ไปกนิ . ? . บ้านคนตายกนั ดไี หม ? โดย อ.มะห์มดู (ปราโมทย์) ศรีอทุ ยั
คำนำ بسـم اللـه الرحمـن الرحـيم سيدنا محمد وعلى آلـه وصحـبه، والصلاة والسلام على أشرف الأنبياء والمرسلين،الحمد للـه رب العلمين .. أجمعين أما بعد หนงั สือเร่ือง “ไปกิน . ? . บา้ นคนตายกนั ดีไหม ?” เล่มน้ี ความจริงผมต้งั ใจจะเขียนนาน แลว้ แต่โอกาสไม่อานวยให้ เนื่องจากตอ้ งมีภาระเขียนเรื่องอ่ืนที่เป็ นปัญหาเฉพาะหนา้ เสียก่อน ตลอดเวลา ... จนกระทงั่ ผมไดร้ ับ “ขอ้ มูล” สองฉบบั จากเพื่อนฝูงที่ส่งมาใหช้ ่วยพิจารณาดูอนั เป็นเรื่องท่ี เก่ียวกบั การไปกินเล้ียงที่บา้ น/ครอบครัวผตู้ ายจดั ข้ึน ท่ีเรียกกนั ติดปากวา่ “การกินบุญบา้ นคนตาย” นนั่ เอง ... ฉบบั แรกเป็นหนงั สือเล่มเลก็ ๆ ส่วนฉบบั ท่ีสองเป็นขอ้ ความที่ปริ้นทอ์ อกมาจากเวบ็ ไซด์ หน่ึงในคอมพิวเตอร์ ซ่ึงเน้ือหาของท้งั สองน้ี มีท่ีมาของหลกั ฐานจากแหล่งเดียวกนั คือรายงานจาก ท่านอะห์นฟั บิน กอ็ ยซ์ และจากท่านฏอวสู บิน กยั ซาน ... รายงานท้งั 2 น้ี เป็นรายงานที่ไม่ค่อยมีใครคุน้ หูหรือไดย้ นิ กนั มาก่อน แต่ถูกอา้ งข้ึนมาเป็น หลกั ฐาน เพ่ือความชอบธรรมในการใหบ้ า้ นผบู้ า้ นเป็ นเจา้ ภาพเล้ียงอาหารเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ ผูต้ าย และผูอ้ า้ งขอ้ มูลน้ีข้ึนมาก็เป็นผูท้ ี่ผ่านการศึกษามาจากประเทศอียิปต์ มิใช่โต๊ะครูที่เรียนใน ระบบปอเนาะอยา่ งแต่ก่อน ... เมื่อไดพ้ ิจารณาดูแลว้ เห็นว่า ขอ้ มูลหลกั ฐานที่ถูกนามาอา้ งดงั กล่าว มีความคลาดเคล่ือน และไม่ถูกตอ้ งตามหลกั วิชาการ ซ่ึงจะส่งผลเสียต่อผูท้ ี่ไม่เขา้ ใจในขอ้ เท็จจริงของเรื่องน้ี ผมจึง ตดั สินใจยตุ ิงานเขียนอ่ืนๆไวช้ ว่ั คราว เพื่อจะเขียนวเิ คราะห์รายงานท่ีถูกอา้ งมาน้นั ใหท้ ่านผูอ้ ่านได้ ทราบขอ้ เทจ็ จริงของมนั อยา่ งละเอียด ในการเขียนคร้ังน้ี ผมจะไม่เน้นหรือนาเอาทศั นะของนักวิชาการในอดีตเกี่ยวกบั เรื่องการ กินเล้ียงบา้ นผูต้ ายมาอา้ งมากนกั เนื่องจากเรื่องน้ี ท่านอาจารยป์ ระสาน หมดั อาดมั (ขออลั ลอฮไ์ ด้ โปรดเมตตาต่อท่านดว้ ย) ไดเ้ คยเขียนตีแผ่ทศั นะดงั กล่าวมาก่อนแลว้ ดงั น้นั ขอ้ เขียนของผม จึง เนน้ หนกั ในเรื่องการวเิ คราะห์ขอ้ เท็จจริงของรายงานท้งั สองน้นั เป็ นหลกั และแถมดว้ ยอีกรายงาน หน่ึงจากท่านอาศิม บิน กลุ ยั บ์ ที่เคยเป็นปัญหากนั มาแลว้ ขดั แยง้ ในอดีต ... อ. มะห์มูด (ปราโมทย)์ ศรีอุทยั
วิเคราะห์หลกั ฐานเรอื่ ง การกนิ เล้ยี งบา้ นผูต้ าย ปัญหาเรื่องบ้านผูต้ ายเป็ นเจา้ ภาพจดั เล้ียงอาหาร เพื่อส่งผลบุญให้แก่ผูต้ าย ซ่ึงชาวบา้ น ทวั่ ๆไปจะเรียกกนั ว่า ทาบุญบา้ นคนตาย, --- [ท้งั ๆท่ีตามทศั นะของนักวิชาการท้งั 4 มษั ฮบั เห็น พอ้ งกนั วา่ เรื่องน้ี ผกู้ ระทาจะไม่ไดร้ ับผลบุญดงั ความเขา้ ใจ แต่เป็นเร่ืองของ “บาป” เพราะเป็นอุตริ กรรม (บิดอะฮ์) ท่ีน่ารังเกียจและไม่สมควรกระทา ดงั จะไดอ้ ธิบายรายละเอียดต่อไป] – น้นั เป็ น ปัญหาขดั แยง้ ท่ีแพร่หลายมากในปัจจุบนั , โดยเฉพาะในประเทศไทยท้งั ภาคกลางและภาคใต้ จน ส่งผลกระทบอยา่ งรุนแรงต่อชาวบา้ นที่ขาดความรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองศาสนา แต่มีความเชื่ออยา่ ง แน่นแฟ้นสืบต่อกนั มาวา่ การเล้ียงอาหารให้ญาติพี่นอ้ งท่ีตายไปเป็นเรื่องที่อนุญาตให้ทาได,้ และ ผตู้ าย กจ็ ะไดร้ ับผลบุญ (ตามความเขา้ ใจของตน) จากการเล้ียงอาหารใหน้ ้นั ... แน่นอน ! เม่ือมีผูค้ ดั คา้ นว่าการเล้ียงอาหารบา้ นผูต้ ายทาไม่ไดเ้ พราะไม่มีหลกั ฐาน, (หรือ บางคนกล่าวคาหนกั ถึงข้นั ประณามวา่ เป็นบิดอะฮ์ เฎาะลาละฮ)์ จึงสร้างความไม่พอใจแก่ชาวบา้ น ท่ีนิยมกระทาส่ิงน้ีอยู่ จนเกิดความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ ายกนั เองในหมู่บา้ น หรือถึงข้นั แยกมสั ญิด กนั กม็ ีหลายแห่งเพราะเร่ืองน้ี ... ย่งิ กว่าน้ัน ปรากฏว่ามีผูร้ ู้บางท่าน -- ไม่ว่าจะเป็ นโต๊ะครูในยุคเม่ือไม่ก่ีสิบปี ท่ีผ่านมาน้ี หรือนกั เรียนท่ีเรียนจบมาจากต่างประเทศ, โดยเฉพาะ จากประเทศอียปิ ตใ์ นปัจจุบนั บางท่าน -- ซ่ึง มกั จะพูดอยเู่ สมอว่า ตนเอง เป็ นเพียง “มุก็อลลิด” (คือผูท้ ี่ยอมรับเอาทศั นะของ “มุจญตะฮิด” มาปฏิบตั ิโดยไม่จาเป็ นต้องรู้หลักฐาน) ... และเป็ นนกั “ทศั นะนิยม” คือ เช่ือถือในทศั นะของ นกั วชิ าการมษั ฮบั ใดมษั ฮบั หน่ึงอยา่ งเคร่งครัด ซ่ึงตามปกติ จะไม่ยอมออกนอกลู่นอกทางของมษั ฮบั ท่ีตนเองสงั กดั อยงู่ ่ายๆ ... แต่ .. ในเรื่องของการเล้ียงอาหารบา้ นผตู้ ายน้ี เป็นเรื่องแปลกมากท่ีนักวิชาการบางท่านผ้เู คย ยอมรับว่าตนเองเป็นเพียง “มุกอ็ ลลิด” กลบั สถาปนาตนเองเป็น “มุจญตะฮิด” เสียเอง .. ด้วย การอ้างเอาหะดีษบางบทมาเป็นหลกั ฐานสนับสนนุ ความเชื่อของชาวบ้านเร่ืองอนุญาตให้บ้านผ้ตู าย เป็นเจ้าภาพเลยี้ งอาหารเพื่อส่งบุญให้แก่ผ้ตู ายได้ .. ท้งั ๆท่ี “มุจญตะฮิด” จริงๆ จะไม่มีท่านใดเคย อ้างหะดีษเหล่าน้ันเป็ นหลกั ฐานในเรื่องนี้มาก่อนเลย, .. และนักวชิ าการท้ัง 4 มษั ฮับกบ็ อกตรงกนั ว่า พฤตกิ รรมดังกล่าว เป็ นบิดอะฮ์ที่น่ารังเกยี จกต็ าม .... การที่มีผูอ้ า้ งหลกั ฐานดงั กล่าวข้ึนมา จะผดิ หรือจะถูกไม่ใช่ประเด็นสาคญั สาหรับผทู้ ่ีปฏิบตั ิ ในเร่ืองน้ีอย,ู่ แต่ที่สาคญั กค็ ือ มนั สร้างความมนั่ ใจแก่พวกเขาเป็นทวีคูณวา่ ขอ้ อา้ งของมุจญตะฮิด (??) เหล่าน้นั น่าเช่ือถือและมีน้าหนกั กว่ามุจญตะฮิดตวั จริงและนกั วิชาการจริงๆท่ีคดั คา้ นเรื่องน้ี ในอดีตเสียอีก ซ่ึงกน็ บั วา่ เป็นเร่ืองแปลกดี ..
ในทศั นะส่วนตวั ของผม ใครจะมีความเชื่อเป็ นการส่วนตวั อย่างไร ย่อมเป็ นสิทธิส่วน บุคคลที่จะปฏิบตั ิตามความความเชื่อของตนได้ เพราะทุกคน จะตอ้ งรับผิดชอบในความเช่ือหรือ การกระทาของตนต่อพระองคอ์ ลั ลอฮ์ ซ.บ. โดยตรงอยแู่ ลว้ และผมกไ็ ม่นิยมการช้ีหน้าประณาม การกระทาของใครวา่ เป็ นบิดอะฮ์ดว้ ย นอกจากจะพูดหรือเขียนถึงในเชิงเป็นตวั อยา่ งดา้ นวิชาการ เพียงอยา่ งเดียว และพร้อมท่ีจะยอมรับการติติงจากท่านผอู้ ่านท่ีมีความคิดแตกต่างในเชิงวชิ าการอยู่ เสมอ ... พูดตามศพั ทก์ ีฬาฟุตบอลกค็ ือ จะพยายามรักษากติกาดว้ ยการ “เตะบอล” อยา่ งเดียว, .. จะ ไม่ยอม “เตะคน” เป็นอนั ขาดตราบใดที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ... ส่ิงน้ี คือ “มารยาท” ท่ีนกั วชิ าการยคุ แรก ไดย้ ดึ ถือและปฏิบตั ิกนั มาเมื่อเกิดความขดั แยง้ กนั เชิงวชิ าการ ... แต่สาหรับในกรณีเรื่องการกินเล้ียงบา้ นผูต้ ายน้ี เม่ือไดอ้ ่านหะดีษที่นักเรียนไทยในกรุง ไคโรบางท่านนาเสนอเป็นหลกั ฐานเรื่องน้ีแลว้ แมว้ ่าท่านจะมีสิทธิในการนาเสนอหลกั ฐานอยา่ งไร ก็ไดต้ ามมุมมองของท่านแต่ขอบอกตรงๆก็คือใคร่จะเสนอแนะว่า อยากให้พวกท่านนักศึกษา เหล่าน้นั ลองตรวจสอบขอ้ มูลหลกั ฐานเหล่าน้นั ให้รอบคอบถ่ีถว้ นและชดั เจนเสียก่อนที่จะนาออก เผยแพร่ กน็ ่าจะเป็นการดีสาหรับตวั พวกท่านเอง และผทู้ ี่เชื่อถือศรัทธาในตวั พวกท่าน ... ตามปกติ หะดีษท่ีท่านผูร้ ู้หรือโต๊ะครูยคุ ก่อน ชอบนามาอา้ งอิงเป็ นหลกั ฐานในเรื่องการจดั เล้ียงอาหารบา้ นผตู้ าย จะมีอยู่ 2 บทดว้ ยกนั , บทแรกกค็ ือ หะดีษซ่ึงรายงานมาจากท่าน อาศิม บิน กุลยั บ์ ซ่ึงรายงานมาจากบิดาของท่าน คือท่านกุลยั บ์ บิน ชิฮาบ (เป็นตาบิอีน, ไม่ปรากฏปี ท่ี สิ้นชีวติ ) ... จากการบนั ทึกของท่าน มุหมั มดั บิน อบั ดุลลอฮ์ อลั -คอฏีบ อตั -ติบรีศยี ์ ในหนงั สือ “มิ ชกาต อลั -มะศอเบ๊ียะห์” เกี่ยวกบั เร่ืองที่อ้างกนั ว่า ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลยั ฮิวะซัลลัม เคย รับเชิญไปทานอาหารที่ภรรยาของผู้ตายจัดเลยี้ งขึน้ มา .. ซ่ึงขอ้ เทจ็ จริงของเร่ืองน้ี เกิดข้ึนจากความ ผิดพลาดในการเรียงพิมพ์, แลว้ ผูร้ ู้บางคน กถ็ ือโอกาสนาไปขยายผลดว้ ยการอา้ งเป็นหลกั ฐานใน เร่ืองอนุญาตใหบ้ า้ นผตู้ ายเป็นเจา้ ภาพเล้ียงอาหารเพื่อส่งบุญใหแ้ ก่ผูต้ ายได้ จนทาใหเ้ กิดเป็นปัญหา โตแ้ ยง้ กนั อยพู่ กั หน่ึง ซ่ึงหะดีษบทน้ี ผมจะนามากล่าวถึงในตอนหลงั อินชา อลั ลอฮ์ .... ส่วนหะดีษบทท่ีสอง กค็ ือหะดีษของ ท่าน ฏอวูส (เป็นตาบิอีน, สิ้นชีวติ ปี ฮ.ศ.90 กว่าๆ หรือปี ฮ.ศ. 106 ตามความขดั แยง้ กันของนักวิชาการ) ซ่ึงมีขอ้ ความว่า .. บรรดาผูต้ าย จะถูก ทดสอบ (คือถูกถาม) อยใู่ นกบุ ูรฺของพวกเขา 7 วนั ดงั น้นั เศาะหาบะฮจ์ ึงชอบที่จะใหม้ ีการบริจาค อาหารแก่พวกเขาในวนั ดงั กล่าว .. ซ่ึงผมจะนาหะดีษบทน้ีมาวเิ คราะห์ในตอนหลงั อีกเช่นกนั อิน ชาอลั ลอฮ์ ....
ส่วนหะดีษอีกบทหน่ึง(ที่คนยุคใหม่บางคนนามาอา้ งกนั ) และผมจะนามาวิเคราะห์เป็นบท แรก ไดแ้ ก่หะดีษจากการรายงานของท่าน อลั -อะหน์ ฟั บิน กอ็ ยซ์ (สิ้นชีวติ ปี ฮ.ศ. 67 หรือ 72 ) ซ่ึง เป็นหะดีษที่ไม่มีผูใ้ ดเคยไดร้ ับฟังหรือเคยไดย้ นิ มาก่อนในแวดวงความขดั แยง้ เร่ืองการกินเล้ียงบา้ น ผตู้ ายท่ีเกิดข้ึนมาต้งั 40-50 ปี ที่ผา่ นมา ... ผมไดร้ ับทราบการอา้ งถึงหะดีษบทน้ีเป็นคร้ังแรกจากหนงั สือท่ีผเู้ ขียนนิรนาม คือ ไม่มีการ ระบุชื่อ ไดก้ ล่าวในหนงั สือ “การอ่านอลั กุรอานให้กบั ผูต้ าย” หนา้ 36 แลว้ ต่อมาก็ไดเ้ ห็นเป็ น คร้ังท่ีสองจากเวบ็ ไซดฯ์ โดยนกั เรียนไทยในประเทศอียปิ ตบ์ างท่าน ไดน้ าหะดีษบทน้ีมาเสนอไว้ เป็นหลกั ฐานเรื่องการอนุญาตใหบ้ า้ นผตู้ ายเป็นเจา้ ภาพเล้ียงอาหารเพ่ือส่งบุญใหผ้ ตู้ าย ควบคู่กบั หะ ดีษของท่านฏอวสู ขา้ งตน้ ... ซ่ึงผมไม่แน่ใจวา่ นกั เขียนนิรนามขา้ งตน้ น้นั กบั ผทู้ ่ีนาขอ้ มูลเหล่าน้ีใส่ ลงในเวบ็ ไซดน์ ้ี จะเป็นคนเดียวกนั หรือเปล่า ? ... หะดีษบทน้นั ผมจะคดั ลอกมาให้ท่านผูอ้ ่านไดเ้ ห็นพร้อมดว้ ยคาแปลจากเวบ็ ไซด์ คาต่อคา .. แล้วผมก็จะทาการวิเคราะห็ข้อเท็จจริงของหะดีษบทน้ันให้ท่านผูอ้ ่านได้รับทราบตามหลัก วชิ าการวา่ หะดีษดงั กล่าว เป็นหลกั ฐานเรื่องอนุญาตใหค้ รอบครัวผูต้ ายเป็นเจา้ ภาพจดั เล้ียงอาหาร ไดจ้ ริงดงั อา้ งหรือไม่ ? .. ดงั ต่อไปน้ี .... 1 - ท่านอัล-หาฟิ ซ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ได้ กล่าวรายงานจากท่านอะหฺมัด บิน มะนอี ฺ ซ่ึงเขาได้กล่าวรายงานไว้ในมสุ นดั ของเขาว่า ... َ ََلا،ٌٌ لاَ يَ ْد ُخلُ أَ َح ٌد ِم ْن قُـَريْ ٍش ِِْ ََ ٍب ِل َاّ ََ َخ َل َمَعهُ نَا: ُكْن ُت أَْْسَ ُع عُ َمَر يَـُقْوُل: َع ِن اْلأَ ْحنَ ِف بْ ِن قَـْي ٍس قَا َل َوأََمَر أَ ْن َْيَع َل لِل َنّا ٌِ ََُعاما ََـلَ َّما،أَ َْ ِر ْى َما َتْ ِويْ ُل قَـْولِِه َح َّّت ُُِع َن عُ َمُر ََأََمَر ُصَهْيـبا أَ ْن يُ َصِل َى َِل َنّا ٌِ ثَلاَث ََ َجاءَ الَْع َبّا ٌُ بْ ُن، ََأَْم َس َك ال َنّا ٌُ َعْنـَها لِْل َحَزِن ا َلّ ِذ ْى ُه ْم َِْيِه،َر َجعُْوا ِم َن ا ْلَنَاَزِة َجاُؤاْ َوقَ ْد ُو ِضَع ِت الْ َمَوائُِد .. الْحَِديْ َث... َيأَيـَهاال َنّا ٌُ قَ ْد َما َت: ََـَقا َل،َعْب ِد الْ ُم َطِّل ِب “รายงานจากอะหฺนัฟ บิน กัยซฺ เขากล่าวว่า ฉันได้ยินท่านอุมัรกล่าวว่า “คนหน่ึงจาก กุร็อยช์ จะไม่เข้าในประตูหนึ่ง นอกจากว่า ต้องมีผู้คนเข้ามาพร้อมกับเขาด้วย” ดังน้ัน ฉันจึงไม่รู้ ถึงการตีความคาพูดของท่านอุมัร จนกระท่ัง ท่านอุมัรได้ถูกลอบแทง แล้วท่านอุมัรจึงใช้ให้ท่านซุ ฮัยบ์ ทาการนาละหมาด ญญะนาซะฮ์ สามรอบด้วยกัน และท่านอุมัรกใ็ ช้ให้เขาทาอาหารให้แก่ บรรดาผู้คน ดังน้ัน ในขณะท่ีผู้คนได้กลับมาจาก ญฝัง ญะนาซะฮ์ พวกเขากก็ ลับมา โดยมีบรรดา สารับอาหารวางอย่แู ล้ว แต่บรรดาผ้คู นกง็ ดที่จะรับประทานน้ัน อันเนื่องจากความโศกเศร้าท่ีพวก เขาเป็นอยู่ ดังน้ัน ท่านอัลอับบาส บินอบฏู อลิบกม็ า แล้วกล่าวว่า โอ้บรรดาผ้คู นทั้งหลาย แท้จริง ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ญซ.ล. ได้เสียชีวิตไปแล้ว .....” สายรายงาน “หะซัน” ดูหนังสือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซะวาอิด อัลษะมานยี ะฮ์ เล่ม 1 หน้า 198 หะดีษที่ 709 .
หะดีษที่ท่านเจา้ ของเวบ็ ฯนามาอา้ งมีขอ้ ความอยูเ่ พียงแค่น้ี ดงั การบนั ทึกในหนงั สือ “อลั - มะฏอลิบ อลั -อาลิยะฮ”์ ฉบบั ที่อยใู่ นมือของผมเป็นเล่มที่ 2 หนา้ 534, หรือเป็นหะดีษที่ 858 จาก การพิมพค์ ร้ังแรกของสานกั พมิ พ์ ดารุลกตุ ุบ อลั -อิลมียะฮ์ แห่งกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ... เพื่อใหห้ ะดีษขา้ งตน้ น้ีสมบูรณ์ยงิ่ ข้ึน ผมกข็ อนาเอาขอ้ ความถดั จากท่ีถูกละไวน้ ้นั อนั ถูกอา้ ง วา่ เป็นคาพดู ของท่านอบั บาส ร.ฎ. พร้อมดว้ ยคาแปลของผมมาใหอ้ ่านกนั ดงั น้ี ُُيااواداسَُُلّاماوامفاَأّاد اكالْلَننّااا باُسْْعأااديُُِْديااوُهاَْمِبْفاناأاا اكلُاْووااما فااْتاعاِأافْبُْوُبات َْْاتفِْفاِوأايْاكالْلناقااْوبلِاِْهْع اد اعلاْيِه ُالاهلِهاذاالاصَلَّطّْاعىاِامل\"له \"َاياوأاُيّاَاهِبْاانالاَنّا أاُُيسّ!اهااقالَْنّدا امُاس!اتُكلُارْواُسِْومُلْن فاام َّد “ประชาชนท้ังหลาย! แน่นอน (ตอนท่ี)ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิวะซัลลมั สิ้นชีวติ พวกเรากม็ ีการกินและการดื่มหลงั จาก(การตาย)น้นั , และเม่ือท่านอบูบกั รฺสิ้นชีวติ พวกเราก็ มีการกินการดื่มหลงั จาก(การตาย)น้นั , ประชาชนท้งั หลาย! เชิญพวกท่านกินอาหารน้ีเถิด” .. แลว้ ท่านอบั บาสและประชาชนก็เอ้ือมมือไปหยิบและกินอาหารกนั .. ดังน้ัน ฉัน (อะห์นัฟ บิน กอ็ ยซ)์ จึงเขา้ ใจการไขความหมายจากคาพูดของท่าน(อุมรั ฺขา้ งตน้ ) ... (จากหนงั สือ “ِ ”إِْتاا ُف الْ ِِيااِةหะดีษท่ี 2723) วภิ าษ -วเิ คราะห์. สายรายงานของหะดีษบทน้ี มีดงั น้ี ... َع ِن، َع ْن الْحَ َس ِن، َع ْن َعِل ِى بْ ِن َزيِ ٍد،َ ثَـنَا حَ َمّا َُ بْ ُن َسلَ َمة،َق ََ ََ ََا َل أَح َمدُ ب ُن َمني ٍع ٍَ َح َّدثَـنَا يَِزيْ ُد بْ ُن َهاُرْو َن ....... ُكْن ُت أَْْسَ ُع عُ َمَر يَـُقْوُل: اْلأَ ْحنَ ِف بْ ِن قَـْي ٍس قَا َل 1. อะห์มดั บิน มะเน๊ียะอฺ 2. ยะซีด บิน ฮารูน 3. หมั มาด บิน สะละมะฮ์ 4. อะลีย์ บิน ซยั ด์ บิน ญุดอาน 5. หะซนั อลั -บศั รีย์ 6. อะหน์ ฟั บิน กอ็ ยซ์ ผมจะไม่ถาม .. วา่ การท่ีท่านอา้ งหะดีษบทน้ีมาเป็นหลกั ฐานเร่ือง “การทาบุญบา้ นคนตาย” น้นั ท่านอ้างในฐานะทท่ี ่านเป็ น “มุกอ็ ลลดิ ” หรือเป็ น “มจุ ญตะฮิด?”
เพราะหากผมถาม ท่านกต็ อ้ งตอบว่า ท่านเป็ นมุก็อลลิด, .. แลว้ หากผมถามต่อไปว่า ถา้ อยา่ งน้นั อิหม่ามมุจญตะฮิดท่านใดหรือนกั วชิ าการท่านใดในอดีตท่ีท่าน “ตกั ลีด” พวกเขา เคย อา้ งหะดีษบทน้ีเป็นหลกั ฐานในเรื่องการทาบุญบา้ นคนตาย มาก่อนหนา้ พวกท่าน ? ... แน่นอน ท่านคงให้คาตอบผมไม่ได้ เพราะไม่เคยปรากฏว่า จะมีอิหม่ามมุจญตะฮิดหรือ นกั วิชาการท่านใดในอดีต ไดอ้ า้ งหะดีษบทน้ีมาเป็นหลกั ฐานเร่ือง “การทาบุญบา้ นคนตาย” ตาม ความเขา้ ใจของท่านมาก่อน นอกจาก -- ตามความเขา้ ใจของผมซ่ึงคิดว่า ไม่น่าจะผิด -- ท่าน อาจจะ “คดั ลอก” หะดีษบทน้ีมาจากนกั วิชาการ “ยคุ ใหม่” ในประเทศอาหรับบางคนที่มีความ เชื่อในเร่ืองน้ี และถือโอกาสอ้างหะดีษบทน้ีมาเป็ นหลักฐานสนับสนุนความเช่ือเรื่องการ “ทาบุญ” บา้ นคนตายของตน ท้งั ๆที่ตวั เองขาดความรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองหะดีษ ... แลว้ ท่านกไ็ ปคดั ลอกหะดีษน้ีจากหนงั สือดงั กล่าวมาเผยแพร่(เพราะมนั สอดคลอ้ งกบั ทศั นะ ของท่าน) จึงทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจผดิ ข้ึน ดงั จะไดอ้ ธิบายต่อไป ... ผมไม่เช่ือว่า ท่านจะ “คดั ลอก” หะดีษน้ีมาจากหนังสือ “อลั -มะฏอลิบ อลั -อาลิยะฮ์” ของท่านหาฟิ ซ อิบนุหะญัรฺ โดยตรง, เพราะถา้ ท่านคดั ลอกหะดีษน้ีมาจากตน้ ฉบับดังกล่าวด้วย ตนเองจริงๆ ท่านกค็ งจะไดเ้ ห็น “สายรายงาน” ของมนั ซ่ึงท่านหาฟิ ซ ไดร้ ะบุเอาไวด้ ว้ ยดงั ที่ผม ไดน้ าเสนอมาขา้ งตน้ น้นั และในฐานะนกั ศกึ ษาระดบั สูงเยยี่ งท่าน กค็ งจะพอ “มองออก” วา่ สาย รายงานของหะดีษน้ี หะซนั ดงั การอา้ งของท่าน .. หรือเป็นสายรายงานที่ “เฎาะอีฟ” กนั แน่ ? ... แต่ตอนน้ี ผมขอบอกใหท้ ่านทราบก่อนวา่ ในการแปลและการอธิบายของท่านต่อขอ้ ความ ของหะดีษขา้ งตน้ ยงั มีจุด “ผดิ พลาด” อยถู่ ึง 3 ประเดน็ ดว้ ยกนั ดงั น้ี ... (1). คาแปลท่ีว่า .. “ดังน้ัน ท่านอัลอับบาส บิน อบูฏอลิบ” .. น้นั เขา้ ใจว่าท่านอาจจะ แปลผิดพลาดเพราะความเผอเรอ เพราะคาแปลที่ถูกต้องก็คือ “ท่านอัล-อับบาส บินอับดุล มุฏฏอลบิ ” .. ดงั ขอ้ ความของภาษาอฺรับขา้ งตน้ ... (2). คาอธิบายท่ีว่า .. “แล้วท่านอุมัรฺจึงใช้ให้ท่านซุฮัยบ์ ทาการนาละหมาด ญญะนาซะฮ์ สามรอบด้วยกนั ” .. คาอธิบายตอนน้ี ผิดพลาดอยา่ งชดั เจน, เพราะขอ้ เทจ็ จริงของเหตุการณ์ตอนน้ี กค็ ือ ท่านอุมรั ฺ ร.ฎ. ไดใ้ ชใ้ หท้ ่านสุฮยั บ์ บิน สินาน ทาหนา้ ที่เป็นอิหม่าม นาประชาชนนมาซญะ มาอะฮ์ห้าเวลา เป็นเวลา 3 วนั .... ไม่ใช่เป็นอิหม่ามนานมาซญะนาซะฮท์ ่าน 3 รอบ ดงั ท่ีอธิบายมาน้นั ... ขอ้ เท็จจริงของประวตั ิศาสตร์เรื่องการถูกฆาตกรรมของท่านอุมรั ฺ ร.ฎ. จากหะดีษที่ถูกตอ้ ง ซ่ึงบันทึกโดยท่านบุคอรีย์ หะดีษที่ 3700, และท่านอิบนุหะญรั ฺ อลั -อสั เกาะลานีย์ ในหนังสือ “อลั -มะฏอลิบ อลั -อาลิยะฮ”์ เล่มท่ี 8 หนา้ 366-367 หรือหะดีษท่ี 3902 มีพอเป็นสังเขปดงั น้ี ...
ท่านอุมรั ฺ อิบนุ้ล ค็อฏฏอบ ร.ฎ. ถูกลอบทาร้ายดว้ ยดาบในตอนเช้ามืดของวนั พุธ ท่ี 26 เดือนซุลหิจญะฮ์ ฮ.ศ. 23 ดว้ ยน้ามือของคนนอกศาสนา ช่ือ ฟัยรูซ (มีชื่อรองวา่ อบู ลุอล์ ุอ)์ , ซ่ึง เป็ นคนรับใชข้ องท่านอลั -มุฆีเราะฮ์ บิน ชุอฺบะฮ์ .. หลงั จากท่ีท่านเพิ่งจะเสร็จจากการกล่าวตกั บี เราะตุล้ เอี๊ยะหร์ อม เพื่อทาหนา้ ท่ีอิหม่ามนานมาซซุบหใ์ นเชา้ มืดของวนั ดงั กล่าวพอดี ... หลงั จากถูกลอบทาร้าย ท่านกย็ งั มีลมหายใจอย่อู ีก 3 วนั แลว้ จึงสิ้นชีพในวนั เสาร์ ท่ี 29 ของเดือนซุลหิจญะฮ์ และมยั ยติ ของท่าน กถ็ ูกฝังในเชา้ วนั อาทิตย์ ที่ 1 เดือนมุห้รั รอม ฮ.ศ. 24 อนั เป็นวนั ปี ใหม่ตามปฏิทินอิสลาม .. ภายในบริเวณบา้ นของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. ... เคียงคู่อยกู่ บั ท่านรอซูล้ ุลลอฮ์ ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิวะซลั ลมั และท่านอบูบกั ร.ฎ. ยอดปิ ยมิตร ของท่าน .... ในขณะที่ท่านมีอาการหนักจากพิษบาดแผล มีบางคนเสนอแนะให้ท่านแต่งต้งั ผูท้ ่ีจะทา หน้าท่ีเป็ นคอลีฟะฮ์แทนท่าน แต่ท่านอุมรั ฺ ร.ฎ. ปฏิเสธขอ้ เสนอดงั กล่าว โดยท่านไดเ้ รียกเศาะ หาบะฮอ์ าวโุ สจานวน 6 ท่าน คือท่านอุษมาน, ท่านอะลยี ์, ท่านฏอ็ ลหะฮ์, ท่านอซั -ซุบัยรฺ, ท่าน อบั ดุรฺเราะห์มาน บินเอาฟ์ , และท่านสะอดั บิน อบีย์วกั กอส มาหา และสั่งใหพ้ วกเขาเขา้ ไปประชุม – ชูรออ์ – กนั ในบา้ นหลงั หน่ึงเป็นเวลา 3 วนั เพ่ือเลือกเฟ้นตวั ผทู้ ่ีจะมาทาหนา้ ท่ีเป็นคอลีฟะฮค์ น ต่อไป ซ่ึงในการน้ี ท่านได้ส่ังให้ท่านสุฮัยบ์ บิน สินาน ทาหน้าที่เป็ นอิหม่ามนาประชาชนนมาซ ฟัรฺฎู 5 เวลาใน 3 วนั ดังกล่าวน้ัน และกาชบั ท่านสุฮยั บว์ า่ หากบุคคลท้งั หก ลงมติเลือกใครเป็นคอ ลีฟะฮแ์ ลว้ กใ็ หถ้ ือปฏิบตั ิตามน้นั ผใู้ ดฝ่ าฝื นกใ็ หป้ ระหารชีวติ เสีย .... แลว้ สุดทา้ ย มติในที่ประชุมชูรออ์ ก็ตกลงเลือกท่านอุษมาน บิน อฟั ฟาน ร.ฎ. ให้ดารง ตาแหน่งเป็นคอลีฟะฮส์ ืบแทนท่านอุมรั ฺ อิบนุล้ คอ็ ฏฏอบ ร.ฎ. ต่อไป ... และในการนมาซญะนาซะฮท์ ่านอุมรั ฺ ปรากฏว่าท้งั ท่านอะลียแ์ ละท่านอุษมาน ต่างแก่งแยง่ กนั จะทาหนา้ ที่เป็นอิหม่าม แต่ท่านอบั ดุรฺเราะห์มาน บิน เอาฟ์ ไดท้ ดั ทานไว้ โดยใหเ้ หตุผลว่า ท่าน อุมรั ฺ ร.ฎ. ไดม้ อบหมายใหท้ ่านสุฮยั บ์ ทาหนา้ ที่เป็นอิม่ามมาตลอดท้งั 3 วนั ท่ีผา่ นมาแลว้ จึงสมควร ใหท้ ่านสุฮยั บท์ าหนา้ ท่ีเป็นอิหม่ามนานมาซญะนาซะฮต์ ่อไป ท่านสุฮยั บจ์ ึงเป็ นผูน้ านมาซญะนา ซะฮท์ ่านอุมรั ฺ ร.ฎ. ในวนั น้นั ... ในหนังสือ “อลั -บิดายะฮ์ วนั -นิฮายะฮ์” เล่มที่ 4 (ส่วนที่ 7) หน้า 341 อันเป็ นตอนท่ี กล่าวถึงประวตั ิของท่านสุฮยั บ์ บิน สินาน ท่านอิบนุกะษรี ฺ ไดก้ ล่าววา่ ... َوُهَو ا َلّ ِذ ْى َوَِل ال َّصلاََة َعلَى،َولَ َّما َجَع َل ُع َمُر اْلَأْمَر ُشْوَرى َكا َن ُهَو ا َلّ ِذ ْى يُ َصِلى َِ َلّنا ٌِ َح َّّت تَـَع َّيَن ُعثْ َما ُن ... عُ َمَر
“และเมื่อท่านอุมรั ไดก้ าหนดภารกิจ (การเลือกคอลีฟะฮ)์ เป็ นการชูรออ์ ท่านสุฮยั บจ์ ึงตอ้ ง ทาหน้าทเี่ ป็ นอหิ ม่ามนานมาซประชาชน จนกระทง่ั ท่านอุษมานไดร้ ับการคดั เลือกใหเ้ ป็นคอลีฟะฮ,์ และท่านสุฮยั บ์ ยงั ทาหนา้ ที่เป็นอิหม่าม นานมาซญะนาซะฮท์ ่านอุมรั ฺ ร.ฎ. อีกดว้ ย” ... และในหนา้ ท่ี 156 ของหนงั สือเล่มเดียวกนั ท่านอิบนุกะษีรฺ กไ็ ดก้ ล่าวไวอ้ ีกวา่ . ... َوأَْو َصى أَ ْن يُ َصِل َى َِ َلّنا ٌِ ُصَهْي َب بْ َن ِسنَا ٍن الرْوِم َّى ثَلاَثََة أَ َّيٍم َح َّّت تَـْنـَق ِض َى الشْوَرى “และท่านอุมรั ฺ ร.ฎ. กไ็ ดส้ ั่งใหท้ ่านสุฮยั บ์ บิน สินาน อรั ฺ-รูมีย์ นาประชาชนนมาซเป็ นเวลา 3 วนั จนกวา่ การประชุมชูรออจ์ ะสาเร็จ ...” เพราะฉะน้นั จึงขอถามว่า คาแปลของท่านท่ีว่า “ท่านอุมรั ฺไดใ้ ชใ้ ห้สุฮยั บ์นานมาซญะนา ซะฮท์ ่าน 3 รอบ” น้นั ท่านเอาคาแปลน้ีมาจากไหน ? ... (3). ขอ้ ความตอนทา้ ยที่ว่า .. “สายรายงาน หะซัน” .. น้นั ไม่ว่าคาพูดน้ีจะเป็นคาพูดของ ท่านเอง หรือเป็ นคาพูดของเจา้ ของหนังสือท่ีท่านคดั ลอกมา ก็ถือว่าเป็นคาพูดท่ีคลาดเคล่ือนจาก ขอ้ เทจ็ จริงโดยสิ้นเชิง ... ท้งั น้ี กเ็ พราะหะดีษบทน้ี เป็นหะดีษที่ “เฎาะอฟี ” ท้งั สายรายงานและตัวบท, เน่ืองจากมี จุดบกพร่องอยู่ 3 ประการดว้ ยกนั , ... เป็นความบกพร่องในสายรายงาน 2 จุด และบกพร่องใน ขอ้ ความหรือตวั บทอีก 1 จุด คือ .... (1). ผูร้ ายงานลาดบั ที่ 4 คือ ท่านอะลีย์ บิน ซัยด์ บิน ญุดอาน (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 131) เป็ นผู้รายงานทเี่ ฎาะอฟี , .. ดงั คากล่าวของท่านอิบนุหะญรั ฺ อลั -อสั เกาะลานียเ์ องในหนงั สือ “อตั - ตกั รีบ” เล่มที่ 2 หนา้ 37 ... นกั วชิ าการส่วนมากถือว่า ท่านอะลีย์ บินซัยด์ผูน้ ้ี เป็ นผูร้ ายงานหะดีษท่ีขาดความเชื่อถือ, แมก้ ระทง่ั ท่านบุคอรีย์ และท่านอบู หาติม ก็ยงั กล่าววิจารณ์ว่า ِِ لاَ ُْيتَج بِه.. คือ จะอ้างเขา (อะลีย์ บนิ ซัยด์ บิน ญดุ อาน) เป็ นหลกั ฐานไม่ได้ ... (จากหนงั สือ “มีซาน อลั -เอ๊ียะอฺติดาล” เล่มท่ี 3 หนา้ 128) .... (2). ผรู้ ายงานลาดบั ที่ 5 คือ ท่านหะซนั อลั -บศั รีย์ (สิ้นชีวติ ปี ท่ี 110) แมโ้ ดยทว่ั ไปจะ เป็นผูท้ ี่ไดร้ ับการยกยอ่ งอยา่ งสูง แต่กม็ ีชื่อเสียงในดา้ นการรายงานหะดีษในลกั ษณะมวั่ นิ่ม(ตดั ลีซ) .. คือ อา้ งการรายงานหะดีษจากบุคคลหน่ึง ในขณะท่ีหะดีษน้นั ท่านไดร้ ับฟังมาจากบุคคลอื่น .. ซ่ึงเรื่องน้ี ถือเป็นขอ้ บกพร่องท่ีทาใหห้ ะดีษที่ท่านรายงาน ไม่ไดร้ ับความเช่ือถือจากนกั วิชาการหะ ดีษโดยทว่ั ๆไป ....
(ดูประวตั ิย่อของท่านหะซัน อลั -บศั รีย์ จากหนงั สือ “ตกั รีบ อตั -ตกั รีบ” เล่มที่ 1 หน้า 165, และหนงั สือ “อตั -ตดั ลีซ ฟิ ล หะดีษ หนา้ 291 เป็นตน้ ) .... และหะดีษบทน้ี ท่านหะซันใช้สานวนในการรายงานว่า .. َع ِن اْلَأ ْحنَ ِف بْ ِن قَـْي ٍس: จาก ท่านอะห์นฟั บิน กอ็ ยซ์ .. (ดูสายรายงานจากหนา้ 4) ซ่ึงถือว่า เป็ นการรายงานในลกั ษณะ “ตดั ลซี ” ตามหลกั วชิ าการหะดีษ .... ดงั น้นั หะดีษน้ีจึงเรียกว่าเป็น “หะดีษ มุดัลลซั ” คือ หะดีษที่ถูกรายงานในลกั ษณะมวั่ น่ิม อนั เป็นหะดีษเฎาะอีฟประเภทหน่ึง .... (3). ส่วนการบกพร่องในขอ้ ความหรือตวั บทหะดีษ กค็ ือ ขอ้ ความที่วา่ .. “และท่านอุมรั ฺก็ ได้ใช้ให้เขา ญสุฮัยบ์ ทาอาหารให้แก่บรรดาผ้คู น ........” ถือว่า เป็ นข้อความที่ “มุงกรั ฺ” คือ อ่อน มาก .. ท้งั น้ี เนื่องจากขอ้ ความดงั กล่าวน้ี มีอยู่เฉพาะในหะดีษบทนี้ (ซ่ึงเป็ นหะดีษท่ีสายรายงาน เฎาะอีฟดงั กล่าวมาแลว้ ) เพียงบทเดียว .. ในขณะที่หะดีษเศาะเห๊ียะฮ์บทอ่ืนท่ีรายงานมาเก่ียวกบั เร่ืองการถูกฆาตกรรมของท่านอุมรั ฺ ร.ฎ. จากการบนั ทึกของท่านบุคอรีย์ หะดีษท่ี3700 ก็ดี, หรือ จากการบนั ทึกของท่านอิบนุหะญรั ฺ อลั -อสั เกาะลานีย์ ในหนงั สือ “อลั -มะฏอลิบ อลั -อาลิยะฮ์” เล่มท่ี 8 หน้า 366 (หะดีษที่ 3902) ที่มีเน้ือหาละเอียดยืดยาวกว่าหะดีษบทน้ีมากก็ดี, จะไม่ ปรากฏมีขอ้ ความเร่ืองท่านอุมรั ฺ ร.ฎ. ไดส้ ่ังท่านสุฮยั บ์ให้จดั อาหารเพ่ือเล้ียงผูค้ นหลงั จากการตาย ของท่าน ดงั ท่ีมีระบุไวใ้ นหะดีษบทน้ีแต่ประการใด ... นอกจากน้ี เน้ือหาตอนทา้ ยของหะดีษเฏาะอีฟบทน้ีซ่ึงสรุปว่า ท่านอบั บาส บิน อับดุล มุฏฏอลิบ ร.ฎ.. ไดก้ ินและไดส้ ่ังใหป้ ระชาชนกินอาหารท่ีถูกนามาเล้ียง หลงั จากการฝังท่านอุมรั ฺ ร.ฎ.แลว้ โดยอ้างว่า เมื่อตอนที่ท่านศาสดาและท่านอบูบักรฺตาย กเ็ คยมกี ารจัดเลยี้ งอาหารกนั ใน ลักษณะนี้ .. ก็ขดั แยง้ กบั หะดีษท่ีเศาะเห๊ียะฮ์ (ถูกตอ้ ง) ที่ท่าน ญะรีรฺ บิน อบั ดุลลอฮ์ อลั -บะญะลีย์ ร.ฎ. (สิ้นชีวติ ปี ฮ.ศ. 51) ไดก้ ล่าวเอาไวว้ า่ .... ُك َنّا نَـُعد اْلِإ ْجتِ َما َع َِِل أَْه ِل الْ َميِ ِت َو ُصْنـَع َة ال َطَّعاِم بَـ ْع َد َََْنِِه ِم َن النِيَا َحِة “พวกเรา (เศาะหาบะฮ)์ ถือวา่ การไปชุมนุมกนั ท่ีบา้ นผูต้ าย และทาอาหารเลยี้ งกนั หลงั จาก การฝังมยั ยติ เสร็จแล้ว เป็นส่วนหน่ึงของนิยาหะฮ์ (การแสดงออกถึงความเศร้าโศกอยา่ งรุนแรงเกิน พอดี ซ่ึงเป็นเร่ืองตอ้ งหา้ มตามหลกั การศาสนา)” ... (บนั ทึกโดย ท่านอะห์มดั หะดีษที่ 6905 จากการตะห์กีกของท่านอะห์มัดชากิรฺ , และ ท่านอิบนุมาญะฮ์ หะดีษท่ี 1612 ดว้ ยสายรายงานท่ีถูกตอ้ ง ดงั การรับรองของท่านอิหม่ามนะวะวีย์ ในหนงั สือ “อลั -มจั ญมว๊ั ะอฺ” เล่มที่ 5 หนา้ 320) ...
จะเห็นไดว้ า่ ขอ้ ความของหะดีษเฎาะอฟี ขา้ งตน้ อา้ งวา่ ท่านอบั บาส ร.ฎ. ไดก้ ินและส่งเสริม ให้ประชาชนกินอาหารที่บ้านผู้ตายหลังจากฝังมัยยิตแล้ว, .. ขัดแยง้ กับข้อความของหะดีษ เศาะเห๊ียะฮ์ จากท่านญะรีรฺ ร.ฎ. ท่ีกล่าวว่า บรรดาเศาะหาบะฮถ์ ือว่า การไปร่วมกินอาหารท่ีบา้ น ผตู้ ายหลงั จากฝังมยั ยติ แลว้ เป็ นเรื่องต้องห้าม ... หะดีษเฎาะอีฟบทใดท่ีถูกรายงานมา, หรือรายงานเพ่ิมเติมบางส่วนมา ใหข้ ดั แยง้ กบั รายงาน จากหะดีษเศาะเห๊ียะฮ์ หะดีษบทน้นั หรือส่วนที่รายงานเพิ่มเติมมาน้นั ตามหลกั วิชาการหะดีษถือวา่ เป็นหะดีษ “มุงกรั ฺ” คือ หะดีษซ่ึงถูกปฏิเสธความถูกตอ้ ง ... สรุปแลว้ หะดีษของท่านอะห์นัฟ บิน ก็อยซ์ขา้ งตน้ ท่ีท่านนามาอา้ งเป็ นหลกั ฐานเรื่อง อนุญาตใหบ้ า้ นผูต้ ายเป็นเจา้ ภาพเล้ียงอาหารเพื่อส่งบุญใหแ้ ก่ผูต้ ายไดน้ ้ัน จึงมิใช่เป็นหะดีษท่ีสาย รายงานหะซนั ดงั คาอา้ งของท่าน แต่ .. เป็นหะดีษที่สายรายงานเฎาะอีฟ, ... และขอ้ ความท่ีว่า .. ท่านอุมัรฺ ได้ส่ังให้ ท่านสุฮัยบ์จัดอาหารเลี้ยงผู้คน, และข้อความตอนท้ายท่ีท่ านอัล -อับบาส คะย้ันคะยอให้ ผู้คนกินอาหารท่ีบ้านท่านอุมัรฺหลังจากฝังมัยยิตของท่านแล้ว โดยอ้างว่า ตอนที่ ท่านนบีย์ ศอ็ ลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม และท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. ตาย กเ็ คยมีการจัดเลีย้ งอาหารกัน อย่างนี้ .. กเ็ ป็นขอ้ ความที่ “มุงกรั ฺ” หรือเฎาะอีฟมากตามหลกั วิชาการ จึงนามาอา้ งเป็นหลกั ฐาน ไม่ได้ .... วลั ลอฮุ อะอฺลมั , และมีกล่าวในเวบ็ ไซดด์ งั กล่าวต่อไปอีกวา่ ... 2 – ท่านอัล-หาฟิ ซ อิบนุ หะญัร อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้ทาการรายงานจากท่านอิหม่ามอะหฺ มดั โดยท่ีท่านอะหฺมดั ได้รายงานไว้ในหนงั สือ อัซซุฮ์ด ว่า ، ِ َّن الْ َمْوت َى يـُْفتَـنُـْو َن ِِْ قُـبُـْوِرِه ْم َسْبـعا: ٌٌ قَا َل َُاُوْو: ُسْفيَا ُن قَا َل .. َوَكانـُْوا يَ ْستَ ِحبـْو َن أَ ْن يُطِْع ُمْوا َعْنـ ُه ْم تِْل َك اْلأَ َّي َم “ท่านซุฟยานกล่าวว่า ท่านฏอวูสกล่าวว่า แท้จริงผ้ตู ายน้ัน พวกเขากาลังถูกสอบถามในกุ บรู ของพวกเขา ถึง 7 วนั และบรรดาซอฮาบะฮ์ มคี วามชอบท่ีจะทาการเลยี้ ง ญให้ อาหารแทนจาก พวกเขา ในเจด็ วนั ดังกล่าว” ท่านชัยค์ อัลอะซ่อมีย์กล่าวว่า สายรายงานหะดีษนี้ ( قَِوىมีนา้ หนัก หนงั สือ อัลมะฏอลิบ อัลอาลิยะฮ์ บิ ซะวาอิด อัลษะมานยี ะฮ์ เล่ม 1 หน้า 199 วภิ าษ – วเิ คราะห์
รายงานขา้ งตน้ น้ี บนั ทึกโดยท่านอิหม่ามอะห์มดั อิบนุ หัมบลั ในหนงั สือ “อซั -ซุฮด์ ”์ , ดงั การอา้ งอิงของท่านอซั -สะยฏู ียใ์ นหนงั สือ “ฏุลูอุษ ษุร็อยยาฯ” อนั เป็นหนงั สือในชุด “อลั -หาวีย์ ลิล ฟะตาวีย”์ ของท่าน เล่มที่ 2 หน้า 317, และท่านอบู นุอยั ม์ ในหนังสือ “หิลยะตุล้ เอาลิ ยาอ์” เล่มท่ี 4 หน้า 12 หมายเลข 4593 ... โดยรายงานมาจากท่านฮาชิม บิน อลั -กอซิม, จาก ท่านอลั -อชั ญะอีย,์ จากท่านซุฟยาน อษั -เษารีย,์ จากท่านฏอวสู .... ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้คัดลอก (ไม่ใช่รายงาน) หะดีษน้ีมาบรรจุไวใ้ น หนงั สือ “อลั -มะฏอลิบ อลั -อาลิยะฮ”์ ของท่าน เล่มที่ 2 หนา้ 535 หรือหะดีษที่ 859 .... ณ ท่ีน้ี ผมมีประเด็นท่ีจะตอ้ งช้ีแจงต่อท่านผูเ้ ขียนขอ้ ความน้ีในเวบ็ ไซด์ และต่อท่านผูอ้ ่าน ดงั ต่อไปน้ี .... (1). คากล่าวของท่านท่ีว่า .. “ท่านชัยค์ อัลอะซ่อมีย์กล่าวว่า สายรายงานหะดีษนี้ “มี นา้ หนัก” .. น้นั ไม่ทราบวา่ เช็ค อลั อะซ่อมียท์ ่ีท่านอา้ ง จะหมายถึง ด็อกเตอร์ มุหัมมัด มุศฏอฟา อลั -อะอศฺ อมยี ์ หรือหมายถึง เช็คหะบบี ุรฺเราะห์มาน อลั -อะอศฺ อมยี ์ กนั แน่ ? แต่ถา้ เดาไม่ผดิ กน็ ่าจะ เป็นคนหลงั มากกวา่ เพราะรายน้ีเท่าที่ทราบ ชอบเขียนหนงั สือแหวกแนวในลกั ษณะขดั แยง้ กบั ซุน นะฮอ์ ยหู่ ลายเรื่อง ... มุมมองของผมในกรณีน้ี แตกต่างกบั ท่านอลั อะซ่อมีย,์ .. คือผมมองว่าสายรายงานหะดีษ บทน้ี เป็นสายรายงานที่เฎาะอีฟ, .. และถา้ ขอ้ เทจ็ จริงเป็นดงั ท่ีผมเขา้ ใจ ขอ้ ความของหะดีษที่วา่ .. “บรรดาเศาะหาบะฮ์ ชอบท่ีจะให้มีการบริจาคอาหารแทนผู้ตายใน ญเจ็ด วันดังกล่าวนั้น ” .. ก็ น่าจะเป็นขอ้ ความท่ี “เฎาะอีฟ” เหมือนหะดีษบทแรกท่ีผา่ นมาแลว้ ... แต่ก่อนอื่น ผมอยากจะให้ท่านผูอ้ ่านพิจารณาข้อความจากหะดีษขา้ งต้นน้ันให้ถ่ีถ้วน เสียก่อนแลว้ ท่านจะพบวา่ ขอ้ ความของหะดีษน้ี แบ่งเป็น 2 วรรคดว้ ยกนั ... วรรคแรกคือขอ้ ความท่ีว่า .. “แท้จริง ผู้ตายน้ันจะถูกสอบถามในกุบูรฺของพวกเขา 7 วัน” .. ซ่ึงขอ้ ความจากวรรคน้ี เป็ นเร่ืองราวเก่ียวกบั ความเร้นลบั ในหลุมฝังศพของผูต้ าย อนั เป็ นเรื่อง ของอะกีดะฮ์ ... ส่วนวรรคที่สอง กล่าวว่า .. “บรรดาเศาะหาบะฮ์ ชอบที่จะให้มีการบริจาคอาหารแทน ผู้ตายใน (เจด็ ) วนั ดังกล่าว” .. ขอ้ ความจากวรรคน้ี เป็นเร่ืองของผทู้ ี่ยงั มีชีวติ อยกู่ ระทาใหแ้ ก่ผตู้ าย อนั เป็นเร่ืองของภาคปฏิบตั ิ ... และ .. จากวรรคแรกที่วา่ .. “ผ้ตู ายจะถูกสอบถามในกุบูรฺของเขา 7 วัน” .. น้นั ขอ้ ความ ดงั กล่าวน้ี ไดร้ ับ “การยืนยนั ” หรือ َشاِه ٌدจากหะดีษอีกบทหน่ึง ซ่ึงท่านอิบนุ ญุร็อยจญไ์ ดบ้ นั ทึก ไวใ้ นหนังสือ “อลั -มุศ็อนนัฟ” ของท่าน, โดยรายงานมาจากท่านอลั -หาริษ บิน อบีย์ อลั -หาริษ,
จากท่านอุบยั ด์ บิน อุมยั รฺ .. ดงั การบนั ทึกของท่านอซั -สะยูฏีย์ ในหนังสือ “อลั -หาวีย์ ลิล ฟะตา วยี ”์ เล่มท่ี 2 หนา้ 317 ... ในที่น้ี ผมจะไม่วิเคราะห์ขอ้ ความของวรรคแรกน้ีว่า เป็ นขอ้ ความที่ถูกตอ้ งหรือไม่? .. เพราะเป้าหมายของผมอยทู่ ี่การวเิ คราะห์ขอ้ ความวรรคท่ีสองว่า จะเป็นขอ้ ความท่ีถูกตอ้ งหรือไม่ ? .. มากกวา่ ... ขอ้ ความของวรรคท่ีสองของหะดีษน้ีที่ว่า .. บรรดาเศาะหาบะฮ์ชอบท่ีจะให้มีการบริจาค อาหารแทนผู้ตายใน (เจ็ด) วันดังกล่าว .. ข้อความนี้ มีปรากฏเฉพาะในรายงาน ของท่านซุฟยาน อัษ-เษารีย์, จากท่านฎอวูส เพียงกระแสเดียวเท่าน้ัน, ไม่มีการรายงานจากกระแสอ่ืนมายืนยัน เหมือนข้อความในวรรคแรก ... ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า การรายงานของท่านซุฟยาน อษั -เษารีย์ จากท่านฏอวูส เช่ือถือได้หรือไม่ ? ... ขอ้ เทจ็ จริงท่ีเราจาเป็นจะตอ้ งนามาพิจารณาในกรณีน้ี มีดงั น้ี ... ก. ท่านฏอวสู บิน กยั ซาน เป็นตาบิอีนช้นั อาวโุ ส, ทนั พบปะกบั เศาะหาบะฮจ์ านวนมาก ร่วม 50 ท่าน, แต่ปี ท่ีท่านสิ้นชีวติ ยงั มีความขดั แยง้ กนั ... ท่านอิบนุ สะอฺด์ (สะอดั ) กล่าววา่ .. ท่านฏอวสู สิ้นชีวติ เมื่อปี ฮ.ศ. 90 กวา่ ๆ ... ท่านอิบนุหิบบานกล่าววา่ .. ท่านฏอวสู สิ้นชีวติ ปี ฮ.ศ. 101 ... ท่านอิบนุเชาศบั ( )ِبن شوذبกล่าวว่า .. ฉนั ไปร่วมในพิธีศพของท่านฏอวูสที่มกั กะฮ์เมื่อปี ฮ.ศ. 100 .... ท่านอมั รฺ บิน อะลีย์ และบางคนกล่าววา่ .. ท่านฏอวสู สิ้นชีวติ ปี ฮ.ศ. 106 ... ท่านอลั -ฮยั ษมั บิน อะดียก์ ล่าววา่ .. ท่านฏอวสู สิ้นชีวติ เม่ือเกือบๆ ฮ.ศ. 110 ... (โปรดดูหนงั สือ “อลั -หาวยี ์ ลิล ฟะตาวยี ”์ ของท่านอซั -สะยฏู ีย์ เล่มท่ี 2 หนา้ 317, และ หนงั สือ “ตะฮซ์ ีบุต ตะฮซ์ ีบ” ของท่านอิบนุหะญรั ฺ อลั -อสั เกาะลานีย์ เล่มท่ี 5 หนา้ 9) .... ขอ้ ขดั แยง้ ในปี สิ้นชีวิตของท่านฏอวูสทาให้มีขอ้ สงสัยว่า ท่านซุฟยาน อษั -เษารียซ์ ่ึงอา้ งหะ ดีษบทน้ีมาจากท่านฏอวสู จะเคยไดร้ ับฟังหะดีษจากท่านฏอวสู จริงหรือไม่ ? .. เพราะท่านซุฟยาน อษั -เษารียเ์ กิดเม่ือปี ฮ.ศ. 97 ... ดงั น้ัน ถ้าจะถือตามรายงานของท่านอิบนุสะอัด, รายงานของท่านอิบนุหิบบาน, และ รายงานของท่านอิบนุเชาศบั กแ็ สดงวา่ ตอนท่ีท่านฏอวสู ตายน้นั ท่านซุฟยาน อษั -เษารีย์ ยงั เป็ น
เด็กทารกท่ีอายุไม่เกิน 3-4 ขวบเท่าน้นั จึงเป็นไปไม่ไดท้ ี่ท่านจะไดร้ ับฟังหะดีษจากปากของ ท่านฏอวสู โดยตรง .... หรือถา้ จะถือตามรายงานของท่านอมั รฺ บินอะลีย์ และรายงานของท่านฮยั ษมั บิน อะดีย์ ก็ แสดงว่าตอนที่ท่านฏอวูสตายน้นั ท่านซุฟยานจะมีอายปุ ระมาณ 8-12 ขวบ เป็ นอยา่ งสูง. ... คือยงั เป็ นเด็กอยู่ในวยั เรียนระดบั ประถมหรืออิบติดาอียเ์ ท่าน้นั .. โอกาสที่จะไดร้ ับฟังหะดีษจาก ปากของผอู้ าวโุ สอยา่ งท่านฏอวสู โดยตรง ถือวา่ มีโอกาสนอ้ ยมากอีกเช่นกนั ... ดว้ ยเหตุน้ี ท่านอซั -สะยฏู ีย์ จึงกล่าวยอมรับในหนงั สือ “อลั -หาวีย์ ลิล ฟะตาวยี ”์ เล่มท่ี 2 หนา้ 317 วา่ ... أَ َّن أَ ْكثَـَرِرَوايَتِِه َعْنهُ بَِوا ِسطٍَة “ท่ีจริง รายงานของท่านซุฟยาน อษั -เษารียจ์ ากท่านฏอวูส ที่มากท่ีสุดก็คือ จะต้องผ่าน “สื่อกลาง” จากผู้อ่ืนอกี ทหี นึ่ง” ... แสดงวา่ หะดีษที่ท่านซุฟยานอา้ งการรายงานมาจากท่านฏอวูส “โดยตรง” ตามความเป็น จริงน้นั มีนอ้ ยมาก, .. เผลอๆอาจจะมีเพียงหะดีษขา้ งตน้ น้ีเพียงบทเดียวดว้ ยซ้าไป และกไ็ ม่น่าจะ เป็นรายงานท่ีถูกตอ้ งดว้ ย ... หากจะว่าไปแลว้ กรณีของท่านซุฟยาน อัษ-เษารียน์ ้ี ก็คล้ายคลึงกับประวตั ิของเศาะ หาบะฮผ์ เู้ ยาวท์ ่านหน่ึง คือท่านมะห์มูด บิน ละบีด ร.ฎ. ... ท่านมะห์มูด บินละบีด ร.ฎ. เกิดทันท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม 13 ปี ... มากกวา่ ที่ท่านซุฟยาน อษั -เษารีย์ เกิดทนั ท่านฏอวูสเสียอีก, .. แถมท่านยงั อา้ งการรายงานหะดีษมา จากท่านนบีย์ ต้งั หลายบทดว้ ย ... แต่ท่านอิบนุหะญรั ฺ อลั -อสั เกาะลานีย์ ไดก้ ล่าวในหนังสือ “ตะฮ์ซีบ อตั -ตะฮซ์ ีบ” เล่มท่ี 10 หนา้ 59 วา่ .... ُ َوَلْ تَ ِص َّح لَهُ ُرْؤيَةٌ َولاَ َْسَاعٌ ِمْنه،َرَوى َع ِن ال َنِّ ِب َص َلّى ال َلّـهُ َعلَْيِه َو َس َلّ َم أَ َحا َِيْ َث “เขา (มะห์มูด บิน ละบีด ร.ฎ.) ไดอ้ า้ งรายงานหะดีษหลายบทจากท่านนบีย์ ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะ ลยั ฮิวะซัลลมั , แต่ไม่มีรายงานที่ถูกตอ้ งว่า เขาจะเคยได้เห็นหรือเคยได้รับฟัง (หะดีษใดๆ) จาก ท่านนบยี ์” ... หมายความวา่ หะดีษใดๆท่านท่านมะห์มูด บิน ละบีด ร.ฎ. ไดอ้ า้ งรายงานมาจากท่านนบีย์ ศ็อลลลั ลอฮุ ลยั ฮิวะซัลลมั โดยตรง ความจริงแลว้ ท่านเพียงแต่ไดย้ ินหะดีษบทน้ันมาจาก “คน
กลาง” คือ เศาะหาบะฮผ์ อู้ าวุโสกว่าท่านอีกทีหน่ึง ซ่ึงหะดีษประเภทน้ี เรียกวา่ เป็นหะดีษ “มุรฺซลั เศาะหาบีย”์ ... โดยนัยน้ี หะดีษบทน้ีซ่ึงท่านซุฟยาน อษั -เษารีย์ อา้ งการรายงานมาจากท่านฏอวูส บิน กยั ซาน --- ซ่ึงท่านซุฟยาน “เกิดทนั ” ท่านฏอวูสเพียงไม่กี่ปี และคงไม่ทนั ไดร้ ับฟังหะดีษใดๆจาก ท่านฏอวูสโดยตรง ดงั การรับรองโดยปริยายของท่านอซั -สะยฏู ียข์ า้ งตน้ --- แทท้ ี่จริงแลว้ กค็ ือ ท่าน ซุฟยานไดร้ ับหะดีษบทน้ีมาจาก “คนกลาง” คนใดคนหน่ึง .. ระหวา่ งท่าน กบั ท่านฏอวสู บิน กยั ซาน ... ข. จากการบนั ทึกประวตั ิท่านซุฟยาน อษั -เษารีย์ ของท่านอิบนุหะญรั ฺ อลั -อสั เกาะลานียใ์ น หนงั สือ “อตั -ตะฮซ์ ีบ” เล่มท่ี 4 หนา้ 99,.. และท่านอษั -ษะฮะบียใ์ นหนงั สือ “ซิยรั ฺ อะอฺลามินนุบะ ลาอ์” เล่มที่ 7 หนา้ 175-177 ซ่ึงไดต้ ีแผ่รายนาม “ ” ُشيُـْو ٌخคือ “ครู” หรือผูท้ ่ีถ่ายทอดหะดีษ ให้แก่ท่านซุฟยาน อษั -เษารียเ์ ป็ นจานวนหลายร้อยคนน้ัน ไม่ปรากฏมีช่ือของท่านฏอวูส บินกยั ซานวา่ เป็น “ครู” ของท่านซุฟยานรวมอยดู่ ว้ ยเลย, ... ในทานองเดียวกนั ในการบนั ทึกประวตั ิของท่านฏอวูส บิน กยั ซาน ในหนงั สือ “อตั -ตะฮ์ ซีบ” เล่มท่ี 5 หน้า 9 .. ท่านอิบนุหะญัรฺ ได้ระบุรายนาม “ ”تَلاَ ِمْي ُذหรือศิษยท์ ่ีได้รับการ ถ่ายทอดหะดีษจากท่านฏอวสู เป็ นจานวนมากมายหลายสิบคน แต่ในจานวนบุคคลดงั กล่าวน้ี ก็ ไม่ปรากฏมีช่ือของท่านซุฟยาน อษั -เษารีย์ ว่า เป็ นศิษยท์ ี่ไดร้ ายงานหะดีษมาจากท่านฏอวูสเลย เช่นเดียวกนั ... ดว้ ยเหตุน้ี ท่านอบูอิสหาก อลั -หุวยั นียจ์ ึงไดก้ ล่าวในหนังสือ “นัษลุนนิบลั บิมุอฺญมั อรั ฺ - ริญาล” หนา้ 590 วา่ รายงานของท่านซุฟยานจากท่านฏอวูส เป็ นรายงานทขี่ าดตอน ... ค. ในส่วนของท่านซุฟยาน อษั -เษารีย์ แม้ว่า ท่านจะได้รับความเช่ือถืออย่างสูงส่งขนาด ไหนก็ตาม แต่ขอ้ เทจ็ จริงกค็ ือ มี “บ่อยคร้ัง” ที่ท่านรายงานหะดีษในลกั ษณะ “มั่วน่ิม” หรือตัด ลซี , ... และ “บางคร้ัง” การ “ตดั ลีซ” ของท่าน กย็ งั เป็นการ “อาพราง” นามผูร้ ายงานหะดีษ ใหแ้ ก่ท่าน ที่เป็ นคนทขี่ าดความเช่ือถือ โดยการระบุนามผทู้ ่ีเชื่อถือไดแ้ ทน .. ดงั คากล่าวของท่านด็ อกเตอร์ มิซฟิ รฺ บิน ฆอ็ รฺมิลลาฮ์ ในหนงั สือ “อตั -ตดั ลีซ ฟิ ล หะดีษ” หนา้ 266 ... ซ่ึงหะดีษเร่ืองการท่ีเศาะหาบะฮ์บริจาคอาหารแทนผู้ตายในเจ็ดวันข้างต้น ผมม่ันใจว่า น่าจะจัดอยู่ในกรณนี ี้ .. คือ ท่านซุฟยาน อษั -เษารียอ์ าจไดร้ ับฟังหะดีษน้ีจากผรู้ ายงานคนใดคนหน่ึง (ซ่ึงไม่รู้วา่ จะเชื่อถือไดห้ รือไม่) แต่ท่านกม็ ิไดร้ ะบุนามของบุคคลผนู้ ้นั ในสายรายงาน .. ทว่า ท่าน กลบั กล่าวว่า .. ٌٌ قَا َل َُاُوْو.. คือ “ท่านฏอวูสกล่าวว่า .....” .. อนั เป็ นคาพูดท่ีคลุมเครือ เพราะ
ไม่ไดร้ ะบุใหช้ ดั เจนวา่ ท่านฏอวสู กล่าวกบั ท่านเองหรือกล่าวกบั ใคร? ... ซ่ึงการรายงานในลกั ษณะน้ี ถือวา่ เป็นการรายงานในลกั ษณะตดั ลิซหรือแสร้งมวั่ น่ิม ตามหลกั วชิ าการ ... สรุปแล้ว หะดีษบทน้ืถือเป็ นหะดีษเฎาะอีฟเพราะสายรายงานขาดตอน ระหว่าง ท่านฎอวสู กบั ท่านซุฟยานดงั คากล่าวของท่านอลั -หุวยั นีย์ หะดีษน้ีจึงนามาอา้ งเป็นหลกั ฐานไม่ได้ ... วลั ลอฮุ อะอฺลมั . (2). ในอีกแง่มุมหน่ึงของการต้งั “สมมุติฐาน” วา่ สายรายงานข้างต้น เป็ นสายรายงาน ทถี่ ูกต้อง, .. แต่ตามหลกั วชิ าการแลว้ รายงานบทนี้ ไม่ถือว่าเป็ นหลกั ฐานของศาสนาได้อยู่ดี ... ท้งั น้ี เพราะผทู้ ี่พดู เรื่อง “การบริจาคอาหารแทนผ้ตู ายใน ญเจด็ วนั ดังกล่าว” คือ ท่านฏอวูส บิน กยั ซาน ซ่ึงเป็ นเพยี งตาบิอนี ทร่ี ายงานการกระทาของเศาะหาบะฮ์, .. ไม่ใช่เป็นคาพูด, หรือการ กระทา, หรือการรับรองของท่านนบีย์ ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิวะซลั ลมั ... ท่านอิหม่ามนะวะวยี ์ ไดก้ ล่าวไวใ้ นหนงั สือ “อลั -มจั ญมว๊ั ะอฺ” เล่มที่ 1 หนา้ 60 และใน หนงั สือ “ชรั ฺหุ มุสลิม” เล่มท่ี 1 หนา้ 31 วา่ ... َ بَ ْل َعلَى الْبَـ ْع ِِ ََلا، ََلاَ يَُدل َعلَى َِ ْع ِل جَِمْي ِع اْلاُ َّمِة.. َكانـُْوا يَـْفَعلُْو َن: َوأَ َّما قَـْوُل ال َتّابِِع ِى: قَا َل الْغََزاِل .... ُح َّجةَ َِْيِه “ท่านอลั -ฆอซาลียก์ ล่าววา่ .. อน่ึง คาพูดของตาบิอนี ท่ีวา่ “พวกเขา (เศาะหาบะฮ)์ กระทา กนั (อยา่ งน้นั ๆ)” .. คาพูดน้ีไม่ไดแ้ สดงว่า เป็ นการกระทาของเศาะหาบะฮท์ ้งั หมด ทว่า, มนั เป็น เพียงการกระทาของเศาะหาบะฮบ์ างท่านเท่าน้นั ดังน้ัน ในคาพูดดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็ นหลกั ฐานใดๆ ท้งั สิ้น ........” ... (3). คาแปลหะดีษท่ีว่า .. “ซอฮาบะฮ์มีความชอบที่จะ “เลยี้ งอาหาร” แทนจากพวกเขา” .. น้นั ... ผมสงสัยว่า ท่านมีหลกั ฐานจากที่ใดหรือจากหะดีษบทใด มาจากดั การแปลคาว่า “ أَ ْن ”يُطِْع ُمْواในหะดีษบทน้ีว่า เป็ นการเลีย้ งอาหาร ... ซ่ึงจะทาให้เกิดความเขา้ ใจอยา่ งผิวเผินสม ตามเจตนารมณ์ของท่านวา่ หมายถงึ การมาชุมนุมกนิ อาหารกนั ทบี่ ้านผู้ตาย ??? ... เพราะตามความจริงตามหลกั ภาษาแลว้ คาว่า أَ ْن يطِْع ُمْواน้ี หากจะแปลว่า “การบริจาค อาหารหรือการให้อาหาร” อนั หมายถึง การนาอาหารไปมอบให้ผู้รับ โดยไม่มีการชุมนุมกนั ใน ลกั ษณะกนิ เลยี้ ง ... กใ็ ชไ้ ดเ้ หมือนกนั ... และตามปกติในภาษาอฺรับ หากมีการเชิญคนมารับประทานอาหารร่วมกนั ในลกั ษณะกิน เล้ียง ก็จะมีคาศพั ทอ์ ีกคาหน่ึงท่ีมีความหมายเฉพาะ คือคาว่า ... ٌ ِضيَاََة... ซ่ึงกแ็ ปลไดต้ รงตวั ว่า .. “การเลยี้ งอาหาร” .. อนั เป็นภาษาพ้นื ๆที่รู้กนั โดยทวั่ ไป ...
ในกรณีของหะดีษขา้ งตน้ น้ี คาวา่ ََ َكانـُْوا يَ ْستَ ِحًبّـْو َن أَ ْن يُطِْع ُمْوا َعْنـُه ْم.. ที่เหมาะสมและถูกตอ้ ง ท่ีสุดควรจะแปลว่า .. “และบรรดาเศาะหาบะฮ์ ชอบท่ีจะให้มีการบริจาคอาหารแทนพวกเขา (ผูต้ าย)” ..ดงั ที่ผมไดแ้ ปลไปน้นั ซ่ึงความหมายน้ีจะครอบคลุมและกวา้ งกวา่ การแปลว่า .. “เลยี้ ง อาหาร” .. ดังการแปลของท่านนักศึกษาฯ ในเว็บไซด์ ท่ีดูจะเป็ นการเจตนา “ลาก” เข้าหา เป้าหมายของตวั เองจนเกินไป โดยปราศจากหลกั ฐานใดๆมาจากดั และช้ีชดั ให้ .. เพราะการแปลวา่ “บริจาคอาหาร” ดงั ท่ีผมไดแ้ ปลไว้ .. นอกจากจะตีความไดว้ า่ หมายถึง การ “เลยี้ งอาหาร” .. คือ เชิญผคู้ นมากินเล้ียงที่บา้ นผตู้ าย .. ดงั คาแปลของท่านแลว้ ยงั สามารถจะ ตีความหมายไดอ้ ีกว่า .. “ทายาทของผู้ตายได้นาอาหาร เช่น อินทผาลัม, ลูกเกด เป็ นต้น ไป บริจาคและแจกจ่ายแก่คนยากจนแทนผู้ตาย โดยไม่ได้มีการชุมนุมกนิ เลยี้ งกนั ทีบ่ ้านผู้ตายแต่อย่าง ใด” ... ซ่ึงความหมายท่ีสองน้ี เม่ือพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็จะเห็นว่า เป็ นความหมายที่ สอดคลอ้ งกบั เป้าหมายของหะดีษบทน้ีมากท่ีสุด .. ดว้ ยเหตุผลที่กาลงั จะกล่าวถึงต่อไป ... คาวา่ “นาอาหารไปบริจาค” กบั คาวา่ “เลยี้ งอาหารท่ีบ้าน” มี “วธิ ีการ และหุก่ม” ใน ส่วนท่ีเกี่ยวกบั เร่ืองการตาย แตกต่างกนั , .. ซ่ึงหลายท่านอาจจะยงั ไม่ทราบหรือมองขา้ มไปกไ็ ด้ ... กล่าวคือ วิธีแรก .. หมายถึง “การนาอาหารไปบริจาคให้แก่ผู้รับอันเป็ นคนยากจน” .. วธิ ีการอยา่ งน้ี ไม่มีข้อขัดแย้งกันแต่ประการใดว่า ทายาทของผู้ตาย สามารถปฏิบัติแทนผู้ตายได้ เพราะมนั คือการเศาะดะเกาะฮ์หรือการบริจาค, .. จะเศาะดะเกาะฮด์ ว้ ยเงิน, สิ่งของ, อาหาร หรือ อะไรก็ได้ .. แทนใหแ้ ก่ผตู้ าย, ท้งั น้ี เพราะมีหลกั ฐานจากหะดีษที่ถูกตอ้ งซ่ึงบนั ทึกโดยท่านบุคอ รีย์ หะดีษที่ 1388 และท่านมุสลิม หะดีษท่ี 51/1004 มายนื ยนั ไว้ ... ส่วนวิธีที่สอง คือ “การเลี้ยงอาหารที่บ้านผู้ตาย” ประเด็นน้ีแหละคือ ปัญหาที่ นกั วชิ าการท้งั 4 มษั ฮบั เห็นพอ้ งกนั ว่า เป็ นบิดอะฮท์ ่ีน่ารังเกียจ แต่ขณะเดียวกนั กลบั มีผูร้ ู้บางท่าน กาลงั พยายามส่งเสริมให้ชาวบา้ นประเภท “อะวาม” คือชาวบา้ นทวั่ ๆไป ปฏิบตั ิกนั .. และผมก็ กาลงั พดู ถึงและวเิ คราะห์หลกั ฐานกนั อยขู่ ณะน้ี ... เพราะฉะน้ัน แม้จะต้ังสมมุติฐานว่า หะดีษของท่านฏอวูสบทน้ี เป็ นหะดีษที่ถูกต้อง (เศาะเหี๊ยะฮ)์ และบรรดาเศาะหาบะฮ์ กไ็ ดม้ ีกระทากนั .. ดงั ขอ้ ความท่ีปรากฏในหะดีษน้นั จริง แต่ การปฏิบตั ิของพวกเขากค็ ือ – วลั ลอฮุ อะอฺลมั -- บรรดาเศาะหาบะฮ์ทเี่ ป็ นทายาทของผู้ตาย ได้นา อาหารไปบริจาคให้กบั คนยากจนที่บ้านของพวกเขาแทนผู้ตายในเจ็ดวัน หลงั จากฝังเสร็จแล้ว, ... ซ่ึงมนั กจ็ ะสอดคลอ้ งกบั หะดีษที่ท่านศาสดา ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิวะซลั ลมั อนุญาตให้บุตรทาเศาะ ดะเกาะฮแ์ ทนบุพการียข์ องตนได้ .. ดงั การรายงานของท่านบุคอรียแ์ ละท่านมุสลิม ในหนงั สือเล่ม และหนา้ ท่ีกล่าวมาแลว้ ....
แต่การบริจาคอาหารดงั กล่าว คงจะมิไดห้ มายความวา่ ทายาทของผู้ตาย ไปเชิญคนยากจน มากินเลีย้ งกันท่ีบ้านของผู้ตาย .. ดงั ความเขา้ ใจและการแปลของท่านนักศึกษาฯ ในเวบ็ ไซด์ .. เพราะความหมายดงั กล่าวน้ี จะไปขดั แยง้ กบั หะดีษเศาะเหี๊ยะฮ์ของท่านญะรีรฺ บิน อบั ดุลลอฮ์ อลั - บะญะลีย์ ที่กล่าววา่ การมาชุมนุมกนิ เลยี้ งกนั ทบ่ี ้านของผู้ตายหลงั จากฝังแล้ว บรรดาเศาะหาบะฮ์ ถือว่า เป็ นนิยาหะฮ์ ทต่ี ้องห้าม .. ดงั ท่ีไดอ้ ธิบายผา่ นมาแลว้ ในหนา้ ที่ 9 .. สรุปแลว้ ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด หะดีษท้งั 2 บทขา้ งตน้ ที่ท่านนามาอา้ ง จึงไม่สามารถ จะใชเ้ ป็นหลกั ฐานเร่ือง “การทาบุญบา้ นคนตาย” ดงั ความเขา้ ใจของท่านได้ ... อีกบทหน่ึงของหะดีษเกี่ยวกบั เรื่องการกินเล้ียงเพื่อส่งบุญให้แก่ผูต้ าย ที่มีผูน้ ามาอา้ งกนั ใน อดีต จนกลายเป็ นปัญหาถกเถียงกนั อย่พู กั หน่ึง กค็ ือ หะดีษของท่านอาศิม บิน กุลยั บ์, ที่รายงาน จากบิดาของท่าน คือท่านกุลยั บ์ บิน ชิฮาบ ... ซ่ึงตามรายงานที่นามาอา้ งกนั น้นั ท่านอตั -ติบรีศีย์ ได้ กล่าวไวใ้ นหนงั สือ “มิชกาตุล้ มะศอเบี๊ยะห”์ ของท่าน, เป็นหะดีษท่ี 5942 มีขอ้ ความวา่ ... ِِْ َخَر ْجنَا َم َع َر ُسْوِل ال َلّـِه َص َلّى ال َلّـهُ َعلَْيِه َو َس َلّ َم: َع ْن َعا ِصِم بْ ِن ُكلَْي ٍب َع ْن أَبِْيِه َع ْن َر ُج ٍل ِم َن اْلأَنْ َصا ِر قَا َل ، أَْوِس ْع ِم ْن قِبَ ِل ِر ْجلَْيِه: ََـَرأَيْ ُت َر ُسْوَل ال َلّـِه َص َلّى ال َلّـهُ َعلَْيِه َو َس َلّ َم َوُهَو َعلَى الَْق ِْب يـُْو ِصى الْحَاََِر يَـُقْوُل،ٍَجنَاَزة ََ ِج ْى َء َِل َطَّعاِم ََـَو َض َع بََدهُ ُ َثّ َو َض َع،ُ ََـ َلّ َما َر َج َع ِ ْستَـْقبَـلَهُ ََا ِعى اْمَرأَتِِه ََأَ َجا َب َوَْن ُن َمَعه،أَْوِس ْع ِم ْن ِقبَ ِل َرأْ ِسِه )) اَلْحَِديْ َث َرَواهُ أَبـُْو ََاُوََ َوالْبَـْيـَهِقى ِِْ (( ََلاَئِِل النـبُـ َّوِة...... الَْقْوُم ََأَ َكلُْوا จากท่านอาศิม บิน กุลยั บ์ จากบิดาของท่าน, จากชายชาวอนั ศอรฺ (มะดีนะฮ์) คนหน่ึงซ่ึง กล่าวว่า ... “พวกเราไดอ้ อกไป (เพ่ือฝัง) ผูต้ ายคนหน่ึงพร้อมกบั ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะ ลยั ฮิวะซลั ลมั , แลว้ ฉันเห็นท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิวะซลั ลมั นง่ั ท่ีบนขอบหลุม คอย ส่ังคนขุดหลุมว่า ท่านจงขยายดา้ นปลายเทา้ ท้งั สองของเขาให้กวา้ งอีกนิดซิ, .. ใหข้ ยายดา้ นศีรษะ ของเขาใหก้ วา้ งอีกหน่อยซิ ... เม่ือท่านเดินทางกลบั กม็ ี ผหู้ ญิงของเขา (หมายถึงภรรยาของผตู้ าย) ใหค้ นมาเชิญท่าน (ไปที่บา้ น) ท่านกร็ ับคา ซ่ึงพวกเรากไ็ ปกบั ท่านดว้ ย, แลว้ มีการยกเอาอาหารมา วางไว้ ท่านกเ็ อามือหยบิ อาหารและผคู้ นกห็ ยบิ อาหาร แล้วท้งั หมดกร็ ่วมกินอาหารน้ัน .... (จนจบ หะดีษ) ... ((บันทึกรายงานโดย ท่านอบู ดาวูด และท่านอัล-บัยฮะกีย์ ในหนังสือ “ดะลาอิ ลุ้ล นุบู วะฮ์ ... นี่คือ ขอ้ ความจากหนงั สือ “มิชกาตุล้ มะศอเบ๊ียะห์” ของท่านอตั -ติบรีศีย์ .. แลว้ กม็ ีท่านผูร้ ู้บางท่าน ไดถ้ ือโอกาสนาเอาหะดีษบทน้ี, โดยเฉพาะจากขอ้ ความท่ีว่า .. : ِ ْستَـْقبَـلَهُ ََا ِعى اْمَرأَتِِهซ่ึงแปลวา่ .. “ผู้หญิง (ภรรยา) ของเขา (คือของผตู้ าย) ให้คนมาเชิญท่านนบีย์” (และพรรคพวกไปทานอาหารกนั ที่บา้ นของนาง ซ่ึงกค็ ือ บา้ นผตู้ าย) ..
แลว้ ท่านนบียก์ ไ็ ปทานอาหารตามคาเชิญน้นั ... ซ่ึงจากขอ้ ความดงั กล่าวน้ี แสดงว่า ท่านนบียก์ เ็ คยไปทานอาหารบา้ นผูต้ ายหลงั จากฝังเสร็จ แลว้ เหมือนกนั ... แต่ก็มีผู้ท้วงติงว่า ข้อความในหนังสือมิชกาตุ้ลมะศอเบ๊ียะห์ท่ีว่า ِِ ( ِْمَرأَتِـهซ่ึงแปลว่า “ผู้หญิงของเขา” .. ดงั ที่ผมเน้นตวั หนาและขีดเส้นใตไ้ วน้ ้ัน) ไม่ถูกตอ้ ง, เพราะมีการเพ่ิมเติม สรรพนามคาวา่ “ของเขา”.. (คือพยญั ชนะ ِهท่ีอยหู่ ลงั คาวา่ ِْمَرأٍَةจนกลายเป็น )إِْماِأاتِِهเขา้ มา จน ทาให้ขอ้ ความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง, ซ่ึงขอ้ ความท่ีถูกตอ้ งจะไม่มีสรรพนาม (พยญั ชนะ “ฮา สรโะดอยี”น)ยั ตนวั้ี นเม้นั ื่อ.เ.รคาือไดจะต้ มดั ีเคพายี สงรคราพวา่ นาٍأَةม ِِهْمَرซท่ึง่ีแแปปลลวว่าา่ “ผู้หญิงคนหน่ึง” .. เพียงอยา่ งเดียว .... “ของเขา” อนั เป็ นส่วนท่ีเพิ่มเติมเขา้ มา ทิ้งไป กจ็ ะทาใหร้ ูปประโยคมีความหมายเป็นอีกรูปแบบหน่ึง .. คือจะมีรูปสานวนเป็นภาษาอฺรับว่า ٍ ِ ْستَـْقبَـلَهُ ََا ِعى اْمَرأَةซ่ึงมีความหมายวา่ .. ผหู้ ญิงคนหน่ึง ให้คนมาเชิญท่านนบีย์ไป (ทานอาหาร) ท่ี บ้าน .. และตามความหมายน้ี แสดงวา่ ผหู้ ญิงคนดงั กล่าว ไม่มีส่วนสมั พนั ธใ์ ดๆกบั ผูต้ าย ดงั น้นั การท่ีท่านนบียไ์ ปทานอาหารที่บา้ นของนาง จึงไม่ใช่ไปทานอาหารท่ีบา้ นผตู้ ายดงั ท่ีอา้ งกนั .... ประเด็นเรื่องคาสรรพนาม ( ِهของเขา) ดังกล่าวน้ี จาได้ว่า มีความขัดแยง้ กันอยู่นาน พอสมควรว่าเป็นขอ้ ความเดิมของหะดีษอยา่ งแทจ้ ริงหรือเป็นขอ้ ความท่ีถูกเพิ่มเติมเขา้ มาใหม่ใน หนงั สือ มิชกาตุล้ มะศอเบ๊ียะห์ เล่มน้นั ... แลว้ สุดทา้ ย ทุกอยา่ งกค็ ่อยๆเงียบหายไปเองในที่สุด ... เพราะเพียงแต่, .. ถา้ ตดั คาว่า “ทิษฐิ” ออกไปเสียอย่างเดียวเท่าน้นั เรื่องน้ีก็ไม่น่าจะเป็ น ปัญหาขดั แยง้ แต่อย่างใด เน่ืองจากท่านอตั -ติบรีศีย์ ผูเ้ ขียนหนงั สือ “มิชกาตุล้ มะศอเบี๊ยะห์” ก็ ไม่ใช่เป็ นผูบ้ นั ทึกรายงานหะดีษบทน้ีมาต้งั แต่ตน้ , ท่านเพียงแต่ไป “คัดลอก” หะดีษน้ีมาจาก “ผู้อ่ืน” ที่เป็นผูบ้ นั ทึกจริงๆมาอีกทอดหน่ึง .. ดงั ท่ีท่านอตั -ติบรีศียเ์ อง ไดร้ ะบุเอาไวต้ อนทา้ ยหะ ดีษบทน้ีแลว้ ว่า .. ((บันทึกรายงานโดย ท่านอบู ดาวูด และท่านอัล-บัยฮะกีย์ ในหนังสือ “ดะ ลาอิลุ้ล นุบูวะฮ์”)) ... ซ่ึงตรงน้ี กเ็ ป็ นที่ชดั เจนแลว้ ว่า ท่านไดไ้ ป “คดั ลอก” หะดีษบทน้ีมาจาก ท่านผบู้ นั ทึกท้งั สองท่านน้นั .... ดงั น้นั จึงมิใช่เร่ืองยากเยน็ อะไรท่ีเราจะไปตรวจสอบขอ้ เท็จจริงจากหนงั สือท้งั 2 เล่มน้นั ว่า อนั สรรพนามคาว่า “ของเขา” ท่ีเรานามาโตเ้ ถียงกนั แทบเป็ นแทบตายน้ัน มนั มีอยู่จริงใน หนงั สือ “ต้นฉบับ” ท้งั สองเล่มน้นั หรือเปล่า ? .. หรือว่าถูกเพ่ิมเติมมาทีหลงั ในหนงั สือมิชกาตุล้ มะศอเบี๊ยะห์ ? ... แต่ปัญหากม็ ีอยอู่ ีกวา่ แลว้ หนงั สือตน้ ฉบบั ท้งั สองเล่มน้นั มีใหเ้ ราตรวจสอบหรือเปล่าล่ะ ? ...
เอาเถิด พวกเราส่วนใหญ่อาจจะไม่มีหนงั สือเหล่าน้นั เพือ่ ตรวจสอบ แต่ผมคิดวา่ ผมพอจะ มี, และนกั วชิ าการอีกหลายท่านกค็ งจะมี ... ความจริง หะดีษของท่านอาศิม บิน กลุ ยั บบ์ ทน้ี มิใช่จะมีบนั ทึกเฉพาะในหนงั สือสุนนั ของ ท่านอบูดาวดู , และหนงั สือ ดะลาอิลุล้ นุบูวะฮ์ ของท่านอลั -บยั ฮะกีย์ ดงั การอา้ งของเจา้ ของหนงั สือ “มิชกาตุ้ล มะศอเบ๊ียะห์” เท่าน้ัน แต่ยงั มีผูอ้ ่ืนท่ีได้บันทึกหะดีษน้ีไวอ้ ีก 2 ท่าน .. รวมแลว้ ท้งั หมดเป็น 4 ท่านดว้ ยกนั ดงั ต่อไปน้ี ... ท่านอบู ดาวดู ในหนงั สือ “อสั -สุนนั ” หะดีษที่ 3332 ท่านอลั -บยั ฮะกีย์ ในหนงั สือ “ดะลาอิลุล้ นุบูวะฮ์” เล่มที่ 6 หนา้ 310, พิมพ์ ที่สานกั พิมพด์ ารุลกตุ ุบ อลั -อิลมียะฮ,์ กรุงเบรุต ท่านอิหม่ามอะห์มดั ในหนงั สือ “อลั -มุสนดั ” เล่มที่ 5 หนา้ 293 ท่านอดั -ดารุกฏุ นีย์ ในหนงั สือ “อสั -สุนนั ” เล่มที่ 4 หนา้ 286 ส่วนหนงั สืออ่ืนๆตามที่มีการอา้ งอิงกนั เกี่ยวกบั หะดีษบทน้ี อาทิเช่น หนงั สือสุบุลุส สลาม, หนงั สือนยั ลุล้ เอาฏอรฺ, หนงั สืออลั -บิดายะฮ์ วลั -นิหายะฮ,์ หนงั สือฟัตหุ้ล อลั ลาม, หนงั สือเอานุล้ มะอฺบูด, หนงั สือนศั บุรฺ รอยะฮ์ เป็นตน้ กล็ ว้ นแต่เป็นหนงั สือที่อยใู่ นสถานะเดียวกนั กบั หนงั สือ มิชกาตุล้ มะศอเบี๊ยะห์ของท่านอตั -ติบรีศีย์ .. คือ ไป “คัดลอก” หะดีษน้ีมาจากหนงั สือเล่มใดเล่ม หน่ึงจากหนงั สือตน้ ฉบบั 4 เล่มขา้ งตน้ เหมือนกนั ผมจึงไม่จาเป็นจะตอ้ งไปอา้ งอิงหนงั สือคดั ลอก เหล่าน้นั ใหเ้ สียเวลาอีก .... และเมื่อผมไดไ้ ปตรวจสอบดูหะดีษบทน้ีจากหนงั สือตน้ ฉบบั ตามท่ีระบุนามมาท้งั 4 เล่ม แลว้ ปรากฏว่า ทุกเล่ม ไม่มีคาสรรพนาม ( ِهฮาสระอี) ท่ีแปลว่า “ของเขา” ระบุเอาไว้เลยแม้แต่ เล่มเดียว, ... รวมท้งั หนงั สือ “คดั ลอก” ท้งั หมดที่ผมกล่าวมาเมื่อตะก้ีน้ี ก็ไม่มีเล่มใดระบุสรรพนามว่า “ของเขา” เอาไวเ้ ช่นเดียวกนั ... มิหนาซ้า ในการบนั ทึกของท่านอะห์มดั และท่านอดั -ดารุกฏุ นีย์ จะมีขอ้ ความขยายเพิ่มเติม วา่ .. “ผหู้ ญิง ชาวกเุ รช คนหน่ึง ใหค้ นมาเชิญท่านนบียไ์ ป ...” แสดงวา่ ในกรณีน้ี บรรดาผูท้ ่ีไปคดั ลอกหะดีษบทน้นั มาจากตน้ ฉบบั ท้งั 4 เล่มตามที่ผมได้ ระบุช่ือตารามาแลว้ น้นั .. ผทู้ ่ีผดิ พลาดในการคดั ลอก -- ดว้ ยการเพิ่มคาสรรพนาม “ฮาสระอี” เขา้ มาต่อกบั คาว่า ٍ( ِْمَرأَةผูห้ ญิงคนหน่ึง) จนกลายเป็น ِْمَرأَتِـِه: ผหู้ ญิง(ภรรยา) ของเขา (ผตู้ าย) -- มีอยู่ คนเดียว คือท่านอตั -ติบรีศีย์, .. ซ่ึงตามความเขา้ ใจของผม มองว่า ความผิดพลาดดงั กล่าวไม่น่าจะ เกิดจากการคดั ลอกของท่าน แต่น่าจะเกิดผดิ พลาดตอนเรียงพิมพม์ ากกวา่ ..
และ, .. เมื่อเรามองลกั ษณะคาในภาษาอฺรับแลว้ คงจะยอมรับวา่ การเผลอพิมพพ์ ยญั ชนะ ِه ต่อทา้ ยคาวา่ ( ِ ْمَرأٍَةที่แปลว่า ผู้หญงิ คนหน่ึง) ใหก้ ลายเป็น ِْمَرأَتِِهซ่ึงแปลวา่ “ผู้หญิง (ภรรยา) ของ เขา” มีโอกาสเป็นไปไดอ้ ยา่ งง่ายดายที่สุด ... สรุปแลว้ กค็ ือ หะดีษท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ ท้งั 3 บท ไม่วา่ จะเป็ นหะดีษของท่านอลั -อะห์นฟั บิน ก็อยซ์, หะดีษของท่านฏอวสู บิน กยั ซาน, และหะดีษของท่านอาศิม บิน กุลยั บ์ ไม่มีบทใด สามารถนามาใชเ้ ป็นหลกั ฐานเร่ืองการกินเล้ียงที่ญาติของผูต้ ายเป็ นเจา้ ภาพ เพื่อส่งบุญไปใหผ้ ูต้ าย ดงั ท่ีมีการอา้ งกนั ไดเ้ ลยแมแ้ ต่บทเดียว ... วลั ลอฮุ อะอฺลมั อนั เนื่องมาจากผูอ้ ่านบางท่านอาจมีขอ้ สงสัยว่า ข้ออา้ งของผมที่ว่า นักวิชาการ ท้ัง 4 มัษฮับ มีทศั นะสอดคลอ้ งกนั ว่า การจดั เล้ียงอาหารเพื่อส่งบุญใหก้ บั ผูต้ าย เป็ นบิดอะฮท์ ่ีตอ้ งหา้ ม หรือน่ารังเกียจน้นั ผมเอาขอ้ มูลมาจากไหน ? .... เรื่องน้ี ความจริงท่านอาจารยป์ ระสาน หมดั อาดมั (ขออลั ลอฮโ์ ปรดเมตตาต่อท่านดว้ ย) กไ็ ด้ เคยเขียนตีแผ่ทศั นะของนกั วชิ าการท้งั สี่มษั ฮบั ดงั กล่าวไวแ้ ลว้ ในหนงั สือชื่อ “การทาบุญเนื่องจาก การตาย” ของท่าน ผมจึงไม่จาเป็นจะตอ้ งไปช้ีแจงรายละเอียดใดๆใหเ้ สียเวลาอีก ... แต่ในท่ีน้ี ผมจะขอยกตวั อยา่ งทศั นะของนกั วชิ าการท้งั 4 มษั ฮบั บางท่านมาใหท้ ่านผอู้ ่าน ไดเ้ ห็นกนั ดงั ต่อไปน้ี ... (1). มษั ฮบั หะนะฟี ย์ 1. ท่านอลั -กรุ ฏุบีย์ (สิ้นชีวติ ปี ฮ.ศ. 671) ไดก้ ล่าวในหนงั สือ “อตั -ตซั กิเราะฮ”์ หนา้ 102 วา่ ... َ يُِريْ ُد بِ َذِل َك اْلُقْربَة،ٌُ ََـيَ ْجتَ ِم ُع َلهُ ال َنّا،َوِمْنهُ ال َطَّعا ُم ا َلّ ِذ ْى يَ ْصنَـعُهُ َأ ْهلُ اْل َميِ ِت اْليَـْوَم ِِْ يِْوِم ال َّسابِ ِع قَالُْوا َولَْي َس يَـْنـبَِغ ْى لِْل ُم ْسلِ ِمْيَن، َولاَ ُهَو ِ َمّا َُْي َم ُدُه الْعُلَ َما ُء، َوَه َذا مُْح َد ٌث َلْ يَ ُك ْن َِْي َما تَـَق َّد َم،ُلِْل َميِ ِت َوال َتّـَرح َم لَه .. أَ ْن يَـْقتَ ُدْوا ِبَْه ِل الْ ُكْف ِر َويَـْنـَهى ُكل ِنْ َسا ٍن أَْهلَهُ َع ِن الْحُ ُضْوِر لِِمثْ ِل َه َذا \" َأَلْي َس َق ْد َقا َل ال َنِّب َص َلّى ال َلّـهُ َعلَْيِه َو َس َلّ َم: ُ ُهَو ِم ْن َِ ْع ِل ا َْلا ِهلِ َيِّة ! ِقْي َل لَه: َوَقا َل َأ ْحَم ُد ْب ُن َحْنـبَ ٍل َلْ يَ ُكْونـُْوا ُه ُم ا َّّتَ ُذْوا ! ِ َّّنَا اِّت َذ َلُْم\" ََـَه َذا ُكلهُ َوا ِج ٌب َعلَى ال َّر ُج ِل أَ ْن: ِ ْصنَـعُْواِ لآ ِل َج ْعَف ٍر ََُعاما ؟ ََـَقا َل َوأَ َعانَـ ُه ْم َعلَى ْالِإ ِْث، َ َم ْن أَََ َح َذلِ َك ِِلَأ َِ ْهلِِه ََـَق ْد َع َصى ال َلّـهَ َع َّز َو َج َّل،َْينَ َع أَ ْهلَهُ ِمْنهُ َولَا يُـَرِخ َص َلُْم ....... َوالْعُ ْدَوا ِن “และส่วนหน่ึงจากพฤติกรรมของพวกญาฮิลียะฮ์(พวกอนารยชนยุคก่อนอิสลาม) ก็คือ เรื่องอาหารซ่ึงลูกเมียผูต้ ายในสมยั ปัจจุบนั ไดป้ รุงข้ึนมาในวนั ที่ 7 (หรือวนั ที่ 3, วนั ที่ 10, วนั ที่ 40, หรือครบ 100 วนั แห่งการตาย) .. แลว้ ผคู้ นกม็ าชุมนุมกินอาหารน้นั โดยมีจุดประสงคเ์ พ่อื อุทิศส่วน
กศุ ลไปให้ผตู้ ายและแสดงความเมตตาต่อผูต้ าย น่ีคือ อตุ ริกรรม (บิดอะฮ์) ทไ่ี ม่เคยปรากฏในยุคที่ ผ่านมา และกม็ ิใช่ว่าจะเป็ นสิ่งท่ีนกั วิชาการยกยอ่ งสรรเสริญแต่อย่างใด, พวกเขา (นกั วิชาการ) กล่าวว่า ไม่สมควรอย่างย่ิงท่ีมุสลิมเราจะไปเลียนแบบพวกกาฟิ รฺ และสมควรที่มนุษย์ทุกคนจะ ต้องห้ามปรามลกู เมยี ของเขาจากการไปร่วมในงานประเภทนี้ ... ท่านอิหม่ามอะห์มดั อิบนุ หมั บลั กล่าวว่า .. น่ีคือ พฤติกรรมของพวกญาฮิลียะฮ์! มีผูท้ ว้ ง ติงท่านว่า .. กท็ ่านนบีย์ ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิวะซลั ลมั เคยกล่าวไวม้ ิใช่หรือวา่ ใหพ้ วกท่านทาอาหาร ไปให้ครอบครัวของญะอฺฟัรฺ .. ท่านอิหม่ามอะห์มัดตอบว่า .. (คาส่ังน้ัน) ไม่ใช่ให้พวกเขา (ครอบครัวผูต้ าย) ทาอาหาร(เล้ียงพวกเรา) แต่ให้ (พวกเรา) ทาอาหารไปเล้ียงพวกเขาต่างหาก, .. ท้ังหมดนี้ คือส่ิงวาญิบสาหรับผู้ชายจะต้องห้ามปรามลูกเมียของเขาจากการกระทามัน และหาก ผ้ใู ดผ่อนผนั เร่ืองนแี้ ก่ลกู เมยี ของเขา แน่นอน, เขาคือผ้ทู รยศต่อพระองค์อัลลอฮ์ผ้ทู รงเกรียงไกรและ ย่ิงใหญ่, ทั้งยงั เป็นการสนับสนนุ ลกู เมยี ให้ทาบาปและการเป็นศตั รูกนั ....” คาพูดของท่านอลั - กรุ ฺฏุบีย์ ท่ีวา่ .. “นี่คือ อตุ ริกรรม (บิดอะฮ์) ท่ีไม่เคยปรากฏในยุคที่ผ่าน มา” .. ถือเป็ นการปฏิเสธหลกั ฐานท้งั มวลของผูท้ ี่พยายามจะอา้ งว่า เคยมีการกินเล้ียงบา้ นผูต้ าย มาแลว้ ในยคุ ของท่านนบีย์ ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิวะซลั ลมั และในยคุ ของบรรดาเศาะหาบะฮ์ ร.ฎ. ... 2. ท่านอิบนุล ฮุมาม ไดก้ ล่าวในหนงั สือ “ชรั ฺหุล้ ฮิดายะฮ”์ วา่ .. ....ٌ ِ لأَ َنّهُ َم ْشُرْوعٌ ِِ السُرْوِر لاَ ِِ الشُرْوِر َوِه َى بِ ْد َعةٌ ُم ْستَـْقبَ َحة،َويُ ْكَرهُ اِّتَاذُ ال ِضيَاََِة ِم ْن أَْه ِل الْ َميِ ِت “เป็ นเร่ืองน่ารังเกียจที่จะให้ครอบครัวผูต้ ายเป็ นฝ่ ายเล้ียงอาหาร ! เพราะการเลยี้ งอาหาร น้ัน เป็ นบทบัญญัติในกรณีมีความสุข (เช่นตอนแต่งงาน, ตอนมีบุตร, เป็ นต้น) มิใช่ เป็ น บทบัญญัติในยามทุกข์ (เช่นตอนพ่อแม่หรือลูกเมียตาย เป็ นตน้ ) .... มนั จึงเป็ นเรื่องบิดอะฮ์ที่น่า เกลยี ด ........” (จากหนงั สือ “กชั ฟุช ชุบฮาต” ของท่านมะหม์ ูดหะซนั รอเบี๊ยะอฺ หนา้ 192). (2). มษั ฮบั มาลิกีย์ 1. ท่านอิหม่ามอบูบกั รฺ อฏั -ฏอ็ รฺฏุชีย์ (สิ้นชีวติ ปี ฮ.ศ. 530) ไดก้ ล่าวไวใ้ นหนงั สือ “อลั -หะ วาดิษ วลั -บิดะอฺ” หนา้ 170 วา่ ... ٌ َوِعْن ِد ْى أَ َنّهُ بِ ْد َعة،ٌََأَ َّما ِذَا أَ ْصلَ َح أَْه ُل الْ َميِ ِت ََُعاما َوََ َعُواال َنّا ٌَ ِلَْيِه ََـلَ ْم يـُْنـَق ْل َِْيِه َع ِن الُْق َدَماِء َش ْىء ..... ٌَوَم ْكُرْوَهة
“อน่ึง การท่ีครอบครัวผตู้ ายปรุงอาหารข้ึน และเชิญชวนใหค้ นมากินอาหารน้นั เร่ืองนี้ ไม่ ปรากฏมีรายงานมาจากประชาชนยุคก่อนๆแต่อย่างใด, และในทศั นะของฉนั มนั เป็ นเรื่องบิดอะฮ์ และเป็นเร่ืองที่น่ารังเกียจ” ... 2. ในหนงั สือ “มตั นุ คอลีล” ของนกั วชิ าการมษั ฮบั มาลิกีย์ มีกล่าวเอาไวว้ า่ ... ..... ٌ َوِل َاّ ََـ ُهَو َحَرام،َوأَ َّما اْلإ ْجتِ َماعُ َعلَى ََُعاِم بَـْي ِت الْ َميِ ِت ََبِ ْد َعةٌ َم ْكُرْوَهةٌ ِ ْن ََلْ يَ ُك ْن ِِ الَْوَرثَِة َصِغْيـٌر “อน่ึง การไปชุมนุมกินอาหารกนั ท่ีบ้านคนตาย ถือเป็ นบิดอะฮ์ท่ีน่ารังเกียจ หากว่าใน ทายาทผตู้ ายไม่มีเดก็ เลก็ (ยงั ไม่บรรลุศาสนภาวะ), ... แต่ถา้ (ผตู้ าย) มี (ทายาทที่ยงั เลก็ อย)ู่ กถ็ ือว่า (การไปชุมนุมกินอาหารที่บา้ นผตู้ าย) เป็นเร่ืองตอ้ งหา้ ม (หะรอม)” (จากหนงั สือ “อลั -มนั ฮลั ฯ” อนั เป็นหนงั สืออธิบายสุนนั ของท่านอบูดาวูด เล่มที่ 4 ส่วน ท่ี 8 หนา้ 272) ... (3). มษั ฮบั ชาฟิ อีย์ 1. ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 676) ไดก้ ล่าวไวใ้ นหนังสือ “อลั -มจั ญมว๊ั ะอฺ” เล่มท่ี 5 หนา้ 320 วา่ ... َوأَ َّما ِ ْصلاَ ُح أَْه ِل الْ َميِ ِت ََُعاما َوجَمْ ُع ال َنّا ٌِ َعلَْيِه ََـلَ ْم يـُْنـَق ْل َِْيِه َش ْىءٌ َوُهَو: ُقَا َل َصا ِح ُب ال َّشاِم ِل َوغَْيـُره ..... بِ ْد َعةٌ غَْيـُر ُم ْستَ َح َبٍّة “ท่านเจา้ ของหนังสือ “อชั -ชามิล” (มีช่ือว่า อบูนัศรฺ, มะห์ มูด บิน อัล-ฟัฎล์ อัล-อิศบะ ฮานีย์, มชี ่ือรองว่า อิบนุ ศอ็ บบาค เป็นชาวเมืองอิศฟาฮาน, สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 512) และนกั วชิ าการ ท่านอื่นๆกล่าววา่ ... อน่ึง การที่ครอบครัวผูต้ ายไดจ้ ดั ปรุงอาหารข้ึน และเชิญชวนผูค้ นใหม้ าร่วม รับประทานกนั พฤติกรรมนี้ ไม่เคยปรากฏมีรายงานหลกั ฐานมาแต่ประการใด, ดงั น้นั มนั จึงเป็น บิดอะฮท์ ี่ไม่ชอบตามหลกั การศาสนา” .. 2. ท่านเช็ค อิบนุหะญรั ฺ อลั -ฮยั ตะมีย์ (สิ้นชีวติ ปี ฮ.ศ. 974) ไดก้ ล่าวในหนงั สือ “ตุ๊ห์ฟะตุล้ มุหต์ าจญ”์ วา่ .... “ َوَما ا ْعتِْي َد ِم ْن َج ْع ِل أَ ْه ِل الْ َميِ ِت ََُعاما لِيَ ْدعُواال َنّا ٌَ ِلَْيِه بِ ْد َعةٌ َم ْكُرْوَهةٌ َكِ َجابَتِِه ْم لِ َذلِ َكสิ่งซ่ึง ปฏิบตั ิกนั มาจนกลายเป็ นประเพณีไปแลว้ .. อนั ไดแ้ ก่การท่ีครอบครัวผูต้ ายปรุงอาหารข้ึนมา เพ่ือ เชิญให้ผูค้ นมาร่วมรับประทานน้นั มันคือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ .. เช่นเดียวกบั การตอบรับคาเชิญ ชวนไปร่วมในงานเล้ียงน้ี (กเ็ ป็นบิดอะฮท์ ่ีน่ารังเกียจเช่นเดียวกนั ) ... (จากหนงั สือ “อิอานะฮ์ อฏั -ฏอลิบีน” เล่มที่ 2 หนา้ 146)
3. ท่านเช็คอะห์มดั บิน ซยั นีย์ ดะห์ลาน อดีตมุฟตียข์ องมษั ฮบั ชาฟิ อียแ์ ห่งนครมกั กะฮ์ ได้ กล่าวตอบเม่ือมีผถู้ ามปัญหาเรื่องการเล้ียงอาหารบา้ นผตู้ ายวา่ ... َمايَـْفَعلُهُ ال َنّا ٌُ ِم َن اْلِإ ْجتِ َماِع ِعْن َد أَ ْه ِل اْل َميِ ِت َو ُصْن ِع ال َطَّعاِم ِم َن اْلبِ َدِع اْل ُمْن َكَرة ا َلِّّْت يُـثَا ُب َعلَى َمْنِعَها،نَـَع ْم ..... َواِل اْلأَْم ِر “ใช่, สิ่งซ่ึงประชาชนกาลงั กระทากนั อนั ไดแ้ ก่การไปชุมนุมกนั ณ ครอบครัวผตู้ าย และมี การปรุงอาหาร (เพ่ือเล้ียงดูกนั ) ถือวา่ เป็ นหน่ึงจากบิดอะฮ์ต้องห้าม .. ซ่ึงผนู้ าท่ีต่อตา้ นเร่ืองน้ี จะ ไดร้ ับผลบุญตอบแทน .........” (จากหนงั สือ “อิอานะฮ์ อฏั -ฏอลิบีน” เล่มที่ 2 หนา้ 145) ท่านเช็คอะห์มดั บินซยั นีย์ ดะห์ลานยงั กล่าวต่อไปอีกวา่ ... َوََـْت ٌح لِ َكثٍِْي ِم ْن أَبْـَوا ِب،َولَا َش َّك أَ َّن َمْن َع ال َنّا ٌِ ِم ْن َه ِذِه اْلبِ ْد َعِة اْل ُمْن َكَرِة َِْيِه ِ ْحيَا ٌء لِلس َنِّة َوَِماتَةٌ لِْلبِ ْد َعِة .... َِ َّن ال َنّا ٌَ يَـتَ َك َلُّفْو َن َكثِْيـرا يـَُؤَِ ْى َِِل أَ ْن يَ ُكْو َن َذلِ َك الصْن ُع مَُح َّرما،ا ْلَ ِْي َو َغْل ٌق لِ َكثٍِْي ِم ْن أَبْـَوا ِب ال َّش ِر “และไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่า การห้ามปรามประชาชนจาก (การกระทา) สิ่งบิดอะฮ์ ตอ้ งห้ามอยา่ งน้ี คือการฟ้ื นฟูซุนนะฮ์และเป็ นการทาลายบิดอะฮ์, และยงั เป็ นการเปิ ดประตูแห่ง ความดีอย่างมากมาย และเป็ นการปิ ดประตูแห่งความชั่วอย่างมากมาย,เพราะว่าประชาชนต่างก็ ทุ่มเท(ในเรื่องน้ี) กนั อยา่ งหนกั จนการกระทาดงั กล่าวอาจนาไปสู่การปฏิบตั ิที่ตอ้ งหา้ มได”้ ... (จากหนงั สือ “อิอานะฮ์ อฏั -ฏอลิบีน” เล่มท่ี 2 หนา้ 146) (4). มษั ฮบั หมั บะลีย์ 1. มีรายงานมาเกี่ยวกบั เรื่องการกินเล้ียงท่ีบา้ นผูต้ ายจากท่านอิหม่ามอะห์มดั อิบนุ หมั บลั ว่า .... ... َوأَنْ َكَرهُ َش ِديْدا، ُهَو ِم ْن َِ ْع ِل ا ْلَا ِهلِ َيِّة: قَا َل أَحْمَ ُد ท่านอิหม่ามอะห์มดั กล่าวว่า : “มนั (การให้บา้ นผูต้ ายเป็ นเจา้ ภาพเล้ียงอาหารแขก) เป็ น พฤติการณ์ของพวกญาฮิลียะฮ์ ! ” .. และท่านจะแอนต้ีมนั อยา่ งรุนแรง ... (จากหนงั สือ “อลั -มนั ฮลั อลั -อษั บุลเมารูด ฯ” เล่มท่ี 4 ส่วนที่ 8 หนา้ 273) 2. ท่านอิบนุ กดุ ามะฮ์ ไดก้ ล่าวในหนงั สือ “อลั -มุฆนีย”์ เล่มที่ 2 หนา้ 413 วา่ ... ِ لأَ َّن َِْيِه ِزَي ََة َعلَى ُم ِصْيـبَتِِه ْم َو ُشغْلا أَِِل ُشغِْلِه ْم َوتَ َشبـها بِ ُصْن ِع،ٌََأَ َّما ُصْن ُع أَْه ِل الْ َميِ ِت ََُعاما لِل َنّا ٌِ َََم ْكُرْوه َوَه ْل: قَا َل،َ لا: َه ْل يـُنَا ُح َعلَى َميِتِ ُك ْم ؟ قَا َل: َويـُْرَوى أَ َّن َج ِريْـرا َوََ َد َعلَى ُع َمَر ََـَقا َل،أَْه ِل ا ْلَا ِهلِ َيِّة ...... ذَلِ َك ال َنّـْو ُح: قَا َل، نَـَع ْم: َْيتَ ِمعُْو َن ِعْن َد أَْه ِل الْ َميِ ِت َوَْبَعلُْو َن ال َطَّعا َم ؟ قَا َل
“อน่ึง การที่ครอบครัวผูต้ ายปรุงอาหารข้ึนมาให้ประชาชน(รับประทานกนั ) น้ัน ถือว่า เป็ นเร่ืองน่ารังเกยี จ, เนื่องจากมนั เป็ นการซ้าเติมเคราะห์กรรมของพวกเขามากยงิ่ ข้ึน ซ้ายงั เป็ น การเพิ่มภาระพวกเขาซ่ึงหนักอยูแ่ ลว้ ให้หนกั เขา้ ไปอีก และยงั เป็ นการลอกเลียนการกระทาของ พวกญาฮิลียะฮอ์ ีกดว้ ย, มีรายงานมาว่า ท่านญะรีรฺ (บิน อบั ดุลลอฮ์ อลั -บะญะลีย)์ ร.ฎ. ไดม้ าหา ท่านอุมรั ฺ (อิบนุล ค็อฏฏอบ ร.ฎ.) แลว้ ท่านอุมรั ฺถามว่า .. เคยมีการนิยาหะฮ์ (คร่าครวญอย่างหนกั ) ให้แก่ผูต้ ายของพวกท่านบา้ งไหม ? ท่านญะรีรฺก็ตอบว่า ไม่เคย, .. ท่านอุมรั ฺกถ็ ามต่อไปอีกว่า .. แลว้ เคยมีการไปชุมนุมกนั ท่ีบา้ น/ครอบครัวผูต้ าย และมีการปรุงอาหารเล้ียงกนั ไหม ? ท่านญะรีรฺ ตอบวา่ เคยครับ, ท่านอุมรั ฺกบ็ อกวา่ ... นนั่ แหละคือการนิยาหะฮ์ (อนั เป็นเร่ืองตอ้ งหา้ ม) ละ” ... หมายเหตุ คาว่า ٌ( َم ْكُرْوهน่ารังเกยี จ) .. ท่ีนกั วิชาการแทบทุกท่าน ใชเ้ ป็ นสานวนกล่าวควบคููู่กบั คา ว่า “บิดอะฮ์” ท่ีผ่านมาน้นั โปรดเขา้ ใจดว้ ยว่า ความหมายของมนั มิใช่มีหมายถึงสิ่ง “มักโระฮ์” อนั เป็นศพั ทท์ ี่เขา้ ใจกนั โดยทวั่ ๆไปวา่ เป็นสิ่งที่ “ถ้าไม่ทากไ็ ด้บุญ แต่ถ้าทากไ็ ม่บาป” ... ทวา่ ความหมายของมนั กค็ ือ เป็น “บดิ อะฮ์ทต่ี ้องห้าม” หรือหะรอม นนั่ เอง ... มีกล่าวในหนงั สือ “กชั ฟุช ชุบฮาต” หนา้ 193 วา่ ... َُ َوالْ َم ْع ُدْو،ٌ َوالنِيَا َحةُ َحَرام،ُ ِِذ اْلأَ ْص ُل ِِْ َه َذاالْبَا ِب َخبَـُر َج ِريٍْر َر ِض َى اللهُ َعْنه،ٌُ َثّ ِ َّن ال َظّا ِهَر أَ َّن الْ َكَرا َهةَ َتْ ِرْيِ َيّة ُ َوأَيْضا ِ َذا اُُِْل َق الْ َكَرا َهةُ يـَُرا َُ ِمْنـَها ال َتّ ْح ِرْيِ َيّة،ِم َن الْحََراِم َحَراٌم “ประการต่อมา โดยรู ปการณ์แล้ว คาว่า ( َم ْكُرْوٌهน่ารังเกียจ) .. จากคากล่าวของ นกั วิชาการขา้ งตน้ น้นั หมายถึง “เป็ นเร่ืองหะรอม” (ตอ้ งห้าม), ท้งั น้ี เพราะพ้ืนฐานของเรื่องน้ี (คือเรื่องที่ว่า การไปชุมนุมกินเล้ียงกนั ที่บา้ นผูต้ าย เป็ นเรื่อง ٌ َم ْكُرْوهน้นั ) ไดแ้ ก่หะดีษของท่านญะ รีรฺ ร.ฎ. (ท่ีกล่าววา่ .. พวกเรา (เศาะหาบะฮ)์ นับว่า การไปร่วมชุมนุมกนั ที่ครอบครัว/บา้ นผตู้ ายและ มีการปรุงอาหารเล้ียงกนั น้นั เป็นส่วนหน่ึงของนิยาหะฮ)์ .. และการนิยาหะฮ์น้ัน เป็ นเรื่องหะรอม, ดังน้ัน สิ่งท่ี “ถูกนับว่า” เป็ นส่วนหนึ่งนิยาหะฮ์ กต็ ้องหะรอมเช่นเดียวกนั ,.. และอีกอยา่ งหน่ึงก็ คือคาว่า ٌ َم ْكُرْوهน้ี เมื่อถูกกล่าวโดยปราศจากขอ้ แมใ้ ดๆ (ตามหลกั การแลว้ ถือว่า) ความหมายของ มนั กค็ ือ หะรอม (ตอ้ งหา้ ม)” .... สรุปแลว้ การที่มีผูร้ ู้บางท่านพยายามจะมอมเมาชาวบา้ นใหเ้ ขา้ ใจว่า การที่บา้ นผตู้ ายเป็น เจา้ ภาพเล้ียงอาหารเพ่ือส่งบุญให้แก่ผูต้ าย ถือเป็ น “บิดอะฮ์หะสะนะฮ์” หรือบิดอะฮด์ ีและไดบ้ ุญ น้นั จึงสวนทางกบั คากล่าวของนกั วิชาการท้งั 4 มษั ฮบั ที่ถือวา่ มนั เป็น “บิดอะฮ์ท่ีต้องห้าม”(หะ รอม) ...
และขอ้ หา้ มน้ีกค็ รอบคลุมถึงคนท่ีถูกเชิญไปกิน, คนที่ช่วยทาอาหาร, คนที่ไปช่วยงาน .. ช่วยลา้ งจาน เป็นตน้ ... แมก้ ระทงั่ คนที่ไม่ไปเอง แต่อนุญาตใหล้ ูกเมียไปแทนกต็ าม ถือว่าเป็ นการช่วยเหลือกนั ใน เรื่องบาป .. ดงั ขอ้ มูลจากคากล่าวของท่านอลั -กุรฺฎุบียจ์ ากหน้า 23-24 และคากล่าวของท่านอิบนุ หะญรั ฺ อลั -ฮยั ตะมีย์ หนา้ 26 ท่ีผา่ นมาแลว้ ... อ. ปราโมทย์ ศรีอุทยั (อบู อลั -หะบีบ) ... โทร. 086-6859660, 088-1691559 คืนวนั ศุกร์ ท่ี 4 พ.ค. 2549.
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: