Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 15229_ONET M3 SCI_QUESTION_PAPER

15229_ONET M3 SCI_QUESTION_PAPER

Published by Guset User, 2021-10-19 04:11:57

Description: 15229_ONET M3 SCI_QUESTION_PAPER

Search

Read the Text Version

สนามสอบ O-NET รหสั 95 วิชาวทิ ยาศาสตร์ วนั ที่ 18 พ.ย.- 20 ธ.ค. 62 ระยะเวลา 90 นาที ชอ่ื -นามสกุล ______________________________ เลขทนี่ ง่ั สอบ _________________ สถานที่สอบ _______________________________ ห้องสอบ ____________________ กรณุ าอ่านคำ� อธิบายใหเ้ ข้าใจ กอ่ นลงมอื ทำ� ขอ้ สอบ 1. ลักษณะแบบทดสอบ ข้อสอบจ�ำนวน 44 ขอ้ คะแนนเต็ม 100 คะแนน 2. กอ่ นตอบค�ำถามให้เขียนชอื่ -นามสกุล เลขทนี่ ่งั สอบ สถานท่สี อบ และห้องสอบ บนหนา้ ปกขอ้ สอบ 3. ใหเ้ ขยี นชื่อ-นามสกุล ข้อมลู สว่ นบุคคล และที่น่ังสอบในกระดาษคำ� ตอบ และตรวจสอบเลขทนี่ ง่ั ว่าตรงกับบัตรประจำ� ตวั ผ้เู ขา้ สอบ 4. ใชด้ ินสอดำ� เบอร์ 2B ระบายวงกลมตัวเลอื กในกระดาษคำ� ตอบใหเ้ ตม็ วง (หา้ มระบายนอกวง) ถา้ ตอ้ งการเปลีย่ นตวั เลอื กใหม่ตอ้ งลบให้สะอาดจน หมดรอยด�ำแล้วจึงระบายวงกลมตัวเลอื กใหม่ 5. เมื่อสอบเสรจ็ ให้วางกระดาษค�ำตอบไวด้ า้ น บนขอ้ สอบ 6. หา้ มขีดเขียนบนขอ้ สอบ หา้ มนำ� ขอ้ สอบและกระดาษคำ� ตอบออกจากหอ้ งสอบ 7. ไม่อนญุ าตใหผ้ ูเ้ ข้าสอบออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลาสอบ 8. ไม่อนุญาตให้ผ้คู ุมสอบเปิดอา่ นขอ้ สอบ เอกสารนเี้ ป็นลขิ สิทธข์ิ องบริษทั เลริ น์ คอรป์ อเรช่นั จำ� กัด การท�ำซำ�้ ดัดแปลง หรอื เผยแพรเ่ อกสารดงั กล่าว จะถูกดำ� เนินคดตี ามกฎหมาย

คำ� ชีแ้ จง แบบทดสอบกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดช่วงช้ัน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 รายละเอยี ดแบบทดสอบ จ�ำนวน 44 ขอ้ คะแนนเตม็ 100 คะแนน มี 2 ตอน ตอนท่ี 1 แบบปรนยั 4 ตวั เลือก เลือก 1 ค�ำตอบท่ีถูกตอ้ งทีส่ ดุ จำ� นวน 40 ขอ้ (ขอ้ 1-40) ข้อละ 2 คะแนน ตอนที่ 2 แบบปรนยั เลือกตอบเชงิ ซอ้ น 1 ข้อ มี 3 คำ� ถามยอ่ ย จ�ำนวน 4 ข้อ (ขอ้ 41-44) ขอ้ ละ 5 คะแนน ตอบถกู 3 คำ� ถามย่อย ได้ 5 คะแนน ตอบถกู 2 ค�ำถามย่อย ได้ 2.5 คะแนน ตอบถูก 1 คำ� ถามยอ่ ย หรอื ตอบไม่ถกู ทัง้ หมด ได้ 0 คะแนน วธิ ีการตอบ ใหใ้ ชด้ ินสอดำ� 2B ระบายในวงกลมทเ่ี ปน็ คำ� ตอบในกระดาษค�ำตอบ

รหสั วชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 3 ตอนท่ี 1 แบบปรนัย 4 ตวั เลือก เลือก 1 ค�ำตอบท่ีถกู ตอ้ งท่ีสดุ จ�ำนวน 40 ขอ้ ข้อละ 2 คะแนน รวม 80 คะแนน 1. ศึกษาเซลลข์ องส่ิงมีชีวิต 5 ชนดิ พบสว่ นประกอบของเซลล์ดังตาราง ชนิดของ ลักษณะของเซลล์ ส่วนประกอบของเซลล์ เซลล์ สามารถลำ� เลยี งแกส๊ ผนังเซลล์ นิวเคลยี ส ไมโทคอนเดรีย แวควิ โอล คารบ์ อนไดออกไซด์ได้ A    B สามารถเกิดกระบวนการ     สังเคราะห์ด้วยแสงได้ C สามารถสง่ สญั ญาณ     กระแสประสาทได้ D มีแวควิ โอลขนาดใหญ่     E เปน็ ส่งิ มีชีวติ เซลลเ์ ดยี ว      หมายถึง พบส่วนประกอบ  หมายถึง ไม่พบส่วนประกอบ ถ้าน�ำเซลลท์ ั้ง 5 ชนดิ ไปแชล่ งในสารละลายไฮโพโทนกิ เซลล์คู่ใดมีโอกาสเกดิ การแตกได้ 1. A และ B 2. D และ E 3. A และ C 4. B และ D

รหัสวชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 4 2. น�ำเนื้อหมูและมันฝร่ังมาตดั เปน็ ชน้ิ เลก็ ๆ จำ� นวนชนิดละ 4 ชิ้น ให้มมี วลขนาด 4.0 กรมั น�ำไปแช่ใน สารละลาย A B C และ D ทีม่ ีความเข้มข้นแตกต่างกันปรมิ าตร 150 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร เป็นเวลา 20 นาที จากนั้นน�ำช้ินเน้ือหมูและชิ้นมันฝรั่งท่ีน�ำไปแช่ในแต่ละสารละลายมาช่ังน้�ำหนักแล้วบันทึกผล ดังตาราง สารละลาย มวลของเน้ือหมูหลังการแช่ (กรัม) มวลของมันฝรั่งหลงั การแช่ (กรมั ) A 3.2 3.0 B 4.6 4.1 C 4.8 4.6 D 3.5 3.7 พิจารณาขอ้ ความตอ่ ไปนข้ี อ้ ใดไมถ่ ูกตอ้ ง 1. สารละลาย A เปน็ สารละลายทมี่ คี วามเข้มขน้ มากกว่าสารละลาย B 2. สารละลาย B เปน็ สารละลายไฮโพโทนกิ ของเนื้อหมู แต่เปน็ สารละลายไอโซโทนกิ ของมนั ฝร่ัง 3. สารละลาย C เป็นสารละลายไฮเพอรโ์ ทนิกของทั้งเน้อื หมแู ละมนั ฝรงั่ 4. สารละลาย D มีความเข้มขน้ มากวา่ สารละลายภายในเซลล์เนื้อหมแู ละเซลล์มนั ฝร่งั 3. ในการศึกษาการล�ำเลียงน้�ำของต้นชะพลู โดยแบ่งการทดลองเป็น 2 ครั้ง คร้ังท่ี 1 น�ำต้นชะพลูท่ีมี รากสมบูรณ์ไปแช่ในน�้ำท่ีมีสีผสมอาหารสีแดงแล้วจับเวลาที่น้�ำสีแดงเคลื่อนท่ีขึ้นไปตามล�ำต้น จนมี ความสูง 8 เซนตเิ มตร พบวา่ ใช้เวลา 5 นาที คร้งั ท่ี 2 ทำ� การทดลองคลา้ ยกับครั้งท่ี 1 แต่ในขณะทดลอง มีการปรับสภาพแวดล้อมให้ต่างไปจากครั้งที่ 1 ซ่ึงพบว่าน�้ำสีแดงเคล่ือนท่ีไปตามล�ำต้นจนมีความสูง 8 เซนตเิ มตรใช้เวลาเป็น 7 นาที จากขอ้ มลู การทดลองคร้ังท่ี 2 มกี ารปรบั สภาพแวดล้อมอยา่ งไร 1. ปรับใหค้ วามชน้ื ลดลงและอุณหภูมเิ พมิ่ ข้ึน โดยปจั จยั อ่ืนคงที่ 2. ปรับใหค้ วามชน้ื เพิ่มขน้ึ และอุณหภมู ิลดลง โดยปัจจัยอ่นื คงที่ 3. ปรับใหค้ วามเขม้ แสงและอุณหภมู เิ พ่มิ ขึ้น โดยปจั จยั อน่ื คงที่ 4. ปรับความเร็วลมเพม่ิ ขึ้นและความกดอากาศลดลง โดยปจั จยั อน่ื คงท่ี

รหสั วชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 5 4. นักเรียนคนหน่ึงท�ำการขยายพันธุ์มะม่วงโดยใช้ 3 วิธีในการขยายพันธุ์ จากต้นแม่พันธุ์ที่ผลผลิตมาก รสชาติหวานก�ำลังดี เมล็ดเล็ก ซึ่งเม่ือขยายพันธุ์มะม่วงแล้ว แต่ละวิธีได้จ�ำนวนต้นมะม่วงและลักษณะ ของต้นดังน ้ี วิธกี าร จำ� นวนต้นมะมว่ งที่ได้ รากแก้วของต้นมะม่วง ลักษณะผลของตน้ มะมว่ ง ขยายพนั ธุ์ หลงั การขยายพันธ์ุ (ตน้ ) ทีไ่ ด้หลังการขยายพนั ธ์ุ ท่ไี ดห้ ลังการขยายพันธุ์ วิธที ี่ 1 10 ไม่มรี ากแก้ว รสชาตหิ วานก�ำลังดี เมลด็ เล็ก วิธีท่ี 2 15 มรี ากแกว้ ส่วนใหญ่รสชาตหิ วานกำ� ลังดี วิธที ่ี 3 170 ไมม่ รี ากแกว้ เมล็ดเลก็ แตบ่ างลกู มรี สชาติ เปรยี้ วอมหวาน เมลด็ ใหญ่ รสชาติหวานกำ� ลงั ดี เมลด็ เล็ก จากสถานการณ์ ข้อใดเปน็ วิธีขยายพันธุ์มะม่วงวิธีท่ี 1 วิธที ่ี 2 และวิธีท่ี 3 ตามลำ� ดับ 1. การตอนก่ิง การเพาะเมล็ด การเพาะเลยี้ งเนื้อเย่อื 2. การตอนกง่ิ การเพาะเล้ยี งเนอ้ื เยอ่ื การเพาะเมล็ด 3. การเพาะเล้ยี งเน้ือเยอื่ การเพาะเมล็ด การเพาะเลยี้ งเน้ือเย่อื 4. การตดิ ตา การตอนกงิ่ การเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือ

รหสั วิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 6 5. ทดลองเพาะเมลด็ พืชชนิดหน่งึ ในบีกเกอร์ แตล่ ะเมลด็ มีอายุ น้ำ� หนัก และขนาดเทา่ กนั ปลูกโดยใช้สำ� ลี ชุ่มน้�ำห่อหุ้มเมล็ด ดังภาพที่ 1 จากนั้นน�ำกล่องกระดาษลังมาครอบบีกเกอร์ไว้ หลังจากเพาะเมล็ดไป 7 วัน นำ� กล่องกระดาษลังออก พบการเปลี่ยนแปลงดงั ภาพที่ 2 สำ� ลชี ่มุ น้�ำ ภาพท่ี 1 ภาพท่ี 2 (เรม่ิ การทดลอง) (7 วันหลังเรม่ิ การทดลอง) จากการทดลอง ข้อใดอธิบายปรากฏการณก์ ารโค้งของปลายยอดและปลายรากไดถ้ กู ตอ้ งท่สี ุด 1. พชื มกี ารตอบสนองตอ่ แสง 2. พชื มีการตอบสนองตอ่ ความชืน้ 3. พชื มกี ารตอบสนองต่อการสัมผสั 4. พืชมกี ารตอบสนองต่อแรงโน้มถว่ งของโลก 6. คำ� อธิบายเกย่ี วกบั ระบบตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนษุ ย์ในข้อใดไมถ่ กู ตอ้ ง 1. หลอดเลอื ดพลั โมนารอี ารเ์ ตอรนี ำ� เลือดทมี่ อี อกซิเจนต�่ำไปยงั ปอด 2. น้�ำดชี ว่ ยใหเ้ กิดการย่อยเชงิ กลของสารอาหารประเภทไขมนั 3. ถ้าไตท�ำงานผิดปกติ จะพบโปรตีนและกลูโคสในปัสสาวะ 4. โรคถุงลมโปง่ พองทำ� ให้ปอดมพี ื้นทผี่ ิวมากขน้ึ สารจากควนั บุหร่จี ึงแพรส่ ่เู ลอื ดมากขึน้ 7. ข้อใดเป็นพฤตกิ รรมทม่ี มี าแตก่ ำ� เนดิ และพฤตกิ รรมท่เี กิดจากการเรียนรู้ ตามลำ� ดับ พฤติกรรมที่มีมาแต่กำ� เนิด พฤตกิ รรมท่เี กดิ จากการเรียนรู้ 1. แม่ไก่ว่ิงหาลกู เม่ือไดย้ ินเสยี ง คนเพิกเฉยต่อสญั ญาณเตอื นภัย 2. หมาเลิกเหา่ เวลาเครื่องบินผา่ น คางคกไม่กนิ ผึ้งที่มเี ข็มพษิ 3. การเคล่ือนท่ีเขา้ หาแสงของแมลงเม่า ไสเ้ ดือนดนิ เคล่ือนทห่ี นแี สง 4. นกเลิกกลัวหนุ่ ไล่กา การชักใยของแมงมุม

รหัสวิชา 95 วิทยาศาสตร์ หนา้ 7 8. นักเรียนน�ำอาหาร A โดยมขี ้อมูลโภชนาการทางอาหารท่ี 100 กรัม ดงั น้ี แปง้ กลูโคส โปรตีน ไขมนั 40.0 กรมั 0 กรัม 15.0 กรัม 5.0 กรัม หากนกั เรยี นน�ำอาหาร A ไปทดสอบสารอาหารต่าง ๆ ข้อใดมีความใกลเ้ คียงกับผลของการทดสอบน้ี ผลการทดสอบกบั สารละลายชนดิ ต่าง ๆ สารละลาย สารละลายเบเนดิกส์ สาสราลระลละาลยายCuNSaoO4 แHละ ถ/ู หยด ไอโอดนี และให้ความรอ้ น บนกระดาษ 1. สีนำ�้ เงิน ตะกอนสีแดงอฐิ ไมเ่ ปล่ยี นแปลง โปรง่ แสง 2. ไม่เปลีย่ นแปลง ตะกอนสแี ดงอฐิ สีมว่ ง โปรง่ แสง 3. สีน้�ำเงิน ไม่เปลี่ยนแปลง สีม่วง ไมเ่ ปลี่ยนแปลง 4. สนี �้ำเงนิ ไมเ่ ปลี่ยนแปลง สมี ่วง โปร่งแสง

รหสั วิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 8 9. การมีลักยิ้มเป็นพันธุกรรมที่ควบคุมด้วยยีนที่มีแอลลีล 2 แบบ คือ D เเละ d โดยแอลลีล D ควบคุม ลกั ษณะมลี กั ยม้ิ ซง่ึ เปน็ แอลลลี เดน่ เเละเเอลลลี d ควบคมุ ลกั ษณะไมม่ ลี กั ยมิ้ ซง่ึ เปน็ เเอลลลี ดอ้ ย เพดดกี รี ของครอบครวั หน่ึงเปน็ ดงั เเผนภาพ รนุ่ ที่ 1 2 34 I II 1 2 34 III 12 3 คอื คนมีลกั ย้ิม ก�ำหนดให้ เเละ เเละ คอื คนไม่มลี กั ยมิ้ จากขอ้ มลู ข้อใดสรปุ ไมถ่ ูกตอ้ ง 1. รุ่นท่ี I คนที่ 1 และคนที่ 2 มีโอกาสมีคู่ยีนเปน็ Dd ท้ัง 2 คน 2. รนุ่ ที่ II คนท่ี 3 และคนที่ 4 แต่งงานกนั บตุ รระหวา่ งท้ัง 2 คนจะมีโอกาสมลี กั ยม้ิ 3. รนุ่ ท่ี III คนที่ 2 และคนท่ี 3 มคี ูย่ นี เป็น DD เท่านั้น 4. คนรุ่นที่ III มีอัตราสว่ นฟโี นไทป์ของคนที่มีลกั ยิ้มและไม่มีลักย้ิมเปน็ 1 : 1

รหัสวิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 9 10. สิ่งมีชีวติ ในทะเลแหง่ หนงึ่ มีความสมั พนั ธก์ นั ดงั สายใยอาหารตอ่ ไปนี้ สาหรา่ ย ปลาการ์ตนู หมึก ฉลาม หอย กุง้ ข้อใดอธบิ ายสายใยอาหารในระบบนเิ วศทก่ี �ำหนดให้ไดถ้ ูกต้อง 1. ถา้ เกิดปนเปอื้ นสารเคมจี ากขยะในทะเล สารเคมีจะสะสมในหมกึ น้อยกว่าในหอย 2. สาหรา่ ยเป็นผ้ผู ลิตและฉลามเป็นผูบ้ ริโภคลำ� ดบั ที่ 2 ในสายใยอาหารนเ้ี ทา่ นั้น 3. หากจ�ำนวนกุง้ เพม่ิ ขึ้นอย่างรวดเร็วจะสง่ ผลตอ่ การลดลงของจ�ำนวนสาหร่าย 4. พลังงานในโซ่อาหารจะถ่ายทอดไปยงั ท่ฉี ลามมากที่สดุ เพราะเป็นผบู้ รโิ ภคลำ� ดับสดุ ทา้ ย

รหัสวิชา 95 วิทยาศาสตร์ หนา้ 10 กำ� หนดให้ 11. แผนผังแสดงวัฏจกั รของสารเปน็ ดงั นี้ สาร D กระบวนการ A คารบ์ อนได กระบวนการ B ออกไซด์ กระบวนการ C พืช ถกู กนิ สตั ว์ ผู้ยอ่ ยสลาย เ ม่ือมีการเปล่ยี นแปลงในแผนภาพจะเกดิ เหตุการณด์ ังตอ่ ไปนี้ ยกเวน้ 1. หากเกิดกระบวนการ A เพิม่ ขนึ้ การเปลี่ยนสารอินทรยี ์เป็นสารอนนิ ทรยี ์จะเกดิ มากข้ึน 2. ถา้ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นชน้ั บรรยากาศลดลง กระบวนการ B จะเกดิ มากข้ึน 3. หากกระบวนการ C เพิ่มขน้ึ น�้ำมันและแก๊สธรรมชาติจะเพ่ิมข้นึ 4. เม่อื ปริมาณสาร D ลดลง สง่ ผลต่อการดำ� รงชีวติ ของผู้ยอ่ ยสลายบางชนิด 12. ซันได้รับรายงานจากกรมควบคุมมลพิษว่า บริเวณแหล่งน้�ำใกล้บ้านมีการปนเปื้อนไมโครพลาสติก เนอ่ื งจากพืน้ ทด่ี ังกล่าวเคยเปน็ ทพ่ี ักขยะของหมูบ่ า้ นกอ่ นนำ� ไปก�ำจดั ทง้ิ ขอ้ ใดเปน็ แนวทางทเ่ี หมาะสมทสี่ ดุ เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การถา่ ยทอดไมโครพลาสตกิ ทต่ี กคา้ งในแหลง่ นำ�้ สู่สิง่ มีชีวติ อนื่ 1. การน�ำนำ้� มาใช้ในดา้ นการเกษตรโดยน�ำมารดน�ำ้ พชื ผกั 2. การน�ำนำ�้ มาใช้ในกระบวนการผลติ ไฟฟ้า 3. การท�ำแหลง่ นำ�้ ใหเ้ ป็นสถานทส่ี �ำหรบั การพกั ผ่อน 4. การทำ� เป็นที่เพาะพันธป์ุ ลาเพือ่ การบรโิ ภคภายในครอบครัว

รหัสวชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 11 13. แบ่งของแข็ง 4 ชนดิ คอื A B C และ D ในปริมาณทเี่ ทา่ กนั ใส่ลงในแต่ละบกี เกอร์ แลว้ เติมน้�ำกลนั่ จนมีปริมาตรเป็น 150 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นท�ำการคนสารให้เข้ากัน และต้ังทิ้งไว้ 20 นาที สงั เกตและบันทกึ ผลได้ดงั นี้ บกี เกอร์ที่ 1 สารผสมระหวา่ ง A กบั นำ้� มีลกั ษณะใส สีฟ้า เป็นเนื้อเดียว บกี เกอรท์ ี่ 2 สารผสมระหว่าง B กับนำ้� มีตะกอนสแี ดงอิฐท่กี น้ บีกเกอร์ บกี เกอร์ท่ี 3 สารผสมระหวา่ ง C กับน�้ำ มีลกั ษณะขนุ่ แตไ่ ม่เกิดการตกตะกอน บกี เกอรท์ ่ี 4 สารผสมระหวา่ ง D กบั น้�ำ มีลกั ษณะขุ่น และมกี ารตกตะกอนท่กี น้ บกี เกอร์ จากข้อมลู ต้องทำ� การทดลองตามขอ้ ใดจงึ จะทราบว่าอนภุ าคทก่ี ระจายอยใู่ นน้ำ� ของบีกเกอร์ใด มีขนาดอนภุ าคเล็กกว่า 10-7 เซนติเมตร 1. กรองสารผสมด้วยกระดาษกรองจะพบของแขง็ ตดิ อยู่บนกระดาษกรอง 2. ใชไ้ ฟฉายส่องแสงผ่านไปยังสารผสมในบกี เกอรจ์ ะเหน็ เป็นลำ� แสง 3. ตง้ั ทิง้ ไว้ใหแ้ สงแดดสอ่ งผา่ นสารผสมในบีกเกอร์แล้วแสงแดดไม่สามารถผา่ นได้ 4. นำ� สารผสมใสใ่ นถุงเซลโลเฟนแลว้ น�ำไปแชใ่ นน้ำ� จะสามารถผ่านถงุ เซลโลเฟนได ้

รหัสวชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 12 14. แบบจำ� ลองการจัดเรยี งอนภุ าคของสารท้ัง 3 สถานะ มีลักษณะดงั ภาพ สถานะ A สถานะ B สถานะ C ทดลองให้ความรอ้ นแก่สารบรสิ ุทธ์ิ G ทำ� ให้เกดิ การเปลยี่ นสถานะ ได้ผลดังกราฟต่อไปนี้ อุณหภูมิ ( Cํ ) Y X เวลา (นาท)ี จากขอ้ มูล ทต่ี �ำแหนง่ X และ Y สารบริสุทธ์ิ G จะมกี ารจัดเรียงอนุภาคตามข้อใด ตามล�ำดับ 1. สถานะ A, สถานะ B 2. สถานะ A, สถานะ C 3. สถานะ B, สถานะ C 4. สถานะ C, สถานะ B

รหสั วชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 13 15. พิจารณาขอ้ มลู ช่วง pH ของการเปลี่ยนสีอนิ ดเิ คเตอร์ต่อไปนี้ อนิ ดเิ คเตอร์ ช่วง pH สีท่เี ปลีย่ น ของการเปล่ยี นสี โบรโมฟนี อลบลู เหลอื ง-น้�ำเงนิ เมทิลเรด 3.0-4.6 แดง-เหลอื ง 4.2 - 6.3 เหลือง - น�้ำเงนิ โบรโมไทมอลบลู 6.0-7.6 ไมม่ สี ี -แดง ฟนี อล์ฟทาลนี 8.3-10.0 หากน�ำสารละลาย 4 ชนดิ คอื W X Y และ Z มาทดสอบกบั อนิ ดิเคเตอรท์ ั้ง 4 ชนิดไดผ้ ลการทดสอบ ดงั ตาราง สารละลาย โบรโมฟีนอลบลู เมทิลเรด โบรโมไทมอลบลู ฟีนอล์ฟทาลีน น้ำ� เงิน เหลือง น�ำ้ เงิน ชมพู W เขียว แดง เหลอื ง ไม่มสี ี X น้ำ� เงนิ เหลือง เขยี ว ไม่มสี ี Y นำ�้ เงนิ ส้ม เหลือง ไม่มสี ี Z จากตาราง สรุปผลการทดลองไดด้ ังนี้ ก. เรยี งลำ� ดับ ค่า pH ได้ W > X > Y > Z ข. สารละลาย Z มี pH นอ้ ยกวา่ สารละลายเกลอื แกง ค. สารละลาย X สามารถเปล่ยี นสกี ระดาษลติ มสั สนี ้ําเงินได้ ง. เม่ือระเหยนำ้� ออกจากสารละลาย W แลว้ หยดฟนี อลฟ์ ทาลีนจะได้สารละลายใสไม่มีสี สรุปผลการทดลองในขอ้ ใดกล่าวถกู ตอ้ ง 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ค และ ง 4. ข ค และ ง

รหัสวิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 14 16. ตารางแสดงสมบตั บิ างประการของธาตุ A-F เป็นดงั นี้ ธาตุ จดุ เดือด จดุ หลอมเหลว การนำ� ไฟฟา้ ความเหนยี ว ความมันวาว ( ํC) ( ํC) เหนยี ว เปน็ มนั วาว A 2,562 1,085 น�ำไดด้ ี เปราะ เป็นมันวาว เปราะ B 1,587 631 ไมน่ ำ� เปราะ ดา้ น เปราะ ด้าน C 445 115 ไมน่ �ำ เหนยี ว เป็นมันวาว เป็นมนั วาว D 280 44 ไม่น�ำ E 3,265 1,414 นำ� ได้ 2,162 962 นำ� ได้ดี F จากขอ้ มลู การจ�ำแนกธาตใุ นข้อใดไมถ่ ูกต้อง 1. ธาตุ A และ F เป็นธาตุโลหะ 2. ธาตุ B และ E เป็นธาตกุ ่ึงโลหะ 3. ธาตุ C และ D เป็นธาตุอโลหะ 4. ธาตุ A E และ F เปน็ ธาตโุ ลหะ 17. ตารางแสดงปริมาณการละลายสูงสดุ ของสาร Y และ Z ในน้าํ ที่อุณหภมู ิตา่ ง ๆ สาร ปรมิ าณการละลายสงู สดุ (g) ในนา้ํ 100 g ที่อณุ หภมู ิ 0 ํC 100 ํC Y5 10 Z 10 5 จากข้อมูล ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้อง 1. สารละลายของ Y เป็นการละลายแบบคายความรอ้ น 2. สารละลายของ Z เปน็ การละลายแบบคายความรอ้ น 3. เม่ือละลายสาร Y ในน้ํา อณุ หภมู สิ ารละลายจะเพิม่ ข้ึน 4. เมื่อละลายสาร Z ในนา้ํ อณุ หภูมิสารละลายจะลดลง

รหัสวิชา 95 วิทยาศาสตร์ หน้า 15 18. ท�ำการแยกสารโดยใชอ้ ปุ กรณ์ดังนี้ ตารางแสดงจดุ เดือดและจุดหลอมเหลวของสาร 5 ชนิด ชนิดของสาร จดุ เดือด ( ํC) จุดหลอมเหลว ( ํC) 250 -35 A 80 -20 B 100 0 C -268 -272 D 892 97.8 E จากตาราง อปุ กรณ์ท่กี ำ� หนดใหเ้ หมาะส�ำหรับแยกสารคู่ใดมากทส่ี ดุ 1. สาร A กับ B 2. สาร B กบั C 3. สาร C กบั D 4. สาร D กบั E

รหสั วิชา 95 วิทยาศาสตร์ หน้า 16 19. การละลายไดข้ องสาร X ในนาํ้ แสดงได้ดว้ ยกราฟดังต่อไปน้ี การละลายได้ของสาร X (g/100 cm3) 60 50 40 30 20 10 0 10 20 30 40 50 60 อุณหภูมิ ( Cํ ) ถ้าสารละลาย 1 ลติ ร มสี าร X ละลายอยู่ 30 กรัม จะสามารถเตมิ สาร X ลงไปได้อีกก่ีกรัม จึงจะอิม่ ตัวที่อุณหภมู ิ 50 ํC โดยท่กี ารเติมสาร X ลงไปอกี ปรมิ าตรของสารละลายจะไมเ่ ปลี่ยนแปลง 1. 130 กรัม 2. 270 กรมั 3. 300 กรมั 4. 330 กรมั

รหัสวิชา 95 วิทยาศาสตร์ หน้า 17 20. ตารางแสดงการเกิดปฏิกิรยิ าเคมรี ะหว่างสารชนิดตา่ ง ๆ และแกส๊ ท่เี กิดขึน้ กลมุ่ ท่ี การเกิดปฏกิ ริ ิยาระหวา่ ง แกส๊ ที่เกิดข้ึน 1 ผงฟู + นาํ้ ส้มสายชู 2 กรดกำ� มะถนั + ผงสงั กะสี A 3 โลหะโซเดียม + น้าํ B 4 แมกนีเซียม + กรดเกลอื C D จากตารางแก๊ส A B C และ D ทเี่ กดิ ขนึ้ แก๊สใดคือแก๊สชนิดเดียวกนั 1. A B และ C 2. B C และ D 3. A B และ D 4. C D และ A

รหสั วิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 18 21. วตั ถุชน้ิ หนึง่ เคลอ่ื นทจ่ี ากจุด A ไปยังจดุ B ด้วยอัตราเร็วคงที่ 10 เมตรต่อวินาที ใชเ้ วลา 5 วนิ าที จากนั้น จึงเปลี่ยนทิศทาง แล้วเคลือ่ นท่ีต่อไปยงั จดุ C ด้วยอตั ราเรว็ คงเดมิ คอื 10 เมตรต่อวินาที ใช้เวลา 7 วินาที BC Aความเ ็รว (เมตรต่อวินา ีท) ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้อง 1. วตั ถุเคลื่อนท่จี ากจุด A ไปยังจุด B ได้ระยะทางมากกวา่ ขนาดของการกระจัด 2. ระยะทางจากจุด B ไปยงั จดุ C มีค่ามากกว่า ระยะทางจากจดุ A ไปยังจดุ B อยู่ 20 เมตร 3. ความเร็วของวตั ถุมคี า่ คงทีต่ ลอดการเคลือ่ นที่ 4. ถกู ท้ังข้อ 2 และ ขอ้ 3 22. วตั ถชุ ้นิ หนึ่งเคลื่อนทเ่ี ปน็ เสน้ ตรง โดยมขี นาดของความเรว็ ทเี่ วลาตา่ ง ๆ เป็นไปดงั กราฟ 4 2 10 20 30 40 เวลา (วินาท)ี ขอ้ ใดสรปุ ได้ถูกต้อง 1. ในชว่ งวินาทีท่ี 0-20 แรงลัพธท์ ี่กระทำ� กับวตั ถุมคี า่ ไม่คงท่ี 2. ในชว่ งวินาทีที่ 20-30 แรงลพั ธท์ ่กี ระทำ� กบั วตั ถมุ ีคา่ สงู สุด 3. ในชว่ งวินาทีที่ 30-40 แรงลพั ธ์ท่กี ระท�ำกบั วตั ถุมีทิศตรงข้ามกบั ทศิ ทางการเคลอื่ นท่ี 4. มขี อ้ ถกู มากกว่า 1 ข้อ

รหสั วชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 19 23. วัตถุ A และวัตถุ B ถกู ผกู ตดิ กันและแขวนไว้กับเพดานด้วยเชอื ก ดงั ภาพ วัตถุ A วัตถุ B ขอ้ ใดระบุแรงคู่กริ ิยา-ปฏิกริ ยิ าไดถ้ ูกตอ้ ง 1. แรงท่ีโลกดึงดดู วัตถุ A และ แรงทีเ่ ชอื กดงึ วตั ถุ A 2. แรงที่วตั ถุ B ดึงวตั ถุ A และ นำ้� หนักของวัตถุ B 3. แรงท่ีเชอื กดงึ เพดาน และ แรงที่วตั ถุทงั้ สองดงึ เชือก 4. น้�ำหนักของวัตถุ A และ แรงที่วตั ถุ A ดงึ ดูดโลก

รหัสวิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 20 24. จดั ชดุ การทดลอง โดยบรรจุยางลบลงในกล่องพลาสตกิ และปิดฝาใหม้ ิดชดิ จากน้นั น�ำไปวางบนผวิ น้�ำ สังเกตผลไดด้ ังภาพ A จากนน้ั ทดลองเพมิ่ จำ� นวนยางลบในกลอ่ งใหม้ ากขน้ึ สงั เกตผลไดด้ ังภาพ B ภาพ A ภาพ B กลอ่ งพลาสติก ยางลบ น�้ำ ลอยนิง่ ลอยนง่ิ การเพม่ิ จำ� นวนยางลบท�ำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 1. แรงพยงุ เพ่มิ ขึ้น และ แรงลัพธท์ กี่ ระทำ� ตอ่ กลอ่ งเพมิ่ ข้นึ 2. แรงพยุงไม่เปลย่ี นแปลง และ แรงลพั ธท์ ี่กระท�ำตอ่ กล่องไมเ่ ปลี่ยนแปลง 3. แรงพยงุ เพ่มิ ขน้ึ และ แรงลพั ธท์ ่ีกระท�ำต่อกลอ่ งไมเ่ ปลีย่ นแปลง 4. แรงพยุงไมเ่ ปลีย่ นแปลง และ แรงลพั ธ์ที่กระทำ� ต่อกลอ่ งเพิ่มข้นึ 25. คานไม้เบาสม่�ำเสมออนั หนง่ึ ยาว 1 เมตร แขวนอยูบ่ นเพดานโดยตำ� แหนง่ ที่แขวนอย่หู า่ งจากปลายด้าน ขวาของคาน 20 เซนตเิ มตร เมอื่ แขวนวตั ถไุ วท้ ป่ี ลายทง้ั สองดา้ นของคาน โดยแขวนวตั ถหุ นกั 10 นวิ ตนั ไวท้ ีป่ ลายดา้ นซา้ ย และแขวนวัตถหุ นกั 50 นิวตัน ไว้ท่ปี ลายด้านขวา ดงั ภาพ 80 cm 20 cm 10 N 50 N คานจะหมนุ ในทิศทางใด และขนาดของโมเมนต์ลัพธ์เป็นเทา่ ใด 1. ตามเขม็ นาฬิกา และ ขนาดของโมเมนต์ลัพธเ์ ท่ากบั 2 นวิ ตนั เมตร 2. ตามเข็มนาฬกิ า และ ขนาดของโมเมนต์ลพั ธเ์ ทา่ กบั 200 นวิ ตันเมตร 3. ทวนเขม็ นาฬิกา และ ขนาดของโมเมนต์ลพั ธ์เทา่ กบั 2 นวิ ตันเมตร 4. ทวนเข็มนาฬิกา และ ขนาดของโมเมนตล์ พั ธเ์ ทา่ กบั 200 นวิ ตนั เมตร

รหสั วชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 21 26. กล่อง A และกล่อง B ถกู วางซ้อนกนั บนพ้นื จากนัน้ ออกแรง F ท�ำใหก้ ล่องท้งั สองเคล่ือนท่ไี ปพร้อมกัน ดว้ ยความเรว็ เทา่ กนั ดงั ภาพ ทศิ ทางการเคลอื่ นท่ี กล่อง B F กลอ่ ง A ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเกยี่ วกบั แรงเสยี ดทานท่เี กิดขน้ึ 1. ผิวสมั ผสั ระหวา่ งกล่อง A กับพื้นเกดิ แรงเสียดทานจลน์ และ ผวิ สัมผสั ระหวา่ งกล่อง A กับกลอ่ ง B เกดิ แรงเสียดทานจลน์ 2. ผวิ สัมผสั ระหว่างกลอ่ ง A กบั พน้ื เกดิ แรงเสยี ดทานสถติ และ ผิวสมั ผัสระหว่างกลอ่ ง A กบั กลอ่ ง B เกดิ แรงเสยี ดทานจลน์ 3. ผิวสมั ผสั ระหวา่ งกล่อง A กับพ้นื เกิดแรงเสยี ดทานสถติ และ ผิวสัมผัสระหวา่ งกล่อง A กบั กล่อง B เกิดแรงเสียดทานสถิต 4. ผวิ สมั ผสั ระหว่างกลอ่ ง A กบั พื้นเกดิ แรงเสยี ดทานจลน์ และ ผวิ สัมผสั ระหว่างกลอ่ ง A กบั กล่อง B เกดิ แรงเสยี ดทานสถติ 27. สสารชนดิ หนึง่ มีมวล 2 กิโลกรัม อณุ หภมู ิ 25 องศาเซลเซียส ถา้ ตอ้ งใหค้ วามร้อน 100 กิโลจูล เพ่อื มใี ห้อุณหภมู เิ พมิ่ ขึ้นเป็น 75 องศาเซลเซยี ส โดยยังคงสถานะเดิม ข้อใดสรุปได้ถกู ต้อง 1. คา่ ความจคุ วามร้อนจ�ำเพาะของสสารนีม้ คี ่าเทา่ กบั 1 กิโลจลู ตอ่ กิโลกรัมองศาเซลเซยี ส 2. ค่าความจคุ วามรอ้ นจำ� เพาะของสสารนี้มคี า่ เทา่ กบั 2 กิโลจลู ต่อกิโลกรมั องศาเซลเซียส 3. คา่ ความร้อนแฝงจ�ำเพาะของสสารน้ีมคี า่ เท่ากบั 1 กิโลจลู ตอ่ กิโลกรัม 4. คา่ ความร้อนแฝงจ�ำเพาะของสสารน้ีมีคา่ เทา่ กบั 2 กิโลจูลตอ่ กิโลกรัม

รหสั วชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 22 28. ข้อใดกล่าวไมถ่ กู ต้องเกีย่ วกับการถ่ายโอนความร้อนจากดวงอาทิตยม์ ายงั โลก 1. เปน็ การถ่ายโอนความรอ้ นทไี่ ม่ตอ้ งอาศยั ตวั กลาง 2. เปน็ การถา่ ยโอนความรอ้ นโดยการสัน่ ของอนุภาคในอวกาศ 3. เปน็ การถา่ ยโอนความร้อนทอี่ าศัยคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า 4. เปน็ การถ่ายโอนความรอ้ นโดยการแผร่ งั สีความร้อน 29. ทดลองยิงแสงเลเซอร์ 2 ลำ� ใส่กระจกเว้า ในแนวขนานกบั แกนมขุ สำ� คัญของกระจก พบวา่ แสงทั้งสองไปตัดกันท่ตี ำ� แหน่งหา่ งจากขว้ั กระจก 5 เซนตเิ มตร ดังภาพ 5 ซม. ปืนยงิ เลเซอร์ A ข้วั กระจก ปนื ยงิ เลเซอร์ B แกนมุขส�ำคัญ จากข้อมูลนี้ อยากทราบวา่ จดุ ศูนย์กลางความโคง้ ของกระจกอยู่ทต่ี ำ� แหน่งใด 1. อยทู่ ต่ี �ำแหนง่ ขว้ั กระจก 2. อยทู่ ต่ี �ำแหน่งหา่ งจากขว้ั กระจก 5 เซนติเมตร 3. อยู่ท่ตี �ำแหนง่ หา่ งจากขั้วกระจก 7.5 เซนตเิ มตร 4. อยู่ทต่ี ำ� แหนง่ หา่ งจากข้ัวกระจก 10 เซนติเมตร

รหัสวชิ า 95 วิทยาศาสตร์ หน้า 23 30. ทดลองฉายแสงสีขาวลงบนวตั ถชุ ิ้นหน่งึ ในห้องทีม่ ดื สนิท ปรากฏวา่ มองเห็นวัตถนุ ั้นเปน็ สแี ดง ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ยี วกับวัตถนุ ้ี 1. ถ้าฉายแสงสีเขยี วลงบนวัตถุน้ี จะมองเหน็ วตั ถุเป็นสีเหลือง 2. ถ้าฉายแสงสนี ้ำ� เงนิ ลงบนวตั ถนุ ี้ จะมองเหน็ วัตถุเปน็ สีนำ้� เงิน 3. ถ้าฉายแสงสีน�้ำเงนิ และเขยี วลงบนวตั ถพุ รอ้ มกนั จะไม่สามารถมองเหน็ วตั ถไุ ด้ 4. ถา้ ฉายแสงสนี ้�ำเงนิ และแดงลงบนวัตถพุ รอ้ มกัน จะมองเห็นวัตถเุ ปน็ สีมว่ ง 31. ผกู วตั ถชุ นิ้ หนง่ึ ไวก้ บั เพดาน จากนนั้ ยกวตั ถขุ นึ้ มายงั ตำ� แหนง่ A แลว้ ปลอ่ ยวตั ถใุ หเ้ คลอื่ นทผ่ี า่ นตำ� แหนง่ B ไปยังต�ำแหน่ง C จากนั้นจึงเคลื่อนที่กลับมายังแนวเดิมผ่านต�ำแหน่ง B แล้วกลับมายังต�ำแหน่ง A อกี คร้ัง เปน็ เช่นน้ีไปเรือ่ ย ๆ ไมส่ นิ้ สุด (ก�ำหนดใหไ้ มม่ ีการสญู เสยี พลงั งานระหวา่ งการเคลื่อนท)่ี AC B กราฟระหว่างพลังงานจลนข์ องวัตถแุ ละเวลาควรเปน็ ดงั ขอ้ ใด 1. พลงั งานจลน์ 2. พลงั งานจลน์ 3. พลังงานจลน์ เวลา เวลา 4. พลงั งานจลน์ เวลา เวลา

รหัสวชิ า 95 วิทยาศาสตร์ หนา้ 24 32. ทดลองต่อวงจรไฟฟ้าทป่ี ระกอบด้วยแอมมิเตอร์ ถ่านไฟฉาย และตวั ต้านทานชนิดปรับค่าได้ ดงั ภาพ พบวา่ แอมมเิ ตอรอ์ า่ นค่ากระแสไฟฟา้ ได้ 2 แอมแปร์ A หากตอ้ งการใหแ้ อมมเิ ตอรอ์ า่ นคา่ กระแสไฟฟ้าได้ 1 แอมแปร์ จะต้องปรับคา่ ความต้านทานอยา่ งไร 1. ลดลงเป็น 2 เท่า 2. เพม่ิ ขึน้ เปน็ 2 เทา่ 3. ลดลงเป็น 4 เทา่ 4. เพมิ่ ขน้ึ เปน็ 4 เทา่ 33. บ้านหลงั หนึง่ มกี ารใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟา้ ดงั น้ี • หลอดไฟขนาด 14 วัตต์ จำ� นวน 10 หลอด เปดิ ใช้งานวนั ละ 10 ชว่ั โมง • พัดลมขนาด 100 วัตต์ จ�ำนวน 1 เครอ่ื ง เปิดใชง้ านวนั ละ 8 ชัว่ โมง • โทรทศั น์ขนาด 500 วตั ต์ จำ� นวน 1 เครือ่ ง เปิดใชง้ านวันละ 2 ชวั่ โมง เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าชนิดใดท่ใี ช้พลังงานไฟฟ้าตอ่ วนั มากทส่ี ดุ และน้อยทีส่ ดุ ตามล�ำดบั 1. หลอดไฟ พัดลม 2. หลอดไฟ โทรทัศน์ 3. โทรทศั น์ พดั ลม 4. โทรทัศน์ หลอดไฟ

รหสั วชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 25 34. ท�ำการตรวจวัดความชื้นสมั พัทธ์บริเวณหนึง่ ด้วยไฮกรอมิเตอร์ โดยเทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปียกและ กระเปาะแห้งวัดอณุ หภมู ิอากาศ ( Cํ ) ไดข้ อ้ มลู ดงั ภาพ -25 -20 -15 -10 -5 0 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50 Cํ กระเปาะเปยี ก -25 -20 -15 -10 -5 0 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50 Cํ กระเปาะแห้ง ก�ำหนดตารางหาค่าความชืน้ สมั พทั ธ์ เปน็ ดังน้ี ผลตา่ งของอุณหภูมิของเทอรม์ อมิเตอร์กระเปาะแหง้ และกระเปาะเปียก ( Cํ ) อุณหภู ิมของเทอร์มอ ิมเตอ ์รกระเปาะแ ้หง ( ํC) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 90 79 70 60 51 42 34 26 18 10 16 90 81 71 63 54 46 38 30 23 15 8 18 91 82 73 65 57 49 41 34 27 20 14 7 20 91 83 74 66 59 51 44 37 31 24 18 12 6 22 92 83 76 68 61 54 47 40 34 28 22 17 11 24 92 84 77 69 62 56 49 43 37 31 26 20 15 26 92 85 78 71 64 58 51 46 40 34 29 24 19 28 93 85 78 72 65 59 53 48 42 37 32 27 22 30 93 86 79 73 67 61 55 50 44 39 35 30 25 32 93 86 80 74 68 62 57 51 46 41 37 32 28 34 93 87 81 75 69 63 58 53 48 43 39 35 30 36 94 87 81 75 70 64 59 54 50 45 41 37 33 จากข้อมูล ความชื้นสัมพทั ธข์ องอากาศมีคา่ เป็นเทา่ ไร 1. 5% 2. 10% 3. 39% 4. 63%

รหัสวิชา 95 วิทยาศาสตร์ หนา้ 26 35. ภาพแสดงการทดลองเพื่อศึกษาอัตราการไหลของน�้ำใน 2 คอลัมน์ (คอลัมน์ A บรรจุดินทราย และ คอลมั น์ B บรรจดุ นิ เหนยี ว) เปรยี บเทยี บคณุ สมบตั กิ ารระบายนำ้� และการอมุ้ นำ้� ของดนิ ทรายและดนิ เหนยี ว ดนิ ทราย ดินเหนียว ตัวกรอง ตัวกรอง บกี เกอร์ บีกเกอร์ คอลัมน์ A คอลัมน์ B ขอ้ ใดตอ่ ไปนเี้ ปรยี บเทยี บคณุ สมบตั กิ ารระบายนำ้� และการอมุ้ นำ้� ของคอลมั น์ A และคอลมั น์ B ไดถ้ กู ตอ้ ง 1. คอลัมน์ A มคี ณุ สมบตั กิ ารระบายนำ้� ต่�ำกวา่ และสามารถอุ้มน้�ำตำ่� กวา่ คอลัมน์ B 2. คอลมั น์ A มีคณุ สมบตั ิการระบายน�้ำต่ำ� กวา่ และสามารถอ้มุ นำ้� สงู กว่าคอลัมน์ B 3. คอลัมน์ A มคี ณุ สมบตั กิ ารระบายนำ�้ สูงกว่า และสามารถอุ้มน�้ำต่�ำกว่าคอลัมน์ B 4. คอลมั น์ A มีคณุ สมบัติการระบายน้ำ� สงู กว่า และสามารถอมุ้ น้�ำสงู กวา่ คอลัมน์ B

รหัสวชิ า 95 วิทยาศาสตร์ หน้า 27 36. ภาพแสดงกระบวนการผุพงั อยกู่ ับทีข่ องหินในธรรมชาติ ดวงอาทิตย์ น้ำ� น้ำ� แขง็ หิน หิน หิน ชว่ งเวลากลางวนั อุณหภูมิ 8 ํC ช่วงเวลากลางคืน อณุ หภมู ิ -3 ํC ข้อใดอธิบายกระบวนผุพงั อยู่กับท่ขี องหนิ ในภาพไดถ้ กู ตอ้ ง 1. นำ้� แข็งเปรยี บเสมือนตวั ทำ� ละลาย 2. นำ้� จะขยายตัวเม่ือเปลย่ี นสถานะเปน็ นำ�้ แขง็ 3. มวลของน้ำ� จะเพ่มิ ข้นึ เมือ่ เปลีย่ นสถานะเปน็ น้ำ� แขง็ 4. น�้ำแข็งสามารถละลายไดใ้ นหนิ ทุกชนดิ

รหสั วชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 28 37. ภาพใดตอ่ ไปนอี้ ธิบายการทดสอบคณุ สมบตั ทิ างเคมขี องแร่ 1. 2. หยดกรด แร่ แร่แยกออก เปน็ 2 แผน่ เกดิ ฟอง ทบุ แร่ แร่ ดว้ ยค้อน 3. เชอื ก 4. นแรำ้� เ่ ปล่า แร่ ขีดบน รอยขีดบน แผ่น แผ่นกระเบ้อื ง กระเบอ้ื ง

รหสั วิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ หนา้ 29 38. ภาพแสดงการทดลองการเคลื่อนท่ขี องอากาศ ท่อใส กล่อง (ด้านหนา้ ของกลอ่ งใส) เทยี นไขทจ่ี ดุ ไฟ ขอ้ ใดต่อไปน้อี ธิบายทศิ การเคล่ือนทขี่ องอากาศภายในกล่องได้ถูกต้อง เม่อื จุดไฟใหก้ บั เทยี นไขในกลอ่ ง 1. 2. 3. 4.

รหัสวชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 30 39. ภาพจำ� ลองการโคจรของโลกรอบดวงอาทติ ย์ ผา่ นกลุ่มดาวจกั รราศตี ่าง ๆ กลุม่ ดาว กลุม่ ดาว กลมุ่ ดาว คนยิงธนู แมงป่อง คนั ช่งั กลุ่มดาว กล่มุ ดาว แพะทะเล หญิงพรหมจารี กลุม่ ดาว ดวงอาทิตย์ กลมุ่ ดาว คนแบกหมอ้ นำ้� โลก สิงโต กลมุ่ ดาว กลุ่มดาว ปลา ปู กลุ่มดาว กลุม่ ดาววัว กลุ่มดาว แกะ คนคู่ ผู้สังเกตบนโลกจะมองเหน็ กลมุ่ ดาวจกั รราศใี ดปรากฏขน้ึ เปน็ กลุ่มแรกในทางทิศตะวนั ออก และในช่วงเวลาน้ันกลมุ่ ดาวจกั รราศีใดจะตกลบั ขอบฟ้าพรอ้ มดวงอาทติ ย์ในทางทิศตะวนั ตก ตามลำ� ดบั 1. กลุ่มดาวหญงิ พรหมจารี และกลมุ่ คันชง่ั 2. กลุ่มดาวคนคู่ และกลมุ่ ดาวววั 3. กลุ่มดาวคนคู่ และกลุ่มดาวคนยิงธนู 4. กลมุ่ ดาวปู และกลุ่มดาวคนแบกหมอ้ น้�ำ

รหัสวชิ า 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 31 40. พจิ ารณาขอ้ มลู ดังตอ่ ไปน้ี A. ดาวเทียม B. สถานอี วกาศ C. ยานขนส่งอวกาศ D. ยานอวกาศ การพฒั นาอปุ กรณ์ทใ่ี ชใ้ นเทคโนโลยีอวกาศจากอดีตถงึ ปจั จุบนั เปน็ ไปตามขอ้ ใด 1. A D C B 2. B A D C 3. D B A C 4. A D B C

รหัสวชิ า 95 วิทยาศาสตร์ หนา้ 32 ตอนที่ 2 แบบปรนัยเลอื กตอบเชิงซ้อน เลือกคำ� ตอบทถ่ี ูกตอ้ งในแตล่ ะค�ำถามย่อย จำ� นวน 4 ขอ้ ข้อละ 5 คะแนน รวม 20 คะแนน 41. กาเฟอีน (Caffeine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ที่สามารถพบได้ในเครื่องด่ืมหลายชนิด เช่น เครื่องด่ืมชูก�ำลัง กาแฟ ชาเขียว หรือแม้กระท่ังโกโก้ กาเฟอีนมีฤทธ์ิกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และกระตุ้นกลไกการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย โดยชว่ ยเร่งการสลายลิพิดทำ� ให้มกี ารเพ่มิ ปรมิ าณ ของกลีเซอรอลและกรดไขมันในกระแสเลือด ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวขึ้น ช่วยเพิ่มปริมาณของ ปสั สาวะ ซึ่งที่กลา่ วมาทำ� ให้รา่ งกายเกดิ ความตน่ื ตัวและลดความงว่ งได้ ด้วยเหตนุ ้ีจงึ ทำ� ให้กาเฟอนี เป็น สารกระต้นุ ประสาททไี่ ดร้ บั ความนยิ มมากทีส่ ุดในโลก จากขอ้ ท่ีกำ� หนดให้ ขอ้ ความตอ่ ไปนีถ้ ูกตอ้ งใช่หรือไม ่ ข้อความ ใช่ / ไม่ใช่ 41.1 หากรา่ งกายไดร้ ับกาเฟอนี กอ่ นออกกำ� ลงั กายจะไม่สง่ ผลตอ่ การเผาผลาญ ใช่ / ไม่ใช่ สารอาหารเพื่อสร้างพลงั งาน 41.2 กาเฟอีนมีผลทำ� ให้อตั ราการเตน้ ของหัวใจสูงขึ้นท�ำใหห้ ลอดเลือดพลั โมนาร-ี ใช่ / ไมใ่ ช่ อารเ์ ตอรตี ้องลำ� เลยี งเลอื ดไปยังปอดเพมิ่ ขึน้ 41.3 ถ้าร่างกายได้รบั กาเฟอีนในปริมาณสงู จะทำ� ให้หนว่ ยไตมีการดดู กลบั น้ำ� เพิ่มข้ึน ปรมิ าณของนำ้� ปสั สาวะกเ็ พม่ิ ขนึ้ เชน่ กนั ดงั นนั้ ในชว่ งกอ่ นเขา้ นอนไมค่ วรดมื่ เครอ่ื งดมื่ ใช่ / ไม่ใช่ ทม่ี กี าเฟอีนเพราะจะท�ำใหต้ ้องตน่ื มาปัสสาวะบอ่ ยกวา่ ปกติ

รหสั วิชา 95 วิทยาศาสตร์ หนา้ 33 42. ทำ� การทดลองนำ� ตะปเู หล็ก 4 ตวั มาทดสอบใน 4 สภาวะที่แตกตา่ งกัน แลว้ ทง้ิ ไวเ้ ปน็ เวลา 7 วนั สภาวะท่ี 1 สภาวะที่ 2 สภาวะท่ี 3 สภาวะที่ 4 น้ํามันพชื นํ้าประปา น้าํ สม้ สายชู น้ําต้มเดอื ด สารดดู ความชืน้ ได้ผลการทดลองดงั น้ี เกดิ สนมิ ไมเ่ กดิ สนิม  สภาวะท่ี   1  2 3 4 จากการทดลอง ขอ้ ความตอ่ ไปนีก้ ล่าวถูกใชห่ รือไม่ ขอ้ ความ ใช่ / ไมใ่ ช่ 42.1 ในสภาวะท่ี 1 และ 2 ตะปเู หล็กไม่เกดิ สนมิ เพราะอยู่ในสภาวะท่ีไม่มีความชน้ื ใช่ / ไม่ใช่ 42.2 ในสภาวะที่มีความชนื้ และออกซิเจนในอากาศ ท�ำใหต้ ะปเู หล็กเกดิ สนมิ ได้ ใช่ / ไมใ่ ช่ 42.3 ในสภาวะที่สารละลายเปน็ กรด ตะปูเหลก็ เกิดสนมิ มากกว่าสภาวะที่เป็นกลาง ใช่ / ไม่ใช่

รหสั วิชา 95 วทิ ยาศาสตร์ หน้า 34 43. ปลอ่ ยลกู บอลลกู หนง่ึ จากตำ� แหนง่ A ใหต้ กลงมาตามทางลาดไปยงั ตำ� แหนง่ B โดยไมม่ กี ารสญู เสยี พลงั งาน จากนน้ั ลูกบอลกลิ้งตอ่ ไปบนพ้ืนขรขุ ระท่มี ีแรงเสียดทานจนกระทง่ั หยุดนง่ิ ที่ตำ� แหนง่ C ดงั ภาพ A B C จากข้อมลู ขา้ งตน้ ขอ้ ความตอ่ ไปน้ีถกู ตอ้ งใชห่ รือไม่ ใช่ / ไมใ่ ช่ ขอ้ ความ ใช่ / ไมใ่ ช่ ใช่ / ไม่ใช่ 43.1 ต�ำแหน่ง B มีพลังงานจลน์สูงสดุ ใช่ / ไม่ใช่ 43.2 ต�ำแหน่ง A และ B มีพลงั งานกลเท่ากัน 43.3 ตำ� แหน่ง B มพี ลงั งานกลมากกวา่ ต�ำแหนง่ C

รหัสวิชา 95 วิทยาศาสตร์ หนา้ 35 44. ข้อมูลบันทึกช่วงเวลาและระดับของนำ�้ ทะเลขณะขึน้ สงู สุดและนำ้� ลงตำ่� สุดบรเิ วณอา่ วสตั หบี จ.ชลบรุ ี ประเทศไทย ในวันที่ 13 และ 20 มกราคม ต�ำแหนง่ ของดวงจันทรแ์ ละข้อมลู นำ้� ขน้ึ น�้ำลง ในวันที่ 13 มกราคม ดวงอาทิตย์ 13 มกราคม น�้ำขึ้นน�ำ้ ลง ชว่ งเวลา ระดับน้�ำ โลก ดวงจันทร์ (เมตร) นำ้� ขึน้ 01.00 น. 1.92 วงโคจรของ นำ�้ ลง 07.15 น. ดวงจนั ทร์ น้ำ� ขึ้น 13.32 น. 0.37 น�้ำลง 19.59 น. 2.07 0.27 วงโคจรของโลก ต�ำแหน่งของดวงจันทรแ์ ละขอ้ มลู น้�ำขนึ้ น้ำ� ลง ในวนั ท่ี 20 มกราคม ดวงอาทติ ย์ 20 มกราคม นำ�้ ขึ้นน�้ำลง ช่วงเวลา ระดับน้ำ� ดวงจนั ทร์ วงโคจรของ (เมตร) โลก ดวงจันทร์ นำ�้ ลง 01.22 น. 0.06 นำ�้ ขนึ้ 07.50 น. นำ้� ลง 14.10 น. 2.47 น�้ำขึน้ 20.10 น. 0.09 2.21 วงโคจรของโลก

รหัสวิชา 95 วิทยาศาสตร์ หน้า 36 จากข้อมูล ข้อสรปุ ตอ่ ไปนี้กลา่ วถกู ต้องใช่หรือไม่ ข้อความ ใช่ / ไมใ่ ช่ 44.1 ในแตล่ ะวนั ช่วงเวลาท่ีน้�ำขน้ึ สงู สดุ 2 ครง้ั ใช้ระยะเวลาหา่ งกนั ประมาณ ใช่ / ไม่ใช่ 12 ช่วั โมง ใช่ / ไม่ใช่ 44.2 วนั ท่ี 20 มกราคม เกดิ ปรากฏการณน์ �้ำเกดิ เนอื่ งจากดวงจนั ทร์โคจรมาอยู่ ใช่ / ไม่ใช่ ในระนาบเดียวกบั โลกและดวงอาทติ ย์ 44.3 ปรากฏการณ์ท่ผี ้สู ังเกตบรเิ วณทะเลอ่าวสตั หีบจะสงั เกตเห็นในวันที่ 20 มกราคม เวลา 20.20 นาฬกิ า คอื ปรากฏการณ์น�ำ้ เกิด และพระจนั ทรเ์ ต็มดวง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook