Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ชาติไทย.

ประวัติศาสตร์ชาติไทย.

Published by sopeesopee566, 2021-04-06 14:06:34

Description: ประวัติศาสตร์ชาติไทย.

Search

Read the Text Version

1 ประวัตศิ าสตร์ชาตไิ ทย และความจงรักภักดีตอ่ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ โดย หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอท่ายาง ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอทา่ ยาง จังหวดั เพชรบรุ ี สานักงาน กศน.จังหวัดเพชรบรุ ี

2 เนือ้ หาวิชา ประวัตศิ าสตรช์ าตไิ ทย และบุญคุณพระมหากษัตริย์ ชาตไิ ทยที่ยังคงอย่เู ปน็ ไทยไดจ้ นถึงทุกวันน้ีไดเ้ นอ่ื งมาจาก ๓ เสาหลกั ทม่ี ่ันคง คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ ดังน้ี 1. ชาติ เป็นชาติที่มีเอกราชมานานเรามีความภาคภูมิใจความเป็นไทยของเรา บรรพบุรุษของเราได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิต ช่วยกันปกป้องผืนแผ่นดินไทย ปกป้องรักษามาตราบเท่าทุกวันนี้ จึงเป็นหน้าท่ีของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกัน ธารงรักษาชาติดาเนนิ ชวี ิตตามประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของไทย 2. ศาสนา สอนให้คนมีหลักในการดาเนินชีวิต ทาให้เกิดความสงบสุขในสังคม หลักธรรมของศาสนาจะส่งเสริมศีลธรรมและวัฒนธรรมอันจะนาไปสู่การ สร้างเสถียรภาพของประเทศในที่สุดโรงเรียนจึงควรจัดกิจกรรมส่งเสริมความ เล่ือมใสในศาสนาใหแ้ ก่เยาวชนตง้ั แตเ่ ยาว์วัย 3. พระมหากษตั ริย์ ทรงเป็นประมุขของประเทศทรงปกครองประชาชนให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมาทรงเป็นมิ่งขวัญ และเป็นศูนยร์ วมความสามัคคีของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ พระมหากษัตรยิ ์ทุกพระองค์ทรงทาประโยชน์ให้แก่ ประเทศไทยเป็นอเนกประการจึงถวายความเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อ พระองคท์ า่ น ความเสยี สละของบรู พมหากษัตรยิ ไ์ ทยในยคุ สุโขทยั อาณาจักรหรือรัฐในอดีตรัฐหนึ่ง ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ายม เป็นชุมชนโบราณมาต้ังแต่ยุคเหล็กตอน ปลาย จนกระทั่งสถาปนาข้ึนราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะสถานีการค้าของรัฐละโว้ หลังจากน้ันราวปี 1800 พ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมือง ได้ร่วมกันกระทาการยึดอานาจจากขอมสบาดโขลญลาพง ซึ่งทาการเป็น ผลสาเรจ็ และได้สถาปนาเอกราชให้สุโขทยั เป็นรัฐอิสระ และมคี วามเจริญรงุ่ เรืองตามลาดับและเพ่ิมถงึ ขดี สุดใน สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ก่อนจะค่อย ๆ ตกต่า และประสบปัญหาท้ังจากปัญหาภายนอกและภายใน จน ต่อมาถกู รวมเป็นสว่ นหน่งึ ของอาณาจักรอยธุ ยาไปในทสี่ ุด สุโขทัยเป็นนครหลวงแห่งแรกของประชาชนเช้ือสายไทย สังคมไทยในยุคน้ีมีลักษณะเป็นสังคมเผ่า มี ความเกี่ยวพัน และผูกพันกัน อ ย่ า ง ห น าแ น่ น ใน ส า ย โ ล หิ ต อาณาเขตของ สุโขทัยในสมัย พ่ อ ขุ น ศ รี อินท ราทิตย์ ซ่ึ ง เป็ น ป ฐ ม ก ษั ต ริ ย์ ประกอบด้วย เมืองสุโขทัยและศรีสัชชนาลัยเท่าน้ัน ต่อมาได้ขยายกว้างขวางข้ึนในสมัยพ่อขุนรามคาแหง ความสัมพันธ์ของ ประชาชนก็มีลักษณะเปน็ ความสมั พันธ์ทางใจอันเกิดจากความรสู้ กึ ว่าเป็นคนสายเลอื ดเดียวกนั และอยู่ภายใต้การ ปกครองโดย “พ่อขุน” องค์เดียวกัน ตามหลักฐานศิลาจารึกของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชแนวคิดเกี่ยวกับพระ

3 ราชอานาจของพระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยนี้ทรงเป็นผู้ครองนคร ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิเหนืออาณาประชาราษฎร์ ทั้งปวง สิทธิการเป็นพระมหากษัตริย์สืบทอดโดยการสืบสันตติวงศ์ ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงตัวผู้ปกครองแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ยังคงเป็นของชาวพุทธแท้ๆ ไม่มีคตินิยมแบบพราหมณ์เข้ามาปะปน พอส้ินรัชกาลพ่อขุน รามคาแหงจนถงึ รัชกาลกษัตริย์องค์ต่อๆมา เช่น พระมหาธรรมราชาลไิ ท อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์เริ่มเข้ามา กษัตริย์เริ่มเป็นเทพยดา แต่กย็ ังยึดศาสนาพุทธอยู่ จึงเป็นแค่ “ธรรมราชา” ซ่ึงเป็นคาในศาสนาพุทธ เหมือนท่ีใช้ เรยี กพระเจา้ อโศก แตห่ ลงั จากนน้ั เริม่ เป็น “รามาธบิ ดี” ลาดับพระมหากษัตริย์ไทย เริ่มนับตั้งแต่ไทยรวมตัวเป็นราชอาณาจักรที่มีอานาจเป็นปึกแผ่นและ เป็นอิสระจากอทิ ธิพลของขอม รัชกาลที่ 1 พ่อขนุ ศรีอนิ ทราทิตย์ ตานานพระพุทธสิหิงค์ กล่าวว่า เป็นชาวเมืองนครชุม (กาแพงเพชร) ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์นั้น ศิลาจารึกระบุว่ามาจากเมืองบางยาง และเป็นพระสหายกับพ่อขุนผาเมือง พระราชกรณียกิจท่ีสาคัญ ได้แก่ การขยายอาณาเขต ในระยะเริ่มต้นอาณาจักรในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์นั้น มีอาณาเขตไม่กว้างขวางนัก มี เมืองสุโขทัยกับเมืองศรีสัชนาลัย (เมืองสวรรคโลกเก่า) เป็นราชธานีทั้งสองเมือง นอกจากนี้ก็มีหัวเมืองขึ้นทาง ริมลาน้าปิง ยม น่าน เพียงไม่ก่ีเมือง เมื่ออาณาจักรสุโขทัยได้รับการสถาปนาข้ึนมาเป็นอิสระจากขอมได้น้ัน เจ้าเมืองต่างๆ ในดินแดนใกล้เคียงกับสุโขทัยยอมรับในความสามารถของผู้นาสุโขทัย จึงอ่อนน้อมโดยสันติ รวมอยู่กับอาณาจักรสุโขทัย แต่เจ้าเมืองบางเมืองคิดว่าตนมีอานาจเข้มแข็งพอ จึ่งมิได้อ่อนน้อมต่อกรุงสุโขทัย และก่อสงครามข้ึนเพ่ือแข่งขันการมีอานาจ ในบรรดาเจ้าเมืองประเภทหลังน้ี ปรากฏว่าขุนสามชน เจ้าเมือง ฉอด (เมืองฉอดปัจจุบนั เป็นเมืองร้าง อยู่ทดี่ ่านแม่สอดทางทศิ ตะวันตกของจังหวดั ตาก) ไดย้ กทพั มาตเี มืองตาก

4 อันเป็นเมอื งในอาณาเขตของสุโขทยั พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงยกทัพไปปราบ เกิดสงครามครงั้ สาคัญขึ้น ในการ รบครั้งน้ีพระราชโอรสองค์เล็ก ซง่ึ มีชนั ษา 19 ปี ได้เข้าชนช้างกบั ขุนสามชนจนไดร้ บั ชัยชนะทาให้กองทัพเมอื ง ฉอดแตกพ่ายไปพอ่ ขนุ ศรีอนิ ทราทิตย์จงึ ประทานนามพระราชโอรสวา่ พระรามคาแหง เพอ่ื เปน็ การบาเหนจ็ ศกึ ครั้งนที้ าใหเ้ กียรตยิ ศช่ือเสยี งของพระโอรสแผ่ไปทั่ว การปกครอง พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จัดระเบียบการปกครองยึดนโยบายการป้องกันประเทศเป็นสาคัญ แต่คานึงถึงสิทธิหน้าท่ีของประชาชนพลเมือง โดยปกครองประชาชนในฐานะบิดากับบุตร ท้ังบิดาและบุตรมี หน้าท่ีเป็นทหารป้องกันประเทศในยามสงคราม แต่ยามสงบพระมหากษัตริย์เป็นผู้นาในการบริหารราชการ แผ่นดิน ด้วยการบาบัดทุกข์บารุงสุขแก่ราษฎร ราษฎรมีหน้าท่ีรับใช้ชาติบ้านเมืองของตน โดยการประกอบ อาชพี ใหม้ ีรายไดแ้ ละเสียภาษอี ากรให้แก่รัฐ รชั กาลท่ี 2 พอ่ ขุนบานเมือง พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพ่อขนุ ศรีอนิ ทราทติ ย์ ขนึ้ ครองราชย์ปีใดไม่ปรากฏ ระหวา่ งครองราชย์ได้ รวบรวมหัวเมอื งต่าง ๆ ไวใ้ นอานาจ โดยมีพระอนุชาคือ พระรามคาแหง เป็นกาลังสาคัญ รัชกาลท่ี 3 พ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระอนุชาของพ่อขุนบานเมือง ข้ึนครองราชย์ประมาณ พ.ศ. 1822 ในรัชกาลพ่อขุนรามคาแหง กรุงสุโขทัยมีการเปลี่ยนแปลงและเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปจากเดิมมาก เป็นต้นว่ามีการปกครองเข้มแข็ง ใกล้ชิดราษฎรไพร่ฟ้าประชาชนมีความอยู่ดีกินดี มีการนาชลประทานมาใช้ ทางการเกษตร ทาให้ได้ผลดีขึ้น การอุตสาหกรรมมีความก้าวหน้า มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ การ เศรษฐกิจ และการเมืองมั่งคง ทาให้มีอานาจทางการเมืองแผ่ไปกว้างใหญ่ไพศาล จนได้รับการเทิดพระเกียรติ ดว้ ยพระนามวา่ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช ในภายหลังพระราชกรณียกจิ ของพระองคท์ ่ีควรนามากลา่ วมีดังนี้ 1. ทรงเปน็ นกั รบ พระองค์ทรงชนชา้ งชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดตัง้ แต่ยงั ทรงพระเยาว์ ทรงเขม้ แขง็ ใน การศึกสงคราม ทรงเป็นแมท่ ัพไปปราบเมืองต่าง ๆ ในรัชกาลพอ่ ขุนศรอี นิ ทราทติ ย์และพ่อขุนบานเมอื ง จนเปน็ ที่ เกรงขามของอาณาจักรอืน่ ๆ เมอื่ พระองค์ขึน้ ครองราชย์มีหลายเมืองทย่ี อมอ่อนนอ้ มโดยพ่อขุนรามคาแหงมไิ ด้ส่ง กองทัพไปรบได้แก่ เมืองหงสาวดี เมืองสพุ รรณภูม(ิ สุพรรณบุรี) เมืองราชบุรีเมืองเพชรบุรีเมอื งหลวงพระบางเมือง เวียงจันทร์และเมืองนครศรธี รรมราชเป็นตน้ ทาใหม้ ีอาณาเขตแผ่ออกไปกวา้ งขวาง 2. ทรงอุปการะเกอื้ กลู เมืองที่ขอพงึ่ บารมีเมอื งใดที่มาขอพี่งพระบรมโบธิสมภารหรือยอมอ่อนน้อมโดยดี ทรงช่วยเหลืออุปการะ พระราชทานข้าวของเงินทองและไพร่พล ช้างม้าเมืองใดที่ยอมเป็นประเทศราชทรงใช้ หลักธรรมในการปกครอง เพ่ือให้ประชาชนพลเมืองอยู่เย็นเป็นสุขบางเมืองที่เป็นของคนไทยและมิได้เป็นภัย ก็ มไิ ด้รุกรานเชน่ เมืองแพร่เมืองน่านแม้แตเ่ มืองละโวก้ ็ยงั คงเปน็ อสิ ระอยู่ได้ 3. ทรงประดิษฐ์อกั ษรไทยขึน้ เมอื่ พ.ศ. 1826 ทาใหไ้ ทยมตี วั หนังสือประจาชาติ มีความเจรญิ รงุ่ เรอื งทาง วรรณกรรม กอ่ ใหเ้ กิดวรรณคดลี ้าคา่ สบื มา 4. ทรงเปน็ องคพ์ ุทธศาสนูปถมั ภกทรงทานบุ ารงุ พระพทุ ธศาสนาสบื ต่อจากรชั กาลก่อนโดยนมิ นต์พระภิกษุ ท่ีเครง่ ครัดในทางพระวนิ ัยและพระปรมตั ถ์จากเมืองนครศรีธรรมราชมาเป็นผู้สั่งสอน เพื่อให้พระพุทธศาสนาเป็น แบบเดียวกัน คือ แบบเถรวาท หรือ หินยาน พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทหรือหินยานได้เป็นมรดกตกทอดมา จนถงึ ปัจจบุ นั 5. ทรงเปน็ นักปกครองท่ีเขา้ ถงึ ประชาชน ทรงเปน็ ผ้นู าสร้างชาตใิ หม้ น่ั คงเปน็ แบบอย่างต่อมาคือ การใกล้ชดิ ประชาชนผใู้ ดเดือดร้อนต้องการรอ้ งทุกขข์ อความช่วยเหลือใหเ้ ขา้ ไปสน่ั กระด่ิงทีแ่ ขวนไวท้ หี่ น้าประตูวัง จะเสด็จ ออกมารับเร่ืองรอ้ งทุกข์ด้วยพระองค์เอง จึงทาให้บา้ นเมืองสงบรม่ เย็นเปน็ สุข

5 6. ทรงมีนโยบายอุปถัมภห์ ัวเมืองตา่ งๆทรงให้ความอุปถัมภส์ นบั สนุนหัวเมอื งตามโอกาสเปน็ ตน้ ว่ายก พระราชธิดาให้เป็นมเหสีของมะกะโท(พระเจ้าฟ้าร่ัว)ผู้นาอาณาจักรมอญซ่ึงเข้ามาสวามิภักด์ิ นอกจากน้ียัง ช่วยเหลือหัวเมืองในการสร้างบ้านสร้างเมือง ด้วยความยุติธรรมเสนอภาคกัน ทาให้ผู้ครองเมืองต่างสานึกใน พระมหากรุณาธิคุณ ไม้กล้าล่วงละเมิดอานาจพากันเป็นมิตรไมตรี ไม่รุกรานอาณาจักรสุโขทัย โดยเฉพาะทรง เปน็ มิตรสนทิ กบั พ่อขนุ มังรายแห่งอาณาจกั รลา้ นนาทาให้ปราศจากศกึ ศัตรูทางทิศเหนือ รัชกาลท่ี 4 พระยาเลอไทย พระราชโอรสของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ครองราชย์ประมาณ 40 ปี พระยาเลยไทยทรงศรัทธาใน พระพุทธศาสนาทรงศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉานม่งุ ปฏิบัติจนแตกฉานมุ่งปฏิบตั ิธรรม บาเพ็ญประโยชน์เกื้อกูล พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรอื งการศึกษาพระธรรมและภาษาบาลีไดเ้ รม่ิ ขน้ึ และเจริญกา้ วหนา้ ในรชั กาลน้ี รัชกาลท่ี 5 พระยางั่วนาถม พระอนุชาของพระยาเลอไทย เมื่อราชาภิเษกแล้วได้ทรงแต่งพระยาลิไทย (พระราชโอรสของพระยา เลอไทย)ไปปกครองเมืองศรีสัชนาลัยอันเป็นเมืองที่ถือว่ารัชทายาทแห่งราชบัลลังก์จะพึงครองก่อนเป็น พระมหากษัตริย์ ในรัชกาลน้ีได้มีการปราบปรามเมืองต่าง ๆ ท่ีแข็งเมืองมาตั้งแต่รัชกาลพระยาเลอไทยแต่ ไม่สาเร็จ ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขความเสื่อมโทรม และความแตกแยกภายในได้ ตอนปลายรัชกาลจึงเกิดจลาจล ขนึ้ พระยาลไิ ทยองค์รชั ทายาทจึงยกกาลงั จากเมืองศรีสชั นาลัย เข้าเมอื งสุโขทยั เพอ่ื ปราบจลาจล รชั กาลที่ 6 พระมหาธรรมราชาท่ี1(ลไิ ทย) พระราชโอรสของพระยาเลอไทย (รชั กาลที่ 4) หลังจากปราบการจลาจลในกรุงสุโขทัยได้สาเร็จ และข้ึน ครองราชย์แลว้ ทรงพิจารณาเหน็ ว่า เกิดความแตกแยกและขาดความไว้วางใจกันในอาณาจกั ร จงึ ทรงรเิ รม่ิ รวบรวมกาลังอานาจ สร้างความสามคั คเี พื่อพัฒนาบา้ นเมืองใหม่ ทาใหส้ ุโขทยั เข้มแข็งขึ้น รชั กาลที่ 7 พระมหาธรรมราชาท่ี 2 พระราชโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) เหตุการณส์ าคญั ในรัชกาลนี้ คือ กรุงสุโขทัยไดต้ กเป็น เมืองประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา ใน พ.ศ. 1921ขณะทพ่ี ระมหาธรรมราชาที่ 2 ขึ้นครองราชย์น้ัน พระบรม ราชาธิราชที่ 1(ขุนหลวงพะงั่ว) แห่งอาณาจักรอยุธยา มีพระราชประสงค์จะรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นเป็น ปึกแผ่นเป็นอาณาจักรเดียวกัน จึงยกทัพรุกรานอาราจักรสุโขทัยหลายครงั้ คร้ังสาคัญ คือ ใน พ.ศ. 1921 ได้ยก ไปตีเมืองชากังราวพระมหาธรรมราชาท่ี 2 ทรงเห็นว่า จะสู้รบต่อไปไม่ได้จึงยอมอ่อนน้อมต่ออยุธยา พระบรม ราชาธริ าชท่ี 1 (ขนุ หลวงพะงวั่ ) จึงโปรดใหค้ รองสโุ ขทยั ต่อไปในฐานะเมืองประเทศราช จนกระท่ังถงึ พ.ศ. 1931 สโุ ขทยั จึงประกาศตนเป็นอสิ ระจากอยุธยา รชั กาลที่ 8 พระมหาธรรมราชาท่ี 3 (ไสยลอื ไทย) พระราชโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 2 ในรัชสมัยน้ีพระองค์ได้ทาสัญญากับเจ้าเมืองน่านที่จะ ช่วยเหลือซ่ึงกันและกั้นเม่ือถูกอาณาจักรอื่นรุกราน สุโขทัยจึงมีความสงบในระยะเวลาหน่ึงพระองค์ทรงมี พระราชโอรส 2 พระองค์ คือ พระยาบาลเมือง กับ พระยาราม แต่มิได้ทรงแต่งตั้งให้พระองค์ใดเป็น รัชทายาท ดังน้ันเม่ือเสด็จสวรรคต พระยาบาลเมือง กับพระยาราม จึงชิงราชสมบัติกันเป็นโอกาสให้สมเด็จ พระอินทราชา แห่งอาณาจักรอยุธยา เสด็จมาระงับการจลาจลและไกล่เกล่ียการแย่งชิงราชสมบัติคร้ังน้ี ทรง อภิเษกให้พระยาบาลเมืองสงบเรียบร้อย พระอินทรราชาทรงขอพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3 อภิเษกสมรสกับเจ้าสามพระยาพระราชโอรสของพระองค์ นับเป็นคร้ังแรกท่ีราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัยกับ ราชวงศส์ พุ รรณภูมิแห่งกรุงศรอี ยธุ ยามคี วามเก่ยี งดองเป็นเครือญาติกัน

6 รัชกาลท่ี 9 พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) พระยาบาลเมืองไดร้ ับการอภิเษกให้ครองกรงุ สุโขทยั (ในฐานะประเทศราชของอยุธยา) ทรงพระนามวา่ พระเจ้าสรุ ยิ วงศบ์ รมปาลมหาธรรมราชา นบั วา่ พระองคไ์ ด้ทรงเป็นพระมหาธรรมราชาท่ี 4 ตอ่ จากพระราชบิดา (พระมหาธรรมราชาท่ี 3) ความเสยี สละของบูรพมหากษัตริย์ไทยในยุคกรุงศรอี ยุธยา อาณาจักรอยธุ ยาเป็นอาณาจกั รท่มี อี าณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล จากทิศเหนือจรดอาณาจกั รล้านนา ไปจรดคาบสมทุ รมลายทู างทิศใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช อย่างไรก็ตาม ความสงสัยในตัวของคอนสแตนติน ฟอลคอน ทาให้ถูกสังหารโดยพระเพท ราชา อาณาจักรอยธุ ยาเริ่มเสื่อมอานาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การทาสงครามกับพม่าหลังจากนั้นสง่ ผลทาให้ อยุธยาถูกปล้นสะดมและเผาทาลาย เมื่อปี พ.ศ. 2310 รวมมีพระมหากษัตรยิ ์ท้ังส้ิน 34 พระองค์ (ไม่นบั ขนุ วรวงศาธิราช) รายพระนามมีดังนี้ ลาดับ พระนาม ปีทคี่ รองราชย์ ราชวงศ์ 1 สมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี 1 (พระเจา้ อู่ทอง) 1893 – 1912 (19 ปี) อู่ทอง 2 สมเด็จพระราเมศวร (พระราชโอรสพระเจา้ อู่ทอง) 1912 – 1913 (1 ปี) อทู่ อง ครองราชย์ครง้ั ที่ 1 3 สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 1 (ขนุ หลวงพะงว่ั ) 1913 – 1931 (18 ปี) สุพรรณภมู ิ 4 สมเด็จพระเจ้าทองลัน (พระราชโอรสขนุ หลวงพะงวั่ ) 1931 (7 วนั ) สุพรรณภูมิ 5 สมเดจ็ พระราเมศวร ครองราชยค์ รงั้ ท่ี 2 1931 – 1938 (7 ปี) อูท่ อง 6 สมเด็จพระรามราชาธริ าช (พระราชโอรสพระราเมศวร) 1938 – 1952 (14 ปี) อู่ทอง 7 สมเดจ็ พระอนิ ทราชา (เจ้านครอินทร์) (พระราชนัดดาของ 1952 – 1967 (16 ปี) สุพรรณภมู ิ ขุนหลวงพระงวั่ )

7 ลาดบั พระนาม ปที ่ีครองราชย์ ราชวงศ์ 1967 – 1991 (24 ปี) 8 สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 2 (เจ้าสามพระยา) สพุ รรณภมู ิ (พระราชโอรสเจ้านครอนิ ทร์ ) 1991 – 2031 (40 ปี) สพุ รรณภูมิ 9 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พระราชโอรสเจา้ สาม 2031 – 2034 (3 ปี) พระยา) 2034 – 2072 (38 ปี) สพุ รรณถมู ิ 2072 – 2076 (4 ปี) 10 สมเด็จพระบรมราชาธริ าชท่ี 3 (พระราชโอรสพระบรมไตร สุพรรณภมู ิ โลกนาถ) 2076 (5 เดือน) 2077 – 2089 (12 ปี) สุพรรณภูมิ 11 สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ 2 2089 – 2091 (2 ปี) สพุ รรณภมู ิ 12 สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 4 (พระราชโอรส 2091 (42 วนั ) พระรามาธิบดที ่ี 2) สุพรรณภูมิ 2091 – 2111 (20 ปี) 13 พระรัษฎาธริ าช (พระราชโอรสพระบรมราชาธริ าชที่ 4) 2111 – 2112 (1 ปี) สพุ รรณภมู ิ 14 สมเด็จพระไชยราชาธริ าช 2112 – 2133 (21 ปี) – (พระราชโอรสพระรามาธบิ ดีท่ี 2) สุพรรณภูมิ 2133 – 2148 (15 ปี) 15 พระยอดฟ้า (พระแกว้ ฟ้า) สุพรรณภูมิ (พระราชโอรสพระไชยราชาธริ าช) 2148 – 2153 (5 ปี) 2153 – 2154 (1 ปี) สุโขทยั 16 ขนุ วรวงศาธิราช 2154 – 2171 (17 ปี) (พระร่วง) สุโขทัย 17 สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ (พระเทียรราชา) 2171-2173 (2 ปี) (พระรว่ ง) สโุ ขทัย 18 สมเด็จพระมหินทราธิราช (พระราชโอรสพระมหา (พระร่วง) จักรพรรด)ิ สุโขทยั สโุ ขทยั 19 สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธิราช (พระรว่ ง) (พระราชบุตรเขยในพระมหาจักรพรรดิ) สุโขทัย (พระรว่ ง) 20 สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช (พระราชโอรสพระมหาธรรมราชา) 21 สมเดจ็ พระเอกาทศรถ (พระราชโอรสพระมหาธรรมราชา) 22 พระศรเี สาวภาคย์ (พระราชโอรสพระเอกาทศรถ) 23 สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พระราชโอรสพระเอกาทศรถ) 24 สมเดจ็ พระเชษฐาธิราช (พระราชโอรสพระเจ้าทรงธรรม)

8 ลาดับ พระนาม ปที ่ีครองราชย์ ราชวงศ์ 25 พระอาทติ ยวงศ์ (พระราชโอรสพระเจา้ ทรงธรรม) 2173 (36 วนั ) สโุ ขทัย (พระรว่ ง) 26 สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (ออกญากลาโหมสรุ ิยวงค์) 2173 – 2198 (26 ปี) 2198-2199 (1 ปี) ปราสาททอง 27 สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (พระราชโอรสพระเจ้าปราสาททอง) ปราสาททอง 28 สมเด็จพระศรีสธุ รรมราชา 2199 (3 เดอื น) ปราสาททอง (พระราชอนชุ าพระเจา้ ปราสาททอง) 29 สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช 2199 – 2231 (32 ปี) ปราสาททอง (พระราชโอรสพระเจา้ ปราสาททอง) 30 สมเดจ็ พระเพทราชา 2231 – 2246 (15 ปี) บ้านพลูหลวง (พระราชบุตรเขยในพระนารายณ์มหาราช) 31 สมเด็จพระสรรเพชญท์ ่ี 8 (พระเจา้ เสือ) 2246 – 2251 (6 ปี) บา้ นพลูหลวง 2251 – 2275 (24 ปี) บ้านพลูหลวง 32 สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี 9 (พระราชโอรสพระเจ้าเสอื ) 2275 – 2301 (26 ปี) บา้ นพลูหลวง บ้านพลหู ลวง 33 สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวบรมโกศ (พระราชโอรสพระเจ้าเสอื ) 2301 (2 เดือน) 34 สมเดจ็ พระเจา้ อุทมุ พร (พระราชโอรสพระเจา้ อย่หู วั บรมโกศ) 35 สมเด็จพระทน่ี ่งั สุรยิ าสนอ์ มรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) 2301 – 2310 (9 ปี) บา้ นพลูหลวง (พระราชโอรสพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ความเสียสละของบรู พมหากษัตริยไ์ ทยในยุคกรุงธนบรุ ี ราชวงศ์ธนบรุ ี เป็นราชวงศ์ในอดีตท่ีมรี ะยะเวลาสนั้ ทีส่ ดุ คือ 15 ปี ซึ่งปกครองกรุงธนบรุ เี พียงราชวงศ์ เดยี ว และมพี ระมหากษตั รยิ เ์ พียงพระองค์เดยี วคือ สมเด็จพระเจ้ากรงุ ธนบุรี ทรงสถาปนาราชวงศ์น้ขี ้นึ เม่ือปี พ.ศ. 2310 – 2325 พระมหากษัตริย์ท่ปี กครองกรุงธนบรุ ี มี 1 ราชวงศ์ คอื ราชวงศธ์ นบุรี มีกษัตริยป์ กครอง 1 พระองค์คือ สมเดจ็ พระเจ้าตากลนิ มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระนามเดิมว่า สิน ทรงพระราชสมภพ เม่ือปี พ.ศ. 2277 ท่ีบ้านใกล้ กาแพงพระนครศรีอยุธยา พระราชบิดามีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ พระราชมารดาช่ือ นกเอ้ียง ต่อมาภายหลัง ได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระเทพามาตย์ เจ้าพระยาจักรี สมุหนายก ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

9 ได้ขอรับไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เม่ืออายุได้ 13 ปี เจ้าพระยาจักรี ได้นาเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็ก ทาราชการอยู่ในบังคับบัญชาของหลวงศักดิ์นายเวร เมื่ออายุได้ 21 ปี เจ้าพระยาจักรี ได้ทาการอุปสมบทให้ใน สานักพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส (วัดเชิงท่า) อยู่สามพรรษาแล้วลาสิกขาเข้ารับราชการตามเดิมในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ (สมเด็จพระบรมราชาที่ 3) ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นข้าหลวงพิเศษเดินทางไปชาระคดี ความตามหัวเมืองฝ่ายเหนือ มีความดีความชอบ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก ต่อมาเมื่อ พระยาตากถึงแก่กรรม ก็ไดร้ ับโปรดเกล้า ฯ ใหเ้ ป็นพระยาตากแทน เมือ่ พม่ายกกาลังเขา้ ล้อมกรุงศรีอยุธยากอ่ นทีก่ รงุ ศรีอยุธยาจะเสียแกพ่ ม่าครงั้ ที่สอง พระยาตากไดเ้ ข้ามา ช่วยราชการป้องกันกรุงศรีอยุธยาอย่างเข้มแข็ง แต่ในที่สุดเมื่อเห็นว่าการป้องกันกรุงศรีอยุธยาในคร้ังนั้น ไม่ อานวยให้กระทาได้อย่างเต็มท่ี และอยู่นอกอานาจหน้าท่ีท่ีพระองค์จะแก้ไขได้ จึงได้หาทางต่อสู้ใหม่ ด้วยการ ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกไป ด้วยกาลังเล็กน้อยเพียง 500 คน ได้ต่อสู้กับกองทหารพม่าท่ีบ้านพรานนก ได้ชัยชนะ จากน้ันได้นากาลงั ไปตั้งม่ันที่เมืองจันทบุรี เพื่อรวบรวมกาลงั มากู้กรุงศรอี ยุธยาที่เสียแก่พม่า เม่ือวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 เมือ่ พระองค์ทรงรวบรวมกาลังพลได้ประมาณ 5,000 คน กับเรอื รบ 100 ลา ก็ได้ยกกาลังทางเรือเขา้ ยึด เมืองธนบุรี ได้เม่ือวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2311 ในวันต่อมาพระองค์ได้ตีค่ายทหารพม่าท่ีค่ายโพธิ์สามต้น และ ค่ายอ่ืนๆ แตกทุกค่าย ทาการกู้เอกราชกรุงศรีอยุธยาได้สาเร็จในเวลาเพียงเจ็ดเดือนหลังจากขับไล่พม่าออกไป แล้วพระองค์ก็ได้ทาพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ เม่ือวันท่ี 28 ธันวาคม พ.ศ.2311 เม่ือพระชนมายุได้ 34 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ หรือสมเด็จพระบรมราชที่ 4 แต่คนทั่วไปนิยมขนานพระ นามพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้กรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระองค์ทรงเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาที่ ถูกฝา่ ยพมา่ เผาผลาญวอดวาย ทาลายบ้านเมืองไปหมดสิ้น เกินกวา่ ทีจ่ ะบูรณปฎสิ ังขรณ์ให้กลบั เป็นเมอื งหลวงได้ จึงทรงเลอื กเมอื งธนบุรี ที่มีความเหมาะสมกวา่ ข้ึนเปน็ ราชธานี พระราชกรณียกิจของพระองค์ในลาดับต่อมาคือการรวบรวม การรวบรวมกาลังไว้ต่อสู้กับพม่าต่อไปคือ ความเป็นปึกแผ่นของพระราชอาณาจักร ซึ่งในเวลานั้นได้มีผู้ต้ังตนเป็นใหญ่ห้าชุมนุมต่าง ๆ ได้แก่ ชุมนุม เจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพิมาย และชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช เมื่อรวมชุมนุมของ พระองค์เองท่ีกกรุงธนบุรีแล้วก็มีถึงห้าชุมนุม พระองค์ทรงใช้เวลาในการปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ อยู่สามปี จึง เสรจ็ ปราบปรามได้เสร็จส้ินเมื่อปี พ.ศ.2313 ทาให้พระราชอาณาจกั รเป็นปึกแผน่ สว่ นหัวเมืองมาลายูไดแ้ ก่ เมอื ง ปัตตานี เมืองไทรบุรี เมืองกลันตัน และเมืองตรังกานู ซึ่งเคยเป็นเมืองข้ึนของกรุงศรีอยุธยามาแต่เดิม และได้ แยกตัวเป็นอิสระเมอื่ เสยี กรุงศรอี ยธุ ยาครง้ั ท่ีสอง พระองค์เหน็ ว่ายังไม่พรอ้ ม และยงั ไม่มคี วามสาคัญเร่งดว่ น ที่จะ ไปปราบปรามจึงได้ปล่อยไปก่อนในการทาสงครามกับพม่าในระยะต่อมา พระองค์ได้เปลี่ยนหลักนิยมในการ ยึดพระนครเป็นที่ตั้งรับข้าศึก มาเป็นการยกกาลังไปยับย้ังข้าศึกที่ชายแดน ทาให้ประชาชนพลเมืองไม่ได้รับ อันตรายเสียหายเดือดร้อนจากข้าศึก ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีการทาสงครามขยายพระราชอาณาเขต ของ กรุงศรอี ยธุ ยาออกไปอย่างกวา้ งขวาง โดยไดท้ าศึกสงครามกับพมา่ และอาณาจกั รอนื่ ๆ รวม 12 คร้ังคือ พ.ศ.2310 ศกึ พมา่ ทบี่ างกุ้ง พ.ศ.2312 ศกึ เมืองเขมรครงั้ ท่ี 1 พ.ศ.2314 ศกึ เมืองเชียงใหม่ พ.ศ.2314 ศกึ เมืองเขมรครัง้ ที่ 2 พ.ศ.2315 - 2316 ศึกพม่าตเี มืองพชิ ยั พ.ศ.2317 ศกึ เมืองเชียงใหม่ พ.ศ.2318 ศกึ พม่าทบี่ างแก้ว พ.ศ.2318 ศกึ อะแซหว่นุ ก้ีตีเมืองพิษณโุ ลก พ.ศ.2319 ศกึ เมืองนครจาปาศักดิ์

10 พ.ศ.2319 ศกึ พมา่ ตเี มืองเชียงใหม่ พ.ศ.2321 ศึกตเี มืองเวียงจนั ทน์ พ.ศ.2323 ศกึ เมืองเขมรคร้งั ที่ 3 ในปีพ.ศ.2324 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจา้ พระยาสุรสีห์ ยกทัพไปปราบเขมร แต่ต้องยกทัพกลับเนื่องจากทางกรงุ ธนบุรเี กิดจราจล โดยพระยาสรรค์ ได้กอ่ กบฏ ยกกาลงั เข้ายึดกรุงธนบรุ ี แล้วจบั สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้ไปทรงผนวชทีว่ ัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพกลับมาถึงกรุงธนบุรี ได้ปราบปรามกบฏได้สาเร็จ ราษฎร และบรรดามหาอามาตย์ จึงได้พร้อมใจกันอัญเชิญให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชย์ เม่ือวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 ตลอดรชั สมัยของพระองค์ได้ทรงทาศึกสงครามมาโดยตลอดเวลา 15 ปี โดยมิได้หยุดหย่อน ได้ขยายพระราชอาณาเขตของกรุงธนบุรีออกไป จนเกือบเท่ากับสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุงแก่พม่า พระองค์ ได้รบั การถวายพระราชสมัญญานามวา่ สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช ความเสยี สละของบรู พมหากษัตริย์ไทยในยุคกรงุ รตั นโกสินทร์ (รัชกาลท่ี ๑-๑๐) เม่ือเจ้าพระยาสรรค์ก่อกบฏเข้ายึดธนบุรีเอาไว้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงยกทัพกลับมาเพื่อ ปราบปรามกบฏในพระนคร เหล่าข้าราชการและประชาชนจึงพร้อมใจกันอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ ศึกเสด็จข้ึนครองราชย์ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงปราบดาภิเษกขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็น พระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จกั รี ในวันท่ี 6 เมษายน พ.ศ.2325 มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต่อมาได้รับยกย่องให้เป็น มหาราช คนท่ัวไปจึงขนานพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชหลังจากท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราช ย์สมบัติแล้ว ทรงมีพระราชวินิจฉยั ว่า กรงุ ธนบรุ ีไม่เหมาะท่ีจะเป็นราชธานีสบื ไป ดว้ ยสาเหตหุ ลายประการ พระมหากษัตรยิ ใ์ นราชวงศ์จักรีได้ปกครองกรุงรตั นโกสินทร์สืบตอ่ กนั มาถงึ ปจั จุบัน 1 0 พระองค์ ดังน้ี 1. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลก พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พระราชสมภพ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 - สวรรคต 7 กันยายน พ.ศ. 2352) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลท่ี 1 ในราชวงศ์จักรี เสด็จ พระราชสมภพเมื่อวันพุธ เดือน 4 แรม 5 ค่า ปีมะโรงอัฐศก เวลา 3 ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เม่ือวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นท่ี ประทับ

11 2. พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลยั พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พระราชสมภพ 24 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2310 - สวรรคต 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ครองราชย์ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 2 ในราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า ฉิม (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้า ฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) พระราชสมภพเมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่า เดือน 4 ปีกุน เวลาเช้า 5 ยาม ซ่ึงตรงกับวันท่ี 24 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2310 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสวย ราชสมบตั เิ ม่อื ปีมะเสง็ ปีพ.ศ. 2352 - 2367 ขณะมพี ระชนมายไุ ด้ 42 พรรษา 3. พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสรฐ มหาเจษฎาบดินทร พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (31 มีนาคม พ.ศ. 2330 - 2 เมษายน พ.ศ. 2394) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระองค์แรกที่ประสูติ แต่เจ้าจอมมารดาเรียม (ภายหลังได้รับสถาปนา เป็นสมเด็จพระศรีสุลาไลย) เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันจันทร์ แรม 10 ค่า เดือน 4 ปีมะแม เวลาค่า 10.30 น. (สี่ทุ่มครึง่ ) ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 เสวยราชสมบัติ เมื่อวนั อาทติ ย์ เดอื น 9 ขน้ึ 7 คา่ ปีวอก ซึง่ ตรงกับวันท่ี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 สิริดารงราชสมบัตไิ ด้ 27 ปี ทรงมีเจ้าจอมมารดาและเจ้าจอม 56 ท่าน มีพระราชโอรสธิดาท้ังส้ิน 51 พระองค์ เสด็จสวรรคตเม่ือวันพุธ เดือน 5 ข้ึน 1 ค่า ปีกุน โทศก จุลศักราช 1212 เวลา 7 ทุ่ม 5 บาท ตรงกับวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 สิริ พระชนมายุ 64 พรรษา 4. พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชสมภพ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - สวรรคต 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411) พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลท่ี 4 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า \"เจ้าฟ้า มงกุฎ\" เสด็จพระราชสมภพในวันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่า เดือน 11 ปีชวด ตรงกับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ใน รชั สมยั รัชกาลท่ี 1 ณ นิวาสสถานพระราชวงั พระราชนิเวศน์ พระราชวังเดิม ด้านใต้ของวัดอรณุ ราชวรารามเป็น พระราชโอรสองคท์ ี่ 43 และเปน็ ลาดับที่ 2 ในพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั กบั สมเด็จพระศรสี ุรเิ ยน ทราบรมราชินีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติในวันพุธ ขึ้น 1 ค่า เดือน 5 ปีกุน ยังเป็น โทศก พ.ศ. 2394 รวมดารงสิริราชสมบัติ 16 ปี 6 เดือน และมีพระราชโอรส - พระราชธิดารวมท้ังสิ้น 82 พระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเม่ือ วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่า เดือน 11 ปีมะโรง เวลาทุ่มเศษ ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 สิริพระชนม์มายุ 64 พรรษา วัดประจารัชกาลคือวัดราชประดิษฐสถติ มหาสมี ารามราชวรวิหาร 5. พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (20 กันยายน พ.ศ. 2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันอังคาร เดอื น 10 แรม 3 ค่า ปฉี ลู ตรงกับวนั ที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั และเปน็ พระองค์ท่ี 1 ในสมเดจ็ พระเทพศิรนิ ทราบรมราชินี เสวยราชสมบัติเม่อื วนั พฤหัสบดี เดือน 11 ข้นึ 15 คา่ ปีมะโรง พ.ศ. 2411 [3] เสด็จสวรรคต เม่อื วนั อาทิตย์ เดอื น 11 แรม 4 ค่า ปจี อ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ดว้ ยโรคพระวกั กะ 6. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (1 มกราคม พ.ศ. 2423 – 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) เป็น พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 6 ในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเม่ือวนั เสาร์ เดือนยี่ ข้ึน 2 ค่า ปีมะโรง ตรง

12 กับวันท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันท่ี 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 รวมพระชนมายุ 45 พรรษา เสด็จดารงราชสมบัตริ วม 15 ปีพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระอัจฉริยภาพและทรงบาเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ท้ังด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สาคัญท่ีสุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระ ราชนิพนธ์บทรอ้ ยแก้วและร้อยกรองไวน้ ับพันเร่ือง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเม่ือเสด็จสวรรคต แล้วว่า \"สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า\" พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ใน พระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกท่ีไม่มี วัดประจารัชกาล แต่ได้ทรงมีการการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน ข้ึนแทน ด้วยทรงพระราชดาริว่าพระอารามน้ันมีมากแล้ว และการสร้างอารามในสมัยก่อนน้ันก็เพ่ือบารุงการศึกษาของ เยาวชนของชาติ จงึ ทรงพระราชดารใิ หส้ รา้ งโรงเรียนขนึ้ แทน พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งแรกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสร้างแล้วเสร็จเมื่อพ.ศ. 2485 ประดิษฐาน ณ สวนลุมพินี ซึ่งเป็นบริเวณที่ดินส่วนพระองค์ ที่พระราชทานไว้เป็นสมบัติของประชาชน เพ่ือจัด งานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์แสดงสินคา้ ไทยแก่ชาวโลกเปน็ ครงั้ แรก เพื่อบารุงเศรษฐกจิ และพาณิชยกรรมของประเทศ (แต่มิทันได้จัดก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน) และทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าเมื่อเสร็จงานแล้ว จะพระราชทานเป็น สวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจแหง่ แรกในกรงุ เทพฯ ทั้งนี้ ในวันคลา้ ยวันสวรรคตของทุกปี วันท่ี 25 พฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์ จะเสด็จพระราชดาเนินไปทรงวางพวงมาลา ถวายบังคม พระบรมราชานุสรณ์ ณ สวนลุมพินีแห่งนี้ ในวันน้ันมีหน่วยราชการ หน่วยงานเอกชน นิสิตนักศึกษา พ่อค้า ประชาชนจานวนมากไปวางพวงมาลาถวายราชสักการะ และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บาเพ็ญพระราช กุศลอุทิศถวาย ณ วชิราวุธวิทยาลัยใน พ.ศ. 2524 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าทรงเป็น บุคคลสาคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ในฐานะท่ีทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่ง บทละครไว้เปน็ จานวนมาก 7. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยหู่ ัว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 - 30 พฤษภาคม พ.ศ.2484) เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 ในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันพุธ แรม 14 ค่า เดือน 11 ปีมะเส็ง เวลา 12.25 น. หรือตรงกับวันท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 เป็นพระราชโอรส พระองค์ท่ี 76 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระองค์ที่ 9 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรม ราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ข้ึนเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ เม่ือวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 และทรงสละราชสมบัติเมื่อวันท่ี 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (นับศักราชแบบเก่า) รวมดารงสิริราชสมบัติ 9 ปี เสดจ็ สวรรคต เมื่อวนั ท่ี 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 รวมพระชนมพรรษา 47 พรรษา พระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจท่ีสาคัญหลายด้าน เช่น ด้านการปกครอง โปรดให้ตั้งสภากรรมการ องคมนตรี ทรงตรากฎหมายเพ่ือควบคุมการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภคและการเงิน ระบบเทศบาล ด้านการ ศาสนา การศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรมน้ัน พระองค์โปรดให้สร้างหอพระสมุด ทรงปฏิรูปการศึกษาระดับ มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ มีการปรับปรุงการศึกษาจนยกระดับมาตรฐานถึงปริญญาตรี ทรงต้ังราชบัณฑิตยสภา โปรดให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยสมบูรณ์ ช่ือว่า “พระไตรปิฎกสยามรัฐ” เป็นต้นสาหรับชีวิต ส่วนพระองค์น้ัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชินี (หม่อมเจ้าหญิงราไพพรรณี สวัสดิวัตน์) ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา แต่มีพระราชโอรส บญุ ธรรมคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจริ ศักดิ์สุประภาตและพระองค์ไดร้ ับการยกยอ่ งจากยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสาคัญของโลก เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เน่ืองในวโรกาสฉลองวันพระราชสมภพครบ 100 ปี

13 8. พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานันทมหดิ ล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (20 กันยายน พ.ศ. 2468 – 9 มถิ ุนายน พ.ศ. 2489) เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟา้ มหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครนิ ทร์ (ภายหลงั ดารงพระอิสรยิ ยศเป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาลย์ (ภายหลังดารงพระยศเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนก ชนนีอีก 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (ภายหลังทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)พระองค์เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลท่ี 8 แห่งราชวงศ์จักรี เม่ือ วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะที่มีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา และทรงประทับอยู่ท่ีประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้น จึงมีการแต่งต้ังคณะผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทาหน้าท่ีบริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะ ทรงบรรลุนิติภาวะพระองค์เสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกภายหลังทรงราชย์เม่ือวันท่ี 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และครั้งท่ีสองเม่ือวันท่ี 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 แต่ก่อนกาหนดการเสด็จพระราชดาเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระองค์ก็ได้เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืนเม่ือวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระท่ีนงั่ บรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวงั รวมระยะเวลาท่ที รงครองสริ ริ าช สมบตั ิท้งั สน้ิ 12 ปี 9. พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 — 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็น พระมหากษัตริยไ์ ทย รัชกาลท่ี 9 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสู่พระราชสมบัติต้ังแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็น พระมหากษตั รยิ ์ไทยท่ที รงครองราชย์สมบตั ิยาวนานท่ีสุดในประเทศไทย พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมอื่ วนั ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ท่ีโรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสใน สมเดจ็ พระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับ สมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี และเป็น พระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพนั วัสสาอยั ยกิ าเจา้ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏเมษาฮาวาย ในปี พ.ศ. 2524 และ กบฏทหารนอกราชการ ในปี พ.ศ. 2528 กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งต้ังหัวหน้าคณะยึดอานาจ หลายคณะ เช่น จอมพล สฤษด์ิ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลนิ ในปี พ.ศ. 2549 ตลอด ระยะเวลา 70 ปี 4 เดือน 4 วนั ที่ทรงครองราชย์ เกิดรัฐประหารโดยกองทพั 11 คร้งั รฐั ธรรมนูญ 16 ฉบบั และ นายกรัฐมนตรี 27 คน ประชาชนชาวไทยจานวนมากเคารพพระองค์อน่ึง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอัน เป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หม่ินประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญาคณะรัฐมนตรีหลายชุดท่ีได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะ ทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หม่ินพระบรมเดชานุภาพกระน้ัน พระองค์เองได้ตรัสเม่ือปี พ.ศ. 2548 วา่ สาธารณชนพึงวพิ ากษ์วจิ ารณ์พระองค์ได้ พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเก่ียวกับพระราชดาริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสาเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์กับท้ัง พระองค์ยังทรงเป็นเจ้าของสิทธบิ ัตรส่ิงประดษิ ฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรีจานวนหน่ึงด้วยด้านสนิ ทรพั ย์ ของพระองค์นิตยสารฟอบส์จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชทรัพย์มากท่ีสุดในโลก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2556[11] เม่ือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 พระองค์มพี ระราชทรัพย์ 30,000 ล้านดอลล่าร์ สหรฐั (ดูหมายเหตุดา้ นลา่ ง)สานักงานทรพั ย์สนิ ส่วนพระมหากษัตริย์นั้นใชส้ ินทรัพย์เพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงนิ ต่อพระมหากษัตริย์แต่พระองค์เดียว

14 ขณะท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ได้ทรงอุทิศพระราชทรัพย์ไปในโครงการพัฒนา ประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรพั ยากรน้า สวสั ดกิ ารทางคมนาคม และสวสั ดิการสาธารณะ นับแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการพระโรค ไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวร ได้ทรุดลงตามลาดับ จนเสด็จสวรรคตเม่ือวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15:52 น. สิรพิ ระชนมพรรษา 88 ปี 313 วนั พระนามเต็ม และพระราชประวัติ ในหลวงรัชกาลที่ 1-10 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รชั กาลท่ี ๑) พระราชประวตั ิรชั กาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จกั รี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(ประสูติ พ.ศ. 2279 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2352) มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเป็น ปฐมกษตั รยิ ์แหง่ พระบรมราชวงศ์จักรี ทรงพระนามเต็มว่า \" พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรสี ินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธบิ ดนิ ทร์ ธรณนิ ทราธิ ราชรัตนากาศภาสกรวงศ์องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนชาติอาชาวศรัย สมุทัยวโรมนต์ สกลจักรฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทรหริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณธขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์บรม ธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤดินทร์ภูมินทรปรามาธิเบศร โลกเชฎฐวิสุทธ์ิรัตนมกุฎประเทศ ตามหาพุทธางกูรบรมบพติ ร พระพทุ ธเจา้ อยู่หวั \" ทรงประสตู ิเมื่อวนั ท่ี 20 มนี าคม พ.ศ. 2279 พระราชบิดาทรงพระนามวา่ ออกอกั ษรสุนทรศาสตร์ พระ ราชมารดาทรงพระนามว่า ดาวเรือง มีบุตรและธดิ ารวมทัง้ หมด 5 คน คือ คนที่ 1 เปน็ หญงิ ช่อื \"สา\" ( ตอ่ มาไดร้ บั สถาปนาเปน็ พระเจ้าพนี่ างเธอกรมสมเดจ็ พระเทพสุดาวดี ) คนท่ี 2 เป็นชายชอ่ื \"ขนุ รามนรงค\"์ ( ถึงแก่กรรมก่อนทีจ่ ะเสียกรงุ ศรีอยุธยาแก่พมา่ ครงั้ ที่ 2 ) คนที่ 3 เปน็ หญงิ ช่อื \"แก้ว\" ( ตอ่ มาได้รบั สถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระศรีสุดารกั ษ์ )

15 คนท่ี 4 เปน็ ชายช่อื \"ด้วง\" (พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ) คนที่ 5 เปน็ ชายชือ่ \"บุญมา\" ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสงิ หนาท สมเด็จพระ อนชุ าธริ าช ) เมื่อเจริญวยั ไดถ้ วายตวั เปน็ มหาดเล็กในสมเดจ็ พระเจ้าลูกยาเธอเจา้ ฟ้าอทุ มุ พร พระชนมายุ 21 พรรษา ออกบวชที่วดั มหาทลาย แลว้ กลบั มาเป็นมหาดเล็กหลวงในแผ่นดนิ พระ เจ้าอทุ มุ พร พระชนมายุ 25 พรรษา ไดร้ บั ตาแหน่งเปน็ หลวงยกกระบัตร ประจาเมืองราชบรุ ใี นแผน่ ดินพระท่ี น่งั สุริยามรินทร์ พระองค์ไดว้ ิวาหก์ ับธิดานาค ธิดาของท่านเศรษฐที องกบั สม้ พระชนมายุ 32 พรรษา ในระหวา่ งทีร่ ับราชการอยูก่ บั พระเจ้ากรุงธนบรุ ี ได้เลื่อนตาแหนง่ ดังน้ี พระชนมายุ 33 พรรษา พ.ศ. 2312 ไดเ้ ลอ่ื นเป็นพระยาอภยั รณฤทธ์ิ เมอื่ พระเจา้ กรุงธนบุรปี ราบ ชุมนมุ เจ้าพิมาย พระชนมายุ 34 พรรษา พ.ศ. 2313 ได้เลอื่ นเป็นพระยายมราชทีส่ มุหนายกเมอื่ พระเจ้ากรุงธนบุรีไป ปราบชมุ นุมเจ้าพระฝาง พระชนมายุ 35 พรรษา พ.ศ. 2314 ไดเ้ ล่ือนเป็นเจ้าพระยาจักรี เมื่อคราวเป็นแม่ทัพไปตีเขมรคร้ัง ที่ 2 พระชนมายุ 41 พรรษา พ.ศ. 2321 ได้เลอ่ื นเป็นสมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ กึ เม่ือคราวเปน็ แม่ ทพั ใหญ่ไปตเี มืองลาวตะวนั ออก พ.ศ. 2323 เป็นคร้ังสุดท้ายที่ไปปราบเขมร ขณะเดียวกับที่กรุงธนบุรีเกิดจลาจลจึงเสด็จยกกองทัพ กลับมากรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2325 พระองค์ทรงปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราช สมบัติปราบดาภิเษก แล้วได้มีพระราชดารัสให้ขุดเอาหีบพระบรมศพของพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นตั้ง ณ เมรุวัด บางยี่เรอื พระราชทานพระสงฆ์บงั สกุ ุลแล้วถวายพระเพลิงพระบรมศพ เสรจ็ แล้วใหม้ กี ารมหรสพ พระราชกรณียกิจดา้ นการสถาปนากรุงรตั นโกสินทร์เป็นราชธานี พระราชกรณยี กิจประการแรกทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช ทรงจัดทาเม่ือเสด็จข้ึนครองราชย์คือการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ทาง ตะวันออกของแม่น้าเจ้าพระยา แทนกรุงธนบุรี ด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ เนื่องจากกรุงธนบุรีต้ังอยู่บน สองฝั่งแม่น้า ทาให้การลาเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ และการรักษาพระนครเป็นไปได้ยาก อีกทั้งพระราชวังเดิมมี พื้นท่ีจากัด ไม่สามารถขยายได้ เนื่องจากติดวัดอรุณราชวราราม และวัดโมฬีโลกยาราม ส่วนทางฝ่ังกรุง รตั นโกสินทร์น้ันมีความเหมาะสมกว่าตรงท่ีมีพื้นแผ่นดินเป็นลักษณะหัวแหลม มีแม่น้าเป็นคูเมืองธรรมชาติ มี ชยั ภูมเิ หมาะสม และสามารถรบั ศึกไดเ้ ป็นอยา่ งดี

16 การสร้างราชธานใี หม่นนั้ ใชเ้ วลาท้ังสิน้ ๓ ปี โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรง ทาพิธียกเสาหลักเมือง เม่ือวันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่า ปีขาล จศ.๑๑๔๔ ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พศ. ๒๓๒๕ และโปรดเกล้าฯให้สร้าง พระบรมมหาราชวัง สืบทอดราชประเพณี และสร้างพระอารามหลวงในเขต พระบรมมหาราชวังตามแบบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการสร้างเมืองและพระบรมมหาราชวงั เป็นการสืบทอดประเพณี วัฒนธรรม และศลิ ปะกรรมดั้งเดิมของชาติ ซึ่งปฏิบตั กิ ันมาตัง้ แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา และไดพ้ ระราชทานนามแก่ ราชธานใี หม่น้วี า่ “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดม ราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถติ สักกะทตั ติยะวษิ ณกุ รรมประสิทธ์ิ” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลงสร้อย “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมร รัตนโกสนิ ทร์” นอกจากนี้ ยังโปรดเกล้าฯให้ สร้างสิ่งต่างๆ อันสาคัญต่อการสถาปนาราชธานี ได้แก่ ป้อม ปราการ คลอง ถนนและสะพานต่าง ๆ มากมาย พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย (รชั กาลที่ ๒) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 2 แห่งราชวงศจ์ ักรี ทรง ประสูติเม่ือ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 7 ค่า เดือน 3 ปีกุน มีพระนามเดิมว่า \"ฉิม\" พระองค์ ทรงเป็นพระบรมราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมสมเด็จพระ อมรินทรามาตย์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติ ณ บ้านอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ขณะน้ัน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นหลวงยกกริบัตรเมืองราชบุรี พระบิดาได้ให้เข้าศึกษากับ สมเด็จพระวนั รตั ( ทองอยู่ ) ณ วัดบางหวา้ ใหญ่ พระองค์ทรงมีพระชายาเท่าทปี่ รากฏ 1. กรมสมเดจ็ พระศรีสุรเิ ยนทรามาตย์ พระอัครมเหสี 2. กรมสมเด็จพระศรีสุราลัย พระสนมเอก ขณะข้ึนครองราชย์ในปี พ.ศ. 2352 มีพระชนมายุ ได้ 42 พรรษา พระราชกรณียกิจที่สาคญั พ.ศ. 2317 ขณะท่ีเพ่ิงมพี ระชนมายไุ ด้ 8 พรรษา ได้ติดตามไปสงคราม เชียงใหม่ อยู่ในเหตุการณ์ครั้งท่ีบิดามีราชการไปปราบปรามเมืองนางรอง นครจาปาศักดิ์ และบางแก้ว ราชบุรี จนถึงอายุ 11 พรรษา พ.ศ. 2322 พระราชบดิ าไปราชการสงครามกรุงศรสี ตั นาคนหตุ ก็ตดิ ตามไป

17 พ.ศ. 2323 พระชนมายุ 13 พรรษา ไดเ้ ขา้ เป็นศษิ ยส์ มเดจ็ พระวนั รัต (ทองอยู่ ) พ.ศ. 2324 พระราชบิดาได้เล่ือนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ไปร่วมปราบปรามเขมรกับ พระบดิ า พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไดป้ ราบดาภิเษกแล้วไดท้ รงสถาปนาขึ้นเปน็ \"สมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอศิ รสนุ ทร\" พ.ศ. 2329 พระชนมายุ 19 พรรษา ไดโ้ ดยเสด็จสมเดจ็ พระบรมชนกนาถ ไปสงครามตาบลลาดหญ้า และทางหวั เมืองฝา่ ยเหนือ พ.ศ. 2330 ไดโ้ ดยเสดจ็ พระบรมชนกนาถ ไปสงครามท่ีตาบลทา่ ดินแดง และตีเมืองทวาย พ.ศ. 2331 ทรงผนวชเปน็ พระภิกษใุ นพระอุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม ซ่ึงเป็นพระองค์แรกที่ อุปสมบทในวัดน้ี เสดจ็ ไปจาพรรษา เมื่อครบสามเดือน ณ วดั สมอราย ปัจจุบนั คือวัดราชาธริ าช คร้ันทรงลาผนวช ในปนี น้ั ทรงอภิเษกสมรสกับสมเดจ็ เจา้ หญิงบญุ รอด พระธิดาในพระพน่ี างเธอ สมเด็จเจ้าฟา้ หญิงกรมพระศรีสดุ า รกั ษ์ พ.ศ. 2336 โดยเสดจ็ พระราชบดิ าไปตเี มืองทวาย ครัง้ ที่ 2 พ.ศ. 2349 ( วนั อาทติ ย์ เดือน 8 ข้นึ 7 ค่า ปีขาล ) ทรงพระชนมายไุ ด้ 40 พรรษาไดร้ บั สถาปนาเป็น \"กรมพระราชวังบวรสถานมงคล\" ซึ่งดารงตาแหน่งพระมหาอปุ ราชข้นึ แทน กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สหี นาท ท่ี ไดส้ วรรคตแลว้ เมื่อ พ.ศ. 2346 พระราชกรณยี กจิ สาคญั ในรัชกาลท่ี ๒ ด้านการปกครอง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านการปกครองโดยยังคง รูปแบบการปกครองแบบเดิม แต่มีการต้ังเจ้านายท่ีเป็นเชื้อพระวงศ์เข้าดูแลบริหารงานราชการตามหน่วยงาน ต่างๆ เช่น กรมพระคลัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์เป็นผู้กากับ ดแู ล เป็นต้น สว่ นดา้ นการออกและปรับปรุงกฎหมายในการปกครองประเทศท่ีเออื้ ประโยชน์แก่ประชาชนมากขึ้น ได้แก่ พระราชกาหนดสักเลก โดยพระองค์โปรดให้ดาเนินการสักเลกหมู่ใหม่ เปลี่ยนเป็นปีละ 3 เดือน ทาให้ไพร่ สามารถประกอบอาชีพได้ นอกจากนยี้ ังมกี ารออกกฎหมายว่าด้วยสัญญาที่ดนิ รวมถึงพินยั กรรมว่าต้องทาเป็นลาย ลกั ษณ์อักษร และกฎหมายทสี่ าคัญท่พี ระองค์โปรดเกลา้ ฯ ใหก้ าหนดขึน้ คอื กฎหมายหา้ มซือ้ ขายสูบฝนิ่ ด้านเศรษฐกิจ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านเศรษฐกิจ ท่ีสาคัญคือการ รวบรวมรายได้จาการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งในสมัยน้ีได้มีการเรียกเก็บภาษีอากรแบบใหม่คือ การเดินสวนและ การเดินนา การเดินสวนเป็นการแต่งตั้งเจ้าพนักงานไปสารวจพื้นท่ีเพาะปลูกของราษฎร เพื่อคิดอัตราเสียภาษี อากรท่ีถูกต้อง ทาให้เกิดความยุติธรรมแก่เจ้าของสวน ส่วนการเดินนาคล้ายกับการเดินสวน แต่ให้เก็บหางข้าว แทนแทนการเกบ็ ภาษีอากร

18 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจา้ อยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี เป็นพระ ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุราลัย ( เจ้าจอมมารดาเรียม ) ประสูติ ณ วันจันทร์ เดือน 4 แรม 10 ค่า ปีมะแม ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2330 มีพระนามเดิมว่า \"พระองคช์ ายทับ\" พ.ศ. 2365 พระองค์ชายทับ ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์กากับราชการกรมท่า กรม พระคลังมหาสมบัติ กรมพระตารวจว่าการฎีกา นอกจากน้ียังได้ทรงรับพระกรุณาให้แต่งสาเภาหลวงออกไป คา้ ขาย ณ เมืองจนี พระองคท์ รงไดร้ ับพระสามัญญานามวา่ \"เจ้าสัว\" ในขณะท่พี ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชการที่ 2 ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต โดยมิได้ตรัส มอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสองค์ใด พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาเสนาบดีผู้เป็นประทานในราชการจึง ปรึกษากัน เห็นควรถวายราชสมบัติแก่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ อันที่จริงแล้วราชสมบัติควร ตกแก่ เจ้าฟ้ามงกุฎ ( พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ) เพราะเจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นราชโอรสท่ีประสูติจาก สมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลท่ี 2 โดยตรง ส่วนกรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ เป็นเพียงราชโอรสที่เกิดจากเจ้าจอม เท่านั้น โดยท่ีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระราชหฤทัยไว้แล้วว่าเมื่อสิ้นรัชกาลพระองค์แล้วจะคืน ราชสมบัติ ให้แก่สมเด็จพระอนุชา ( เจ้าฟ้ามงกุฎ) ดังน้ันพระองค์จึงไม่ทรงสถาปนาพระบรมราชินี คงมีแต่เจ้า จอมมารดา และเจ้าจอม พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้ึนครองราชย์ในวันท่ี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ข้ึน 7 ค่า เดือน 9 ปีวอก ฉศก พระราชกรณยี กิจสาคัญในรชั กาลที่ ๓ ด้านการปกครอง ลักษณะการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงเป็นแบบอย่างที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยาและ กรุงธนบุรี คือ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในตาแหน่งสูงสุดของการปกรอง ประเทศ ทรงเป็นประมุขผู้พระราชทานความพิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้ปลอดภัยตาแหน่งรองลงมา คือพระมหา อุปราช ซึ่งดารงตาแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เช่นเดียวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ตาแหน่ง

19 บังคับบัญชาในด้านการปกครองแยกต่อมา คืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร คือ พระสมุหพระกลาโหม และฝ่าย พลเรือน คือ สมหุ นายก ตาแหน่งรองลงมา เรียก เสนาบดจี ตสุ ดมภ์ คือ เสนาบดีเมืองหรือเวียง กรมวัง กรมพระ คลัง และกรมนา ส่วนการบริหารราชการแผ่นดิน ยังคงจัดแบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองช้ันใน และหัว เมืองประเทศราช ดังที่เคยปกครองกันมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซ่ึงการแบ่งการปกครองในลักษณะน้ี ก่อให้เกิดปัญหาในการปกครองหัวเมืองประเทศราช เช่น ลาว เขมร และมลายู เพราะหัวเมืองเหล่านี้พยายาม หาทางเป็นเอกราช หลุดจากอานาจของอาณาจักรไทย ดา้ นการทานุบารงุ ประเทศ ในสมัยรัตนโกสินทร์ เน้นหลักไปในด้านการก่อสร้างบ้านเมือง ตลอดจนการขุดลอกคูคลอง สร้างป้อม สร้างเมือง ฯลฯ เพราะอยู่ในระยะการสร้างราชธานีใหม่ และพระมหากษัตริย์ในสามรัชกาลแรกทรงยึดถือ นโยบายร่วมกันในอันที่จะสร้างบ้านเมืองให้ใหญ่โตสง่างามเทียบเท่ากับกรุงศรีอยุธยา นับต้ังแต่การสร้าง พระบรมมหาราชวัง วัดวาอารามต่าง ๆ เปน็ ตน้ ต่อมาในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วตั ถสุ ถาน ต่าง ๆ ที่สร้างมาตั้งแต่รัชกาลท่ี 1 ทรุดโทรมลงเป็นอันมาก พระน่ังเกล้าเจ้าอยูห่ ัวทรงสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์ ข้ึนใหม่ อาทิ พระบรม มหาราชวัง และวัดวาอารามต่าง ๆ และยังทรงเป็นพระธุระในการขุดแต่งคลองเพ่ิมเติม คอื คลองสุนขั หอน คลองบางขุนเทียน คลองพระโขนง และคลองแสนแสบ (คลองบางขนาก) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว (รชั กาลที่ ๔) พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ประสูติเม่ือวันพฤหัสบดีท่ี 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ตรงกับ ปีชวด มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามหามาลา ขณะนั้นพระราชบิดายังดารงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขะสมัยกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ได้รับ สถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ มีพระราชอนุชาร่วมพระราชมารดา คือ เจ้าฟ้าจุธามณี ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกล้าเจา้ อย่หู ัว เม่ือพระชนมายุได้ 9 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถก็โปรดให้มีการพระราชพิธีลงสรง (พ.ศ.2355) เป็นคร้ังแรกท่ีกระทาขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ ได้รับพระราชทานนามจารึกในพระสุพรรณปัฎว่า \"สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทววงศ์พงศ์อิสรค์กษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร \" สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เม่ือวันที่ 4เมษายน พุทธศักราช 2394 ทรงพระนามว่า \"พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า

20 เจ้าอยู่หัว\" เรียกขานในหมู่ชาวต่างชาติว่า \"คิงส์มงกุฎ\" ขณะท่ีพระองค์ข้ึนเสวย สิริราชย์สมบัติน้ัน พระชนมายุ 37 พรรษา เม่ือได้เสด็จข้ึนครองราชย์แล้วทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศ เรศรังสรรค์ (พระนามเดิมเจ้าฟ้าจุธามณีโอรสองค์ท่ี 50 ของรัชกาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ข้ึนเป็น สมเด็จพระปนิ่ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ทรงมีฐานะเสมอื นพระเจา้ แผ่นดนิ อีกพระองค์หนงึ่ พระราชกรณียกิจท่ีสาคญั ของรชั กาลที่ ๔ หลังจากที่พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว เสดจ็ ขนึ้ ครองราชย์แล้ว ก็ทรงทานุบารุงบ้านเมืองให้ เจริญรุ่งเรื่องในทุก ๆ ด้านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เริ่มศักราชการติดต่อกับนานาอารยประเทศอย่างจริงจัง ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศต่าง ๆ ส่งคณะทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี และติดต่อค้าขาย และพระองค์ได้ ทรงแต่งคณะทูต ออกไปเจริญสัมพันธไมตรีตอบแทนหลายคร้ัง เช่น อังกฤษ ฝร่ังเศส สหรัฐอเมริกา โปรตุเกส เดนมาร์ค ฯลฯ ทรงสนับสนุนให้มีการศึกษาศิลปะวิทยาการใหม่ ๆ เช่น วิชาการต่อเรือใบ เรือกลไฟ เรือรบ การฝึกทหารอย่างยุโรป การยกเลิกธรรมเนียมท่ีล้าสมัยบางประการ เช่น ประเพณีการเข้าเฝ้าให้ใส่เส้ือเข้าเฝ้า การให้ประชาชนเฝ้าแหนรับเสด็จตลอดระยะรายทางเสด็จได้ และหากประชาชนมีเรื่องเดือนเนื้อร้อนใจก็ สามารถถวายฎีกาเพ่ือขอความเป็นธรรมได้โดยตรงไม่ต้องผ่านข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ก่อน ฯลฯ พระปรีชา สามารถสว่ นพระองคท์ ่ีสาคัญประการหน่ึงคือ วิชาการด้านโหราศาสตร์ และดาราศาสตร์ ทรงสามารถคานวณ ระยะเวลาการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างแม่นยา ดังได้เสด็จพระราชดาเนินพร้อมพระราชอาคันตุกะท้ังปวงไปชม สรุ ยิ ปุ ราคาท่หี ว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ เม่อื พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภาณุมาศจารูญ เมื่อวันท่ี 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2411 สริ ิพระชนมายุได้ 64 พรรษา รวมเวลาทป่ี กครองประเทศนาน 17 ปเี ศษ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมท้ังสิ้น 82 พระองค์ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว(รชั กาลท่ี ๕) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า \" เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ \" เป็นพระราช โอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จ

21 พระนางราเพยภมรภิรมย์ ) พระองค์ประสูติเมื่อวันท่ี 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับวันอังคาร แรม 3 ค่า เดอื น 10 ได้ทรงรบั สถาปนาเป็นกรมหม่ืนพิฆเนศวรสุรสงั กาศ และกรมขนุ พอนจิ ประชานาถ ด้านการศึกษา พระองค์ทรงได้รับการศึกษาเป็นมาอย่างดี คือ ทรงศึกษาอักษรศาสตร์ โบราณ ราชประเพณี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยรัฐประศาสนศาสตร์ วิชากระบ่ี กระบอง วิชาอัศวกรรม วิชา มวยปล้า การยิงปืนไฟ เม่ือพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้ข้ึนเถลิงถวัลยราชสมบัติโดยมีสมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สาเร็จราชการ พ.ศ. 2410 พระเจ้านโปเลียนท่ี 3 แห่งฝร่ังเศส ได้ส่งพระแสงกระบ่ี มาถวาย คร้ันพระชนมายุครบท่ีจะว่าราชการได้ พระองค์จึงได้ทรงทาพิธีราชาภิเษกใหม่อีกครั้งหนึ่ง เม่ือ พ.ศ. 2416 ทาใหเ้ กิดผลใหญ่ 2 ข้อ 1. ทาให้พวกพ่อค้าชาวต่างประเทศหันมาทาการติดต่อกับพระองค์โดยตรง เป็นการปลูกความนิยมนับ ถอื กบั ชาวต่างประเทศไดเ้ ปน็ อยา่ งดเี ยีย่ ม 2. ทาให้พระองค์ มีพระราชอานาจที่จะควบคุมกาลังทหารการเงินได้โดยตรงเป็นได้ทรงอานาจใน บา้ นเมืองโดยสมบูรณ์ พระราชกรณยี กิจที่สาคญั ของรชั กาลท่ี 5 ได้แก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีเลิกทาส การป้องกันการเป็นอาณานิคมของฝร่ังเศส และ จักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติการในศาสนาได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีมีการนาระบบจากทางยุโรปมาใช้ ในประเทศไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑล เทศาภิบาล จังหวัดและอาเภอ และได้มีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง เมืองนครราชสีมา ลง วันที่ 1 มนี าคม ร.ศ.109 ซงึ่ ตรงกบั พทุ ธศักราช 2433 นอกจากน้ีได้มงี านพระราชนิพนธ์ ที่สาคัญ การเสียดนิ แดน ภาพการรบระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ที่ปากน้าเมืองสมุทรปราการ ซึ่งนาไปสู่การ เสยี ดินแดนของไทยให้แก่ฝร่ังเศสเป็นจานวนมาก พระบรมราชนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ปากน้าเมือง สมทุ รปราการ[แก้] การเสยี ดินแดนใหฝ้ รั่งเศส ครั้งที่ 1 เสียแคว้นเขมร (เขมรส่วนนอก) เน้ือที่ประมาณ 123,050 ตารางกิโลเมตร และเกาะ อกี 6 เกาะ วนั ท่ี 15 กรกฎาคม 2410 คร้ังที่ 2 เสียแคว้นสิบสองจุไท หัวพันห้าทั้งหก เมืองพวน แคว้นหลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ คา ม่วน และแคว้นจาปาศักดิ์ฝั่งตะวันออก (หัวเมืองลาวทั้งหมด) โดยยึดเอาดินแดนสิบสองจุไทย และได้อ้างว่า ดินแดนหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และนครจาปาศักดิ์ เคยเป็นประเทศราชของญวนและเขมรมาก่อน จึง บีบบังคับเอาดินแดนเพิ่มอีก เน้ือท่ีประมาณ 321,000 ตารางกิโลเมตร วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2431 ฝรั่งเศส ขม่ เหงไทยอย่างรนุ แรงโดยส่งเรือรบล่วงเข้ามาในแม่น้าเจ้าพระยา เม่ือถึงป้อมพระจุลจอมเกล้า ฝ่ายไทยยิงปืน ไม่บรรจุกระสนุ 3 นดั เพ่อื เตอื นให้ออกไป แตท่ างฝร่ังเศสกลับระดมยิงปนื ใหญ่เข้ามาเปน็ อันมาก เกิดการรบกัน พักหนงึ่ ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 ฝร่ังเศสนาเรือรบมาทอดสมอ หน้าสถานทูตของตนในกรุงเทพฯ ได้ สาเร็จ (ทั้งน้ีประเทศอังกฤษ ได้ส่งเรือรบเข้ามาลอยลาอยู่ 2 ลา ที่อ่าวไทยเช่นกัน แต่มิได้ช่วยปกป้องไทยแต่ อยา่ งใด) ฝรง่ั เศสยืน่ คาขาดให้ไทย 3 ข้อ ใหต้ อบใน 48 ช่ัวโมง เน้ือหา คอื ให้ไทยใช้ค่าเสียหายสามล้านแฟรงค์ โดยจ่ายเป็นเหรียญนกจากเงินถุงแดง พร้อมส่งเช็คให้สถานทูต ฝรั่งเศสแถวบางรกั

22 ให้ยกดนิ แดนบนฝั่งซา้ ยแมน่ า้ โขงและเกาะตา่ ง ๆ ในแม่น้าดว้ ย ให้ถอนทัพไทยจากฝั่งแม่น้าโขงออกให้หมดและไม่สร้างสถานที่สาหรับการทหาร ในระยะ 25 กิโลเมตร ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับในข้อ 2 ฝร่ังเศสจึงส่งกองทัพมาปิดอ่าวไทย เม่ือวันที่ 26 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2436 และยดึ เอาจงั หวัดจนั ทบุรีกับจังหวดั ตราดไว้ เพอ่ื บังคบั ให้ไทยทาตาม พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี ๖) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราช สมภพเม่ือ วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2421 พระองค์ทรงเป็นพระ ราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ พระ นางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ( สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราช เทวี ) เม่ือยังทรงพระเยาว์ทรงพระนามว่า \"สมเด็จเจ้าฟ้ามหา วชิราวุธ\" ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี ในปี พ.ศ. 2431 และต่อมาในปี พ.ศ. 2437 สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิ ราชสยามมงกุฎราชกุมารดารงตาแหน่งรัชทายาท พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าฯ จึงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกฎุ ราชกุมาร ดารงตาแหนง่ รชั ทายาทแทน พระราชกรณยี กจิ ที่สาคญั ของรฐั กาลท่ี 6 ดา้ นการศึกษา ในด้านการศึกษา ทรงรเิ ร่ิมสรา้ งโรงเรียนข้นึ แทนวัดประจารัชกาล ได้แก่ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซ่ึงใน ปัจจุบันคือโรงเรียนวชริ าวุธวิทยาลัย ท้ังยงั ทรงสนบั สนนุ กิจการของโรงเรียนราชวทิ ยาลัยซึ่งพระบาทสมเด็จพระ จลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 2440 (ปัจจุบันคือโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ใน พระบรมราชูปถัมภ์) และในปี พ.ศ. 2459 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐาน “โรงเรียนข้าราชการ พลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ซึ่งเป็น มหาวทิ ยาลยั แหง่ แรกของประเทศไทย การเปดิ โรงเรยี นในเมอื งเหนือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อคร้ังยังทรงดารงพระอิสริยยศสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จ พระราชทานนามโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เมื่อวันท่ี 2 มกราคม พ.ศ. 2449 ซ่ึงไม่เป็นเพียงแต่การนา รูปแบบการศกึ ษาตะวันตกมายังหัวเมอื งเหนอื เท่านั้น แตย่ ังแฝงนัยการเมืองระหว่างประเทศเอาไวด้ ้วย[16] เห็น ได้จากการเสด็จประพาสมณฑลพายพั ท้งั สองคร้ังระหว่าง พ.ศ. 2448-2450 พระองค์ได้ทรงสนพระทยั ในกิจการ โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้น โดยพระองค์ทรงบันทึกไว้ในพระราชนิพนธ์ \"เท่ียวเมืองพระร่วง\" และ \"ลิลิต พายัพ\"[16] ทง้ั น้ี เป้าหมายของการจัดการศกึ ษายังแฝงประโยชน์ทางการเมืองที่จะให้ชาวท้องถิ่นกลมเกลียวกับ ไทยอกี ด้วย

23 ด้านการเศรษฐกิจ ได้ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ิคลังออมสนิ พ.ศ. 2456 ข้ึน เพ่ือให้ประชาชนรจู้ กั ออมทรัพย์และเพอ่ื ความมน่ั คงในด้านเศรษฐกิจของประเทศ อกี ทง้ั ยงั ทรงริเริ่มก่อตัง้ บริษทั ปูนซเิ มนตไ์ ทยข้ึน ดา้ นการคมนาคม ในปี พ.ศ. 2460 ทรงตัง้ กรมรถไฟหลวง และเริ่มเปิดการเดินรถไฟสายกรงุ เทพฯ ถึงเชียงใหม่ สายใต้ จากธนบุรเี ชือ่ มกบั ปีนังและสิงคโปร์ อีกทั้งยงั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างสะพานพระราม 6 เพอี่ เชื่อมทางรถไฟไป ยังภมู ิภาคอื่น พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั (รัชกาลที่ 7) พระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นโอรสองค์ ที่ 76 ท รงเป็ น พ ระ โอ รส อ งค์ เล็ ก ข อ งพ ระ บ าท ส ม เด็ จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประสูติแด่สมเด็จพระศรีพัชริน ทราบรมราชินีนารถ นับว่าเป็นพระราชโอรสองค์เล็กสุด ประสูติ เมื่อวันท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ตรงกับวันพุธ แรม 14 ค่า เดือน 11 ปีมะเส็ง ทรงพระนามเดิมว่า \" เจ้าฟ้าชายประชาธิปก ศักดเิ ดช กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา เม่ือทรงมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา พระองค์ได้เข้าศึกษา ในวิทยาลัยทหารบก ณ ประเทศองั กฤษจนจบและไดเ้ สด็จกลับมา รับราชการในรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราชของพระองค์ โดยได้รับยศเป็นนายพันโททหารบกมีตาแหน่งเป็นราชองครักษ์ และผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยช้ันประถม ต่อมาภายหลังได้เล่ือนตาแหน่งเป็นลาดับจนเป็นนายพันเอก มี ตาแหน่งเป็นปลัดกรมเสนาธิการทหารบก ก่อนขึ้นครองราชสมบัติมตี าแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบ ท่ี 2 พระราชกรณยี กิจทีส่ าคัญของรัชกาลที่ 7 ดา้ นการทานุบารุงบา้ นเมือง เศรษฐกิจ สืบเนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาภาวะ เศรษฐกิจ ตกต่า ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนมาสู่ประเทศไทย พระองค์ได้ทรงพยายามแก้ไขการงบประมาณของ ประเทศให้งบดุลอยา่ งดีที่สุด โดยทรงเสียสละตดั ทอนรายจ่ายส่วนพระองค์ โดยมไิ ด้ข้ึนภาษใี ห้ราษฎร เดอื ดรอ้ น การสุขาภิบาลและสาธารณูปโภค โปรดให้ปรับปรุงงานสุขาภิบาลท่ัวราชอาณาจักรให้ทัดเทียมอารยประเทศ ขยายการส่อื สารและการคมนาคม โปรดให้สร้างสถานีวิทยกุ ระจายเสยี งแหง่ แรกใน ประเทศไทย ในสว่ นกิจการ รถไฟ ขยายเส้นทางรถทางทิศตะวันออกจากทางจังหวัดปราจีนบุรี จน กระท่ังถึงต่อเขตแดนเขมร การส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมกันประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ โดยทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471 ขึ้นทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้าง โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งนับเป็นโรงภาพยนตร์ทันสมัยในสมัยนั้น ติดเคร่ืองปรับอากาศ เพื่อเป็นสถาน บันเทิงให้แก่ผู้คนในกรุงเทพมหานคร สาหรับในเขตหัวเมือง ทรงได้จัดต้ัง สภาจัดบารุงสถานท่ีชายทะเลทิศ ตะวันตกขึ้น เพ่ือทานุบารุงหัวหินและใกล้เคียงให้เป็นสถานท่ีตากอากาศชายทะเลแก่ประชาชนท่ีมาพักผ่อน ในปี พ.ศ. 2475 เป็นระยะเวลาที่กรุงเทพฯ มีอายุครบ 150 ปี ทรงจัดงานเฉลิมฉลองโดยทานุบารุง

24 บูรณปฏิสังขรณ์ส่ิงสาคัญอันเป็นหลักของกรุงเทพฯ หลายประการ คือ บูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง สรา้ งสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯและธนบรุ ี เปน็ การขยายเขต เมืองให้ กวา้ งขวาง และสรา้ งพระบรมราชานุสาวรียพ์ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล(รชั กาลที่ 8) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า อานันทมหิดล ทรงพระราชสมภพ เม่ือวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ตรงกับวันข้ึน 3 ค่า เดือน 11 ปี ฉลู ณ เมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมันนี ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ท่ี 2 ของสมเด็จพระราชบิดาเจ้าฟ้า มหดิ ลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ และสมเด็จพระราชชนนีศรสี ังวาลย์ ทรงมพี ระพี่นางและพระอนชุ า รว่ มสมเดจ็ พระราชบดิ าและสมเดจ็ พระราชชนนีเดยี วกันคือ 1. สมเดจ็ พระเจ้าพีน่ างเธอ เจ้าฟ้ากลั ยาณวิ ฒั นา 2. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟา้ ภมู พิ ลอดลุ ยเดช พ.ศ. 2472 สมเด็จพระราชบดิ า เจ้าฟ้ามหิดลอดลุ ยเดชกรมหลวงสงขลานครินทรเ์ สดจ็ ทิวงคต พ.ศ. 2474 พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ไปทรงศึกษาทโ่ี รงเรียนมาแตรเ์ ดอี ถนนเพลินจติ พ.ศ. 2476 เสด็จพระราชดาเนินไปทวปี ยุโรป ประทบั ณ เมืองโลซานน์ประเทศสวสิ เซอรแ์ ลนด์ พ.ศ. 2477 ทรงเสด็จข้ึนครองราชย์ เมื่อวันท่ี 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 เนื่องจากพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดาที่จะสืบราชสันตติวงศ์ และด้วยความเห็นชอบของ ผู้สาเรจ็ ราชการแผ่นดินท่ีได้ดาเนนิ การไปตามกฎมณเฑียรบาล พ.ศ. 2481 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จพระราชดาเนินกลับเยี่ยมประเทศไทย พร้อมด้วยสมเด็จพระชนนี สมเด็จพระพี่นางเธอและสมเด็จพระเจ้าน้องเธอ ได้ทรงประประทับอยู่ที่ พระตาหนักจิตรลดารโหฐานประมาณ 2 เดือน จงึ เสดจ็ ไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อเขา้ ศึกษาวิชานติ ิศาสตร์ และการปกครองในมหาวิทยาลัยประเทศน้ัน พ.ศ. 2488 วันท่ี 20 กันยายน พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะ จึงเสด็จกลับมาถึงประเทศไทย อีกครั้งห น่ึ ง และใน วัน ที่ 5 ธัน วาคม พ .ศ. 2488 ได้ท รงป ระทั บ อยู่ ณ พ ระที่ น่ังบ รมพิ มาน ใน

25 พระบรมมหาราชวังผู้สาเร็จราชการแทนคนล่าสุดคือ นายปรีดี พนมยงค์ ได้ถวายพระราชภารกิจแด่พระองค์ เพ่ือไดท้ รงบริหารเต็มทีต่ ามพระราชอานาจ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวภูมพิ ลอดลุ ยเดช(รัชกาลที่ 9) พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงสมภพเม่ือวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ เมือง เคมบริจดจ์มลรัฐเมสสาชูเสท ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงเป็นพระราชโอรสาธิราช องค์ที่ 3 ในสมเด็จพระราช ชนนีศรีสังวาลย์ ( สมเด็จพระศรีนครินทรทรา บรมราชชนนี ) พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์เล็ก ทรงมี พระเชษฐาธิราชว่า \" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล \" พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชกาลท่ี 8 และ มพี ระพ่ีนาง พระนามวา่ \" สมเดจ็ พระพ่นี างเธอเจ้าฟา้ กลั ยาณวิ ัฒนา \" พระองค์ได้เสด็จกลับ เถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากพ ระบรมเชษฐาเม่ือวันท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ขณะมีพระชันษา 19 ปี ก่อนครองราชย์ได้ทรงศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์และได้เสด็จกลับไปศึกษา วิชานติ ิศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ต่ออกี ภายหลังทไี่ ดค้ รองราชย์แลว้ ทรงสนพระทัยในอักษรศาสตร์ และการดนตรีทรงรอบรู้ภาษาต่างประเทศหลายภาษาและตรัสได้อย่าง คล่องแคล่ว จนเป็นท่ีประจักษ์แก่คณะทูตานุทูตและประชาชนชาวเมืองนั้นๆ เป็นอย่างดี ต่างพากันชมว่า พระองค์ทรงมีความรู้ทันสมัยท่ีสุดพระองค์หน่ึง สาหรับดนตรีน้ันทรงประพันธ์เนื้อร้องและทานองเพลงแด่ คณะ วงดนตรีต่างๆ มีเพลงพระราชนิพนธ์ที่คนไทยรู้จักเช่น เพลงสายฝน เพลงประจามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ เพลงประจามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พระองคเ์ คยเข้าร่วมวงดนตรีกับชาวต่างประเทศมาแลว้ โดยไม่ถอื พระองค์ พระราชกรณียกิจของในหลวงรชั กาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์นานที่สุดในโลก จนเสด็จ สวรรคต 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สิ่งที่สาคัญที่เหล่าชนไทยทุกชนชั้นเคารพรักพระองค์นั้นคือความเมตตา ธรรมและพระราชกรณียกิจมากมายที่พระองค์ทามาตลอดพระชนม์ชีพ ซึ่งมีโครงการตามพระราชดาริ มากมายถึง 2,000 โครงการเลยทีเดียว ยกตัวอย่างพระราชกรณียกิจในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่สาคัญได้แก่

26 โครงการแกล้งดิน เป็นโครงการที่จัดทาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวของเหล่าเกษตรกร ผ่าน กระบวนการขังน้าให้ท่วมพื้นที่ รอจนเกิดกระบวนการทางเคมีให้ดินเปรี้ยวจัด แล้วระบายน้าออกพร้อม ปรับสภาพดินใหม่ด้วยปูนขาว จนดินกลับสู่สภาพปกติและสามารถนามาใช้เพาะปลูกได้ โครงการปลูกหญ้าแฝก พระองค์ได้มีแนวคิดการใช้หญ้าแฝกป้องกันการพังทลายของดิน โดย หญ้าแฝกเป็นพืชที่มีรากยาวหลายเซ็นติเมตร เมื่อปลูกลงไปในดินรากของหญ้าก็จะไปเกาะให้เนื้อดินเป็น ก้อนยึดกัน พระองค์ได้ทรงทดลองปลูกหญ้าแฝกแล้วสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนปัจจุบันได้ มีหลาบหน่วยงานได้นาแนวคิดของพระองค์ไปใช้พัฒนาต่ออีกมากมาย โครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน พระองค์ได้พระราชทานหน่วยแพทย์หลวงให้กับประชาชนผู้ ยากไร้เมื่อปี พ.ศ. 2510 โดยจะมีทั้งเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล อุปกรณ์ทางการแพทย์ บริการให้ราษฏร โดยไม่คิดมูลค่า รวมถึงมีการจัดอบรมแพทย์ตามหมู่บ้านช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพประชาชนในอีกทางหนึ่ง

27 โครงการสารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน โครงการดังกล่าวได้จัดทาเป็นหนังสือสารนุกรมรวมเล่ม และสารานุกรมออนไลน์ โดยมีการรวบรวมเนื้อหาจากศาสตร์หลากหลายสาขาวิชาให้เหล่าเยาวชนได้มี โอกาสอ่านพัฒนาความรู้ โครงการเศรษฐกิจพอเพียง หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เหล่าชาวไทยคุ้นหู เป็นอย่างดี ซึ่งหัวใจหลักของโครงการนี้มุ่งเน้นถึงความพอเพียงสาหรับประสพนิกรผู้ประกอบอาชีพ เกษตรกรเป็นหลัก เริ่มจากการแบ่งพื้นที่เกษตรออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ขุดเป็นสระน้า 30%, ปลูก ข้าวในฤดูฝน 30%, ปลูกผักผลไม้ ไม้ยืนต้น 30% และเป็นที่อยู่อาศัยอีก 10% อีกทั้งยังมุ่งเน้นให้เหล่า เกษตรกรรวมตัวกันเป็นสหกรณ์ ตลอดจนติดต่อประสานงาน จัดหาแหล่งเงินทุน มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตท่ี ดีสืบไป นอกจากนี้หลักความพอเพียงยังสามารถนามาปรับใช้ได้กับทุกสาขาอาชีพได้อย่างง่ายเพียงแค่รู้จัก คาว่าพอและควบคุมการใช้จ่ายให้มีความเหมาะสมกับการดารงชีวิต

28 บทพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราช นิพนธ์เรื่องพระมหาชนก โดยมีใจความสาคัญที่ความวิริยะหมั่นเพียรเป็นหลัก เป็นคาสอนให้ประชาชนได้ นาไปยึดถือปฏิบัติ ซึ่งบทพระราชนิพนธ์ดังกล่าวได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้จัดตีพิมพ์เป็นฉบับการ์ตูนในปี กาญจนาภิเษก ครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี อีกด้วย โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา พระราชวังสวน จิตรลดามิใช่เพียงเป็นที่ประทับของพระองค์เท่านั้น แต่ พระองค์ยังได้สละพระราชทรัพย์สร้างโครงการขึ้นมากมายใน กาแพงพระราชวัง ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาเชิงเกษตร โครงการโคนมจิตรลดา โรงผลิตนมอัดเม็ดจิตรลดา น้าผึ้งสวน จิตรลดา เป็นต้น โครงการฝนหลวง เนื่องจากช่วงฤดูแล้งของบาง ภูมิภาคเกิดภาวะขาดแคลนฝน ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถ ปลูกผลผลิตทางการเกษตรเพื่อยังชีพได้ พระองค์จึงได้มี พระราชดาริจัดทาฝนหลวงขึ้น ซึ่งเป็นการใช้เครื่องบินนา สารเคมีไปโปรยในท้องฝ้าให้กลุ่มเมฆมารวมตัวกันจนเกิดการ กล่ันตัวเป็นน้าฝน

29 กังหันนา้ ชัยพัฒนา ท่ีเป็นเคร่ืองมือบาบัดน้าเสียด้วยการเติมออกซิเจนในอากาศลงไปในนา้ สามารถแก้ไขความเสื่อมโทรมของสภาพน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนได้รับการจดสิทธิบัตรในพระ ปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และครั้งแรกของโลก โครงการแก้มลิง เป็นอีกหนึ่งโครงการบริหารจัดการน้าตามแนวพระราชดาริของในหลวงรัชกาล ที่ 9 โดยใช้หลักการพื้นที่หน่วงน้าสาหรับแก้ไขปัญหาน้าท่วม โดยในปัจจุบันนี้ได้มีโครงการแก้มลิงขนาด ใหญ่ในแถบฝั่งตะวันออกของกรุงเทพ และแก้มลิงขนาดเล็กกระจายรอบกรุงเทพกว่า 20 จุด ที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงโครงการเสี้ยวหนึ่งของในหลวงรัชกาลที่ 9 เท่านั้น หากนับพระราช กรณียกิจของพระองค์รวมกันแล้ว ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อปวงชนชาวไทย มากมายเพียงใด แม้ว่าในขณะนี้พระองค์ท่านจะเสด็จสู่สวรรคาลัยไปแล้ว แต่เหล่าชาวไทยทุกคนจะราลึก ถึงในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์สืบต่อไป

30 พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี ินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชริ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั (รชั กาลที่ 10) พระนามเต็ม รัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระนามเดิม ของพระองค์ เดิมว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธารง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ท่ี ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เมอื่ เวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาที ณ พระทน่ี ่งั อมั พรสถาน พระราชวังดุสติ การศกึ ษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการศึกษาระดับ อนุบาลศึกษาท่ีพระท่ีน่ังอุดร พระราชวังดุสิต และทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับ มัธยมศึกษา โรงเรียนจิตรลดา ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๙๙ –๒๕๐๕ ที่ประเทศอังกฤษระหว่างพุทธศักราช ๒๕๐๙ – ๒๕๑๓ หลังจากนั้นได้ทรงศึกษาระดับเตรียมทหารท่ีโรงเรียนคิงส์ นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย แล้วเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (การศึกษาด้านทหาร) คณะ การศกึ ษาดา้ นทหาร จากมหาวทิ ยาลัยนิวเซาท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลยี เม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๙ ในหลวงราชการที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกจิ แทนพระองค์มาโดยตลอด เพ่ือแบ่งเบาพระราชกรณียกิจพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิ พลอดุลยเดช ทั้งในการพระราชพิธีสาคัญ เพ่ือเป็นขวัญกาลังใจแก่เกษตรกรไทย และพระราชพิธีทางศาสนา ต่างๆ นอกจากน้ีได้โดยเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดาเนินไปแปรพระราชฐาน ประทับแรมตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย โดยทรงติดตามความก้าวหน้าด้านการชลประทาน การสร้าง เขือ่ นตา่ งๆ และพระราชทานแนวพระราชดารใิ ห้กรมชลประทานแก้ปญั หาตามท่ชี าวบ้านกราบทลู ส่งใหร้ าษฎรมี น้าใชใ้ นการเกษตรอย่างอดุ มสมบูรณแ์ ละชว่ ยบรรเทาปัญหาอุทกภยั ในฤดูฝน

31 ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข ทรงตระหนักถึงสุขภาพพลานามัยอันดีของประชาชนเป็นปัจจัยสาคัญของการสร้างสรรค์ทรัพยากร บุคคล จึงทรงสนพระราชหฤทัยในการประกอบพระราชกณียกิจ เช่น เมื่อรัฐบาลได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชข้ึน 21 แห่งทั่วประเทศ เพ่ือให้การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยใน ถ่ิน ทรุ กันดาร โดยทพ่ี ระองค์ทรงเปน็ องค์นายกกติ ติมศกั ดข์ิ องมลู นธิ โิ รงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ด้านการศกึ ษา ทรงรับโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร 6 โรงเรียน ไว้ในพระราชูปถัมภ์ และพระราชทานวัสดุอุปกรณ์ การศึกษาอันทันสมัยต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่นักเรียน รวมท้ังยังเสด็จพระราชดาเนินไปทรงเย่ียมโรงเรียน ทรงติดตามผลการศึกษา และโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้า หลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระราชธิดาท้ังสองพระองค์ ทรงร่วมกิจกรรมของโรงเรียนต่าง ๆ เสมอ ขณะที่ในการศึกษาระดับอุดมศึกษา พระองค์ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดาเนินแทนพระองค์ ไป พระราชทานปรญิ ญาบัตรแก่บัณฑิตของมหาวทิ ยาลยั ต่างๆ อยา่ งต่อเนอื่ งมาโดยตลอด ด้านสังคมสงเคราะห์ ทรงมีความห่วงใยต่อประชาชนผู้ด้อยโอกาส โดยได้เสด็จพระราชดาเนินไปทรงเย่ียมชุมชนแออัด ใน กรงุ เทพฯ หลายแห่ง และทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องอุปโภคบรโิ ภค เครื่องกีฬา เคร่ืองดบั เพลิง โปรดเกล้า ฯ ใหก้ รมทหารในบังคับบัญชาของพระองค์ ร่วมกับประชาชนพัฒนาสงิ่ แวดล้อม ท้ังยงั พระราชทาน พระราช ทรัพยส์ นับสนนุ โครงการของชุมชน เช่น โครงการพัฒนาเด็กเล็กท่ีขาดแคลน และโครงการปราบปรามยาเสพติด ในหมเู่ ยาวชนชมุ ชนแออดั คลองเตย เปน็ ต้น ดา้ นการต่างประเทศ ทรงประกอบพระราชกรณียกจิ ในการเจรญิ สัมพันธไมตรีกบั ประเทศต่างๆ โดยเสด็จพระราชดาเนินแทน พระองค์ไปทรงเยือนมิตรประเทศท่ัวทุกทวีปอย่างเป็นทางการเป็นประจาทุกปี ปีละหลายครั้ง ซ่ึงในการเสด็จ พระราชดาเนินไปทุกคร้ัง ทรงเตรียมพระองค์ด้วยการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับประเทศท่ีจะทรงเสด็จฯ ไปทรง เยือน และระหว่างประทับอยู่ในประเทศนั้น ๆ ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการทอดพระเนตรและทรงศึกษา กจิ กรรมต่าง ๆ ทสี่ ามารถนามาเป็นประโยชน์ต่อการพฒั นาบ้านเมอื งไทยดว้ ย ดา้ นการเกษตรกรรม ทรงบาเพ็ญพระราชกรณียกิจเพ่ือสง่ เสริมกิจการด้านเกษตรกรรม เชน่ เสด็จฯ แทนพระองค์ในการพระ ราชพิธีพชื มงคล ด้านการพระศาสนา ทรงเสด็จฯ แทนพระองค์ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางศาสนาเป็นประจาสม่าเสมอ เช่น ทรงเปล่ียน เครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล รวมถึงการเสด็จพระราช ดาเนนิ ไปในการพระราชทานถว้ ยรางวลั การทดสอบการอัญเชิญพระมหาคมั ภรี ์อัลกุรอ่านระดับประเทศ ดา้ นการกฬี า ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ทั้งในผแู้ ทนพระองค์และในส่วนของพระองค์เอง เช่น พระราชทานไฟพระ ฤกษ์กฬี าเยาวชนแห่งชาติ พระราชทานพระราชวโรกาสใหน้ ักกีฬาไทยเข้าเฝ้าทลู ละอองพระบาทรบั พระราชทาน รางวัลนกั กฬี ายอดเย่ยี ม

32 ด้านการทหาร ทรงสนพระราชหฤทัยในวิทยาการด้านการทหารมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ นอกจากทรงรับการศึกษา ด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียแล้ว ยังทรงพระวิริยะอุตสาหะเพ่ิมพูนความรู้และประสบการณ์อยู่ ตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านวิทยาการการบิน ทรงรับราชการทหารมาโดยตลอดต้ังแต่วันท่ี 9 ม.ค.2518 และ ทรงดารงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ คือ พล.อ. พล.ร.อ. พล.อ.อ. โดยทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการ ต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมท้ังการคุ้มกันพื้นท่ีในบริเวณรอบค่ายผู้ อพยพชาวกัมพชู า ที่เขาลา้ น จ.ตราด อกี ทง้ั ยงั เสดจ็ พระราชดาเนินไปในพธิ กี ารดา้ นทหาร อาทิ งานวันราชวลั ลภ ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอทา่ ยาง ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอท่ายาง จังหวดั เพชรบรุ ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook