พระพุทธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธ์ของเหตุปจั จยั และวิธีการแกป้ ัญหา จดั ทาโดย นางสาวรชยา โทรกั ษา เลขท่2ี ชน้ั 4/2
หลักของเหตุปัจจัย หรือหลักความเปน็ เหตุเป็นผล ซงึ่ เป็นหลักของเหตปุ จั จยั ท่ีอิงอาศยั ซง่ึ กัน และกนั ท่ีเรียกว่า \"กฎปฏิจจสมปุ บาท\" ซึง่ มีสาระโดยย่อดังนี้ \"เมอ่ื อันนี้มี อนั นจี้ ึงมี เม่ืออนั น้ไี ม่มี อันนี้กไ็ ม่มี เพราะอันนเ้ี กิด อันน้ีจงึ เกดิ เพราะอันนด้ี บั อนั น้ี จึงดับ\"นเี่ ปน็ หลกั ความจริงพ้นื ฐาน ว่าส่งิ หนึ่งส่ิงใดจะเกดิ ข้ึนมาลอย ๆ ไมไ่ ด้ หรือใน ชีวติ ประจาวันของเรา \"ปัญหา\"ท่ีเกดิ ข้ึนกับตวั เราจะเป็นปัญหาลอย ๆ ไม่ได้ จะตอ้ งมเี หตุปัจจยั หลายเหตุทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาขน้ึ มา หากเราต้องการแก้ไขปัญหาก็ต้องอาศัยเหตปุ ัจจัยในการ แก้ไขหลายเหตปุ จั จยั ไม่ใชม่ ีเพยี งปจั จัยเดยี วหรือมีเพียงหนทางเดยี วในการแกไ้ ขปัญหา เป็นต้น
คาว่า \"เหตุปจั จยั \" พุทธศาสนาถือวา่ สิง่ ทที่ าใหผ้ ลเกิดขนึ้ ไม่ใช่เหตุอย่างเดยี ว ตอ้ งมปี ัจจัยตา่ ง ๆ ดว้ ยเม่อื มีปจั จยั หลายปัจจยั ผลกเ็ กิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เราปลูกมะมว่ ง ตน้ มะมว่ งงอกงามข้ึนมาต้นมะมว่ งถือว่าเปน็ ผลท่เี กิดขน้ึ ดังนนั้ ตน้ มะม่วงจะเกดิ ขึ้นเป็นตน้ ท่สี มบูรณ์ไดต้ ้องอาศยั เหตุปัจจยั หลายปจั จัยทกี่ ่อให้เกิดเปน็ ตน้ มะม่วงได้ เหตุ ปจั จัยเหล่านั้นไดแ้ ก่ เมล็ดมะมว่ ง ดนิ น้า ออกซิเจน แสงแดด อุณหภูมิท่ีพอเหมาะ ปยุ๋ เปน็ ตน้ ปจั จยั เหลา่ น้ีพรงั่ พรอ้ มจึงก่อใหเ้ กิดต้นมะม่วง ตวั อย่างความสัมพนั ธข์ องเหตุปัจจยั เชน่ ปัญหาการมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นตา่ ซึ่ง เปน็ ผลที่เกิดจากการเรียนของนกั เรียน มีเหตุปจั จัยหลายเหตปุ ัจจัยท่กี ่อใหเ้ กิดการเรียนออ่ น เช่น ปจั จัยจาก ครผู ้สู อน ปจั จัยจากหลักสูตรปัจจัยจากกระบวนการเรยี นการสอนปัจจยั จากการวัดผลประเมนิ ผล ปจั จยั จากตัว ของนักเรียนเอง เป็นตน้ ความสมั พันธข์ องเหตุปัจจยั หรือหลักปฏิจจสมปุ บาท แสดงให้เห็นอาการของสง่ิ ทั้งหลายสมั พนั ธ์เนื่องอาศยั เป็น เหตุปัจจัยต่อกนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะที่เปน็ กระแสนี้ ขยายความหมายออกไปใหเ้ หน็ แง่ต่าง ๆ ได้คือ - สิ่งทั้งหลายมีความสมั พนั ธต์ อ่ เนื่องอาศัยเป็นปจั จยั แก่กนั - สง่ิ ท้งั หลายมอี ยู่โดยความสัมพันธ์กนั - สิ่งท้ังหลายมีอยู่ดว้ ยอาศัยปัจจยั - สง่ิ ทั้งหลายไมม่ ีความคงทอ่ี ยู่อยา่ งเดิมแมแ้ ตข่ ณะเดียว (มกี ารเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่ อยนู่ ิ่ง) - ส่ิงทง้ั หลายไม่มีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คือ ไม่มีตัวตนทแ่ี ท้จริงของมัน - ส่ิงทัง้ หลายไมม่ ีมูลการณ์ หรือต้นกาเนิดเดมิ สุด แตม่ ีความสมั พันธ์แบบวฏั จักร หมนุ วนจนไม่ ทราบวา่ อะไรเป็นตน้ กาเนดิ ที่แทจ้ ริง หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาของพระพุทธศาสนาทีเ่ น้นความสมั พนั ธ์ของเหตปุ ัจจยั มมี ากมาย ในทน่ี ้จี ะ กลา่ วถงึ หลักคาสอน 2 เร่อื ง คือ ปฏิจจสมปุ บาท และอริยสจั 4
กฏปฏจิ จสมปุ บาท คอื กฏแห่งเหตุผลที่วา่ ถ้าส่ิงนม้ี ี สง่ิ นั้นก็มี ถา้ สิง่ นีด้ ับ สิง่ นน้ั ก้ดบั ปฏจิ จสมุปบาทมี องค์ประกอบ 12 ประการ คือ 1) อวชิ ชา คือ ความไมร่ ู้จริงของชีวติ ไม่รู้แจง้ ในอริยสจั 4 ไม่รู้เท่าทันตามสภาพท่เี ป็นจริง 2) สังขาร คอื ความคิดปรุงแต่ง หรือเจตนาทั้งทเ่ี ปน็ กศุ ลและอกศุ ล 3) วิญญาณ คือ ความรบั รู้ตอ่ อารมณ์ตา่ งๆ เชน่ เหน็ ได้ยิน ไดก้ ลิ่น รู้รส รู้สัมผัส 4) นามรปู คือ ความมีอยูใ่ นรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ กายกบั จิต 5) สฬายตนะ คอื ตา หู จมูก ลน้ิ กาย และใจ 6) ผสั สะ คอื การถูกต้องสัมผสั หรือการกระทบ 7) เวทนา คือ ความรู้สึกว่าเปน็ สุข ทกุ ข์ หรืออุเบกขา 8) ตัณหา คอื ความทะเยอทะยานอยากหรือความต้องการในสิ่งท่ีอานวยความสขุ เวทนา และความดนิ้ รน หลีกหนีในส่งิ ทก่ี ่อทุกขเวทนา 9) อุปาทาน คือ ความยดึ ม่ันถอื ม่ันในตวั ตน 10) ภพ คือ พฤตกิ รรมทแี่ สดงออกเพ่ือสนองอุปาทานน้ันๆ เพ่อื ใหไ้ ด้มาและใหเ้ ป้นไปตามความยดึ มัน่ ถือ มน่ั 11) ชาติ คือ ความเกิด ความตระหนักในตวั ตน ตระหนักในพฤตกิ รรมของตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความ คร่าครวญ ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ และความคับแค้นใจหรือความกลดั กลมุ่ ใจ
จากกฏปฏิจจสมุปบาทหรือกฎอทิ ปั ปจั จยตาท่วี ่าอวชิ ชาเปน็ ตวั เหตขุ องทกุ สงิ่ ทุก อย่าง อวชิ ชาคือความไมร่ ู้แจ้งในอริยสจั 4 ดังน้นั กฎปฏจิ จสมุปบาท เม่ือกล่าวโดยสรุปแล้วก็ คือ อรยิ สัจ 4 นน่ั เอง อริยสจั หมายถงึ หลักความจริงอนั ประเสริฐหรือหลักความจริงท่ีทาให้ผู้เข้าถึงเปน็ ผู้ประเสริฐ มี 4 ประการ คือ 1) ทุกข์ หมายถึง ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ หรอื สภาพที่บีบคัน้ จติ ใจให้ทนได้ยาก ทุกข์เปน็ สภาวะที่จะต้องกาหนดรู้ 2) สมทุ ยั (ทกุ ขสมุทยั ) หมายถึง ต้นเหตุที่ทาให้เกดิ ทุกข์ ไดแ้ ก่ ตณั หา3 ประการ คือ กามตณั หา ภวตัณหา และวิภวตณั หา สมทุ ยั เปน็ สภาวะทจี่ ะตอ้ งละหรอื ทาใหห้ มดไป 3) นโิ รธ (ทกุ นิโรธ)หมายถงึ ความดบั ทุกข์ หรอื สภาวะทป่ี ราศจากทุกข์ เปน็ สภาวะท่ตี ้องทา ความเขา้ ใจให้แจม่ แจง้ 4) มรรค (ทุกขนโิ รธคามินีปฎิปทา) หมายถงึ ทางดับทกุ ข์ หรือข้อปฏิบตั ิใหถ้ ึงความดบั ทกุ ข์ ได้แก่ มชั ฌิมาปฏิปทา หรืออริยมรรคมอี งค์ 8 ซึ่งสรุปลงในไตรสกิ ขา คอื ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค เป็นสภาวะทีต่ อ้ งลงมอื ปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเองจึงจะไปสคู่ วามดับทกุ ขไ์ ด้ อรยิ สัจ 4 นีถ้ า้ วิเคราะหก์ ันในเชงิ วิทยาการสมัยใหม่ก็คือ ศาสตร์แห่งเหตผุ ล เพราะอรยิ สจั 4 จัดได้เป็น 2 คู่ แตล่ ะคเู่ ปน็ เหตุเป็นผลของกนั และกัน ดงั แผนภมู ิ หลกั อรยิ สจั 4 หมายถึง หลกั ความจรงิ อันประเสริฐ
หลกั การแกป้ ญั หาตามหลักอรยิ สจั 4 นี้ มีคุณคา่ เดน่ ทสี่ าคญั พอสรุปได้ดังน้ี 1. เปน็ วธิ ีการแห่งปัญญา ซง่ึ ดาเนินการแกไ้ ขปญั หาตามระบบแหง่ เหตผุ ล เปน็ ระบบวธิ ีแบบอย่าง ซึ่งวธิ กี ารแก้ปัญหาใด ๆ กต็ าม ท่ีจะมคี ณุ ค่าและสมเหตุผล จะตอ้ งดาเนินไปใน แนวเดียวกันเชน่ น้ี 2. เป็นการแกป้ ญั หาและจัดการกับชีวติ ของตน ดว้ ยปัญญาของมนุษยเ์ อง โดย นาเอาหลักความจริงท่ีมีอย่ตู ามธรรมชาตมิ าใช้ประโยชน์ ไมต่ ้องอา้ งอานาจดลบันดาลของตวั การ พเิ ศษเหนือธรรมชาติ หรอื สิ่งศักดิ์สทิ ธ์ิใด ๆ 3. เปน็ ความจรงิ ท่เี ก่ยี วข้องกบั ชีวิตของคนทุกคน ไมว่ ่ามนุษย์จะเตลดิ ออกไป เกีย่ วขอ้ งสัมพันธก์ บั ส่ิงที่อยหู่ ่างไกลตวั กวา้ งขวางมากมายเพียงใดก็ตาม แตถ่ ้าเขายังจะตอ้ งมีชีวติ ของตนเองท่มี คี ุณคา่ และสัมพันธก์ ับสง่ิ ภายนอกเหลา่ นนั้ อยา่ งมีผลดแี ล้ว เขาจะต้องเกีย่ วข้องและ ใชป้ ระโยชนจ์ ากหลกั ความจรงิ นี้ตลอดไป 4. เปน็ หลกั ความจริงกลาง ๆ ที่ติดเนือ่ งอยู่กบั ชีวิต หรอื เปน็ เรือ่ งของชีวิตเอง แท้ ๆ ไม่ว่ามนุษย์จะสร้างสรรค์ศลิ ปวิทยาการ หรือดาเนินกิจการใด ๆ ขึ้นมา เพอื่ แกป้ ัญหาและ พฒั นาความเป็นอยู่ของตน และไม่ว่าศิลป-วิทยาการ หรือกจิ การต่าง ๆ นัน้ จะเจรญิ ข้ึน เส่ือมลง สญู สลายไป หรือเกดิ มีใหม่มาแทนอย่างไรกต็ าม หลักความจริงนี้ก็จะคงยืนยงใหม่ และใชเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ดต้ ลอดทุกเวลา
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: