) วางกระดิ่งไฟฟาที่สงเสียงดังตลอดเวลา และหลอดไฟฟาที่ใหแสงสวางในครอบแกว ที่ภายในเปนสูญญากาศแลว ขอใดถูกตองที่สุด 1. ไมไดยินเสียงกระดิ่ง แตเ หน็ แสงจากหลอดไฟ 2. ไมไดยินเสียงกระดิ่ง และไมเห็นแสงจากหลอดไฟ 3. ไดยินเสียงกระดิ่ง และ เห็นแสงจากหลอดไฟ 4. ไดยินเสียงกระดิ่ง แตไ มเ หน็ แสงหลอดไฟ !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" อตั ราเรว็ เสยี ง v = fλ เราอาจหา อตั ราเรว็ เสยี งไดจ าก v = st หรอื s = ระยะทางที่เสียงเคลื่อนที่ได (m) f = ความถี่เสียง (Hz) เมอ่ื v = อตั ราเรว็ (m/s) t = เวลา (s) λ = ความยาวคลื่น (m) ! \"!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ปจ จยั ทมี่ ีผลตอ อตั ราเรว็ เสยี ง 1. ความหนาแนนของตัวกลาง อตั ราเรว็ ในตวั กลางทม่ี คี วามหนาแนน มากกวา จะมีคามากกวาในตัวกลางที่มี ความหนาแนน นอ ยกวา ตารางแสดงอัตราเร็วของเสียงในตัวกลางตาง ๆ ทอ่ี ณุ หภมู ิ 25oC ตัวกลาง อตั ราเรว็ (m/s) อากาศ 346 นาํ้ 1,498 นาํ้ ทะเล 1,531 เหล็ก 5,200 2. อุณหภูมิ อตั ราเรว็ เสยี ง จะแปรผนั ตรงกบั รากท่ี 2 ของอณุ หภมู เิ คลวนิ เพราะอุณหภูมิสูงขึ้น จะทําใหโมเลกลุ มีพลังงานจลนมากขึ้น การอดั ตวั และขยายตวั เรว็ ทําใหเสียงเคลื่อนที่ได เรว็ ขน้ึ ดว ย จงึ ไดว า V ∝ T และสําหรับในอากาศนั้น เราสามารถหาอตั ราเรว็ เสยี งทอ่ี ณุ หภมู ติ า ง ๆ ได โดยอาศยั สมการ v = vo + 0.6 t หรอื v = 331 + 0.6 t เมอ่ื vo = อตั ราเรว็ เสยี งทอ่ี ณุ หภมู ิ 0oC = 331 m/s t = อณุ หภมู ิ (oC) !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 2(มช 31) ตัวกลางที่คลื่นเสียงผาน 3 ชนดิ คือ นาํ้ ทะเล น้ําบริสุทธิ์ และ ปรอท ณ อณุ หภมู ิ เดียวกัน ขอใดเรียงลําดับความสามารถในการถายทอดคลื่นเสียงจากดีที่สุด ไปหาเลวที่สุด ก. น้ําบริสุทธิ์ ปรอท นาํ้ ทะเล ข. นาํ้ ทะเล น้ําบริสุทธิ์ ปรอท ค. ปรอท นาํ้ ทะเล น้ําบริสุทธิ์ ง. นาํ้ ทะเล ปรอท น้ําบริสุทธิ์ ! #!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 3(มช 33) อตั ราเรว็ ของเสยี งในอากาศนง่ิ ขน้ึ อยกู บั ขอ ใด 1. ความถี่ของการสั่นของแหลงกําเนิด 2. อณุ หภมู ขิ องอากาศ 3. ความเรว็ ของแหลงกาํ เนิดเสียง 4. ความเขมของเสียง 4(มช 31) อตั ราเรว็ ของเสยี งเปลย่ี นอยา งไรกบั อณุ หภมู ิ ก. แปรผนั โดยตรงกบั อณุ หภมู อิ าศาเซลเซยี ส ข. แปรผนั โดยตรงกบั อณุ หภมู เิ คลวนิ ค. แปรผนั ผกผนั กบั รากทส่ี องของอณุ หภมู ิ องศาเซลเซยี ส ง. แปรผนั โดยตรงกบั รากทส่ี องอณุ หภมู เิ คลวนิ 5. ณ อณุ หภมู ิ 35oC อตั ราเร็วเสียงในอากาศจะมากกวา ณ อณุ หภมู ิ 30oC อยกู เ่ี มตรตอ วนิ าที ก. 3 ข. 6 ค. 12 ง. 34 6. ขณะเรอื ขดุ เจาะนาํ้ มันเกดิ ระเบดิ กลางมหาสมทุ ร เรอื ลาดตระเวนลาํ หนง่ึ สามารถตรวจรบั สัญญาณคลื่นเสียงจากใตทองเรือไดกอนที่จะไดยินเสียงที่มาทางอากาศถึง 20 วินาที เรอื ลาด ตระเวนลาํ นอ้ี ยหู า งจากทเ่ี กดิ เหตกุ ก่ี โิ ลเมตร ถาความเร็วเสียงในน้ําทะเลมีคา 1531 m/s และความเร็วเสียงในอากาศขณะนั้นมีคา 346 m/s ก. 8.94 ข. 16.3 ค. 25.8 ง. 30.6 7. แหลงกําเนิดเสียงสั่นดวยความถี่ 692 เฮริ ตซ ในอากาศท่ีมอี ุณหภมู ิเปน 25oC จงหาวา จดุ 2 จุดบนคลื่นเสียงที่มีเฟสตางกัน 60o จะหางกันเทาไร 1. 8.3 cm 2. 12.0 cm 3. 25.0 cm 4. 50.0 cm ! $!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ตอนท่ี 2 สมบัติของคลื่นเสียง สมบัติที่ 1 การสะทอ นของเสยี ง เมื่อเสียงไปตกกระทบวัตถุที่มีขนาดใหญกวาความยาวคลื่น เสียง เสียงจะสะทอนออกจากวัตถุนั้นได ย้ําเพิ่มเติม 1) หากวัตถุมีขนาดเล็กกวาความยาวคลื่นเสียง เมอ่ื เสยี งตก กระทบ จะเลี้ยวออมไปทางอื่น ไมสะทอนออกมา 2) หากมีเสียงสะทอนจากหลายแหลง มาถึงผูฟงในชวงเวลาที่ ! ตางกันมากกวา 0.1 วินาที จะทาํ ใหไ ดย นิ เสยี งสะทอ นหลายเสยี ง เรียกวาเกิด เสียงกอง !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 8(En 36) คัดขนาดของผลไมในขณะกําลังไหลผานมาตามรางน้ําโดยอาศัยการสะทอนของเสียง จากเครอ่ื งโซนาร โดยตองการแยกผลไมที่มีขนาดใหญกวา และเล็กกวา 7.5 เซนตเิ มตร ออกจากกนั จงหาความถี่เหมาะสมของคลื่นจากโซนาร ความเรว็ ของเสยี งในนาํ้ = 1500 เมตรตอ วนิ าที 1. 1 kHz 2. 2 kHz 3. 10 kHz 4. 20 kHz 9(En 37) เรือหาปลาลําหนึ่งหาฝูงปลาดวยโซนาร ! สงคลื่นดลของเสียงความถี่สูงลงไปในน้ําทะเล ถาฝูงปลาอยูหางจากเครื่องกําเนิดคลื่นไปทาง หัวเรือเปนระยะทาง 120 เมตร และอยูลึกจาก ผิวน้ําเปนระยะ 90 เมตร หลังจากสงคลื่นดล จากโซนารไ ปเปนเวลาเทาใด จึงจะไดรับคลื่นที่สะทอนกลับมา ! %!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน กําหนดความเร็วเสียงในน้ําทะเล = 1,500 m/s !!! 1. 0.1 s 2. 0.2 s 3. 0.3 s 4. 0.4 s 10. ชายคนหนึ่งตะโกนเสียงมีความถี่ 1,000 ครง้ั /วินาที ออกไปยังหนาผาซึ่งอยูหางออกไป 300 เมตร ปรากฏวาเขาไดยินเสียงสะทอนกลับหลังจากตะโกนแลว 4 วินาที จงหา ก) ความเรว็ เสยี ง ข) ความยาวคลื่นเสียง 11(มช 32) บายวันหนึ่ง ชายคนหนึ่งเปลงเสียงไปยังหนาผาแหงหนึ่ง ปรากฏวาไดยินเสียงของ ตัวเองสะทอนกลับมาหลังจากเปลงเสียงไปแลว 8 วินาที ตอ มาชายคนนเ้ี ดนิ เขา หาหนา ผา เปนระยะทาง 30 เมตร แลวเปลงเสียงอีก ปรากฏวาไดยินเสียงสะทอนกลับมาหลังจาก เปลง เสยี งไปแลว 5 วินาที อยากทราบวาจุดแรกที่ชายคนนี้ยืนอยูหางจากหนาผากี่เมตร 1. 80.0 2. 857.5 3. 30 4. 27 12(En 42/1) เรอื ลาํ หนง่ึ วง่ิ เขา หาหนา ผาเรยี บดว ยความเรว็ 10 เมตรตอ วนิ าที เมอ่ื เปด หวดู ขน้ึ คนในเรือไดยินเสียงหวูดสะทอนจากหนาผาในเวลา 2.0 วินาที ถาขณะนั้นความเร็วเสียง ในอากาศเปน 350 เมตรตอ วนิ าที ขณะเปด หวดู เรอื หา งจากหนา ผาเปน ระยะเทา ใด 1. 340 m 2. 350 m 3. 360 m 4. 370 m !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" สมบัติที่ 2 การหกั เหของเสยี ง จากกฎของสเนลจะไดวา sinθ 1 = vv12 = λ1 = TT12 = n21 sinθ 2 λ2 เมอ่ื θ1 และ θ2 คือ มุมในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ V1 และ V2 คือ ความเร็วคลื่นในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ λ1 และ λ2 คือ ความยาวคลื่นในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ T1 และ T2 คือ อณุ หภมู ิ (เคลวนิ ) ในตัวกลางที่ 1 และ 2 ตามลําดับ n21 คือ คาคงที่ เรยี กชอ่ื วา ดชั นหี ักเหของตวั กลางท่ี 2 เทียบกับตัวกลางที่ 1 ! &!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 13. อากาศบรเิ วณ X ทอ่ี ณุ หภมู ิ 27oC บรเิ วณ Y มอี ณุ หภมู ิ 21oC เม่อื เสยี งผา นจาก ก. ดชั นีหกั เหของตวั กลาง Y เมื่อเทียบกับตัวกลาง X เปนเทาใด ข. ถาในตัวกลาง Y เสยี งมอี ตั ราเรว็ 342 m/s ในตัวกลาง X เสยี งจะมอี ตั ราเรว็ เทา ใด 14. เมื่อเสียงผานตัวกลาง A ไปยังตัวกลาง B อตั ราสว น sin มุมตกกับมุมหักเหเปน 0.98 ถาอุณหภูมิอากาศในตัวกลาง B เปน 18oC จงหาอณุ หภมู อิ ากาศในตวั กลาง A !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" สมบัติที่ 3 การเลย้ี วเบนของเสยี ง การเล้ยี วเบนจะเกิดไดด ี เมอ่ื ชองแคบมีขนาดเล็กกวาความยาวคลื่น หรอื ความยาวคลื่นตองใหญกวาชองแคบ นน่ั เอง !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 15. ชอ งหนา ตา งกวา ง 0.8 m สูง 1.2 m จะใหเสียงที่มีความถี่มากที่สุดเทาไร ผานไป โดยเกดิ การเลย้ี วเบนในแนวราบ (กําหนด อณุ หภมู ใิ นอากาศ 38oC) !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" สมบัติที่ 4 การแทรกสอดของเสยี ง ในแนวเสริม หรอื แนวปฏิบัพ คลื่นเสียงมีการเสริมกัน จึงมีเสียงดังกวาปกติ ในแนวหักลาง หรอื แนวบพั คลื่นเสียงมีการหักลางกัน จึงมีเสียงเบากวาปกติ สูตรที่ใชคํานวณเกี่ยวกับ การแทรกสอดคลน่ื ! ! สําหรับแนวปฏิบัพลําดับที่ n(An) S1P – S2P = n λ d sin θ = n λ ! '!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน เมอ่ื P คือ จุดซึ่งอยูบนแนวปฏิบัพลําดับที่ n(An) S1P คือ ระยะจาก S1 ถึง P S2P คือ ระยะจาก S2 ถึง P λ คือ ความยาวคลื่น (m) n คือ ลําดับที่ของปฏิบัพนั้น d คือ ระยะหางจาก S1 ถึง S2 θ คือ มุมที่วัดจาก A0 ถึง An สําหรับแนวบัพลําดับที่ n(Nn) S1P – S2P = (n – 12 )λ n คือ ลําดับที่ของแนวบัพนั้น d sin θ = (n – 12 ) λ !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 16. จากรปู S1 และ S2 เปน ลําโพง 2 ตวั วางหางกัน 3 เมตร ใหคลื่นขนาดเดียวกันและมี เฟสตรงกัน ถา P เปน ตาํ แหนง เสยี งดงั ครง้ั ทส่ี อง หางจากแนวกลางในทิศทํามุม 30o คลื่นที่แผมีความยาวกี่เมตร ก. 0.5 ข. 0.75 ค. 0.9 ง. 1.2 17. A และ B เปน ลําโพง 2 ตัววางหางกัน 2 เมตร ในที่โลง P เปน ผูฟงหางจาก A 4 เมตร และหางจาก B 3 เมตร เสียงความถี่ต่ําสุดที่คลื่นหักลางกันทําใหไดยินเสียงเบาที่สุดเปนเทาไร (กําหนด ความเรว็ เสยี ง = 340 m/s) 1. 270 Hz 2. 230 Hz 3. 190 Hz 4. 170 Hz 18(มช 39) ชายคนหนึ่ง ไดยินเสียงที่ชัดเจนความถี่หนึ่ง ซง่ึ เขาเชอ่ื วา ตอ งมคี วามถอ่ี ยู ในชวง 500 – 1000 Hz เสียงนี้มากจากแหลง แหลงกําเนิด 2 แหลง ที่ใหความถี่เทากัน ชายคนนี้ พบวาเสียงจะดังที่สุด ณ. จุดที่อยูหางจากแหลงกําเนิดทั้งสองเทากัน เพื่อที่จะหาคาความถี่นี้ เขาจงึ เดนิ ตอ ไปจากบรเิ วณทเ่ี สยี งดงั ทส่ี ดุ และเขาพบวาเสียงจะเบาที่สุด เมื่อระยะทางจาก แหลงกําเนิด ทั้งสองตางกันเปน 0.2 เมตร จงหาความถี่ของเสียง (ในหนวยเฮิรตซ) ทป่ี ลอ ยออกมาจากตนกําเนดิ (กาํ หนด อณุ หภมู ขิ องอากาศเปน 15oC) ! (!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 19. S1 และ S2 เปน ลําโพง 2 ตวั ใหเสียงที่มีเฟสเดียวกัน *\"!!!!!!!#+!!!!!!*#! ความถี่เทากัน จดุ A และจุด B เปน จดุ ที่มีเสียงเบาที่สุด .! ระหวาง A และ B มีความเขมเสียงมากที่สุดเพียง จุดเดียว จงหาความถี่ของลําโพงทั้งสอง ถา X มีคา 5 เมตร ใหอ ตั ราเรว็ เสยี ง 330 m/s และ S1 , S2 อยูหางกัน 2 เมตร ,!!!!!!!!!!!!!!!!!-! 20. S1 และ S2 เป็นแหลงกําเนิดอาพันธที่ใหคลื่นเฟสตรงกัน มีความถี่ 20 Hz วางอยูหางกัน 40 เซนตเิ มตร จดุ A และ จดุ B เปนตําแหนงปฏิบพั และระหวางจุด A และ B จะมี ตําแหนงปฏิบัพิอีก 7 ตาํ แหนง จงหาคา ความเร็วของคล่นื ท่สี งออกมา ! 21. S1 และ S2 เปน็ ลาํ โพง 2 ตวั อยูหางกัน 6 เมตร ชายผูหนึ่งอยูที่จุด P ไดยินเสียงชัดเจนถามวาในขณะ ทเ่ี ขาเดนิ จากจดุ P ไป Q เขาจะรูสึกวาเสียงหายไปกี่ครั้ง กําหนดความถี่จากลําโพงทั้งสองมีคาเทากัน คือ 510 Hz และมีเฟสตรงกันความเร็วเสียงในอากาศ 340 m/s 22(En 41) จากรูปเปนทอซึ่งตรงกลางมีทางแยกเปนสวนโคงรูปครึ่งวงกลมรัศมี r เทากับ 14 เซนตเิ มตร ถา อตั ราเรว็ ของเสยี งในทอ เทา กบั 344 เมตรตอ วนิ าที ใหคลื่นเสียงเขาไป ในทอทางดาน S ความถี่ของเสียงที่ทําใหผูฟงที่ปลายดาน D ไดยินเสียงคอยที่สุดมีคาเทาใด 1. 287 Hz ! 3. 718 Hz 2. 574 Hz ! 4. 1075 Hz )!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ตอนท่ี 3 บีสต คลน่ื นง่ิ และ สน่ั พอ งของเสียง การเกิดบีสต (Beat) หากมีคลื่นเสียง 2 คลื่น ซึ่งมีความถี่ตางกันเล็กนอยเขามาปนกัน คลื่นทั้งสองจะเกิดการ แทรกสอดกนั เอง แลวจะไดคลื่นรวมที่มีอัมปลิจูดสูงต่ําสลับกันไป เสียงที่เกิดจากคลื่นรวมจะ มีลักษณะดังสลับกับเบา ปรากฏการณที่เกิดขึ้นนี้ เรยี กวา บีสตของเสียง จํานวนครั้งที่เสียงดังใน 1 หนวยเวลาเรยี ก ความถี่บีตส ความถี่บีสต (fB) หาจาก fB = f1 – f2 เมอ่ื f1 คือ ความถี่เสียงที่ 1 f2 คือ ความถี่เสียงที่ 2 ความถี่บีสต คือ จาํ นวนครง้ั ทเ่ี สยี งดงั ไมใชความถี่คลื่นเสียง หากจะหาความถี่คลื่น เสยี งรวมหาจาก fรวม = f1 + f2 2 ปกติแลว หูคนเราจะไดยินเสียงบีสตที่มีความถี่ไมเกิน 7 Hz !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 23(En 31) เมื่อจะทําการทดลองเกี่ยวกับสมบัติของคลื่นเสียงเรื่องบีสต เราจาํ เปน ตอ งใช 1. เครอ่ื งกาํ เนดิ สญั ญาณเสยี ง 1 เครอ่ื ง ลําโพง 1 ตวั 2. เครอ่ื งกาํ เนดิ สญั ญาณเสยี ง 1 เครอ่ื ง ลําโพง 2 ตวั 3. เครอ่ื งกาํ เนดิ สญั ญาณสยี ง 2 เครอ่ื ง ลําโพง 2 ตวั 4. เครอ่ื งกาํ เนดิ สญั ญาณเสยี ง 3 เครอ่ื ง ลําโพง 3 ตวั ! /!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 24(มช 32) ในการปรบั เสยี งเปย โน โดยผูปรับใชวิธีเคาะสอมเสียง ความถี่มาตรฐานเทียบกับ เสียงที่ไดจากการกดคียเปยโนคียหนึ่ง ถาเสียงที่ไดยินเปนลักษณะดังแลวคอยจางหาย แลว ดังอีกเปนจังหวะสลับกันไป เขาก็จะปรับความตึงของลวดเปยโนจนกวาเสียงที่ไดยิน จะดงั เปน เสยี งเดยี วตอ เนอ่ื งกนั ไป การกระทําอยางนี้อาศัยหลักการของปรากฏการณที่เรียกวา ก. Doppler effect (ปรากฏการณด อปเปเปอร) ข. Resonance (กําทอน) ค. Shock waves (คลื่นกระแทก) ง. Beats 25(En 41) นกั เรยี นคนหนง่ึ เลน ไวโอลนิ ความถ่ี 507 เฮริ ตซ และนกั ดนตรอี กี คนหนง่ึ เลน กตี าร ความถี่ 512 เฮริ ตซ ถาทั้งสองคนเลนพรอมกัน จะเกิดปรากฏการณบีตสที่ความถี่เทาใด 1. 2.5 Hz 2. 5.0 Hz 3. 10 Hz 4. 509.5 Hz 26(En 40) ในการปรบั เสยี งของเปย โนระดงั เสียง C โดยเทียบกับสอมเสียงความถี่ 256.0 Hz ถาไดยินเสียงบีตสความถี่ 3.0 ครง้ั /วินาที ความถี่ที่เปนไปไดของเปยโนมีคาเทาใด 1. 256 Hz 2. 254.5 หรอื 257.5 Hz 3. 253 หรอื 259 Hz 4. 250 หรอื 262 Hz 27. คลื่น 2 ขบวน A และ B มีแอมปลิจูดเทากัน คลื่นละ 2 เซนตเิ มตร มีความถี่ 200 และ 204 เฮริ ตซ ตามลําดับ ถาคลื่นทั้งสองเขารวมกันเปนคลื่น C ความถี่ของคลื่น C และ ความถี่บีสตของคลื่น C มีคาเทาใด ในหนว ยของเฮริ ตซ 1. 200 และ 2 2. 202 และ 4 3. 204 และ 6 4. 206 และ 8 28(มช 45) สอมเสียง 2 อนั อันหนึ่งมีการสั่นดวยความถี่ 440 เฮริ ตซ อีกอันไมทราบความถี่ ในการสั่น ถาสอมเสียงทั้ง 2 สั่นพรอมกัน จะปรากฎเสียงมีความถี่บีตสเปน 3 เฮริ ตซ แตถานําเอาขี้ผึ้งมาติดที่สอมเสียงอันที่ไมทราบความถี่ในการสั่น แลวทําใหสอมเสียงทั้ง 2 สน่ั พรอ มกนั อกี ครง้ั ปรากฎวาเสียงบีตสหายไป ถามวาสอมเสียงที่ไมทราบความถี่ในการ สั่นมีความถี่เทาใดในหนวยเฮิรตซ 1. 446 2. 443 3. 437 4. 434 ! \"0!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน คลื่นน่งิ คลืน่ นง่ิ เปนปรากฏการณแทรกสอดของคลื่นเสียงที่ตกกระทบ กับคลื่นเสียงที่สะทอน จากตัวกลาง ทําใหเกิดตําแหนงเสียงดังและเสียงคอยสลับกันไป ตาํ แหนง เสยี งดงั เรยี กวา ปฏิบัพ (A) ตาํ แหนง เสยี งคอ ย เรยี กวา บัพ (N) ! !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 29(มช 40) ลําโพง A และ B ในรูปมีกําลัง และสมบัติอื่น ๆ เหมือนกันทุกประการถา A และ B ตางกําลังสงสัญญาณเสียงเปนรายการเพลงที่กําลังออกอากาศทางสถานีวิทยุแหงหนึ่ง โดยสญั ญาณทป่ี อ นเขา สลู าํ โพงทง้ั สองนเ่ี หมอื นกนั ทกุ ประการตลอดเวลา ความเขมเสียง ทต่ี าํ แหนง ตา ง ๆ บนแนวแกน (แนวเสน ตรง PQ) ที่เชื่อมระหวางลําโพงทั้งสองนี้จะมี ลักษณะเปนอยางไร 1. มีคาต่ําสุดที่ R ซึ่งอยูกึ่งกลางระหวางลําโพง A และ B พอดี 2. มีคาสม่ําเสมอเทากันตลอด 3. มีคาสูงสุดที่ R 4. มีคาเปนศูนยที่บางตาํ แหนงระหวาง P และ Q !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ! \"\"!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน การสน่ั พอ งของเสยี ง (Resonance) เมอ่ื เรานําจุกปากกา หรอื ทอปลายตันเล็ก ๆ มาผิว จะพบวาบางครั้งจะมีเสียงดังวี๊ดออกมา ทั้งนี้เพราะลม หรือเสียงที่เราเปาเขาไปมีลักษณะเปนคลื่น เมอ่ื ไปกระทบผนงั ดานในจะ เกิดการสะทอนออกมา แลวมาแทรกสอดกับคลื่นที่เขาไป จะเกิดเปนคลื่นนิ่งและ หาก ! ตรงตําแหนงปากทอเปนแนวปฏิบัพของคลื่นนิ่งนั้นจะทําใหโมเลกุลตัวกลาง (อากาศ) สั่น ! สะเทือนอยางรุนแรงกวาปกติทําใหเสียงที่ออกมาจากทอนั้น ดังกวาปกติเชนกัน ปรากฏการณที่มีเสียงดัง อันเกิดจากอนุภาคตวั กลางส่ันสะเทอื น ! อยา งรนุ แรงเชน น้ี เรียกวาการสั่นพองของเสียง (กําทอน) ควรทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสั่นพอง ประการท่ี 1 ทอที่ทําใหเกิดเสียงดัง จะตอ ง เปนทอที่มีความพอดีที่จะทําใหปากทออยู ตรงกับแนวปฏบิ ัพของคล่นื น่งิ พอดี หากปากทอตรงกับแนวบัพจะไมเกิดเสียงดัง ดงั แสดงในรปู ภาพ และที่สําคัญ ความยาวที่ทําใหเกิดสั่นพองแตละครั้ง ! ที่อยูถัดกัน จะอยูหางกัน = λ2 ความยาวจากปากทอถึงจุดที่เกิดสั่นพอง ครง้ั แรก จะมีความยาว = λ4 ! !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 30. การทดลองหาอตั ราเรว็ เสยี งในอากาศโดยใชห ลอดกาํ ทอน พบวาหลังจากเกิดสั่นพองแลวก็ เลื่อนลูกสูบถอยหลังไปอีก 25 cm จงึ เกดิ สน่ั พอ งอกี ครง้ั ถาความถี่ 680 Hz จงหาอตั รา เร็วเสียงในอากาศ ! \"#!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 31(En 26) การทดลองเรอ่ื งการกาํ ทอนของเสยี งโดยใชห ลอดกาํ ทอน พบวา เกดิ กาํ ทอนครง้ั แรก และครั้งที่สอง ที่ระยะ 0.15 เมตร และ 0.50 เมตร จากปากทอตามลําดับ ถา ความเรว็ ของ เสียงใน ขณะนั้นเทากับ 350 เมตร/วินาที จงหาความถี่ของคลื่นสียงที่ใช ก. 400 Hz ข. 500 Hz ค. 600 Hz ง. 1000 Hz 32(En 43/1) หลอดแกวรูปทรงกระบอกปลายเปดขางหนึ่ง ถานํามาใสน้ําใหมีระดับตาง ๆ กัน แลวนําสอมเสียงที่กําลังสั่นใหเกิดเสียงไปไวใกลปากหลอด จะพบวามีความสูงของน้ําใน หลอดแกว 2 คา ที่ทําใหเกิดเสียงดังกวาเดิม ครง้ั แรกมนี า้ํ ในหลอดแกวสงู 15 เซนตเิ มตร ครง้ั ท่ี 2 มีน้ําในหลอดแกวสูง 47 เซนตเิ มตร สอมเสียงสั่นดวยความถี่กี่เฮิรตซ ถา อตั ราเรว็ เสียงในอากาศขณะนั้นมีคา 352 เมตรตอ วนิ าที 33(มช 41) วางลําโพงชิดกับปลายขางหนึ่งของหลอดเรโซแนนซ เลื่อนลูกสูบออกชา ๆ จนกระทั่งไดยินเสียงดังเพิ่มขึ้นมากที่สุดครั้งแรกที่ระยะหางจากปลายหลอด 3.3 เมตร ความเร็วเสียงในอากาศมีคา 330 เมตร/วินาที จงหาความถี่ของเสียงจากลําโพง !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ประการท่ี 2 หากมีทอปลายตัน มีความยาวขนาดหนึ่ง หากเราปรับความถี่ของเสียงที่เปา เขาไปใหเหมาะสม อาจทําใหเกดิ การสน่ั พอ งไดเ ชนกัน ความถี่ที่ทําใหเกิด การส่ันพองน้ัน สามารถคํานวณหาไดจาก f = 4nLv เมอ่ื f คือ ความถี่เสียงที่เปาเขาไปแลวทําใหเกิดการสั่นพอง ! v คือ ความเรว็ เสยี ง m/s L คือ ความยาวลําอากาศ หรอื ความยาวทอกําทอน (m) n คือ จาํ นวนเตม็ บวกค่ี คือ 1 , 3 , 5 , 7 , 9 , .... ถา n = 1 ความถี่ที่ไดจะทําใหเกิดเสียงดังครั้งแรก เรียกความถี่นี้วา ความถี่มูลฐาน หรอื Harmonic ที่ 1 ถา n = 3 ความถี่ที่ไดจะทําใหเกิดเสียงดังครั้งที่ 2 เรียกความถี่นี้วา Harmonic ที่ 2 ถา n = 5 ความถี่ที่ไดจะทําใหเกิดเสียงดังครั้งที่ 3 เรียกความถี่นี้วา Harmonic ที่ 3 หมายเหตุ สูตรนี้ใชสําหรับทอปลายตัน ( คือ ทอที่มีปลายดานหนึ่งปดไว) ! \"$!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 34(มช 40) โดยปกติคลื่นเสียงจะเขาสูระบบการรับฟงเสียงของหูคนเราโดยผานชองรูหู (ear canal) ไปตกกระทบเยื่อแกวหูที่ปลายชองรูหูซึ่งจะสั่นตามจังหวะของคลื่นเสียงนั้น ชองรูหูจึงเปน ดา นแรกทช่ี ว ยขยายสญั ญาณเสยี งทผ่ี า นเขา ไป ถา ความยาวของชอ งรหู ขู องคนทว่ั ไปมคี า ประมาณ 2.5 เซนติเมตร แสดงวาคนเราควรจะรบั ฟง เสยี ง ความถ่ี ประมาณกี่เฮิรตซได ไวเปนพิเศษ (ให Vเสียง = 350 m/s) 1. 3000 2. 3500 3. 4600 4. 700 35(En 38) หลอดเรโซแนนซท ใ่ี ชใ นการทดลองชดุ หนง่ึ จะใหความดันสูงสุดสามครั้ง เมอ่ื เลอ่ื น ตําแหนงลูกสูบไปตามความยาวของหลอดเรโซแนนซ ถาตําแหนงสุดทายดัง เมื่อลูกสูบหาง จากลําโพงมากที่สุดและหางจากปลายกระบอกสูบ 100 เซนตเิ มตร อยากทราบวาลําโพงสั่น ดวยความถี่กี่เฮิรตซ (กําหนดความเรว็ เสยี งในอากาศเปน 348 m/s) 36(En 32) เมื่อนําลําโพงที่กําลังสงเสียงความถี่ 700 เฮริ ตซ ไปจอที่ปลายเปดของหลอดแกวที่มี ปลายอีกขางหนึ่งปด และตั้งอยูบนพื้นราบ ถามวาจะตองเติมน้ําลงในหลอดแกวกี่ลูกบาศก– เซนตเิ มตร เพื่อทําใหไดยินเสียงดังมากกวาปกติออกมาจากหลอดแกว กาํ หนด ใหหลอดแกว มพี น้ื ทห่ี นาตดั 10 cm2 ยาว 13 cm และ ความเร็วเสียงในอากาศ 350 m/s 1. 1 2. 3 3. 5 4. ไมมีโอกาสทําได 37(มช 39) มีทอทรงกระบอกปลายปดขางหนึ่งยาว เทากัน 2 ทอ ซึ่งเมื่อทําใหลําอากาศภายใน ทอ เกิดการสน่ั พบวาเสียงจากทอทั้งสองนี้มีความถี่ต่ําสุดเปน 480 เฮริ ตซ ทอ่ี ณุ หภมู ิ 15 องศาเซลเซียส แตถ าอุณหภมู ขิ องอากาศในทอหนึ่งเปลยี่ นไปเปน 20 องศาเซลเซยี ส เมื่อทําใหเกิดเสียงจากทอทั้งสองพรอมกันจะเกิดเสียงบีตสดวยความถี่บีตสกี่เฮิรตซ 1. 2 2. 3 3. 4 4. 6 !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ! \"%!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ในกรณีที่ทอกําทอนมีปลายเปดทั้งสองขาง เราสามารถหาคาความถี่เหมาะสมทําใหเสียงดัง ไดจากสูตร f = 2nLv เมอ่ื f คือ ความถี่เสียงที่เปาเขาไปแลวทําใหเกิดการสั่นพอง v คือ ความเรว็ เสยี ง (m/s) L คือ ความยาวลําอากาศ หรอื ความยาวทอกําทอน (m) n คือ จาํ นวนเตม็ บวกธรรมดา คือ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , ..... ถา n = 1 ความถี่ที่ไดจะทําใหเกิดเสียงดังครั้งแรก เรียกความถี่นี้วา ความถี่มูลฐาน หรอื Harmonic ที่ 1 ถา n = 2 ความถี่ที่ไดจะทําใหเกิดเสียงดังครั้งที่ 2 เรียกความถี่นี้วา Harmonic ที่ 2 ถา n = 3 ความถี่ที่ไดจะทําใหเกิดเสียงดังครั้งที่ 3 เรียกความถี่นี้วา Harmonic ที่ 3 !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 38. คลื่นเสียงขบวนหนึ่งทําใหเกิดกําทอนลําดับ 1 ในกลองไมกลวงที่เปดทุกดานมีความยาว 0.5 เมตร ความถี่ธรรมชาติของกลองไมนี้เทากับกี่เฮิรตซ (ใหอ ตั ราเรว็ เสยี ง = 330 m/s) ก. 330 ข. 495 ค. 660 ง. 3x10–3 !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" สําหรับความถี่เสียงที่เกิดจากสายสั่น เราสามารถหาความถี่เสียงที่เกิดไดจากสูตร f = nv T 2L µ เมอ่ื f คือ ความถี่เสียงที่เกิดจากสายสั่น (Hz) n คือ จาํ นวน Loop คลื่นนิ่งที่เกิดในสายสั่น L คือ ความยาวสายสั่น (เมตร) T คือ แรงดึงสายสั่น (นวิ ตนั ) µ คือ มวลสายสั่นซึ่งยาว 1 เมตร (กิโลกรัม) !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ! \"&!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 39(En 33) ในการดีดพิณระดับเสียง จะเพ่ิมขนึ้ ไดเมื่อ ก) ความตึงของสายพิณเพิ่มขึ้น ข) สายพิณยาวขึ้น ค) น้ําหนักตอความยาวของสายพิณมีคาเพิ่มขึ้น ง) จํานวนคลื่นนิ่งที่เกิดขึ้นในสายพิณมีจํานวนมากขึ้น จงพจิ ารณาวา ขอ ความขา งตน ขอ ใดถกู 1. ก และ ง 2. ข และ ค 3. ข เทา นน้ั 4. ถูกทุกขอ 40(En 33) เสน ลวดยาว 1 เมตร ถกู ดงึ ดว ยแรงดงึ ขนาดหนง่ึ เมื่อดีดจะทําใหเกิดเสียงที่มีคา ความถี่มูลฐานเปน 200 เฮริ ตซ ถา เพม่ิ แรงดงึ อกี 900 นวิ ตนั จะทําใหคาความถี่มูลฐาน ของเสียงที่เกิดจากลวดเสนนี้เปลี่ยนไปเปน 400 เฮริ ตซ อยากทราบวามวลของเสนลวดนี้ เทากับเทาไร 1. 1.22 กรัม 2. 1.44 กรัม 3. 1.66 กรัม 4. 1.88 กรัม !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ตอนท่ี 4 การไดย นิ ความเขมเสียง เสียงที่ออกมาจากจุดกําเนิดจะมีลักษณะแผออกเปนทรงกลมคลายลูกบอล กวา งออกไป เรอ่ื ย ๆ ความเขมเสียง (I) คือ อัตราสวนของกําลังเสียง ตอ พื้นที่ที่เสียงกระจายออกไป I= P หรอื I = P A 4πR2 เมอ่ื I = ความเขมเสียง (วตั ต/ตารางเมตร) P = กําลังเสียง (วตั ต) A = พื้นที่ (ตารางเมตร) R = รัศมีวงกลม (เมตร) ! \"'!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน โปรดทราบ # ความเขมเสียงมากที่สุดที่หูคนเราทนฟงได 1 w/m2 $ ความเขมเสียงนอยที่สุดที่คนเราไดยินคือ 10–12 !12+2 ! ! ! ! ! ! ! ! ! เราใชสัญลักษณ Io % ถาเรานําความเขมที่จุดใด ๆ หารดว ย Io ผลที่ไดเรียกวา ความเขม สัมพัทธ ดงั นน้ั ความเขมสัมพัทธ = I Io !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 41. หวูดรถไฟมีกําลังเสียง 20 วตั ต จงหาความเขมเสียงที่จุดหางจากหวูด 150 เมตร 42(En 41/2) แหลงกําเนิดเสียงกําลัง 220 วตั ต กระจายเสยี งออกโดยรอบอยา งสมาํ่ เสมอ จงหาความเขมของเสียงที่จุดซึ่งหางจากแหลงกําเนิดเสียง 100 เมตร ถาการแพรของคลื่น เสียงในชวง 100 เมตร พลังงานที่ดูดกลืนไป 10% 1. 7.9x10–4 W2+2 2. 9.0x10–4 !W2+2 3. 15.8x10–4 W2+2 4. 18.9x10–4 W2+2 43(มช 39) สมมติวายุงตัวหนึ่ง ๆ โดยเฉลี่ยแลวเวลาบินทําใหเกิดเสียงหึ่ง ๆ ที่มีกําลัง 3.14x10–14 วตั ต ขณะที่ยุงบินจากระยะไกลเขาหาเด็กคนหนึ่ง เด็กคนนี้จะเริ่มไดยินเสียงยุง เมอ่ื ยงุ อยูที่ระยะหางจากเขากี่เซนติเมตร ถาเสียงเบาที่สุด ที่เขาสามารถไดยินมีความเขม 10–12 !!W2+2 1. 5 2. 10 3. 25 4. 40 44(En 44/1) ในการทดลองเรอ่ื งความเขม ของเสยี งวดั ความเขม ของเสยี งทีต่ ําแหนง ทอี่ ยูหางไป 10 เมตร จากลําโพงได 1.2x10–2 วตั ตต อ ตารางเมตร ความเขมเสียงที่ตําแหนง 30 เมตร จากลําโพงจะเปนเทาใด 1. 1.1x10–2 W2+2 2. 0.6x10–2 W2+2 3. 0.4x10–2 W2+2 4. 0.13x10–2 W2+2 ! \"(!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 45(En 37) การแสดงดนตรใี นสถานทแ่ี หง หนง่ึ บรเิ วณรอบ ๆ สถานที่ไดติดตั้งวัสดุที่สามารถดูด กลืนเสียงไดอยางสมบูรณ ผูช มการแสดงคนหน่งึ อยหู า งจากผูเ ลน ดนตรเี ปน ระยะทาง r ถาตองการใหเสียงที่ไดยินมีความเขมเพิ่มขึ้น 2 เทา ผชู มดนตรนี จ้ี ะตอ งเปลย่ี นทน่ี ง่ั ใหอ ยู หางจากผูแสดงเปนระยะทางเทาใด 2. 12 r 1. 12 r 4. 14 r 3. 2 12 r !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ระดับความเขมเสียง คาความเขมเสียง เปน คา ทม่ี คี า นอ ย ตัวเลขยุงยาก เราจึงนิยมเปลี่ยนใหอยูในรูปที่ดูงายขึ้น คือ รปู ของ ระดับความเขมเสียง (β) วิธีการเปลี่ยน จะใชสมการ β = 10 log I β = 10 log I Io 10- 12 เมอ่ื β คือ ระดับความเขมเสียง (เดซเิ บล , dB) I คือ ความเขมเสียง (วตั ต/ตารางเมตร) Io คือ ความเขมเสียงนอยสุดที่ยังไดยิน = 10–12 วตั ต/ตารางเมตร หมายเหตุ นักเรียนควรทราบคณุ สมบตั ิของฟง กช ั่น log สามญั เบอ้ื งตน เพม่ิ ดงั น้ี 1. log 10 = 1 2. log Mx = x log M เชน log 105 = 5 log 10 = 5(1) = 5 log 10–2 = –2 log 10 = –2(1) = –2 3. log x = log y กต็ อ เมอ่ื x = y !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 46. จงหาระดับความเขมเสียง เสียงเมื่อผูฟงอยูหางจากวิทยุ 1 เมตร เมื่อกําลังเสียงของวิทยุ เทากับ 4π x 10–3 วตั ต 47(มช 43) เสียงที่มีระดับความเขมเสียง 80 เดซิเบล จะมีความเขมเสียง ในหนว ย 32+2 เทาใด 1. 10–2 2. 10–4 3. 10–6 4. 10–8 ! \")!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 48(มช 42) เสียงคอยที่สุดที่มนุษยสามารถไดยินมีความเขมเสียง 10–12 วตั ต/ตารางเมตรจงหาคา ความเขม ของเสยี งในหนว ยวตั ต/ตารางเมตรของเสยี งความถ่ี 100 เฮริ ตซท ห่ี คู นปกตเิ รม่ิ ไดย นิ รูปชวงความถี่และระดับความเขมเสียงที่หูคนปกติสามารถรับรู 1. 4 x 10–8 !! ! ! 2. 10–8 3. 4 x 10–12 ! ! ! ! 4. 40 x 10–12 ! ! 49(มช 45) ระดับความเขมเสียงมีคา 50 เดซเิ บล จงหาวาระดับความเขมเสียงนี้มีความเขม เสียงเปนกี่เทาของความเขมเสียงที่คอยที่สุดที่หูคนปกติรับรูได 1. 5 2. 50 3. 105 4. 1050 50(มช 31) วางเครือ่ งวดั ระดับเขมเสียงหา งจากลาํ โพง 10 เมตร พบวาระดับความเขมเสียง เทากับ 100 เดซเิ บล กําลังเสียงจะเทากับกี่วัตต 1. 12.5x104 วตั ต! 2. 12.6 วตั ต 3. 3.14 วตั ต 4. 10–2 วตั ต! !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ! สูตรเพิ่มเติมเกี่ยวกับระดับความเขมเสียง! β2 – β1 = 10 log II12 2 β2 – β1 = 10 log PP12 β2 – β1 = 10 log RR12 β2 – β1 = 10 log PP12 RR1222 ! \"/!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน เมอ่ื β1 , β2 คือ ระดบั ความเขม เสยี งตอนแรก และ ตอนหลัง (เดซเิ บล) I1 , I2 คือ ความเขม เสยี งตอนแรก และ ตอนหลงั (วตั ต/ตารางเมตร) P1 , P2 คือ กําลังเสียงตอนแรก และ ตอนหลัง (วตั ต) R1 , R2 คือ ระยะหา งตอนแรก และ ตอนหลงั (เมตร) !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 51(มช 31) ลําโพง 1 ตวั ใหเสียงที่ระดับความเขมของเสียง 60 dB ถาใชลําโพงชนิดเดียวกัน 10 ตวั จะใหความเขมของเสียงกี่ dB ก. 600 dB ข. 100 dB ค. 70 dB ง. 60 dB 52(มช 34) ยงุ ตวั หนง่ึ เมอ่ื บนิ มาทป่ี ระตหู อ งซง่ึ อยหู า งจาก นาย ก. 20 เมตร พบวาทําใหระดับ ความดังมาถึงหูนาย ก. มีขนาด 20 เดซิเบล ถายุง 100000 ตวั ระดับความดังที่มาถึงหูนาย ก. จะมีขนาดกี่ dB 53(En 44/1) ระดบั ความเขมเสยี งในโรงงานแหงหน่ึงมคี า 80 เดซเิ บล คนงานผหู นง่ึ ใสเ ครอ่ื ง ครอบหูซึ่งสามารถลดระดับความเขมลงเหลือ 60 เดซิเบล เครื่องดังกลาวลดความเขมเสียงลง กเ่ี ปอรเ ซน็ ต 1. 80 % 2. 88 % 3. 98 % 4. 99 % 54(มช 36) เมอ่ื วดั ระดบั ความเขม เสยี งทค่ี นงานในโรงงานอตุ สาหกรรมไดร บั เมอ่ื อยหู า งจาก เครอ่ื งจกั ร 5 เมตร วัดระดับความเขมเสียงได 70 เดซิเบล เมื่อมีคําสั่งใหเขาตองมาดูแลการ ทาํ งานของเครอ่ื งจกั ร ณ ตาํ แหนง ทหี่ างเพียงคร่ึงเมตรจะไดร บั ระดับความเขม เสียงก่ีเดซเิ บล 55(มช 33) เมื่ออยูหางจากแหลงกําเนิดเสียงเปนระยะ 5 เมตร วัดระดับความเขมเสียงได 50 dB ถาที่ระยะหางจากแหลงกําเนิดเสียง 50 เมตร ระดับความเขมเสียงจะมีคากี่เดซิเบล !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ความดังเบาของเสียง ความดงั หรอื เบาของเสยี งขน้ึ อยู อัมปลิจูดของคลื่นเสียง ถาคลื่นเสียงมีอัมปลิจูดสูง เสียงจะดัง ถาคลื่นเสียงมีอัมปลิจูดต่ํา เสยี งจะเบา ! #0!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ความทมุ แหลมของเสยี ง ความทุม แหลม ของเสียงจะขึ้นอยู ความถี่ของคลื่นเสียง ถาคลื่นเสียงมีความถี่สูง เสยี งจะแหลม เรยี กวา ระดับเสียงสูง ถาคลื่นเสียงมีความถี่ต่ํา เสียงจะทุม เรยี กวา ระดับเสียงต่ํา ชวงความถี่ของเสียงที่หูคนปกติจะไดยิน คือ ชว ง 20 – 20000 Hz เทา นน้ั เสียงที่มีความถี่ต่ํากวา 20 Hz ลงไปเรียก Infra Sonic เสียงที่มีความถี่สูงกวา 20000 Hz ขน้ึ ไปเรยี ก Ultra Sonic ซึ่งหูคนปกติจะไมได ยินเสียงพวกนี้ เกี่ยวกับตัวโนตดนตรี คู 8 หรือ! 2 คู 8 ! 3 คู 8 ! 4 คู 8 ! เสียงที่ 8 ! (เสียงที่ 16 )! (เสียงที่ 24 )! (เสียงที่ 32 )! เสยี งมลู ฐาน ! Harmonicที่ 2 Harmonicที่ 3 Harmonicที่ 4 Harmonicที่ 5 Harmonicที่ 1 โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด ….. โด …. โด ….. โด ความถี่ (Hz) 256 คุณภาพเสียง เวลาเราฟง เสยี งเครอ่ื งดนตรหี ลาย ๆ ชนดิ เชน ขลุย และเปยโน ซง่ึ เลน โนต ตวั เดยี วกนั พรอ ม ๆ กัน แตเรายังสามารถแยกออกไดวา เสียงใดเปนเสียงขลุย เสยี งใดเปน เสียงเปย โน ทั้งนี้เพราะเสียงทั้งสองจะมีลักษณะที่ตางกัน ที่เปนเชนนี้เพราะเสียงแตละเสียงจะมี Higher Hamonic และความเขมสัมพัทธ แตละ Hamonic ไมเทากัน จึงทําใหเสียงแตละเสียงมีลักษณะที่ตางกัน ลักษณะของเสียง เราเรียกวาคุณภาพเสียง ตัวอยางเชน เสียงขลุย 90% 4% 4% 1% 1% โด โด โด โด โด เสียงเปยโน โด โด โ2%ด 95% 3% !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ! #\"!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 56. สมบัติของเสียงขอใดที่มีผลตอความดังของเสียงมากที่สุด ก. ความยาวคลื่น ข. ความถี่ ค. อมั พลิจดู ง. ความเรว็ คลน่ื 57(มช 37) ความถี่ของคลื่นเสียงที่ระดับความเขมเสียง 70 เดซเิ บล ที่หูของคนปกติไม สามารถไดยิน คือ 1. 30 2. 1000 3. 10000 4. 30000 58. เมอ่ื วตั ถอุ นั หนง่ึ สน่ั แตเ ราไมไ ดย นิ เสยี งเพราะ 2. คลื่นเสียงมีความถี่ต่ําเกินไป 1. ไมเกิดคลื่นเสียง 4. คลื่นเสียงมีความถี่สูงเกินไป 3. ความเขมนอยกวา 10–2 W/m2 ข. ขอ 2 , 3 คาํ ตอบคอื ขอ ใด ง. ขอ 1 , 2 , 3, 4 ก. ขอ 1 ค. ขอ 3 , 4 59. ถาระดับเสียงโนต C มีความถี่ 256 Hz เสียงที่ 16 ของระดับเสียง C มีคาเทาไร ก. 512 Hz ข. 1024 Hz ค. 2048 Hz ง. 4096 Hz 60. คลื่นเสียงที่ความถี่ 1200 เฮริ ตซ เปนเสียงสามคูแปดของเสียงที่มีความถี่เทาไร ก. 600 ข. 400 ค. 300 ง. 150 61(มช 44) แหลงกําเนิดเสียงหลายชนิดทําใหเกิดเสียงที่มีความถี่เทากัน สง่ิ ใดจะสามารถจาํ แนก แหลงกําเนิดของเสียงเหลานี้ 1. คุณภาพเสียง 2. ระดับความเขมเสียง 3. ระดบั เสยี ง 4. ความดังเสียง 62(En 41) วงดนตรที ป่ี ระกอบดว ยเครอ่ื งดนตรหี ลายชนดิ เมอ่ื เลน พรอ มกนั แตเ ราสามารถแยก ไดวาเสียงใดเปนเสียงไวโอลิน เสียงใดเปนเสียงขลุย และเสียงใดเปนเสียงเปยโน เนอ่ื งจาก เสียงดนตรีแตละชนิดมีลักษณะเฉพาะตามขอใดที่ตางกัน ! ##!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 1. ระดบั เสยี ง 2. ระดับความเขมเสียง 3. ความถี่เสียง 4. คุณภาพเสียง 63(มช 34) คุณภาพเสียงอธิบายไดดวยคุณสมบัติของเสียงขอใด ก. ความดังของเสียง และระดับความดัง ข. ความถี่ของเสียง และความเร็วของเสียง ค. ระดบั เสยี ง และความถี่ธรรมชาติ ง. จาํ นวนฮารโ มนกิ และ ความเขม ของเสยี งของฮารโ มนกิ !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ! ! ตอนท่ี 5 ปรากฏการณดอปเปลอร ปรากฏการณด อปเปลอร หมายถงึ ปรากฏการณเปลี่ยนแปลงระดับเสียง (ความถี่ของเสียง) เมอ่ื แหลง กาํ เนดิ และ ผสู งั เกตเุ คลอ่ื นทด่ี ว ย ความเรว็ สัมพัทธตอกัน เสยี งกระจายออกจากเปย โน ขบั รถหนอี อก เสมอื นลากความ ขบั รถเขา เสมอื นกดความยาว ยาวคลื่นเสียงใหยืดยาวออก จะ คลื่นเสียงใหสั้นลง จะทําให ทําใหความถี่เสียงลดลงขึ้น และ ความถี่เสียงมากขึ้น และไดยิน ไดยินเสียงทุมลง เสยี งแหลมข้ึน ! #$!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน เสยี งแตรออกจากมอเตอรไ ซด หากความเรว็ รถยนตน อ ยกวา มอเตอรไ ซด ! เสมือนวาความยาวคลื่นเสียงถูกมอเตอรไซด กดดนั เขา มา ทําใหความยาวคลื่นลดลง หากความเรว็ รถยนต มากกวา มอเตอรไ ซด ความถี่มากขึ้น เสียงที่ไดยินจะแหลม เสมือนวาความยาวคลื่นเสียง ถูกรถยนตดึง ใหยืด ทําใหความยาวคลื่นยาวขึ้น ความถี่ ลดลง เสียงที่ไดยินจะทุม !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 64(มช 29) ผูโดยสารรถไฟสังเกตไดวา ขณะที่เขายืนหยุดอยูบนชานชลาเสียงหวูดรถไฟที่จอด นิ่งมีความถี่ตางจากเสียงหวูด ขณะรถไฟวิ่งออกจากชานชลา ปรากฏการณเ ชน นเ้ี รยี กวา ก. การแทรกสอด ข. การเลี้ยวเบน ค. การหักเห ง. ดอปเปลอร 65(มช 33) ปรากฏการณดอปเปลอรของเสียงแสดงใหเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ก. มลภาวะเสียง ข. ความเขมเสียง ค. ความดังเสียง ง. ระดบั เสยี ง 66(En 42/2) ในขณะที่แหลงกําเนิดเสียงเคลื่อนที่ในอากาศนิ่ง ขอ ใดตอ ไปนถ้ี กู 1. ความยาวคลื่นเสียงที่อยูดานหนาแหลงกําเนิดจะสั้นกวาความยาวคลื่นเสียงที่จุด ดานหลังแหลงกําเนิด 2. ความถี่เสียงที่อยูดานหนาแหลงกําเนิดจะต่ํากวาความถี่เสียงที่จุดดานหลังแหลง ! กําเนิด! 3. ความเร็วเสียงดานหนาแหลงกําเนิดจะสูงกวาความเร็วเสียงดานหลังแหลงกําเนิด! 4. ความเรว็ เสยี งดา นหนา แหลงกาํ เนดิ จะต่าํ กวา ความเร็วเสยี งดา นหลงั แหลง กาํ เนิด! ! #%!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 67(มช 35) รถมอเตอรไ ซดค นั หนง่ึ แลน ตามหลงั รถยนตค นั หนง่ึ ไปบนถนนตรงความเรว็ ของ รถยนตเ ปน สองเทา ของมอเตอรไ ซด ถา คนขม่ี อเตอรไ ซดบ บี แตรดว ยความถ่ี 500 เฮริ ตซ ก. คนขับรถยนตไดยินเสียงความถี่ต่ํากวา 500 เฮริ ตซ แตค นขม่ี อเตอรไ ซดไ ดย นิ เสยี ง ! ! ! ! ความถี่ 500 เฮริ ตซ! ! ! ! ข. คนขับรถยนตไดยินเสียงความถี่สูงกวา 500 เฮริ ตซ แตค นขม่ี อเตอรไ ซดไ ดย นิ เสยี ง! ! ! ! ! ความถี่ 500 เฮริ ตซ! ! ! ! ค. คนขับรถยนต และคนขม่ี อเตอรไ ซด ไดยินเสียงความถี่เดียวกัน! ! ! ! ง. คนขับรถยนตไดยินเสียงความถี่สูงกวาคนขี่มอเตอรไซดไดยิน! 68(En 40) ชายคนหนึ่งเคาะสอมเสียงซึ่งมีความถี่ f แลวนําไปแกวงเปนวงกลมในแนวระดับ ดงั รปู ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่งนิ่งอยูจะไดยินเสียง ขณะที่สอมเสียงอยูในตําแหนง ABC และ D ดงั รปู ดวยความถี่ fA fB fC และ fD ตามลําดับ ขอ ตอ ไปนข้ี อ ใดถกู 1. fA < fB = fD < fC 2. fC < fB = fD < fA 3. fD < fA = fC < fB 4. fB < fA = fC < fD !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" เราสามารถหาความถี่ที่เปลี่ยนไปนี้โดยหาจากสมการดังนี้ fL = ((VVoo + VVLs )) fs เมอ่ื fL = ความถี่ที่ผูสังเกตุไดยิน + fs = ความถี่ปกติของตนกําเนิดเสียง Vo = อตั ราเรว็ เสยี ง และหาความยาวคลื่นโดยใชสมการ Vs = อตั ราเรว็ ของตน กาํ เนดิ เสยี ง λ = (Vo f+s Vs) VL = อตั ราเรว็ ของผสู งั เกตุ λ = ความยาวคลื่นเสียงที่ผูสังเกตุไดยิน ! #&!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน เงอ่ื นไขการใชส มการทง้ั สองน้ี คือ ในการแทนคา VL กับ Vs ตอ งคาํ นงึ คา +, – ดว ย โดยอาศัยหลักดังนี้ ! ! ! ! ! ! ! ถา VL!4!V5!!เคลื่อนที่สวนทางกับ !!!Vo!!จะมีคาเปน!!6! ถา VL!4!V5!!เคลื่อนที่ไปทางเดียวกัน Vo!!จะมีคาเปน!!7 !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 69. รถไฟว่งิ ดว ยความเร็ว 30 เมตร/วินาที ในอากาศนิ่งความถี่หวูดรถไฟมีคา 500 Hz ถา เสยี งมอี ตั ราเรว็ 330 เมตร/วินาที จงหาความถี่ที่ผูสังเกตไดยินขณะอยูนิ่งเมื่อ ก. อยูหนารถไฟ ข. อยูหลังรถไฟ 70. รถไฟวงิ่ ดว ยความเรว็ 30 เมตร/วินาที ในอากาศนิ่งความถี่หวูดรถไฟมีคา 500 Hz ถา เสยี งมอี ตั ราเรว็ 330 เมตร/วินาที จงหาความยาวคลื่นเสียง ก. เมอ่ื อยหู นา รถไฟ ข. เมอ่ื อยูหลงั รถไฟ !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" ตอนท่ี 6 คลน่ื กระแทก ถา แหลง กาํ เนดิ เคลือ่ นทเ่ี ร็วกวา เสียงเรยี กวา Supersonic Speed จะเกิดปรากฏการณดังรปู ภาพ !!!!!!! ลักษณะนี้เรียกวา เกิดคลื่นกระแทกขึ้น ซึ่งจะทําใหเกิดเสียงดังมากเหมือนกับระเบิด และเกิด แรงดนั ขน้ึ อยา งมหาศาล เรยี กวา Sonic boom เชน ในกรณที เ่ี ครอ่ื งไอพน บนิ ดว ยความเรว็ มาก กวาเสียง แรงดนั ทเ่ี กดิ ขน้ึ น้ี อาจทําใหกระจกหนาแตกได !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 71. เสียง Sonic boom เปนเสียงที่เกิดจาก ก. แหลงกําเนิดทั่วไปที่หยุดนิ่ง ข. แหลง กาํ เนดิ เคลอ่ื นที่แตช า กวาความเร็วคลื่น ค. แหลง กาํ เนิดเคล่อื นทด่ี ว ยความเรว็ เทากบั เสียง ง. แหลง กาํ เนดิ เคลอ่ื นทเ่ี รว็ กวา ความเรว็ เสยี ง ! #'!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ! จากรูปของคลื่นกระแทกจะไดวา Sinθ = VVos = M1 = hx เมอ่ื θ = มมุ ครง่ึ หนง่ึ ของยอดกรวยเสียง Vo = ความเรว็ เสยี ง (m/s) Vs = อตั ราเรว็ แหลง กาํ เนดิ เสยี ง (m/s) Vเสยี ง = 350 m/s M = เลขมคั คือ จาํ นวนเทา ตวั ของความเรว็ เสยี ง Vเครอ่ื งบนิ = 700 m/s h = ความสูงจากพื้นดินถึงเพดานบิน M=2 x = ระยะจากจุดสังเกตถึงแหลงกําเนิดเสียง ตอนทไ่ี ดย นิ เสยี งพอดี !!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"!\"\" 72. เครอ่ื งบนิ บนิ ดว ยอตั ราเรว็ 1.5 Mach เหนอื ระดบั พน้ื ดนิ 3 km คนจะไดย ินเสียงเครอ่ื งบิน เมอ่ื เครอ่ื งบนิ บินอยูหางคนเทาใด 73(En 21) เครอ่ื งบนิ บนิ ดว ยอตั ราเรว็ 510 m/s ในแนวระดบั ซึ่งสูงจากพื้น ดนิ 6 กโิ ลเมตร ชายคนนั้นยืนอยูบนถนนจะไดยินเสียงเครื่องบิน เมอ่ื เครอ่ื งบนิ อยหู า งจากชายผนู น้ั เปน ระยะ ทางกี่กิโลเมตร (กาํ หนดอตั ราเรว็ ของเสยี ง = 340 เมตร/วินาท)ี ก. 6 ข. 6.7 ค. 9 ง. 12 74(En 43/2) เครอ่ื งบนิ ความเรว็ เหนอื เสยี งบนิ ในแนวระดบั ผา นเหนอื ศรี ษะชายผหู นง่ึ เมอ่ื เขาได ยินเสียงของคลื่นกระแทก เขาจะมองเหน็ ตวั เครอ่ื งบนิ มมี มุ เงยจากพน้ื ดนิ 30o เครอ่ื งบนิ มี ความเรว็ เทา ใดในหนว ยเมตร/วินาที ถา อตั ราเรว็ เสยี งในอากาศเปน 345 เมตร/วินาที ! #(!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน แบบฝกหัดบทที่ 5 เสียงและการไดยิน ! ! 1(มช 31) สิ่งใดจากขอตอไปนี้ที่มีผลตอความเร็วของเสียงในอากาศมากที่สุด ก. อณุ หภมู ขิ องอากาศ ข. ความดังของเสียง ค. ความดันบรรยากาศ ง. ระดับความเขมเสียง 2(มช 34) ลําโพง A และ B วางในหอ งประชุมท่ีมอี ณุ หภมู ิ 35oC ลําโพง A ใหกําลัง เสียง ! 4x10–2 วตั ต ลําโพง B ใหกําลังเสียง 3.5x 10–2 วตั ต โดยทง้ั สองลาํ โพงกระจายเสียงออก ไปโดยรอบอยา งสมาํ่ เสมอ ถาลําโพงทั้งสองสั่นในเฟส เดียวกันดวยความถี่ 88 ครง้ั ตอ วนิ าที จงหาความแตกตางของเฟสของสัญญาณจากลําโพงทั้งสองที่กลางหองซึ่งหางจาก A 17 เมตร และหางจาก B 20 เมตร 3(มช 37) ถาอุณหภูมิของอากาศในขณะนั้นเทากับ 40 องศาเซลเซียส ชายคนหนึ่งจะไดยิน เสียงสะทอน เมื่อเขาสงเสียงตะโกนคําวา “รอ น” หางจากผนังตึกเปนระยะทางเทากันกี่เมตร 1. 20 2. 17 3. 16.5 4. 3.56 4(พน้ื ฐานวศิ วะ) เรอื ลาํ หนง่ึ จอดนง่ิ อยใู นทะเล ใชเ ครอ่ื งโซนารต รวจพบวตั ถุ ที่ทิ้งจากเรือลงไป ในน้ําโดยไดรับสัญญาณสะทอนกลับจากวัตถุนั้น ในเวลา 0.4 วินาที ในเวลา 30 วินาที ตอ มา สัญญาณจะสะทอนกลับจากวัตถุเดิมในเวลา 0.6 วินาที วตั ถนุ น้ั จมนาํ้ ดว ยความเรว็ เทา ใด (อตั ราเรว็ ของเสยี งในนาํ้ ทะเล = 1531 m/s) 1. 5.1 ม./วินาที ! 2. 1!0.2 ม./วินาที 3. 15.3 ม./วินาที 4. 25.5 ม./วินาที 5(มช 27) บางครั้งเกิดฟาแลบโดยไมไดยินเสียงเพราะ! ! ! ! ก. ไมมีเสียงเกิดขึ้น ข. เสียงเลี้ยวเบนหมด ! #)!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ค. เสียงหักเหหมด ง. เสียงสะทอนหมด 6(En 30) ในชวี ติ ประจาํ วนั เรามกั เหน็ แสงเดนิ ทางเปน เสน ตรง แตพ บวา เสยี งเดนิ ทางเปน ! ! เสน โคง ออ มมมุ ตกึ ได เพราะวา ก. เสียงเปนคลื่นกล แตแสงเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟา ข. เสียงเปนคลื่นตามยาว แตแ สงเปน คลื่นตามขวาง ค. ความเร็วของเสียงในอากาศนอยกวาของแสงมาก ง. ความยาวคลื่นของเสียงมีขนาดพอ ๆ กับ ขนาดวตั ถุ ขณะที่ความยาวคลื่นของแสง สั้นกวามาก ๆ !\"#$%&'(!!จากรปู ,!และ -! เปน ลําโพง 2 ตวั อยูหางกัน ! ! 3 เมตร ผูสังเกตยืนอยูที่จุด 8! ซึ่งไดยินเสียงชัดเจน ! ! อยากทราบวา เมอ่ื เขาเดนิ เปน เสน ตรงจาก !8! เขา หา !-! !! เขาจะรูสึกวาไดยินเสียงจางหายกี่ครั้ง กําหนดให ความยาวคลื่นของเสียง เสียงจาก ลําโพง! ทั้งสองเปน 0.5 เมตร และมีเฟสตรงกัน! 1. 2 2. 3 3. 4 4. 5 8(En 36) แหลงกําเนิดเสียงอยูหางจากกําแพง 1.50 เมตร ผูสังเกตยืนหางจากกําแพงออกไป 5.00 เมตร ในแนวเดียวกับแหลงกําเนิดสามารถรับฟงเสียงได ทั้งที่ออกจากแหลงกําเนิด โดยตรงและจากการสะทอนที่กําแพง ถาขณะนั้นความเร็วเสียงในอากาศมีคา 348 เมตร/– วินาที ความถี่ต่ําสุดทําใหผูสังเกตไดยินเสียงคอยที่สุดมีคากี่เฮิรตซ 9. ถาตอ งการใหเ สียงดังเปน จงั หวะ ๆ หางกันทุกครึ่งวินาที จะตองเคาะสอมเสียงที่มีความถี่ 500 Hz พรอมกับเสียงที่มีความถี่เทาใด 10(มช 45) เมอ่ื เคาะสอมเสยี ง 2 อนั พรอ ม ๆ กัน เกิดเสียงบีตส มีความถี่ 6 เฮริ ตซ โดยสอ ม เสียงอันหนึ่งรูคาวามีความถี่ 470 เฮริ ตซ เมอ่ื นาํ เทปกาวเลก็ ๆ มาติดสอมเสียงนี้ แลวเคาะ พรอมกันใหม ปรากฎวาความถี่บีตสลดลงเหลือ 3 เฮริ ตซ จงหาความถี่สอมเสียงอีกอันหนึ่ง 1. 479 Hz 2. 476 Hz 3. 464 Hz 4. 461 Hz ! #/!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 11(มช 34) หคู นเราจะไดย นิ เสยี งบตี สช ดั เจนกต็ อ เมอ่ื 1. ความถี่ของคลื่นเสียงทั้งสองจะตองตางกันไมเกิน 7 เฮริ ตซ 2. แอมปลิจูดคลื่นทั้งสองจะตองไมตางกันมาก 3. ตองเกิดจากแหลงกําเนิดคนละชนิดกัน ก. 1 และ 2 ถูก ข. 1 และ 3 ถูก ค. 2 และ 3 ถูก ง. 1 , 2 และ 3 ถูก 12(En 37) ในการทดลองเรื่องการสน่ั พองของเสยี ง ถาใชเสียงความถี่ 686 เฮริ ตซใ นการทดลอง และอุณหภูมิขณะทดลองเทากับ 20oC ตําแหนงของลูกสูบจากปากหลอดเรโซแนนซ ขณะเกิดการสั่นพองครั้งแรกจะหางจากตําแหนงของลูกสูบ ขณะเกดิ การสน่ั พอ งครง้ั ตอ ไป เปนเปนระยะทาง 1. 0.10 m 2. 0.12 m 3. 0.25 m 4. 0.50 m 13(En 40) ในการทดลองเรื่องการสั่นพองของเสียงใชสอมเสียงความถี่คาหนึ่ง ทําใหเกิดการสั่น พอ งทต่ี าํ แหนง 115 365 และ 615 มิลลิเมตร ตามลําดับ ถา อตั ราเรว็ ของเสยี งเทา กบั 340 เมตร/วินาที ความถี่ของสอมเสียงที่ใชมีคากี่เฮิรตซ 14(มช 31) จากการทดลองปรากฏวาถาเคาะสอมเสียงซึ่งมีความถี่ 346 รอบตอ วนิ าที หนา หลอดกาํ ทอนจะเกิดกําทอนครงั้ แรกที่ระยะ 25 เซนติเมตร อุณหภูมิของอากาศ ขณะนั้นกี่องศาเซลเซียส ก. 25 ข. 24 ค. 22 ง. 20 15(En 31) จงเลอื กหลอดกําทอนอันสนั้ ทส่ี ุด เพื่อจะใชกับคลื่นที่มีความถี่ 700 เฮริ ตซ แลวเกิดกําทอนได 3 ครง้ั กาํ หนดความเรว็ เสยี งเปน 350 เมตร/วินาที 1. หลอดยาว 40 เซนตเิ มตร 2. หลอดยาว 50 เซนตเิ มตร 3. หลอดยาว 60 เซนตเิ มตร 4. หลอดยาว 70 เซนตเิ มตร 16(มช 26) หลอดปดปลายขางหนึ่งมีความถี่หลักมูล 100 เฮริ ตซ ความถี่ที่จะไมเกิดกําทอน คือ ! $0!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ก. 100 Hz ข. 200 Hz ค. 300 Hz ง. 500 Hz 17(En 39) ในการทดลองเรื่องการวัดความยาวคลื่นเสียง ถาตําแหนงลูกสูบใกลปากหลอด เรโซแนนซมากที่สุดที่ใหเสียงดังมาก มีระยะหางจากปลายหลอดเรโซแนนซ x มีคาเปน 20 เซนตเิ มตร พบวาความถี่ของสัญญาณเสียงมีคา 520 เฮริ ตซ การทดลองนี้จะไดยิน เสียงดังมากอีกครั้งเมื่อ 1. ลดความถี่เปน 130 เฮริ ตซ 2. ลดระยะทาง x เปน 10 เซนตเิ มตร 3. เพิ่มความถี่เปน 1560 เฮริ ตซ 4. เพิ่มระยะทาง x เปน 80 เซนตเิ มตร 18. เมื่อกรอกน้ําใสขวดขณะระดับน้ําสูงขึ้นระดับเสียงที่ไดยินจะสูงขึ้น เพราะ ก. ระยะหางจากผิวน้ําถึงหูสั้นลง ข. น้ําในขวดมีปริมาณมากขึ้น ค. ลําอากาศในขวดสั้นลง ง. ผนงั ขวดภายในสนั่ แรงขึน้ 19(En 33) หลอดกําทอนปลายเปดทั้ง 2 ขาง เมื่อเกิดกําทอนกับคลื่นเสียงที่มีความถี่ 350 เฮริ ตซ ภายในหลอดจะมีตําแหนงปฏิบัพกี่ปฏิบัพ ถาหลอดยาว 1.5 เมตรและความเรว็ เสียงในอากาศ เทากับ 350 เมตร/วินาที 1. 1 ปฏิบัพ 2. 2 ปฏิบัพ 3. 3 ปฏิบัพ 4. 4 ปฏิบัพ 20(En 41/2) สายกตี ารเ สน หนง่ึ ตรงึ ทจ่ี ดุ 2 จุดที่มีระยะหาง 50 เซนตเิ มตร ถาดีดสายกีตารจะให เสียงความถี่หลัก 440 เฮิรตซ จะตองใชนิ้วกดที่จุด ซึ่งหางจากจุดตรึงขางหนึ่ง เปน ระยะ เทาใดจึงจะใหเสียงความถี่หลัก 550 เฮิรตซ 1. 6.3 cm 2. 7.5 cm 3. 10.0 cm 4. 15.0 cm 21(En 27) แมลงตัวหนึ่งบินหนีในแนวเสนตรงดวยความเร็ว 0.1 เมตรตอวินาที จากคน ๆ หนง่ึ ซึ่งยืนนิ่งในที่โลง อยากทราบวาคนนั้นจะไดยินเสียงการบินของแมลงนั้นอยูไดนานกี่วินาที ถากําหนดใหวาอัตราที่พลังงานเสียงที่แมลงนั้นสงออกมาใน ขณะที่บินมีคาเทากับ ! $\"!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน 4πx10–12 วตั ต ทั้งนี้กําหนดใหดวยวาเสียงที่เบาที่สุดที่มนุษย อาจไดยนิ ไดมคี วามเขมเปน! ! 10–12 วตั ตต อ ตารางเมตร (ตอบจาํ นวนเตม็ ) 22(มช 26) ชายคนหนึ่งอยูหางจากแหลงกําเนิดเสียงอันหนึ่งไดยินเสียงมีความเขม 10–8 W/m2 เขาออกเดนิ หา งออกมาอกี จนไดยินเสียงมีความเขม 10–12 W/m2 จึงหยุด อยากทราบวา เขาจะอยูหางจากแหลงกําเนิดเสียงเปนกี่เทาของระยะเดิม ก. 10 ข. 100 ค. 1,000 ง. 10,000 23(มช 31) ในวันที่มีหมอกลงจัดและอุณหภูมิ 15oC มีชายคนหนึ่งลอยเรืออยใู นทะเล ไดหาทาง เขาฝงโดยเปดวิทยุกําลัง 1 วตั ต และพบวาเวลาของเสียงจากเริ่มสงจนสะทอนกลับเปนเวลา 20 นาที ดงั น้ี ก. ชายคนนั้นอยูหางจากหนาผา 6800 เมตร ข. ชายคนนั้นอยูหางจากหนาผา 204,000 เมตร ค. ชายคนนั้นอยูหางจากหนาผา 3400 เมตร ง. ชายคนนั้นไมไดยินเสียงสะทอน 24(En 42/1) กําหนดใหความเขมเสียงเปนปฏิภาคโดยตรงกับกําลังสองของคาอัมปลิจูด จงวเิ คราะหว าอัมปลจิ ดู จะแปรผันกบั ปรมิ าณในขอ ใด ถา x เปนระยะหางจากแหลงกําเนิดเสียง 1. 1x 2. x12 3. x 4. x2 25(En 43/2) ณ จดุ หนง่ึ เสยี งจากเครอ่ื งจกั รมรี ะดบั ความเขม เสยี งวดั ได 50 เดซิเบล จงหา ความเขมเสียงจากเครอื่ งจักร ณ จดุ นน้ั กําหนดใหความเขมเสียงที่เริ่มไดยินเปน 10–12 วตั ตต อ ตารางเมตร 1. 10–5 W/m2 2. 10–7 W/m2 3. 10–9 W/m2 4. 10–17 W/m2 26(มช 35) ในการแสดงกลางแจง ถาตองการใหผูชมที่อยูหางเวที 1 กโิ ลเมตร ไดยินเสียงที่ ระดับความเขมเสียง 70 เดซิเบล ควรใชลําโพงที่มีกําลังเสียง ! $#!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ก. 90.7 วตั ต ข. 100.5 วตั ต ค. 125.7 วตั ต ง. 150.5 วตั ต 27(มช 36) หนา ตา งเปน รปู วงกลม มีพื้นที่ 2 m2 มแี หลง กาํ เนดิ เสยี งหนั มาตรงหนา พอดี เมื่อวัดระดับความเขมเสียงที่ผานชองหนาตางนี้ไดเทากับ 100 dB จงหากําลังเสียงวาเปนกี่วัตต 1. 0.01 2. 0.02 3. 2 4. 10 28(มช 36) เสียงจากไวโอลิน 1 ตวั มีระดับความเขมเสีย 60 เดซเิ บล จะตอ งสีไวโอลนิ พรอ ม กันกี่ตัวจึงทําใหไดระดับเขมเสียง 80 เดซเิ บล 29. ความถี่ของคลื่นเสียงที่หูมนุษยรับไดอยูในชวง 20 – 20,000 Hz ความถี่ชวงนี้เรียกวา ก. Ultrasonic ข. Audible ค. Infrasonic ง. Lasor 30(มช 36) เราสามารถแยกประเภทของแหลงกําเนิดเสียงวาเปนกีตาร เสียงป หรอื เสียงขลุยไดจาก ก. คุณภาพเสียง ข. ระดบั เสยี ง ค. ความถี่เสียง ง. ความเขมเสียง 31(มช34) เปย โนกบั กตี า รเ มอ่ื เลน โนต เดยี วกนั แตเราสามารถแยกออกไดวาเสียงใดเปนเสียง เปย โน เสียงใดเปนเสียงกีตาร ทง้ั นเ้ี พราะเสยี งจากเครอ่ื งดนตรที ง้ั สองมอี ะไรแตกตา งกนั ก. บีสต ข. ความถี่และความเร็ว ค. ความถี่มูลฐาน ง. จาํ นวนฮารโ มนกิ 32(มช 32) ถา ใหเ ครอ่ื งดนตรตี า งชนดิ กนั เชน เปยโน และไวโอลนิ ทาํ เสยี งโนต เดยี วกนั พรอ ม ๆ กนั ผูฟงก็ยังสามารถจะบอกไดวาเสียงที่ไดยินดังมาจากเครื่องดนตรีชนิดใดบางการที่เสียงทั้ง สองนี้แตกตางกัน ก็เพราะ ก. เปนเสียงที่มีความถี่มูลฐานเทากัน แตม จี าํ นวน higher harmonics (ฮารโ มนคิ อน่ื ๆ ที่มีความถี่สูงกวาความถี่มูลฐาน) แตกตา งกนั เทา นน้ั ข. เปนเสียงที่มีความถี่มูลฐานเทากันและมี higher harmonics ที่มีความถี่เทากันดวย แตอัมพลิจูดสัมพันธ (retative amplitude) ระหวางเสียงความถี่มูลฐาน และ higher ! $$!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน harmonics ในแตละกรณีแตกตางกัน ค. เปนเสียงที่มีความถี่มูลฐานเทากัน แตจ าํ นวน higher harmonics และ (relative Amplitude) ของเสียงความถี่มูลฐานกับ higher harmonics ในแตละกรณีตางกัน ง. เปนเสียงที่มีความถี่มูลฐานแตกตางกันแตมี higher harmonics และ ความเขม ของ higher harmonics เหมอื นกัน 33. รถไฟวง่ิ ดว ยความเรว็ 30 เมตร/วินาที ในอากาศนิ่งความถี่หวูดรถไฟมีคา 500 Hz ถาเสียงมี อตั ราเรว็ 330 เมตร/วินาที จงหาความถี่เสียงที่ไดยินจากคนบนรถไฟขบวนที่ 2 ทว่ี ง่ิ ดว ย ความเรว็ 15 m/s เมอ่ื ก. รถไฟวิ่งเขาหากัน ข. รถไฟวิ่งออกจากกัน 34(มช 26) รถไฟขบวนหนึง่ วิ่งดว ยความเร็ว 144 km/hr ในอากาศนิ่งไดเปดหวูดซึ่งมีความถี่ 500 เฮริ ตซ ถา อตั ราเรว็ ของเสยี งในอากาศนง่ิ เปน 340 m/s จงหาความยาวคลื่นเสียงหวูด ขางหนารถไฟ ก. 60 cm ข. 62 cm ค. 76 cm ง. 84 cm 35(มช 40) จากรปู แหลงกําเนิดคลื่นเสียง S มคี วามเรว็ (Vs) เทากับ 50 เมตร/วินาที และ λ มีคาเทากับ 4 เมตร คาบการสั่นของ S จะเปนกี่วินาที (ใหอ ตั ราเรว็ เสยี ง = 350 เมตร/วินาท)ี ! 36. ชายคนหนึ่งยืนที่ชานชาลา สงั เกตเหน็ หวดู รถไฟ มีความถี่ต่ําลง 6/7 ขณะที่รถไฟผานชาน ชาลา จงหาอตั ราเรว็ รถไฟ (Vเสียง = 330 m/s) 37(En 30) ในการหาอตั ราเรว็ ทเ่ี มด็ เลอื ดวง่ิ ในเสน เลอื ดสามารถทาํ ไดโ ดยการสง คลน่ื เสยี ง อุลตราโซนิกที่มีความถี่หนึ่งเขาไปกระทบกับเม็ดเลือดแลววัดสมบัติของคลื่นที่สะทอน ออกมา สมบตั ขิ อ ใดทน่ี าํ ไปคาํ นวณหาอตั ราเรว็ ของเมด็ เลอื ดได ก. ความถี่ของคลื่นที่เปลี่ยนไป ! $%!
ฟสิกสจากจอ เลม 2 http://www.pec9.com บทท่ี 5 เสียงและการไดยิน ข. เฟสของคลื่นที่เปลี่ยนไป ค. แอมปลิจูดของคลื่นที่เปลี่ยนไป ง. ชวงเวลาระหวางคลื่นที่สงเขาไป และที่สะทอน 38. เคร่ืองบินไอพน บนิ ดว ยความเร็ว Mach 2 จะบินดวยความเร็วเทาใดใหอัตราเร็วเสียง 340 m/s 39(En 44/2) ในการศึกษาปรากฏการณดอปเปลอรโดยใชถาดคลื่น เมอื่ นักเรยี นจมุ ปลายดินสอ ที่ผิวน้ําดวยจังหวะสม่ําเสมอพรอมดวยเคลื่อนปลายดินสอ ถา การทดลองของนักเรียนใหห นา คลน่ื ดงั รปู ขอ สรปุ ใดตอ ไปนเ้ี ปน ขอ ทถ่ี กู ตอ ง 1. การทดลองมีการเคลื่อนปลายดินสอไปทางซาย ดวยอัตราเร็วเทากับอัตราเร็วของคลื่น 2. การทดลองมีการเคลื่อนปลายดินสอไปทางขวา ดวยอัตราเร็วเทากับอัตราเร็วของคลื่น 3. การทดลองมีการเคลื่อนปลายดินสอไปทางซา ยดวยอตั ราเร็วมากกวาอัตราเรว็ ของคลน่ื 4. การทดลองมกี ารเคลอ่ื นปลายดนิ สอไปทางขวาดว ยอตั ราเรว็ มากกวา อตั ราเรว็ ของคลน่ื 40(En 38) จงพจิ ารณาขอ ความตอ ไปน้ี ก) ความถี่ของเสียงที่ไดยินเปลี่ยนไปจากเดิม เมอ่ื ผฟู ง เคลอ่ื นทอ่ี อกจากตน กาํ เนดิ เสยี ง ข) คลื่นกระแทกเกิดเมื่อตนกําเนิดเสียงเคลื่อนที่ดวยความเร็วสูงแตไมเกินความเร็วเสียง ค) การเกิดคลื่นดานหลังของเสาสะพานในน้ําตามชายทะเล หรือในทะเลสาบ แสดง ปรากฏการณการเลี้ยวเบนของคลื่น ง) การเกิดบีตสของเสียงเกิดขึ้นเมื่อคลื่นเสียงทั้งสองคลื่นมีความถี่ตางกันมากกวา 10 เฮิตรซ ขอความที่ถูกตองคือ 1. ก ข และ ค 2. ข และ ค 3. ก และ ค 4. คาํ ตอบเปน อยา งอน่ื ! $&!
Search
Read the Text Version
- 1 - 35
Pages: