Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสาร PDF

เอกสาร PDF

Published by sirimakoii, 2021-08-30 05:15:07

Description: เอกสาร PDF

Search

Read the Text Version

ทฤษฎีกําเนดิ โลก แมใ้ นทางศาสนาและตํานานทีเล่าขานกันมา โลกและดวงดาว ต่าง ๆ รวมถึงสงิ มชี วี ิต ดิน นา ฟา อากาศ ล้วนเกิดจากฝมอื ของพระเจ้า พระผสู้ รา้ ง หรอื เทพ แต่ในทางวิทยาศาสตรน์ นั การกําเนดิ ของสงิ ต่าง ๆ เปนการเดินทาง การรวมตัวกันของ สารเคมี อะตอม และโมเลกลุ ทีหล่อหลอม เกียวเนอื ง สมั พนั ธ์ กัน รวมถึงแรงและพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ทีสามารถสมั ผสั และวัดได้ จนกลายเปนกล่มุ ก้อนของดวงดาว วัตถุ และสงิ มี ชวี ิตทีอาศยั อยูบ่ นโลก

แมว้ ่าจะมนี กั วิทยาศาสตรผ์ ยู้ งิ ใหญใ่ นโลกหลาย คนนบั จากอดีตจวบจนปจจุบนั รา่ งทฤษฎีและ ความนา่ จะเปนมากมายของการกําเนิดของโลก แต่ก็ยงั ไมม่ ที ฤษฎีไหนทีมหี ลักฐานสนบั สนุนมาก พอทีจะกล่าวได้อยา่ งมนั ใจว่า นแี หละคือสงิ ทีเกิด ขนึ เมอื หลายล้านปก่อน สงิ ทีเรากําลังพดู ถึงอยูค่ ือ สงิ ทีเกิดขนึ ก่อนทีจะมมี นษุ ยด์ ้วยซา

ทฤษฎีซงึ เปนทีนยิ มมอี ยู่ 3 ทฤษฎี ได้แก่ 1. ทฤษฎีโปรโตแพลเนต (Protoplanet) 2. ทฤษฎีพลาเนตติซมิ ลั (Planetesimal) 3. ทฤษฎีเนบวิ ลา (Nebular)

ทฤษฎโี ปรโตแพลเนต (Protoplanet) ซงึ กล่าวว่า อวกาศมกี ล่มุ หมอก ฝนุ และก๊าซ ลอย อยูเ่ ปนจํานวนมาก เมอื แรงดึงดดู ของมวลต่าง ๆ เกิดขนึ จึงทําใหก้ ล่มุ ก๊าซจับตัวกัน เกิดการบบี อัด เขา้ จุดศนู ยก์ ลาง โดยเกิดขนึ ในหลายจุดทัวอวกาศ และในแต่ละจุดนนั มดี าวฤกษ์แบบดวงอาทิตยเ์ กิด ขนึ และเมอื มแี กนกลางของแรงดึงดดู สารทีอยูโ่ ดย รอบก็เรมิ โคจรและจับกล่มุ กันจนกลายเปนดาว เคราะหด์ วงต่าง ๆ ทีโคจรรอบดาวฤกษ์ กลายเปน ระบบสรุ ยิ ะทีมอี ยูท่ ัวไป

ทฤษฎพี ลาเนตติซมิ ัล (Planetesimal) ซึงกล่าวว่า โลกแยกตัวออกจากดวงอาทิตย์ เพราะมีแรงดึงดูดจากดาวดวงอืน ซงึ มีขนาด ใหญก่ ว่าและแรงดึงดูดมากกว่าเคลือนผา่ น จึง ทําให้เกิดการแยกของมวลหลดุ ออกมากลาย เปนโลก รวมถึงดาวเคราะหอ์ ืน ๆ ในระบบ

ทฤษฎเี นบวิ ลา (Nebular) เปนทฤษฎียอดนยิ มทีสดุ ซงึ คล้ายกับทฤษฎี โปรโตแพลเนต แต่ว่าการรวมตัวของกล่มุ ก๊าซและฝนุ หมอกในอวกาศเรมิ ต้นจากการ หดตัวและหมนุ อยา่ งชา้ ๆ ก่อนทีจะเพมิ ความเรว็ ขนึ หลังจากเกิดจุดศนู ยก์ ลาง แรงดึงดดู ทีจุดศนู ยก์ ลางทําใหม้ คี วามรอ้ น เกิดขนึ และเมอื ดาวฤกษ์เกิดขนึ ดาวเคราะห์ ทีเกิดจากกล่มุ ก๊าซและฝนุ โดยรอบ ก็เกิดขนึ ในเวลาใกล้เคียงกัน

ตามทฤษฎีเนบวิ ลานนั การหมนุ วนของฝนุ กล่มุ ก๊าซ และหมอกต่าง ๆ เหล่านี เกิดขนึ ในระนาบแบบเดียวการหมนุ วนของแผน่ เสยี ง การบบี อัดของพลังงาน ณ จุดศนู ยก์ ลางทําใหเ้ กิดปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์ ชนิดฟวชนั (Nuclear Fusion) ซงึ เกิด จากการทีอะตอมของธาตทุ ีเบากว่ารวมตัว กันกลายเปนอะตอมธาตทุ ีหนกั กว่า พรอ้ ม ทังปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา ซงึ ใน ขนั แรกของจักรวาลนนั คาดว่าอะตอมของ ธาตสุ ว่ นใหญท่ ีล่องลอยอยูล่ ้วนแต่เปนธาตุ เบาทังสนิ และธาตอุ ืน ๆ ทีหนกั กว่าล้วน เกิดจากปฏิกิรยิ านวิ เคลียรใ์ นชว่ งของการ เกิดดวงดาวต่าง ๆ ด้วย

พลังงานมหาศาลปลดปล่อยออกมาในรูปแบบ ของความรอ้ น รงั สี แสงต่าง ๆ และการปลด ปล่อยพลังงานนยี งั ทําใหด้ าวเคราะหท์ ีอยูใ่ นวง โคจรโดยรอบใกล้ ๆ จึงมอี ุณหภมู สิ งู กว่า ดาวทีโคจรอยูห่ า่ งออกไป เปนต้น นกั วิทยาศาสตรค์ าดว่าโลกในขนั เรมิ ต้นของ การกําเนดิ มขี นาดเล็กแต่มมี วลทีหนาแนน่ และ ไมไ่ ด้มชี นั แขง็ อยูด่ ้านนอกเหมอื นในปจจุบนั

เแต่เมอื กาลเวลาผา่ นไป ดาวเคราะหแ์ ละอุกกาบาต จํานวนมากตกและเขา้ ชนโลก เหมอื นการเพมิ มวล ใหก้ ับดวงดาว และแรงโนม้ ถ่วงทีดาวมรี ว่ มกับ แรงดึงดดู ของดวงอาทิตย์ พลังงานภายในโลกที ค่อย ๆ ลดลง ทําใหแ้ รท่ ีมอี ยูใ่ นโลกเรมิ แบง่ ตัวเปน ชนั ธาตหุ นกั ๆ อยา่ งเหล็กหรอื นกิ เกิล และโลหะหนกั อืนๆ รวมตัวกันบรเิ วณแกนกลางของโลก สว่ นธาตุ ทีเบากว่าอยา่ งแมกนเี ซยี ม ซลิ ิกอน แคลเซยี ม มา รวมตัวกันมากบรเิ วณแผน่ เปลือกโลกในชนั แมน เทิล (Mantle) และธาตอุ ืน ๆ ทีเบากว่าจําพวกก๊าซ ก็มาหอ่ หมุ้ กลายเปนชนั บรรยากาศของโลก เหมอื น ทีเราเหน็ ได้ในปจจุบนั

สว่ นของเหลวอยา่ งนาซงึ คาดว่าควบแนน่ เมอื เปลือก โลกเยน็ ตัวลง ก็เรมิ เกาะตัวกันกลายเปนฝน และไหล รวมเปนแมน่ า ทะเล และมหาสมทุ ร รวมถึงแหล่งนา ต่าง ๆ ทัวโลกในชว่ ง 4,000 ล้านปก่อน ก่อนทีสงิ มี ชวี ิตต่าง ๆ ในยุคเรมิ แรกจะเกิดขนึ ในโลก นกั วิทยาศาสตรค์ าดว่าในชว่ งแรก ก๊าซหลัก ๆ ของโลกคือ คารบ์ อนไดออกไซด์ จากนนั สงิ มี ชวี ิตจําพวกพชื จะพฒั นา วิวัฒนาการ และเรมิ ยดึ พนื ทีสว่ นต่าง ๆ ของโลกทังบนบกและในนา

เมอื พชื จําพวกแรกอยา่ งสาหรา่ ยเซลล์เดียวเรมิ เฟองฟู ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ก็ถกู ใชไ้ ปเปน จํานวนมาก และกลายเปนก๊าซออกซเิ จนทีมี สดั สว่ นมากขนึ ซงึ เอือใหก้ ารมชี วี ิตอยูข่ องสตั ว์ เปนไปได้ง่ายขนึ ตามมา และชวี ิตก็ดําเนนิ ต่อ ไปจากยุคไดโนเสารค์ รองโลก หลายล้านปก่อน จนมาเปนยุคในปจจุบนั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook