Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สังคมศึกษา นางสาวนันชฎา-มีเพชร-เลขที่-17

สังคมศึกษา นางสาวนันชฎา-มีเพชร-เลขที่-17

Published by kiriwara24952559, 2020-07-31 10:13:53

Description: สังคมศึกษา นางสาวนันชฎา-มีเพชร-เลขที่-17

Search

Read the Text Version

สงั คมศึกษา โดย นางสาวนนั ชดา มเี พชร มธั ยมศึกษาปี ที่ 4/2 เลขที่ 17 กลุ่มสาระวิชาสงั คมศึกษา โรงเรียนเซนตโ์ ยเซฟศรีเพชรบูรณ์

ประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาไดช้ ่ือวา่ เป็นศาสนาที่มีลกั ษณะประชาธิปไตยหลายประการ สรุปดงั น้ี 1. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวนิ ยั เป็ นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คือ คาสอนท่ี พระพุทธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คือ คาส่ังอนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิที่พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิข้ึนเมื่อรวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวนิ ยั ก่อนที่พระองคจ์ ะเสด็จปรินิพพานเพียงเลก็ นอ้ ยไดท้ รงมอบใหพ้ ระธรรมเป็นพระ ศาสดาแทนพระองค์ 2. พระพทุ ธศาสนามีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั บุคคลที่เป็นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรมาแต่เดิม รวมท้งั คนวรรณะต่ากวา่ น้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกทาส เม่ือเขา้ มาอุปสมบทใน พระพุทธศาสนาอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ มีความเทา่ เทียมกนั คือปฏิบตั ิตามสิกขาบทเทา่ กนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คือผอู้ ุปสมบทภายหลงั เคารพผูอ้ ุปสมบทก่อน 3. พระภิกษุในพระพทุ ธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั เช่น ภิกษุท่ีจาพรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มี สิทธิไดร้ ับของแจกตามลาดบั พรรษา มีสิทธิรับกฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดือนฤดูหนาวเท่าเทียมกนั นอกจากน้นั ยงั มีเสรีภาพที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดกไ็ ดเ้ ลือกปฏิบตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงควตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ ้งั สิ้น 4. มีการแบง่ อานาจ การกระจายอานาจ มอบภาระหนา้ ที่ใหส้ งฆร์ ับผดิ ชอบในพ้ืนฐานท่ีต่าง ๆ พระเถระผใู้ หญท่ าหนา้ ที่บริหารปกครองหมู่คณะ ส่วนการบญั ญตั ิพระวนิ ยั พระพทุ ธเจา้ จะทรงบญั ญตั ิเอง เช่น มีภิกษุผทู้ าผดิ มาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิพระวนิ ยั ส่วนการตดั สินคดีตามพระวนิ ยั ทรงบญั ญตั ิแลว้ เป็นหนา้ ท่ีของพระวินยั ธรรมซ่ึงเท่ากบั ศาล 5. มีการรับฟังความเห็น หรือฟังเสียงของเหล่าพทุ ธบริษทั 4 กล่าวคือ ภิกษุทุกรูปมีสิทธิในการเขา้ ประชุม มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นท้งั ในทางคดั คา้ นและในทางเห็นดว้ ย และนามาพิจารณาไตร่ตรอง 6. พระพุทธศาสนายดึ หลกั ความถูกตอ้ งตามธรรมะและความเป็นเอกฉนั ทใ์ นการลงมติในที่ ประชุม โดยใชห้ ลกั เสียงขา้ งมากเป็นเกณฑต์ ดั สินในที่ประชุมสงฆ์ 7. พระพทุ ธศาสนามีหลกั ธรรมสนบั สุนนการประชุมในหมู่สงฆแ์ ละเคารพกฎของการประชุม คือ หลกั ธรรม เรื่อง “อปริหานิยธรรม” มี 7 ประการ เช่น หมน่ั ประชุมเป็นเนืองนิตย์ เขา้ ประชุมและเลิกประชุม พร้อมเพรียงกนั เป็ นตน้ 8. จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ มุ่งสู่อิสรภาพ (หมายถึงบุคคลเป็นอิสระจากกิเลสกอง ทุกขเ์ คร่ืองเศร้าหมองท้งั ปวง) หรือเรียกวา่ “วมิ ุต”ิ 9. พระพทุ ธศาสนาสอนใหช้ าวพุทธมีเสรีภาพทางความคิดและปฏิบตั ิ ใหเ้ กิดศรัทธาดว้ ยปัญญา โดย ไม่มีการบงั คบั 10. พระพทุ ธศาสนายดึ หลกั ธรรมาธิปไตย โดยใชเ้ หตุผลเป็นใหญ่ มิใช่ยดึ ในตวั บุคคล

พระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ 1 วทิ ยาศาสตร์เนน้ วตั ถุนิยม วตั ถุนิยมมี 2 อยา่ งเก่ียวขอ้ งกนั อยา่ งหน่ึง คือ เช่ือวา่ วตั ถุไดแ้ ก่ สสารและ พลงั งานเทา่ น้นั อยา่ งท่ี 2 คือ ความสุขทางวตั ถุเป็นส่ิงท่ีดีที่สุดของมนุษย์ ความสุขอื่นลว้ นเกิดจากวตั ถุ เช่น คนร่ารวยก็เป็นคนใจบุญ ถา้ จนแลว้ ก็มกั เห็นแก่ตวั และช่วยคนอื่นไมไ่ ด้ ความคิดเช่นน้ีเป็นเร่ืองท่ี พระพทุ ธศาสนาไม่เห็นดว้ ย 2 วทิ ยาศาสตร์เช่ือวา่ ความจริงรับรู้ไดด้ ว้ ยประสาทสัมผสั ไดแ้ ก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความจริงที่เกิด ประสาทสัมผสั ไดไ้ ม่มีอยแู่ มเ้ ครื่องมือวทิ ยาศาสตร์ ท่ีใชต้ รวจสอบความจริง ท่ีประสาทสมั ผสั ธรรมดาของ มนุษยร์ ับรู้โดยตรงไม่ได้ เช่น ไวรัสหรือดาวท่ีอยหู่ ่างจากโลกมากๆ ในที่สุดก็ตอ้ งใชป้ ระสาทสมั ผสั ผา่ น เคร่ืองมือ 3 วทิ ยาศาสตร์ไมร่ ับความจริงนามธรรมวา่ มีอยู่ โดยวทิ ยาศาสตร์ศึกษาเฉพาะสสารและพลงั งาน ไม่ ยอมรับความจริงท่ีเป็ นนามธรรม คือ ความจริงท่ีรับรู้ดว้ ยประสาทสมั ผสั ไม่ได้ เช่น ความดี ความชว่ั ความ ยตุ ิธรรม เราจึงไม่พบเร่ืองน้ีในวทิ ยาศาสตร์เลย แตค่ วามจริงเหล่าน้ี ก็เป็ นเรื่องท่ีคนในสังคมยอมรับ 4 วทิ ยาศาสตร์มุง่ ใหเ้ ราแสวงหาความสุขทางกาย โดยวทิ ยาศาสตร์ถือวา่ มนุษยม์ ีแต่ทางกาย จิตใจเป็ น ผลของการทางานของร่างกาย ร่ายกายแขง็ แรงจิตใจกเ็ ขม้ แขง็ ร่างกายเป็นสุข จิตใจก็เป็นสุข 5 วทิ ยาศาสตร์ใหค้ วามสาคญั แก่มูลค่ามากกวา่ คุณคา่ โดยวทิ ยาศาสตร์มุง่ นาความรู้ไปใชส้ ร้าง เทคโนโลยี เพอ่ื สร้างส่ิงอานวยความสะดวกสบายทางร่างกาย ส่ิงที่สร้างน้ีก็เพอื่ นาไปขาย คนจะมีความสุข ไดก้ ต็ อ้ งมีเงินทองเพือ่ ที่จะซ้ือความสุขทางร่างกาย หลกั การของพระพทุ ธศาสนา 1 พระพุทธศาสนาเช่ือวา่ มีความจริงอื่นนอกจากวตั ถุ พระพทุ ธศาสนายอมรับความจริงทางวตั ถุ แตเ่ ช่ือ วา่ มีความจริงอื่นนอกจากความจริงทางวตั ถุ เช่น จิต ความดี ความชว่ั กรรม บุญ บาป เร่ืองเหล่าน้ีสาคญั และ มนุษยค์ วรเขา้ ใจ เพ่อื จะไดล้ ะชวั่ ทาดี 2 พระพุทธศาสนาใหค้ วามสาคญั แก่จิต นอกจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซ่ึงเป็นทางรับรู้ความจริงในโลก ภายนอก แลว้ มนุษยย์ งั คิดวเิ คราะห์ตดั สินใจ ประเมินคา่ ความจริงที่ไดจ้ ากโลกภายนอกและความคิดต่างๆ ประเมินค่าน้ีเป็นหนา้ ท่ีของจิต ซ่ึงอาศยั ขอ้ มูลจากร่างกาย 3 พระพทุ ธศาสนายอมรับความจริงเร่ืองนามธรรม และใหค้ วามสาคญั ธรรมะในพระพทุ ธศาสนา สอน เร่ืองนามธรรม เช่น จิตใจ บาปกรรม ความดี ความชวั่ ฯลฯ โดยใหค้ วามสาคญั มากกวา่ ร่างกาย 4 พระพุทธศาสนามุ่งใหเ้ ป็นคนดี การเป็ นคนดีตอ้ งมีจิตใจดี พระพทุ ธศาสนามุง่ ฝึกอบรมจิตใจ เพราะ จิตใจเป็ นเรื่องสาคญั ท่ีแสดงพฤติกรรมทางกายและวาจา 5 พระพุทธศาสนามุง่ เนน้ ความสงบความสุขทาง ใจ ความสุขที่เกิดจากการทาดี และการสละจากกิเลสตณั หา ความสุขหาไดโ้ ดยไมต่ อ้ งมีฐานะร่ารวย หาได้ ดว้ ยการฝึกจิตของตน ในแง่น้ีพระพทุ ธศาสนาใหค้ วามสาคญั แก่คุณคา่ มากกวา่ มูลคา่

นัยแห่งพระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ การคดิ แบบวทิ ยาศาาสตร์ 1 การคิดวเิ คราะห์วทิ ยาศาสตร์เช่ือวา่ ความจริงมีส่วนประกอบยอ่ ยๆ วทิ ยาศาสตร์ศึกษาโดยการ แยกแยะหรือวิเคราะห์ส่วนประกอบลงไปจนถึงส่วนที่เล็กท่ีสุด เช่นวเิ คราะห์ลงไปจนถึงระดบั อะตอม หรือ ดีเอ็นเอ 2 การอธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปรากฎการณ์ในเชิงเหตุและผล วทิ ยาศาสตร์เชื่อวา่ ปรากฎการณ์ ท้งั หลายมีปรากฎการณือ่ืนเป็ นสาเหตุ จึงศึกษาปรากฎการณ์ท่ีเกิดร่วมกนั วา่ อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล 3 การสงั เคราะห์เม่ือมีความรู้ในรายละเอียดแลว้ วทิ ยาศาสตร์ก็นาความรู้ที่ไดไ้ ปสงั เคราะห์คือ สร้างส่ิง ใหมป่ รับปรุงดดั แปลงธรมชาติ ใหเ้ กิดส่ิงท่ีมีคุณสมบตั ิตามที่มนุษยต์ อ้ งการ ซ่ึงคุณสมบตั ิเช่นน้นั ไมม่ ีในส่ิง ธรรมชาติ 4 วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ การคิดท้งั 3 ประการน้นั อาศยั วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ซ่ึงไดร้ ู้จกั มาแลว้ จาก วชิ าวทิ ยาศาสตร์ คือการสงั เกต การรวบรวมขอ้ มูลจากการสังเกต การต้งั สมมติฐาน การทดสอยสมมติฐาน และการสรุปผล ซ่ึงท้งั หมดน้ีตอ้ งเป็ นเร่ืองเกี่ยวกบั สสารและพลงั งาน และวธิ ีการดงั กล่าวท้งั หมดคือวธิ ี พสิ ูจนด์ ว้ ยประสาทสัมผสั 5 การพสิ ูจน์แบบวทิ ยาศาสตร์เป็นสาธารณะ หมายความวา่ เป็นส่ิงที่แสดงใหป้ รากฎอยา่ งเปิ ดเผยได้ เม่ือใดมีเง่ือนไขครบถว้ น เม่ือน้นั ก็เกิดปรากฎการณ์ได้ วธิ ีคิดแบบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามิไดป้ ฏิเสธความคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ เพราะเป็นวธิ ีที่ถูกตอ้ งในกรคิดเก่ียวกบั สิ่งที่เป็น ปรากฎการณ์ ไมว่ า่ จะเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือปรากฎการณ์ทางสงั คมคือเรื่องท่ีเกิดข้ึนในสงั คม แต่การคิด ดงั กล่าวยงั เช่ือมโยงไปถึงการประมวลคา่ เช่น การตดั สินดีชว่ั ซ่ึงพระพทุ ธศาสนามีวธิ ีคิดในเร่ืองดงั กล่าว ดว้ ย เรียกวา่ “โยนิโสมนัสิการ” การระมัดระวงั ในเรื่องการรับความรู้ ในการหาความรู้ เราตอ้ งหาความรู้ที่ผอู้ ่ืน ไดศ้ ึกษาจนใหค้ วามรู้ท่ีกระจ่างชดั ไวแ้ ลว้ การรับความรู้กค็ ือ การเชื่อในความรู้ การเชื่อในความรู้ที่ผดิ อาจเกิดข้ึนได้ เราจะตอ้ งตรวจสอบความรู้ท่ีเราจะเช่ือเสียก่อน เพื่อ จะไดเ้ ริ่มตน้ กระบวนการคิดจากความรู้ที่ถูกตอ้ ง ไมค่ ิดผดิ กบั ความรู้เดิม พระพุทธเจา้ ทรงแสดงหลกั ความ เชื่อไวใ้ นหลกั กาลามสูตร 10 ประการดงั น้ี

1. อยา่ งเช่ือเพียงเพราะไดย้ นิ ไดฟ้ ังตามกนั มา 2. อยา่ เช่ือเพยี งการบอกตอ่ กนั มา 3. อยา่ เชื่อเพยี งเพราะขา่ วท่ีร่าลือกนั มา 4. อยา่ เช่ือเพียงเพราะอยูใ่ นตาราหรือคมั ภีร์ 5. อยา่ เชื่อเพยี งเพราะตามหลกั ตรรกศาสตร์ คือ นึกเดาเอา 6. อยา่ เชื่อเพียงเพราะดว้ ยการคาดคะเน 7. อยา่ เชื่อเพียงเพราะดว้ ยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8. อยา่ เชื่อเพียงเพราะเขา้ กนั ไดก้ บั ทฤษฎีของตน 9. อยา่ เช่ือเพยี งเพราะเห็นวา่ ผพู้ ดู เป็ นบุคคลท่ีน่าเช่ือถือ 10. อยา่ เชื่อเพยี งเพราะนบั ถือวา่ ท่านสมณะน้ีเป็นครูของเรา เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจหลกั ความเช่ือน้ี หลกั การคิดแบบปถมนสิการ เป็นการคิดพิจารณาตอ้ งทาใหถ้ ูกทาง พระพุทธศาสนามีหลกั การคิดให้ ถูกทางเรียกวา่ ปถมนสิการ แปลวา่ คิดถูกทาง คือ คิดไดต้ ลอดต่อเน่ืองกนั เป็ นลาดบั วธิ ีคดิ แบบปถมนสิการ หลกั การิดแบบปถมนสิการ มีวธิ ีคิดหลายวธิ ีประกอบดว้ ย 1 คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจยั คือ พิจารณาปรากฎการณ์วา่ มีอะไรเป็นสาเหตุ สืบสาวจนเห็น ความสัมพนั ธ์เก่ียวโยงส่งต่อกนั เป็นทอดๆ จึงเห็นวา่ เมื่อสิ่งน้ีมีส่ิงน้ีจึงมี เม่ือส่ิงน้ีไมม่ ีส่ิงน้ียอ่ มไม่มี 2 คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ คือ กระจายเน้ือหาออกแลว้ พิจารณาให้เห็นวา่ ส่ิงน้นั ประกอบข้ึนดว้ ย อะไร อยา่ งไร 3 คิดแบบสามญั ลกั ษณ์ คือ แบบรู้เท่าทนั ในความเป็ นธรรมดาวา่ สิ่งท้งั หลายไมค่ งท่ี เมื่อเกิดข้ึนแลว้ ก็ เปลี่ยนแปลง และเส่ือมไปเป็ นธรรมดา อยากจะทาใหม้ นั คงที่กท็ าไม่ได้ 4 คิดแบบแกป้ ัญหา คือคิดวา่ ปัญหาเกิดข้ึนเพราะอะไร 5 คิดแบบพจิ ารณาหลกั การกบั ความมุ่งหมาย คือ ความมุง่ หมายกบั หลกั การยอ่ มสัมพนั ธ์กนั

พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ความหมายของคาว่าการศึกษา คาวา่ “การศึกษา” มาจากคาวา่ “สิกขา” โดยทวั่ ไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การ ฝึกอบรม” “การคน้ ควา้ ” “การพฒั นาการ” และ “การรู้แจง้ เห็นจริงในสิ่งท้งั ปวง” จะเห็นไดว้ า่ การศึกษาใน พระพทุ ธศาสนามีหลายระดบั ต้งั แต่ระดบั ต่าสุดถึงระดบั สูงสุด เม่ือแบง่ ระดบั อยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคือ 1. การศึกษาระดบั โลกิยะ มีความมุง่ หมายเพือ่ ดารงชีวติ ในทางโลก 2. การศึกษาระดบั โลกุตระ มีความมุง่ หมายเพ่ือดารงชีวติ เหนือกระแสโลก ในการศึกษาหรือการพฒั นาตามหลกั พระพุทธศาสนา น้นั พระพุทธเจา้ สอนใหค้ นไดพ้ ฒั นาอยู่ 4 ดา้ น คือ ดา้ นร่างกาย ดา้ นศีล ดา้ นจิตใจ และดา้ นสติปัญญา โดยมีจุดมุง่ หมายใหม้ นุษยเ์ ป็นท้งั คนดีและคนเก่ง มิใช่เป็นคนดีแต่โง่ หรือเป็ นคนเก่งแต่โกง การจะสอนให้มนุษยเ์ ป็นคนดีและคนเก่งน้นั จะตอ้ งมีหลกั ใน การศึกษาท่ีถูกตอ้ งเหมาะสม ซ่ึงในการพฒั นามนุษยน์ ้นั พระพทุ ธศาสนามุง่ สร้างมนุษยใ์ หเ้ ป็นคนดีก่อน แลว้ จึงค่อยสร้างความเก่งทีหลงั นน่ั คือสอนใหค้ นเรามีคุณธรรม ความดีงามก่อนแลว้ จึงใหม้ ีความรู้ความ เขา้ ใจหรือสติปัญญาภายหลงั ดงั น้นั หลกั ในการศึกษาของพระพุทธศาสนา น้นั จะมี ลาดบั ข้นั ตอนการศึกษา โดยเร่ิมจาก สี ลสิกขา ต่อดว้ ยจิตตสิกขาและข้นั ตอนสุดทา้ ยคือ ปัญญาสิกขา ซ่ึงข้นั ตอนการศึกษาท้งั 3 น้ี รวมเรียกวา่ \"ไตรสิกขา\" ซ่ึงมีความหมายดงั น้ี 1. สีลสิกขา การฝึกศึกษาในดา้ นความประพฤติทางกาย วาจา และอาชีพ ใหม้ ีชีวติ สุจริตและเก้ือกูล 2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาดา้ นสมาธิ หรือพฒั นาจิตใจใหเ้ จริญไดท้ ี่ 3. ปัญญาสิกขา การฝึ กศึกษาในปัญญาสูงข้ึนไป ใหร้ ู้คิดเขา้ ใจมองเห็นตามเป็ น ความสัมพนั ธ์ของไตรสิกขา ความสมั พนั ธ์แบบต่อเนื่องของไตรสิกขาน้ี มองเห็นไดง้ ่ายแมใ้ นชีวิตประจาวนั กล่าวคือ (ศีล -> สมาธิ) เม่ือประพฤติดี มีความสัมพนั ธ์งดงาม ไดท้ าประโยชน์อยา่ งนอ้ ยดาเนินชีวติ โดย สุจริต มน่ั ใจในความบริสุทธ์ิของ ตน ไม่ตอ้ งกลวั ต่อการลงโทษ ไม่สะดุง้ ระแวงต่อการประทุษร้ายของคู่เวร ไมห่ วาดหวน่ั เสียวใจต่อเสียงตาหนิหรือความรู้สึก ไม่ยอมรับของสังคม และไมม่ ีความฟุ้งซ่านวนุ่ วายใจ เพราะความรู้สึกเดือดร้อนรังเกียจในความผดิ ของตนเอง จิตใจกเ็ อิบอ่ิม ชื่นบานเป็นสุข ปลอดโปร่ง สงบ และแน่วแน่ มุง่ ไปกบั สิ่งที่คดิ คาท่ีพดู และการที่ทา (สมาธิ -> ปัญญา) ยง่ิ จิตไม่ฟุ้งซ่าน สงบ อยกู่ บั ตวั ไร้ส่ิงข่นุ มวั สดใส มุง่ ไปอยา่ งแน่วแน่เท่าใด การรับรู้ การคิดพินิจพจิ ารณามอง เห็นและเขา้ ใจสิ่งต่างๆกย้ ง่ิ ชดั เจน ตรงตามจริง แล่น คล่อง เป็นผลดี ในทางปัญญามากข้ึนเทา่ น้นั อุปมาในเรื่องน้ี เหมือนวา่ ต้งั ภาชนะน้าไวด้ ว้ ยดีเรียบร้อย ไมไ่ ปแกลง้ สนั่ หรือเขยา่ มนั ( ศีล ) เม่ือน้าไมถ่ ูกกวน คน พดั หรือเขยา่ สงบนิ่ง ผงฝ่ นุ ตา่ งๆ ก็นอนกน้ หายข่นุ น้ากใ็ ส (สมาธิ) เมื่อน้าใส ก็

มองเห็นสิ่งตา่ งๆ ไดช้ ดั เจน ( ปัญญา ) ในการปฏิบตั ิธรรมสูงข้ึนไป ที่ถึงข้นั จะใหเ้ กิดญาณ อนั รู้แจง้ เห็นจริงจนกาจดั อาสวกิเลสได้ ก็ ยงิ่ ตอ้ งการจิตท่ีสงบนิ่ง ผอ่ งใส มีสมาธิแน่วแน่ยงิ่ ข้ึนไปอีก ถึงขนาดระงบั การรับรู้ทางอายตนะต่างๆ ไดห้ มด เหลืออารมณ์หรือสิ่งท่ีกาหนดไวใ้ ชง้ าน แต่เพียงอยา่ งเดียว เพอื่ ทาการอยา่ งไดผ้ ล จนสามารถกาจดั กวาดลา้ ง ตะกอนที่นอนกน้ ไดห้ มดสิ้น ไม่ใหม้ ีโอกาสข่นุ อีกต่อไป ไตรสิกขาน้ี เมื่อนามาแสดงเป็นคาสอนในภาคปฏิบตั ิทว่ั ไป ไดป้ รากฏในหลกั ท่ีเรียกวา่ โอวาทปาฏิโมกข์ ( พทุ ธโอวาทท่ีเป็ นหลกั ใหญ่ อยา่ ง ) คือ สพพปาปสส อกรณ การไม่ทาความชว่ั ท้งั ปวง ( ศีล ) กสุ ลสสูปสมปทา การบาเพญ็ ความดีใหเ้ พียบพร้อม (สมาธิ ) สจิตตปริโยทปน การทาจิตของตนใหผ้ อ่ งใส (ปัญญา ) นอกจากน้ียงั มีวธิ ีการเรียนรู้ตามหลกั โดยทวั่ ไป ซ่ึงพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ ตรัสไว้ 5 ประการ คือ 1. การฟัง หมายถึงการต้งั ใจศึกษาเล่าเรียนในหอ้ งเรียน 2. การจาได้ หมายถึงการใชว้ ธิ ีการตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้จาได้ 3. การสาธยาย หมายถึงการท่อง การทบทวนความจาบอ่ ย ๆ 4. การเพง่ พินิจดว้ ยใจ หมายถึงการต้งั ใจจินตนาการถึงความรู้น้นั ไวเ้ สมอ 5. การแทงทะลุดว้ ยความเห็น หมายถึงการเขา้ ถึงความรู้อยา่ งถูกตอ้ ง เป็น ความรู้อยา่ งแทจ้ ริง ไมใ่ ช่ ติดอยแู่ ต่เพยี งความจาเท่าน้นั แตเ่ ป็นความรู้ความจาที่สามารถนามาประพฤติปฏิบตั ิได้ จะเห็นไดว้ า่ สีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา การศึกษาท้ั 3 ข้นั น้ี ตา่ งกเ็ ป็นพ้ืนฐาน กนั และกนั ซ่ึงในการศึกษา พทุ ธศาสนามุ่งสอนใหค้ นเป็ นคนดี คนเก่งและสามารถอยูใ่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมี ความสุข จากกระบวนการศึกษาที่กล่าวมาท้งั 3 ข้นั ตอนของพทุ ธศาสนาน้ี หากสามารถนาไปปฏิบตั ิอยา่ ง จริงจงั ก็จะเกิดผลดีกบั ผปู้ ฏิบตั ิ ซ่ึงหลกั การท้งั 3 น้นั เป็ นท่ียอมรับจากชาวโลก ทาใหพ้ ุทธศาสนาได้ แพร่หลายไปในประเทศตา่ ง ๆ ทวั่ โลก จึงนบั ไดว้ า่ พุทธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งการศึกษาอยา่ งแทจ้ ริง

พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั และวธิ ีการแก้ปัญหา พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัย หลกั ของเหตุปัจจยั หรือหลกั ความเป็ นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตุปัจจยั ท่ีอิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ท่ีเรียกวา่ \"กฎปฏิจจสมุปบาท\" ซ่ึงมีสาระโดยยอ่ ดงั น้ี \"เมื่ออนั น้ีมี อนั น้ีจึงมี เมื่ออนั น้ีไม่มี อนั น้ีก็ไม่มี เพราะอนั น้ีเกิด อนั น้ีจึงเกิด เพราะอนั น้ีดบั อนั น้ีจึงดบั \"นี่เป็น หลกั ความจริงพ้ืนฐาน วา่ ส่ิงหน่ึงสิ่งใดจะเกิดข้ึนมาลอย ๆ ไมไ่ ด้ หรือในชีวติ ประจาวนั ของเรา \"ปัญหา\"ที่ เกิดข้ึนกบั ตวั เราจะเป็นปัญหาลอย ๆ ไมไ่ ด้ จะตอ้ งมีเหตุปัจจยั หลายเหตุที่ก่อใหเ้ กิดปัญหาข้ึนมา หากเรา ตอ้ งการแกไ้ ขปัญหาก็ตอ้ งอาศยั เหตุปัจจยั ในการแกไ้ ขหลายเหตุปัจจยั ไม่ใช่มีเพียงปัจจยั เดียวหรือมีเพียง หนทางเดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็นตน้ คาวา่ \"เหตุปัจจยั \" พุทธศาสนาถือวา่ สิ่งที่ทาใหผ้ ลเกิดข้ึนไม่ใช่เหตุอยา่ งเดียว ตอ้ งมีปัจจยั ต่าง ๆ ดว้ ยเม่ือมีปัจจยั หลายปัจจยั ผลก็เกิดข้ึน ตวั อยา่ งเช่น เราปลูกมะมว่ ง ตน้ มะมว่ งงอกงามข้ึนมาตน้ มะมว่ งถือ วา่ เป็นผลท่ีเกิดข้ึน ดงั น้นั ตน้ มะม่วงจะเกิดข้ึนเป็ นตน้ ท่ีสมบูรณ์ไดต้ อ้ งอาศยั เหตุปัจจยั หลายปัจจยั ท่ีก่อใหเ้ กิด เป็นตน้ มะม่วงได้ เหตุปัจจยั เหล่าน้นั ไดแ้ ก่ เมล็ดมะม่วง ดิน น้า ออกซิเจน แสงแดด อุณหภูมิท่ีพอเหมาะ ป๋ ุย เป็นตน้ ปัจจยั เหล่าน้ีพรั่งพร้อมจึงก่อใหเ้ กิดตน้ มะมว่ ง ตวั อยา่ งความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั เช่น ปัญหาการมี ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนต่า ซ่ึงเป็นผลที่เกิดจากการเรียนของนกั เรียน มีเหตุปัจจยั หลายเหตุปัจจยั ท่ีก่อใหเ้ กิด การเรียนอ่อน เช่น ปัจจยั จากครูผสู้ อน ปัจจยั จากหลกั สูตรปัจจยั จากกระบวนการเรียนการสอนปัจจยั จากการ วดั ผลประเมินผล ปัจจยั จากตวั ของนกั เรียนเอง เป็ นตน้ ความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั หรือหลกั ปฏิจจสมุปบาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของส่ิงท้งั หลายสัมพนั ธ์เน่ือง อาศยั เป็นเหตุปัจจยั ต่อกนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะที่เป็ นกระแสน้ี ขยายความหมายออกไปใหเ้ ห็นแง่ต่าง ๆ ไดค้ ือ - ส่ิงท้งั หลายมีความสัมพนั ธ์ต่อเนื่องอาศยั เป็นปัจจยั แก่กนั - สิ่งท้งั หลายมีอยโู่ ดยความสัมพนั ธ์กนั - ส่ิงท้งั หลายมีอยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - สิ่งท้งั หลายไมม่ ีความคงท่ีอยอู่ ยา่ งเดิมแมแ้ ต่ขณะเดียว (มีการเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่ อยนู่ ิ่ง) - ส่ิงท้งั หลายไม่มีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คือ ไมม่ ีตวั ตนท่ีแทจ้ ริงของมนั - สิ่งท้งั หลายไมม่ ีมูลการณ์ หรือตน้ กาเนิดเดิมสุด แต่มีความสมั พนั ธ์แบบวฏั จกั ร หมุนวนจน ไมท่ ราบวา่ อะไรเป็นตน้ กาเนิดที่แทจ้ ริง

หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาของพระพทุ ธศาสนาที่เนน้ ความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั มีมากมาย ในท่ีน้ีจะ กล่าวถึงหลกั คาสอน 2 เรื่อง คือ ปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจ 4 ปฏจิ จสมุปบาท คือ การที่สิ่งท้งั หลายอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เกิดข้ึน เป็นกฎธรรมชาติที่พระพุทธเจา้ ทรงคน้ พบ การที่พระพุทธเจา้ ทรงคน้ พบกฎน้ีน่ีเอง พระองคจ์ ึงไดช้ ่ือวา่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กฏปฏิจจสมุปบาท เรียก อีกอยา่ งหน่ึงวา่ กฏอิทปั ปัจจยตา ซ่ึงกค็ ือ กฏแห่งความเป็ นเหตุเป็นผลของกนั และกนั นนั่ เอง กฏปฏิจจสมุปบาท คือ กฏแห่งเหตุผลท่ีวา่ ถ้าสิ่งนมี้ ี ส่ิงนั้นกม็ ี ถ้าสิ่งนดี้ บั สิ่งนัน้ ก้ดับ ปฏิจจสมุปบาทมี องคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1) อวชิ ชา คือ ความไม่รู้จริงของชีวติ ไม่รู้แจง้ ในอริยสจั 4 ไมร่ ู้เท่าทนั ตามสภาพที่เป็นจริง 2) สังขาร คือ ความคิดปรุงแตง่ หรือเจตนาท้งั ที่เป็นกุศลและอกศุ ล 3) วญิ ญาณ คือ ความรับรู้ต่ออารมณ์ต่างๆ เช่น เห็น ไดย้ นิ ไดก้ ล่ิน รู้รส รู้สัมผสั 4) นามรูป คือ ความมีอยใู่ นรูปธรรมและนามธรรม ไดแ้ ก่ กายกบั จิต 5) สฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ 6) ผสั สะ คือ การถูกตอ้ งสัมผสั หรือการกระทบ

7) เวทนา คือ ความรู้สึกวา่ เป็นสุข ทุกข์ หรืออุเบกขา 8) ตณั หา คือ ความทะเยอทะยานอยากหรือความตอ้ งการในส่ิงท่ีอานวยความสุขเวทนา และความดิ้นรน หลีกหนีในสิ่งท่ีก่อทุกขเวทนา 9) อปุ าทาน คือ ความยดึ มน่ั ถือมน่ั ในตวั ตน 10) ภพ คือ พฤติกรรมที่แสดงออกเพ่อื สนองอุปาทานน้นั ๆ เพ่ือใหไ้ ดม้ าและใหเ้ ป้นไปตามความยดึ มนั่ ถือ มน่ั 11) ชาติ คือ ความเกิด ความตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ในพฤติกรรมของตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ขะ โทมนัส อุปายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความคร่า ครวญ ความไม่สบายกาย ความไมส่ บายใจ และความคบั แคน้ ใจหรือความกลดั กลุ่มใจ องคป์ ระกอบท้งั 12 ประเภทน้ี พระพุทธเจา้ เรียกวา่ องค์ประกอบแห่งชีวิต หรือกระบวนการของ ชีวิต ซ่ึงมีความสัมพนั ธ์เกย่ี วเน่ืองกนั ทานองปฏิกริ ิยาลูกโซ่ เป็นเหตุปัจจยั ต่อกนั โยงใยเป็นวงเวยี น ไมม่ ีตน้ ไมม่ ีปลาย ไม่มีท่ีสิ้นสุด กล่าวคือองคป์ ระกอบของชีวติ ตามกฏปฏิจจสมุปบาทดงั กล่าวน้ี เป็นสายเกิดเรียกวา่ สมทุ ยั วาร เพราะมีอวชิ ชา จึงมี สงั ขาร เพราะมีเวทนา จึงมี ตณั หา เพราะมีสงั ขาร จึงมี วิญญาณ เพราะมีตณั หา จึงมี อุปาทาน เพราะมีวญิ ญาณ จึงมี นามรูป เพราะมีอุปาทาน จึงมี ภพ เพราะมีนามรูป จึงมี สฬายต เพราะมีภพ จึงมี ชาติ นะ เพราะมีชาติ จึงมี ชรา มรณะ โสกะ เพราะมีสฬายตนะ จึงมี ผสั สะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายาสะ เพราะมีผสั สะ จึงมี เวทนา ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ เราสามารถรู้เทา่ ทนั กระบวนการของชีวติ และกาจดั เหตุเสียได้ ผลก็ยอ่ ม สิ้นสุดลง ปฏิจจสมุปบาทดงั กล่าวน้ีเป็นสายดบั เรียกวา่ นิโรธวาร ซ่ึงมีลาดบั ความเป็นเหตุเป็นผลของกนั และ กนั ดงั น้ี เพราะ อวชิ ชา ดบั สงั ขาร จึงดบั เพราะ เวทนา ดับ ตณั หา จึงดบั เพราะ สงั ขาร ดับ วญิ ญาณ จึงดบั เพราะ ตณั หา ดับ อุปาทาน จึงดบั เพราะ วญิ ญาณ ดบั นามรูป จึงดับ เพราะ อุปาทาน ดบั ภพ จึงดบั

เพราะ นามรูป ดบั สฬายตนะ จึงดบั เพราะ ภพ ดบั ชาติ จึงดับ เพราะ สฬายตนะ ดับ ผสั สะ จึงดับ เพราะ ชาติ ดบั ชรา มรณะ โสกะ เพราะ ผสั สะ ดบั เวทนา จึงดับ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายา สะ จึงดบั จากกฎน้ีจะเห็นชดั วา่ ท้งั สายเกิดและสายดบั ทุกส่ิงทุกอยา่ งหรือที่เรียกวา่ สภาวธรรม จะมีอวชิ ชา เป็นตวั เหตุอนั ดบั แรก กล่าวคือ เพราะมีอวชิ ชา ทุกส่ิงทุกอยา่ งจึงมี และเพราะอวชิ ชาดบั คือสิ้นสุดลง ทุกสิ่ง ทุกอยา่ งกย็ อ่ มดบั ลงดว้ ย ดงั แผนภูมิ จากกฏปฏจิ จสมุปบาทหรือกฎอทิ ปั ปัจจยตาทว่ี ่าอวิชชาเป็ นตัวเหตขุ องทุกส่ิงทุกอย่าง อวชิ ชาคือ ความไมร่ ู้แจง้ ในอริยสจั 4 ดงั น้นั กฎปฏิจจสมุปบาท เม่ือกล่าวโดยสรุปแลว้ กค็ ือ อริยสัจ 4 นน่ั เอง อริยสัจ หมายถึง หลกั ความจริงอนั ประเสริฐหรือหลกั ความจริงท่ีทาใหผ้ เู้ ขา้ ถึงเป็นผปู้ ระเสริฐ มี 4 ประการ คือ 1) ทุกข์ หมายถึง ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ หรือสภาพท่ีบีบค้นั จิตใจใหท้ นไดย้ าก ทุกขเ์ ป็นสภาวะที่ จะตอ้ งกาหนดรู้ 2) สมทุ ยั (ทุกขสมทุ ัย) หมายถึง ตน้ เหตุท่ีทาใหเ้ กิดทุกข์ ไดแ้ ก่ ตณั หา3 ประการ คือ กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตณั หา สมุทยั เป็นสภาวะที่จะตอ้ งละหรือทาใหห้ มดไป 3) นิโรธ (ทุกนิโรธ)หมายถึง ความดบั ทุกข์ หรือสภาวะที่ปราศจากทุกข์ เป็นสภาวะท่ีตอ้ งทาความเขา้ ใจให้ แจ่มแจง้ 4) มรรค (ทุกขนิโรธคามินีปฎิปทา) หมายถึง ทางดบั ทุกข์ หรือขอ้ ปฏิบตั ิใหถ้ ึงความดบั ทุกข์ ไดแ้ ก่ มชั ฌิมาปฏิปทา หรืออริยมรรคมีองค์ 8 ซ่ึงสรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคเป็น สภาวะที่ต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเองจึงจะไปสู่ความดบั ทุกข์ได้ อริยสัจ 4 น้ีถา้ วเิ คราะห์กนั ในเชิงวทิ ยาการสมยั ใหมก่ ็คือ ศาสตร์แห่งเหตุผล เพราะอริยสจั 4 จดั ไดเ้ ป็น 2 คู่ แตล่ ะคูเ่ ป็นเหตุเป็นผลของกนั และกนั ดงั แผนภูมิ

หลกั อริยสัจ 4 หมายถงึ หลกั ความจริงอนั ประเสริฐ เม่ือวเิ คราะห์ในทางกลบั กนั จากกฏที่วา่ เม่ือมที ุกข์ กต็ ้องมคี วามดบั ทุกข์ อริยสจั คู่ท่ีสอง (นิโรธและ มรรค) กลายเป็นเหตุท่ีนาไปสู่ผล คือ การดบั อริยสัจคูแ่ รก (ทุกขแ์ ละสมุทยั ) อนั เป็นการยอ้ นศรอีกรอบหน่ึง จะเห็นชดั วา่ อริยสัจ 4 เป็นกระบวนการท่ีเก่ียวเน่ืองกนั เป็ นระบบ เหตุผล คือ เมื่อมีเหตุเกิดแห่งทุกข์ (สมุทยั ) กจ็ ะทาใหเ้ กิดความทุกข์ (ทุกข)์ ในขณะเดียวกนั หากตอ้ งการ สภาวะหมดทุกข์ (นิโรธ) ก็ตอ้ งกาจดั เหตุเกิดแห่งทุกข์ คือตณั หาดว้ ยการปฏิบตั ิตามมรรค 8 (มรรค) วธิ ีแก้ปัญหาตามแนวพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเนน้ การแกป้ ัญหาดว้ ยการกระทาของมนุษยต์ ามหลกั ของเหตุผล ไม่หวงั การ ออ้ นวอนจากปัจจยั ภายนอก เช่น เทพเจา้ รุกขเทวดา ภูตผปี ี ศาจ เป็นตน้ จะเห็นไดจ้ ากตวั อยา่ งคาสอนใน คาถาธรรมบท แปลความวา่ มนุษยท์ ้งั หลายถูกภยั คุกคามแลว้ พากนั ถึงเจา้ ป่ าเจา้ เขา เจา้ ภูผา ตน้ ไมศ้ กั ด์ิสิทธ์ิ เป็นที่พ่ึงแต่ส่ิงเหล่าน้นั ไม่ใช่สรณะอนั เกษม เม่ือยดึ เอาส่ิงเหล่าน้นั เป็นสรณะ (ท่ีพ่ึง) ยอ่ มไม่สามารถหลุดพนั จากความทุกขท์ ้งั ปวง…แต่ชนเหล่าใดมาถึง พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ รู้เขา้ ใจอริยสัจ 4 เห็นปัญหา เหตุเกิดของปัญหา ภาวะไร้ปัญหา และวธิ ีปฏิบตั ิใหถ้ ึงความสิ้นปัญหาจึงจะสามารถหลุดพน้ จากทุกขท์ ้งั ปวงได\"้ ดงั น้นั มนุษยต์ อ้ งแกป้ ัญหา ดว้ ยวธิ ีการของมนุษยท์ ่ีเพยี รทาการดว้ ยปัญญาท่ีรู้เหตุปัจจยั หลกั การแกป้ ัญหาดว้ ยปัญญาของมนุษยค์ ือ 1. ทุกข์ คือ การเกิดปัญหา หรือรู้ปัญหาท่ีเกิดข้ึน หรือรู้วา่ ปัญหาที่เกิดข้ึนคืออะไร 2. สมุทยั คือ การสืบหาสาเหตุของปัญหา 3. นิโรธ คือ กาหนดแนวทางหรือวธิ ีการแกไ้ ขปัญหาที่เกิดจากสาเหตุตา่ ง ๆ เหล่าน้นั 4. มรรค คือ ปฏิบตั ิตามวธิ ีการใหถ้ ึงการแกไ้ ขปัญหา หรือวธิ ีการดบั ปัญหาได้

หลกั การแกป้ ัญหาตามหลกั อริยสจั 4 น้ี มีคุณค่าเด่นท่ีสาคญั พอสรุปไดด้ งั น้ี 1. เป็นวธิ ีการแห่งปัญญา ซ่ึงดาเนินการแกไ้ ขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล เป็นระบบวธิ ีแบบอยา่ ง ซ่ึง วธิ ีการแกป้ ัญหาใด ๆ กต็ าม ท่ีจะมีคุณค่าและสมเหตุผล จะตอ้ งดาเนินไปในแนวเดียวกนั เช่นน้ี 2. เป็นการแกป้ ัญหาและจดั การกบั ชีวติ ของตน ดว้ ยปัญญาของมนุษยเ์ อง โดยนาเอาหลกั ความจริงที่มี อยตู่ ามธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ ไม่ตอ้ งอา้ งอานาจดลบนั ดาลของตวั การพิเศษเหนือธรรมชาติ หรือส่ิง ศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ 3. เป็นความจริงที่เกี่ยวขอ้ งกบั ชีวติ ของคนทุกคน ไมว่ า่ มนุษยจ์ ะเตลิดออกไปเกี่ยวขอ้ งสมั พนั ธ์กบั สิ่ง ท่ีอยหู่ ่างไกลตวั กวา้ งขวางมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ถา้ เขายงั จะตอ้ งมีชีวติ ของตนเองที่มีคุณค่าและสัมพนั ธ์ กบั สิ่งภายนอกเหล่าน้นั อยา่ งมีผลดีแลว้ เขาจะตอ้ งเกี่ยวขอ้ งและใชป้ ระโยชนจ์ ากหลกั ความจริงน้ีตลอดไป 4. เป็นหลกั ความจริงกลาง ๆ ท่ีติดเนื่องอยกู่ บั ชีวติ หรือเป็นเร่ืองของชีวติ เองแท้ ๆ ไม่วา่ มนุษยจ์ ะ สร้างสรรคศ์ ิลปวทิ ยาการ หรือดาเนินกิจการใด ๆ ข้ึนมา เพ่อื แกป้ ัญหาและพฒั นาความเป็นอยขู่ องตน และ ไมว่ า่ ศิลปะ-วทิ ยาการ หรือกิจการต่าง ๆ น้นั จะเจริญข้ึน เส่ือมลง สูญสลายไป หรือเกิดมีใหม่มาแทน อยา่ งไรก็ตาม หลกั ความจริงน้ีก็จะคงยนื ยงใหม่ และใชเ้ ป็นประโยชน์ไดต้ ลอด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook