แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 15 หนว่ ยการเรียนรู้ เรอื่ ง พฤติกรรมของสตั ว์ วชิ าชีววิทยา 5 (ว33250) ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 เรือ่ ง กลไกการเกิดพฤติกรรมของสัตว์ เวลา 1 คาบ ครูผสู้ อน นางสาวศรอี ุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. ผลการเรียนรู้ 1. สืบคน้ และบอกความหมายของพฤติกรรมและปัจจัยสำคญั ท่กี ่อให้เกดิ พฤติกรรม 2. อภปิ รายและอธบิ ายเก่ียวกับกลไกท่ีทำใหเ้ กดิ พฤติกรรมในสัตว์ 3. นำความรทู้ ่ไี ด้จากการศกึ ษากลไกการเกิดพฤตกิ รรมไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจำวนั 4. มีจติ วทิ ยาศาสตร์ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด พฤติกรรม (behavior) เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าของสิ่งมชี วี ติ ที่ตอบสนองต่อส่งิ เรา้ ที่มากระต้นุ เพ่ือให้ สามารถ ดำรงชีวิตอยู่ได้ สงิ่ เรา้ ที่กระตุ้นให้เกดิ พฤติกรรมมที ้ังสิ่งเร้าภายนอก และสิ่งเร้าภายใน ทั้งนี้ พฤติกรรมของสัตว์ แต่ละชนิดจะแสดงออกแตกต่างกันออกไป แม้จะมีสิง่ เร้าชนดิ เดียวกนั ก็ตาม เนื่องจากพฤตกิ รรมของสัตว์ เกิดจากการทำงานรว่ มกันของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบ ประสาท ระบบต่อมไรท้ อ่ ระบบโครงกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ความซบั ซ้อนของพฤติกรรมที่แสดงจึง เกี่ยวข้องกับการเจริญ และพฒั นาการของระบบต่าง ๆ นอกจากนส้ี ัตวย์ ังมีการปรับตัวดา้ นพฤติกรรม ตามสภาพส่งิ แวดล้อมทมี่ ีการเปลีย่ นแปลงอยู่ ตลอดเวลา เพ่ือให้ สามารถอยูร่ อดและดำรงเผ่าพันธต์ุ ่อไปได้ 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรเู้ พ่ือให้นักเรยี นสามารถ 3.1 ดา้ นความรู้(K) 1) สบื ค้นข้อมูล และบอกความหมายของพฤติกรรม 2) บอกวธิ ีการศกึ ษาพฤติกรรม และกลไกการเกดิ พฤติกรรม 3) อธบิ ายการเกิดพฤติกรรมในสัตว์ ซ่ึงควบคมุ โดยระบบประสาท 4) อธิบายความหมาย พร้อมท้งั ยกตัวอย่างเหตุจงู ใจใหแ้ สดงพฤติกรรม 3.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 1) อภปิ รายเก่ยี วกับตัวอยา่ ง หรือสถานการณท์ ีส่ ัตว์แสดงพฤติกรรม 2) ทดลองเก่ยี วกบั การศกึ ษาพฤติกรรมท่ีสัตว์แสดงออกเพื่อประโยชน์ในดา้ นใด 3.3 คุณลักษณะ (A) 1) มีความใฝ่เรียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคดิ เห็นและยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผ้อู ื่น และทำงานร่วมกับผู้อื่น อยา่ งสรา้ งสรรค์ 3) ตรงต่อเวลาในการปฏบิ ัติกิจกรรมและการเขา้ ชน้ั เรียน 4. สาระการเรยี นรู้ การศึกษาพฤติกรรมของส่งิ มีชวี ติ อาจใช้วิธกี ารทางสรีรวิทยาหรือวิธกี ารทางจิตวิทยากลไกการเกิด พฤติกรรมเรมิ่ จากมีส่ิงเร้าภายนอกหรือส่ิงเร้าภายในมากระตุ้นหน่วยรบั ความรสู้ กึ ส่งไปที่ ประสาทส่วนกลางแลว้ ประสาทสว่ นกลางจะออกคำสงั่ ให้หน่วยปฏบิ ัติงานแสดงพฤติกรรม พฤติกรรมของสัตว์เป็นผลจากการทำงานร่วมกนั ระหว่างพนั ธกุ รรมและสภาพแวดล้อม พฤติกรรมจำแนกได้เป็นพฤติกรรมท่ีมีมาแตก่ ำเนิดและพฤติกรรมการเรียนรู้
5. สมรรถนะสำคัญ 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด - ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ - ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ - กระบวนการทำงานกลมุ่ 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 6.1 มวี นิ ยั 6.2 ใฝเ่ รยี นรู้ 6.3 ม่งุ ม่ันในการทำงาน 6.4 มีจติ สาธารณะ 7. ภาระงาน/ชิ้นงาน 7.1 ภาระงาน - สืบค้นข้อมูลจากใบความรู้ สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้ 7.2 ชิ้นงาน - สรุปความรเู้ ร่ืองกลไกการเกิดพฤติกรรม 8. กิจกรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมนำสู่การเรยี น กลไกการเกิดพฤติกรรมของสตั ว์ 1) ขน้ั สร้างความสนใจ 1.1 ครนู ำเข้าสูบ่ ทเรียนโดยเปิดคลปิ วดี ีโอพฤตกิ รรมการชกั ใยของแมงมุม โดยใชคำถามกระตุ้น ดงั น้ี - นกั เรียนจะอธบิ ายกลไกของพฤติกรรมการชกั ใยของแมงมุมว่าอยา่ งไร ( คำอธิบายขึน้ อยู่กบั เหตุผลของนักเรียน ) 1.2 ครชู ีแ้ นะวา่ การแปลผลน้ันเป็นข้ันตอนท่ียากท่สี ุดในการศกึ ษาเกยี่ วกับพฤติกรรม เพราะมนุษย์ มกั ใชค้ วามรูส้ กึ นึกคิดของตนเข้าไปประกอบคำอธิบายพฤติกรรมของสัตว์ที่ทำการศึกษา กจิ กรรมพฒั นาการเรียนรู้ 2) ข้นั สำรวจและค้นหา 2.1 ครนู ำเขา้ สบู่ ทเรียนโดยทบทวนการตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ของสัตวจ์ ากการเรยี นเร่ืองระบบ ประสาท แลว้ ใหน้ ักเรยี นยกตัวอย่างการตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าของสัตวแ์ ละชว่ ยกนั ระบุถึงสงิ่ เร้าของพฤตกิ รรม ที่ยกตัวอยา่ ง 2.2 ใหน้ ักเรียนสบื ค้นข้อมูลและศึกษา เพื่อรว่ มกนั อภิปรายสรปุ ความหมายของพฤติกรรม 3) ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายถึงความหมายของพฤตกิ รรมโดยใชป้ ระเดน็ คำถาม ดงั นี้ - พฤติกรรมมีความสำคัญต่อสิ่งมีชวี ิต อย่างไร ( การแสดงพฤติกรรมของสง่ิ มีชวี ิต เปน็ ไปเพือ่ ความอยรู่ อดและปอ้ งกนั การสูญพันธุ์ เช่น พฤติกรรม การหาอาหาร พฤตกิ รรมการเกี้ยวพาราสี การสืบพันธุ์ใหล้ ูกหลานต่อไป ) - ความซบั ซ้อนของการแสดงพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับระดับความเจริญของระบบประสาท หรอื ไม่ อยา่ งไร ( เก่ียวขอ้ งกัน ถ้าระบบประสาทเจริญดีสตั วจ์ ะสามารถแสดงพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรไู้ ด้ดี มีพฤติกรรมที่ซบั ซ้อน )
4) ข้ันขยายความรู้ 4.1 ครเู สริมความรเู้ ก่ียวกบั การศึกษาพฤติกรรมของสัตวเ์ พ่ิมเตมิ ดงั นี้ - ในการศกึ ษาพฤตกิ รรมของสตั ว์ จำเปน็ ตอ้ งทราบถึงสภาพทางสรีรวทิ ยาของสตั ว์ชนิดนั้น ๆ เพอื่ เป็นพื้นฐานในการอธิบายพฤติกรรมสตั ว์ - การศึกษาพฤติกรรมทางด้านจติ วิทยา สามารถศึกษาได้จากการสงั เกตพฤตกิ รรมของสัตว์ใน ธรรมชาติ หรือห้องทดลอง 5) ขัน้ ประเมินผล 5.1 ใหน้ ักเรยี นแตล่ ะคนย้อนกลบั ไปอา่ นบันทึกประสบการณ์เดมิ สง่ิ ทตี่ ้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แลว้ ตรวจสอบวา่ ได้เรยี นรตู้ ามที่ตั้งเป้าหมายครบถ้วนหรอื ไมเ่ พียงใด ถา้ ยงั ไม่ครบถ้วน จะทำอยา่ งไรต่อไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธบิ ายเพิ่มเตมิ สอบถามใหเ้ พื่อนอธิบาย หรอื วางแผน สืบคน้ เพมิ่ เติม) 5.2 ครูใหค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การ ให้คะแนน สมดุ บนั ทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมูลไม่เพียงพอใชว้ ิธีสมั ภาษณ์เพ่ิมเตมิ 9. สอื่ การเรียนร/ู้ แหลง่ เรียนรู้ 9.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพม่ิ เติม ชวี วทิ ยา เลม่ 5 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 9.2 สื่อคลิปวดี โิ อ เร่อื งการแสดงพฤติกรรมการชักใยของแมงมมุ 9.3 แผนภาพแสดงกลไกการเกดิ พฤตกิ รรม 9.4 หอ้ งสมุด / ชุมชน 9.5 ฐานข้อมูล internet/ สอ่ื การเรียนการสอน DLIT /Google classroom 10. การวัดและประเมนิ ผล 10.1 วิธีวัดและประเมินผล 1) ให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบอตั นัย 4 ข้อ 2) ครใู หค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การให้คะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากขอ้ มลู ไมเ่ พียงพอใช้วธิ สี มั ภาษณเ์ พมิ่ เติม 10.2 เคร่ืองมือวัดและประเมินผล 1) ขอ้ สอบอัตนัย 4 ข้อ 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3) แบบประเมนิ จติ วิทยาศาสตร์ 10.3 เกณฑ์การประเมนิ 1) ขอ้ สอบอัตนัย ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ได้คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 75 3) แบบประเมินจติ วทิ ยาศาสตร์ ได้คะแนนไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 75
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 16 หนว่ ยการเรียนรู้ เรื่อง พฤตกิ รรมของสัตว์ วิชาชีววทิ ยา 5 (ว33250) ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 เรื่อง ประเภทพฤตกิ รรมของสตั ว์ เวลา 2 คาบ ครูผู้สอน นางสาวศรอี ุดร ล้านสาวงษ์ 1. ผลการเรยี นรู้ 1. อภปิ ราย และอธบิ ายกลไกการเกิดพฤติกรรม 2. อภิปราย และอธิบายเกยี่ วกบั พฤตกิ รรมแบบตา่ ง ๆ ของส่งิ มชี ีวติ เซลล์เดียวและสัตว์ 3. ประเมนิ ความสำคญั ของพฤตกิ รรมสัตว์ท่ีส่งผลต่อการดำรงชวี ิตและการอยู่รอด 4. มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ 2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด การแสดงพฤติกรรมของสัตว์มหี ลายแบบ แต่ละแบบของพฤตกิ รรมทีแ่ สดงออกมานั้นเป็นไปเพื่อ วตั ถุประสงค์ทแี่ ตกตา่ งกนั เช่น พฤติกรรมการหาอาหาร พฤติกรรมการหลบหลีกศตั รู อันตราย หรอื สภาวะแวดลอ้ ม ท่ีไมเ่ หมาะสม พฤติกรรมการสบื พนั ธเ์ุ พื่อดำรงเผ่าพนั ธ์ุไว้ ทงั้ น้กี ็เพือ่ ความอยู่รอด น่ันเอง สามารถจำแนกพฤตกิ รรม ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ พฤติกรรมทมี่ มี าแต่กำเนิด และพฤติกรรมทเ่ี กิดจากการเรยี นรู้ 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เพ่อื ให้นกั เรียนสามารถ 4.1 ด้านความรู้(K) สืบค้นขอ้ มูล อภปิ รายอธบิ ายกลไกการเกดิ พฤติกรรม และพฤติกรรมแบบต่าง ๆ ของส่ิงมชี ีวิต เซลล์เดียวและสัตว์ 4.2 ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) ทำการทดลองเก่ยี วกับพฤตกิ รรมแบบต่าง ๆ ของส่งิ มชี ีวติ เซลลเ์ ดียว และสตั ว์บางชนิด 4.3 คณุ ลักษณะ (A) 1) มคี วามใฝ่เรยี นรู้ 2) การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อืน่ และทำงานรว่ มกับผอู้ ่ืน อยา่ งสร้างสรรค์ 3) ตรงตอ่ เวลาในการปฏิบัติกิจกรรมและการเข้าช้นั เรยี น 4. เนอ้ื หาสาระ พฤติกรรมทีม่ ีมาแต่กำเนิด (inherited behavior) สามารถแสดงออกมาไดโ้ ดยไม่ต้องเรยี นรู้ สิง่ มีชวี ิตชนิด เดียวกันจะทำเหมือนๆกนั มีแบบแผนแน่นอน เรยี ก FAP : fixed action pattern เปน็ ผลมาจากพันธุกรรมเปน็ สำคญั พฤติกรรมทเี่ กดิ จากการเรยี นรู้ (learned behavior) พันธุกรรมมสี ่วนควบคุมบ้าง แตก่ ารแสดงออกท่ีถูกต้อง อาศัยการเรยี นรู้และประสบการณ์ 5. สมรรถนะสำคญั 5.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร 5.2 ความสามารถในการคิด - ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ - ทกั ษะการคดิ สร้างสรรค์ 5.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา 5.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ - กระบวนการทำงานกลุ่ม
6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 6.1 มวี ินยั 6.2 ใฝเ่ รียนรู้ 6.3 ม่งุ มั่นในการทำงาน 6.4 มีจิตสาธารณะ 7. ภาระงาน/ชน้ิ งาน 7.1 ภาระงาน - สืบค้นข้อมูลจากใบความรู้ สื่อ และแหลง่ เรียนรู้ - สืบค้นขอ้ มลู เพ่ิมเติมเกยี่ วกับพฤติกรรมของสัตว์ - บนั ทึกผลในแบบบนั ทึกกจิ กรรม เรื่อง พฤติกรรมสัตว์ 7.2 ชิ้นงาน - ออกแบบชน้ิ งาน จัดป้ายนิเทศ - แบบบนั ทกึ กิจกรรม เรื่อง พฤติกรรมสตั ว์ 8. กิจกรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมนำสูก่ ารเรียน ประเภทพฤตกิ รรมสัตว์ 1) ข้ันสรา้ งความสนใจ ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายถึงพฤติกรรมท่แี สดงออกเน่ืองจากการทำงานของระบบ ประสาท และฮอร์โมนในประเด็นที่ว่าสัตวต์ ่างชนดิ มคี วามสามรถในการแสดงพฤตกิ รรมได้ เหมือนกันหรือไม่ อยา่ งไร กิจกรรมพฒั นาการเรยี นรู้ 2) ขั้นสำรวจและคน้ หา 2.1 ครูนำเขา้ ส่บู ทเรียนโดยให้นักเรยี นศกึ ษาวีดทิ ศั นเ์ ก่ยี วกับพฤติกรรมของสัตว์ หรือให้นกั เรยี น ยกตวั อยา่ งพฤติกรรมสัตว์ท่ีนักเรียนคนุ้ เคยมาพูดกัน 2.2 ครชู ีแ้ จงให้นกั เรียนเห็นว่านกั วทิ ยาศาสตร์พยายามศึกษาพฤตกิ รรมของสัตว์ และพยายาม จำแนกว่าพฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมเปน็ มาแตก่ ำเนิด และพฤติกรรมใดทเ่ี กิดจากการเรียนรู้ 2.3 ครใู ห้นกั เรยี นสืบคน้ ข้อมูลเพอ่ื ศึกษาเกี่ยวกบั ประเภทของพฤติกรรม และทำกิจกรรมการ ทดลองของพารามีเซยี ม 3) ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ 3.1 ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภิปรายเกยี่ วกับการทดลองเรื่องพารามีเซียม จากประเด็นคำถาม ในหนงั สอื เรยี น ดังน้ี - พารามเี ซยี มมพี ฤติกรรมการตอบสนองอยา่ งไร (พารามีเซยี มเคลื่อนท่หี นจี ากสารละลายโซเดยี มคลอไรด์แตเ่ คลื่อนท่ีเขา้ หาสารละลายกรดแอซติ กิ ) - พฤตกิ รรมการตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้ามปี ระโยชนต์ ่อพารามเี ซียมอย่างไร ( พฤติกรรมดังกลา่ วนา่ จะมีผลต่อการอยู่รอดของพารามีเซียม เพราะในธรรมชาตบิ รเิ วณทมี่ ี แบคทเี รยี ซ่งึ เปน็ อาหารของพารามีเซียมจะมีฤทธิเ์ ป็นกรดออ่ น ๆ การเคลือ่ นท่เี ข้าหาบรเิ วณทมี่ ีความเป็นกรดจึง มีโอกาสให้พารามีเซียมไดร้ ับอาหาร ส่วนพฤติกรรมท่หี นจี ากสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดอ์ าจทำให้ รอดพ้นจาก อันตรายท่ีได้รับจากสารเคมีน้ัน ๆ ) 3.2 ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั อธิบายความหมายของพฤติกรรมแบบไคนีซิส ซงึ่ เปน็ พฤติกรรมแบบ โอเรียนเตชนั อยา่ งหน่ึง
3.3 เม่ือนกั เรยี นเข้าใจความหมายของพฤติกรรมแบบไคนีซิสแลว้ ควรให้นกั เรยี นเข้าใจความหมาย ของพฤติกรรมแบบแทกซิส เพอ่ื เปรยี บเทียบกนั และใหน้ ักเรียนยกตัวอยา่ งสิง่ มีชวี ิตชนิดอนื่ ๆ ท่มี ีพฤติกรรมแบบ แทกซสิ 3.4 ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภปิ ราย ในประเด็นคำถามจากหนงั สอื เรียน ดงั น้ี - ใหน้ กั เรยี นยกตัวอยา่ งพฤติกรรมแบบแทกซิสทเ่ี กดิ ในสง่ิ มีชวี ติ อน่ื ๆ ( คำตอบขึน้ อยู่กบั ประสบการณ์ของนักเรียน ) - พฤตกิ รรมทงั้ แบบแทกซิสและไคนีซสิ มีผลดีตอ่ สงิ่ มชี ีวิต อยา่ งไร ( เปน็ พฤติกรรมท่ีใช้ในการปรับตวั เพอ่ื ความอยู่รอด โดยเคลื่อนท่ีเข้าหาอาหาร หรอื หลบหลีกศตั รู หรอื สิ่งแวดล้อมท่ีไม่เหมาะสมกอ่ ใหเ้ กิดการรวมกลมุ่ เพ่ือการสบื พนั ธ์ุ ) - พฤตกิ รรมเรยี นรู้แบบแฮบบิชูเอชนั มีผลตอ่ การดำรงชีวติ ของสตั ว์หรอื ไม่ อยา่ งไร ( พฤติกรรมการเรียนรูแ้ บบน้ีเปน็ ผลดีตอ่ สตั วใ์ นขณะที่กำลังเจริญเตบิ โตจากตวั อ่อนเป็นตัวเตม็ วยั เพื่อละเลยไมจ่ ำเปน็ ต้องตอบสนองต่อสงิ่ เร้าทีม่ ากระตนุ้ ตลอดเวลา ทำใหร้ า่ งกายประหยัดพลงั งานทจ่ี ะใช้ในการ ตอบสนอง และยังสง่ ผลตอ่ การพฒั นาของระบบประสาท และการทำงานของร่างกาย ) - การฝังใจเปน็ พฤตกิ รรมทมี่ ีประโยชนห์ รอื ไม่ อย่างไร จงอธบิ าย ( มปี ระโยชน์ เน่ืองจากจะมผี ลต่อการดำรงเผา่ พนั ธข์ุ องสง่ิ มีชวี ิต ทำให้สัตวม์ โี อกาสอยรู่ อดมากขึ้น เพราะไดร้ ับการดแู ลจากพ่อแมแ่ ละการเลือกคผู่ สมพันธ์ุกบั สัตวใ์ นสปีชสี ์เดียวกนั ) - วธิ ีการและเวลาทใี่ ชใ้ นการทำกจิ กรรมลองผิดลองถกู ในคร้ังแรกและครง้ั หลงั ๆ แตกต่างกนั อย่างไร ( ในคร้งั แรก ๆ จะใชเ้ วลามากกวา่ ครงั้ หลัง ๆ ) - นกั เรยี นสามารถสรุปผลการทำกิจกรรมไดว้ ่าอย่างไร ( ครั้งแรกของการทำกจิ กรรมจะใชเ้ วลามากกวา่ ในครั้งต่อ ๆ ไป และโอกาสในการเดินทาง ผดิ พลาดจะมีมากกว่าในระยะแรกของการทดลอง ) - ระหว่างสตั ว์ท่ีมีระบบประสาทเจริญดกี ับเจริญไม่ดี กลุ่มใดจะเรยี นรูแ้ บบลองผิดลองถูกได้เรว็ กวา่ ( สัตว์ที่มรี ะบบประสาทเจริญดีเรยี นรกู้ ารลองผดิ ลองถูกได้รวดเร็วกว่า เพราะมีสมองที่สามารถ จดจำการกระทำวา่ แบบใดสง่ ผลดี หรอื ผลเสียตอ่ ตนเอง ) - สตั ว์ท่ีแสดงพฤติกรรมการเรียนรแู้ บบใช้เหตุผลได้แก่สตั ว์อะไรอกี บ้าง ยกตัวอยา่ งประกอบ ( เชน่ สนุ ขั เปิดประตูกรง ลิงอุรังอุตงั เรียนร้ทู ่ีจะขออาหารจากคนท่ีมาเทย่ี วชมสวนสตั ว์) 4) ข้ันขยายความรู้ 4.1 ครูขยายความรู้ของนกั เรียนให้กวา้ งข้นึ โดยทำการทดลองพฤตกิ รรมการตอบสนองต่อสงิ่ เร้า ตา่ ง ๆ ของพารามเี ซยี ม สังเกตผลการทดลองโดยสังเกตจากความหนาแน่นของพารามเี ซียมในบรเิ วณต่าง ๆ ในสภาวะทีแ่ ตกตา่ งกนั 4.2 ครูเนน้ ย้ำใหน้ กั เรียนพิจารณาพฤติกรรมของสิ่งมชี วี ติ ว่านอกจากจะวิเคราะห์จากพฤติกรรม ทแี่ สดงออกมาแล้ว ยงั ต้องพิจารณาถึงระดบั ความเจรญิ ของระบบประสาทดว้ ย 5) ข้ันประเมนิ ผล 5.1 ให้นักเรยี นแตล่ ะคนยอ้ นกลับไปอ่านบันทึกประสบการณเ์ ดมิ ส่งิ ทีต่ ้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบวา่ ได้เรยี นรู้ตามท่ีต้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไมเ่ พยี งใด ถ้ายงั ไม่ครบถว้ น จะทำอย่างไรต่อไป (อาจสอบถามให้ครูอธบิ ายเพ่ิมเตมิ สอบถามให้เพื่อนอธบิ าย หรือวางแผน สืบค้นเพิม่ เติม) 5.2 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจติ วิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ ให้คะแนน สมุดบนั ทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากขอ้ มูลไม่เพียงพอใชว้ ิธีสมั ภาษณ์ เพ่ิมเติม
9. สื่อการเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้ 9.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าเพม่ิ เตมิ ชวี วทิ ยา เลม่ 5 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 9.2 ส่ือคลปิ วิดีโอประกอบการสอนเร่ืองพฤติกรรมการเรียนรูข้ องสัตว์ 9.3 แบบบันทึกกจิ กรรม เร่ืองประเภทพฤติกรรมของสตั ว์ 9.4 หอ้ งสมุด / ชมุ ชน 9.5 ฐานข้อมลู internet/ สื่อการเรยี นการสอน DLIT /Google classroom 10. การวัดและประเมนิ ผล 10.1 วิธีวัดและประเมนิ ผล 1) ให้นักเรยี นทำแบบทดสอบอตั นยั 5 ข้อ 2) ครใู หค้ ะแนนทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากข้อมลู ไมเ่ พียงพอใชว้ ธิ สี ัมภาษณเ์ พ่ิมเตมิ 10.2 เคร่อื งมือวัดและประเมินผล 1) ข้อสอบอัตนัย 5 ข้อ 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3) แบบประเมนิ จติ วิทยาศาสตร์ 10.3 เกณฑก์ ารประเมิน 1) ข้อสอบอัตนัย ได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 75 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 3) แบบประเมินจติ วิทยาศาสตร์ ได้คะแนนไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 75
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 17 หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พฤตกิ รรมของสตั ว์ วชิ าชีววทิ ยา 5 (ว33250) ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 เร่อื ง การส่ือสารระหวา่ งสัตว์ เวลา 2 คาบ ครูผสู้ อน นางสาวศรีอุดร ล้านสาวงษ์ 1. ผลการเรยี นรู้ 1. สบื ค้นข้อมลู อภปิ ราย และเปรียบเทียบ การสือ่ สารระหว่างสตั วแ์ บบต่าง ๆ พร้อมท้ัง ยกตัวอยา่ ง 2. มจี ิตวิทยาศาสตร์ 2. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด การสอื่ สาร (communication) เป็นพฤติกรรมทางสังคมของสตั วท์ ีเ่ กดิ ข้ึนเพื่อให้เกิดความ เขา้ ใจระหว่าง สัตวช์ นดิ เดยี วกนั หรอื สัตวต์ ่างชนดิ กัน ทั้งน้เี พ่ือใหส้ ามารถอยู่รอดได้ รวมท้ังดำรง เผา่ พันธุส์ ืบต่อไป การสื่อสาร อาจเกิดข้ึนเพ่ือการสืบพันธุ์ การเลีย้ งลกู หรอื เปน็ ไปเพื่อการตอ่ สู้เพื่อป้องกันตนเองหรือแยง่ ปัจจัยพื้นฐาน โดยรูปแบบของการส่อื สารมีหลายประเภท เชน่ การสือ่ สารด้วย เสยี ง การสอื่ สารด้วยทา่ ทาง การสื่อสารดว้ ย สารเคมี และการส่อื สารด้วยการสัมผัส 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เพื่อใหน้ ักเรียนสามารถ 3.1 ดา้ นความรู้(K) 1) อธิบายวิธกี ารท่ีสตั ว์ใช้ในการตดิ ต่อส่ือสาร 2) บอกประโยชนข์ องการสื่อสารในรปู แบบตา่ ง ๆ 3) สรุปประโยชนข์ องพฤติกรรมทางสงั คมที่มผี ลต่อสัตว์ 3.2 ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) 1) อภิปรายเกย่ี วกับการติดต่อสื่อสารในรูปแบบตา่ ง ๆ 2) ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง การส่อื สารของสัตวแ์ ละมนุษย์ 3.3 คุณลกั ษณะ (A) 1) มีความใฝเ่ รียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคิดเหน็ และยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผ้อู ื่น และทำงานร่วมกบั ผูอ้ ่ืน อย่างสรา้ งสรรค์ 3) ตรงต่อเวลาในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมและการเข้าช้ันเรียน 4. สาระการเรยี นรู้ การส่ือสารระหวา่ งสัตว์ทำได้หลายวธิ ี คือ การสื่อสารดว้ ยเสียง การส่อื สารด้วยทา่ ทาง การส่อื สารดว้ ย สารเคมี และการสอื่ สารด้วยการสัมผสั 5. สมรรถนะสำคญั 5.1 ความสามารถในการส่อื สาร 5.2 ความสามารถในการคิด - ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ - ทักษะการคิดสร้างสรรค์ 5.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต - กระบวนการทำงานกลุ่ม
6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 มีวนิ ัย 6.2 ใฝ่เรยี นรู้ 6.3 มงุ่ ม่นั ในการทำงาน 6.4 มีจติ สาธารณะ 7. ภาระงาน/ช้ินงาน 7.1 ภาระงาน - สบื ค้นขอ้ มูลจากใบความรู้ สือ่ และแหลง่ เรยี นรู้ 7.2 ชน้ิ งาน - สรุปความรู้เรอื่ งการส่ือสาร 8. กจิ กรรมการเรียนรู้ กิจกรรมนำสกู่ ารเรยี น การสอื่ สารระหวา่ งสตั ว์ 1) ข้นั สร้างความสนใจ 1.1 ครนู ำเข้าสูบ่ ทเรยี นโดยใหน้ ักเรียนศกึ ษาภาพ หรือวีดทิ ัศน์เกยี่ วกับการติดต่อสอื่ สารกัน ระหว่างสัตว์ หรือจากประสบการณ์ของนักเรยี น กิจกรรมพัฒนาการเรยี นรู้ 2) ขน้ั สำรวจและค้นหา 2.1 ครใู ห้นกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเพื่อสรุปว่า การอยรู่ ว่ มกนั เปน็ หมหู่ รอื พวกย่อมต้องมี การแสดงพฤติกรรมที่เข้าใจกันระหวา่ งพวกของตนเอง พฤตกิ รรมดงั กลา่ วเรยี กวา่ พฤติกรรมทางสงั คม 2.2 ครูใหน้ กั เรียนสืบค้นข้อมูลและศกึ ษาเก่ียวกับการสื่อสารของสัตว์ประเภทตา่ ง ๆ 2.3 นักเรียนแตล่ ะกลุ่มอภปิ รายร่วมกันถงึ การส่อื สารระหว่างสตั ว์ 3) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป 3.1 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอผลการสืบค้นและผลการศึกษาการสื่อสารระหวา่ งสัตว์ 3.2 นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ได้ผลการสบื ค้นและผลการศึกษาเหมือนหรอื ต่างกันอย่างไร เพราะเหตใุ ด 3.3 ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายในประเด็นคำถาม ดงั น้ี - จากภาพท่ี 10 -15 เพราะเหตใุ ดแม่ไกจ่ งึ มีพฤตกิ รรมตา่ งกัน ( เพราะลูกไก่ในภาพ ก อยใู่ นครอบแกว้ เมอ่ื ส่งเสียงร้องแต่แม่ไก่ไม่ไดย้ นิ จึงไมส่ นใจมอง ส่วนภาพ ข แมไ่ ก่ไดย้ นิ เสียงลูกไก่ แมม้ องไม่เห็นตวั แต่กพ็ ยายามหนั ไปตามเสียง แสดงวา่ แมไ่ กร่ ับรู้ตอ่ การส่ือสาร ด้วยเสยี งของลกู ไก่ มากกว่าการมองเหน็ ) - การสือ่ สารดว้ ยเสยี งมีประโยชนต์ อ่ สตั ว์อยา่ งไร ( มปี ระโยชน์เชน่ เพ่ือเตอื นภยั บอกแหลง่ อาหารหรอื แสดงอารมณ์ เปน็ ตน้ ) - จากภาพที่ 10-16 ภาพ ก. ข. ค. และ ง. สุนัขกำลงั สื่อความหมายวา่ อย่างไร ( ภาพ ก แสดงถึงการยอมจำนนต่อสนุ ัขตัวอนื่ ภาพ ข แสดงลกั ษณะทัว่ ๆไป ว่าไม่กลัว ไม่ต่อสู้ ภาพ ค แสดงการข่มผตู้ ่อสูท้ ่อี ่อนแอกว่า ภาพ ง การข่มขู่พร้อมต่อสู้ ) - การแสดงออกโดยใช้ท่าทางของสิ่งมชี วี ิตมปี ระโยชน์อยา่ งไร ( เพอ่ื ส่ือสารให้เขา้ ใจตรงกันสามารถใช้แทนคำพูด บอกอารมณ์ ความรู้สึกได้ เปน็ ต้น ) - นกั เรียนสามารถสังเกตอารมณ์ของเพอื่ นได้จากสหี น้า ท่าทาง ได้หรือไม่ และการแสดงออก เช่นน้นั มี ประโยชน์อยา่ งไร ( ได้ เนื่องจากการแสดงออกของสีหน้าท าใหเ้ พ่อื นรู้วา่ ควรจะปรับตวั อย่างไร เพ่ือการอยู่รว่ มกนั ในสังคม ) - ฟีโรโมนเหมือนหรอื ต่างจากฮอร์โมนอยา่ งไรในแง่การกระตุน้ ใหเ้ กิดพฤติกรรม
( เหมือนกันในสว่ นท่ที ั้งสองจัดเปน็ สารเคมีซง่ึ จดั เป็นส่ิงเร้าท่ที าให้สตั วแ์ สดงพฤติกรรมได้ แต่ฟีโรโมน เปน็ ส่งิ เรา้ ภายนอก ผลิตจากตอ่ มมที ่อ มผี ลต่อสงิ่ มีชวี ติ อื่นในสปชี ีส์เดียวกนั ส่วนฮอร์โมนเปน็ สงิ่ เรา้ ภายในหล่งั จากตอ่ มไรท้ ่อมีผลต่อตวั เอง ) - การสือ่ สารดว้ ยการสัมผสั มีความสำคญั ต่อการดำรงชีวิตของสตั วอ์ ยา่ งไร ( ทำใหล้ ูกสตั วม์ ีความรสู้ ึกปลอดภยั เหมอื นไดร้ บั การปกป้องจากอนั ตราย ) 4) ข้นั ขยายความรู้ 4.1 ครูชี้แนะให้นักเรียนตระหนักว่า พฤติกรรมของส่ิงมีชีวิตมขี ้นึ เพ่ือการปรับตัวให้เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มท่ีมีการเปลยี่ นแปลง หากพฤติกรรมดังกล่าวไมเ่ หมาะสม พฤติกรรมนั้นจะมกี าร ปรบั เปลีย่ นเพื่อ ให้เข้ากับส่ิงแวดล้อมมิฉะนน้ั แล้วส่ิงมชี ีวิตจะสูญพนั ธใ์ุ นทสี่ ุด 4.2 นกั เรยี นแต่ละกล่มุ เสนอแนวคดิ ในการนำความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การสื่อสารระหวา่ งสัตว์ ไปใช้ ประโยชน์ 4.3 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันสรปุ เกยี่ วกบั กลไกการส่ือสารระหวา่ งสัตว์ 5) ขัน้ ประเมนิ ผล 5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอา่ นบนั ทึกประสบการณเ์ ดิม สิ่งท่ีต้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบวา่ ได้เรียนรตู้ ามท่ีตั้งเป้าหมายครบถว้ นหรอื ไม่เพยี งใด ถา้ ยังไม่ครบถ้วน จะทำอย่างไร ต่อไป (อาจสอบถามให้ครูอธบิ ายเพม่ิ เติม สอบถามใหเ้ พอื่ นอธบิ าย หรือวางแผน สืบคน้ เพิ่มเติม) 5.2 ครูใหค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน สมดุ บันทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไม่เพียงพอใช้วธิ สี ัมภาษณ์ เพม่ิ เตมิ 9. สอ่ื การเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้ 9.1 หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเพ่ิมเติม ชวี วทิ ยา เลม่ 5 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 6 9.2 สอ่ื คลิปวดี ิโอ เรือ่ ง การแสดงพฤติกรรมการสอ่ื สารระหว่างสัตว์ 9.3 ห้องสมดุ / ชมุ ชน 9.5 ฐานข้อมลู internet/ สื่อการเรียนการสอน DLIT /Google classroom 10. การวัดและประเมนิ ผล 10.1 วิธวี ัดและประเมนิ ผล 1) ใหน้ ักเรยี นทำแบบทดสอบอตั นยั 5 ข้อ 2) ครูใหค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากข้อมลู ไมเ่ พยี งพอใชว้ ิธสี มั ภาษณ์เพิ่มเตมิ 10.2 เครอื่ งมือวัดและประเมินผล 1) ขอ้ สอบอัตนัย 5 ข้อ 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3) แบบประเมินจติ วิทยาศาสตร์ 10.3 เกณฑก์ ารประเมนิ 1) ข้อสอบอัตนัย ได้คะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 75 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 3) แบบประเมินจิตวทิ ยาศาสตร์ ไดค้ ะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 75
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: