“ผทู้ เี่ ปน็ ทร่ี ักของพระเจ้ามากที่สดุ คอื ผ้ทู ่ีสรา้ งประโยชน์มากท่สี ุดแกม่ นษุ ยชาต”ิ
ละหมาดครัง้ สดุ ท้าย ISBN 978-616-485-517-5 ครง้ั ท่ีพิมพ พมิ พค รง้ั ที่ 1 / มีนำคม 2562 จํานวนพิมพ 1,000 เลม ผูเขียน ดร.คอลิด อบูชำดยี แปลและเรยี บเรยี งโดย ดร.สรำวธุ สำยทอง ดร.อสุ มำน ยนู ุ อ.อรศิ หัสมำ ผูจดั พิมพ ดร.สรำวธุ สำยทอง กองบรรณาธิการ มูลนธิ ิประชำชำติเพอ่ื กำรศึกษำและพฒั นำ พิสจู นอกั ษร อุมมอุ มั ร ศิลปกรรม ภำณพุ นั ธ โนวยทุ ธ www.coverbookdesign.net
การดะวะฮฺหรือการเผยแผ่ศาสนาในอิสลามถือเป็น หน้าท่ีของมุสลิมทุกคน ท้ังน้ีตามฐานานุรูปของแต่ละคน มิใช่เพราะกระหายอยากได้สาวกเพ่ิมข้ึน หากแต่เพราะ ถือว่าอิสลามคือส่ิงสูงค่าท่ีมุสลิมมิอาจเก็บไว้กับตัวเพียง ล�าพังได้ แต่จะต้องน�าเสนอส่ิงนั้นต่อเพ่ือนร่วมโลกให้เขา ได้รับด้วย เมื่อน�าเสนอแล้วเพ่ือนเห็นด้วย เราก็ยินดีที่มี ผู้ได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้น และแม้นเพื่อนไม่ยินดีจะรับ ก็ถือเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของเพ่ือน ท่ีจะใช้เสรีภาพท่ี พระเจ้าทรงประทานให้เลือกทางเดินของตนเอง โดยไม่มี ใครบังคบั การดะวะฮฺจึงเป็นการท�าหน้าที่ในฐานะเมตตาธรรม เพ่ือนร่วมโลก ซึ่งนอกจากจะได้มอบส่ิงมีค่าท่ีสุดในชีวิต แก่เพ่ือนมนุษย์แล้ว ยังช่วยให้เกิดความเข้มแข็งภายใน อย่างยิ่งยวดด้วย เน่ืองจากดาอีย์หรือผู้ท�าหน้าที่ดะวะฮฺท่ี
แท้จริงต้องประกอบด้วยคุณสมบัติจ�าเป็น 2 ประการ คอื 1.ความรู้ความสามารถ 2. มารยาททดี่ งี าม ทงั้ 2 ประการน้ ี เมอ่ื อยทู่ ี่ใครหรือประชาชาติใด ก็จะ ทา� ใหป้ ระชาชาตนิ น้ั เจรญิ รงุ่ เรอื งเสมอ และหากอยใู่ นดาอยี ์ คนใด งานดะวะฮฺของดาอีย์คนน้ันก็จะด�าเนินไปอย่างมี ประสิทธภิ าพ เป็นประสิทธิภาพท่ีจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่ ดัง ปรากฏในค�าของศาสนทูตแหง่ อลั ลอฮ ฺ ว่า “ขอสาบานตออัลลอฮฺ การที่อัลลอฮฺทรงประทาน ทางนําแกคน ๆ หน่ึง ดวยเหตุจากการทํางานของทาน ยอมเปนการดีสําหรับทานย่ิงกวาไดรับทรัพย์สินท่ีมี มลู คาสงู สุดเสียอีก” (ดร.วสิ ทุ ธ์ บลิ ลาเตะ) ผอู ํานวยการศูนยประสานงานสาํ นกั จุฬาราชมนตรี ประจําภาคใต
ค�ำนยิ ม การท่ีสมาคมนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิม (ส.น.ท.) ร่วม กับ มูลนิธิประชาชาติเพื่อการศึกษาและพัฒนา (UFED) และองค์กรเครือข่าย ไดจ้ ัดโครงการเสรมิ สร้างภาพลกั ษณ์ ความรู้ ความเข้าใจต่ออิสลามที่ถูกต้อง ในงานสัปดาห์ หนังสือแห่งชาติ ครั้งท่ี 47 และงานสัปดาห์หนังสือ นานาชาติ คร้งั ท่ี 17 ระหว่างวนั ท่ี 28 มนี าคม - 7 เมษายน 2562 ณ ศนู ยก์ ารประชมุ แหง่ ชาติสิริกิต์ิ กรุงเทพฯ นัน้ ถอื เปน็ นวตั กรรมทางความคดิ ทม่ี คี ณุ คา่ ยง่ิ เพราะนอกจากจะ เปน็ การเปิดโอกาสให้ “นักอา่ น” ทกุ ระดบั ทกุ วัย สามารถ สรรหาหนังสือเพ่ือการประเทืองความคิด สตปิ ัญญา และ ยกระดบั จติ วิญญาณแลว้ ยังมีส่วนในการสรา้ ง “นักอา่ น” รนุ่ ใหม่ให้เกดิ ขน้ึ ในสังคมไทยและสังคมโลกอีกด้วย อสิ ลาม นอกจากเปน็ ศาสนาและระบบแหง่ การดำ� เนนิ ชีวติ ของมนษุ ยชาติที่มศี รัทธาแล้วอสิ ลามยังเปน็ ศาสตร์
สาระท่ีสังคมมนุษย์ควรศึกษาและแสวงหาหลักธรรม คำ� สอน ขอ้ เทจ็ จรงิ อย่างย่งิ เพราะจดุ ออ่ นของการสือ่ สาร ระหว่างมนุษยชาติส่วนใหญ่ อนุมานได้ว่า ยังมีความรู้ ความเขา้ ใจในอิสลามที่ไม่ถกู ต้อง ทัง้ หลักความเช่ือและวิถี ปฏิบัติของอิสลามและมุสลิม ท�ำให้สังคมมนุษย์ส่วนนั้น มคี วามเขา้ ใจในเชงิ ลบเกยี่ วกบั อสิ ลามเนอื่ งจากไดร้ บั ขอ้ มลู จากผูน้ �ำเสนอทไ่ี มร่ ู้สาระข้อมูลจริง หรอื มี “อคต”ิ เพราะ ไดร้ ับขอ้ มลู ทม่ี ิไดร้ ับการกลัน่ กรอง และส่ังสมมายาวนาน การจัดงานสัปดาหห์ นงั สือแหง่ ชาตคิ รั้งที่ 47 และงาน สปั ดาหห์ นงั สอื นานชาติ ครง้ั ที่ 17 ระหวา่ งวนั ท่ี 28 มนี าคม -7 เมษายน 2562 ณ วาระน้ี จึงถอื เปน็ “มติ ิ” ทเ่ี ปี่ยมล้น ด้วยคุณค่าและมีความประเสริฐยิ่ง อย่างน้อยท่ีสุด ก็ เปน็ การจดุ ความคิดให้ “นกั อา่ นหนงั สอื ” ทัง้ หลายมี “โลก ทัศน์” ทแ่ี ฝงเรน้ ด้วยความเขา้ ใจเกีย่ วกับ “อสิ ลาม” และ “มุสลิม” ที่ถูกต้อง ในกรอบของการอ่านหนังสือและการ ฟังสารัตถะต่าง ๆ อันทรงคุณค่าและประโยชน์ในงาน ครงั้ น้ี
คณะกรรมการอิสลามประจ�ากรุงเทพมหานคร ขอ แสดงความยินดีและมีความซาบซึ้งใจกับสมาคมนิสิต นักศึกษาไทยมุสลิม (ส.น.ท.) มูลนิธิประชาชาติเพื่อการ ศึกษาและพัฒนา (UFED) และองค์กรเครือข่าย ที่ได้ร่วม กนั จดั กจิ กรรมทท่ี รงคณุ คา่ และมคี วามประเสรฐิ ยง่ิ ณ วาระ นี้ ขอพระผูเปนเจา ไดโปรดประทานคุณงามความดี แดผ เู ก่ยี วขอ งทกุ ทา น ทุกฝาย มา ณ โอกาสนดี้ ว ย (ผูชว ยศาสตราจารย์ ดร. วิศรตุ เลาะวถิ )ี รองประธานกรรมการ รักษาการแทน ประธานกรรมการอิสลามประจํากรุงเทพมหานคร
ค�ำนยิ ม โครงการเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความรู้ ความเข้าใจ อิสลามทถ่ี กู ตอ้ ง ซง่ึ จดั โดยสมาคมนสิ ิตนกั ศึกษาไทยมสุ ลมิ (ส.น.ท) รว่ มกบั มลู นธิ ปิ ระชาชาตเิ พอื่ การศกึ ษาและพฒั นา (UFED) กำ� หนดจดั ขึ้นในงานสัปดาห์หนงั สือแหง่ ชาติ คร้งั ท่ี 47 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งท่ี 17 ใน ระหว่างวันท่ี 21/7/1440-2/8/1440 ตรงกับวันท่ี 28/3/2019-7/4/2019 ณ ศนู ยก์ ารประชุมแหง่ ชาตสิ ริ กิ ติ ์ิ กรุงเทพมหานคร ในคร้ังน้ีนั้น นับเป็นการริเริ่มโครงการ ทด่ี ี เปย่ี มดว้ ยความคดิ สรา้ งสรรค์ สอดคลอ้ งกบั วทิ ยปญั ญา และความสวยงามของภาพลกั ษณใ์ นอิสลาม การอ่านคือประตูท่ีดีท่ีสุดในการเรียนรู้และท�ำความ เขา้ ใจอสิ ลามซึ่งเป็นสจั ธรรมดังท่อี ัลลอฮฺ (ซบุ ฮานะฮวู ะตะ อาลา) ไดท้ รงประทานโองการแรกแกม่ วลมนษุ ยโ์ ดยไดท้ รง บญั ชาใหศ้ าสนทตู มฮู มั มดั (ขอความสนั ตจิ งมแี ดท่ า่ น) และ ประชาชาตขิ องท่านท�ำการอ่านและไดท้ รงยำ�้ ถงึ 5 ครั้งให้
ทา่ นและประชาชาตขิ องทา่ นทำ� การอา่ น พระองคไ์ มไ่ ดเ้ รม่ิ ดว้ ยการมบี ญั ชาใหท้ ำ� อยา่ งอน่ื ในชว่ งแรกทอ่ี สิ ลามไดม้ ายงั โลกในยุคสุดทา้ ยน้ี แต่ได้ทรงบญั ชาใหม้ นษุ ย์อา่ นทำ� ความ เข้าใจก่อน เพราะการอ่านนั้นเป็นเครื่องมือส�ำคัญในการ เรียนรู้ และทำ� ความเข้าใจส่ิงต่าง ๆ รวมถึงการมีความเช่อื และศรัทธาต่อสจั ธรรมทแ่ี ทจ้ ริง ดังนั้น จงเร่ิมการเรียนรู้ทุกสิ่งด้วยการอ่านเท่าท่ี สามารถ และอัลกุรอานคือสารจากอัลลอฮฺ ผู้ทรงสร้าง ทุกส่ิง โลก จักรวาล รวมถึงทรงสร้างมนุษย์ด้วย ในน้ันมี ค�ำแนะนำ� ตา่ ง ๆ ทีเ่ พยี งพอสำ� หรับมนษุ ย์ในการดำ� รงชีวิต ระยะหน่ึงบนโลกช่ัวคราวนี้และมีค�ำแนะน�ำส�ำหรับการ เตรียมพร้อมสำ� หรบั ชีวิตภายหลงั ลาจากโลกนไี้ ปแลว้ ในการอา่ นอลั กรุ อานเราจะพบวา่ อลั ลอฮไฺ ดท้ รงชแี้ นะ ใหส้ ังเกต พจิ ารณาส่งิ ตา่ ง ๆ ทพ่ี ระองค์ไดท้ รงสร้างรอบตัว เรา รวมถึงในตัวของมนษุ ยเ์ อง ซึ่งปจั จบุ นั สง่ิ ดังกลา่ วกลาย เปน็ ศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ มากมายทง้ั ศาสตรด์ า้ นวทิ ยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และวิทยาการอื่น ๆ ดังนั้น เราควรอ่าน อลั กุรอานควบคู่ไปกับการอ่านหนังสอื อื่น ๆ ดว้ ย
มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า อัลกุรอานน้ันเฉพาะ ส�ำหรับมุสลิมเท่าน้ัน ทั้ง ๆ ท่ีในอัลกุรอานอัลลอฮฺได้ทรง ตรัสและกล่าวถึงอัลกุรอานคือสัจธรรมและเมตตาธรรม แก่มนุษย์ทั้งมวล ไม่เฉพาะแต่มุสลิมเท่าน้ัน ปัจจุบัน อัลกุรอานได้ถูกแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบของ กระดาษและรูปแบบไฟล์อิเลคทรอนิกส์ ที่ทุกคนสามารถ เข้าถึงได้ มุสลิมทุกคนควรให้ความส�ำคัญและปฏิบัติตนเป็น แบบอยา่ งทดี่ ใี นการเปน็ นกั อา่ นทยี่ อดเยย่ี ม และนำ� ความรู้ ทไ่ี ดจ้ ากการอา่ นนำ� ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ ดงั ทศี่ าสนทตู มฮู มั มดั (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ตลอดจนบรรดาศอฮาบะฮฺ (สหาย) ของท่านได้เป็นแบบอย่างที่ดีไม่เฉพาะในระหว่าง มสุ ลมิ ดว้ ยกนั เองเทา่ น้ัน หากแตเ่ ป็นแบบอย่างท่ีดีตอ่ มวล มนุษยชาติท้ังมวลตลอดไปด้วย ในฐานะของผู้ที่ก�ำลัง เดนิ อยบู่ นเสน้ ทางทเี่ ทย่ี งตรงและสงู สง่ มงุ่ หนา้ สสู่ วนสวรรค์ ของอลั ลอฮฺ (ซบุ ฮานะฮวู ะตะอาลา) รองศาสตราจารย์ ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกยี า อธิการบดมี หาวทิ ยาลัยฟาฏอนี
คำ� น�ำงำนแปล اﳊﻤﺪ ﻟﻠﻪ رب اﻟﻌﺎﳌﲔ واﻟﺼﻼة واﻟﺴﻼم ﻋﻠﻰ رﺳﻮل ﷲ وﻋﻠﻰ آﻟﻪ وﺻﺤﺒﻪ أﲨﻌﲔ أﻣﺎ ﺑﻌﺪ: การสรรเสรญิ เปน็ กรรมสทิ ธอิ์ ลั ลอฮท์ พี่ ระองคไ์ ดท้ รง อนมุ ัติให้งานแปลชิน้ น้แี ลว้ เสร็จ แปลจากบทประพนั ธ ์ ดร.คอลิด อบชู าดีย ์ ในชอื่ เลม่ “ศอ็ ลลิ เศาะลาตลั มวุ ดั ดิอฺ” หวังเป็นอย่างย่ิงว่า งานแปลชิ้นนี้คงเป็นส่วนหน่ึง ที่ท�าให้เราเข้าใจการละหมาดมากข้นึ แล้วเราคงได้ดื่มด�่าในความหมายขณะท�าการ ละหมาดหรือได้ความรู้สกึ ดี ๆ ใหม ่ ๆ จนเรารักที่จะละหมาด… เพื่อหวังซ่ึงอรรถรสที่ ซ่อนอยู่
หยุด..แลวคิดสกั นดิ โอ้ผเู้ ผลอไผลในละหมาด รา่ งของคุณอยทู่ ี่นี ่ แตห่ ัวใจคุณโบยบินไปท่วั ทุกสารทศิ ภาพลกั ษณ์ท่ีไร้ซง่ึ วิญญาณ เรือนร่างทีข่ าดชีวิตชีวา ถ้อยค�าอาหรับ แตไ่ มเ่ ขา้ ใจความหมาย อปุ มาของคุณเปรียบด่ังผูห้ นง่ึ ท่ปี รารถนา เพชรนลิ จนิ ดาอันลา�้ ค่าจากกษตั ริย ์ หวังความใกลช้ ดิ แต่กลับปฏบิ ัตติ ่อพระองค์อย่างเย็นชา ด้วยการซือ้ เมด็ ดนิ หนงึ่ ก�ามือ ใส่ลงตระกร้า อินทผลมั เกรดตา่� แล้วถวายใหก้ ษตั ริย์ ครั้นพระองค์ทรงทอดพระเนตร จงึ พโิ รธโกรธกรว้ิ แล้วขับไล่ชายผูน้ ั้นแทนการใกลช้ ดิ
................ สำรบัญ ................ กอ่ นจะเข้าสูป่ ระตู 14 ประตูบานแรก ผลกาํ ไรท่ีได้จากการละหมาด 17 บันไดสอู่ รรถรสในละหมาด 32 บทสง่ ทา้ ย 50
ละหมาดครงั้ สดุ ท้าย กอนจะเขำ สูประตู ท่านอีมามอิบนุก็อยยิมได้กล่าวถึงกลุ่มผู้ละหมาดไว้ ดังตอ่ ไปนี้ ........................................................................................... ● กลุมแรก คือ ผู้ที่อธรรมต่อตัวเอง บกพร่องใน ละหมาด ละเลยขอบเขตและเวลาของมนั ........................................................................................... ● กลุมสอง คือ ผู้ที่อาบน�้าละหมาดอย่างสมบูรณ ์ รกั ษาเวลา ขอบเขต ของการละหมาด แต่ไม่พยายามต่อสู้ และขดั ขวางการกระซิบของชยั ฏอน จนในท่ีสดุ หวั ใจของ เขาต้องขาดความสงบน่งิ และขาดสมาธิ ........................................................................................... ● กลุมสาม คือ ผู้รักษารูปแบบของการละหมาด อย่างครบถ้วน ทั้งพยายามต่อสู้กับศัตรูที่คอยกระซิบใน หวั ใจจนหมดส้ิน ........................................................................................... ๑๔
ละหมาดครั้งสุดท้าย ● กลุมสี่ คือ ผู้ละหมาด ด้วยการเอาใจใส่ ปฏิบัติ อย่างสมบูรณ์แบบ มิให้บกพร่องแม้แต่น้อยท้ังหัวใจท่ีมุ่ง เรียกหาความสมบูรณ์และมีสมาธิ เพ่ือให้สอดคล้องกับ รปู แบบภายนอกท่กี �าลงั ปฏิบตั อิ ยู่ ........................................................................................... ● กลุมสุดทาย คือ ผู้ซึ่งเม่ือเขาลุกข้ึนละหมาด เขาเอาใจใส่ ปฏิบัติมันอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด พร้อมทั้ง น�าหัวใจของเขาท่ีเปี่ยมล้นไปด้วยความรักในอัลลอฮ์ มุ่ง และวางมนั ระหวา่ งสองพระหตั ถข์ องพระองค ์ เสมอื นกบั วา่ เขาก�าลังมองดู และเห็นพระองค์อยู่ แท้จริงการละหมาด ชนิดน้ี จะท�าให้การกระซบิ กระซาบของชัยฏอนถูกทา� ลาย ไปอย่างส้ินเชิง ส่วนม่านกั้นระหว่างเขากับผู้อภิบาลของ เขา…ก็ถูกเปิดออก ........................................................................................... แน่นอนความแตกต่างระหว่างผู้ละหมาดประเภท สุดท้ายกับผู้ท่ีเผลอเรอนั้น ต่างกันราวฟากับดิน ส่วนการ ละหมาดของเขานัน้ เปน็ ทีช่ นื่ ตาชนื่ ใจ แกต่ ัวเขาเอง ๑๕
ละหมาดครั้งสดุ ท้าย ท่กี ลา่ วมาข้างต้นพอจะสรุปไดเ้ ปน็ ล�าดบั ตอ่ ไปน้ี กลมุ แรก ตองโทษ กลมุ สอง ถกู สอบสวน กลมุ สาม ไดร บั การอภยั โทษ กลมุ ส่ี ไดรับผลบญุ กลุมหา ใกลชิดกับผูอภิบาลของเขา1 1 อลั วาบิล อศั ศยั ยิบ มนิ ัลกะลมิ ฏิ ฏัยยบิ น.21 ๑๖
ละหมาดคร้ังสดุ ทา้ ย ประตูบำนแรก ผลก�ำไรท่ีไดร ับ จำกกำรละหมำด 1) ควำมสุข ผทู้ มี่ คี วามสงบนง่ิ ขณะทเ่ี ขาละหมาดนนั้ เขาจะไดร้ บั ความสุข ความหอมหวาน และอรรถรสในการปฏิบตั ิมัน ดังค�ากล่าวของท่านเราะสูล ()ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ ใจความว่า “ความช่ืนตา ชื่นใจของฉันนั้น ถูกทําใหมีข้ึน ขณะที่ทาํ ละหมาด”2 ความสุขนั้นเปรียบดั่งมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล มีเรือส�าเภาล�าใหญ่ท่ีแบกและบรรทุกความเหนื่อย 2 บันทกึ โดยอะหม์ ัดและ อันนะสาอีย์ ดังปรากฏใน เศาะฮหี ลุ ญามอิ ฺ 3124 ๑๗
ละหมาดคร้ังสุดท้าย ความเจ็บปวดไว้เต็มล�าเรือเพ่ือแล่นไปให้ถึงฝั่ง แล้ว เรือล�าน้ันก็ไม่สามารถแล่นไปยังฝั่งมหาสมุทรอีกด้าน หนึ่งได้ เน่ืองจากความกว้างใหญ่ไพศาลท่ีเปี่ยมล้นด้วย ความสขุ เปน็ เหตใุ หค้ วามทกุ ขท์ เี่ รอื สา� เภาแบกอยเู่ ลอื นลาง และมลายไป คร้ังหน่ึงท่านอุรวะฮ์ อิบนุ ซุบัยร์ ()رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻪ ได้ประสบบาดแผลฉกรรจ์ที่เท้าด้านหนึ่ง บรรดาสหาย ต่างลงความเห็นกันว่า ให้ตัดเท้าข้างท่ีมีบาดแผลน้ันท้ิง เพื่อมิให้โรคลามไปท่ัวร่างกาย ท่านจึงส่ังให้เหล่าสหาย ตัดมันขณะท่ีท่านละหมาด ว่าแล้วท่านก็ลุกข้ึนละหมาด ด้วยความส�ารวม นอบน้อมและมีสมาธิ จากโลกดุนยา ทเ่ี จบ็ ปวดและแสนเม่ือยลา้ สู่ความสขุ ความหอมหวานท่ี ได้รับจากความใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ ( )ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃขณะท�า การละหมาด เหล่าสหายจึงเริม่ ตดั ตาตุม่ ของท่านดว้ ยกับ ใบมดี และตาเลอ่ื ย จากนนั้ นา� นา้� มนั เดอื ดมาทา� ความสะอาด บาดแผลคร่หู นง่ึ โดยระหว่างนั้นท่านกไ็ มร่ ้สู กึ เจ็บปวดเลย ๑๘
ละหมาดครงั้ สดุ ทา้ ย แมแ้ ตน่ อ้ ย มหิ นา� ซา�้ เมอ่ื ทา่ นเสรจ็ จากละหมาด ทา่ นยงั ถาม อีกว่า “พวกทานตดั เทา ของฉนั เสร็จแลว หรือยัง?” 2) กำรพักผอ นของหัวใจ ครัน้ ที่ท่านเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢโดนกลัน่ แกลง้ หรอื มสี งิ่ ทที่ า� ใหท้ า่ นตอ้ งเศรา้ และระทมใจ ทา่ นจะบอกกบั ท่านบลิ าล ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻪวา่ “โอบิลาล จงใหเราพกั ผอ น ดวยกบั การละหมาดเถดิ ”3 แท้จริงความสุข ความหอมหวานที่ได้จากการ ละหมาดนนั้ หาใชไ่ ดม้ าเนอื่ งจากการอา่ นโองการอลั กรุ อาน เพยี งอยา่ งเดยี วไม ่ แตจ่ ะไดม้ ากเ็ นอ่ื งจากการใครค่ รวญและ ติดตามโองการต่างๆ ที่เราก�าลังอา่ นอยตู่ า่ งหาก หากเราปฏิบัติดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว จากเดิมที่เรา 3 บันทึกโดยอะห์มัดและอบูดาวูด จากบุรุษเคาะซาอะฮฺ ดังปรากฏใน เศาะฮีหลุ ญามอิ ฺ 7892 ๑๙
ละหมาดครั้งสดุ ท้าย เศร้าเราจะเร่ิมมีความสุข จากความแคบของดุนยาเราจะ เริ่มเข้าสู่ความไพศาลของโลกอาคีเราะฮ์ จากความวิตก จะเริ่มสงบนิ่ง จากความหวาดกลัวก็จะเริ่มเข้าสู่ความ ปลอดภยั ทีอ่ ลั ลอฮ ์ ( )ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃทรงประทานให้ 3) ผลบุญกับกำรมสี มำธิ จ�านวนผลบุญที่บ่าวจะได้รับจากการละหมาดของ เขาน้ัน ขึ้นอยู่กับความสงบนิ่งและการมีสมาธิขณะที่เขา ละหมาด ดังวจนะของท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢท่ีมี ใจความวา่ “แทจ รงิ แลว เมื่อผูหนงึ่ เสรจ็ จากละหมาด ผลบุญ ของการละหมาดจะถูกบันทึกแกเขา สิบสวน เกาสวน แปดสวน เจ็ดสวน หกสวน หาสวน สี่สวน สามสวน หรอื สองสวนของมัน”4 เหตุนเ้ี อง ท่านอิบนอุ ับบาส ได้ให้ ๒๐
ละหมาดครงั้ สดุ ทา้ ย ความกระจ่างชัดว่า “ทานจะไดรับผลบุญตามสมาธิของ ทา นในละหมาด”5 4) ชำ� ระควำมบำป ดงั วจนะของทา่ นเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢมใี จความ วา่ “มสุ ลมิ คนใดอาบนา้ํ ละหมาดอยา งสมบรู ณ์ จากนนั้ ลุกขึ้นยืนละหมาด และรูสิ่งท่ีเขากลาว ขณะละหมาด จนเขาเสรจ็ ละหมาด เขาจะมีสภาพคลายกบั วนั ท่ีมารดา ของเขาคลอดออกมา”6 4 บันทึกโดยอะห์มัด อบูดาวูดและอิบนุฮิบบาน จากอัมมาร อิบนุยาสิร ดงั ปรากฏใน เศาะฮหี ุลญามิอฺ 1626 5 ตะซบี มะดาริญสิ สาลกิ ีน น.127 อบิ นกุ อ็ ยยมิ อลั เญาซยี ะฮฺ โดย อบั ดุลมนุ อมิ ศอลิห์ ส�านกั พิมพ ์ ดารุตเตาซีอ์ วันนัชรลิ อิสลามยี ะฮฺ 6 บนั ทกึ โดยมุสลิมและอัลหากิม ดังปรากฏใน เศาะฮหี ตุ ตรั ฆบี วตั ตัรฮบี เลขที่ 547 ๒๑
ละหมาดคร้ังสดุ ท้าย ค�าว่า “รูสิ่งที่เขากลาว” หมายถึง การมีสมาธิและ สงบนิ่ง เป็นเหตุให้บาปของเขาที่ท�ามาในอดีตได้รับการ อภยั โทษ พน่ี อ งครบั ละหมาดสามารถซกั ฟอกบญั ชดี า� ของเรา ให้เป็นสขี าวบรสิ ุทธิ ์ ผุดผอ่ ง ช่างล�้าคา่ และเป็นกา� ไรแก่ผู้ มสี มาธจิ ริง ๆ ทา่ นเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢได้ให้วจนะใจความ ว่า “แทจริงเม่ือบาวลุกขึ้นยืนละหมาด ความบาป ทั้งหมดจะถูกนํามาวางบนศีรษะและตนคอของเขา ทุก ครั้งท่ีเขากมรูกูอ์และสุูด บาปอันน้ันตางก็รวงหลน จากตวั เขา”7 ทา่ นอบั ดรุ รออฟู อลั มะนาวยี ์ ไดช้ แี้ จงหะดษี บทน ี้ กบั การมสี มาธวิ า่ “จดุ ประสงคห์ ลกั คอื เมอ่ื เขาปฏบิ ตั ปิ ระการ ใดในละหมาดดว ยความสมบรู ณ์ บาปของเขาไดร ว งหลน 7 บนั ทึกโดย อัฏอ็ บรอนีย์ อบนู ะอมี และอลั บยั ฮะกยี ์ ดงั ประกฏใน เศาะฮีหุลญา มิอ ฺ เลขท ี่ 1671 ๒๒
ละหมาดครงั้ สุดท้าย ในประการน้ัน ๆ จนกระทั่งเขาปฏิบัติละหมาดครบทุก ประการบาปของเขาก็จะรวงหลนจนหมด และเหลาน้ี กใ็ หต รงตามเงอ่ื นไขการละหมาดและการมสี มาธิ เหมอื น ด่ังการถูกอนุมัติใหเปนบาวและการประกอบศาสนกิจ นั่นก็คือการช้ีชัดวาเขายืนในฐานะบาวท่ีตอยตํ่าตอ หนา พระพกั ตร์ของผทู รงเปน กษตั ริย์ทแี่ ทจริง”8 ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ได้ กล่าวว่า “การละหมาดคือ ตราช่ัง ผูใดที่ทําใหตราชั่ง สมบรู ณ์ เขาคอื ผสู จั จะ สว นผใู ดท่พี รองในตราชงั่ แสดง วา เขาโกงตราชง่ั ทงั้ ทเ่ี ขาทราบดวี า อลั ลอฮไฺ ดท รงตรสั วา ((( )) وﻳﻞ ﻟﻠﻤﻄﻔﻔﲔสเู ราะฮ์ อัลมฏุ ็อฟฟฟิ ีน : 1)9, 10 8 ฟัยฎลเกาะดีร (2/368)อับดุรรอูฟ อัลมะนาวีย์ ส�านักพิมพ์ มัศเฏาะฟา มูหมั มัด 9 1 สเู ราะฮฺ อัลมฏุ อ็ ฟฟิฟีน : 10 มกุ าชะฟะตลุ กลุ บู น.80 อบหู ามดิ อลั เฆาะซาลยี ์ สา� นกั พมิ พ์ อตั เตาฟีกยี ะฮฺ ๒๓
ละหมาดครั้งสดุ ท้าย นค่ี อื ขอ้ เตอื นใจจากอลั ลอฮแฺ กผ่ โู้ กงตราชง่ั ซง่ึ ปรากฏ ชัดเจนใน ประการตอ่ ไปนี้ 1) กำรพลำดจำกผลบุญ แท้จริงจุดประสงค์ของการละหมาดนั้น คือการ รวบรวมสมาธิขณะปฏิบัติละหมาด มิฉะน้ันแล้ว มันก็คง เป็นเพียงการเคลื่อนไหวของร่างกายเท่าน้ันโดยปราศจาก ผลบญุ และแท้จริงการท่ีบ่าวจะได้รับผลบุญอันมหาศาลนั้น ก็ด้วยการท่ีเขาตัดความสัมพันธ์ต่อโลกดุนยาและน�า ความรสู้ กึ ของเขามุง่ สู่โลกอาคเี ราะฮต์ า่ งหาก จากทา่ นอะบีฮูรอ็ ยเราะฮ ์ ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻪแท้จรงิ ชาย คนหนึ่งเดินเข้ามาในมัสยิด ซึ่งขณะนั้นท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢน่ังอยู่ ชายคนน้ันไดล้ ะหมาดและเดนิ เขา้ มาหาท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢพรอ้ มใหส้ ลาม ท่านเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢตอบสลามและกลา่ วว่า ๒๔
ละหมาดครงั้ สุดทา้ ย “ทานพึงกลับไปละหมาดใหมเถิด เพราะแทท่ีจริงแลว ทา นยงั ไมไ ดละหมาด” ชายผนู้ ัน้ ก็ลกุ ขน้ึ ละหมาด และเขา้ มาหาทา่ นเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢอกี ครง้ั พรอ้ มกล่าว สลาม ท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢตอบรบั สลาม พร้อม กับกล่าวอีกว่า “ทานจงกลับไปละหมาดใหมเถิด เพราะ ทา นยงั ไมไ ดล ะหมาด” ชายผนู้ นั้ กก็ ลา่ วในครงั้ ทสี่ อง (หรอื ครั้งท่ีสาม) ต่อท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢว่า “โอทา น เราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢไดโ ปรดสอนฉนั ดว ยเถดิ ” ทา่ น เราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢจึงสอนวธิ กี ารละหมาดให้แก่ เขา11 2) ขำดจรรยำมำรยำทที่ดีงำม ครง้ั หนง่ึ ท่านเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢได้เหน็ ชาย คนหน่งึ รีบเร่งในละหมาด ท่านจงึ กลา่ วกับชายผู้น้ันวา่ 11 บนั ทกึ โดย บคุ อรยี ์ มสุ ลมิ อบดู าวดู ตริ มซี ยี แ์ ละนะซาอยี ์ ดงั ปรากฏในเศาะฮี หุตตรั ฆีบวตั ตรั ฮบี เลขท่ ี 536 ๒๕
ละหมาดคร้ังสุดทา้ ย “โอชายหนุม ทานไมยําเกรงตออัลลอฮ์ ()ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃ ดอกหรือ? ท่านไม่เห็นดอกหรือว่า ท่านละหมาดอย่างไร? แทจ้ ริงคนใดคนหนึง่ ในหมพู่ วกท่านเมื่อเขายืนขน้ึ ละหมาด (ก็เปรียบเสมือนกับว่า) เขาก�าลังร้องขออ้อนวอนต่อผู้ อภิบาลของเขาอยู่ ดังนั้นพึงดูเถิดว่า เขาจะร้องขอ ผู้อภบิ าลของเขาอยา่ งไร?12 เมื่อชายผ้หู น่ึงลกุ ขนึ้ ยืนละหมาด ก็เปรียบเสมือนกับ ว่า เขาก�าลังอ้อนวอนและร้องขอต่อผู้อภิบาลของเขาอยู่ หากว่าเขาวอนขอต่อกษัตริย์ใดกษัตริย์หน่ึงในโลกดุนยา นี้ เขาคงมีสมาธิ และใจจดใจจ่อ ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว หรือวอกแวกในอิริยาบถ และการครอบครองของกษัตริย์ ในดุนยาหามีความเท่าเทียมกันไม่กับการมีกรรมสิทธิ์ ของอัลลอฮฺ ดังนั้นควรอย่างย่ิงที่คุณจะต้องผูกพันกับผู้ที่ มีกรรมสิทธิทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ แล้วคุณควรจะรู้ ค่าของสินค้าและรางวัลอันยิ่งใหญ่ บนพื้นฐานน้ีแหละที่ คณุ ควรมีศลิ ปะในการวอนขอต่อพระองค์ 12 บนั ทกึ โดยมสุ ลมิ นะสาอยี แ์ ละอบิ นคุ ซุ ยั มะฮ ฺ จากอบฮี รุ อ็ ยเราะฮ ฺ ดงั ปรากฏ ในเศาะฮหี ตุ ตัรฆบี วัตตรั ฮีบเลขท ี่ 542. ๒๖
ละหมาดครงั้ สดุ ท้าย ทา่ น อลั หะสนั อัลบศั รีย์ไดเ้ ดนิ ผา่ นชายคนหนึง่ ทน่ี ัง่ เล่นก้อนหินและก�าลังขอดุอาว่า “โออัลลอฮฺ ไดโปรดให ขา พเจา สมรสกบั สาวสวรรค”์ อลั ฮะซนั จงึ กลา่ ววา่ “ทา น ชางเปนคูหม้ันที่แยท่ีสุด เลนกอนหินอยูแตอยากสมรส กับสาวสวรรค”์ 13 3) อำชญำกรผโู จรกรรม ด่ังวจนะของท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢใจความ ว่า “แทจริงบุคคลท่ีเลวทรามที่สุดจากมวลมนุษย์ใน การโจรกรรม คอื ผทู โี่ จรกรรมการละหมาดของเขา โดยที่ เขาไมทําการกมรุกูอ์ การกมสุูด และการมีสมาธิให สมบรู ณ”์ 14 13 อิหฺยาอฺ อุลูมิดดีน (1/202) อบูหามิดอัลเฆาะซาลีย์ ส�านักพิมพ์ อิหฺยาอฺ อลุ ูมิดดนี 14 บันทึกโดยอะห์มัดและอัลหากิม จากเกาะตาดะฮฺ อบูยะอฺลาและเฏาะ ยาลิสยี ์ จากอบีสะอดี ดงั ปรากฏในเศาะฮหี ุตตรั ฆบี วัตตัรฮีบเลขท่ี 525 ๒๗
ละหมาดคร้งั สุดทา้ ย ช่างเป็นอาชญากรที่ร้ายนัก เพราะเขาทลายการ ละหมาดใหบ้ กพรอ่ ง ซงึ่ หากการละหมาดบกพร่องแลว้ ไซร ้ การงานอ่นื ก็ยอ่ มบกพรอ่ งด้วยเช่นกนั เขาโจรกรรมสง่ิ ของในบ้านของผทู้ รงอ�านาจ ทง้ั ๆ ที่เขาก�าลังยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ โดยไม่มี มา่ นกนั้ และไมต่ อ้ งมผี แู้ ปล แลว้ คณุ ธรรม จรยิ ธรรมของเขา อยู่ท่ไี หน โอ้ผู้ขาดสมาธิในการละหมาด บอกฉันซิ! ท่านจะ แสวงหาเกียรติจากส่ิงใด หากท่านไม่ท�าให้ตัวของท่านมี สมาธิขณะละหมาด? หากท่านอยากรับรู้ว่าการขาดสมาธิ ของท่านในการละหมาดมันเป็นความผิดเพียงใด จงฟัง ค�าพูดของท่าน อะบุลฟะร็อจ อิบนุลเญาซีย์ ด่ังท่ีท่านได้ พูดกับชายผู้รบี รนในละหมาดวา่ “ทานจะรูสึกเชนไร หากทานหวังกําไรในการเดิน ทางไปคาขายยังประเทศหนึ่ง แตทานกลับจากประเทศ นั้นในสภาพที่เสียเวลา ขาดทุนและราํ่ ไห เมอื่ ปรารถนา ความชน่ื ใจในละหมาด แตเ ขากลับไมไ ดรบั อะไรเลย” ๒๘
ละหมาดครั้งสุดทา้ ย 4) ตำงไปจำกวิถขี องทำนเรำะสูลมูหมั มัด ()ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ เลา่ จากอะบูอับดิลลาฮ ์ อลั อชั อารีย์ แท้จรงิ ทา่ นเราะ สูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢได้เห็นชายผู้หน่ึงละหมาดโดยไม่ รุกูอ์ให้สมบูรณ์ และเขารีบเร่งในการสุูด ท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢจึงกล่าวถงึ ชายผูน้ วี้ ่า “หากเขาส้ินชวี ติ ในสภาพแบบนี้ เขาคอื ผูส้ินชวี ติ ในวถิ ีอน่ื จากวิถขี องมฮู มั มัด”15 นี่คือค�าสิ่งทท่ี ่านเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢไดส้ อน บรรดาสาวกของทา่ น สอนถงึ ความสงบ และรวบรวมสมาธิ ขณะทา� ละหมาด มาเถดิ ครบั มาตรวจสอบตวั เองกนั เถดิ เพราะวนั นเ้ี รา ยงั มลี มหายใจอย ู่ มาเถดิ มาสกู่ องคาราวานของผมู้ สี มาธใิ น 15 บันทึกโดย อัฏฏ็อบรอนีย์ ฟิลกะบีรและอบูยะอฺลา ด้วยสายรายงานท่ีด ี และ อิบนคุ ซุ ัยมะฮใฺ น อัศเศาะฮีห์ จากอบีอบั ดิลลาฮฺ อัลอชั ฮะรีย์ ดังปรากฏ ในเศาะฮหี ตุ ตรั ฆีบวัตตรั ฮีบเลขท่ ี 529 ๒๙
ละหมาดครัง้ สดุ ทา้ ย ละหมาดกนั กอ่ นลมหายใจจะออกจากรา่ ง … ก่อนจะสาย เกินไป คร้ังหน่ึงท่านอุมัร ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻪยืนบนมิมบัรพร้อม กลา่ ววา่ “แทจริงชายคนหนึ่งมีชีวิตในอิสลามจนเคราเปน สีหงอก แตเ ขาหาไดท าํ ละหมาดใหสมบรู ณไ์ ม” เม่ือทา่ น ถกู ถามวา่ เพราะอะไร “ก็เพราะเขาขาดความสํารวม ขาดสมาธิขณะมุง ขอตอ อลั ลอฮ์ ( )ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃในยามละหมาด”16 บางคร้ังการสุูดของเขาคล้ายการสุูดที่เป็นบาป ดงั ทช่ี าวสะลฟั ไดก้ ลา่ ววา่ “แทจ รงิ หากบาปของการสุ ดู แบบสะเพรา ทท่ี าํ ตอ อลั ลอฮฺ ถกู แจกจา ยใหช าวเมอื งแลว พวกเขาคงไดร บั ความวบิ ตั กิ นั ” ชายผหู้ นงึ่ ถามวา่ “เพราะ เหตใุ ด” ทา่ นตอบวา่ “เพราะเขาสุ ดู ตอ อลั ลอฮฺ แตห วั ใจ ของเขามุงตรงตออารมณ์” 16 กูตลุ กลุ บู (2/206) ๓๐
ละหมาดครั้งสดุ ท้าย ท่านอุมมุ สะละมะฮ์ ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻬﺎได้กล่าวถึงการ ขาดสมาธทิ ล่ี ดนอ้ ยลงวา่ “ในสมัยของทานเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ สลั ลมั เมอ่ื ผใู ดละหมาด เขาจะไมม องเกนิ จดุ ที่ยืน เมือ่ ทานเราะสูลจากไป ผูทําละหมาดก็ไมกวาดสายตาเกิน หนาผากของตน เมื่อทานอบูบักร์จากไป ผูละหมาด จะไมกวาดสายตามากกวาทิศกิบละฮฺ แตในชวงหลัง ผูคนทําละหมาดแตสายตาของพวกเขากลับมอง ซาย มองขวา”17 17 อัซซุลวัลอินกิสาร ลิลอะซีซีลญับบาร น.54 อิบนุเราะญับ อัลฮันบะลีย ์ ส�านักพมิ พ ์ มกั ตะบะตลุ กุรอาน ๓๑
ละหมาดครัง้ สดุ ทา้ ย บนั ไดสูอรรถรส ในละหมำด แท้จริงร่องรอยของความผิดบาปน้ันท�าให้หัวใจของ บ่าวต้องมืดมน และความมืดมนนี้เป็นเหตุท�าให้การอีมาน ของบ่าวต้องเย็นชา ขาดซ่ึงอรรถรสของการประกอบ คุณงามความดี ทา่ นเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢไดก้ ลา่ วโดยมใี จความ ว่า “ไมม หี วั ใจดวงใด เวน แตส าํ หรบั ใจดวงนนั้ เปรยี บ ดั่งมีกอนเมฆบดบังแสงจันทร์ เม่ือเมฆก็ลอยผานไป จันทรก์ จ็ ะสอ งแสงอีกครงั้ ”18 18 บันทึกโย อัลหากิม ฟิลมุสตัดร็อก และ อัฏฏ็อบรอนีย์ ฟิลกะบีร และ อัลบานยี ก์ ล่าวว่าเป็นหะดีษหะสัน ใน สามะติศเศาะฮีห ์ เลขท ี่ 1585 ๓๒
ละหมาดครั้งสดุ ทา้ ย เมื่อเมฆก้อนนี้ถูกคล่ีออก ท้องนภาย่อมแจ่มใสด้วย อนุมัตขิ องอลั ลอฮฺ โดยปฏบิ ตั ิตามข้อแนะน�าตอ่ ไปน้ี ข้ันท่หี น่ึง ทา่ นหญิงอาอีชะฮ์ ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻬﺎได้บอกลกั ษณะของ ทา่ นนบ ี ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢยามไดย้ นิ เสยี งอาซาน โดยกลา่ ว ว่า “ขณะที่เรากําลังสนทนาอยูกับทาน ครั้นถึงเวลา ละหมาด เสมอื นกบั ทา นไมร จู กั เรา และเรากไ็ มร จู กั ทา น” ทา่ นอบิ รอฮมี อบิ น ุ มยั มนู อลั มะรซู ี ไดเ้ จรญิ รอยตาม ลักษณะดังกล่าว ท่านมีอาชีพเจียระไนทองและเงิน ครั้น เม่ือได้ยินเสียงอาซาน ท่านก็วางเครื่องมือของท่านทันที พฤตกิ รรมน้ีคือความเข้าใจ คา� วา่ “คชุ อู ”์ คอื การสลดั ตวั เองและสงิ่ ทท่ี า� ใหว้ นุ่ วาย ในการละหมาด โดยเรง่ ตอบรบั เสยี งเรยี ก เขายอ่ มละหมาด ด้วยหัวใจที่ตื่นตระหนกและนอบน้อม ส่วนการสาละวน อยแู่ ตค่ วามวนุ่ วายและลา่ ชา้ ทจ่ี ะตอบรบั เขายอ่ มละหมาด ๓๓
ละหมาดครัง้ สุดท้าย ด้วยกับหัวใจที่ถูกกักขังกับความวุ่นวาย เกิดความคิดท่ีต่อ เนื่องในขณะท�าการละหมาด เหตุน้ี อะบุดดรั ดาอ ์ ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻪไดส้ ัง่ เสยี วา่ “ผทู ่ี เขาใจจะเปลื้องภารกิจของเขากอนเขาละหมาด เพื่อวา เขาจะไดละหมาดในสภาพที่หัวใจของเขาวางเวนจาก ความวนุ วาย”19 ท่านมองว่า การคุชูอ์คือความเข้าใจข้ันสุดยอด เพราะความเข้าใจคือความรู้ และใช่ว่าความรู้ข้ึนอยู่กับ การรายงานตัวบท แต่ความรู้คือการเกรงกลัวต่ออัลลอฮ ์ ซง่ึ ส่งผลใหเ้ กดิ สมาธิ ทาสคนหน่ึงเดนิ เขา้ หาเจา้ นายพรอ้ มกล่าววา่ “ถงุ ใส เสบยี งมา หายไปครบั ” เจา้ นายจงึ ลกุ ขนึ้ ละหมาด และครนั้ เสร็จละหมาดก็กลา่ วว่า “ถงุ ใสเ สบยี งมา อยทู ี่น่นั ” ผูเ้ ปน็ บ่าวจึงกล่าวว่า “นายทานจงกลับไปละหมาดใหม เพราะ ทานหาของหายในขณะละหมาด”20 19 อลั อหิ ์ยาอ ฺ 1/202 กูตลุ กลุ บู 2/205 20 อัตตบั ศเิ ราะฮฺ 2/204 อิบนลุ เญาซยี ์ สา� นักพิมพ ์ อบิ นุคอลดูน ๓๔
ละหมาดคร้ังสดุ ท้าย ขน้ั ท่สี อง จากท่านอะนัส ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻪกลา่ ววา่ “ทา นหญงิ อาอีชะฮ์ ใชผาหนาสีแสดปดมุมบานของนาง” ท่าน เราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢจงึ กลา่ วแก่นางว่า “ควรปลด ผาสีแสดผืนนั้นออก เพราะภาพของมันยังคงปรากฏใน ขณะทเ่ี ราละหมาด”21 ข้อควรระวังน้ี รวมถึงสถานท่ีเป็นทางเดินผ่านของ ผู้คนและมเี สยี งรบกวนจากการพดู คุย สถานทไ่ี รส้ าระและ หลีกห่างทุกอย่างที่ท�าให้ชวนมอง ด้วยเหตุนี้เม่ือท่านนบี ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢละหมาดบนผา้ ท่ีมีสีสัน จนเกิดการมอง ที่เส้นขีดบนผ้าผืนน้ัน แล้วท่านได้กล่าวหลังเสร็จสิ้นการ ละหมาดว่า “เสนขดี บนผา ผนื น้ีทําใหฉ ันวอกแวก โปรด นํามันไปท่ีอบีญะฮ์มิน และโปรดนําผาที่อันบิญานียะฮ์ มา (ผาทีไ่ มม ีเสนขดี เขียน)”22 21 บันทึกโดยบุคอรีย์และอะห์มัดจากอะนัส ดังปรากฏในเศาะฮีหุลญามิอ ฺ เลขท ี่ 1405 22 บนั ทกึ โดย อลั บคุ อรยี แ์ ละมสุ ลมิ จากทา่ นหญงิ อาอชิ ะฮ ฺ ฟลิ ลลุ อุ ะตวิ ลั มรั ญาน เลขท่ ี 326 ๓๕
ละหมาดคร้งั สดุ ทา้ ย ข้นั ทสี่ ำม ท่านนบี ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢกล่าวว่า “ไมมีการ ละหมาดในขณะทีก่ ําลังรอกินขา ว และไมมีการละหมาด สําหรับเขาที่กลน้ั ปส สาวะและอจุ จาระ”23 ค�าว่า “อัลอัคบะษาน” ในหะดีษคือ ปัสสาวะและ อุจจาระ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถละหมาดด้วยความสงบได้ ในขณะท่ีเขากลั้นปัสสาวะและอุจจาระอยู่ ส่วนอาหารน้ัน ถา้ ได้อยู่ต่อหน้าคนทจี่ ะละหมาดแล้ว หากเขาฝนละหมาด ใจของเขาจะคิดถึงสิ่งนั้น ดังนั้นคนหิวต้องเริ่มกินอาหาร ของเขาก่อนละหมาด เขาจะไม่รีบร้อนจนกว่าเขาจะรับ ประทานตามท่ีเขาพอใจ เพราะท่านนบี กล่าวว่า “เมื่อ อาหารม้ือค่ําถูกวางดานหนาผูใดผูท่ีจะปฏิบัติละหมาด เขาจงเรมิ่ ดว ยอาหารคา่ํ กอ น เขาจะไมร บี รอ นจนกวา เขา จะรบั ประทานเสรจ็ ”24 23 บันทึกโดยมุสลิมและอบูดาวูด จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ดังปรากฏใน เศาะฮีหลุ ญามิอ ฺ เลขที่ 7509 24 บันทกึ โดยอลั บคุ อรยี ์ มุสลิม อะห์มดั และอบูดาวดู จากอิบนอุ ุมรั ดงั ปรากฏ ในเศาะฮีหุลญามิอฺ เลขท ่ี 831 ๓๖
ละหมาดครัง้ สดุ ท้าย ขนั้ ท่สี ่ี การตักบีเราะตุลอิห์รอม คือประตูเข้าหาพระองค์ ผทู้ รงเปน็ เจา้ แหง่ กษตั รยิ ์ แสดงถงึ การปรารถนาและวงิ วอน จากพระผสู้ รา้ ง เปน็ การยนื ยนั ถงึ การยอมรบั ในเดชานภุ าพ ของผู้ทรงอภิบาล และแสดงถึงความต่�าต้อยของผู้เป็น บา่ วทมี่ ตี ่อพระองค์ อัลลอฮุอกั บัร … หมายถงึ ความยง่ิ ใหญ่ของพระองค์ อัลลอฮ์เหนือกว่าทุกสิ่ง ดังน้ันเม่ือคุณค่าโลกดุนยาลดลง ในสายตาของคุณน้ันมองว่าคุณค่าของมันจะไม่เทียบเท่า ปกี แมลงวนั จงมชี วี ติ ชวี ากบั หวั ใจของคณุ ทช่ี มุ่ ฉา�่ ดว้ ยคา� วา่ “อัลลอฮุอักบัร” เมื่อคุณอ่อนแรงในขณะท่ีคุณลุกข้ึน ละหมาด แล้วหลังจากนั้น คุณพร้อมที่จะก้มรุกูฮ์ สิ่งท่ีจะ ปลกุ พลงั แกค่ ณุ ไดค้ อื เสยี ง “ตกั บรี ” อลั ลอฮอุ กั บรั อลั ลอฮ์ ผู้ย่ิงใหญ่กว่าเสมอ ท�าให้คุณรู้สึกว่า คุณมั่นใจกับตัวคุณ หวั ใจกา� ลงั คลอ้ ยตามลน้ิ ของคณุ ทกี่ า� ลงั กลา่ วเสยี ง “อลั ลอฮุ ๓๗
ละหมาดคร้งั สุดท้าย อักบรั ” ออกมา ครนั้ เมอ่ื คณุ เผลอไปในตอนสุ ูดและคุณ ลุกขน้ึ หลังจากน้ัน เสยี ง “อัลลอฮุอกั บัร” จะเตอื นสตคิ ณุ คุณจะรู้สึกว่า คุณได้ส�านึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ ์ ฝปี ากถกู สกดิ สปู่ ระสาทหแู ละสหู่ วั ใจของคณุ ซง่ึ ความรสู้ กึ ในแบบน้ี จะเกิดข้ึน ณ หัวใจของคุณหลังจากการกล่าว ค�าว่า “อลั ลอฮุอักบรั ” ด้วยความสงบนงิ่ และเตม็ พลงั บางท ี … กป็ ระหลาดใจนกั สา� หรบั บางคนทไี่ มล่ ะอาย ใจในการใช้ชีวิตประจ�าวันของเขา ด้วยการกลับกลอกกับ อัลลอฮ์? เขาจะเริ่มละหมาดศุบหฺด้วยการกล่าวตักบีรใน ขณะที่เขาไม่จริงใจกับค�าที่เขากล่าวออกมา เขาจะอ่าน ดุอาอฺนา� กอ่ นบทอลั ฟาติหะฮ์ ()وﺟﻬﺖ وﺟﻬﻰ ﻟﻠﺬى ﻓﻄﺮ اﻟﺴﻤﺎوات واﻷرض จนจบดุอาน้ี ซึ่งเขาหันหน้าของเขาต่อพระองค์ แต่ เขายังสาละวนกับอารมณ์ใฝต�่าของเขา ทิศทางของเขา คือความส�าราญและความเผลอเรอของเขาเป็นเพราะเขา เปน็ ทาสของตัวเองน่ันเอง ๓๘
ละหมาดคร้งั สดุ ทา้ ย ดังน้ัน … เพื่อนเอย จงปฏิบัติละหมาดของคุณด้วย ความม่ันใจ หากคุณปรารถนาความสงบน่ิงในละหมาด จงละท้งิ การตกั บรี ของเหลา่ ผ้หู ลอกลวงตวั เองเถดิ จงขจดั ส่ิงเหล่าน้ันต่อหน้ามารร้ายเสียเถิด แล้วจงรุดหน้าอย่าง มุ่งมน่ั ด้วยค�าว่า “ ”ﷲ أﻛﱪอลั ลอฮุอักบรั อย่างมีพลัง ขัน้ ที่หำ ให้บอกกับตัวเองว่า เป็นการละหมาดคร้ังสุดท้าย ในชวี ิต ครั้งหนึ่งท่านศาสนทูต ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢส่ังเสีย ต่อท่านอบูอัยยูบว่า “เม่ือทานลุกขึ้นยืนละหมาด ก็จง ละหมาดด่ังการละหมาดของผทู จ่ี ะอําลาจากโลกน้ไี ป”25 เสมอื นกบั ว่าทา่ นเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢสอน ใหท้ า่ นอบีอัยยบู ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻪและชนรุ่นหลังมคี วามรู้สึก 25 บนั ทึกโดยอะหม์ ดั อบิ นมุ าญะฮฺ จากอบอู ัยยูบอลั อันศอรยี ์ ดังปรากฏใน เศาะฮหี ลุ ญามิอฺ เลขท่ี 742 ๓๙
ละหมาดคร้งั สุดทา้ ย ขณะท�าละหมาดเสมือนความตายน้ันก�าลังรอคอยอยู่ ทุกลมหายใจ ทุกอิริยาบถ ทุกค�ากล่าวในละหมาดน้ันมี คา่ มหาศาลย่งิ และภายหลงั การใหส้ ลาม เสมือนกับวา่ ทตู แห่งความตายก�าลงั รอคอยทจี่ ะปลดิ วิญญาณของเขาอยู่ จากท่านอะนัส ( )رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻪท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢไดก้ ล่าวกับท่านว่า “จงรําลกึ ถึงความ ตายในละหมาดของทาน เพราะแทจริงชายคนหน่ึง เม่ือรําลึกถึงความตายในละหมาดของเขา จะทําใหเขา ละหมาดอยา งสวยงามยง่ิ ”26 ขั้นท่ีหก อ่านอัลกุรอานด้วยเสียงอนั ไพเราะ พร้อมใครค่ รวญ แท้จริงอัลลอฮ์ ( )ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃได้ทรงส่ังใช้ท่าน เราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢว่า 26 บันทึกโดย อัดดัยละมีย์ ฟีหุสนิลฟิรเดาส์ จากอะนัส อัลบานีย์กล่าวเป็น รายงานทดี่ ี ดงั ปรากฏในเศาะฮีหุลญามอิ ฺ เลขท ่ี 849 ๔๐
ละหมาดครั้งสดุ ทา้ ย (( )) َوَرﺗِِّﻞ اﻟُْﻘْﺮآ َن ﺗـَْﺮﺗِﻴًﻼ27 ความว่า “เจาจงอานอัลกรุอานใหถูกตองชัดเจน” (สเู ราะฮอ์ ลั มุซซมั มิล: 4) แทจ้ รงิ การอา่ นกรุ อานอยา่ งใครค่ รวญนน้ั เปน็ สอ่ื หนงึ่ ท่ีท�าให้เกดิ สมาธ ิ และอรรถรสขณะท�าการละหมาด ทา่ นเราะสลู ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢไดก้ ลา่ วโดยมใี จความ ว่า “พวกทานจงประดับประดาอัลกุรอานดวยเสียงของ พวกทาน เพราะเสียงที่ไพเราะน้ัน จะเพิ่มความไพเราะ ใหกบั อลั กุรอา น”28 และคงไม่มีอ้างว่าตนเองเสียงไม่เพราะ เพราะท่าน เราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกถึงเสียงที่ ไพเราะควบคู่กับการอ่านอัลกุรอานในสภาพที่เศร้า ดั่งท่ี ท่านกลา่ ววา่ “เสยี งท่ีดีท่ีสุดคอื เม่ือเขาอา น ทานจะเห็น วาเขายําเกรงตออัลลอฮฺ”29 27 สเู ราะฮ ฺ อลั มุซซมั มิล : 4 28 บนั ทกึ โดยอลั หากมิ จากอลั บารออ ฺ ดงั ปรากฏในเศาะฮหี ลุ ญามอิ ฺ เลขท ่ี 3581 29 บนั ทึกโดย อัลบยั ฮะกีย ์ ฟิชชุอบั อัลเคาะฏบี ุลบฆั ดาดยี ์ จากอิบนิ อับบาส และ อัดดัยละมีย์ ฟิลฟิรเดาส์ จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ ดังปรากฏใน เศาะฮีหลุ ญามิอ ฺ เลขท่ี 194 ๔๑
ละหมาดครงั้ สดุ ทา้ ย ขน้ั ทีเ่ จ็ด ผู้ใดปรารถนาซ่ึงอรรถรสและการมีสมาธิ จ�าเป็น อย่างยิ่งที่เขาจะต้องใคร่ครวญอัลกุรอานและพยายาม หลั่งน้�าตาออกมาใหไ้ ด้ (())ﻛِﺘَﺎ ٌب أَﻧَﺰﻟْﻨَﺎﻩُ إِﻟَْﻴ َﻚ ُﻣﺒَﺎَرٌك ﻟِّﻴَ ﱠﺪﺑـﱠُﺮوا آﻳَﺎﺗِِﻪ َوﻟِﻴـَﺘَ َﺬﱠﻛَﺮ أُوﻟُﻮ اْﻷَﻟْﺒَﺎب30 “คมั ภีร์ (อัลกุรอาน) เราไดป ระทานลงมาใหแกเจา ซงึ่ มคี วามจาํ เรญิ เพอื่ พวกเขาจะไดพ นิ จิ พจิ ารณาอายาต ตาง ๆ ของอัลกุรอานและเพ่ือปวงผูมีสติปญญาจะได ใครครวญ” (สเู ราะฮ์ศอด: 29) ผู้ใดใคร่ครวญอัลกุรอานอย่างลึกซึ้งน้�าตาของเขาจะ ต้องเอ่อล้นออกมาอยา่ งแนน่ อน ท่านอิบนุอับบาสได้กล่าวว่า “เมื่อพวกท่านอ่านถึง โองการ สจั ดะตุสบุ ฮาน (())َوَِﳜﱡﺮو َن ﻟِْﻸَ ْذﻗَﺎ ِن ﻳـَْﺒ ُﻜﻮ َن َوﻳَِﺰﻳ ُﺪ ُﻫ ْﻢ ُﺧ ُﺸﻮ ًﻋﺎ31 และพวกเขาจะหมอบราบลงใบหน้าจรดพื้นพลาง 30 สเู ราะฮฺ ศอด : 29 31 สเู ราะฮฺ อัลอสิ รออ ฺ : 109 ๔๒
ละหมาดครัง้ สดุ ทา้ ย รอ้ งไหแ้ ละมันจะเพิ่มการส�ารวมแก่พวกเขา สเู ราะฮ์อลั อสิ รออ:์ 109 “พวกทา นอยา รบี เรง ในการสุ ดู จนกวา พวกทา น จะรองไห และหากดวงตาของพวกทานไมสามารถหล่ัง นํ้าตาออกมาได ก็จงพยายามทําใหหัวใจหล่ังน้ําตา ออกมา”32 แท้จริงการร้องไห้ของหัวใจคือ การใคร่ครวญท่ีส่ง ผลให้เกิดการย�าเกรง ซ่ึงจะก่อให้เกิดการร้องไห้และหลั่ง น�้าตาออกมาในท่สี ดุ ดว้ ยเหตุน้ีหากคุณได้รบั การประทาน การย�าเกรงต่ออัลลอฮฺ จงดีใจเถิดว่าคุณก�าลังไปถึงความ โปรดปรานของอัลลอฮฺแล้ว และสิ่งท่ีช่วยคุณที่สุด คือการอ่านโองการกุรอานซ้�าไปมาด่ังท่ีท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้ถือปฏิบัติ เมื่อท่านได้ ละหมาดกียามุลลัยล์ด้วยกับโองการเดียวจนรุ่งอรุณ แหง่ ศบุ ฮป์ รากฏขึ้น นั่นคอื โองการของอัลลอฮท์ วี่ า่ ()إن ﺗﻌﺬﺑﻬﻢ ﻓﺈﻧﻬﻢ ﻋﺒﺎدك وإن ﺗﻐﻔﺮ ﳍﻢ ﻓﺈﻧﻚ أﻧﺖ اﻟﻌﺰﻳﺰ اﳊﻜﻴﻢ 32 กตู ลุ กุลูบ 8/99 ๔๓
ละหมาดคร้งั สดุ ทา้ ย ความว่า “หากพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา แทจริงพ33วกเขาก็คือบาวของพระองค์และหากพระองค์ จะทรงอภัยโทษใหแกพวกเขา แทจริงพระองค์ทานคือ ผูทรงเดชานุภาพ ผูทรงปรชี าญาณ” (สูเราะฮ์อัลมาอีดะฮ:์ 118) ขนั้ ทแี่ ปด ทุก ๆ การเตรียมตวั และการยนื ข้นึ ละหมาดนนั้ คือ สัญลกั ษณ์ท่ีบง่ ถึงความหมายเฉพาะ อาทิเชน่ การอาบนํ้าละหมาด : คือ การช�าระล้างส่ิงเปรอะ เปอ นดแู ลตน้ ไมแ้ หง่ การมสี มาธใิ นหวั ใจ เพอ่ื จะไดอ้ อกดอก และให้ผลขณะท�าละหมาด การหันหนาสูกิบละฮ์ : คือ การหันหน้ามุ่งตรงสู่ กะอ์บะฮ์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางในการผูกดวงใจของผู้ ละหมาดเอาไว้ 33 สเู ราะฮ ฺ อัลมาอิดะฮ ฺ 118 ๔๔
ละหมาดครั้งสดุ ทา้ ย การยืนอย่างนอบน้อม (อัลกิยาม) คือ การยืนอยู่ ต่อหน้าพระพักตร์ของอัลลอฮ์ ( )ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃโดยไม่มี มา่ นกน้ั และไมม่ สี อื่ … เปน็ การฝก ฝนตวั เองเพอื่ ยนื ตอ่ หนา้ พระพักตรข์ องพระองค์ในวนั แห่งการตอบแทน การสุดู คือ การนา� สว่ นที่มีเกยี รตทิ ่ีสดุ ของรา่ งกาย (ศีรษะ) ให้ต�่าลงสู่พ้ืนดินท่ีผู้คนต่างเหยียบย�่า … เพ่ือเป็น การแสดงซ่ึงความต่�าต้อยที่สุดของบ่าวท่ีมีต่ออัลลอฮ ์ ()ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃ พ่ีนองครับ ผู้ใดที่สุูดต่ออัลลอฮ์ ()ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃ พระองคจ์ ะทรงยกฐานะให้แก่เขา ดังค�ากล่าวของท่านเราะสูล ()ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ มใี จความ วา่ “ไมม บี า วคนใดสุ ดู ตอ อลั ลอฮ์ ()ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ وﺗﻌﺎﱃ หน่ึงการสุูด เวนแตวาอัลลอฮ์จะทรงฐานะใหกับเขา และจะทรงชําระความผดิ บาปของเขา”34 ๔๕
ละหมาดครั้งสดุ ทา้ ย ข้นั ท่ีเกำ จากทา่ นอะนสั เลา่ วา่ แทจ้ รงิ อษุ มาน อบิ นอิ ะบลิ อาศ ได้มาหาทา่ นเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢและกลา่ ววา่ “โอทานเราะสูลุลลอฮ์ แทจริงชัยฏอนมาก้ันกลาง ระหวางฉันกับละหมาดและการอานของฉัน จนทําให ฉนั สับสนในละหมาด” ทา่ นเราะสูล ()ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢ จงึ กลา่ ววา่ “นนั่ คอื ชยั ฏอนทม่ี ชี อื่ วา “คอ็ นซบั ” เมอ่ื ทา น รูสึกวามันเขามาหา ก็จงขอความคุมครองจากอัลลอฮ์ และใหถมนํ้าลายทางดานซายของทานสามครั้ง” ท่าน อุษมานได้เล่าต่อวา่ “ฉันไดปฏิบัตติ ามทีท่ านเราะสูลบอก อัลลอฮ์ก็ใหช ัยฏอนตัวนั้นไปจากฉนั ”35 “ค็อนซับ” คือชัยฏอนที่มีหน้าท่ีท�าลายสมาธิของ บ่าวในละหมาด โดยเริ่มการกระซิบตั้งแต่ตักบีเราะตุลอิห์ 34 บันทึกโดย อะห์มัด ติรมิซีย์ นะสาอีย์ และอิบนุมาญะฮฺ จากเษาบาน ดังปรากฏในเศาะฮหี ุลญามอิ ฺ เลขท่ี 5741 35 บันทึกโดยมุสลิม จากอะนัส ดังปรากฏใน มุคตะศ็อร เศาะฮีห์มุสลิม เลขท ่ี 1448 ๔๖
ละหมาดครงั้ สดุ ทา้ ย รอมจนกระท่ังจบละหมาด ด้วยกับการกระซิบกระซาบ และการโจรกรรม ท�าให้การละหมาดของคุณห่างไกล จากอัลลอฮฺ ไม่เพ่ิมพูนอีมาน ไม่เสริมสร้างจิตใจมิหน�าซ้�า ยังท�าให้หัวใจหันเห ท�าให้หัวใจคิดถึงแต่ดุนยาท้ัง ๆ ที่ ก่อนละหมาดยังไม่มีการครุ่นคิดถึง และแล้วก็มีสติอีกคร้ัง ขณะท่ีอีมามให้สลาม แจง้ ว่าเสร็จละหมาดแลว้ -หรอื อาจ กล่าวไดว้ า่ - การละหมาดได้หายสูญหมดส้ินแล้ว เหล่ากัลญานชนมุสลิมได้เข้าใจถึงการเป็นศัตรูของ คอ็ นซบั ตอ่ ผลู้ ะหมาด ในวนั หนง่ึ ชายคนหนง่ึ ไดเ้ ขา้ พบทา่ น อีมามอบูหะนีฟะฮ์ อันนุอ์มานแล้วบอกว่าตนฝังทรัพย์สิน ไวใ้ นท้องทะเลทรายแลว้ จ�าไม่ได้ จะให้ทา� อย่างไรด?ี ท่าน อีมามแนะน�าให้ลุกขึ้นละหมาดตะฮัจุดแล้ววิงวอนขอ จากอลั ลอฮฺ เช้าวันรุง่ ขน้ึ ชายผู้นจ้ี ึงเขา้ พบท่านอมี ามอย่างสบาย อกสบายใจ ท่านอมี ามจึงถามวา่ “เปน อยางไรบาง” ชาย ผู้น้ันตอบว่า “ทุกอยางดีหมด ฉันลุกข้ึนละหมาดตาม คําแนะนําของทาน และขณะท่ีฉันละหมาดฉันนึกออก ๔๗
ละหมาดคร้ังสดุ ทา้ ย วา เคยฝง ทรัพย์สินจดุ ใด” ท่านอีมามอบูหะนฟี ะฮ์จงึ กล่าวขึ้นวา่ “ฉนั รูอยูแ ลว วาชยั ฏอนไมใหค ุณละหมาดอยางสมบูรณ์หรอก” ดังนั้นจึงพึงระวังศรัตรูตัวฉกาจนี้ แล้วให้เราปฏิบัติ ตามคา� สอนของท่านนบีเถดิ เพอื่ เราจะได้ปลอดภัย ขน้ั สดุ ทำ ย ทา่ นอมั มาร บตุ ร ยาสริ ไดท้ า� การละหมาดแบบเบาๆ ไม่นานจนเกินไป แล้วผู้คนก็ถามว่า “ทําไมทานจึงทํา ละหมาดแบบเบา ๆ” ทา่ นอมั มารจงึ ตอบว่า “ฉันทําอะไร บกพรอ งหรอื ?” พวกเขาตอบว่า “เปลา ” ทา่ นจึงตอบว่า “ฉนั เรง ขจดั การลวงของชัยฏอน”36 ท่านซุบัยร์ และท่านฏอลหะฮ์ ()رﺿﻲ ﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ และจ�านวนหนึ่งจากบรรดาสหายของท่านเราะสูล ( )ﺻﻠﻰ ﷲ ﻋﻠﻴﻪ وﺳﻠﻢคือกล่มุ ชนทใี่ ช้เวลาในการทา� ละหมาด น้อยมาก พวกเขาจึงถูกถามว่า “ทําไมถึงเปนเชนนั้น” 36 อลั อหิ ยฺ าอ ฺ 1/202 กตู ลุ กลุ บู 2/205 ๔๘
ละหมาดคร้ังสดุ ท้าย พวกเขาจงึ กล่าวตอบวา่ “เพราะเราหลกี หางจากการกระ ซิบกระซาบของศตั ร”ู 37 ขอบเขตของความพอดีในละหมาด คือปฏิบัติมัน ไม่ให้นานเกินไป ซง่ึ อาจสง่ ผลทา� ให้ลมื และเผลอ พรอ้ มกัน นั้นก็ไม่ควรให้สั้นหรือเร็ว จนอาจเป็นเหตุท�าให้ขาดสมาธิ ในทสี่ ุด ท่านอบฏู อลบิ อลั มักกยี ์ กลา่ วไวว้ า่ “พึงทราบไวว า ละหมาดท่ีนานเกินไปจะทําใหขาดอรรถรสและรูสึก เปน ภาระแลว รา งกายกร็ บั ไมไ หว และหากละหมาดอยา ง รวดเร็วก็จะบกพรอง จึงควรปฏิบัติอยางพอดีเพ่ือ ความมีอรรถรสในละหมาด สติและความเขาใจอยูกับ เน้ือกับตัว ปฏิบัติใหครบเงื่อนไข สงางาม นี่แหละคือ การสงั เกตของผูล ะหมาดและคือวสิ ยั ของผสู งบน่ิง”38 37 อา้ งแล้ว ๔๙
Search