Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียน การดำรงชีวิตของพืช

เอกสารประกอบการเรียน การดำรงชีวิตของพืช

Published by Wilaiwan Wessapraweenwong, 2019-09-01 00:57:05

Description: เอกสารประกอบการเรียน การดำรงชีวิตของพืช

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง การดารงชวี ติ ของพชื วชิ า วิทยาศาสตร์ (ว21101) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1

ห น้ า | 1 การเจรญิ เติบโตของพืช ความหมายของการเจริญเติบโตของพืช หมายถึง การท่ีพืชมีการเพ่ิมความสูง เพ่ิมขนาด และมีการ เปล่ียนแปลงอวยั วะต่างๆ ไปตามข้นั ตอนของพืชน้นั ๆ กระบวนการเจริญเติบโตของพชื การเจรญิ เติบโตของพชื มี 3 กระบวนการ เกิดข้นึ คอื 1. การแบง่ เซลล์ ทาใหม้ จี านวนเซลลเ์ พ่มิ มากขึน้ เซลล์ที่เกิดข้ึนใหม่จะมีลักษณะเหมือนเซลล์เดิม แต่ มขี นาดเล็กกวา่ 2. การเพ่มิ ขนาดของเซลล์ เปน็ การสร้างสะสมสาร ทาให้เซลลม์ ขี นาดใหญข่ น้ึ โดยทั่วไปแล้วเม่ือมีการ แบ่งเซลลแ์ ล้วก็จะมกี ารเพิ่มขนาดของเซลล์ด้วยเสมอ 3. การเปลี่ยนรูปร่างของเซลล์ เพื่อให้เหมาะสมกับหน้าท่ีเฉพาะอย่างเกณฑ์การวัดการเจริญเติบโต ของพืช การวัดความสงู ของพชื การนับจานวนโครงสรา้ งทเี่ พิม่ ข้นึ การเปลีย่ นแปลงของโครงสร้างพืช และการ วดั นา้ หนกั แห้งซง่ึ จดั เปน็ เกณฑก์ ารวัดการเจริญเติบโตท่ีดที สี่ ดุ ลักษณะทแี่ สดงวา่ พชื มีการเจริญเติบโต มีดังน้ี รากจะยาวและใหญข่ น้ึ มรี ากงอกเพ่มิ ขึ้น มีการแตกแขนงของรากมากข้ึน ลาต้นจะสูงและใหญ่ข้ึน มี การผลิตาทงั้ ตามกงิ่ ตาใบ และตาดอก ดอกจะใหญ่ขึ้น หรือดอกเปล่ียนแปลงไปเป็นผล ใบและผลจะมีขนาด ใหญ่ขึ้น เมล็ดจะมีการงอกไปเป็นต้นอ่อน แต่การท่ีพืชผลิตเฉพาะฮอร์โมนและเอนไซม์ยังไม่ถือว่ามีการ เจริญเติบโต

ห น้ า | 2 วัฏจกั รชีวติ ของพชื ดอก วัฏจักรชีวิตของพืชดอก หมายถึงระยะการเจริญเติบโตและพัฒนาทั้งหมดของส่ิงมีชีวิตหน่ึงๆ เร่ิม ตั้งแตร่ ะยะการสรา้ งไซโกต (Zygote) จนถึงการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ (gamete) ดังตัวอย่างวัฏจักรชีวิตพืชดอก ทั่วๆไปในแผนภาพข้างล่าง วัฏจกั รชีวติ โดยทว่ั ไปของพืชดอก ประกอบด้วยลักษณะต่างๆ ดังนี้ 1. มีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ (Alternation of two generations) คือ มีสองชั่วรุ่นสลับกันระหว่าง ช่วั รุ่น สปอโรไฟต์ (sporophyte) ท่ีมจี านวนโครโมโซมสองชดุ (2n) และชวั่ รนุ่ แกมีโทไฟต์ (gametophyte) ที่ มจี านวนโครโมโซมชดุ เดยี ว (n) 2. มีตน้ พชื ทีไ่ มเ่ หมอื นกนั สองแบบ คอื – สปอโรไฟต์ เป็นต้นพืชที่อยู่อย่างอิสระท่ีเราพบเห็นทั่วๆไป เช่น ต้นถ่ัวลิสง ต้นข้าวโพด และ ตน้ มะเขอื เทศ สปอโรไฟตส์ ร้างสปอร์ (Spore) สาหรับสบื พันธ์ุ – แกมีโทไฟต์ ไม่ใช่ต้นพืชที่อยู่อย่างอิสระ แต่เป็นพืชเบียนหรือกาฝากท่ีอาศัยภายในสปอโรไฟต์ นน่ั คอื แกมโี ทไฟต์เพศผู้หรือเรณทู ่กี าลังงอก หรือแกมโี ทไฟตเ์ พศเมียหรือถุงเอ็มบริโอ แกมีโทไฟต์ท้ังสองชนิด น้ีสร้าง เซลล์สืบพันธุ์ (Gamete) ที่มีหน้าท่ีสืบพันธ์ุเช่นกัน จะเห็นได้ว่า แกมีโทไฟต์ เป็นส่วนที่อยู่ในดอก โดยเฉพาะอย่างย่ิงใน เกสรเพศผู้ และเพศเมีย แกมีโทไฟต์จึงมีขนาดเล็กมาก น่ีคือความจริงในอาณาจักรพืช ที่ว่าแกมโี ทไฟตข์ องพชื ดอกมีขนาดเลก็ ลงมาก เล็กกวา่ ของพืชมีสปอร์ต่างแบบ (heterosporous plant) ชนิด อ่ืนๆ รวมทง้ั ของพืชเมล็ดเปลอื ยด้วย ส่วนแกมโี ทไฟตน์ เ้ี ปน็ สว่ นท่ีไม่ค่อยจะค้นุ เคยในชวี ติ ประจาวนั ของเรา 3. ในวฏั จักรชีวิตของพชื ดอกสว่ นใหญ่ ชั่วรุ่นที่มีจานวนโครโมโซมสองชุดจะเด่นกว่าช่ัวรุ่นที่มีจานวน โครโมโซมชุด เดยี ว ดังที่เราเห็นตน้ ข้าวหรอื ต้นผักกาดอย่างชัดเจน เราเรยี ก วัฏจักรชีวิต

ห น้ า | 3 การสังเคราะห์ดว้ ยแสง การสังเคราะห์ด้วยแสง เป็นกระบวนการทางชีวเคมีที่สาคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งทาให้พืช,สาหร่าย และ แบคทีเรียบางชนิดได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้ ส่ิงมีชีวิตแทบท้ังหมดล้วนอาศัยพลังงานที่ได้จาก กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเพ่ือการเจริญเติบโตทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ยังมีการผลิต ออกซิเจน ซึ่งมีเป็นองค์ประกอบในสัดส่วนที่มากของบรรยากาศโลกด้วย สิ่งมีชีวิตที่สร้างพลังงานจาก กระบวนการสังเคราะหแ์ สงได้ เรียกว่า “phototrophs” โดยโมเลกุลที่มีความสามารถในการดูดกลืนแสงที่มี อยู่ในพชื และสิ่งมชี ีวิตนคี้ ือ รงควัตถุ (pigment) ปัจจัยท่เี กยี่ วข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสง 1. ความเขม้ ของแสง ถ้ามีความเขม้ ของแสงมาก อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพ่ิมขึ้นเร่ือยๆ อุณหภูมิกับ ความเขม้ ของแสง มีผลตอ่ อัตราการสงั เคราะห์ด้วยแสงร่วมกัน คือ ถ้าอุณหภูมิสูงข้ึนเพียงอย่างเดียว แต่ความ เข้มของแสงน้อยจะไม่ทาใหอ้ ัตราการสงั เคราะห์ด้วยแสงเพิม่ ขนึ้ อตั ราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิ่มขึ้นเร่ือยๆ จนถงึ ขดี หน่ึงแลว้ อตั ราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดต่าลงตามอุณหภูมิและความเข้มของแสงที่เพ่ิมขึ้นและยัง ขน้ึ อยกู่ ับชนิดของพชื อกี ดว้ ยเช่น พืชซีสามและ พืชซีส่ี ถ้าไม่คิดถึงปัจจัยอ่ืนๆ เข้ามาเก่ียวข้อง อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชส่วนใหญ่จะเพ่ิมมากขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นในช่วง 0-35 °C หรือ 0-40 °C ถ้าอุณหภูมิสูงกว่าน้ี อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดลง ท้ังนี้เนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นปฏิกิริยาท่ีมีเอนไซม์ควบคุม และการทางานของเอนไซม์ ขน้ึ อยกู่ ับอณุ หภมู ิ ดังนน้ั เร่ืองของอุณหภูมิจึงมีความสัมพันธ์กับอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง เรียก ปฏิกิริยา เคมีที่มคี วามสัมพนั ธ์กบั อุณหภูมวิ ่า ปฏกิ ิริยาเทอร์โมเคมิคลั

ห น้ า | 4 ถา้ ความเขม้ ของแสงวีดีนอ้ ยมาก จนทาให้การสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพืชเกิดข้ึนน้อยกว่ากระบวนการ หายใจ น้าตาลถูกใช้หมดไป พืชจะไม่สามารถมีชวี ิตอยู่ได้ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชไม่ได้ ขึ้นอยู่กับ ความเขม้ ของแสงเท่านั้น แต่ยังข้ึนอยู่กับความยาวคล่ืน (คุณภาพ) ของแสง และช่วงเวลาที่ได้รับ เช่น ถ้าพืช ไดร้ ับแสงนานจะมีกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงดขี ้ึน แตถ่ ้าพชื ได้แสงท่มี คี วามเข้มมากๆ ในเวลานานเกินไป จะทาให้กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงชะงัก หรือหยุดลงได้ท้ังน้ีเพราะคลอโรฟิลล์ถูกกระตุ้นมากเกินไป ออกซิเจนที่เกิดข้ึนแทนท่ีจะออกสู่บรรยากาศภายนอก พืชกลับนาไปออกซิไดส์ส่วนประกอบและสารอาหาร ต่างๆภายในเซลล์ รวมทั้งคลอฟิลล์ทาให้สีของคลอโรฟิลล์จางลง ประสิทธิภาพของคลอโรฟิลล์และเอนไซม์ เส่อื มลง ทาใหก้ ารสร้างนา้ ตาลลดลง 2. ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพ่ิมข้ึนจากระดับ ปกตทิ ีม่ ีในอากาศ อัตราการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงจะเพ่มิ สูงข้ึนตามไปด้วย จนถึงระดับหน่ึงถึงแม้ว่าความเข้มข้น ของคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงข้ึน แต่อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงไม่ได้สูงขึ้นตามไปด้วย และถ้าหากว่าพืช ได้รับคาร์บอนไดออกไซด์ ท่ีมีความเข้มข้นสูงกว่าระดับน้าแล้วเป็นเวลานานๆ จะมีผลทาให้อัตราการ สงั เคราะหด์ ้วยแสงลดตา่ ลงได้ คาร์บอนไดออกไซด์จะมีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงมากน้อยแค่ไหนข้ึนอยู่กับปัจจัยอ่ืนด้วย เช่น ความเข้มข้นสูงขึ้น แต่ความเข้มของแสงน้อย และอุณหภูมิของอากาศก็ต่า กรณีเช่นน้ี อัตราการ สังเคราะหด์ ้วยแสงจะลดตา่ ลงตามไปด้วย ในทางตรงกันข้าม ถา้ คารบ์ อนไดออกไซดม์ คี วามเขม้ ข้นสงู ข้ึน ความ เข้มของแสงและอุณหภูมิของอากาศก็เพิ่มข้ึน กรณีเช่นน้ีอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงก็จะสูงข้ึนตามไปด้วย นักชวี วทิ ยาจงึ มกั เล้ียงพืชบางชนิดไว้ในเรอื นกระจกทแี่ สงผ่านเขา้ ได้มากๆ แล้วให้ คาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น เป็นพิเศษ ซึ่งมีผลทาให้พืชมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเพ่ิมมากข้ึน อาหารเกิดมากขึ้น จึงเจริญเติบโต อย่างรวดเร็ว ออกดอกออกผลเรว็ และออกดอกออกผลนอกฤดูกาลกไ็ ด้ 3. อณุ หภูมิ อุณหภูมิ เปน็ ปจั จัยอย่างหน่ึงที่มีอิทธิพลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โดยทั่วไปอัตราการ สังเคราะหด์ ้วยแสงจะเพิ่มข้นึ เรอื่ ยๆ เมื่ออุณหภมู สิ ูงข้ึน 10-35 °C ถ้าอุณหภูมิสูงข้ึนกว่าน้ีอัตราการสังเคราะห์ ดว้ ยแสงวีดจี ะลดต่าลงตามอุณหภมู ทิ ีเ่ พม่ิ ขึน้ อตั ราการสังเคราะห์ด้วยแสงท่ีอุณหภูมิสูงๆ ยังข้ึนอยู่กับเวลาอีก ปจั จัยหนงึ่ ด้วย กลา่ วคอื ถา้ อุณหภมู ิสงู คงที่ เช่น ท่ี 40 °C อัตราการสังเคราะหด์ ้วยแสงจะลดลงตามระยะเวลา ทเ่ี พิม่ ขึน้ ทัง้ นเ้ี พราะเอนไซม์ทางานไดด้ ใี นช่วงอณุ หภูมิท่ีพอเหมาะ ถ้าสูงเกิน 40 °C เอนไซม์จะเส่ือมสภาพทา ใหก้ ารทางานของเอนไซม์ชะงักลง ดังน้ันอุณหภูมิจึงมีความสัมพันธ์ต่อการสังเคราะห์แสงด้วย เรียกปฏิกิริยา เคมีทม่ี คี วามสมั พันธก์ บั อณุ หภมู วิ ่า ปฏิกริ ยิ าเทอร์มอเคมคิ อล (Thermochemical reaction)

ห น้ า | 5 4. ออกซิเจน ตามปกติในอากาศจะมีปริมาณของออกซิเจน (O2) ประมาณ 25% ซ่ึงมักคงท่ีอยู่แล้ว จึงไม่ ค่อยมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง แต่ถ้าปริมาณออกซิเจนลดลงจะมีผลทาให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง สงู ข้นึ 5. น้า นา้ ถือเป็นวตั ถดุ ิบทจ่ี าเปน็ ต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (แต่ต้องการประมาณ 1% เท่าน้ัน จึง ไม่สาคัญมากนักเพราะพืชมีน้าอยู่ภายในเซลล์อย่างเพียงพอ) อิทธิพลของน้ามีผลต่อกระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสงทางอ้อม คือ ช่วยกระตุ้นการทางานของเอนไซม์ให้ดีขึ้น ก๊าซมีหลายชนิด เช่น ก๊าซออกซิเจน ก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ 6. อายขุ องใบ ใบจะตอ้ งไม่แกห่ รอื อ่อนจนเกินไป ทัง้ นเ้ี พราะในใบออ่ นคลอโรฟิลล์ยังเจริญไม่เต็มที่ ส่วนใบที่ แกม่ ากๆ คลอโรฟิลลจ์ ะสลายตวั ไปเป็นจานวนมาก

ห น้ า | 6 สมการเคมใี นการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง สรุปสมการเคมีในการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพืชสีเขยี วเปน็ ดังนี้ : nCO2 + 2nH2O + พลังงานแสง → (CH2O) n + nO2 + nH2O นา้ ตาลกลโู คส และ แป้ง เป็นผลผลิตขนั้ ตน้ ดงั สมการดังต่อไปน:้ี 6CO2 + 12H2O + พลงั งานแสง → C6H12O6 + 6O2 + 6H2O การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงแบ่งเปน็ 2 ปฏกิ ิริยา คอื 1. ปฏกิ ิรยิ าท่ีตอ้ งใช้แสง คือ ปฏิกริ ิยาโฟโตฟอสโฟรีเลช่ัน 2. ปฏิกิริยาการตรึงคาร์บอน เป็นขั้นตอนท่ีมีการสังเคราะห์น้าตาลกลูโคส โดยใช้คาร์บอนจาก คาร์บอนไดออกไซด์ และใช้พลังงานจาก ATP และ NADPH+H+ ในสภาวะที่ไม่มีแสงเม่ือปฏิกิริยา ฟอสโฟรีเลช่นั หยดุ ปฏิกริ ยิ าการตรงึ คารบ์ อนจะหยดุ ไปดว้ ย

ห น้ า | 7 การตอบสนองต่อส่ิงเรา้ ของพืช พืชมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น เสียง และการสัมผัส เป็นต้น ตน้ ไมท้ ี่มเี ปลอื กหนาเพอื่ ปอ้ งกนั การสญู เสียน้าจะพบในป่าเต็งรัง ซึ่งมีสภาพร้อนและแห้งแล้ง ได้แก่ ไม้เต็งรัง ไมร้ ัง พชื ทีข่ ึ้นตามป่าชายเลน จะมีรากคา้ ยันเพ่ือป้องกันไม่ให้ต้นไม้ล้มง่ายเมื่อมีน้าทะเลมาซัดชายฝั่ง หรือ พชื ทีข่ นึ้ ในป่าพรุจะมีลักษณะสภาพแวดล้อมน้าท่วมขัง ต้นไม้ที่ขึ้นจึงมีพูพอน คือ บริเวณโคนต้นแผ่เป็นแผ่น กวา้ ง เพอ่ื รบั น้าหนกั ต้นพชื ไมใ่ ห้ล้มโคนงา่ ย พชื ทปี่ ลกู ไว้ในทีร่ ่ม จะมีการตอบสนอง โดยต้นพืชจะเอนไปทางด้านที่มีแสงหรือถ้าไม่ได้รับแสงเลยก็ จะมลี ักษณะซีดเหลือง แต่เมื่อนามาไว้ในที่มีแสง พืชจะสร้างสารสีเขียวทาให้พืชเปลี่ยนสีจาดซีดเหลืองเป็นสี เขียวได้ พืชในสภาพที่อากาศร้อน และแห้งแล้ง พืชก็จะสร้างเปลือกลาต้น ให้หนาข้ึนเพื่อห่อหุ้มลาต้นไม่ให้ สูญเสียน้าใบของพืชมีดอกหลายชนิดเปลี่ยนไป ทาหน้าท่ีอย่างอื่นไป เช่น ยึดเกาะ ได้แก่ ใบตาลึง ถั่ว เปลี่ยนเป็นหนามเพอื่ ลดอตั ราการคายน้า เชน่ กระบองเพชร เปน็ ต้น พชื มีการตอบสนองตอ่ แรงโนม้ ถว่ งของโลก เช่น รากจะลงดิน เปน็ ต้น

ห น้ า | 8 ปจั จยั ทีจ่ าเปน็ ต่อการเจริญเติบโตของพชื การเจรญิ เติบโตของพชื ตอ้ งการปัจจัยหลายประการที่สาคัญ คือ น้า แสง ธาตุอาหารต่างๆ พืชเป็น ส่ิงมชี ีวติ มีการเจริญเติบโตและดารงชวี ติ อยู่ไดย้ อ่ มต้องการ ส่ิงแวดลอ้ มท่ีเหมาะสม สภาพของสิง่ แวดล้อมต่างๆ ท่มี ีผลต่อการเจรญิ เติบโตของพชื ไดแ้ ก่ 1. ดนิ เป็นปจั จยั สาคญั อันดบั แรก ดนิ ท่ีเหมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตของพืช ต้องเป็นดินที่อุ้มน้าได้ดี ร่วนซุย มีอินทรยี ์วัตถุมาก แต่เมื่อใช้ดินปลูกไปนานๆ ดินอาจเส่ือมสภาพ เช่น หมดแร่ธาตุ จาเป็นต้องมีการปรับปรุง ดนิ ให้อุดมสมบูรณ์ ไดแ้ ก่ การไถพรวน การใส่ปุย๋ การปลกู พชื หมุนเวียน เปน็ ตน้ 2. น้า มีความสาคญั ตอ่ การเจริญเติบโตของพืชมาก น้าช่วยละลายแร่ธาตุอาหารในดิน เพื่อให้รากดูดอาหาร ไปเลยี้ งสว่ นต่างๆ ของลาต้นได้ และยังชว่ ยให้ดนิ มีความช่มุ ชน้ื พืชสดชนื่ และการทางานของกระบวนการต่างๆ ในพืชเป็นไปอย่างปกติ 3. ธาตอุ าหารหรือป๋ยุ เป็นส่งิ ทช่ี ่วยใหพ้ ชื เจรญิ เติบโต ดียิ่งขึน้ ธาตุอาหารที่จาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช มี 16 ธาตุ แต่ธาตทุ พ่ี ืชตอ้ งการมากและในดินมกั มไี มเ่ พียงพอ คือ ธาตไุ นโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ธาตุอาหารเหล่าน้ีจะต้องอยู่ในรูปสารละลายท่ีพืชนาไปใช้ได้และต้องมีปริมาณ ที่พอเหมาะ จึงจะทาให้การ เจริญเติบโตของพืชเป็นไปด้วยดี แต่ถา้ มไี มเ่ พียงพอต้องเพมิ่ ธาตุอาหารให้แก่พชื ในรูปของปุย๋ 4. อากาศ ในอากาศมีแก๊สหลายชนิด แต่แก๊สท่ีพืชต้องการมากคือ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊ส ออกซิเจน ซง่ึ ใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงเพ่อื สร้างอาหารและหายใจ แกส๊ ทั้งสองชนิดน้ีมีอยู่ในดินด้วย ในการ ปลกู พืชเราจึงควรทาให้ดินโปร่งร่วนซยุ อยูเ่ สมอ เพ่อื ใหอ้ าหารทีอ่ ยใู่ นช่องวา่ งระหว่างเมด็ ดินมกี ารถ่ายเทได้ 5. แสงสว่างหรือแสงแดด พืชตอ้ งการแสงแดดมาใช้ในการสร้างอาหาร ถ้าขาดแสงแดด พืชจะแคระแกรน ใบจะมีสเี หลืองหรอื ขาวซีดและตายในท่ีสุด พืชแต่ละชนิดต้องการแสงไม่เท่ากันพืชบางชนิดต้องการแสงแดด จัด แต่พืชบางชนดิ ก็ต้องการแสงราไร 6. อุณหภูมิ มีส่วนช่วยในการงอกและเจริญเติบโตของพืชเช่นกัน จะเห็นได้ว่าพืชบางชนิดชอบข้ึนในที่มี อากาศหนาวเยน็ แต่พชื บางชนิดกช็ อบขนึ้ ในทม่ี อี ากาศรอ้ น การนาพืชมาปลูกจึงควรเลือกชนิดท่ีเหมาะสมกับ อณุ หภมู ิทเี่ ปลี่ยนไปตามฤดูกาล ในแตล่ ะท้องถ่นิ ด้วย ช่องวา่ งอากาศ ชอ่ งวา่ งระหว่างเม็ดดินบางส่วนเป็นท่ีอยู่ของน้า ส่วนท่ีเหลือจะเป็นที่อยู่ของอากาศ อากาศในดนิ มีความสาคญั ต่อการเจรญิ เติบโตของพชื มาก เพราะรากพชื ตอ้ งการ แกส๊ ออกซเิ จนในการหายใจ ธาตุอาหารที่จาเปน็ ต่อพืชมี 6 ชนิด ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม กามะถัน เหล็ก สงั กะสี แมงกานีส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม คลอรีน คาร์บอน ออกซิเจน ไฮโดรเจน ส่วน ธาตอุ าหารทพี่ ชื ตอ้ งการมากกวา่ บางครั้งเรียกว่า ธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และธาตุอาหารทีต่ อ้ งการรองลงมา เรยี กวา่ ธาตอุ าหารรอง ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซยี ม และกามะถนั

ห น้ า | 9 หน้าท่ขี องราก ลาต้นและใบ ราก เป็นโครงสร้างท่ีทาหน้าที่ดูดน้า และธาตุอาหารนอกจากน้ันยังมีรากบางชนิดท่ีทาหน้าที่เก็บ สะสมอาหารอกี ดว้ ย เชน่ มนั เทศ มันแกว แครอท กระชาย เป็นต้น รากของพืชบางชนิดทาหน้าที่หายใจ เช่น รากไทร รากกล้วยไม้ รากสะเตียว รากอ้ายบ่าว รากบาง ชนิดทาหนา้ ที่เปน็ รากค้ายนั หรอื รากค้าจุน และเปน็ รากหายใจด้วย เชน่ รากโกงกาง รากแสม เป็นตน้ ลาต้น เป็นโครงสรา้ งทท่ี าหนา้ ท่ลี าเลียงนา้ และธาตอุ าหารไปยังส่วนต่างๆ ของพืช นอกจากนั้นยังมี ลาต้นบางชนดิ ทีอ่ ยู่ในดนิ จะทาหนา้ ท่ีเกบ็ สะสมอาหารอกี ดว้ ย เชน่ เผือก มันฝร่ัง ขิง ข่า เป็นต้น ลาต้นกับราก ต่างกนั คือ ลาต้นจะมขี อ้ ปลอ้ ง และ ตา สว่ นรากจะไมม่ ีขอ้ ปลอ้ ง ตา เนอ้ื เยอื่ ลาเลยี งน้า ของพืชเป็นทอ่ ลาเลียงน้าและธาตอุ าหารจากรากขน้ึ ไปตามลาต้น กิ่ง ก้าน และใบ นอกจากนี้ยังมีเนื้อเยื่อลาเลียงอาหาร เป็นท่อลาเลียงอาหาร จะลาเลียงอาหารที่พืชสร้างขึ้นไปเล้ียงยังส่วน ตา่ งๆ ทาให้พืชมกี ารเจริญเติบโตหรือสร้างส่วนตา่ งๆ ของพืชได้

ห น้ า | 10 ใบ ทาหน้าที่สร้างอาหาร อาหารที่สร้างขึ้นคือ น้าตาลแล้วเปลี่ยนเป็นแป้ง บริเวณที่มีแป้งน้ัน เม่ือ ทดสอบดว้ ยสารละลายไอโอดีน จะเปลีย่ นสจี ากสนี ้าตาลเป็นสนี า้ เงนิ เข้มหรือม่วงคล้า การสร้างอาหารของพืช ต้องใช้ น้า แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ แสง และสารสีเขียวในใบพืชเรียกว่าคลอโรฟิลล์ นอกจากน้าตาลแล้ว ยัง ได้แก๊สออกซิเจน และนา้ ออกมาด้วย อาหารท่ีพืชสรา้ งข้ึนจะลาเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของพืช และเก็บสะสมไว้ ตามราก ลาต้น ใบ ฯลฯ ใบของพืชนอกจากจะทาหน้าท่ีหลัก คือ สร้างอาหารแล้ว ยังทาหน้าท่ีคายน้า ซ่ึงการคายน้าน้ันจะ เปน็ ประโยชน์ตอ่ พชื คือ ทาใหเ้ กิดการลาเลียงนา้ และธาตอุ าหารจากสว่ นล่างข้ึนไปสู่ส่วนบนของพืช หรืออาจ เกดิ จากดินเขา้ สรู่ ากได้เพ่ิมข้ึน นอกจากนก้ี ารคายนา้ ยงั เป็นการลดอุณหภมู ทิ ใี่ บดว้ ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook