วนั มาฆบชู า
วันมาฆบชู า (บาลี: มาฆปชู า; อกั ษรโรมัน: Magha Puja) เปนวันสําคญั ของชาวพทุ ธเถรวาทและวนั หยดุ ราชการในประเทศไทย\"มาฆบชู า\" ยอ มาจาก \"มาฆปรู ณมบี ชู า\" หมายถงึ การบชู าในวนั เพ็ญกลางเดอื นมาฆะตามปฏทิ ินอินเดยี หรอื เดอื น 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกชวงเดอื นกุมภาพนั ธหรือมนี าคม) ถา ปใ ดมเี ดือนอธกิ มาส คือมเี ดอื น 8 สองหน (ปอ ธกิ มาส) กเ็ ลื่อนไปทาํ ในวันเพญ็ เดือน 3 หลงั (วนั เพญ็ เดอื น 3)วนั มาฆบชู าไดรบั การยกยอ งเปน วนั สาํ คญั ทางศาสนา พุทธ เนอ่ื งจากเหตกุ ารณสาํ คัญท่ีเกดิ ขน้ึ เมือ่ 2,500 กวา ปกอ น คอื พระโคตมพุทธเจา ทรงแสดงโอวาทปาติโมกขทา มกลางท่ีประชุมมหาสงั ฆสนั นิบาตครงั้ ใหญใ น พระพทุ ธศาสนา คมั ภีรปปญจสูทนรี ะบวุ า คร้ังนั้นมเี หตกุ ารณเกิดขนึ้ พรอ มกนั 4 ประการ คือ พระภกิ ษุ 1,250 รูป ไดม าประชุมพรอมกนั ยังวดั เวฬวุ นั โดยมิได นัดหมาย, พระภกิ ษทุ ง้ั หมดนน้ั เปน \"เอหภิ ิกขอุ ุปสมั ปทา\" หรอื ผูไดรบั การอุปสมบทจากพระพุทธเจาโดยตรง, พระภกิ ษทุ ง้ั หมดนั้นลว นเปนพระอรหันตผูทรงอภิญญา 6, และวนั ดังกลา วตรงกบั วันเพญ็ เดือน 3 ดงั นน้ั จึงเรยี กวันนี้อีกอยางหน่งึ วา \"วันจาตรุ งคสันนิบาต\" หรอื วันท่ีมีการประชมุ พรอ มดวยองค 4
เดิมน้ันไมมีพธิ มี าฆบชู าในประเทศพทุ ธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยหู ัว (รัชกาลท่ี 4) พระองคไดท รงปรารภถงึ เหตุการณค รง้ั พุทธกาลในวันเพญ็ เดอื น 3 ดังกลาววา เปน วนั ท่เี กิดเหตกุ ารณส ําคญั ย่ิง ควรประกอบพิธีทางพระพทุ ธศาสนา เพ่อื เปนท่ตี ัง้ แหง ความ ศรทั ธาเลอื่ มใส จึงมีพระมหากรณุ าธคิ ุณโปรดเกลาฯ ใหจัดการพระราชกุศลมาฆบูชาข้ึนการประกอบพระราชพิธีคงคลายกบั วนั วสิ าขบชู า คอื มกี าร บาํ เพ็ญพระราชกุศลตาง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทยี นตามประทปี เปนพุทธบูชาในวดั พระศรรี ัตนศาสดารามและพระอารามหลวงตา ง ๆ เปน ตน ใน ชว งแรก พิธมี าฆบูชาคงเปนการพระราชพธิ ภี ายใน ยังไมแพรหลายท่วั ไป ตอ มา ความนยิ มจดั พิธีมาฆบชู าจึงไดข ยายออกไปท่วั ราชอาณาจกั ร ปจจบุ นั วนั มาฆบชู าไดรับการประกาศใหเปนวนั หยุดราชการในประเทศไทย[1] โดยพทุ ธศาสนกิ ชนทัง้ พระบรมวงศานุวงศ พระสงฆและประชาชน ประกอบพธิ ีตาง ๆ เชน การตกั บาตร การฟงพระธรรมเทศนา การเวยี นเทียน เปน ตน เพื่อบชู าราํ ลกึ ถึงพระรัตนตรยั และเหตุการณสําคัญดังกลาวทีถ่ อื ได วา เปน วนั ทพ่ี ระพทุ ธเจา ประทานโอวาทปาฏโิ มกข ซ่ึงกลาวถงึ หลักคาํ สอนอันเปน หัวใจของพระพทุ ธศาสนา ไดแก การไมทําความชัว่ ทง้ั ปวง การบาํ เพ็ญ ความดใี หถึงพรอ ม และการทําจิตของตนใหผองใส เพื่อเปน หลักปฏิบตั ิของพุทธศาสนิกชนทง้ั มวล นอกจากนี้ ในป พ.ศ. 2549 รฐั บาลไทยไดประกาศใหวันมาฆบูชาเปน \"วนั กตญั แู หงชาติ\" เนอื่ งจากในสงั คมไทยปจ จุบนั หญิงสาวมกั เสยี ตัวใน วันวาเลนไทน หลายหนวยงานจงึ พยายามรณรงคใ หวันมาฆบูชาเปน วนั แหง ความรกั (อนั บรสิ ทุ ธ์ิ) แทน
จาตรุ งคสนั นบิ าต
คัมภีรสุมังคลวิลาสินี อรรถกถามหาปทานสูตร ระบวุ า หลังจากพระพทุ ธเจา เทศนา \"เวทนาปรคิ คหสตู ร\" (หรอื ทฆี นขสูตร) ณ ถ้ําสูกรขาตา เขาคิชฌกฎู จบแลว ทาํ ใหพ ระสารบี ุตรไดบ รรลอุ รหัตตผล จากนัน้ พระองคไดเสดจ็ ทางอากาศไปปรากฏ ณ วดั เวฬุวันมหาวิหาร ใกลก รงุ ราชคฤห แควน มคธ แลว ทรง ประกาศโอวาทปาติโมกขแกพระภกิ ษจุ าํ นวน 1,250 รปู โดยจํานวนน้ีเปน บริวารของชฏลิ สามพนี่ อง 1,000 รปู และบรวิ ารของพระอคั รสาวก 250 รปู คัมภรี ป ปญจสูทนีระบุวา การประชุมสาวกคร้งั น้ันประกอบดว ย \"องคประกอบอศั จรรย 4 ประการ\" คือ 1. วันดังกลา วตรงกับวนั เพ็ญเดอื น 3 2. พระภกิ ษทุ ัง้ 1,250 องคนัน้ ไดม าประชมุ กันโดยมิไดน ัดหมาย 3. พระภกิ ษุเหลา นั้นเปน พระอรหนั ตทรงอภญิ ญา 6 4. พระภิกษุเหลา นน้ั ไมไดปลงผมดวยมดี โกน เพราะพระพุทธเจา ประทาน \"เอหิภิกขุอปุ สมั ปทา\" ดว ยพระองคเอง ดงั นัน้ จงึ มคี าํ เรยี กวันนอี้ ีกคาํ หน่งึ วา \"วนั จาตรุ งคสนั นบิ าต\" หรือ วันทม่ี กี ารประชุมพรอ มดวยองค 4 ดังกลา วแลว ดว ยเหตุการณป ระจวบกบั 4 อยา ง จงึ มีชือ่ เรียกอกี ชอ่ื หน่ึงวา จาตรุ งคสนั นิบาต (มาจากศัพทบ าลี จาตุร+องคฺ +สนนฺ ปิ าต แปลวา การประชมุ อนั ประกอบดว ยองคป ระกอบท้ังสีป่ ระการ) หลังจากพระพทุ ธเจา ตรัสรูแลว 9 เดอื น (45 ป กอนพุทธศักราช) มีผเู ขา ใจผดิ วาเหตสุ ท่ีพระสาวกทั้ง 1,250 รปู มาประชุมพรอมกนั โดยมิไดนัดหมายนัน้ เพราะวนั เพ็ญเดอื น 3 ตามคติพราหมณเปน วันพธิ มี หา ศวิ าราตรเี พือ่ บชู าพระศิวะ พระสาวกเหลา นั้นซ่งึ เคยนับถือศาสนาพราหมณม ากอ นจึงไดเ ปลยี่ นจากการรวมตวั กันทําพิธีชําระบาปตามพิธพี ราหมณ มารวม กนั เขา เฝาพระพุทธเจาแทนแตความคดิ นไ้ี มต รงกับขอเท็จจรงิ เพราะพระศิวะเปนเทพท่ชี าวฮนิ ดูเริ่มบชู ากันในยคุ หลังพุทธกาล คอื ตง้ั แต พ.ศ. 800 เปนตน มา
ประทานโอวาทปาติโมกข
พระพุทธเจา เมอ่ื ทอดพระเนตรเห็นมหาสังฆสันนิบาตอันประกอบไปดว ยเหตอุ ัศจรรยดังกลาว จึงทรงเห็นเปน โอกาสอนั สมควรที่จะแสดง \"โอวาทปาติโมกข\" อันเปน หลักคาํ สอนสาํ คญั ท่เี ปนหัวใจของพระพุทธศาสนาแกที่ประชุมพระสงฆเหลา น้ัน เพอื่ วางจดุ หมาย หลกั การ และวธิ กี าร ในการเขาถึงพระพทุ ธศาสนาแกพระ อรหนั ตสาวกและพทุ ธบริษทั ท้ังหลาย พระพทุ ธองคจ งึ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขเ ปน พระพทุ ธพจน 3 คาถากึง่ ทามกลางมหาสังฆสันนบิ าตน้นั มใี จความดงั นี้[พระ พทุ ธพจนค าถาแรกทรงกลา วถงึ พระนิพพาน วาเปนจุดมงุ หมายหรืออุดมการณอ นั สูงสดุ ของบรรพชิตและพุทธบรษิ ัท อนั มลี ักษณะทแ่ี ตกตางจากศาสนาอน่ื ดังพระ บาลีวา \"นพิ ฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พทุ ธฺ า\" ● พระพทุ ธพจนคาถาทสี่ องทรงกลาวถึง \"วิธกี ารอนั เปนหัวใจสาํ คญั เพื่อเขาถงึ จุดมงุ หมายของพระพทุ ธศาสนาแกพุทธบรษิ ัททงั้ ปวงโดยยอ \" คือ การ ไมท าํ ความชั่วทง้ั ปวง การบาํ เพญ็ แตค วามดี และการทําจิตของตนใหผ องใสเปน อิสระจากกเิ ลสทงั้ ปวง สว นนเ้ี องของโอวาทปาฏโิ มกขที่ พุทธศาสนิกชนมกั ทองจํากันไปปฏิบัติ ซึง่ เปนเพียงหน่งึ คาถาในสามคาถาก่ึงของโอวาทปาฏิโมกขเ ทานัน้ ● สวนพระพทุ ธพจนค าถาสุดทาย ทรงกลาวถงึ หลกั การปฏบิ ัตขิ องพระสงฆผ ูทําหนา ท่ีเผยแผพระศาสนา 6 ประการ คือ การไมกลาวรา ยใคร, การไม ทาํ รายใคร , การมคี วามสํารวมในปาติโมกขท้ังหลาย, การเปน ผูรจู ักประมาณในอาหาร ,การรูจักทน่ี ่ังนอนอันสงัด และบาํ เพ็ญเพียรในอธจิ ิต
สถานที่สาํ คญั เน่อื งดวยวนั มาฆบชู า (พทุ ธสังเวชนียสถาน)
วดั เวฬวุ นั มหาวหิ าร \"วัดเวฬวุ นั มหาวหิ าร\" เปนอาราม (วดั ) แหง แรกในพระพุทธศาสนา ต้ังอยูใกลเ ชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝง แมน้าํ สรัสวดซี ง่ึ มีตโปธาราม (บอ น้าํ รอ น โบราณ) คั่นอยรู ะหวา งกลาง นอกเขตกาํ แพงเมอื งเกา ราชคฤห (อดตี เมอื งหลวงของแควนมคธ) รัฐพิหาร ประเทศอินเดยี ในปจ จุบนั (หรือแควนมคธในสมยั พุทธกาล) วัดเวฬุวนั ในสมยั พุทธกาล เดมิ วดั เวฬุวันเปน พระราชอุทยานสําหรับเสดจ็ ประพาสของพระเจาพมิ พิสาร เปนสวนปาไผรมรนื่ มีรัว้ รอบและกําแพงเขา ออก เวฬวุ ันมีอีกช่ือหนง่ึ ปรากฏในพระสูตรวา \"พระวหิ ารเวฬวุ ันกลนั ทกนวิ าปสถาน\"หรือ \"เวฬวุ นั กลนั ทกนิวาป\" (สวนปาไผส ถานท่สี ําหรับใหเ หยื่อแกก ระแต)พระเจาพิมพิสารได ถวายพระราชอุทยานแหง นเ้ี ปนวัดในพระพุทธศาสนาหลงั จากไดสดับพระธรรมเทศนาอนปุ ุพพกิ ถาและจตรุ ารยิ สจั จณ พระราชอทุ ยานลฏั ฐิวนั (พระราช อุทยานสวนตาลหนมุ ) โดยในคร้ังนั้นพระองคไ ดบรรลุพระโสดาบัน เปนพระอริยบุคคลในพระพทุ ธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนวิ าปสถานไมน าน อารามแหงน้กี ็ไดใ ชเปน สถานท่ีสําหรับพระสงฆประชุมจาตรุ งคสนั นิบาตครง้ั ใหญใ นพระพทุ ธศาสนา อันเปน เหตกุ ารณส าํ คญั ในวนั มาฆบูชา
วัดเวฬวุ นั หลังการปรนิ ิพพาน หลังพระพทุ ธเจาเสด็จปรนิ ิพพาน วดั เวฬุวนั ไดรับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกฎุ ที ่มี พี ระสงฆเ ฝาดูแลทําการปด กวาดเชด็ ถูปูลาดอาสนะและ ปฏบิ ตั ติ อ สถานที่ ๆ พระพทุ ธเจาเคยประทับอยูทุก ๆ แหง เหมือนสมยั ทพี่ ระพุทธองคท รงพระชนมชีพอยมู ไิ ดข าด โดยมีการปฏิบตั ิเชน นี้ตดิ ตอกนั กวาพนั ป แตจ ากเหตุการณย ายเมอื งหลวงแหง แควนมคธหลายครง้ั ในชว ง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอาํ มาตยแ ละราษฎรพรอมใจกนั ถอดกษตั รยิ นาคทัสสกแ หง ราชวงศ ของพระเจา พมิ พิสารออกจากพระราชบลั ลงั ก และยกสุสูนาคอาํ มาตยซ ึ่งมีเชอื้ สายเจา ลิจฉวีในกรุงเวสาลแี หง แควนวัชชีเกา ใหเปนกษตั ริยต้งั ราชวงศใหม แลว พระเจา สุสนู าคจึงไดทําการยา ยเมืองหลวงของแควนมคธไปยังเมอื งเวสาลอี ันเปนเมอื งเดิมของตน และกษตั รยิ พ ระองคตอมาคอื พระเจา กาลาโศกราช ผู เปนพระราชโอรสของพระเจา สสุ ูนาค ไดยา ยเมืองหลวงของแควนมคธอกี จากเมืองเวสาลไี ปยังเมอื งปาตลีบุตร ทําใหเมอื งราชคฤหถูกลดความสาํ คญั ลงและ ถกู ทง้ิ ราง ซงึ่ เปนสาเหตสุ ําคัญทีท่ ําใหว ดั เวฬุวันขาดผอู ุปถมั ภและถูกทิ้งรา งอยางสิน้ เชิงในชว งพันปถัดมาโดยปรากฏหลกั ฐานบนั ทึกของหลวงจนี ฟาเหียน (Fa-hsien) ทไ่ี ดเ ขา มาสืบศาสนาในพทุ ธภมู ิในชว งป พ.ศ. 942–947 ในชว งรัชสมัยของพระเจา จันทรคุปตท ่ี 2 (พระเจา วกิ รมาทติ ย) แหง ราชวงศค ปุ ตะ ซึง่ ทา นไดบันทกึ ไวว า เมืองราชคฤหอยูในสภาพปรกั หกั พัง แตย ังทนั ไดเห็นมูลคันธกุฎวี ัดเวฬุวนั ปรากฏอยู และยังคงมีพระภกิ ษุหลายรปู ชว ยกนั ดแู ลรกั ษาปด กวาดอยเู ปน ประจาํ แตไ มป รากฏวา มกี ารบนั ทกึ ถึงสถานที่เกดิ เหตุการณจ าตุรงคสันนบิ าตแตป ระการใดแตห ลังจากนัน้ ประมาณ 200 ป วัดเวฬุวนั กถ็ กู ท้ิงราง ไป ตามบนั ทกึ ของพระถงั ซาํ จง๋ั (Hiuen-Tsang) ซง่ึ ไดจารกิ มาเมอื งราชคฤหราวป พ.ศ. 1300 ซึง่ ทา นบนั ทกึ ไวแตเ พยี งวา ทา นไดเห็นแตเ พียงซากมูล คันธกฎุ ีซ่งึ มีกําแพงและอิฐลอ มรอบอยูเทานนั้ (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤหโรยราถงึ ทีส่ ดุ แลว พระถงั ซาํ จ๋งั ไดแ ตเ พียงจดตําแหนงทต่ี ั้งทิศทางระยะทางของสถูป และโบราณสถานเกาแกอ่นื ๆ ในเมอื งราชคฤหไวมาก ทาํ ใหเ ปนประโยชนแกนักประวตั ศิ าสตรและนกั โบราณคดีในการคนหาโบราณสถานตา ง ๆ ในเมือง ราชคฤหในปจจุบนั )
จดุ แสวงบญุ และสภาพของวดั เวฬวุ นั ในปจ จบุ นั
ปจจบุ นั หลังถกู ทอดท้งิ เปน เวลากวาพนั ป และไดร ับการบรู ณะโดยกองโบราณคดีอนิ เดียในชวงทีอ่ ินเดียยังเปนอาณานิคมขององั กฤษ วดั เวฬุวนั ยัง คงมีเนนิ ดินโบราณสถานที่ยังไมไดข ดุ คน อีกมาก สถานท่ีสาํ คญั ๆ ทพี่ ุทธศาสนกิ ชนในปจ จุบนั นยิ มไปนมัสการคือ \"พระมลู คันธกุฎี\" ทีป่ จ จุบนั ยังไม ไดท ําการขดุ คน เนื่องจากมีกุโบรข องชาวมุสลมิ สรา งทับไวข างบนเนนิ ดิน, \"สระกลันทกนิวาป\" ซึ่งปจ จบุ นั รฐั บาลอินเดียไดทําการบรู ณะใหมอยา ง สวยงาม, และ \"ลานจาตรุ งคสนั นิบาต\" อันเปน ลานเล็ก ๆ มซี มุ ประดษิ ฐานพระพุทธรปู ยนื ปางประทานพรอยกู ลางซุม ลานนี้เปนจดุ สําคัญทชี่ าวพทุ ธ นยิ มมาทําการเวียนเทียนสกั การะ (ลานนเี้ ปนลานทก่ี องโบราณคดอี นิ เดียสันนษิ ฐานวา พระพทุ ธองคทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกขในจุดน้ี)
จดุ ที่เกดิ เหตุการณส ําคญั ในวันมาฆบชู า (ลานจาตรุ งคสันนบิ าต)
ถงึ แมว าเหตุการณจ าตุรงคสันนบิ าตจะเปนเหตุการณส าํ คญั ย่ิงทเ่ี กดิ ในบริเวณวดั เวฬวุ นั มหาวหิ าร แตทวาไมป รากฏรายละเอียดในบนั ทกึ ของ สมณทตู ชาวจีนและในพระไตรปฎกแตอยา งใดวาเหตุการณใหญน เ้ี กิดข้นึ ณ จุดใดของวดั เวฬุวนั รวมทัง้ จากการขุดคนทางโบราณคดกี ็ไมป รากฏ หลักฐานวา มกี ารทําเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถปู ระบุสถานทีป่ ระชมุ จาตรุ งคสันนบิ าตไวแ ตอ ยา งใด (ตามปกตแิ ลว บรเิ วณท่เี กิดเหตกุ ารณส ําคัญ ทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถปู โบราณหรือเสาหินพระเจาอโศกมหาราชสรางหรอื ปกไวเพือ่ เปน เคร่ืองหมายสาํ คญั สาํ หรบั ผูแ สวงบุญ) ทําใหใน ปจ จุบนั ไมสามารถทราบโดยแนช ัดวาเหตกุ ารณจ าตรุ งคสันนิบาตเกิดขึ้นในจุดใดของวัด ในปจ จุบันกองโบราณคดีอินเดยี ไดแ ตเพียงสนั นษิ ฐานวา \"เหตกุ ารณดังกลา วเกดิ ในบริเวณลานดา นทศิ ตะวนั ตกของสระกลันทกนิวาป\" (โดย สันนิษฐานเอาจากเอกสารหลกั ฐานวาเหตกุ ารณด ังกลาวมพี ระสงฆป ระชมุ กนั มากถงึ สองพันกวา รูป และเกดิ ในชว งทพ่ี ระพุทธองคพ ่ึงไดทรงรบั ถวาย อารามแหง น้ี การประชมุ ครั้งนน้ั คงยังตอ งนัง่ ประชมุ กนั ตามลานในปาไผ เน่ืองจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญย ังคงไมไ ดสรางข้นึ และ โดยเฉพาะอยา งยิง่ ในปจจบุ ันลานดานทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป เปน ลานกวางลานเดยี วในบริเวณวดั ทีไ่ มมโี บราณสถานอนื่ ต้ังอยู) โดยได นาํ พระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไวบ รเิ วณซุมเลก็ ๆ กลางลาน และเรียกวา \"ลานจาตุรงคสันนบิ าต\" ซึ่งในปจจุบันกย็ งั ไมมขี อสรุป แนช ดั วา ลานจาตรุ งคสนั นบิ าตทีแ่ ทจ รงิ อยใู นจุดใด และยงั คงมชี าวพุทธบางกลุม สรางซมุ พระพทุ ธรูปไวใ นบริเวณอ่ืนของวดั โดยเชือ่ วาจดุ ทต่ี นสราง นน้ั เปนลานจาตุรงคสนั นบิ าตทแี่ ทจ ริง แตพ ทุ ธศาสนิกชนชาวไทยสวนใหญกเ็ ช่อื ตามขอ สันนษิ ฐานของกองโบราณคดอี นิ เดียดังกลาว โดยนยิ ม นับถือกันวา ซุมพระพุทธรูปกลางลานนเ้ี ปนจุดสกั การะของชาวไทยผมู าแสวงบญุ จุดสาํ คญั 1 ใน 2 แหง ของเมอื งราชคฤห (อีกจุดหนง่ึ คือพระมูล คันธกุฎีบนยอดเขาคิชฌกูฏ)
กจิ กรรมท่พี ุทธศาสนกิ ชนพงึ ปฏิบตั ใิ นวนั มาฆบชู า
วันมาฆบชู า พุทธศาสนกิ ชนชาวไทยนิยมทําบญุ ตักบาตรในตอนเชา และตลอดวันจะมีการบาํ เพญ็ บุญกศุ ลความดีอ่ืน ๆ เชน ไปวัดรับศีล งดเวนการ ทาํ บาปทงั้ ปวง ถวายสังฆทาน ใหอสิ ระทาน (ปลอยนกปลอยปลา) ฟง พระธรรมเทศนา และไปเวยี นเทยี นรอบโบสถในเวลาเยน็ โดยกอ นทําการเวยี นเทียน พุทธศาสนกิ ชนควรรว มกันกลา วคาํ สวดมนตแ ละคาํ บชู าในวันมาฆบชู า โดยปกติตามวัดตาง ๆ จะจัดใหม ีการทําวตั รสวดมนตกอนทาํ การเวยี นเทียน ซง่ึ สวน ใหญน ิยมทําการเวยี นเทยี นอยา งเปนทางการ (โดยมพี ระภิกษสุ งฆน ําเวียนเทียน) ในเวลาประมาณ 20 นาฬิกา โดยบทสวดมนตท ่ีพระสงฆนิยมสวดในวนั มาฆบูชากอนทําการเวียนเทยี นนิยมสวด (ทั้งบาลีและคําแปล) ตามลาํ ดบั ดังน้ี 1. บทบชู าพระรตั นตรัย (บทสวดบาลีที่ข้ึนตนดวย:อรหัง สัมมา ฯลฯ) 2. บทนมสั การนอบนอมบชู าพระพุทธเจา (นะโม ฯลฯ ๓ จบ) 3. บทสรรเสรญิ พระพุทธคุณ (บทสวดบาลีท่ีขนึ้ ตน ดว ย:อติ ปิ โส ฯลฯ) 4. บทสรรเสรญิ พระพทุ ธคณุ สวดทาํ นองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะทีข่ ้ึนตน ดวย:องคใ ดพระสมั พทุ ธ ฯลฯ) 5. บทสรรเสรญิ พระธรรมคณุ (บทสวดบาลที ข่ี ึ้นตนดว ย:สวากขาโต ฯลฯ) 6. บทสรรเสริญพระธรรมคณุ สวดทาํ นองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะทขี่ ้นึ ตนดว ย:ธรรมมะคอื คุณากร ฯลฯ) 7. บทสรรเสรญิ พระสังฆคุณ (บทสวดบาลที ี่ขึ้นตน ดวย:สุปฏิปนโน ฯลฯ) 8. บทสรรเสรญิ พระสงั ฆคณุ สวดทาํ นองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะท่ขี ึน้ ตนดว ย:สงฆใ ดสาวกศาสดา ฯลฯ) 9. บทสวดบูชาเน่อื งในวันมาฆบชู า (บทสวดบาลที ่ีข้ึนตน ดวย:อัชชายัง ฯลฯ) จากน้นั จุดธูปเทยี นและถอื ดอกไมเ ปนเครือ่ งสักการบชู าในมือ แลว เดนิ เวียนรอบปูชนียสถาน 3 รอบ โดยขณะทเ่ี ดนิ น้นั พึงต้ังจิตใหสงบ พรอ มสวดระลึกถงึ พระพทุ ธคณุ ดว ยการสวดบทอิติปโ ส (รอบที่หน่ึง) ระลกึ ถึงพระธรรมคุณ ดว ยการสวดสวากขาโต (รอบท่ีสอง) และระลึกถงึ พระสงั ฆคุณ ดวยการสวดสุปะฏปิ น โน (รอบท่สี าม) จนกวาจะเวียนจบ 3 รอบ จากนนั้ นาํ ธปู เทียนดอกไมไ ปบชู าตามปชู นยี สถานจงึ เปน อนั เสร็จพิธี
การกาํ หนดใหว ันมาฆบชู าเปน วนั สาํ คญั ทางพทุ ธศาสนาในประเทศไทย
การประกอบพิธใี นวนั มาฆบูชาไดเรม่ิ มีข้นึ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา เจาอยูห ัว เน่อื งจากพระองคท รงเลง็ เหน็ วาวันนเ้ี ปน วันคลา ย วนั ที่เกิดเหตกุ ารณสาํ คัญในพระพทุ ธศาสนา คอื เปน วันทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข ฯลฯ ควรจะไดมีการประกอบพธิ ีบาํ เพญ็ กศุ ลตาง ๆ เพ่ือถวายเปน พทุ ธบชู า โดยในครัง้ แรกนนั้ ไดท รงกําหนดเปน เพยี งการพระราชพธิ บี ําเพญ็ กศุ ลเปน การภายใน แตตอมาประชาชนก็ไดนิยมนาํ พธิ ี น้ีไปปฏบิ ัตสิ ืบตอ มาจนกลายเปนวันประกอบพธิ สี าํ คัญทางพระพุทธศาสนาวนั หนึ่งไป เนอื่ งจากในประเทศไทย พทุ ธศาสนิกชนไดม ีการประกอบพธิ ใี นวนั มาฆบูชาสืบเน่อื งมาตง้ั แตส มยั รัชกาลท่ี 4 และนับถือกันโดยพฤตินยั วา วนั น้ีเปนวนั สาํ คญั วันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยมาตง้ั แตน นั้ โดยเม่ือถึงวนั น้ีพุทธศาสนกิ ชนจะรวมใจกนั ประกอบพธิ ีบําเพญ็ กุศล ตาง ๆ กนั เปนงานใหญ ดงั น้นั เมื่อถึงในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา เจาอยูหวั พระองคจ ึงทรงประกาศใหวันมาฆบูชาเปนวนั หยดุ นกั ขัตฤกษ สาํ หรบั ชาวไทยจะไดรวมใจกันบาํ เพญ็ กศุ ลในวันมาฆบชู าโดยพรอมเพรยี ง ในปจจบุ ันยังคงปรากฏการประกอบพธิ มี าฆบชู าอยูใ นประเทศไทยและประเทศทีเ่ คยเปน สวนหน่ึงของประเทศไทย เชน ลาว และกมั พชู า (ซึง่ เปน สว นที่ไทยไดเ สียใหแ กฝรงั่ เศสในสมยั รัชกาลท่ี 5) โดยไมป รากฏวา มีการประกอบพธิ นี ้ใี นประเทศพุทธมหายานอ่นื หรือประเทศพุทธ เถรวาทนอกน้ี เชน พมา และศรลี งั กา ซึ่งคงสนั นษิ ฐานไดวา พธิ มี าฆบูชานีเ้ รม่ิ ตน จากการเปนพระราชพธิ ีของราชสาํ นักไทยและไดข ยายไปเฉพาะ ในเขตราชอาณาจักรสยามในเวลานน้ั ตอ มาดินแดนไทยในสวนที่เปนประเทศลาวและกัมพชู าไดตกเปน ดินแดนในอารกั ขาของฝรง่ั เศส และไดร ับ เอกราชในเวลาตอมา พทุ ธศาสนกิ ชนในประเทศทง้ั สองทไี่ ดรับคตนิ ิยมการปฏิบัติพธิ มี าฆบูชาตั้งแตยงั เปน สว นหน่ึงของราชอาณาจักรสยาม คงได ถอื ปฏบิ ัติพิธีมาฆบชู าอยา งตอเนื่องโดยไมไ ดม กี ารยกเลกิ จงึ ทําใหค งปรากฏพิธีมาฆบชู าในประเทศดงั กลาวจนถงึ ปจ จุบนั
นางสาว นริศรา พันยโุ ดด เลขที่ 7 ปวส 1/13 สาขาการบญั ชี
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: