Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อยุธยา

อยุธยา

Published by ดลณภพ บุญมี, 2022-06-02 06:28:12

Description: อยุธยา

Search

Read the Text Version

พระนครศรีอยุธยา

คำนำ หนังสือฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียน วิชาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ให้ผู้จัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และนำสิ่งทีได้ ไปศึกษาค้นคว้ามาสร้างเป็นชิ้นงานเก็บไว้เป็น ประโยชน์ต่อก่รเรียนการสอนของตนเองต่อไป ทั้งนี้ ขอขอบพระคุณคุณครูอย่างสูงที่กรุณาตรวจ ให้คำแนะเพื่อแก้ไข ให้เสนอแนะตลอดการทำงาน ผู้จัดหวังว่ารายงานฉบับนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้นำไป ใช้ให้เกิดผลตามความคาดหวัง

สารบัญ ชื่อ หน้า เจดีย์​ภุเขาทอง 1 วัดพพระศรีสรรเพชญ์​ 2 3 วัดพนัญเชิง 4 วัดหน้าพระเมรุ 5 วัดใหญ่ชัยมงคล 6 7 บ้านเขียว 8 วัตตะโก 9 วัดไชยวัฒนาราม 10 หมู่บ้านญี่ปุ่น 11 วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร 12 วังช้างอยุธยาแลเพนียด 13 วัดพระราม 14 พระราชวังบางประอิน 15 วัดมงคลบพิตร 16 วัดราชบูรณะ 17 วัดท่าการ้อง 18 วัดพุทไธศวรรย์ 19 วัดกษัตรา 20 วัดกมเหยงคณ์ วัดธรรมมิกราช

1 เจดีร์ภูเขาทอง เป็นวัดที่ได้รับความนิยมมากวัดหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ในเทศกาลไหว้พระเก้า วัด พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเป็นผู้สร้างภูเขาทองขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2112 คราว ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ในเวลาที่ประทับอยู่พระนครศรีอยุธยาได้สร้าง พระเจดีย์ภูเขาทองใหญ่แบบมอญขึ้นไว้เป็นที่ระลึกเมื่อคราวรบชนะไทย โดยรูปแบบของฐานเจดีย์มีลักษณะคล้ายกับแบบมอญพม่า สันนิษฐานว่า สร้างเจดีย์องค์นี้ขึ้นเพื่อชัยชนะแต่ทำได้เพียงรากฐาน แล้วยกทัพกลับ ตั้ง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากพระราชวังหลวงไปประมาณ 2 กิโลเมตร สามารถใช้เส้นทางเดียวกับทางไปจังหวัดอ่างทอง ทางหลวง หมายเลข 309 กิโลเมตรที่ 26จะมีป้ายบอกทางแยกซ้ายไปวัดนี้ วัด ภูเขาทองนี้หนังสือคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่า ได้สร้างขึ้นในรัชสมัย สมเด็จพระราเมศวรเมื่อปี พ.ศ. 1930 ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง กอบกู้เอกราชกลับคืนมาเมื่อ พ.ศ. 2127 จึงโปรดเกล้าให้สร้างเจดีย์แบบ ไทยไว้เหนือฐานแบบมอญและพม่าที่สร้างเพียงรากฐานไว้ ณ สมรภูมิทุ่ง มะขามหย่อง ฝีมือช่างมอญเดิมจึงปรากฏเหลือเพียงฐานทักษิณส่วนล่าง เท่านั้น เจดีย์ภูเขาทองจึงมีลักษณะสถาปัตยกรรมสองแบบผสมกัน

2 วัดพระศรีสรรเพชญ์​ วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสำคัญสูงสุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา มี ฐานะเป็นวัดประจำพระราชวัง และวัดส่วนพระองค์ของพระมหา กษัตริย์ สร้างอยู่ในเขตพระราชฐานโดยไม่มีพระสงฆ์จำวัด ซึ่งถือ เป็นต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วใน ปัจจุบัน ในอดีตวัดแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธี สำคัญมากมาย รวมถึงพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และเป็นที่เก็บ พระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์บางพระองค์อีกด้วย ตั้งอยู่ที่ตำบล ประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วัดพนัญเชิง วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏหลักฐานที่ แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง และพระราชทาน นามว่า วัดเจ้าพระนางเชิง[ต้องการอ้างอิง] และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์กล่าว ไว้ว่า ได้สถาปนาพระพุทธรูปพุทธเจ้าพแนงเชิง เมื่อปี พ.ศ. 1867 ซึ่งก่อนพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุง ศรีอยุธยาถึง 26 ปี [2] พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อซำปอกง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธย หน้ าตักกว้าง 20 เมตรเศษ สูง 19 เมตร เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย เคยได้รับความเสียหายในสมัย เสียกรุง แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2394 ได้โปรดเกล้าให้บูรณะใหม่หมดทั้งองค์ และพระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธไตรรัตนนายก หรือที่รู้จักกันในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทยเชื้อสายจีนว่า หลวงพ่อซำปอกง[ต้องการ อ้างอิง] คำว่า พแนงเชิง มีความหมายว่า นั่งขัดสมาธิ ฉะนั้น คำว่า วัดพนัญเชิง (วัดพระแนงเชิง หรือ วัดพระ เจ้าพแนงเชิง) จึงหมายถึงวัดแห่งพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยคือ หลวงพ่อโต หรือ พระพุทธไตรรัตนนายก นั้น เอง หรืออาจสืบเนื่องมาจากตำนานเรื่องพระนางสร้อยดอกหมาก คือ เมื่อพระนางสร้อยดอกหมากกลั้นใจตาย นั้น พระนางคงนั่งขัดสมาธิ เพราะชาวจีนนิยมนั่งขัดสมาธิมากว่านั่งพับเพียบจึงนำมาใช้เรียกชื่อวัด บางคนก็ เรียกว่า วัดพระนางเอาเชิง ตามสาเหตุที่ทำให้พระนางถึงแก่ชีวิต ฉะนั้น ถ้าเรียกนามวัดตามความหมายของ คำว่า วัดพนัญเชิง ก็ย่อมหมายความถึงวัดที่มีพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ คือหลวงพ่อโต (อ้างอิงจากประวัติวัด พนัญเชิงข้อมูลของทางวัดในปั จจุบัน) 3

4 วัดหน้าพระ เมรุ วัดหน้ าพระเมรุ หรือ วัดหน้ าพระเมรุราชิการามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ริมคลองสระ บัวด้านเหนือของคูเมือง ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง มีชื่อเดิมว่า \"วัดพระเมรุราชการาม\" แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างและ สร้างในสมัยใด พิจารณาได้ว่า น่าจะเป็นวัดสร้างขึ้นตรงที่ถวายพระ เพลิงกษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่งต้นสมัยอยุธยา มีแต่เพียงตำนานกล่าว ว่าพระองค์อินทร์ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ได้สร้างวัดนี้ ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2046 แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอน วัดหน้ าพระเมรุ เป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าทำลาย และยังคงสภาพที่ ดีมาก บ้างสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะพม่าได้ไปตั้งกองบัญชาการ อยู่ที่วัดนี้กับวัดหัสดาวาส พระอุโบสถของวัดหน้ าพระเมรุเป็นแบบ อยุธยาซึ่งมีเสาอยู่ภายใน แต่น่าจะมาเพิ่มเสารับชายคาที่หลังในรัช สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระประธานในอุโบสถซึ่งสร้าง ปลายสมัยอยุธยา หรือได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงนั้น เป็น พระพุทธรูปทรงเครื่องหล่อสำริดขนาดใหญ่ ด้านหลังพระอุโบสถยัง มีอีกองค์หนึ่งแต่เล็กกว่า คือ พระศรีอริยเมตไตรย์

5 วัดใหญ่ชัยมงคล วัดใหญ่ชัยมงคล เดิมชื่อ \"วัดป่าแก้ว\" หรือ \"วัดเจ้าไท\" ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะพระนคร ปัจจุบันเป็นพื้นที่ตำบล คลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา จุดเด่นของวัดได้แก่เจดีย์องค์ใหญ่ที่เชื่อกันว่า ได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ ภายในได้มีการค้นพบ ชัยมงคลคาถา บรรจุอยู่ ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชัยมงคล พระประธานที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของวัด นอกจากนี้แล้ว ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานศาล สมเด็จ พระนเรศวรมหาราช ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2544 อีกด้วย

6 บ้านเขียว บ้านของขุนพิทักษ์บริหารเป็นบ้านโบราณ สมัยรัชกาลที่ 5 อายุเกินกว่า 100 ปี สถาปัตยกรรมเป็นบ้านไทยที่ได้รับอิทธิพล ทางตะวันตก บริเวณที่ตั้งมีเนื้อที่ทั้งหมด 1 ไร่ 72 ตารางวา ด้านหลังบ้านที่ติดกับถนน ปักป้ายประกาศว่าเป็นที่ดินราชพัสดุของ กรมธนารักษ์ ลักษณะบ้านเป็นบ้านทรงปั้ น หยาสองชั้นยกพื้นสูง ปลูกสร้างด้วยไม้สัก บางส่วนเป็นตึก ชาวบ้านเรียกกันติดปาก ว่า \"บ้านเขียว\" เพราะเดิมทาสีเขียว เนื่องจากขุนพิทักษ์เกิดวันพุธ

7 วัดตะโก วัดตะโกสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2345 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2541[1] เริ่มก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ เมื่อปี พ.ศ. 2557 ผู้ออกแบบเจดีย์คือ วนิดา พึ่งสุนทร (ศิลปินแห่ง ชาติ) และ ตะวัน วีระกุล วิศวกร บัญชา ชุ่มเกษร และองอาจ หุดา กร เจดีย์มี 2 ชั้นร่วมสมัยมีลิฟต์และบันไดภายใน ชั้นล่างเป็น เป็น ห้องโล่งกว้าง ชั้นบนประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและรูปหล่อ บูรพาจารย์[2] มีโลงแก้วบรรจุสังขารหลวงพ่อรวย ซึ่งไม่เน่าเปื่ อย ยังมีประติมากรรมรูปเหมือนหลวงพ่อรวยองค์ใหญ่[3] พระอุโบสถ์ หลังใหม่ประดิษฐานองค์พระประธาน ภายในมีภาพเขียนพุทธ ประวัติสวยงาม ถัดไปเป็นศาลาประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ หลวง พ่อบุญญาฤทธิ์ และหลวงพ่อรวย[4] นอกจากนี้ภายในบริเวณ วัด ตะโก ยังมีศาลากลางน้ำ[5] หลวงพ่อรวยเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง ท่านได้สร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อ รวยที่เป็ นที่รู้จักกันอย่างกว้าง

8 วัดไชยวัฒนาราม วัดไชยวัฒนารามเป็ นวัดสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2173[2]โดยเดิมบริเวณที่ตั้งของวัดแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ ของพระราชมารดาที่ได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนที่พระเจ้าปราสาท ทองได้เสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ เมื่อพระองค์ได้เสวยราช สมบัติ พระองค์จึงได้สร้างวัดไชยวัฒนารามขึ้นเพื่ออุทิศผล บุญนี้ให้กับพระราชมารดาของพระองค์ และอีกประการหนึ่ง วัดนี้อาจถูกสร้างขึ้นเพื่ อเป็ นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือเขมร ด้วย จึงทำให้มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมส่วนหนึ่งมาจาก ปราสาทนครวัด[3]

หมู่บ้านญี่ปุ่น​ アユタヤ日本人町หมู่บ้านญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น:, อักษรโรมัน: Ayutaya Nihonjin-machi) เป็นชุมชนทางชาติพันธุ์ญี่ปุ่นใน อดีต (นิฮมมาจิ) นอกเมืองหลวงของอาณาจักรอยุธยาที่ เจริญรุ่งเรืองในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษ ที่ 18 ปัจจุบันอยู่ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ฝั่งตะวัน ออกของแม่น้ำเจ้าพระยา หันหน้ าเข้าหาหมู่บ้านโปรตุเกสที่ อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ และอยู่ติดกับหมู่บ้านอังกฤษและ หมู่บ้านดัตช์[1] เชื่อกันว่ามีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ประมาณ 1,000 ถึง 1,500 คน (ไม่รวมทาสและแรงงาน 暹羅国風土軍記ผูกมัดที่เป็นชาวพื้นเมือง เช่น ชาวไท) ในหนังสือญี่ปุ่น ชามุ- โคกุฟูโดกุงกิ ( ) ประมาณการว่ามีผู้มีเชื้อ ชาติญี่ปุ่นถึง 8,000 คนในศักราชคังเอ (ค.ศ. 1624–1644) ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้เป็นทหารรับจ้าง, พ่อค้า, ชาวญี่ปุ่นที่ นับถือศาสนาคริสต์ และทาสชาวไทย 9

วัดนิเวศธรรมประวัติ ราชวรวิหาร วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้น เอก ชนิดราชวรวิหาร ในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัด พระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญ พระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่ พระราชวังบางปะอิน ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมกอทิกเลียน แบบโบสถ์คริสต์ 10

วังช้างอยุธยาแล เพนียด​ ลานพักช้างน้ อย ลานนี้ถือเป็นจุดเด่นของวังช้างแห่งนี้เลยก็ ว่าได้ เพราะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยงได้เล่นกับช้างแสนน่า รักมากมาย เมื่อเข้าไปจะมีเจ้าหน้ าที่คอยต้อนรับ มีบริการ การถ่ายภาพกับช้าง ค่าบริการเพียงท่านละ 40 บาท หากไป ในวันเสาร์อาทิตย์ หรือ วันหยุดนักขัตฤกษ์ จะได้ชมการโชว์ ความสามารถของช้างน้ อยประกอบกับเสียงดนตรี มีคนพาก ษ์ และเสริมด้วยกิจกรรมลอดท้องช้าง ให้เป็นสิริมงคล สำหรับผู้มาเยือน เป็นกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นมากกิจกรรมหนึ่ง ลานพักช้างใหญ่ บริเวณนี้จะเป็นที่พักผ่อนของช้างและ ควาญช้าง ตรงส่วนนี้มีเชือกกั้นระหว่างคนกับช้างไว้ นักท่อง เที่ยวเข้าไปเก็บภาพความน่ารักของช้างได้จากด้านนอกลาน พร้อมทั้งสามารถเข้าไปป้ อนอาหารให้ช้างได้เอางวงเกี่ยวมา 11 กินอย่างเอร็ดอร่อย

วัดพระราม วัดพระราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเขตพระราชวัง เป็นโบราณสถานเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้น ในปี พ.ศ. 1912 ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร ในบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) พระราชบิดา นั่นเองค่ะ 12

พระราชวังบางประอิน พระราชวังบางปะอิน ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากเกาะเมืองลงมาทางทิศใต้ ประมาณ 18 กิโลเมตร[1] เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยกรุง ศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเป็นที่ ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ที่ทรงใช้ประทับแรม ของพระ มหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นพระราชวังใกล้พระนคร นั่นเอง 13

วัดมงคลบพิตร วิหารพระมงคลบพิตร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุง ศรีอยุธยาตอนต้นช่วงแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็น วัดเก่าแก่ในเขตกำแพงเมืองที่สวยงาม และได้รับการดูแลเป็น อย่างดี ภายในวิหารมี พระมงคลบพิตร พระพุทธรูปประธาน ขนาดใหญ่ที่สวยงาม หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์เดียวใน ประเทศไทย แม้จะได้รับความเสียหายในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 แต่ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมด 14

15 วัดราชบูรณะ​ วัดราชบูรณะ สร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรม ราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา ในปี พ.ศ. 1967 เป็ นหนึ่ งในวัดที่ใหญ่และมีความเก่าแก่มากที่สุดใน อยุธยา โบราณสถานสำคัญในวัดก็คือ พระปรางค์วัด ราชบูรณะ ซึ่งมีมีกรุใหญ่และลึก ทั้งหมด 3 ห้องใหญ่ๆ เรียงกันลงไป ห้องที่อยู่ในสุด เป็นห้องที่สำคัญที่สุด บรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งเก็บรักษาอย่างดีในเจดีย์ทองคำ และรอบๆ ยังเต็มไปด้วยพระพุทธรูปต่างๆ

วัดท่าการ้อง วัดท่าการ้อง เป็นวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2092 ประมาณ 450 ปี เศษมาแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใคร เป็นผู้สร้างและสร้างในปีใด สันนิษฐาว่าคงเป็นวัดที่ราษฎรสร้าง เพราะไม่ปรากฏรายชื่อพระอารามหลวงสมัยอยุธยา ตามบันทึกพระ ราชพงศาวดาร วัดท่าการ้องมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของ กรุงศรีอยุธยามากมาย 16

วัดพุทไธศวรรย์ วัดพุทไธศวรรย์ เป็นพระอารามหลวงที่ใหญ่โตและมีชื่อ เสียง ตามตำนานเล่าว่า วัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราช อนุสรณ์ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) หลังสถาปนากรุงศรีอยุธยา ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ ปรางค์ประธาน องค์ใหญ่ศิลปะแบบขอม และ พระ ตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระพุทธโฆษา จารย์เป็ นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ประจำอยู่ในสมัยกรุง ศรีอยุธยาค่ะ 17

วัดกษัตรา​ วัดกษัตราธิราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้ง อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็น ราชธานี มีพระปรางค์เป็นประธานของวัด สถานที่สำคัญภายในวัดคือ พระประธานในพระอุโบสถ ที่มีแท่นฐานผ้าทิพย์ปูนปั้น ประณีตงดงาม ใบเสมาของพระอุโบสถเป็ นใบเสมาคู่แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง 18

19 วัดมเหยงคณ์ วัดมเหยงคณ์ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ 2 หรือ เจ้าสามพระยา ภายในวัดมเหยงคณ์ มีพระ อุโบสถ ตั้งอยู่บนฐานสูง 2 ชั้นลดหลั่นกัน จึงนับได้ว่าที่นี่ เป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยา นอกจากนี้ ยังมีพระเจดีย์ฐานช้างล้อมซึ่งเป็ นเจดีย์องค์ประธานของ วัดมเหยงคณ์อีกด้วย

วัดธรรมิกราช วัดธรรมิกราช ที่นี่เป็นวัดหลวงเก่าแก่ที่พระมหากษัตริย์เสด็จ มาฟังธรรมกันประจำในวันพระ สร้างขึ้นโดย พระยาธรรมิก ราชโอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ที่นี่ยังเป็นสถานที่สอบเปรียญ ธรรมสำหรับพระสงฆ์ในสมัยโบราณอีกด้วย 20


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook