แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 หนว่ ยการเรยี นรู้ เรอื่ ง ระบบประสาทและอวัยวะรบั ความรู้สึก เวลา 2 คาบ วิชา ชีววิทยา 5 (ว33250) เรือ่ ง การรบั รู้และการตอบสนองของสตั ว์ ครูผ้สู อน นางสาวศรอี ุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. ผลการเรียนรู้ 1. สืบคน้ อภิปราย สำรวจ ตรวจสอบ และสรปุ เกย่ี วกับการรับรู้และการตอบสนองของสิง่ มีชีวิต 2. เปรียบเทยี บวิธีการรับรแู้ ละตอบสนองของสิง่ มีชีวติ เซลล์เดยี ว กับสตั วบ์ างชนดิ 3. สบื ค้น อภปิ ราย สำรวจ ตรวจสอบ ทดลอง และสรุปเก่ียวกับโครงสรา้ งและหนา้ ที่ของเซลล์ประสาท 4. จำแนกชนดิ ของเซลล์ประสาทตามโครงสรา้ งและหน้าที่พร้อมยกตัวอย่าง 5. ประเมินความสำคัญของการรบั รู้และการตอบสนองทีส่ ่งผลตอ่ สง่ิ มชี วี ติ 6. มีจิตวิทยาศาสตร์ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การรับรแู้ ละการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสตั ว์ชน้ั สูง เกิดจากการทำงานร่วมกนั ระหว่างระบบประสาท (nervous system) และระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system) ทง้ั สองระบบมีความแตกตา่ งกนั แต่จะควบคมุ และตดิ ต่อประสานงานการทำงานของร่างกายเขา้ ดว้ ยกนั เรยี กการทำงานของทัง้ สองระบบนี้วา่ ระบบประสานงาน (coordinating system) โดยระบบประสาทจะควบคุมการตอบสนองที่เกดิ ข้ึนและสน้ิ สุดอย่างรวดเรว็ ในขณะท่รี ะบบตอ่ มไร้ท่อ จะควบคมุ การตอบสนองที่เกดิ ขึ้นชา้ แต่มผี ลตอ่ เน่ืองในระยะเวลาทีย่ าวนาน การตอบสนองของส่งิ มชี วี ิตเซลล์เดียว ได้แก่ สง่ิ มชี วี ิตพวกโพรโตซวั เป็นส่งิ มีชวี ิตขนาดเลก็ มีเซลล์เดียว ไมม่ ีความซับซ้อนของโครงสร้างร่างกาย จึงไมม่ ีเซลล์ประสาททีท่ ำหน้าท่ใี นการควบคุมการตอบสนองต่อส่งิ เร้า แตม่ ีโครงสร้างท่ีเรยี กวา่ เส้นใยประสานงาน (coordinating fiber) อยูใ่ ตผ้ ิวของเยือ่ หุ้มเซลล์ มีลักษณะ เป็นเสน้ ใยเชอ่ื มโยงระหวา่ งโคนซเิ ลีย โดยเสน้ ใยประสานงานทำหนา้ ทรี่ ับสง่ ความรสู้ ึก และการควบคุมการโบกพัด ของซิเลยี ให้เกดิ ขึน้ พร้อมกันขณะมีการเคล่ือนที่ การควบคุมการตอบสนองต่อสิง่ เร้าดว้ ยวิธดี งั กลา่ วน้ี เรยี กวา่ ระบบนิวโรมอเตอร์ (neuromotor system) ตวั อยา่ งพฤตกิ รรมการตอบสนองต่อส่ิงเร้าของสิ่งมชี วี ติ เซลล์เดยี ว เช่น การเคลอ่ื นที่เขา้ หาหรอื หนีแสงสวา่ ง สารเคมี และอณุ หภูมิ ของพารามเี ซียม หรอื การเคลอื่ นท่เี พ่ือโอบลอ้ ม อาหารของอะมีบา เซลลป์ ระสาท (nerve cell) หรอื นวิ รอน (neuron) เปน็ หน่วยทำงานทเี่ ล็กท่สี ดุ ของระบบประสาท ทเ่ี จริญเปล่ียนแปลงมาจากเนื้อเยือ่ ชั้นเอกโทเดริ ์ม เซลล์ประสาทมีหลายชนดิ มีรปู รา่ งและหนา้ ทีแ่ ตกตา่ งกนั ประกอบด้วยสว่ นสำคญั สองส่วน คือ ตวั เซลล์ และใยประสาท โดยใยประสาทยังแบ่งออกเปน็ สองชนดิ คือ เดนไดรท์ และ แอกซอน 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.1 ดา้ นความรู้ (K) 1) นักเรียนสามารถ สรปุ เกีย่ วกับการรับรแู้ ละการตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าของสง่ิ มีชวี ิต 2) นกั เรยี นสามารถ อธิบายโครงสร้างทใ่ี ช้ในการรับรู้และตอบสนองของ พารามีเซยี ม ไฮดรา พลานาเรยี แมลง และสัตวม์ ีกระดูกสันหลังบางชนิด 3) นักเรยี นสามารถ อธบิ ายและเปรยี บเทียบวิธีการรบั รูแ้ ละการตอบสนองของสิง่ มชี วี ติ เซลล์เดยี ว บางชนิด สตั ว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และสตั ว์มีกระดกู สันหลังบางชนิด
4) นกั เรียนสามารถ อธบิ ายโครงสรา้ งและหน้าที่ของเซลล์ประสาท 5) นกั เรียนสามารถ อธิบายการเกดิ เย่ือหุ้มไมอีลินของเซลล์ประสาท 3.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 1) ระบชุ นิดของเซลล์ประสาททจี่ ำแนกตามโครงสร้างและหน้าที่ พรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ 2) ระบบุ รเิ วณที่มกี ารถ่ายทอดกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทหนงึ่ ไปยงั อีกเซลล์หนึ่ง 3.3 คุณลกั ษณะ (A) 1) มีความใฝ่เรียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคิดเหน็ และยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผ้อู ่นื และทำงานร่วมกบั ผู้อื่น อยา่ งสรา้ งสรรค์ 3) ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและการเขา้ ชนั้ เรียน 4. สาระการเรยี นรู้ การตอบสนองของสตั วเ์ ป็นการทำงานร่วมกนั ระหว่างระบบประสาทกับตอ่ มไร้ท่อโดยระบบประสาทจะ ควบคุมการตอบสนองได้รวดเร็วกว่า ในสงิ่ มชี ีวิตเซลล์เดยี ว เช่น พารามเี ซยี มเคลอื่ นที่เข้าหาหรอื หนีแสงสว่างได้ โดยมีเส้นใยท่เี ชื่อมโยงระหวา่ งโคนซเี ลียควบคมุ แตล่ ะเซลล์ของฟองน้ำสามารถตอบสนองส่งิ สมั ผสั ไดแ้ ตไ่ ม่สามารถ ประสานงานกนั ได้ ไฮดราตอบสนองส่ิงเร้าโดยใชร้ ่างแหประสาทที่กระจายไปทัว่ ลำตัวควบคมุ กลมุ่ เซลล์ประสาท ของพลานาเรียที่หัว เรียกวา่ ปมประสาทหรือสมอง มเี ส้นประสาทใหญ่ขนานไปด้านขา้ งลำตัวเป็นขั้นบนั ได และเช่ือมต่อกันเป็นวงแหวน ทำใหก้ ารตอบสนองสงิ่ เรา้ เป็นไปอย่างรวดเรว็ ในไสเ้ ดือนดิน กงุ้ หอย และแมลง มปี มประสาทอยู่ที่หวั และตามปลอ้ ง สตั วท์ ีม่ กี ระดูกสนั หลงั มีระบบประสาทขนาดใหญท่ หี่ ัวและพัฒนาไปเปน็ สมอง ส่วนที่ทอดไปตามลำตัว พัฒนาเปน็ ไขสนั หลงั ซง่ึ เปน็ ศูนยบ์ ัญชาการในการตอบสนอง สมองของสัตว์มีกระดูกสนั หลงั ขณะเปน็ เอ็มบรโิ อ มีลักษณะเป็นหลอดกลวง เรียกว่า นิวรลั ทิวบ์ ซ่งึ โปง่ ออกเป็น 3 ส่วน คือ สมองสว่ นหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง สัตวท์ มี่ ีววิ ฒั นาการสงู จะมีขนาดสมองโตกว่าสตั วท์ ่มี วี วิ ฒั นาการตำ่ กว่า เซลลป์ ระสาทจำแนกตามโครงสร้างเปน็ 2 ส่วนคือ 1. ตวั เซลล์ เป็นไซโทพลาสซึมและนวิ เคลยี ส 2. ใยประสาท เป็นแขนงเล็ก ๆ ท่ีย่นื ออกมาจากตัวเซลล์ สว่ นท่ีนำกระแสประสาทเขา้ สูต่ ัวเซลล์ เรียกว่า เดนไดรต์ ส่วนทีน่ ำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ เรียกว่า แอกซอน ซ่ึงมีเยื่อไมอีลนิ ท่เี ปน็ ลิพิดมาห่อห้มุ และติดต่อกับเซลล์ชวันน์ ถา้ ไมม่ ไี มอลี นิ หุม้ เรียกวา่ โนดอฟแรนเวยี ร์ เซลลป์ ระสาทจำแนกตามหนา้ ท่ีได้ 3 ชนิด คอื 1. เซลล์ประสาทรบั ความรูส้ กึ อย่ทู ีป่ มประสาทรากบนของไขสันหลัง เมอ่ื รับความรู้สกึ แล้ว ถ่ายทอดไปยงั เซลล์ประสาทส่ังการ 2. เซลล์ประสาทสั่งการ อยู่ในไขสนั หลงั ทำหน้าท่ีสง่ กระแสประสาทไปยังกลา้ มเนอื้ ตา่ ง ๆ เพอื่ ให้เคลอ่ื นไหว 3. เซลล์ประสาทประสานงาน อยู่ในสมองและไขสันหลงั ทำหนา้ ทีเ่ ชอื่ มต่อเซลล์ประสาทรบั ความร้สู ึกกับเซลล์ประสาทสัง่ การ เซลลป์ ระสาทจำแนกตามจำนวนใยประสาทต่อหนึ่งเซลล์ได้ 3 ชนิด คอื 1. เซลล์ประสาทขว้ั เดยี ว เช่น เซลล์ประสาทรับความรู้สกึ ท่ีผิวหนัง 2. เซลล์ประสาทสองขว้ั เช่น เซลล์ทท่ี เ่ี รตินา เซลล์รับกลิน่ เซลล์รับเสยี ง 3. เซลล์ประสาทหลายข้วั เชน่ เซลล์ประสาทสัง่ การในไขสันหลงั
5. สมรรถนะสำคัญ 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด - ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ - ทกั ษะการคิดสรา้ งสรรค์ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต - กระบวนการทำงานกล่มุ 6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 มีวนิ ยั 6.2 ใฝเ่ รยี นรู้ 6.3 มงุ่ ม่นั ในการทำงาน 6.4 มจี ติ สาธารณะ 7. ภาระงาน/ชน้ิ งาน 7.1 ภาระงาน - สบื คน้ ขอ้ มลู จากใบความรู้ สอื่ และแหล่งเรียนรู้ - ออกแบบการทดลอง - บันทกึ ผลในแบบบันทึกกิจกรรม/ใบงาน 7.2 ช้ินงาน - ออกแบบช้นิ งาน - จดั นทิ รรศการ - แบบบันทึกกิจกรรม เร่ือง เซลล์ประสาท 8. กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมนำสู่การเรียน 1) ข้นั สร้างความสนใจ 1.1 ครูใหน้ กั เรียนสงั เกตการตอบสนองต่อแสงและความร้อนของไส้เดือนดนิ 1.2 นักเรียนท้งั หมดรว่ มกันยกตัวอยา่ งการตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ของสงิ่ มชี ีวติ เซลล์เดียวและ สตั วบ์ างชนดิ รว่ มกันอภิปรายถึงกลไกในการตอบสนอง รวมทัง้ ผลท่ีเกิดขน้ึ กับมนุษย์และการนำไปใช้ประโยชน์ 1.3 ใหน้ ักเรียนรว่ มกนั ตงั้ คาถามเกีย่ วกบั สงิ่ ท่ีตอ้ งการรู้ จากเน้ือหาท่ีเกย่ี วกับเรื่องการตอบสนอง ของส่ิงมีชวี ติ เซลล์เดยี วและสัตว์บางชนิด กจิ กรรมพฒั นาการเรียนรู้ 2) ขน้ั สำรวจและคน้ หา 2.1 ครูแบ่งนกั เรยี นเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน 2.2 นกั เรียนแต่ละกลุม่ ร่วมกันสบื ค้น และศึกษาการตอบสนองของส่งิ มชี วี ิตเซลล์เดยี วและสตั ว์ บางชนิด 2.3 นกั เรียนแต่ละกลมุ่ อภปิ รายรว่ มกันถงึ การตอบสนองของส่งิ มชี วี ิตเซลล์เดียวและสตั วบ์ างชนดิ
3) ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรปุ 3.1 นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ นำเสนอผลการสบื คน้ และศึกษาการตอบสนองของสง่ิ มชี วี ติ เซลล์เดยี ว และสัตวบ์ างชนิด 3.2 นักเรยี นแต่ละกล่มุ ไดผ้ ลการสบื ค้นและผลการศึกษาเหมอื นหรือต่างกนั อยา่ งไร เพราะเหตุใด 3.3 ครูตัง้ คำถาม ดงั นี้ - จงแสดงแผนภาพการรับรู้การเปลีย่ นแปลงตอ่ สภาพแวดลอ้ มของสิ่งมชี ีวติ - ถ้าตัดเส้นใยประสานงานของพารามีเซียมออกพบว่า พารามีเซียมไม่สามารถควบคุม การพดั โบกของ ซเิ ลียได้ นักเรียนจะสรปุ หนา้ ทีข่ องเส้นใยประสานงานนี้อย่างไร ( เส้นใยประสานงานมีหนา้ ทีค่ วบคมุ การโบกพดั ของซิเลยี เพื่อให้เคลอื่ นทไ่ี ปยงั ทิศทาง ท่ีต้องการได้ ดังนน้ั เม่ือตดั เส้นใยประสานงานออกไปจะทำใหพ้ ารามเี ซียมไมส่ ามารถควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ได้ ) - ถา้ ใช้เขม็ แตะที่ปลายเทนทาเคลิ ของไฮดราจะเกดิ อะไรขน้ึ จะอธิบายผลการทดลองนี้ อย่างไร ( แทนทาเคลิ และสว่ นอื่นของรา่ งกายจะหดสน้ั ลง เพราะเซลล์ประสาทของไฮดรา เชอ่ื มโยงกนั เปน็ ตาข่าย ทำให้มีกระแสประสาทแผไ่ ปทั่วรา่ งกาย ) - การรบั รู้และการตอบสนองของไฮดรากบั พลานาเรียแตกต่างกันอยา่ งไร ( ไฮดรามรี ่างแหประสาท เมื่อมสี ิง่ เร้ามากระตุ้นย่อมมีกระแสประสาทแผ่ทว่ั ร่างกาย ทำใหไ้ ฮดรามีการตอบสนองโดยหดทั้งแทนทาเคิล หรือหดทง้ั ตวั ในขณะที่พลานาเรยี มปี มประสาททหี่ วั เมือ่ มสี ิง่ เรา้ มากระตุ้นจะเกิดกระแสประสาทจากบริเวณที่ถกู กระตุน้ ไปตามเสน้ ประสาท ส่งไปยงั ปมประสาทซึง่ เป็นศูนยก์ ลาง ท่มี เี ซลล์ประสาทอย่หู นาแนน่ แลว้ สง่ กระแสประสาทไปยงั หนว่ ยปฏบิ ัตงิ าน ดงั นน้ั การตอบสนองของพลานาเรีย จึงเกิดเฉพาะส่วนของร่างกาย ) - พลานาเรีย ไสเ้ ดอื นดนิ กบั แมลง มีการรับรู้และการตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ แตกตา่ งกัน อย่างไร ( มีการรบั รแู้ ละตอบสนองแตกตา่ งกัน คอื ปมประสาทของพลานาเรียอยู่ทส่ี ว่ นหัว ดงั นั้น การรบั รู้และการสั่งงานให้เกดิ การตอบสนองจะอย่ทู ี่ปมประสาทสว่ นหัว สำหรับไสเ้ ดอื นดินกบั แมลงมีปมประสาท อย่ตู ามแนวกลางลำตัวแต่ละปมประสาทมีเส้นประสาทเชื่อมโยงกนั ดังน้ันการรับรู้และการสง่ั งานจึงออกจาก ปมประสาทไปยงั หนว่ ยปฏิบตั ิงานได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ) 3.4 นักเรยี นท้งั หมดร่วมกนั สรปุ ผลจากการสบื ค้นและศึกษาการตอบสนองของสงิ่ มชี วี ิตเซลล์เดยี ว และสตั วบ์ างชนิด กจิ กรรมรวบยอด 4) ขั้นขยายความรู้ 4.1 นักเรยี นแต่ละกลุม่ เสนอแนวคิดในการนำความเข้าใจเก่ียวกับการตอบสนองของส่ิงมีชวี ติ เซลล์ เดยี วและสตั วบ์ างชนิดไปใชป้ ระโยชน์ 4.2 นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ เสนอแนวคิดในการแกป้ ญั หาโจทย์เกย่ี วกบั การตอบสนองของสงิ่ มชี ีวติ เซลล์เดียวและสัตวบ์ างชนดิ 4.3 นกั เรียนแต่ละกล่มุ รว่ มกันสรุปเชื่อมโยงความคิดเกย่ี วกบั การตอบสนองของสิ่งมีชีวิตเซลล์ เดียวและสตั ว์บางชนิด
5) ข้นั ประเมินผล 5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนยอ้ นกลับไปอ่านบันทึกประสบการณเ์ ดมิ ส่ิงที่ต้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามทต่ี ัง้ เป้าหมายครบถว้ นหรอื ไม่เพยี งใด ถ้ายังไม่ครบถว้ นจะทำอย่างไรตอ่ ไป (อาจสอบถามให้ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ สอบถามใหเ้ พ่ือนอธิบาย หรอื วางแผนสืบค้นเพิ่มเติม) 5.2 ครูใหค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคะแนนจิตวทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน สมุดบนั ทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมูลไม่เพยี งพอใช้วธิ สี ัมภาษณเ์ พิ่มเติม กิจกรรมนำสู่การเรยี น 1) ขน้ั สร้างความสนใจ 1.1 ใหน้ กั เรยี นสังเกตการตอบสนองของเพ่อื นเมอื่ ใช้น้วิ จี้ส่วนของร่างกาย 1.2 นกั เรียนทง้ั หมดร่วมกันยกตัวอยา่ งการตอบสนองต่อสิง่ เร้าของคน รว่ มกันอภปิ รายถึงกลไก ในการตอบสนองและโครงสร้างของเซลล์ประสาทท่ที ำหนา้ ที่ตอบสนอง รวมท้ังผลท่ีเกิดข้ึนกับมนุษย์และ การนำไปใช้ประโยชน์ 1.3 ให้นักเรยี นร่วมกันตั้งคำถามเก่ยี วกบั ส่ิงทต่ี ้องการรู้ จากเนอ้ื หาทเี่ ก่ียวกับเร่ืองเซลล์ประสาท กจิ กรรมพัฒนาการเรียนรู้ 2) ข้ันสำรวจและคน้ หา 2.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรยี นศกึ ษารปู ร่างลกั ษณะของเซลล์ประสาทเปรยี บเทียบกบั เซลล์อ่ืน ๆ ท่รี ักเรียนไดศ้ ึกษามาแลว้ 2.2 แบง่ นกั เรยี นเปน็ กลุม่ ละ 7 คน นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสบื ค้นและศกึ ษาเซลล์ประสาท 2.3 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มอภปิ รายรว่ มกนั โดยใช้คำถามจากหนงั สอื เรียน 3) ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ 3.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการสืบคน้ และศึกษาเกีย่ วกับเซลล์ประสาท 3.2 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ได้ผลการสืบคน้ และผลการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด 3.3 ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภิปรายเกย่ี วกับคำถาม ดังนี้ -รปู ร่างของเซลล์ประสาทมลี ักษณะเหมือนหรือแตกต่างจากเซลล์อ่ืน ๆ ของร่างกาย อยา่ งไร (รปู ร่างของเซลล์ประสาทแตกต่างจากเซลล์อนื่ ๆ ของร่างกาย คือ เซลล์ประสาทมีเส้นใยประสาท ยน่ื ออกจากตวั เซลล์ แตเ่ ซลล์ประสาทมโี ครงสรา้ งพนื้ ฐานเหมอื นกบั เซลล์รา่ งกายอ่ืน ๆ เช่น มเี ย่ือหุ้มเซลล์ ไซโตพลาซึม นวิ เคลยี ส ไมโทคอนเดรยี เป็นตน้ ) - รปู รา่ งของเซลล์ประสาทเหมาะสมกบั หน้าท่ีการทำงานอยา่ งไร ( การทเี่ ซลล์ประสาทมีเส้นใยประสารทแยกออกมาจากตัวเซลล์ จงึ เหมาะสมในการรับ และสง่ กระแสประสาทไปยงั เซลล์ประสาทอ่ืน และเซลล์อืน่ ๆ ท่อี ยูห่ า่ งไกลออกไป ) กิจกรรมรวบยอด 4) ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้นกั เรยี นสบื ค้นขอ้ มูลเกยี่ วกับการเกดิ เยื่อไมอลี นิ และความสำคัญของเซลล์ค้ำจุน เชน่ เซลล์ชวันน์ เพ่ือใหน้ ักเรียนเห็นความสำคญั 4.2 ครูใหค้ วามรเู้ พ่ิมเติมกบั นักเรียนเกี่ยวกบั การเกิดเย่อื ไมอีลินหุ้มแอกซอน ตามแนวคิดของ นกั วิทยาศาสตร์
4.3 ครูกระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นเกิดความสงสยั โดยใช้แนวคำถาม ดังนี้ - เสน้ ใยประสาทใดที่มเี ยอ่ื ไมอลี นิ หุ้ม และเส้นใยประสาทใดไมม่ เี ยื่อไมอลี นิ หุ้ม ( เสน้ ใยประสาทท่ีมเี ย่ือไมอีลินหุ้มเป็นเส้นใยประสาททย่ี าว เชน่ แอกซอนของเซลล์ ประสาทสงั่ การ สว่ นเสน้ ใยประสาทที่ไม่มีเย่ือไมอีลนิ หุ้มเปน็ เส้นใยประสาททีส่ ้นั เชน่ เดนไดรท์ และแอกซอนของ เซลล์ประสาทประสานงาน) 5) ข้ันประเมินผล 5.1 ใหน้ กั เรียนแตล่ ะคนย้อนกลบั ไปอา่ นบันทึกประสบการณ์เดมิ ส่งิ ท่ตี ้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบว่าได้เรยี นรู้ตามทีต่ ้ังเป้าหมายครบถ้วนหรอื ไมเ่ พยี งใด ถ้ายังไม่ครบถว้ นจะทำอยา่ งไรตอ่ ไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธบิ ายเพ่ิมเตมิ สอบถามให้เพื่อนอธิบาย หรอื วางแผนสบื ค้นเพิ่มเติม) 5.2 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน สมุดบนั ทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมูลไมเ่ พียงพอใช้วธิ สี ัมภาษณเ์ พิ่มเติม 9. สอ่ื การเรียนร/ู้ แหล่งเรียนรู้ 9.1 หนงั สอื เรียนรายวิชาเพ่ิมเติม ชวี วิทยา เลม่ 5 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6 9.2 ภาพลกั ษณะของเซลล์ประสาทเปรียบเทียบกับเซลล์ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย 9.3 สอ่ื คลิปวดี ีโอเกี่ยวกบั การรับรแู้ ละการตอบสนองของส่ิงมชี ีวิตเซลล์เดยี ว และสตั ว์บางชนิด 9.4 สือ่ นำเสนอ Power Point แสดงเกี่ยวกบั โครงสร้างและสว่ นประกอบของเซลล์ประสาท 9.5 แบบบนั ทึกกิจกรรม เรื่องเซลล์ประสาท/ ใบงาน 9.6 ใบงาน เร่อื งการวิเคราะห์หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงทีน่ ำมาใชใ้ นกระบวนการเรยี นรู้ 9.7 หอ้ งสมดุ 9.8 ฐานข้อมลู จาก internet/ สอ่ื การเรยี นการสอน DLIT 9.9 Google classroom 10. การวดั และประเมนิ ผล 10.1 วธิ วี ดั และประเมนิ ผล 1) ให้นักเรยี นทำแบบทดสอบอตั นยั 4 ข้อ 2) ครูใหค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากข้อมูลไม่เพยี งพอใช้วธิ สี มั ภาษณเ์ พ่ิมเตมิ 10.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล 1) ขอ้ สอบปรนัย จำนวน 10 ขอ้ 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3) แบบประเมินจติ วิทยาศาสตร์ 10.3 เกณฑก์ ารประเมิน 1) ขอ้ สอบปรนัย ได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 75 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 75 3) แบบประเมนิ จติ วทิ ยาศาสตร์ ได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 75
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 2 หน่วยการเรียนรู้ เรอ่ื ง ระบบประสาทและอวัยวะรบั ความรู้สึก วิชา ชีววิทยา 5 (ว33250) ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 เรอื่ ง โครงสร้างและการทำงานของเซลล์ประสาท เวลา 2 คาบ ครูผสู้ อน นางสาวศรอี ุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. ผลการเรยี นรู้ 1. สืบคน้ และอภปิ รายเกี่ยวกับโครงสรา้ งของระบบประสาท 2. อธบิ ายโครงสรา้ งของระบบประสาท 3. จำแนกและสร้างเกณฑ์ของโครงสรา้ งของระบบประสาท 4. นำความรู้เรือ่ งโครงสรา้ งของระบบประสาทไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจำวนั 5. ประเมินความสำคัญของโครงสรา้ งของระบบประสาท 6. มีจิตวิทยาศาสตร์ 2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด ระบบประสาทของคนและสตั วม์ ีกระดูกสันหลงั จดั เป็นระบบประสาทท่ีเจริญมากที่สดุ เม่ือจำแนกตาม ตำแหนง่ และโครงสรา้ ง สามารถแบง่ ออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบประสาทสว่ นกลาง และระบบประสาทรอบนอก ระบบประสาทสว่ นกลาง ประกอบด้วย สมองและไขสนั หลัง ทำหนา้ ทเี่ ป็นศนู ย์ควบคมุ ระบบประสาท โดยเจรญิ มาจากท่อประสาทด้านหลังของลำตวั ทีเ่ ปลยี่ นแปลงมาจากเนื้อเยื่อช้นั เอกโทเดิร์ม ด้านหนา้ พองออกเปน็ สว่ นของสมอง ประกอบดว้ ยสมองส่วนหน้า สมองสว่ นกลาง และสมองส่วนหลัง สำหรับสว่ นท้ายเปลย่ี นแปลงไป เป็นไขสนั หลัง ทง้ั สมองและไขสนั หลังถูกห่อหมุ้ ดว้ ยเยื่อหุ้ม ระบบประสาทรอบนอก ประกอบด้วย เส้นประสาทสมอง และเสน้ ประสาทไขสนั หลงั ทำหน้าท่ีเชอื่ มโยง ระหว่างหนว่ ยรบั ความรู้สึก ระบบประสาทสว่ นกลาง และหนว่ ยปฏิบัติงาน โดยการควบคุมการทำงานของกล้ามเน้ือ ลายทยี่ ดึ ตดิ กบั กระดูกใหเ้ คล่ือนไหวหรือทรงตัวไดต้ ามต้องการ 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เพ่ือใหน้ กั เรยี นสามารถ 3.1 ดา้ นความรู้ (K) 1) อภิปราย และอธิบายโครงสร้างและหน้าที่สำคัญของสมองส่วนต่าง ๆ 2) อธิบายชนดิ และหนา้ ที่ของเส้นประสาทสมอง 3) อภิปราย และอธิบายโครงสร้างและหนา้ ที่ของไขสนั หลงั 3.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) เขียนแผนผังแสดงทศิ ทางของกระแสประสาทที่เขา้ และออกจากไขสันหลงั โดยอาศยั ขอ้ มลู จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ได้ 3.3 คณุ ลกั ษณะ (A) 1) มคี วามใฝเ่ รยี นรู้ 2) การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อ่ืน และทำงานร่วมกบั ผู้อนื่ อย่างสรา้ งสรรค์ 3) ตรงตอ่ เวลาในการปฏิบัติกจิ กรรมและการเขา้ ชัน้ เรยี น
4. สาระการเรียนรู้ สมอง (brain) เป็นอวยั วะที่ทำหนา้ ทีเ่ ก่ยี วกบั ความคิด ความจำ ความฉลาด ควบคุมการรบั รู้ การตอบสนอง เปน็ ทร่ี วมของเซลลป์ ระสาทจากอวยั วะตา่ ง ๆ เนอ้ื สมองประกอบดว้ ย เนอื้ สเี ทาอยชู่ น้ั นอก ช้ันใน เป็นเนอื้ สขี าว และเซลล์ประสาทส่วนใหญซ่ ึง่ เป็นเซลลป์ ระสานงาน แบ่งได้เปน็ สมองสว่ นหนา้ สมองสว่ นกลาง และสมองส่วนหลงั โครงสรา้ งและหน้าที่ของสมองประกอบด้วยสว่ นต่าง ๆ ดงั น้ี 1) สมองส่วนหน้า 1.1) Olfactory bulb เก่ียวกับการดมกลน่ิ 1.2) Cerebrum เก่ยี วกบั ความคิด ความจำ ปัญญา การพดู ภาษา ประสาทสัมผสั ท้ังหา้ อารมณ์ ความรสู้ กึ บุคลิกภาพ และการทำงานของกลา้ มเนื้อหรือการเคลอ่ื นไหว 1.3) Hypothalamus การรกั ษาดุลยภาพของร่างกาย ควบคุมอุณหภมู ิ การเต้นของหวั ใจ ความดนั เลือด ความต้องการพืน้ ฐาน ทำงานรว่ มกบั ต่อมไพเนียล 1.4) Thalamus เปน็ ศูนยร์ วบรวมกระแสประสาททผ่ี า่ นเข้าออก แล้วแยกไปท่ีสมองสว่ นตา่ ง ๆ กอ่ นจะแยกไปหาสมองสว่ น cerebrum ตอ้ งผา่ นทน่ี ่ีก่อนเสมอ 2) สมองส่วนกลาง หรือ optic lobe เก่ยี วขอ้ งกบั reflex ของนยั น์ตา และการได้ยิน 3) สมองสว่ นหลงั 3.1) cerebellum ประสานการเคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย การทรงตัว ความเที่ยงตรง ความประณีต 3.2) pons ควบคมุ การหายใจ การเค้ียว การหล่งั น้ำลาย และการเคลื่อนไหวของใบหน้า 3.3) medulla oblongata เปน็ ทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างสมองและไขสนั หลัง ศนู ย์ ควบคุมระบบประสาทอัตโนวัติ การหายใจ การทำงานของหวั ใจ การหมุนเวยี นเลือด และเป็นศนู ย์กลาง reflex บางชนิด เช่น ไอ จาม กลืน อาเจียน กา้ นสมอง (brain stem) ประกอบดว้ ย สมองส่วนกลาง pons และ medulla oblongata หากกา้ นสมองถูกทำลายจะส่งผลถึงชวี ติ เพราะเปน็ ศนู ย์ควบคุมการหายใจ ความดันเลือด อณุ หภมู ิของร่างกาย การหลง่ั เอนไซม์ รวมถึงความรสู้ ึกตนื่ ตวั และมีสติ 5. สมรรถนะสำคัญ 5.1 ความสามารถในการส่อื สาร 5.2 ความสามารถในการคดิ - ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ - ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต - กระบวนการทำงานกลมุ่ 6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 6.1 มวี ินยั 6.2 ใฝ่เรยี นรู้ 6.3 มงุ่ ม่ันในการทำงาน 6.4 มจี ิตสาธารณะ
7. ภาระงาน/ช้ินงาน 7.1 ภาระงาน - สืบค้นข้อมลู จากใบความรู้ สือ่ และแหล่งเรยี นรู้ - สืบค้นขอ้ มูลเพม่ิ เติมเกยี่ วกับโรคและความผิดปกตทิ เ่ี กดิ ข้นึ กบั สมอง - บันทึกผลในแบบบนั ทึกกิจกรรม เรอ่ื ง โครงสร้างและหน้าที่ของสมอง - บันทกึ ผลในแบบบันทึกกิจกรรม เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าทขี่ องไขสันหลงั 7.2 ชิน้ งาน - ออกแบบชิ้นงาน จัดป้ายนเิ ทศ - แบบบนั ทึกกจิ กรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของสมอง - แบบบนั ทกึ กิจกรรม เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าท่ขี องไขสันหลงั 8. กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมนำสกู่ ารเรยี น (คาบที่ 1-3) โครงสรา้ งและหน้าที่ของสมอง 1) ขนั้ สรา้ งความสนใจ 1.1 ครใู ห้นักเรยี นสงั เกตโมเดลสมองของคนท่ีแบ่งออกเป็นส่วนตา่ ง ๆ 1.2 ครูสมุ่ หยบิ ชนิ้ สว่ นของสมองและถามนักเรียนเกย่ี วกับสว่ นตา่ ง ๆ ของสมองวา่ คือส่วนใด และมหี น้าทีส่ ำคญั อยา่ งไร กิจกรรมพฒั นาการเรียนรู้ 2) ขน้ั สำรวจและคน้ หา 2.1 ครนู ำเขา้ สู่บทเรียนโดยใช้ภาพจากหนงั สอื เรยี นซง่ึ แสดงการพฒั นาของสมองและไขสันหลงั ของสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั ขณะเปน็ เอ็มบรโิ อ 2.2 ครูชีแ้ นะให้นักเรียนเห็นถึงการพัฒนาของสมอง แบ่งเป็น 3 ส่วน คอื สมองสว่ นหนา้ สมองส่วนกลาง และสมองสว่ นหลัง 2.3 ครใู ห้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มศึกษา และสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกบั โครงสร้างและหน้าทขี่ องสมอง สว่ นตา่ ง ๆ รวมถงึ กรณีศึกษาเกย่ี วกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบท่ีมสี าเหตุเกดิ จากเชื้อจลุ นิ ทรยี ์ต่าง ๆ 3) ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรุป 3.1 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายประเดน็ คำถามจากหนงั สอื ดังนี้ - ถ้าทางเดินของน้ำเลย้ี งสมองและไขสนั หลังอดุ ตนั จะเกิดผลเสียต่อรา่ งกายอยา่ งไร ( ถ้าเกดิ การอุดตนั ทางเดนิ ของน้ำเลยี้ งสมองและไขสันหลัง จะทำใหเ้ กิดภาวะน้ำค่งั ในสมอง น้ำนไี้ ม่สามารถ ไหลเวยี นไดส้ ะดวก ทำให้ความดนั ในสมองสงู ข้ึน หากเกดิ ในวยั เด็กน้ำเล้ยี งสมองและไขสนั หลังจะกดสมองทำให้ เจริญไม่เต็มท่ี และดนั กะโหลกให้ขยายขน้ึ เป็นเด็กหวั โต หากไม่เจาะเอาน้ำออกจะอยู่ได้ไม่นาน หากเกิดในวัยผู้ใหญ่ ศรี ษะจะไมโ่ ตข้นึ จากปกติ แต่จะเพ่ิมความดันในสมองทำให้ปวดศีรษะมาก ) - ถา้ สมองขาดเลือดในเวลา 5 นาที จะเกดิ ผลอยา่ งไร ( เซลล์ประสาทในสมองมีเมทาบอลิซมึ สงู จงึ ต้องการแกส๊ ออกซเิ จนจากเลือด ปรมิ าณมาก หากสมองขาดเลือดจะทา้ ใหเ้ ซลล์สมองตาย มีผลตอ่ การรับรู้และการสั่งการของสมอง ) - ถา้ เกดิ ตะกอนหรือลิ่มเลือดของหลอดเลอื ดในสมอง จะเกิดผลอยา่ งไร ( เลือดไปล้ียงสมองไม่ได้ เซลล์สมองในส่วนท่ีเกิดตะกอนหรอื ลม่ิ เลือดของหลอด เลือดจะขาดอาหารและแก๊สออกซเิ จน )
3.2 ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาภาพ แสดงววิ ัฒนาการสมองของสัตวม์ ีกระดูกสันหลัง เพื่อเปรียบเทียบ และสังเกต การเจรญิ ของสมองแตล่ ะสว่ นของสตั ว์แต่ละชนิด พร้อมใหน้ กั เรยี นวิเคราะห์จากข้อมลู ทป่ี รากฏ 3.3 ครูใหน้ ักเรยี นศึกษาวิวัฒนาการสมองของสตั ว์ ตัง้ แต่ปลาจนถึงสตั วเ์ ล้ียงลกู ด้วยน้ำนม จากนัน้ ร่วมกันอภปิ รายในประเดน็ คำถาม ดังน้ี - ปลามีสมองส่วนใดเจรญิ ดสี ุด ( สมองสว่ นกลาง หรือ optic lobe ) - สัตวเ์ ลยี้ งลกู ด้วยน้ำนม มีการพัฒนาของสมองส่วนใดมากกวา่ สตั วใ์ นกล่มุ อ่นื ๆ มากที่สดุ และสมองสว่ นนี้มคี วามสำคัญอย่างไร ( สมองส่วนหน้า มคี วามสำคัญเกยี่ วกับการเรยี นรู้ ทำให้มีความฉลาดข้ึน ) - สตั วท์ ่มี วี ิวฒั นาการสงู ขึ้น สมองมีพัฒนาการแตกต่างไปจากสตั ว์ที่มวี วิ ฒั นาการต่ำกวา่ อยา่ งไร ( การมสี มองส่วนหนา้ และสมองสว่ นหลงั พัฒนาดีกว่า และสมองสว่ นกลางมีการพัฒนา นอ้ ยกวา่ ) 4) ขัน้ ขยายความรู้ 4.1 ครูให้ข้อมูลเพิ่มเตมิ เก่ยี วกบั สารพิษต่าง ๆ ที่กอ่ ให้เกดิ อันตรายต่อสมอง 4.2 ครูเนน้ ย้ำใหน้ ักเรียนตระหนกั ถงึ อนั ตราย และหลีกเลีย่ งสารพษิ ตา่ ง ๆ การดมื่ สุรา ซ่ึงจะส่งผล ทำให้เซลลป์ ระสาทในสมองตาย ** สำหรับในเรอื่ งของแอลกอฮอล์ที่มีผลต่อการทำงานของสมอง ครูให้ความรเู้ พิม่ เติมเกี่ยวกับผลของ ความเขม้ ขน้ ของแอลกอฮอล์ในเลอื ดที่มีผลต่อสมองในรปู ของตาราง 4.3 ครูมอบหมายงานใหน้ ักเรียนสืบคน้ ขอ้ มลู เพม่ิ เติมเก่ยี วกับความผดิ ปกติของสมองและไขสนั หลงั เช่น อลั ไซเมอร์ โรคลมชัก เปน็ ต้น เพอื่ รวบรวมและจัดป้ายนเิ ทศ
5) ขั้นประเมนิ ผล 5.1 ให้นกั เรียนแตล่ ะคนย้อนกลบั ไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดมิ สง่ิ ท่ีต้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แลว้ ตรวจสอบวา่ ได้เรยี นรตู้ ามทตี่ ้งั เป้าหมายครบถ้วนหรือไมเ่ พยี งใด ถา้ ยังไม่ครบถว้ นจะทาอยา่ งไรตอ่ ไป (อาจสอบถามให้ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ สอบถามให้เพื่อนอธบิ าย หรือวางแผนสบื ค้นเพ่ิมเติม) 5.2 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ ให้คะแนน สมุดบันทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากขอ้ มูลไม่เพียงพอใชว้ ธิ ีสัมภาษณ์เพิ่มเตมิ กิจกรรมนำสกู่ ารเรียน (คาบท่ี 4-6) โครงสร้างและหนา้ ที่ของไขสนั หลงั 1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ 1.1 ครูใหน้ ักเรยี นสงั เกตดู โมเดลโครงกระดูกท่ีประกอบด้วยเสน้ ประสาทท่วั ร่างกายของมนุษย์ 1.2 ครเู ปิดโอกาสให้นักเรยี นคดิ หาเหตผุ ลมาประกอบการอภิปราย และนำเข้าสูก่ ารสบื ค้นขอ้ มลู เพื่อศึกษาเกยี่ วกบั ไขสนั หลงั กจิ กรรมพัฒนาการเรียนรู้ 2) ขนั้ สำรวจและค้นหา 2.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยใหน้ กั เรยี นศกึ ษาภาพรวมจากหนังสอื เรียนเกย่ี วกับไขสนั หลัง และเส้นประสาทไขสนั หลังรวมทงั้ ตำแหน่งท่อี ยู่ภายในกระดกู ไขสันหลังซึง่ ทอดยาวมาสุดตรงบรเิ วณกระดกู สนั หลัง สว่ นเอวขอ้ ที่ 2 2.2 ครใู หน้ ักเรียนศึกษาภาพโครงสร้างภาพตดั ขวางของไขสนั หลังและเส้นประสาทไขสันหลงั ท่ี แยกออกจากไขสันหลงั โดยให้นักเรียนร่วมกนั พิจารณาถึงบริเวณของเน้ือไขสันหลัง สว่ นประกอบ รากบน รากล่าง แยกออกมาไดอ้ ย่างไร และควรให้นักเรียนสังเกตทีร่ ากบนว่ามปี มประสาท 2.3 ครใู หน้ ักเรียนศึกษาเก่ยี วกับการทดลองส่งกระแสประสาทของเสน้ ประสาทไขสันหลังของกบ 3) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป 3.1 ครูและนักเรียนรว่ มกันอภปิ รายในประเด็นคาถาม ดงั นี้ - เพราะเหตุใดการฉีดยาเข้าท่ีไขสันหลังบรเิ วณท่ตี ่ำกวา่ กระดูกสนั หลงั บริเวณเอวข้อท่ี 2 ลงไปจึงมีอนั ตรายน้อยกวา่ บริเวณอ่ืน ( เพราะบรเิ วณดังกล่าวไมม่ ีตัวเซลลป์ ระสาท มีแต่เสน้ ใยประสาท ) - จากการทดลองส่งกระแสประสาทของเส้นประสาทไขสันหลงั ของกบ จะสรุปผลการ ทดลองนี้อย่างไร ( นกั เรยี นสามารถสรปุ ผลการทดลองได้ ดังนี้ 1. เม่อื ใชเ้ ขม็ แทงทีข่ าหลงั กบ ปรากฏว่ากบหดขาหนี แสดงวา่ กบสามารถรับความรสู้ ึก ที่ถกู เขม็ แทง และตอบสนองความร้สู กึ ได้ โดยไมผ่ ่านการควบคมุ จากสมอง 2. เมอ่ื ตดั รากลา่ งของเสน้ ประสาทไขสนั หลงั แลว้ เอาเข็มแทงที่ขาหลัง พบวา่ กบไมห่ ดขา หนี แตถ่ ้าเอาเขม็ เข่ยี ท่เี สน้ ประสาทไขสันหลงั ตรงจดุ ท่ีถูกตัด จดุ ที่ 2 ปรากฏว่ากบกระตุกขาได้ แสดงว่ารากลา่ ง มหี นา้ ทนี่ ำกระแสประสาทจากไขสันหลงั แล้วสง่ ไปยงั หนว่ ยปฏบิ ัตงิ านคอื บรเิ วณท่มี ีการตอบสนอง 3. เมอื่ ตดั รากบนของเสน้ ประสาทไขสนั หลงั แลว้ เอาเข็มแทงที่ขาหลงั พบว่า กบไม่หดขาหนี แต่ถา้ เอาเขม็ แทงตรงจดุ ที่ถูกตัด จดุ ท่ี 3 ปรากฏวา่ กบกระตกุ ขาได้ แสดงว่ารากบนมหี นา้ ท่ี นำกระแสประสาทจากหน่วยรบั ความร้สู ึกเข้าสู่ไขสันหลงั
4. เมื่อใชเ้ ขม็ แทง (สง่ิ เร้า) ทีผ่ ิวหนังบริเวณขากบ (หนว่ ยรับความรูส้ กึ ) จะเกิดกระแส ประสาทเคล่ือนไปยังรากบนเขา้ ส่ไู ขสนั หลังแล้วผา่ นรากล่างไปยงั เส้นประสาทไขสนั หลงั และกระต้นุ ให้กลา้ มเน้อื ขากบ (หน่วยปฏิบตั ิงาน) หดตัวทำให้กบหดขาหนี ) - จงเขยี นแผนผังแสดงทศิ ทางการเคลือ่ นทข่ี องกระแสประสาทของกบ - เส้นประสาทสมองคู่ใดบา้ งเปน็ เสน้ ประสาทรบั ความรสู้ ึก คูใ่ ดบ้างเป็นเส้นประสาทส่ังการ และค่ใู ดบา้ งท่เี ป็นเสน้ ประสาทผสม ( เส้นประสาทสมองทเี่ ป็นเสน้ ประสาทรับความร้สู ึก คือ คู่ที่ 1 2 และ 8 เสน้ ประสาท สมองท่ีเปน็ เสน้ ประสาทสงั่ การ คือคูท่ ี่ 3 4 6 11 และ 12 เสน้ ประสาทสมองท่เี ป็นเสน้ ประสาทผสม คือคู่ท่ี 5 7 9 และ 10 ) - ขณะอ่านหนังสอื เส้นประสาทคใู่ ดบา้ งทีท่ ำงานเกีย่ วข้องโดยตรง ( เส้นประสาทสมองคู่ท่ี 2 3 4 และ 6 ) - การรับรสอาหารเป็นหนา้ ท่ีของเส้นประสาทสมองคู่ใด ( เสน้ ประสาทสมองคู่ที่ 7 และ 9 ) - จากแผนผงั แสดงทิศทางการเคล่อื นท่ีของกระแสประสาทเข้าและออกจากไขสันหลัง สามารถ ประมวลหนา้ ท่ีและความสำคัญของไขสันหลงั ไดอ้ ย่างไร ( ไขสนั หลังเป็นบรเิ วณท่ีประกอบดว้ ยเซลลป์ ระสาท และเส้นใยประสาทไขสันหลังมี หน้าท่ีท้ังรับความรสู้ ึกและสง่ั การ เชน่ รบั ความรสู้ กึ จากหน่วยรับความรสู้ กึ สงั่ การใหห้ น่วยปฏบิ ตั ิงานทำงาน และ ไขสนั หลงั เปน็ ทางผ่านของกระแสประสาท ระหว่างหนว่ ยรบั ความรสู้ กึ กบั สมอง และสมองกับหน่วยปฏิบตั งิ าน ) - หากเซลลป์ ระสาทในไขสนั หลงั ถูกทำลาย จะมผี ลตอ่ ร่างกายอย่างไร ( มผี ลทำใหห้ นว่ ยปฏิบตั งิ านในสว่ นนน้ั ไมส่ ามารถตอบสนองได้ ) - เสน้ ประสาทไขสนั หลังเป็นเส้นประสาทรับความรู้สึก หรือเส้นประสาทส่ังการ หรือเส้นประสาท ผสม ( เสน้ ประสาทผสม ) 4) ข้นั ขยายความรู้ 4.1 นกั เรียนแต่ละกลุ่มเสนอแนวคดิ ในการนำความเขา้ ใจเก่ียวกับโครงสร้างของระบบประสาทไป ใช้ประโยชน์ 4.2 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันสรุปเกยี่ วกบั โครงสร้างของระบบประสาท
5) ขน้ั ประเมินผล 5.1 ให้นกั เรียนแตล่ ะคนยอ้ นกลับไปอา่ นบันทึกประสบการณเ์ ดมิ สง่ิ ท่ตี ้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แลว้ ตรวจสอบวา่ ได้เรยี นร้ตู ามทตี่ ัง้ เป้าหมายครบถว้ นหรือไมเ่ พียงใด ถ้ายังไม่ครบถว้ นจะทาอยา่ งไรตอ่ ไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธบิ ายเพ่ิมเติม สอบถามให้เพื่อนอธบิ าย หรอื วางแผนสบื ค้นเพ่ิมเติม) 5.2 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ ใหค้ ะแนน สมุดบนั ทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไม่เพียงพอใชว้ ิธสี ัมภาษณเ์ พิ่มเติม 9. ส่ือการเรยี นร/ู้ แหลง่ เรียนรู้ 9.1 หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเพ่ิมเติม ชีววทิ ยา เลม่ 5 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 9.2 โมเดลสมองของมนุษย์ 9.3 โมเดลโครงกระดูกเพ่ือศึกษาโครงสร้างของระบบประสาทและไขสนั หลงั 9.4 สื่อคลปิ วดิ ีโอประกอบการสอน เรอื่ ง โครงสร้างและหน้าท่ีของสมอง 9.5 สอ่ื คลปิ วิดีโอประกอบการสอน เรอ่ื ง โครงสร้างและหน้าที่ของไขสนั หลัง 9.6 แบบบนั ทกึ กจิ กรรม เร่ือง โครงสร้างและหน้าท่ีของสมอง 9.7 แบบบันทกึ กจิ กรรม เร่ือง โครงสร้างและหน้าท่ีของไขสันหลัง 9.8 หอ้ งสมดุ / ชุมชน 9.9 ฐานข้อมลู internet / สอื่ การเรียนการสอน DLIT 9.10 Google classroom 10. การวดั และประเมนิ ผล 10.1 วธิ วี ดั และประเมนิ ผล 1) ให้นกั เรียนทำแบบทดสอบปรนยั 10 ขอ้ 2) ครูใหค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑก์ าร ใหค้ ะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากข้อมูลไม่เพียงพอใชว้ ธิ ีสมั ภาษณเ์ พ่ิมเตมิ 10.2 เครือ่ งมอื วัดและประเมินผล 1) ขอ้ สอบปรนัย 10 ข้อ 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3) แบบประเมินจิตวทิ ยาศาสตร์ 10.3 เกณฑ์การประเมิน 1) ข้อสอบปรนัย ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 3) แบบประเมนิ จิตวทิ ยาศาสตร์ ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 75
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 3 หนว่ ยการเรยี นรูเ้ ร่ือง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรสู้ กึ วิชา ชีววิทยา 5 (ว33250) ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 เรอื่ ง การทำงานของเซลลป์ ระสาท เวลา 4 คาบ ครูผู้สอน นางสาวศรอี ุดร ล้านสาวงษ์ 1. ผลการเรยี นรู้ 1. สืบค้นข้อมลู สรปุ ข้อมูลการศกึ ษาของนักวิทยาศาสตรเ์ กี่ยวกบั การเคลื่อนทีข่ องกระแสประสาท 2. อธบิ ายการเกดิ และการเคล่ือนทข่ี องกระแสประสาท 3. อธบิ ายถงึ ปัจจยั ทม่ี ีผลต่อการเคลือ่ นที่ของกระแสประสาท 4. นำความร้เู รอ่ื งการถ่ายทอดกระแสประสาทไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวัน 5. ประเมนิ ความสำคญั ของการถา่ ยทอดกระแสประสาทท่ีส่งผลต่อการตอบสนองของส่ิงมชี วี ติ 6. มีจิตวทิ ยาศาสตร์ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เซลลป์ ระสาททำหน้าทีส่ ง่ กระแสประสาท (nerve impulse) ท่เี กดิ ขนึ้ ท้งั ภายในเซลล์ซึง่ เป็นการส่งกระแส ประสาทจากบรเิ วณหนงึ่ ไปยังอกี บริเวณหน่งึ ของเซลล์ หรอื การสง่ กระแสประสาทระหว่างเซลลโ์ ดยกระแสประสาท จะอยูใ่ นรปู ของสัญญาณไฟฟ้าทีเ่ กิดจากการเคล่อื นท่ีของไอออนผา่ นเยือ่ เซลล์ดว้ ยอตั ราทสี่ ม่ำเสมอ และไมม่ ี การสญู หาย การเคล่ือนที่ของกระแสประสาทอาศัยพลงั งานจากกระบวนการเมทาบอลิซึมของเซลลป์ ระสาทโดยตรง กระแสประสาทเกดิ จากสิ่งเรา้ ตา่ ง ๆ มากระตนุ้ ใหห้ น่วยรับความร้สู ึกเปลี่ยนใหเ้ ป็นกระแสประสาท ความตา่ งศักย์ไฟฟ้าระหวา่ งภายในกบั ภายนอกเซลล์เรียกว่า ศกั ย์เย่ือเซลล์ (membrane potential) ทีเ่ กิดจาก ความแตกตา่ งของประจไุ ฟฟ้าด้านในกบั ดา้ นนอกของเย่ือหุ้มเซลล์ ซึง่ การเปลี่ยนแปลงคา่ ความต่างศักย์ไฟฟา้ เรียก แอกชันโพเทนเชยี ล (action potential) หรือกระแสประสาท (nerve impulse) เปน็ กระบวนการ ที่มกี ารเปลย่ี นแปลงทางไฟฟา้ และทางเคมี จัดเป็นปฏกิ ิริยาไฟฟา้ เคมี 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เพ่อื ให้นักเรียนสามารถ 3.1 ดา้ นความรู้ (K) 1) สืบค้นข้อมลู และสรปุ ข้อมูลการศึกษาของนกั วิทยาศาสตรเ์ กย่ี วกับการเคลื่อนทข่ี องกระแส ประสาท 2) สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธบิ ายการเกิดและการเคลื่อนทข่ี องกระแสประสาท 3) สบื ค้นข้อมูล อภปิ ราย และอธบิ ายถึงปัจจยั ท่ีมผี ลต่อการเคล่อื นท่ีของกระแสประสาท 4) สืบค้นข้อมลู และอธบิ ายการถ่ายทอดกระแสประสาทระหวา่ งเซลลป์ ระสาท 3.2 ดา้ นทกั ษะ/ กระบวนการ (P) 1) ทดลองเกี่ยวกับการเกิด และการเคล่ือนที่ของกระแสประสาท 2) ทดลองเกีย่ วกับการถ่ายทอดกระแสประสาทระหวา่ งเซลล์ 3.3 คุณลกั ษณะ (A) 1) มคี วามใฝเ่ รยี นรู้ 2) การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อืน่ และทำงานร่วมกบั ผอู้ ่ืน อยา่ งสร้างสรรค์ 3) ตรงต่อเวลาในการปฏิบัตกิ ิจกรรมและการเข้าช้ันเรยี น
4. สาระการเรียนรู้ กระแสประสาทเกิดจากสิ่งเรา้ ตา่ ง ๆ เช่น เสียง แสง ความรอ้ น สารเคมี มากระตนุ้ ด้วยแรงกระตนุ้ ทีม่ ากพอ จนถงึ ระดบั ทเี่ ซลลส์ ามารถตอบสนองได้ ทำใหห้ น่วยรับความรสู้ กึ เปลย่ี นใหเ้ ป็นกระแสประสาท เกดิ การ เปลยี่ นแปลงประจุไฟฟา้ บรเิ วณที่ถูกกระตุ้น โดยผวิ ดา้ นในของเซลลป์ ระสาทมีการเปลี่ยนแปลงประจุไฟฟา้ เป็นบวก เรียกวา่ ดีโพลาไรเซชนั และเม่อื ระยะทีเ่ ซลลก์ ลบั เขา้ สภู่ าวะปกติ คือภายในเซลล์กลับมามปี ระจุเปน็ ลบ เรยี กว่า รโี พลาไรเซชัน ทำให้เซลลป์ ระสาทสามารถนำกระแสประสาทได้เมือ่ ไดร้ บั การกระตุ้นอีกครงั้ การเปลี่ยนความ ต่างศักย์ซง่ึ เกิดขนึ้ เปน็ วฏั จักร เรยี กวา่ แอกชนั โพเทนเชียล หรือกระแสประสาท ความเร็วในการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทมปี จั จยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ไดแ้ ก่ เยื่อไมอีลนิ ขนาดเส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง ของใยประสาท และระยะห่างของโนดออฟแรนเวียร์ การถา่ ยทอดกระแสประสาทระหวา่ งเซลล์ประสาทจะมีบริเวณที่ปลายแอกซอนของเซลล์ประสาทหนง่ึ ชิด กับเดนไดรทข์ องอกี เซลล์ประสาทหนง่ึ เรยี กว่า ไซแนปส์ ซ่ึงการถ่ายทอดกระแสประสาทระหวา่ งเซลล์ประสาท มี 2 ลักษณะ คือ ไซแนปส์เคมซี ึ่งตอ้ งอาศยั สารสอ่ื ประสาท และทำให้กระแสประสาทเคลอ่ื นทไ่ี ปในทิศทางเดยี ว เทา่ นน้ั สว่ นการถ่ายทอดกระแสประสาทแบบไซแนปส์ไฟฟ้าจะพบในเซลล์ประสาททม่ี ีช่องไซแนปสแ์ คบมาก และ ในกรณที ี่ต้องการสง่ กระแสประสาทอย่างรวดเรว็ ในรปู ของกระแสไฟฟ้าโดยตรง เช่น ไซแนปส์ของเซลล์ประสาทท่ี ก้านสมองของมนุษย์ 5. สมรรถนะสาคญั 5.1 ความสามารถในการส่อื สาร 5.2 ความสามารถในการคิด - ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ - ทักษะการคดิ สร้างสรรค์ 5.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ - กระบวนการทำงานกลมุ่ 6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 6.1 มวี ินัย 6.2 ใฝเ่ รียนรู้ 6.3 มุง่ มั่นในการทางาน 6.4 มจี ิตสาธารณะ 7. ภาระงาน/ชนิ้ งาน 7.1 ภาระงาน - สบื คน้ ข้อมลู จากใบความรู้ ส่อื และแหลง่ เรียนรู้ - ออกแบบการทดลอง - บันทึกผลในแบบบันทึกกจิ กรรม เร่ืองการทำงานของเซลล์ประสาท - บันทึกผลในแบบบนั ทึกกจิ กรรม เร่ืองการถา่ ยทอดกระแสประสาทระหว่างเซลลป์ ระสาท 7.2 ชิน้ งาน - ออกแบบชิ้นงาน จัดนทิ รรศการ - แบบบนั ทึกกิจกรรม เรอื่ งการทำงานของเซลลป์ ระสาท - แบบบนั ทกึ กิจกรรม เรื่องการถ่ายทอดกระแสประสาทระหวา่ งเซลล์ประสาท
8. กิจกรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมนำสกู่ ารเรียน (คาบที่ 1-2) 1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ 1.1 ครนู ำเขา้ สู่บทเรยี นโดยใช้คำถามกระตุ้น ดังนี้ - กระแสประสาทเกดิ ข้ึนได้อย่างไร - กระแสประสาทเคล่อื นทไี่ ปตามเซลล์ประสาทได้อยา่ งไร 1.2 ครูทบทวนเกย่ี วกับโครงสรา้ งและหน้าท่ีของเซลล์ประสาท รวมถงึ ความสำคญั ของเย่ือหมุ้ ไมอลี ินทมี่ ีต่อการขนสง่ กระแสประสาท กิจกรรมพฒั นาการเรียนรู้ 2) ข้นั สำรวจและคน้ หา 2.1 ครนู ำเข้าสบู่ ทเรยี นโดยนำเสนอการทดลองของ A.L. Hodgkin และ A.F. Huxley เพื่อแสดง ให้เห็นวา่ ผวิ ด้านนอกและดา้ นในของเย่อื หุ้มเซลลป์ ระสาทมีศักย์ไฟฟา้ แตกตา่ งกันสามารถวดั ค่าความต่างศักยไ์ ฟฟ้า ได้โดยเครอ่ื งมือวัดคา่ ความต่างศกั ย์ไฟฟ้า ซง่ึ นำความร้จู ากการทดลองนีม้ าอธบิ ายการเคลื่อนทข่ี องกระแสประสาท ในเซลล์ประสาทเมื่อถูกกระตุ้นดว้ ยสงิ่ เรา้ 2.2 ครูแบง่ กล่มุ ใหน้ กั เรยี นสืบคน้ และศึกษาเก่ียวกับการเกิดกระแสประสาท 3) ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ 3.1 ครูใช้คำถามเพื่อให้นักเรียนอภิปรายว่าความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ระหว่างภายในกบั ภายนอกเซลล์ ประสาทของสิ่งมชี วี ิตมีค่าเท่ากนั หรอื ไม่ 3.2 ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายเก่ยี วกบั คำถาม ดังน้ี - ถา้ เซลลป์ ระสาทไม่มกี ารขับ Na+ ออกจากเซลลแ์ ละดึง K+ เข้าสเู่ ซลลใ์ หม่ จะเกดิ อะไรขน้ึ ( เซลล์ประสาทจะไมเ่ ขา้ สู่ระยะพัก resting stage ) - เยื่อไมอิลินเกยี่ วข้องกับความเร็วของกระแสประสาทหรือไม่ อย่างไร ( เก่ยี วขอ้ ง โดยเสน้ ประสาทในส่วนของแอกซอนท่ีมีเยื่อไมอลี ินหุ้ม การเคล่ือนที่ ของกระแสประสาทจะเกดิ ขน้ึ แบบกระโดด saltatory conduction ทำให้กระแสประสาทเคล่ือนผ่านใยประสาท ดว้ ยความเรว็ สงู กว่าใยประสาทท่ีไม่มีเยื่อไมอีลินหมุ้ ) - ยงั มีปจั จัยอื่นใดอกี ท่ีมผี ลตอ่ ความเรว็ ของกระแสประสาทไปตามใยประสาทท่ีไม่มี เยื่อไมอลิ ินหุ้ม ( ปัจจยั สำคัญทส่ี ง่ ผลต่อความเร็วในการเคลื่อนทีข่ องกระแสประสาท ไดแ้ ก่ ขนาดเสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง ของใยประสาท ย่ิงมีเส้นผ่านศนู ย์กลางขนาดใหญ่ กระแสประสาทจะเคล่อื นท่ไี ด้เร็วกว่าใยประสาททท่มี ีเสน้ ผา่ น ศนู ยก์ ลางขนาดเลก็ ) กจิ กรรมรวบยอด 4) ขน้ั ขยายความรู้ 4.1 ครูเสริมความรูเ้ กยี่ วกบั การเกิดกระแสประสาท ดงั น้ี - ขนาดเส้นผา่ นศนู ยก์ ลางของเสน้ ใยประสาทมผี ลต่อความเร็วกระแสประสาท โดยเส้นใยประสาท ทม่ี เี สน้ ผ่านศูนย์กลางขนาดใหญจ่ ะนากระแสประสาทได้เร็วกว่าเส้นใยประสาทที่มเี สน้ ผ่านศนู ย์กลางขนาดเล็ก โดยใช้หลกั การทางฟสิ ิกสม์ าเชื่อมโยง - เมอื่ เซลล์ประสาทถกู กระตุ้นถงึ ระดับเทรสโฮลด์จงึ จะเกดิ กระแสประสาท แตถ่ า้ สง่ิ เรา้ นั้น ๆ กระตนุ้ ไม่ถึงระดับเทรสโฮลด์กจ็ ะไมเ่ กิดกระแสประสาทสง่ ผลให้ไมเ่ กดิ การตอบสนอง
4.2 ครใู ห้นักเรยี นสบื คน้ ขอ้ มูลเพิม่ เตมิ ว่าเยื่อไมอลี ินเกี่ยวข้องกับความเรว็ ของกระแสประสาท ได้อย่างไร และให้นกั เรียนนำเสนอเพื่อสรุปเป็นองค์ความรู้ 5) ขนั้ ประเมนิ ผล 5.1 ให้นักเรยี นแตล่ ะคนยอ้ นกลบั ไปอา่ นบันทึกประสบการณ์เดมิ ส่งิ ท่ีต้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบวา่ ได้เรยี นร้ตู ามทีต่ ้งั เป้าหมายครบถว้ นหรอื ไมเ่ พยี งใด ถา้ ยงั ไม่ครบถ้วนจะทำอย่างไรตอ่ ไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธบิ ายเพิ่มเตมิ สอบถามให้เพื่อนอธิบาย หรือวางแผนสบื ค้นเพิ่มเติม) 5.2 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคะแนนจติ วิทยาศาสตร์ จาก เกณฑ์การใหค้ ะแนน สมุดบันทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไม่เพยี งพอใชว้ ธิ ีสมั ภาษณเ์ พิม่ เตมิ กิจกรรมนาสู่การเรยี น (คาบท่ี 3 - 4) 1) ขน้ั สร้างความสนใจ 1.1 ครนู ำเขา้ ส่บู ทเรียนโดยนำเสนอการทดลองของออทโต ลอวิ และใชค้ ำถามกระตุน้ ว่า จากการทดลองดังกล่าวบอกอะไรกับนกั เรยี น 1.2 ครูให้นักเรียนศึกษาภาพในหนงั สือเรียน โดยเนน้ ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจว่า เซลลป์ ระสาทแตล่ ะเซลล์ ไมไ่ ด้เชอ่ื มตดิ กนั กิจกรรมพฒั นาการเรียนรู้ 2) ขน้ั สำรวจและค้นหา 2.1 ครใู ห้นักเรียนศึกษาการปล่อยสารส่ือประสาทออกจากปลายแอกซอนมายงั บรเิ วณไซแนปส์ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดท่เี ดนไดรท์ของอีกเซลล์ประสาทหน่ึง 2.2 ครูชี้แนะว่า การเคลื่อนท่ีของกระแสประสาทเม่อื ถกู กระตุ้นทบี่ รเิ วณอ่นื ที่ไม่ใชเ่ ดนไดรต์ เช่น การกระตุ้นท่ีแอกซอน กระแสประสาทจะเกดิ ข้ึนเชน่ กัน และเคลอื่ นท่ไี ปยังปลายแอกซอนและปลายเดนไดรต์ แตเ่ น่ืองจากปลายเดนไดรต์ไม่มสี ารสอ่ื ประสาท กระแสประสาทจึงข้ามจากเดนไดรตไ์ ปยังอกี เซลลห์ นง่ึ ไมไ่ ด้ 3) ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ 3.1 ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายเกยี่ วกับการสลายตัวของสารส่ือประสาท เช่น แอซิติลโคลนี เม่ือหลงั่ ออกมาจะมีเอนไซม์แอซิตลิ โคลนี เอสเตอเรสมาสลาย และถกู นำไปสังเคราะห์แอซติ ิลโคลนี ขึ้นมาใหม่ สว่ นทีไ่ มต่ ้องการจะถูกลำเลียงไปตามกระแสเลือดเพือ่ ทำการกำจัดตอ่ ไป 3.2 ครูและนักเรียนรว่ มกันอภปิ รายจากคำถาม ดงั น้ี - เมื่อกระแสประสาทเคลอื่ นที่ไปถึงปลายแอกซอนแล้ว กระแสประสาทจะถา่ ยทอดไปสู่อกี เซลล์ หนง่ึ ไดอ้ ย่างไร ( การถา่ ยทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์จะเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ คือ ไซแนปสเ์ คมี ท่ีมกี าร ถ่ายทอดกระแสประสาทโดยอาศยั สารสือ่ ประสาท และการถา่ ยทอดกระแสประสาทแบบไซแนปส์ไฟฟ้าซง่ึ เปน็ การขนสง่ กระแสประสาทในรูปของกระแสไฟฟ้าโดยตรง ) - ถ้าไม่มีการส่งสารสอ่ื ประสาทจากแอกซอนของเซลล์ประสาทก่อนไซแนปสจ์ ะเกดิ กระแส ประสาทขน้ึ ที่เดนไดรตข์ องเซลล์ประสาทหลงั ไซแนปสห์ รือไม่ ( ไมเ่ กดิ กระแสประสาท ) - การท่ีสารส่ือประสาทสร้างเฉพาะท่ปี ลายแอกซอนเทา่ น้ันแตไ่ ม่สรา้ งท่ีปลายเดนไดรต์ จะมีผลต่อ ทศิ ทางการเคลื่อนท่ีของกระแสประสาทอยา่ งไร ( สารสือ่ ประสาทจะมีผลทำใหก้ ระแสประสาทเคล่ือนที่ไปในทิศทางเดียว คอื จากแอกซอนของ เซลลป์ ระสาทหน่ึงไปยงั เดนไดรตข์ องอีกเซลลป์ ระสาทหนงึ่ ทำใหส้ ามารถถ่ายทอดกระแสประสาทไปยังเปา้ หมายได้ - การสลายตัวอย่างรวดเร็วของสารสือ่ ประสาท มีความสำคญั ต่อรา่ งกายอยา่ งไร
( ทำให้เซลลป์ ระสาทกลบั คนื ส่สู ภาวะปกติได้รวดเรว็ ขึน้ พร้อมท่ีจะถ่ายทอดกระแสประสาทครัง้ ตอ่ ไปได้อยา่ งรวดเร็ว ) กิจกรรมรวบยอด 4) ข้นั ขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรูเ้ พ่มิ เติมเก่ียวกับสารส่อื ประสาททีน่ ักเรียนควรรู้จักและความสำคญั ของสารส่ือ ประสาทต่อการขนสง่ กระแสประสาทของสิง่ มชี วี ติ 4.2 ครเู ปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนแตล่ ะกล่มุ เสนอแนวคดิ ในการนำความเขา้ ใจเก่ยี วกับเซลล์ประสาท ไปใชป้ ระโยชน์ 4.3 นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกันสรปุ เชื่อมโยงความคิดเกย่ี วกับเซลลป์ ระสาท และสารส่ือประสาท 5) ขนั้ ประเมนิ ผล 5.1 ใหน้ ักเรยี นแตล่ ะคนยอ้ นกลับไปอา่ นบนั ทึกประสบการณเ์ ดมิ สิง่ ทตี่ ้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบวา่ ได้เรยี นรู้ตามทตี่ ้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพยี งใด ถา้ ยังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไรตอ่ ไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธบิ ายเพิ่มเติม สอบถามให้เพื่อนอธบิ าย หรือวางแผนสืบค้นเพ่ิมเติม) 5.2 ครใู หค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การใหค้ ะแนน สมุดบันทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไมเ่ พยี งพอใชว้ ิธสี มั ภาษณเ์ พ่ิมเตมิ 9. สอ่ื การเรียนร/ู้ แหล่งเรียนรู้ 9.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพิ่มเตมิ ชีววทิ ยา เล่ม 5 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 9.2 สือ่ คลปิ วดิ โี อประกอบการสอนเรือ่ ง การเกดิ กระแสประสาท 9.3 สอ่ื คลิปวดิ โี อประกอบการสอนเรอ่ื ง การถา่ ยทอดกระแสประสาทระหวา่ งเซลล์ และความสำคญั ของ สารสื่อประสาท 9.4 แบบบันทกึ กิจกรรม เร่ืองการทำงานของเซลลป์ ระสาท 9.5 แบบบันทึกกจิ กรรม เรื่องการถา่ ยทอดกระแสประสาทระหวา่ งเซลล์ 9.6 Google classroom 10. การวดั และประเมินผล 10.1 วิธีวดั และประเมินผล 1) ให้นักเรยี นทำแบบทดสอบปรนัย 10 ข้อ 2) ครูให้คะแนนทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากขอ้ มูลไม่เพยี งพอใชว้ ิธสี มั ภาษณเ์ พิม่ เตมิ 10.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล 1) ขอ้ สอบปรนยั 10 ข้อ 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3) แบบประเมนิ จติ วทิ ยาศาสตร์ 10.3 เกณฑก์ ารประเมนิ 1) ข้อสอบปรนัย ได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 75 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 3) แบบประเมินจิตวิทยาศาสตร์ ไดค้ ะแนนไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 75
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 4 หน่วยการเรยี นรู้ เรอ่ื ง ระบบประสาทและอวัยวะรับความร้สู กึ วิชา ชีววิทยา 5 (ว33250) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 เรอื่ ง อวยั วะรับความร้สู กึ เวลา 2 คาบ ครูผสู้ อน นางสาวศรอี ดุ ร ลา้ นสาวงษ์ 1. ผลการเรียนรู้ 1. สบื คน้ ขอ้ มูล ทดลอง และอภปิ รายเกยี่ วกับโครงสร้างของอวยั วะรบั ความรู้สกึ 2. สืบค้นขอ้ มลู ทดลอง และอภปิ รายเกี่ยวกับการทำงานของอวัยวะรบั ความรสู้ ึก 3. นำความรู้มาใชใ้ นการดูแลรักษา และป้องกันอนั ตรายของอวัยวะรบั ความรสู้ ึกตา่ ง ๆ 4. ประเมินความสำคัญของอวัยวะรับความร้สู กึ ต่าง ๆ 5. มีจติ วิทยาศาสตร์ 2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด อวยั วะรบั ความรู้สึก ไดแ้ ก่ นยั นต์ า หู จมกู ลนิ้ และผวิ หนัง ทาหน้าทรี่ บั การกระตุ้นจากสิ่งเรา้ ในรปู แบบ ตา่ ง ๆ เช่น แสง เสยี ง การสัมผัส สารเคมี อวัยวะรับความรู้สกึ มีหนว่ ยรบั ความรสู้ ึกซึง่ อาจเปน็ เซลล์ประสาทโดยตรง หรอื เซลลบ์ ทุ ี่เปลย่ี นแปลงมาทำหนา้ ท่รี ับความรู้สึก เมอื่ หน่วยรบั ความร้สู ึกได้รับการกระตนุ้ จากส่งิ เร้า จะทำหนา้ ท่ี เปลีย่ นกระแสความรู้สึกเป็นกระแสประสาท ส่งไปยังเซลล์ประสาทรับความรูส้ ึก และสง่ ตอ่ ไปยังสมอง จากน้ันสมอง จะวเิ คราะห์ขอ้ มูลจากการรบั ความร้สู กึ เปน็ การรับรู้ เชน่ การมองเห็น การได้กลนิ่ การรู้รส 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เพ่ือให้นักเรยี นสามารถ 3.1 ด้านความรู้ (K) 1) อภิปราย และอธบิ ายโครงสรา้ งภายใน ภายนอก และหน้าท่ีของนัยนต์ า 2) อธบิ ายการมองเห็นวัตถุ และสีของวตั ถุ การทำงานของนยั นต์ าในการแยกสขี องวัตถุ ตำแหน่ง ของจุดบอด และโฟเวีย 3) อภิปราย และอธบิ ายเกยี่ วกับโครงสรา้ งและการทำงานของหู 4) อภิปราย และอธบิ ายถงึ โครงสรา้ งท่ีทำหน้าที่ในการรับกล่ินกับการรับรสในการรบั ประทาน อาหาร 5) อธิบายถึงชนิดของสิ่งเร้าท่ีผิวหนังรู้สกึ และสรุปไดว้ ่าผวิ หนงั แตล่ ะบริเวณมปี ลายประสาท รบั ความรู้สึกไม่เทา่ กนั 3.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1) ทดลองการมองเหน็ วตั ถุ และสขี องวตั ถุ การทำงานของนัยน์ตาในการแยกสขี องวัตถุ ตำแหน่งของจดุ บอด และตำแหนง่ ของโฟเวยี 2) ทดลอง และอธิบายถงึ ชนิดของสิ่งเรา้ ที่ผิวหนังรสู้ ึก และสรุปไดว้ ่าผวิ หนังแตล่ ะบริเวณ มีปลายประสาทรับความรู้สกึ ไม่เท่ากัน 3.3 คณุ ลกั ษณะ (A) 1) มคี วามใฝ่เรียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคดิ เห็นและยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อนื่ และทำงานร่วมกับผ้อู ื่น อยา่ งสรา้ งสรรค์ 3) ตรงตอ่ เวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมและการเข้าช้นั เรียน
4. สาระการเรยี นรู้ นัยน์ตา เป็นอวัยวะทีท่ ำหน้าทร่ี ับภาพ ทำให้สามารถมองเหน็ สิ่งตา่ ง ๆ ลักษณะของนยั นต์ ามรี ูปร่าง คอ่ นข้างกลม ผนงั ลกู ตาเรยี งจากช้นั นอกไปชัน้ ในมี 3 ชน้ั คือ สเคลอรา โครอยด์ และ เรตินา โดยในเรตนิ ามีเซลล์ รับแสง 2 ประเภท คือ เซลล์รปู แทง่ rod cell มีความไวต่อการรับแสงสวา่ งแต่ไม่สามารถแยกสไี ด้ ส่วนเซลลร์ ูปกรวย cone cell ทำหนา้ ท่แี ยกความแตกตา่ งของสตี า่ ง ๆ ในกรณีทีม่ แี สงสว่าง ตำแหน่งตรงกลาง ของเรตนิ าคอื จุดโฟเวยี เปน็ บรเิ วณทีร่ บั ภาพได้ชดั เจนเพราะมเี ซลล์รปู กรวยอยู่หนาแน่น สว่ นบรเิ วณทไ่ี ม่มีเซลล์รับ แสงทง้ั สองชนดิ มีแตแ่ อกซอนออกจากนยั นต์ า เพ่ือติดต่อกบั ใยประสาทของเสน้ ประสาทคทู่ ่ี 2 เป็นบรเิ วณทไ่ี ม่มี ความไวตอ่ แสง แมแ้ สงจะตกบรเิ วณน้กี ็จะไมเ่ กดิ ภาพ เรียกว่า จดุ บอด ส่วนประกอบทีส่ ำคัญอีกอย่างคือ เลนสต์ า หรอื แกว้ ตาทำหนา้ ทร่ี วมแสงเขา้ สู่นัยนต์ า ทำใหเ้ กดิ การหักเหและเกดิ ภาพตกลงบนเรตินา การหักเหของแสงขึน้ อยู่ กบั ความโค้งของเลนส์ตาซ่ึงถูกควบคมุ ด้วยเอน็ ยดึ เลนส์ทีต่ ิดกบั กลา้ มเนื้อยึดเลนส์ การหดและคลายตัวของกล้ามเน้ือ ยึดเลนสท์ ำให้เกดิ การเลี่ยนแปลงความโคง้ ของเลนสต์ า และสามารถมองเห็นภาพไดแ้ ตกตา่ งกนั เมื่อมองวัตถุใน ระยะไกลหรอื ใกล้ หู เป็นอวัยวะที่ทำหนา้ ที่รบั ความรสู้ ึกเกีย่ วกับการได้ยนิ เสยี งและการทรงตวั หูของคน ประกอบด้วย 3 สว่ น คือ หสู ว่ นนอก ประกอบด้วยใบหู รหู ู และเยื่อแก้วหู หูชนั้ กลาง ประกอบด้วยท่อยูสเตเชยี น กระดูกหู 3 ชิ้น และหสู ว่ นใน ประกอบดว้ ยคลอเคลยี คอื ชดุ ที่ใช้ฟงั เสยี ง และ เซมิเซอร์ควิ ลาร์แคแนลชุดที่ใช้ในการทรงตัว จมกู เปน็ อวัยวะที่ทำาหนา้ ที่เป็นทางผา่ นของลมหายใจเข้าออก การดมกลนิ่ เป็นการรับความรู้สกึ ประเภท สารเคมี ภายในเยือ่ บจุ มกู มีเซลล์ประสาทรับกลน่ิ แล้วแปลงเป็นกระแสประสาทสง่ ไปยังเสน้ ประสาทสมองคู่ที่ 1 จากนัน้ กระแสประสาทจะจะถกู สง่ ผ่านออลแฟกทอรบี ัลบ์ไปยังสมองส่วน cerebrum เพื่อแปลผลของกล่ินที่ไดร้ ับ ลน้ิ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าท่ีเกี่ยวกับการรบั รส โดยบรเิ วณด้านบนผวิ ลนิ้ มีป่มุ ลิน้ ซงึ่ จะมีตุ่มรับรสซง่ึ เตม็ ไป ดว้ ยเซลลร์ ับรสซ่ึงเชอื่ มตอ่ กับใยประสาท ผิวหนัง เปน็ อวยั วะที่ทำหน้าทห่ี ลายประการ ทั้งห่อหุ้มรา่ งกาย รักษาดุลยภาพ อุณหภูมิของรา่ งกาย การขบั ของเสยี ในรูปของเหง่อื การรับความร้สู ึกโดยการกระตนุ้ จากสงิ่ เรา้ ประกอบด้วยปลายประสาทรับ ความรอ้ นเยน็ ความเจ็บปวด ความกดดนั สมั ผสั อยู่ในส่วนของช้ันหนงั แทท้ ่ีไวตอ่ การกระตุ้นแตกตา่ งกัน 5. สมรรถนะสำคัญ 5.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร 5.2 ความสามารถในการคิด - ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ - ทักษะการคดิ สรา้ งสรรค์ 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต - กระบวนการทำงานกลุ่ม 6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 6.1 มวี นิ ัย 6.2 ใฝ่เรียนรู้ 6.3 มุ่งมั่นในการทางาน 6.4 มีจิตสาธารณะ
7. ภาระงาน/ชน้ิ งาน 7.1 ภาระงาน - สืบค้นข้อมลู จากใบความรู้ สื่อ และแหลง่ เรยี นรู้ - บันทกึ ผลในแบบบนั ทึกกจิ กรรม เรื่อง อวัยวะรับความร้สู กึ 7.2 ชน้ิ งาน - ออกแบบชิน้ งาน - แบบบันทึกกจิ กรรม เรื่อง อวัยวะรบั ความรู้สกึ 8. กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมนำสู่การเรยี น (คาบท่ี 1 - 3) อวัยวะรับความรู้สึก : นยั นต์ ากบั การมองเหน็ 1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ 1.1 ครเู ลอื กภาพตา่ ง ๆ มาใหน้ กั เรียนสงั เกต และถามนักเรียนว่าเห็นเปน็ รูปหรือสอี ะไร 1.2 ครูให้นักเรยี นสงั เกตภาพลวงตาทีส่ บื ค้นจาก internet และให้นกั เรียนแปลความจากส่งิ ท่เี หน็ กิจกรรมพฒั นาการเรยี นรู้ 2) ขนั้ สำรวจและคน้ หา 2.1 ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาห่นุ จำลองของนัยนต์ าหรือภาพแสดงโครงสร้างของนัยนต์ า 2.2 ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ ศกึ ษา และสบื ค้นข้อมูลเกี่ยวกบั โครงสร้างและส่วนประกอบภายนอก ภายในของนัยน์ตา 2.3 ใหน้ กั เรยี นทำการศกึ ษาและทดลองเกยี่ วกับการหาตำแหนง่ ของจุดบอด โฟเวยี และ การทดสอบตาบอดสี โดยครูใหค้ ำแนะนำและตอบข้อสงสยั ในระหวา่ งการทดลอง 3) ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ 3.1 ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายประเด็นคำถามจากหนงั สือ ดงั น้ี - การบริจาคดวงตาสามารถบรจิ าคสว่ นใดของนัยน์ตาได้บ้าง ( กระจกตา และสเคอรา ) - ม่านตาเทียบได้กบั ส่วนใดในกล้องถ่ายรปู หรอื กลอ้ งจลุ ทรรศน์ ( ไดอะแฟรม ) - นักเรียนจะอธิบายวา่ อย่างไร ในขณะท่นี ักเรยี นเขา้ ไปในห้องทีม่ ีแสงสลวั ในตอนแรก จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไดไ้ ม่ชดั นัก แต่สกั ครูจะมองเหน็ ภาพไดช้ ัดข้นึ ทัง้ ๆ ที่ไมไ่ ด้เพ่ิมแสง ( นยั น์ตาของมนษุ ย์ต้องการระยะเวลาในการปรบั ใหช้ นิ ต่อการมองเหน็ ภาพ เมื่อเปล่ยี น จากทมี่ แี สงสว่างเป็นท่ีมแี สงสลัวกะทันหัน ทำให้มา่ นตาปรับไมท่ ัน กลา่ วคอื เมื่อย่ใู นทแี่ สงสลวั แสงตกทีเ่ รตนิ าน้อย ทำใหม้ องเห็นภาพไมช่ ัด ระบบประสาทอัตโนวตั ิจะกระตนุ้ ใหก้ ล้ามเน้อื ม่านตาค่อย ๆ หดตัว รมู ่านตาเปิดกว้างขึ้น ปริมาณแสงที่ตกบนเรตนิ าเพิ่มขนึ้ จึงทำให้มองเห็นภาพชัดขน้ึ ) - นำ้ เลย้ี งลูกตามีความสำคญั อย่างไร ( ทำให้ลกู ตาทรงรูปร่างอยไู่ ด้ และรักษาความดันลูกตาให้ปกติ ) - ภาพทีต่ กบนเรตินาเปน็ ภาพชนิดใด ( ภาพจริงหัวกลบั ) 3.2 หลงั จากทนี่ ักเรยี นทำการทดลองแล้ว ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภปิ รายประเดน็ คำถาม จากหนงั สือ ดงั นี้ ** การทดลองเรื่องจุดบอด - เพราะเหตุใดนักเรียนจงึ มองไม่เห็นเคร่อื งหมาย • ท้งั ๆ ท่ีมเี คร่ืองหมายอยู่
(เมื่อผทู้ ำการทดลองทดสอบได้ระยะหน่งึ จะมองเห็นเพียงเครอื่ งหมาย + แตม่ องไม่เหน็ เคร่อื งหมาย • แสดงวา่ ระยะนน้ั เป็นระยะทพี่ อดีที่ภาพของเครื่องหมาย • ตกลงที่จุดบอดของนยั นต์ าข้างขวาพอดี) - จากการทดลอง จุดที่นยั น์ตามองไม่เหน็ ภาพอย่เู ยื้องไปทางใดของนัยนต์ า (จดุ บอดของนยั น์ตาแตล่ ะข้างจะอยเู่ ยื้องไปทางด้านใกลจ้ มูก เชน่ ลูกนยั น์ตาข้างซา้ ย จะมีจุดบอดอยู่ทางด้านขวาของนัยน์ตา) ** การทดลองเร่ืองโฟเวีย -นกั เรยี นสามารถบอกสีของวัตถไุ ดช้ ดั เจนเมื่อวัตถุอยู่ในตำแหน่งใด ( เมื่อวัตถุเคลอ่ื นทใี่ กลแ้ นวการมองเห็นของนยั นต์ า ) - ในเวลากลางวันหรอื กลางคืนทน่ี ัยนต์ าจะแยกสไี ด้ดีกว่ากัน เพราะเหตุใด ( ในเวลากลางวัน มคี วามเขม้ ของแสงมาก เซลล์รปู กรวยทางานได้ดี สามารถแยกสี ของวตั ถุได้ดีกว่า ) 4) ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครถู ามคำถามเพ่ิมเตมิ เพื่อให้นักเรียนรว่ มกนั อภิปราย ดังนี้ -ถา้ น้ำเลย้ี งลกู ตามีความดันมากกวา่ ปกตจิ ะมีผลต่อสุขภาพตาอยา่ งไร ( ถา้ ความดนั ของน้ำเลย้ี งในลูกตาสงู จะทำลายตรงชั้นหุ้มเลนส์ตา ไมไ่ ด้ทำลายเซลลต์ า ทงั้ หมด แต่จะมผี ลไปกดเส้นประสาทตา ทำใหม้ ีโอกาสเป็นตอ้ หนิ ถ้าไม่รกั ษาใหท้ นั เวลาอาจเส่ียงตาบอดได้ ) - ถ้าร่างกายขาดวติ ามินเอ จะทำให้เกิดอาการตาฝ้าฟางในท่ีแสงสวา่ งนอ้ ย เชน่ ตอนพลบคำ่ เพราะเหตุใดจึงเปน็ เชน่ นนั้ ( ในขณะท่มี ีแสงสวา่ งน้อย เช่น ตอนใกลค้ ่า เซลลร์ ปู กรวยทำงานไมไ่ ด้ ในขณะที่แสงน้อย เซลล์รปู แทง่ ทำงานได้ดี แต่หากร่างกายขาดวิตามนิ A-retinol จะทำให้เซลลร์ ูปแท่งขาดเรตินอลด้วย จึงสง่ ผลให้ ขาดโรดอปซนิ กระบวนการมองเหน็ เกดิ จากแสงไปกระตุน้ ทำใหโ้ รดอปซินเปลย่ี นเปน็ เรตนิ อลกบั ออพซนิ แลว้ จะเกิด กระแสประสาทไปยังสมองเพ่ือแปลเปน็ ภาพ เมื่อมีโรดอปซินนอ้ ยการเปลยี่ นแปลงเกิดขึ้นได้นอ้ ย ทำให้มองไม่ค่อย เหน็ ภาพ ) - ถา้ นักเรียนมองภาพหรืออ่านหนังสอื ในขณะทม่ี แี สงสว่างจ้า ทำให้รสู้ กึ ตาพร่ามวั เปน็ เพราะเหตใุ ด ( ในขณะที่เซลลร์ บั แสงมีการสลายโรดอปซนิ มากและไม่สามารถสร้างกลบั มาได้ทนั ทำให้ ประสิทธิภาพการมองเหน็ ลดลง อีกกรณีคือใชส้ ายตามาก การกระพริบตาลดลง ทำใหน้ ้ำเลย้ี งตาแหง้ เกิดตาพร่าได้ ) 4.2 ครใู หค้ วามรูเ้ พิ่มเติมวา่ การอา่ นหนังสือเปน็ เวลานานทำใหก้ ล้ามเนื้อตาลา้ เนื่องจากกล้ามเนื้อ ตาทำงานเพื่อโฟกัสทีจ่ ุดใดจุดหนึง่ เปน็ เวลานาน รวมถงึ การปรับแสงที่เขา้ ส่ตู าดว้ ย ซึง่ อาจก่อใหเ้ กิดความระคาย เคือง ความถ่ใี นการกระพรบิ ตาลดลงในขณะท่จี ้องวัตถเุ ปน็ เวลานาน ๆ ทำให้ตาแหง้ 4.3 ครอู ธบิ ายเพิ่มเตมิ ถึงความสมั พันธ์ระหวา่ งสารโรดอปซินกบั วิตามินเอ เพื่อให้นกั เรยี นเชื่อมโยง ความรทู้ างโภชนาการกับการดแู ลอวัยวะรับความรู้สึก 5) ข้นั ประเมินผล 5.1 ใหน้ กั เรียนแต่ละคนย้อนกลบั ไปอา่ นบันทึกประสบการณ์เดมิ ส่งิ ท่ีต้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามทีต่ ง้ั เป้าหมายครบถว้ นหรอื ไม่เพยี งใด ถา้ ยงั ไม่ครบถว้ นจะทำอย่างไรตอ่ ไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธิบายเพิ่มเติม สอบถามใหเ้ พื่อนอธิบาย หรือวางแผนสบื ค้นเพิ่มเตมิ ) 5.2 ครูใหค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจติ วิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ ให้คะแนน สมุดบันทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากขอ้ มูลไม่เพยี งพอใชว้ ธิ ีสัมภาษณเ์ พิ่มเตมิ
กิจกรรมนาส่กู ารเรียน (คาบท่ี 4 - 5) อวัยวะรบั ความรูส้ ึก : หู จมูก ลน้ิ ผิวหนัง 1) ขั้นสรา้ งความสนใจ 1.1 ครูนำสิ่งของใส่กล่องวิเศษณ์ เชน่ ลกู อมรสนม มะนาว หัวหอม กระดิ่ง ใหน้ ักเรยี นเดาจากการ สัมผัส ดมกล่ิน ลมิ้ รส แล้วต้ังประเด็นคำถามวา่ เราได้ยนิ ได้กลิน่ รับรส สมั ผสั ไดอ้ ยา่ งไร ใหน้ กั เรยี นร่วมกัน อภิปราย 1.2 นกั เรยี นทั้งหมดรว่ มกันยกตัวอย่างการไดย้ ินของหู การไดก้ ล่ินของจมูก การรรู้ สของลิ้น และ การรับความร้สู กึ ของผิวหนงั รว่ มกนั อภปิ รายถึงกลไกในการได้ยิน การได้กลิ่น การร้รู ส และการรสู้ กึ จากการสมั ผสั รวมทัง้ ผลท่ีเกดิ ข้ึนกบั มนุษยแ์ ละการนำไปใชป้ ระโยชน์ 1.3 ให้นักเรยี นร่วมกันตั้งคำถามเกี่ยวกบั สิง่ ทตี่ อ้ งการรู้ จากเน้ือหาที่เกยี่ วกับเร่ืองหูกับการไดย้ นิ จมูกกบั การดมกลิ่น ลน้ิ กับการล้มิ รส และผิวหนงั กบั การรับความรู้สึก กจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรู้ 2) ข้ันสำรวจและคน้ หา 2.1 ครใู ห้นกั เรียนศึกษาหนุ่ จำลองแสดงโครงสร้างของหู ล้ิน และผิวหนัง ร่วมกนั สืบค้นข้อมลู และ อภปิ รายในแตล่ ะหัวขอ้ ได้แก่ จมูกกับการดมกล่นิ ล้ินกับการลมิ้ รส และผวิ หนงั กบั การรับความรสู้ ึก 3) ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรปุ 3.1 ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายในประเดน็ คาถาม ดงั น้ี - ลกั ษณะของใบหทู ี่แผ่กว้างติดต่อกบั รหู ูท่ีเป็นท่อยาวไปจรดเยอื่ แกว้ หูน้ัน มีส่วนช่วยใน การได้ยินหรือไม่ อย่างไร ( มสี ว่ นช่วยในการไดย้ นิ คือ ใบหทู ี่แผก่ วา้ งช่วยดกั คล่ืนเสยี งใหเ้ ข้าสู่รูหูได้ง่าย และการท่ี รหู ูหรือชอ่ งหูตอ่ กนั เป็นท่อยาวช่วยในการเคลอ่ื นท่ขี องคล่ืนเสยี งเพ่ือไปยงั หูส่วนกลางต่อไปไดเ้ ร็วขึน้ ) - ข้ีหูเป็นของเสยี ท่ีเกิดจากการขับถ่ายหรอื ไม่ ( ไมใ่ ช่ ขีห้ เู ปน็ สารไขทีร่ า่ งกายขับออกมาเพื่อช่วยดกั จบั สิ่งแปลกปลอมหรือฝ่นุ ละออง ) - เพราเหตุใด เมื่อขึน้ ภูเขาสงู หรือดำน้ำทะเลลึกจะรู้สกึ ปวดหู ( เน่อื งจากเกดิ การเปลี่ยนแปลงความดนั ของอากาศภายในหสู ่วนนอก มผี ลใหเ้ ยอ่ื แกห้ ตู งึ ขน้ึ จงึ รูส้ ึกปวดแก้วหู ร่างกายจงึ มีกลไกการปรบั สมดลุ โดยทำใหห้ ูส่วนกลางมคี วามดันอากาศเท่ากับหูสว่ นนอก) - ทอ่ ยสู เตเชียนทำหน้าทอี่ ย่างไร ( เปน็ ทางผา่ นของอากาศเพ่ือปรบั ความดนั ระหวา่ งหสู ว่ นนอกและหสู ่วนในใหเ้ ท่ากัน ) - หากได้ยนิ เสยี งดังมากติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะมีผลตอ่ การรับฟังอยา่ งไร ( ทำใหเ้ ซลลป์ ระสาทหูเสอื่ ม ความสามารถในการรบั ฟังลดลง เป็นโรคหูตงึ ) - เพราะเหตุใดในช่วงทเ่ี ป็นหวดั นกั เรยี นจงึ รบั ประทานอาหารไมอ่ ร่อย ( เพราะไม่ได้รบั กลน่ิ อาหาร เน่อื งจาก การรับกลิ่นและการรับรสมคี วามสัมพนั ธ์กัน สมองถูกฝึกให้รับกลิ่นและรสพร้อมกัน ดงั น้ัน เมื่อเปน็ หวดั เย่ือบจุ มูกถกู ปกคลมุ ดว้ ยเมือกจึงรับกลิ่นไมไ้ ด้ แม้ยังรบั รสได้ แต่กเ็ กดิ ความรสู้ ึกวา่ อาหารน้ันไมอ่ ร่อย ) - ผวิ หนงั สามารถรบั สมั ผสั ได้เท่ากนั ทุกจดุ หรือไม่ ( ไม่เท่ากัน ในแต่ละบรเิ วณของร่างกายมจี ำนวนปลายประสาทที่แตกตา่ งกนั เชน่ บรเิ วณปลายนว้ิ มีจำนวนปลายประสาทรบั สมั ผัสมาก บริเวณหลังต้นคอมจี ำนวนปลายประสาทรบั สัมผสั นอ้ ย )
4) ขน้ั ขยายความรู้ 4.1 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มเสนอแนวคิดในการนำความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จมกู กบั การดมกลนิ่ ลนิ้ กบั การลมิ้ รส และผวิ หนงั กับการรับความรูส้ กึ ไปใชป้ ระโยชน์ 4.2 นักเรียนแต่ละกล่มุ ร่วมกันสรุปเชอื่ มโยงความคดิ เกย่ี วกับจมูกกับการดมกลิ่น ลิ้นกับการลิม้ รส และผิวหนงั กับการรับความรู้สึก 5) ขนั้ ประเมินผล 5.1 ให้นกั เรียนแต่ละคนยอ้ นกลบั ไปอา่ นบนั ทึกประสบการณเ์ ดิม สงิ่ ที่ต้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบว่าได้เรยี นร้ตู ามท่ตี งั้ เป้าหมายครบถ้วนหรือไมเ่ พียงใด ถ้ายังไม่ครบถว้ นจะทำอยา่ งไรต่อไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธิบายเพ่ิมเติม สอบถามใหเ้ พ่ือนอธบิ าย หรือวางแผนสืบค้นเพ่ิมเติม) 5.2 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจติ วทิ ยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การให้คะแนน สมดุ บนั ทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไม่เพยี งพอใช้วิธสี ัมภาษณ์เพ่ิมเตมิ 9. สื่อการเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้ 9.1 หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพ่มิ เตมิ ชวี วิทยา เลม่ 5 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6 9.2 หนุ่ จำลองของนัยนต์ า หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง 9.3 สือ่ คลิปวดิ ีโอประกอบการสอน เร่ือง อวยั วะรบั ความรู้สึก 9.4 แบบบันทกึ กจิ กรรม เรื่อง อวัยวะรับความร้สู กึ 9.5 ห้องสมดุ / ชุมชน 9.6 ฐานขอ้ มูล internet สื่อการเรียนการสอน DLIT 9.7 Google classroom 10. การวดั และประเมนิ ผล 10.1 วธิ วี ัดและประเมินผล 1) ให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบอตั นัย 10 ข้อ 2) ครูใหค้ ะแนนทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากข้อมลู ไม่เพียงพอใชว้ ิธีสมั ภาษณ์เพม่ิ เตมิ 10.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล 1) ขอ้ สอบอัตนัย 10 ข้อ 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3) แบบประเมนิ จติ วทิ ยาศาสตร์ 10.3 เกณฑ์การประเมิน 1) ข้อสอบอัตนัย ได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 75 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 3) แบบประเมนิ จิตวิทยาศาสตร์ ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 75
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: