Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ อช32001ใหม่ล่าสุด

การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ อช32001ใหม่ล่าสุด

Published by มะลิกา ลักษณะทิพย์, 2021-08-04 10:07:26

Description: การพัฒนาแผนและโครงการอาชีพ อช32001ใหม่ล่าสุด

Search

Read the Text Version

การพฒั นาแผนและโครงการอาชพี รหสั วิชา อช 32001 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอทงุ่ ช้าง

ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง บทที่ 1 การวเิ คราะหแ์ ผนโครงการพฒั นาอาชีพใหม้ รี ายได้ มีเงนิ ออม และมที นุ ในการขยายอาชีพ โครงการ คือ กิจกรรมหรือแผนงานท่ีเป็นหน่วยอิสระหนึ่ง ท่ีสามารถทาการวิเคราะห์วางแผน และนาไป ปฏบิ ตั ิ พรอ้ มท้งั มีลักษณะแจ้งชัดถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด โดยแผนสาหรับกิจการต่างๆ ต้องระบุ วัตถุประสงค์ตาม ระยะเวลาทก่ี าหนด โครงการ คอื การวางแผนลว่ งหนา้ ทจี่ ดั ทาขึ้นอยา่ งมีระบบประกอบด้วยกิจกรรมย่อยหลายกิจกรรมท่ี ต้องใช้ ทรัพยากรในการดาเนินงาน และคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าแต่ละโครงการมีเป้าหมาย เพ่ือการผลิตหรือ การใหบ้ รกิ ารเพ่ือเพิ่มพูนสมรรถภาพของแผนงาน ดังนั้นโครงการ จงึ เป็นสว่ นสาคัญสว่ นหนึง่ ของการวางแผนท่ีจะทา ใหอ้ งค์กรบรรลุวัตถปุ ระสงค์ตามเป้าหมาย

ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอท่งุ ชา้ ง ลักษณะของโครงการทดี่ ี สามารถแก้ปญั หาขององค์การหรอื หนว่ ยงานนนั้ ๆ ได้ 1. มรี ายละเอียด วตั ถปุ ระสงค์เป้าหมายตา่ ง ๆ ชดั เจน สามารถดาเนินงาน มคี วามเป็นไปได้ 2. กาหนดข้นึ อย่างมีข้อมูลความจรงิ (มีสถติ ิ ตัวเลข ขอ้ มูลจากองค์กรดังกลา่ ว) และเป็นขอ้ มูลท่ี ไดร้ บั การวิเคราะหอ์ ย่าง รอบคอบ 3. อา่ นแล้วเขา้ ใจว่านค้ี ือโครงการอะไร มปี ระโยชนอ์ ย่างไร ทาไปเพ่อื อะไร มีขอบเขตการทาแคไ่ หน 4. มรี ะยะเวลาในการดาเนนิ งานแน่นอน ระบวุ ันเวลาเรมิ่ ต้นและสิ้นสุด 5. สามารถตดิ ตามประเมินผลได้ 6. รายละเอียดของโครงการตอ่ เน่ืองสอดคล้องสมั พันธ์กนั 7. ตอบสนองความตอ้ งการของกลมุ่ ชน สังคม และประเทศชาติ 8. ปฏบิ ัตแิ ลว้ สอดคล้องกับแผนงานหลกั ขององคก์ าร การออม หมายถงึ ส่วนของรายไดท้ เี่ หลืออย่หู ลังจากได้มกี ารใช้ จา่ ยเพ่อื การอุปโภคและบริโภคแล้ว โดยจะเก็บเอาไวส้ าหรบั การใชจ้ า่ ยในอนาคตยามฉกุ เฉินหรอื ในคราวทม่ี คี วามจาเป็น

ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอท่งุ ชา้ ง การออม แบง่ ออกได้เป็น 2 ประเภท คอื 1. การออมด้วยความสมัครใจ เป็นการออมที่เกิดจากความสมัครใจของแต่ละบุคคลท้ังน้ีขึ้นอยู่กับ รายได้ ความพึงพอใจ และสภาพแวดลอ้ ม โดยการเปรยี บเทยี บระหว่างการเกบ็ เงินออมไวใ้ ช้ในอนาคตกับ การใช้จ่ายปจั จุบนั วา่ ทางเลือกใดจะดีกว่ากนั 2. การออมโดยถูกบังคับ เป็นการออมท่ีบุคคลไม่สามารถที่จะเลือกได้ เนื่องจากมีกฎหมาย หรือระเบียบข้อบังคับให้ต้องปฏิบัติ เช่น การทาประกันชีวิต การหักเงินสะสมเข้ากองทุนสารองเล้ียงชีพ การหักเงินประกันสังคม การซ้ือหุ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็น ต้น ปจั จัยท่ีจงู ใจใหเ้ กิดการออมทรพั ย์ ไดแ้ ก่ 1. อัตราดอกเบี้ย หากอตั ราดอกเบยี้ สงู ก็จะเปน็ แรงจูงใจให้มกี ารออมมากขึน้ 2. สถาบันการเงนิ หากสถาบันการเงินมีความม่ันคง มีความเส่ียงน้อย และสามารถให้บริการ แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นแรง กระต้นุ ให้มกี ารออมมากขน้ึ 3. ผทู้ ่ีมรี ายได้มากย่อมมโี อกาสและสามารถทจ่ี ะเก็บเงินออมได้มากกวา่ ผูท้ มี่ ีรายไดน้ อ้ ย

ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอทุ่งชา้ ง องค์กรธรุ กจิ ทท่ี าหนา้ ทีเ่ กย่ี วกบั เงินออม และนาเงนิ ออมไปลงทนุ ในลักษณะของการให้ก้ยู มื เงินไปลงทนุ อกี ต่อหนึ่ง ได้แก่ 1. ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารออมสนิ ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ 2. สถาบนั การเงนิ หรอื บริษทั เงนิ ทุนต่างๆ 3. สหกรณอ์ อมทรัพย์ 4. บริษัทประกันชีวติ 5. สถาบันการเงนิ นอกระบบ ซง่ึ เปน็ ระบบที่ไมถ่ กู ต้องตามกฎหมายและมีความเสย่ี งมากทีส่ ดุ เช่น การเลน่ แชร์ เปน็ ต้น

ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอท่งุ ชา้ ง ผลดีของการออม 1. ทาให้มีเงนิ ไว้ใช้จา่ ยในยามจาเปน็ หรอื มคี วามต้องการใชจ้ า่ ยอย่างรีบด่วน 2. สามารถนาไปลงทุนในกิจกรรมต่างๆ ท่ีพจิ ารณาเห็นว่ามีความมั่นคง ปลอดภัย และให้ผลตอบแทนสงู 3. เพอ่ื พัฒนาและสร้างความมั่นคงในชวี ิตและครอบครวั แผน คือ แนวปฏบิ ตั ทิ ี่กาหนดไวล้ ว่ งหนา้ ซ่ึงต้องเกย่ี วข้องกับการกระทา อนาคต และความตอ้ งการ ของบคุ คลและองค์กร แผน คือ ผลทไ่ี ด้จากการวางแผน แผน คือ สิง่ ท่ีกาหนดขน้ึ และถือเปน็ แนวดาเนินการ จากความหมายของแผนท่กี ล่าวมาพบว่า แผน คือ ผลท่เี กดิ จากการวางแผนหรอื อาจกลา่ วอีกนัยหนึ่ง วา่ “การวางแผน” คือกจิ กรรมหรอื การกระทาที่ก่อใหเ้ กิด “แผน” ซงึ่ อาจกระทาขึ้นเป็นลายลักษณอ์ กั ษร แบบเปน็ ทางการหรือไมเ่ ป็นทางการกไ็ ด้

ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอทุ่งชา้ ง การวางแผนกลยุทธ์ คือ การศึกษาก็เหมือนวงการอื่น จะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงท่ีคาดไม่ถึง เป็นเรื่องที่ยากในการ ทานายอนาคต นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์คนหน่ึงชื่อ Arthur C. Clarks พูดว่า “อนาคตมิใช่ส่ิงที่เคยเป็น” การ วางแผนกลยุทธ์เป็นวิธีการในการกาหนดและธารงรักษาทิศทางในเมื่ออนาคต กลายเป็นสิ่งที่หายากแสนยากในการ ทานาย เป็นกระบวนการต่อเน่ืองซึ่งองค์กรต้องดาเนินตามและปรับ ให้เข้ากับบริษัททั้งภายในและภายนอกที่ เปลย่ี นแปลงแนน่ อน การวางแผนมไิ ด้เสรจ็ สน้ิ เมอ่ื เขยี นแผนเสรจ็ แลว้ นัน่ เป็นการบันทึกกระบวนการที่เห็นตามปกติใน ช่วงเวลาเท่านั้น ความยากของแผนอยู่ท่ีข้ันนาไปดาเนินการ ในการวางแผนกลยุทธ์จุดเน้นอยู่ท่ีวิวัฒนาการหรือข้ัน ดาเนินการตามแผน โดยตัวแผนต้องปรบั ให้เขา้ กับ สถานการณท์ เี่ ปล่ยี นแปลงไป พจนานุกรม The Concise Oxford Dictionary ได้นิยามคาว่ากลยุทธ์ว่า “เป็นศิลปะการทาสงคราม ของนายพล” สะท้อนให้เห็นว่ามุ่งเน้นไปที่กองทัพใช้ในระหว่างการแข่งขันและการต่อสู้ หลังจากน้ันความคิด ทางกลยุทธ์ได้นามาใช้ ในการวางแผนธุรกิจ

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอทงุ่ ช้าง การวางแผนกลยุทธ์ กลายเป็นที่นิยมในปี ค.ศ.1950 และปี ค.ศ.1960 บริษัทจานวนมากได้นามาใช้ ใน การสร้างโอกาสทางธุรกิจ กลายเป็นส่ิงจาเป็นในการทานายอนาคตอย่างเป็นระบบ เป็นรูปแบบของการ วางแผนระยะยาว จุดมุ่งหมายเป็นการกาหนดวัตถุประสงค์ของบริษัท แล้วก็กาหนดแผน เพ่ือให้บรรลุ วัตถุประสงค์และในท่ีสุดก็จัดสรร งบประมาณเป็นเงนิ ทุน ดงั น้นั การวางแผนระยะยาวในฐานะท่ีเป็น วิธีการกาหนดกลยุทธ์ปรากฏการณ์นี้หายไป เมื่อมันไม่ สามารถพยากรณ์แนวโน้มท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตได้ ดังนั้น แผนกลยุทธ์จึงเข้ามาแทนท่ีแผนระยะยาว ซึ่งคล้องรวมการ เปลี่ยนแปลงทย่ี อมรบั วา่ เปน็ ไปได้ ในดา้ นแนวโน้มต่างๆ และแผนระยะยาวไมอ่ ยบู่ นพ้นื ฐานของความคิดท่วี ่าความเติบโตที่ อาจแน่ใจได้ ทกุ วันน้ี การวางแผนกลยทุ ธเ์ ป็นเทคนิคท่ีช่วยผู้นาหรอื ผู้บรหิ ารท่ีเกย่ี วข้องกับส่ิงแวดล้อมท่ีสับสน และมีส่ิง ท้าทายมากมายเผชิญหน้าองค์การอยู่ วรรณกรรมทางธุรกิจใช้คาหลากหลาย เช่น การบริหารกลยุทธ์ การวางแผนกลยุทธ์ และความคิดทางกลยุทธ์ แต่หลักการก็คือ เป็นกระบวนการที่สมาชิกในองค์การสร้าง วิสัยทัศน์เข้ามา (ภาพอนาคตของ องคก์ ร) แล้วสร้างวิธีการที่จาเป็นขน้ึ มาเพอ่ื ใหบ้ รรลผุ ลในภาพอนาคตนนั้

ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอทุ่งช้าง 0บทที่ 2 การทบทวนองค์ความรทู้ ี่จาเปน็ ต่อการพัฒนาอาชพี ให้มรี ายได้ มีเงนิ ออมและมีทนุ ในการขยายอาชพี 12.1 การทบทวนองคค์ วามรทู้ จี่ าเปน็ ตอ้ งใชใ้ นการเรยี นรู้ การจัดการความรู้ ( Knowledge management - KM) คือ การรวบรวม สร้าง จัดระเบียบ แลกเปลี่ยน และ ประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร โดยพัฒนาระบบจาก ข้อมูล ไปสู่ สารสนเทศ เพื่อให้เกิด ความรู้ และ ปัญญา ในที่สุด การจัดการ ความรปู้ ระกอบไปด้วยชดุ ของการปฏิบัติงานท่ถี ูกใชโ้ ดยองค์กรต่างๆ เพ่ือที่จะระบุ สร้าง แสดงและกระจายความรู้ เพื่อประโยชน์ใน การนาไปใช้และการเรียนรู้ภายในองค์กร อันนาไปสู่การจัดการ สารสนเทศท่ีมีประสิทธิภาพมากข้ึน ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีจาเป็นสาหรับการ ดาเนินการธุรกิจที่ดี องค์กรขนาดใหญ่ โดยส่วนมากจะมีการจัดสรรทรัพยากรสาหรับการจัดการองค์ความรู้ โดยมักจะเป็นส่วน หนง่ึ ของแผนก เทคโนโลยีสารสนเทศหรอื แผนกการจดั การทรัพยากรมนษุ ย์ รูปแบบการจดั การองค์ความรโู้ ดยปกติจะถูกจัดใหเ้ ป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององคก์ รและประสงค์ ท่ีจะได้ผลลัพธ์ เฉพาะด้าน เช่น เพื่อแบ่งปันภูมิปัญญา,เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการทางาน, เพื่อความได้เปรียบ ทางการแข่งขัน, หรือเพื่อเพิ่มระดับ นวตั กรรมใหส้ งู ข้ึน

ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอทุ่งชา้ ง ประเภทของความรู้ ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้สองประเภท คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และความรู้แฝงเร้น หรือความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) ความรู้ชัดแจ้งคือความรู้ที่เขียน อธบิ าย ออกมาเป็นตัวอักษร เช่น คมู่ อื ปฏิบตั งิ าน หนังสอื ตารา เวบ๊ ไซด์ Blog ส่วนความรู้แฝงเร้นคือความรู้ ท่ีฝัง อยูใ่ นตัวคน ไมไ่ ด้ถอดออกมาเปน็ ลายลักษณอ์ ักษร หรอื บางคร้ังก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ความรู้ท่ี สาคัญส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นความรู้แฝงเร้น อยู่ในคนทางาน และผู้เช่ียวชาญในแต่ละเร่ือง จึงต้อง อาศัยกลไก แลกเปลีย่ นเรยี นรใู้ ห้คนไดพ้ บกนั สรา้ งความไวว้ างใจกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน ความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายโดยใช้คาพูดได้ มีรากฐานมาจาก การกระทาและประสบการณ์ มลี กั ษณะเป็นความเชอื่ ทกั ษะ และเปน็ อัตวิสัย (Subjective) ตอ้ งการการฝึกฝนเพอื่ ใหเ้ กิด

ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งช้าง ความชานาญ มลี กั ษณะเป็นเรอ่ื งส่วนบุคคล มบี รบิ ทเฉพาะ (Context-specific) ทาให้เปน็ ทางการและสอื่ สารยาก เชน่ วจิ ารณญาณ ความลบั ทางการค้า วฒั นธรรมองค์กร ทกั ษะ ความเช่ียวชาญในเรือ่ งต่างๆ การเรียนรูข้ ององคก์ ร ความสามารถ ในการชิมรสไวน์ หรอื กระทั่งทกั ษะในการสงั เกตเปลวควันจากปลอ่ งโรงงานว่ามปี ญั หาใน กระบวนการผลติ หรือไม่ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่รวบรวมได้ง่าย จัดระบบและถ่ายโอนโดยใช้วิธีการ ดิจิทัล มี ลักษณะเป็นวัตถุดิบ (Objective) เป็นทฤษฏี สามารถแปลงเป็นรหัสในการถ่ายทอดโดยวิธีการท่ีเป็นทางการ ไม่จาเป็นต้องอาศัย การปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนเพื่อถ่ายทอดความรู้ เช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทางาน ซอฟต์แวร์ เอกสาร และกลยุทธ์ เป้าหมายและความสามารถขององคก์ ร ความร้ยู ง่ิ มลี กั ษณะไม่ชัดแจง้ มากเทา่ ไร การถ่ายโอนความรู้ยิ่งกระทาได้ยากเท่าน้ัน ดังนั้น บางคนจึงเรียกความรู้ประเภทนี้ว่าเป็นความรู้แบบเหนียว (Sticky Knowledge) หรือความรู้แบบฝังอยู่ภายใน (Embedded Knowledge) ส่วนความรู้แบบชัดแจ้งมีการถ่ายโอน และแบ่งปันง่าย จึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ความรู้แบบรั่วไหลได้ง่าย (Leaky Knowledge) ความสัมพันธ์ของความรู้ ท้ังสองประเภทเป็นส่ิงที่แยกจากกันไม่ได้ ต้องอาศัยซ่ึงกันและกัน (Mutually Constituted) (Tsoukas, 1996) เน่ืองจากความรู้แบบฝังลึกเป็นส่วนประกอบของความรู้ทั้งหมด (Grant, 1996) และสามารถ แปลงให้เป็น ความรู้แบบชัดแจ้งโดยการส่ือสารด้วยคาพูดตามรูปแบบของเซซี (SECI Model ของ Nonaka และ Takeuchi) ความร้ทู ง้ั แบบแฝงเร้นและแบบชัดแจง้ จะมีการแปรเปล่ียนถ่ายทอดไปตามกลไกต่างๆ เช่น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถอดความรู้ การผสานความรู้ และการซมึ ซับความรู้

ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอทงุ่ ช้าง 2.2 การจัดลาดบั ความสาคัญ / จาเปน็ ขององคค์ วามรู้ แนวทางการจดั กจิ กรรมการศกึ ษาเพอื่ พฒั นาอาชพี เรง่ รดั สง่ เสรมิ และพัฒนาการจดั การศกึ ษาเพ่ือการพฒั นาอาชพี ท่ีตอบสนอง ความตอ้ งการของ กลุม่ เปา้ หมาย โดยมุ่งเนน้ การปฏบิ ัติจรงิ ที่บรู ณาการกบั วถิ ีชีวิตใหก้ ับบุคคลและชุมชน เพ่อื แก้ปัญหาการ วา่ งงาน และเสรมิ สรา้ งความเขม้ แข็งใหก้ บั เศรษฐกจิ ชุมชน โครงการและกจิ กรรมจัดให้กลุ่มเปา้ หมายในพน้ื ท่ี กศน. รับผดิ ชอบ โดยมเี นือ้ หาจดุ เนน้ สาระ 4 ประการ 1. การพัฒนาทกั ษะอาชพี หมายถงึ ฝกึ ทักษะอาชพี ในลักษณะหลกั สตู รระยะสัน้ ตอบสนองความตอ้ งการ ผู้เรยี นใหม้ ีความรู้และ ทักษะพน้ื ฐานในอาชพี 2. การฝึกอบรมเพ่อื เขา้ สอู่ าชีพ หมายถึง การจัดฝึกอบรมให้ผอู้ บรมทท่ี กั ษะอาชพี อยู่แล้วและสนใจ เข้าสู่อาชพี ให้สามารถ ประกอบอาชพี ได้และมีรายได้ 3. การจัดการศกึ ษาเพือ่ พฒั นาอาชีพ หมายถึง การจัดฝกึ อบรมให้ผู้ประกอบอาชีพประเภทเดียวกัน ให้พฒั นาอาชพี ให้ดขี นึ้ ท้งั ใน เชิงคุณภาพและปริมาณ 4. การพัฒนาอาชีพดว้ ยเทคโนโลยี หมายถึง การฝกึ อบรมการใช้เทคโนโลยใี หผ้ ู้อบรมนามาใชใ้ นการพฒั นา กจิ การอาชพี และ ศกั ยภาพตนเอง เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการตลาด เทคโนโลยกี ารผลิต

ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอทงุ่ ชา้ ง ยทุ ธศาสตร์ 1. การใชช้ ุมชนเป็นฐาน โดยใช้ข้อมลู สารสนเทศของชุมชนด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และอาชพี ทม่ี ีอยแู่ ล้วในชุมชน ท่ี สอดรบั กับ ความต้องการ ของกลุม่ อาชีพในชุมชนเป็นฐานข้อมลู ท่นี าไปจดั กระบวน การเรยี นรู้ 2. การมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน เป็นการส่งเสริมใหค้ นในชมุ ชนหน่วยงานต่างๆ และองคก์ รท้องถ่นิ มบี ทบาทสาคญั ในการรว่ มคิด ร่วมวางแผน รว่ มตดั สินใจ ร่วมปฏิบัติและร่วมรบั ผลประโยชนใ์ นการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน 3. การใช้ต้นทนุ ทางสังคม เนน้ การใช้ตน้ ทุนจากสังคม 6 แหง่ - ทุนทรพั ยากรธรรมชาติ - ทนุ ทรพั ยากรบุคคล - ทนุ ภูมปิ ัญญาและแหล่งการเรียนรู้ - ทุนทางวัฒนธรรม - ทนุ รัฐบาล (กองทนุ หมู่บ้าน) - ทนุ ทางความรมู้ าใช้ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 4. หลกั การบรู ณาการและปฏบิ ัตจิ ริงในการเรียน การทางานที่สอดคล้องกับวถิ ชี ีวติ ของชุมชนโดย ร่วมกนั คิด ทา จา แก้ปญั หา และพัฒนา 5. การใช้กระบวนการกลุ่มในการดาเนินงานคือ มกี ารทางานเปน็ กลมุ่ โดยมีประธานกลุ่ม เลขากลุม่ เหรญั ญกิ กลุ่ม กรรมการกลมุ่

2.3 การตัดสนิ ใจเลือกความรทู้ ่จี าเป็นต้องใช้แนวความคดิ ทางการตลาด 1. ความคิดเกยี่ วกับการผลติ (Production Concept) สนิ ค้าทผี่ ลติ ออกมาแล้วสามารถ จาหนา่ ยออกไดน้ นั้ กต็ ้องประกอบด้วยสินค้ามีจาหน่ายท่วั ไปหาซือ้ ไดง้ ่าย ผลิตสินค้าทัน ต่อความต้องการ ราคายุติธรรม และ สินค้ามีจานวนเหมาะสมกับความต้องการของ ผู้บริโภค หรอื ผูบ้ ริโภคมคี วามต้องการสินคา้ มากกว่าผู้เสนอขาย สนิ คา้ จึงขายได้หมด ดงั น้ัน ผบู้ รหิ ารท่ีมแี นวคิดดา้ นน้ี จะมงุ่ ปรบั ปรุงพฒั นาระบบการผลติ ใหด้ ยี ิ่งขน้ึ ถงึ แม้ ตน้ ทุนการผลิตจะสงู ขน้ึ ก็ตามนักการตลาดจะหนั ไปลดราคา โดยหาวธิ ีการผลติ ทีด่ กี วา่ เดิม หรือประหยดั กวา่ เดมิ รวมทงั้ การกาหนดระบบการจัดจาหน่ายทมี่ ีประสทิ ธิภาพและเปน็ ไป อยา่ งทวั่ ถงึ ดว้ ย แนวความคิดการผลิต แบบนจ้ี ะชว่ ยให้ประสบความสาเรจ็ ง่ายข้ึน อีกท้ัง ยงั เป็นการจากัดคู่แข่งไดด้ ว้ ย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอทงุ่ ช้าง

ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอท่งุ ชา้ ง 2. ความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (Product Concept) ผู้บริหารท่ีมีแนวความคิดในผลิตภัณฑ์จะเห็น ความสาคัญของตัว สนิ ค้าเปน็ หลกั คือ สินค้าจะขายได้หรอื ไม่น้ันขึ้นอยู่กับวา่ สินคา้ มคี ณุ ภาพอยา่ งไรเมื่อ เปรียบเทยี บกับราคา นักการตลาดจึง เน้นเรื่องการพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดีท่ีสุดหรือดีกว่า คู่แข่งขันและจัดจาหน่ายในราคาที่เหมาะสม รวมท้ัง การใหบ้ รกิ ารอานวยความสะดวกในการซ้ืออีกด้วย 3. ความคิดมุ่งการขาย (Sales Concept) แนวคิดน้ีผู้บริโภคจะสนใจซ้ือเฉพาะสินค้าท่ีจาเป็นสาหรับ การดารงชีวิตเท่าน้ัน และเขาจะไมส่ นใจกับสนิ คา้ ท่ีไม่ค่อยจาเป็น ผ้บู ริหารทม่ี แี นวความคดิ มุ่งการขายจะพยายาม มุ่งขายสนิ ค้าทีผ่ ้บู ริโภคไมค่ ่อย สนใจให้ขายดีย่ิงขึ้น โดยใช้เครอ่ื งมือการขายเข้ามาช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคสนใจใน ผลิตภัณฑ์ ประกอบกับอบรมพนักงาน ขายใหเ้ ทคนคิ การขายให้ดีย่งิ ขนึ้ 4. ความคดิ มงุ่ การตลาด (Marketing Concept) ในตลาดผูบ้ ริโภค จะมีผู้ต้องการสินค้าแบบเดียวกัน แต่ลักษณะแตกต่าง กันมากมาย ถ้าพูดถึงตลาดแล้วจะมีผู้บริโภคหลายอาชีพ ระดับการศึกษา ระดับชนชั้น และระดับอายุ ผู้บริโภคเหล่าน้ีจะ ต้องการสินค้าที่มีลักษณะแตกต่างกัน นักการตลาดจึงจาเป็นต้องผลิต สินค้าออกมาโดยมุ่งที่กลุ่มลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะ และพยายามตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ กลุ่มนน้ั ให้ได้รบั ความพึงพอใจสูงสุด อันจะทาให้ลูกค้ามีความ จงรักภักดีในตรายี่หอ้ และทาให้เกดิ การซอ้ื ซา้ ๆ เกิดขึน้ อกี ดว้ ย 5. ความคิดทางการตลาดท่ีมุ่งสังคม (Social Marketing Concept) เป็นแนวความคิดของนักการตลาด ปัจจุบัน โดยให้ ขอ้ คดิ วา่ ธุรกิจไมค่ วรจะผลติ สนิ คา้ ตามความพอใจของผ้บู รโิ ภคเท่าน้นั

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอทงุ่ ช้าง ปัจจยั ที่มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การตลาด 1. ปัจจยั ท่ีควบคมุ ได้ (Controllable Facters) ประกอบด้วย 1.1 ผลิตภัณฑ์ (Product) 1.2 ราคา (Price) 1.3 การจัดจาหนา่ ย (Place) 1.4 การส่งเสรมิ การขาย (Promotion) 2. ปจั จัยท่คี วบคุมไมไ่ ด้ (Uncontrollable Facters) มีสว่ นประกอบดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 สภาพแวดลอ้ มทางวัฒนธรรมและสงั คม (Cultural & Social Environment) 2.2 สภาพแวดล้อมทางการเมอื งและกฎหมาย (Political & Legal Environment) 2.3 สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economics Environment ) 2.4 โครงสรา้ งของธรุ กิจ (Exising Business Stucture) 2.5 ทรัพยากรและวัตถุประสงค์ของกิจการ (Resources and Objectives of firm) 2.6 สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ (Nature Environment ) 2.7 สภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี (Taehnologieal Environment ) 2.8 สภาพแวดลอ้ มด้านการแข่งขัน (Competitin Environment )

สารสนเทศ (information) เป็นผลลัพธ์ของการประมวลผล การจัดดาเนินการ และการเข้า ประเภทข้อมูลโดยการรวมความรู้ เข้าไปต่อผู้รับสารสนเทศนั้น สารสนเทศมี ความหมายหรือแนวคิดท่ีกว้าง และหลากหลาย ตง้ั แตก่ ารใชค้ าว่า สารสนเทศใน ชีวิตประจาวัน จนถึงความหมายเชิงเทคนิค ตามปกติในภาษาพูด แนวคิดของ สารสนเทศใกล้เคียง กับความหมายของการส่ือสาร เง่ือนไข การควบคุม ข้อมูล รูปแบบ คาสั่งปฏิบัติการ ความรู้ ความหมาย สื่อความคิด การรับรู้ และการแทน ความหมาย

2.5 การแสวงหาความรูแ้ ละจดั ทาระบบสารสนเทศ การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจาแนกเป็น กลยุทธ์การจัดการท่ีสาคัญ 3 ด้าน คือกลยุทธ์ ระบบสารสนเทศ กลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และกลยุทธ์ระบบการจัดการ สารสนเทศ ซ่ึงกลยุทธ์ทั้ง 3 นี้ ต้องสัมพันธ์และสอดคล้องกับ นโยบายกลยทุ ธ์ วัตถปุ ระสงค์ แผนงานขององคก์ ารรวมทั้งวธิ กี าร ดาเนินงาน กลา่ วคอื ตอ้ งการจดั ทาระบบสารสนเทศอะไร ใครเปน็ ผู้ใช้ระบบ ใช้ในงานลักษณะใด ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อะไรใน การสรา้ งระบบจงึ จะบรรลผุ ลสาเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ และมีระบบ การจัดการอะไรในการจัดสรร ทรัพยากรควบคุมการใช้ให้เป็นไป อยา่ งมปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ล

บทท่ี 3 การระบุทักษะในความรูท้ ี่จาเป็นตอ้ งฝกึ เพม่ิ เติมเพื่อการมี ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง รายได้ มีเงินออม และมที นุ ในการขยายอาชพี 3.1 ทักษะทม่ี คี วามจาเปน็ ตอ้ งฝกึ เพม่ิ เตมิ การวางแผนการใช้จา่ ยเงิน คอื การวางแผนเกี่ยวกบั รายไดแ้ ละ รายจา่ ย เพ่อื ใหใ้ ช้จ่ายเงินได้เพยี งพอ กับรายได้ และมเี งินออมไวใ้ ชจ้ า่ ยใน อนาคต รายได้ คอื เงนิ จากการประกอบอาชีพ ซึ่งรายไดน้ น้ั อาจอยใู่ นรูปของเงนิ เดอื น ดอกเบ้ยี เงินกยู้ มื หรอื เงินฝากธนาคาร และเงนิ กาไรจากการคา้ ขาย รายจ่าย คอื เงินท่ีจ่ายไป เพอื่ ให้ไดส้ ิ่งของหรือบริการ การบันทกึ รายรับ - รายจ่าย ชว่ ยให้ทราบถึงการใชจ้ ่ายเงนิ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ และเปน็ ไปตามแผน การทา บัญชีรับ-จ่าย จงึ มีความสาคัญ ดังนี้ 1. ทาใหท้ ราบรายรับ-รายจา่ ยตลอดท้ังเดือน 2. สามารถวางแผนการใชจ้ า่ ย ว่าอะไรมีความจาเป็นก่อน-หลัง 3. ทาใหท้ ราบว่ามเี งินคงเหลอื เท่าใดในแต่ละวัน

บทท่ี 4 การพฒั นาระบบการผลติ ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอทุง่ ชา้ ง 4.1 ปัจจัยการผลติ การผลิต หมายถึง กระบวนการท่ที าใหเ้ กิดมลู ค้าเพมิ่ (Value Added) ท้งั ที่เป็นมูลคา่ หรอื ประโยชน์ใชส้ อย (Use Value) และมลู ค่าในการแลกเปลีย่ น (Exchange Value) โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ เพื่อ ตอบสนองความตอ้ งการของมนุษย์ในการดารงชีวติ เพราะฉะนนั้ การผลิตจงึ เป็นการสร้างคณุ ค่าของสินคา้ ท่ี สามารถ ตอบสนองความตอ้ งการของมนุษย์ (Utility)

ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งช้าง 4.2 ขนั้ ตอนการผลิต ข้นั ตอนการกาหนดคุณภาพ การกาหนดคณุ ภาพมีความสาคัญอยา่ งยิง่ เพราะการกาหนดคณุ ภาพไมไ่ ดก้ าหนดจากบคุ คลใด บคุ คลหนึ่ง หรอื กลุ่มคน หรือสถาบันเท่านน้ั แตก่ ารกาหนดคุณภาพต้องคานึงถงึ คนหลายกลมุ่ หลายสถาบัน การกาหนดคุณภาพสินค้นและบรกิ าร มี ขนั้ ตอนดาเนนิ การ 3 ขั้นตอน ไดแ้ ก่ 1. การศกึ ษาความต้องการของผู้ใช้สนิ ค้าและบรกิ าร อย่างกว้างขวาง และครอบคลุมผู้ซื้อหรอื ผใู้ ช้ บริการท่ีมคี วามหลากหลาย 2. การออกแบบผลิตภณั ฑห์ รือพัฒนาผลิตภณั ฑ์ให้สอดคล้องกับความตอ้ งการทศ่ี กึ ษามาอย่างจริงจงั 3. จดั ระบบการผลติ และควบคุมระบบการผลิตใหไ้ ดผ้ ลผลติ ท่มี ีคุณภาพการศกึ ษาความต้องการคณุ ภาพ สินค้าและบรกิ าร เปน็ เร่ืองสาคัญและเป็นเรือ่ งแรกของการวางแผนดาเนินธรุ กิจ อุตสาหกรรม หรอื กจิ การใดๆ วธิ ีการศกึ ษาขึ้นอยู่กับเป้าหมายคือ ลกู ค้า ลูกค้าของเรา คือ กลุ่มใด เช่น วยั ใด เพศใด ระดับการศกึ ษา อาชีพ เปน็ ต้น

ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอทงุ่ ชา้ ง 4.3 ผลผลิตที่คาดหวังต่อการมีรายได้ มเี งินออมและมีทนุ ในการขยายอาชพี การวางแผนและจัดการด้านกาลงั การผลติ ซึง่ เปน็ การวางแผนและดาเนินการ เกี่ยวกับขนาด ของโรงงานหรือสถานที่ทาการผลิต จานวนเครื่องจักรอปุ กรณ์ ตลอด จานวนคนงานท่ีเหมาะสม จงึ เปน็ ภาระ งานสาคัญของการบรหิ ารการผลติ โดยต้อง คานงึ ถึงผลลัพธต์ อ่ องคก์ ารในระยะสน้ั ควบคู่กบั ระยะยาว และ ใชป้ จั จัยเชิงปรมิ าณเป็น หลักในการพจิ ารณาประกอบกับปจั จัยเชงิ คุณภาพใหอ้ งคก์ ารมีกาลังการผลติ ทเี่ หมาะสม ไม่เกดิ ปัญหาการผลติ ได้น้อยไม่เพียงพอตอ่ ความตอ้ งการของลกู คา้ เพราะกาลงั การผลิต น้อยเกินไป และไมเ่ กดิ ปญั หาเคร่อื งจักรมากเกนิ ไปจนกลายเป็นความสูญเปล่า เพราะ กาลังการผลิตมากเกนิ ไป

5.1 ชอ่ งทางการตลาด ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง

ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง 5.2 การสง่ เสรมิ การขาย เปา้ หมายของการสง่ เสริมการขาย การสง่ เสริมการขายเป็นกจิ กรรมทางการตลาดอยา่ งหน่ึงซงึ่ ชว่ ยเพิ่มมลู ค่าหรอื สิง่ จูงใจให้กับลกู ค้า การ ส่งเสรมิ การขายมเี ป้าหมายหลัก 2 เปา้ หมาย คอื 1. การส่งเสรมิ การขายโดยตรงต่อผ้บู ริโภค โดยชว่ ยกระตนุ้ การซ้ือ เชน่ การแจกตัวอย่างทดลองใช้ฟรี การ ใชค้ ปู อง การแขง่ ขัน การคืนกาไร การแถมของชาร่วย การจัดวางสนิ คา้ ณ จดุ ขาย แรงจูงใจดงั กลา่ วมี เป้าหมาย เพือ่ กระตนุ้ การซอื้ ทันที นอกจากน้ี การสง่ เสรมิ การขายยงั ช่วยกระตุน้ ลกู ค้าใหซ้ ื้อสนิ ค้าบ่อยข้ึน หรอื เปลยี่ น จากลกู คา้ ท่มี ีศกั ยภาพในการซอ้ื เป็นลูกค้าจริงๆ ทซ่ี ้ือสินคา้ 2. การส่งเสริมการขายสาหรับผจู้ าหนา่ ยสินค้า เช่นผคู้ า้ ส่ง หรอื ตัวแทนจาหนา่ ย อาจจะมกี าร สง่ เสรมิ การ ขาย เชน่ การขายในราคาพเิ ศษเมื่อซื้อสนิ คา้ จานวนมากการจัดประกวดแสดงสนิ ค้า เปน็ ตน้ ทั้งน้ี เป็นการ กระตุ้นผคู้ ้าปลีกใหเ้ กบ็ สต๊อกสินค้าเพิม่ ข้ึน

ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอท่งุ ชา้ ง 5.3 การจดบนั ทึกการขาย สมุดบัญชแี บบมาตรฐานประกอบด้วย 5 สว่ นดงั น้ี 1. ชอ่ื และหมายเลขสมุดบญั ชี มไี วเ้ พือ่ บอกสาระทบ่ี ันทกึ อยู่ในสมุดบญั ชเี ลม่ น้ัน รวมทั้งการจัดลาดบั เลขที่ในสมุดบัญชีแยกประเภท 2. ชอ่ งวนั ท่ี ใช้บนั ทึกว่ารายการบญั ชเี กดิ ขน้ึ ในวัน เดอื น ปอี ะไร 3. ช่องรายการ ใช้อธิบายลกั ษณะและสาระของรายการบญั ชี 4. ช่องหนา้ บ/ช ใช้บนั ทึกการโอนบญั ชี คอื รายการทบ่ี ันทกึ อันใดอนั หน่ึงนัน้ ไดม้ า จากการยกเอามาจาก หน้าสมดุ บัญชรี ายวนั เลม่ ไหน การมีช่องนไ้ี ว้กเ็ พือ่ สะดวกใน การตรวจหา 5. ชอ่ งยอดเงิน ใชบ้ นั ทึกยอดเงินที่เพมิ่ ขน้ึ ลดลงและยอดเงินคงเหลือของ รายการบัญชี รายการใด รายการหนง่ึ

ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอท่งุ ชา้ ง บทท่ี 6 การพฒั นาระบบการบญั ชี 6.1 การจดบนั ทกึ เพอื่ ระบกุ ลมุ่ เปา้ หมาย ประเภทของการจดบนั ทกึ การจดบันทกึ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. การจดบนั ทกึ จากการฟัง การฟงั คาบรรยายและการจดบนั ทกึ เป็นของคู่กัน บนั ทึกคาบรรยายคือ ผลของการสือ่ สารระหว่างผ้บู รรยาย กบั ผู้ฟงั คาบรรยายเป็นเสมอื นคาสนทนาของผพู้ ดู กับผฟู้ ัง ผสู้ อนกับผู้เรียน ผลการสนทนาจะประสบผลสาเรจ็ เพยี งใด จะดไู ด้จาก บันทึกท่ีจด ถา้ ผฟู้ ังหรอื ผเู้ ขียน เขา้ ใจเรื่องท่ีฟังดี บนั ทกึ ก็จะดไี ปดว้ ยการที่ผู้ฟงั จะเขา้ ใจในเรือ่ งทีเ่ รยี นไดด้ ีเพียงใดข้ึนอยู่กบั องค์ประกอบ หลายประการ 2. การจดบนั ทึกจากการอ่าน เปน็ การจดบันทึกทงี่ ่ายกว่าการจดบันทกึ จากการฟัง เพราะมเี ล่มหนังสือ หรอื สือ่ ต่าง ๆ ใหด้ ูตลอดเวลา จะอ่านซา้ กเ่ี ที่ยวกไ็ ด้ จึงสามารถจดรายละเอียดได้ดกี วา่ วธิ จี ดมหี ลายวิธีขน้ึ อยูก่ บั ความเหมาะสมของเน้อื หา วธิ ดี งั กลา่ ว ไดแ้ ก่ การ จดแบบย่อความ การจดแบบถอดความ การจดแบบอญั ญพจน์ การจดแบบโครงเรื่อง ไม่ว่าจะเปน็ การจดแบบใดควรจดเนือ้ หาลงบัตร คาดีกวา่ จด ลงสมดุ เพราะสะดวก ในการจด สะดวกในการเก็บและนามาใช้ สะดวกในการพกพา ขนาดบัตรทีน่ ิยมใช้กันคือ ขนาด 3x5 นว้ิ และ 4x6 นิว้ ควรจะใช้บตั รขนาดเดยี วกนั เพ่อื สะดวกในการเก็บ

ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง 6.2 การจดบนั ทึกผลิตภณั ฑ์ทีต่ ลาดตอ้ งการ การบันทกึ หมายถึง ขอ้ ความทีจ่ ดไว้เพ่ือช่วยความทรงจาหรอื เพอ่ื เป็นหลกั ฐาน หรือข้อความ ที่นามาจดย่อๆ ไวเ้ พ่อื ใหร้ ู้เรื่องเดิม (ราชบัณฑติ ยสถาน 2525) การจดบนั ทึก การจดบนั ทกึ คือการเขียนข้อความ เพือ่ ชว่ ยในการจา เปน็ เคร่ืองมอื ในการรวบรวมความร้ทู ่ี อา่ น ประมวลความคิดหลงั จากการอา่ น และเพ่ือไดก้ รอบความคิดในเนอ้ื หาสาระสาหรับการ อา่ นต่อไป การจดบันทกึ มีประโยชน์มาก ในการศกึ ษาทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างย่งิ การศกึ ษา ด้วยตนเองตามระบบการ สอนทางไกล เพราะผู้เรยี นต้องคน้ คว้าหาความรดู้ ว้ ยตนเองจากการ อ่าน นักศึกษาท่เี รม่ิ ตน้ เรยี นเปน็ ปแี รกๆ มักประสบปญั หาในเรื่อง การจดบนั ทึก เพราะขาด ประสบการณ์ ท่ีสาคัญคือ ไม่รูเ้ ทคนคิ ในการจดบันทึก โดยธรรมชาติแล้วมนั เปน็ การยากทีเ่ ราจะ เข้าใจ จดจาจดุ สาคัญ และรายละเอียดปลีกย่อยท่เี ราอ่านหรอื ฟงั ไดห้ มด

แนวทางการจดบนั ทึก ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง 1) บนั ทึกสาระสาคญั ไดแ้ ก่ การบนั ทกึ คาหรือประเด็นสาคญั ทง้ั ชื่อเร่ือง หัวข้อหลกั และหวั ข้อรอง รวมทั้งความหมายของ คาสาคญั โดยการตอบคาถามตามสูตร 5 W 1 H อาทิ ประเดน็ สาคญั เกยี่ วกับอะไร อาจารย์บรรยายถึงส่งิ นน้ั อยา่ งไร และ ทาไมจงึ เปน็ เช่นนนั้ 2) บนั ทกึ ชื่อหนงั สือหรือตารา และหัวข้อ รวมทัง้ ชอื่ ผู้แต่ง หรอื ชื่อหัวขอ้ และช่ืออาจารย์ผูบ้ รรยาย การบนั ทึกจากการอ่าน น้ัน การบันทกึ ดังกลา่ วจะชว่ ยในการคน้ ควา้ เมื่อตอ้ งการรายละเอยี ด รวมท้ังการอ้างอิง ไดท้ ันที 3) จัดหมวดหม่ขู องสาระสาคญั โดยแบ่งเปน็ กลุ่มๆ หรอื หมวดหมู่ตามแตเ่ น้อื หา ท้งั นี้เพอ่ื คน้ ควา้ หรือทบทวนได้สะดวก และจดจาได้ง่ายขนึ้ การจดั หมวดหมขู่ องสาระสาคัญทาได้หลายวธิ ี เช่น จดั หมวดหมู่ตามหัวข้อ จดั หมวดหมู่ความเหมอื น หรือความแตกต่าง ฯลฯ 4) เรียงลาดบั เร่อื ง ให้อ่านและเขา้ ใจง่าย และทีส่ าคญั คือ เชือ่ มโยงประเดน็ ให้เหน็ ความสัมพนั ธ์ ทง้ั หมด และถกู ต้องตาม ความหมาย การเรยี งลาดับเรอื่ งทาได้หลายวิธี อาทิ เรยี งลาดบั ตามลาดบั เวลา (อดตี - ปจั จบุ ัน) เรียงลาดับตามตาแหนง่ พ้ืนที่ (เหนือ-ใต-้ ออก-ตก) เรยี งลาดบั ตามสาเหตุไปสผู่ ล (ทีเ่ กดิ ขนึ้ ) 5) ใชถ้ อ้ ยคาท่ีกระชับ แต่ชดั เจน เขา้ ใจง่าย และครอบคลมุ เนอ้ื หามากท่สี ุด โดยอาจใช้เทคนิค การบันทึกโดยใช้คาสัมผัส ซ่งึ การใช้คาท่มี ีเสียงสัมผัสคล้องจองจะชว่ ยให้จาได้ดี

6.3 การวิเคราะห์รายรับ-รายจ่าย การทาบันทึกเก่ยี วกบั การเงนิ หมายถึง การจดบันทึกเหตุการณท์ เ่ี กีย่ วกบั การเงนิ อยา่ งนอ้ ยท่ีสุดคอื บางส่วนยังเก่ยี วขอ้ งกับการเงิน โดยผ่านการวเิ คราะห์ จดั ประเภท และ บนั ทึกไว้ในแบบฟอรม์ ที่กาหนดเพอ่ื แสดงฐานะ การเงนิ และผลของการดาเนินงานของบุคคล บันทกึ การใช้จ่ายทนี่ กั เรยี นอาจเกย่ี วข้องดว้ ยได้แก่ • บนั ทกึ การใชจ้ ่ายสว่ นตัว • บันทกึ การใช้จ่ายของครอบครวั • บนั ทึกการใชจ้ ่ายในกจิ กรรมตา่ งๆ • วตั ถุประสงค์และประโยชนข์ องการทาบนั ทกึ การรบั จ่าย • เพ่ือเป็นขอ้ มลู ในการตดั สนิ ใจและวางแผนการใช้จ่ายเงนิ ของตนเองและครอบครวั • เพอ่ื ควบคมุ การใชจ้ ่ายเงินให้เป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ • เพื่อบันทกึ เหตุการณ์เก่ยี วกบั การเงินทเ่ี กิดขึ้นในชว่ งระยะเวลาหน่ึง • เพอ่ื ปอ้ งกนั การหลงลมื และข้อผิดพลาดในการทางาน • เพอ่ื ให้ทราบฐานะของบุคคล ณ วนั ใดวนั หน่ึงว่ามรี ายได้ หนีส้ นิ เท่าใด ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอทุ่งชา้ ง

6.4 การพัฒนาระบบบญั ชี การพัฒนา หมายถึง ทาให้ม่ันคง ทาให้ก้าวหน้า การพัฒนาประเทศก็ทาให้บ้านเมือง ม่นั คงมีความเจริญ ความหมายของการพฒั นาประเทศนี้ก็เท่ากับตั้งใจท่ีจะทาให้ชีวิตของแต่ละ คนมีความปลอดภัย มคี วามเจรญิ มีความสขุ ระบบบัญชี หมายถึง ระบบการจัดเก็บข้อมูลทางการเงินอันประกอบด้วยแบบฟอร์ม หรือ เอกสารต่างๆ การบันทึกทางการบัญชี ตลอดจนวิธีการและอุปกรณ์ต่างๆ ท่ีได้นามาใช้ใน การรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับการดาเนินงาน และการเงินของกิจการให้กับผู้ท่ีเก่ียวข้อง เช่น พนกั งาน ผ้จู ดั การ ผู้บรหิ าร ผู้ถือหนุ้ เจา้ หน้ี และสว่ นราชการ เปน็ ตน้ การตัดสินใจใช้โปรแกรมบญั ชี มีหลายเหตผุ ล ขึ้นอยกู่ ับปจั จัยและความพร้อมหลายอย่าง ส่วน ใหญ่ กจ็ ะเป็นดงั นคี้ อื 1. ลดขั้นตอนและความซ้าซอ้ นในการทางาน 2. ลดตน้ ทุนได้ในระยะยาว เพอ่ื ควบคมุ ข้ันตอนของงานใหด้ ีและเกดิ ประสิทธภิ าพ 3. สามารถนาข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อตดั สินใจและแขง่ ขนั กับคู่แข่ง 4. ข้อมลู และรายงานทางบัญชีรวดเรว็ และแม่นยา 5. สร้างความเชื่อถอื ข้อมลู ทางบญั ชีการเงนิ

บทที่ 7 การพฒั นาแผนและโครงการพัฒนาอาชีพให้มีรายได้ มเี งินออมและมีทุนในการขยายอาชีพ 7.1 แผนและโครงการพฒั นาอาชพี การวางแผนและการเขียนโครงการ การวางแผน คอื การมองอนาคต การเลง็ เห็นจุดหมายที่ตอ้ งการ การคาดปญั หาเหล่านัน้ ไว้ล่วงหน้า ไว้อย่าง ถูกต้อง ตลอดจนการหาทางแก้ไขปญั หาต่างๆ เหล่านั้น ประเภทของแผน เมอื่ กลา่ วมาถงึ ตอนน้นี ่าจะพดู ถงึ ประเภทของแผนเสยี เลก็ น้อยเพอ่ื ความเข้าใจลักษณะของแผน แต่ละ อยา่ ง ถ้าจะมองในแง่ของระยะเวลาอาจจะแบง่ แผนออกเปน็ 4 ประเภทใหญๆ่ ดังน้ีคอื 1. แผนพฒั นาระยะยาว (10 - 20 ป)ี กาหนดเค้าโครงกว้างๆ ว่าประเทศชาตขิ องเราจะมีทศิ ทางพฒั นา ไปอย่างไร ถา้ จะดงึ เอารฐั ธรรมนูญ และ/หรอื แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติมาเปน็ แผนประเภทน้กี ็พอ ถไู ถไปได้ แตค่ วามจริงแผนพฒั นา ระยะยาวของเราไมม่ ี

ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง 2. แผนพฒั นาระยะกลาง (4 - 6 ป)ี แบง่ ช่วงของการพฒั นาออกเปน็ 4 ปี หรอื 5 ปี หรือ 6 ปี โดยคาดคะเนวา่ ในชว่ ง 4 - 6 ปี นี้ จะทาอะไรกันบา้ ง จะมีโครงการพฒั นาอะไร จะงบประมาณใชท้ รพั ยากร มากนอ้ ยเพียงไร แผนดังกลา่ ว ได้แกแ่ ผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาตนิ ่นั เอง ในสว่ นของการศึกษากม็ แี ผน พฒั นาการศึกษาแหง่ ชาติ (ไม่ใช่แผน การศกึ ษาแห่งชาต)ิ ในเรือ่ งของการเกษตรกม็ แี ผนพัฒนาเกษตรเปน็ ต้น 3. แผนพัฒนาประจาปี (1 ปี ) ความจรงิ ในการจดั ทาแผนพฒั นาระยะกลาง เชน่ แผนพัฒนาการศกึ ษา ได้มกี าร กาหนดรายละเอียดไว้เป็นรายปอี ยแู่ ล้ว แตเ่ นื่องจากการจดั ทาแผนพัฒนาระยะกลางไดจ้ ัดทาไวล้ ่วงหน้า ขอ้ มลู หรือความ ต้องการท่ีเขยี นไว้อาจไม่สอดคล้องกับสภาพทแ่ี ทจ้ ริงในปจั จบุ นั จึงตอ้ งจัดทาแผนพฒั นา ประจาปขี ึ้น นอกจากนน้ั วธิ ีการ งบประมาณของเราไม่ใชแ้ ผนพฒั นาระยะกลางขอต้งั งบประมาณประจาปี เพราะมีรายละเอยี ดนอ้ ยไป แตจ่ ะตอ้ งใช้ แผนพัฒนาประจาปี เปน็ แผนขอเงนิ 4. แผนปฏิบัติการประจาปี (1 ปี) ในการขอตั้งงบประมาณตามแผนพัฒนาประจาปีในขอ้ 3 ปกติมักไม่ไดต้ ามที่ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆขอไป สานกั งบประมาณหรือคณะกรรมาธิการของรัฐสภามกั จะ ตัดยอดเงนิ งบประมาณทีส่ ว่ น ราชการต่างๆ ขอไปตามความเหมาะสมและจาเปน็ และสภาวการณก์ ารเงนิ งบประมาณ ของประเทศทีจ่ ะพงึ มภี ายหลงั ทส่ี ่วน ราชการตา่ งๆ ไดร้ บั งบประมาณจรงิ ๆแลว้ จาเปน็ ทีจ่ ะตอ้ งปรับแผนพฒั นา ประจาปที จี่ ัดทาขนึ้ เพ่อื ขอเงนิ ใหส้ อดคลอ้ งกับเงนิ ที่ได้รับอนมุ ตั ิ ซง่ึ เรียกวา่ แผนปฏิบัตกิ ารประจาปีข้ึน

ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอทุ่งชา้ ง องค์ประกอบของโครงการ องคป์ ระกอบพ้นื ฐานในโครงการแตล่ ะโครงการน้ันควรจะมดี งั นี้ 1.ช่ือแผนงาน 2.ช่อื โครงการ 3.หลกั การและเหตผุ ล 4.วัตถปุ ระสงค์ 5. เปา้ หมาย 6. วธิ ดี าเนินการหรอื กิจกรรมหรือข้นั ตอนการดาเนินงาน 7. ระยะเวลาการดาเนนิ งานโครงการ 8. งบประมาณ 9. เจ้าของโครงการหรอื ผู้รับผดิ ชอบโครงการ 10.หน่วยงานท่ใี หก้ ารสนับสนนุ 11.การประเมนิ ผล 12.ผลประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ

ขน้ั ตอนการพฒั นาการจดั การองคค์ วามรู้ 1. ระบปุ ญั หา (Identify the problem) เป็นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู และค้นหาปญั หาทม่ี ีจาเปน็ 2. จัดเตรยี มกระบวนการเปลย่ี นแปลง (Prepare for change) เป็นการออกแบบขั้นตอนในการ เปลยี่ นแปลง กระบวนการพฒั นาองค์ความรู้ 3. จดั สรา้ งทมี งานสาหรับพัฒนาองคค์ วามรู้ (Create the team) สาหรบั ทมี งานในการพัฒนา องค์ความรนู้ น้ั ไมจ่ ากดั วา่ จะต้องเป็นบุคคลเฉพาะที่อยู่ในส่วนของ IT เทา่ น้นั 4. การกาหนดองค์ประกอบต่างๆขององค์ความรู้ (Map out the knowledge) เปน็ องคป์ ระกอบท่ี ประกอบกันขน้ึ เป็นระบบซง่ึ ในขั้นตอนนี้จะต้องพจิ ารณาวา่ องค์ความร้นู ั้นควรจะเกบ็ จากแหลง่ ใดบ้าง 5. สร้างกลไกในการตอบสนองกลบั (Create a feedback mechanism) เปน็ การกาหนดข้ันตอนและ กระบวนการในการรับ ขอ้ คดิ เห็น (Comment) จากการนาระบบองคค์ วามรูไ้ ปใช้งาน 6. สร้างกรอบให้คาจากัดความ (Define the building blocks) เป็นการกาหนดกรอบแนวคดิ ของแต่ละขอบขา่ ยองค์ความรู้ท่ี จะกระทา ขอบข่ายองค์ความรูน้ ้จี ะให้ทาอะไรบ้าง 7. รวมระบบเขา้ กับข่าวสารทีม่ ีอย่แู ลว้ ในระบบเดิม (Integrate existing information systems) เปน็ การนาเอาองค์ความรทู้ ่ี มอี ยู่แลว้ ในมือ ผสมผสานเขา้ กบั ระบบขา่ วสารในองคก์ ร เพอ่ื ใหม้ รี ะบบทีม่ ี ประสิทธภิ าพมากย่งิ ขึน้ และทนั ความต้องการ

ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอทุ่งชา้ ง 7.3 ทกั ษะในความรู้ ทักษะ (Skill) คอื ส่ิงที่องคก์ รตอ้ งการให้ “ทา” เชน่ ทักษะด้าน ICT ทกั ษะด้านเทคโนโลยีการบริหาร สมยั ใหม่ เปน็ ส่ิงท่ตี อ้ ง ผา่ นการเรยี นรู้ และฝกึ ฝนเปน็ ประจาจนเกิดเป็นความชานาญในการใช้งาน ความรู้ (Knowledge) หมายถึง การเรียนรู้ทเี่ น้นถงึ การจาและการระลึกได้ถงึ ความคิด วตั ถุ และปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ซง่ึ เป็นความจาท่ี เริม่ จากส่ิงง่าย ๆ ที่เป็นอิสระแกก่ ัน ไปจนถงึ ความจาในสิง่ ท่ียุ่งยาก ซับซ้อนและมีความสัมพนั ธร์ ะหว่างกัน ความรู้ตามลกั ษณะมี 2 ประเภท คือ 1. ความร้ทู ฝ่ี ังอยใู่ นคน (Tacit Knowledge) เปน็ ความรทู้ ไ่ี ด้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือ สัญชาตญาณของแต่ละบุคคล เชน่ ทกั ษะในการทางาน งานฝีมือ หรือการคดิ เชงิ วิเคราะห์ 2. ความรู้ที่ชดั แจ้ง (Explicit Knowledge) เปน็ ความรทู้ ีส่ ามารถ ถา่ ยทอดได้โดยผ่านวิธตี า่ งๆ เช่น การบันทกึ ความรูต้ ามโครงสร้างอยู่ 2 ระดบั คอื 1. โครงสรา้ งส่วนบนของความรู้ ไดแ้ ก่ Idea ปรชั ญา หลักการ อุดมการณ์ 2. โครงสรา้ งสว่ นลา่ งของความรู้ ได้แก่ ภาคปฏิบตั ิการของความรู้ ได้แก่องค์ความรทู้ แี่ สดงในรปู ของ ขอ้ เขียน สัญญะ การ แสดงออกในรปู แบบต่าง ๆ เช่น ศลิ ปะ การเดินขบวนทางการเมือง โครงสร้างส่วนล่างของ ความรมู้ โี ครงสรา้ งระดับลึกคือ ความหมาย (significant)

ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง 7.4 การตลาด ตลาดโดยทัว่ ๆ ไปมีหนา้ ท่ี ดงั นี้ 1. หนา้ ท่ีในการผลิตสินคา้ และบรกิ ารเพ่อื สนองความตอ้ งการของลกู คา้ หรือผูบ้ ริโภค 2. หน้าทีใ่ นการขนสง่ และเก็บรกั ษา เพอ่ื ใหส้ ินคา้ และบรกิ ารน้ัน ถึงมือลูกคา้ ได้สะดวกและ ทนั ความตอ้ งการ 3. หนา้ ท่ที างการเส่ียงภยั โดยการจัดมาตรฐานการแบง่ ระดบั สนิ คา้ และการเงิน เพื่อความสะดวก ในการกาหนด ราคาอีกทง้ั เป็นการให้เครดติ แก่ผู้บรโิ ภคหรือลกู ค้าในรูปแบบตา่ งๆ เพอ่ื ชว่ ยปรมิ าณการขาย สินคา้ และบรกิ ารให้ มากขึ้น 4. หนา้ ท่ีในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ที่เก่ียวข้องกบั ลูกค้า เชน่ ความตอ้ งการของลกู ค้าสภาวะตลาด การเมอื ง สังคม ค่านิยม ความเชื่อ และวฒั นธรรม เปน็ ต้น

ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอท่งุ ชา้ ง การวางแผนการตลาด ตลาดทด่ี ีมีประสทิ ธิภาพจะสรา้ งความนา่ เชื่อถอื ให้กบั กิจการ และผปู้ ระกอบการ กจิ กรรมทางการตลาด ควรมีข้อมูลเหล่านี้ คือ 1. กจิ การจะขายอะไร หรอื ผลิตอะไร 2. สนิ ค้ามรี าคาเท่าไร 3. กลมุ่ เปา้ หมายที่ใชค้ ือใคร 4. ลูกค้าอยทู่ ไ่ี หน 5. วธิ ีการนาลกู คา้ และบริการส่ลู กู ค้าทาได้อยา่ งไร

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอทงุ่ ช้าง 7.5 การผลติ การผลิต หมายถงึ กระบวนการทท่ี าให้เกิดมลู ค่าเพ่มิ (Value Added) ทงั้ ที่เปน็ มลู ค่าหรอื ประโยชน์ ใช้สอย (Use Value) และมูลคา่ ในการแลกเปล่ยี น (Exchange Value) โดยมวี ัตถุประสงคเ์ พอ่ื ตอบสนอง ความต้องการของมนษุ ย์ในการ ดารงชวี ติ เพราะฉะนนั้ การผลติ จึงเป็นการสร้างคณุ คา่ ของสนิ คา้ ทส่ี ามารถ สนองตอบความตอ้ งการของมนุษย์ (Utility) การสร้างคณุ คา่ ของสนิ ค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของมนษุ ย์นนั้ ได้พัฒนาการมาพอจะ สรุปได้ ดังนี้ ระยะแรก มนุษย์สร้างสินคา้ ที่สามารถตอบสนองความตอ้ งการของตนเอง เร่มิ ตง้ั แต่ยุคที่เรยี กว่า Hunting and Gathering และยุคการเกษตรท่ีอาศยั ธรรมชาติ ระยะที่สอง มนุษยส์ รา้ งสนิ ค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของผอู้ ่นื เพอ่ื ประโยชนแ์ หง่ ตน เรมิ่ ตัง้ แตย่ คุ พาณิชยน์ ยิ ม ยุคปฏิวตั ิ อุตสาหกรรม และพาณชิ ยกรรม ระยะทส่ี าม มนุษย์ไดต้ ระหนักถึงปัญหาท่เี กิดข้นึ และทรพั ยากรที่มจี านวนโดยยงั ใชป้ ระโยชน์ ไม่เตม็ ท่ี คือ “คน” จึงได้ให้ ความสนใจตอ่ “คน” กระบวนการผลิต

ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง 7.6 ระบบการบญั ชี การบญั ชี หมายถึง การรวบรวม การจดบันทึก การจัดประเภท การวิเคราะห์และสรุปผลรายการ ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ อย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อจัดทาเป็นรายการทางการเงินแสดงฐานะ การเงิน ผลการดาเนินงานและการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของ ธุรกิจ ซ่ึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงินในการนา ข้อมูลไป ประกอบการตดั สนิ ใจ การทาบัญชี หมายถึง การจดบันทึกรายการทางบัญชีท่ีเกิดข้ึน โดยการบันทึกรายการขั้นตอน การจัดหมวดหมู่โดยการแยกประเภท รายการ และสรุปผลรายการที่เกิดข้ึนจัดทาเป็นงบการเงิน ตาม หลกั การ บญั ชีทใ่ี ช้กันอยทู่ ั่วไป

ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอทุ่งชา้ ง ประโยชนข์ องการจดั ทาบญั ชี 1. ชว่ ยในการควบคุมรกั ษาทรัพยส์ ินต่างๆ ของกจิ การ 2. แสดงใหเ้ หน็ ผลการดาเนนิ งาน (ผลกาไรหรือขาดทุน) ของ กิจการ เพื่อนาไปคานวณภาษี 3. แสดงให้เห็นฐานะการเงนิ ของกิจการ เพือ่ ประโยชนใ์ นการ บรหิ ารจัดการ 4. ให้ข้อมลู ตวั เลขท่ีเป็นประโยชนก์ ับเจ้าของกิจการในการ ตัดสินใจ

ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอทุง่ ช้าง ประเภทของบัญชี แบง่ ออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. สนิ ทรัพย์ หมายถงึ สง่ิ ของทีส่ ามารถวดั มูลคา่ ไดเ้ ปน็ ตัวเงนิ ท้ังท่มี ตี ัวตนและไม่มีตัวตน เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร ลูกหนี้ วัสดุ สานกั งาน อาคาร รถยนต์ สิทธิบัตร ลิขสทิ ธิ์ เปน็ ต้น ตวั อยา่ ง กิจการแห่งหน่งึ มีเงนิ สด 40,000 บาท เงินฝากธนาคาร 20,000 บาท อาคาร 1,040,000 บาท ดังน้ันกิจการแห่งน้ีมีสนิ ทรพั ยท์ ้ังสนิ้ 2,000,000 บาท 2. หนสี้ นิ้ หมายถงึ จานวนเงนิ ท่กี จิ การเปน็ หน้บี คุ คลภานอกซง่ึ จะต้องชาระคนื ในอนาคต เช่น เจา้ หนกี้ ารค้า เงินกู้ เงนิ เบกิ เกนิ บญั ชี ธนาคาร เป็นต้น ตวั อย่าง กิจการกู้เงินจากธนาคารมาลงทนุ 500,000 บาท ซ้อื สนิ คา้ เปน็ เงินเช่ือ 8,000 บาท ดงั นนั้ กิจการนมี้ ี หน้สี ินทง้ั ส้ิน 508,000 บาท 3. ทนุ หรอื ส่วนของเจ้าของ หมายถึง สินทรพั ยส์ ทุ ธทิ กี่ ิจการเป็นเจ้าของ หรือสินทรพั ยท์ ีก่ ิจการ มีอยหู่ ักดว้ ยหนสี้ ินทมี่ ีอยู่ ตวั อยา่ ง กิจการมีเงนิ สด 50,000 บาท เงนิ ฝากธนาคาร 100,000 บาท เจ้าหนีก้ ารคา้ 20,000 บาท ดังนัน้ กิจการน้มี สี นิ ทรพั ยส์ ทุ ธิหรือสว่ น ของเจ้าของ 130,000 บาท 4. รายได้ หมายถึง รายไดจ้ าการดาเนินงานของกจิ การ เชน่ รายไดจ้ ากการขายสนิ คา้ รวมทง้ั รายไดอ้ นื่ ๆ ของกจิ การ เชน่ รายได้จาก ดอกเบย้ี เงนิ ฝากธนาคาร รายได้จากเงนิ ปนั ผล (ลงทุนซือ้ หนุ้ กิจการอื่น) 5. คา่ ใชจ้ า่ ย หมายถึง ค่าใชจ้ ่ายจากการดาเนินงานของกจิ การ เช่น เงนิ เดอื น ค่าวัสดุ สานกั งาน ค่าพาหนะ และรวมถึงค่าเสอื่ มราคา ด้วย

Thank You ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอทงุ่ ชา้ ง