Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การนำหลักการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 3

การนำหลักการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 3

Published by armtonwut2540, 2017-07-02 23:51:21

Description: การนำหลักการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 3

Keywords: การนำหลักการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ

Search

Read the Text Version

การเรียนรู้Learning

ความหมายของคาทเี่ กย่ี วข้อง การรู้ หมายถึง สภาวะของการรับรู้จากการสัมผสั และสัมพนั ธ์ ต่างๆ รวมถงึ รู้วิธีการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ หมายถงึ การปรับเปลย่ี นทศั นคตแิ นวคดิ และพฤตกิ รรม อนั เน่ืองมาจากการได้รับประสบการณ์ ซึ่งควรเป็ นการปรับเปลยี่ น ไปในทางท่ดี ขี นึ้ การศึกษา หมายถึง การศึกษาที่เกดิ จากการผสมผสานระหว่าง การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศัย เพอื่ ให้สามารถพฒั นาคุณภาพชีวิตได้

ความสาคญั ของการเรียนรู้ Richard R. Bootsin กล่าวว่า - การเรียนรู้เป็ นพนื้ ฐานของการดารงชีวติ - มนุษย์มีการเรียนรู้ต้งั แต่แรกเกดิ จนถงึ ก่อนตาย - ไม่มใี ครแก่เกนิ ท่จี ะเรียน No one old to learn - การเรียนรู้จะช่วยในการพฒั นาคุณภาพชีวิตให้ดขี นึ้

การเรียนรู้ Bloom บลูม กล่าวว่า เมอื่ เกดิ การเรียนรู้ในแต่ละคร้ังจะต้องมกี ารเปลยี่ นแปลง เกดิ ขนึ้ 3 ประการ จงึ จะเป็ นการเรียนรู้ทสี่ มบูรณ์ คอื

การเรียนรู้ 1. การเปลย่ี นแปลงทางด้านความรู้ ความคดิ ความเข้าใจ (Cognitive Domain) หมายถงึ การเปลยี่ นแปลงทเี่ กดิ ขนึ้ ในสมอง เช่น การเรียนรู้ความคดิ รวบยอด

การเรียนรู้ 2. การเปลย่ี นแปลงทางด้านอารมณ์ หรือความรู้สึก (Affective Domain) หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงทางด้านจิตใจ เช่น ความเช่ือ ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม

การเรียนรู้ 3. การเปลย่ี นแปลงทางด้านการเคลอ่ื นไหวของร่างกาย (Psychomotor Domain ) หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงด้านร่างกายเพอ่ื ให้เกดิ ความ ชานาญ หรือทักษะ เช่น การว่ายนา้ เล่นกฬี าต่างๆ เล่นดนตรี

การเรียนรู้สรุป การเรียนรู้จะมพี ฤตกิ รรมอยู่ 2 ส่วน คอื 1. พฤติกรรมเดมิ ก่อนให้การเรียนรู้ 2. พฤตกิ รรมหลงั จากให้การเรียนรู้แล้ว

คานิยาม การเรียนรู้ เป็ นกระบวนการทกี่ ่อให้เกดิ การเปลยี่ นแปลง จากพฤตกิ รรมเดมิ ไปเป็ นพฤตกิ รรมใหม่ ทีค่ ่อนข้างถาวร เป็ นผลท่ีได้จากประสบการณ์ โดยไม่ใช่ผลจากการ ตอบสนองตามธรรมชาตทิ เี่ กดิ ขึน้ โดยบังเอญิ เป็ นการเปลย่ี นแปลงในด้านความรู้ ความรู้สึก และทกั ษะ

องค์สามของการเรียนรู้ 1. ผู้เรียน 1.1 วุฒภิ าวะและความพร้อม 1.2 ความสามารถ ด้านเชาวน์ปัญญา 1.3 ความสนใจ 1.4 ประสบการณ์ของผู้เรียน 1.5 ความบกพร่องทางร่างกาย

องค์สามของการเรียนรู้2. บทเรียน หมายถงึ เร่ืองทจี่ ะเรียน 2.1 ชนิดของบทเรียน 2.2 ความยาวของบทเรียน 2.3 ความยากง่ายของบทเรียน 2.4 ความหมายของบทเรียน

องค์สามของการเรียนรู้ 3. วธิ ีเรียน (วธิ ีเรียนของผู้เรียน / วธิ ีการถ่ายทอดของครู) 3.1 ทฤษฎกี ารเรียนรู้ต่างๆ 3.2 กระบวนการเรียนรู้อนื่ ๆ ( ความคดิ ความจา การลมื การจูงใจ ) 3.3 การเสริมแรง 3.4 การฝึ กหัด

องค์สามของการเรียนรู้3.5 การถ่ายโยงการเรียนรู้ 3.5.1 การถ่ายโยงชนิดบวก 3.5.2 การถ่ายโยงชนดิ ลบ 3.5.3 การถ่ายโยงชนิดศูนย์

กระบวนการเรียนรู้ Learning ProcessAlan Thomas : ระบุว่า ลกั ษณะของกระบวนการเรียนรู้ มี 8 ประการ ได้แก่ 1. การเรียนรู้เป็ นการลงมอื ปฏิบัติ 2. การเรียนรู้เป็ นปัจเจกบุคคล 3. การเรียนรู้ได้รับอทิ ธิพลจากบุคคลในสังคมร่วมกนั 4. การเรียนรู้เป็ นการตอบสนองสิ่งทพี่ บ/กระตุ้น

กระบวนการเรียนรู้ Learning Process 5. การเรียนรู้เป็ นกระบวนการต่อเน่ืองตลอดชีวติ 6. การเรียนรู้ไม่สามารถเปลยี่ นกลบั ไป – มาได้ 7. การเรียนรู้ต้องใช้เวลา 8. การเรียนรู้ไม่สามารถเกดิ จากถูกบังคบั

กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคดิ ของกาเย่ Robert M. Gagneมี 8 ข้นั ตอน ดงั นี้ 1. การจูงใจ ( Motivation Phase ) 2. ความเข้าใจ ( Apprehending Phase ) 3. การได้รับ ( Acquisition Phase ) 4. การเกบ็ ไว้ ( Retention Phase ) 5. การระลกึ ได้ ( Recall Phase ) 6. ความคล้ายคลงึ ( Generalization Phase ) 7. ความสามารถในการปฏบิ ัติ ( Performance Phase ) 8. การป้ อนกลบั ( Feedback Phase )

กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคดิ ของ Jerome Bruner มี 3 ข้นั ตอน ดงั นี้ 1. การรับรู้ ( Acquisition ) 2. การแปลงรูปของความรู้ ( Transformation ) 3. การประเมินผล ( E valuation )

กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม Benjamin S. Bloom มี 6 ข้นั ตอน (Knowledge ) 1. ความรู้ (Comprehension ) 2. ความเข้าใจ ( Application ) 3. การนาไปใช้ ( Analysis ) 4. การวิเคราะห์ ( Synthesis ) 5. การสังเคราะห์ ( Evaluation ) 6. การประเมนิ ผล

กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคดิ ของครอนบาค Lee J. Cronbach มี 7 ข้นั ตอน ดังนี้ ( Goal ) 1. ความม่งุ หมาย ( Readiness ) 2. ความพร้อม ( Situation ) 3. สถานการณ์ ( Interpretation ) 4. การแปลความหมาย ( Response ) 5. การตอบสนอง ( Consequence ) 6. ผลต่อเน่ือง ( Reaction to thwarting ) 7. ปฏกิ ริ ิยาต่อการขดั ขวาง

การเรียนรู้ของบุคคลส่วนใหญ่ ผ่านกระบวนการ 5 ข้ันตอน1 สิ่งเร้า 2การสัมผสั 3 การรับรู้ 5 การตอบสนอง 4 มโนทัศน์

 ทฤษฎีการเรียนรู้ Theories of Learning

ทฤษฎกี ารเรียนรู้เป็ นการศึกษาถึง กระบวนการทที่ าให้การเรียนรู้เกดิ ขนึ้ และสถานการณ์ทมี่ ผี ลต่อการเรียนรู้น้ัน ทฤษฎกี ารเรียนรู้มหี ลายทฤษฎี ซ่ึงกจ็ ะมสี มมุติฐาน แตกต่างกนั ไป

ทฤษฎีการวางเงอื่ นไขแบบคลาสสิกผู้ริเร่ิมทฤษฎี คอื พาฟลอฟ (Pavlov)หลกั การเรียนรู้ “ การเรียนรู้ของส่ิงมชี ีวติ เกดิ จากการวางเงอ่ื นไขการตอบสนองหรือการเรียนรู้ทเ่ี กดิ ขนึ้ ต่อสิ่งเร้าน้ัน ต้องมเี งอื่ นไขหรือมกี ารสร้างสถานการณ์ให้เกดิ ขนึ้

ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขด้วยการกระทา ผู้ริเร่ิมทฤษฎี สกนิ เนอร์ (D.F. Skinner) หลกั การเรียนรู้ “ ความสัมพนั ธ์ระหว่างพฤติกรรมกบั สิ่งแวดล้อม ซ่ึงเป็ นสิ่งทก่ี ่อให้เกดิ พฤตกิ รรมการเรียนรู้” เครื่องมอื ช่วยสอน บทเรียนสาเร็จรูป การสอนแบบโปรแกรม ทฤษฎนี ี้ เน้นการกระทาของผู้ทเ่ี รียนรู้มากกว่าส่ิงเร้าทผี่ ู้สอน กาหนดขนึ้

ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอร์นไดก์ผู้ริเริ่มทฤษฎี ธอร์นไดก์ (Thorndike) หลกั การเรียนรู้ “ การเรียนรู้เกดิ จากการเช่ือมโยงระหว่างส่ิงเร้าและ การตอบสนองโดยแสดงในรูปแบบต่างๆจนกว่าจะเป็ น ทพ่ี อใจทเี่ หมาะสมทสี่ ุด ซ่ึงเรียกว่าการลองถูกลองผดิ ”

กฎการเรียนรู้1. กฎแห่งความพร้อม ความพร้อมทางร่างกาย หมายถึง ความพร้อมทางวุฒิ ภาวะและอวยั วะต่างๆของร่างกาย ความพร้อมทางด้านจิตใจ หมายถึง ความพร้อมทเี่ กดิ จากความพงึ พอใจเป็ นสาคญั ถ้าเกดิ ความพอใจย่อม นาไปสู่การเรียนรู้ ถ้าเกดิ ความไม่พอใจ จะทาให้ไม่เกดิ การเรียนรู้

กฎการเรียนรู้2. กฎแห่งการฝึ กหัด การทาซ้าบ่อยๆย่อมทาให้เกดิ การเรียนรู้ทนี่ านและคงทน 2.1 กฎแห่งการใช้ (Law of Used) 2.2 กฎแห่งการไม่ใช้ ( Law of disused)

กฎการเรียนรู้3. กฎแห่งผลทไ่ี ด้รับ (Law of Affect) กล่าวถงึ ผลทไ่ี ด้รับ ถ้าได้ผลทพี่ งึ พอใจ ผู้เรียนย่อม อยากเรียนรู้อกี ต่อไป ดงั น้ัน ถ้าจะทาให้ การเช่ือมโยงระหว่างสิ่งเร้ากบั การ ตอบสนอง มน่ั คงถาวร ต้องทาให้ผู้เรียนได้รับผลทพี่ งึ พอใจ ท้งั นีข้ นึ้ อยู่กบั ความพงึ พอใจของแต่ละคน ซึ่ง ตรงกบั การเสริมแรงของสกนิ เนอร์

คาถาม ท่านคดิ ว่าจะนาหลกั การเรียนรู้ทไ่ี ด้จากทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆมาประยุกต์ใช้กบั การเรียนการสอนอย่างไร

การนาหลกั การเรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอนทฤษฎกี ารวางเง่อื นไขแบบคลาสสิก เราสามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ดังนี้ ข้นั ที่ 1 วชิ าภาษาองั กฤษ ผ้เู รียนไม่ชอบการเล่นเกมส์ ผ้เู รียนชอบ ข้นั ท่ี 2 ภาษาองั กฤษ – การเล่นเกมส์ ผู้เรียนชอบถ้าหากให้เลกิ การเล่นเกมส์ออก ผ้เู รียนยงั ชอบเรียนภาษาองั กฤษอยู่ แสดงว่าการวางเง่ือนไขเพอ่ื ให้เกดิ พฤติกรรมที่พงึ ปรารถนา คือผ้เู รียนชอบเรียนวิชาภาษาองั กฤษ(อาจใช้การเล่นละคร แทนการเล่นเกมส์กไ็ ด้)

การนาหลกั การเรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน การนามาใช้ปรับพฤตกิ รรม เช่น การขเี้ กยี จทางาน ไม่ส่งงาน การมาโรงเรียนสาย เข้าห้องเรียนสาย การขาดเรียนบ่อย ให้พฤติกรรมทไี่ ม่พงึ ปรารถนา มาเป็ นพฤตกิ รรมทพี่ งึ ปรารถนาข้อควรระวัง อย่าใช้ซ้า และอย่าใช้วิธีการเดยี วตลอด เพราะจะทาให้เกดิ ความจาเจ ตัวอย่างกจิ กรรม “จูงมอื คุณแม่มาเป็ นครูของหนู”

การนาหลกั การเรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขด้วยการกระทา - การเสริมแรงทันที เช่นทุกคร้ังทผ่ี ู้เรียนตอบคาถามถูก วธิ ีนีม้ กั ใช้ กบั เด็กเลก็ เช่น อนุบาล ประถม - การเสริมแรงเป็ นคร้ังคราว เม่ือต้องการให้ผ้เู รียนรู้เกดิ การเรียนรู้ นานต่อไปเร่ือยๆ วิธีนีเ้ หมาะกบั การใช้กบั เดก็ โต - ใช้บทเรียนสาเร็จรูป โดยมีจุดประสงค์ให้ผ้เู รียนได้รับการเสริมแรง ทนั ทีท่ีแสดงพฤติกรรมทถ่ี ูกต้อง

การนาหลกั การเรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอร์นไดก์ - การนากฎแห่งความพร้อมมาใช้ ก่อนทจี่ ะมกี ารเรียนการ สอนเกดิ ขนึ้ ต้องสารวจดูก่อนว่า ผู้เรียนมคี วามพร้อมทจ่ี ะเรียนท้งั ทางร่างกายและจติ ใจหรือยงั ถ้ายงั ไม่พร้อม ต้องเตรียมความพร้อมด้วยการนาเข้าสู่ บทเรียน แล้วจงึ จะเร่ิมสอน

การนาหลกั การเรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธิร์นไดต์ - การนากฎแห่งการฝึ กมาใช้ เมอ่ื ต้องการให้ผู้เรียนเกดิ ทกั ษะ ในการเรียนรู้ ต้องเริ่มจาก ให้ผู้เรียนเข้าใจในบทเรียนเสียก่อน แล้วหมน่ั ฝึ กฝนและนาส่ิงทเ่ี รียนรู้แล้วมาใช้บ่อยๆ

การนาหลกั การเรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน ทฤษฎกี ารเชื่อมโยงของธอร์นไดก์ - การนากฎแห่งผลมาใช้ มีลกั ษณะเป็ นการเสริมแรงเพอ่ื ให้ผ้เู รียน เกดิ ความพงึ พอใจ นาไปสู่ความภาคภูมใิ จ - ผ้เู รียนจะเรียนด้วยตนเอง จนกว่าผ้เู รียนจะพบวิธีการเรียนรู้ท่ีดี ท่สี ุดและเหมาะสมทส่ี ุดสาหรับตนเอง วธิ ีการเรียนด้วยตนเองจะใช้ได้ดีในตวั ผ้เู รียนทโ่ี ตพอสมควร

คาถาม ให้แต่ละกลุ่มเสนอวธิ ีสอนทกั ษะ เร่ืองการว่ายนา้ ให้เหมาะสมกบั เดก็ แต่ละวยั โดยกาหนดให้มี 3 ข้ันตอนในการสอน

การสอนเพอ่ื ให้เกดิ ทกั ษะ การสอนเพอ่ื ให้เกดิ ทกั ษะ ควรดาเนินการให้ครบ 3 ข้นั ตอนดงั นี้ข้นั ท่ี 1 ให้ความรู้ ในการฝึ กทักษะเรื่องใดกต็ าม ผู้ฝึ กจะต้องให้ความรู้ว่าทกั ษะที่จะฝึ ก น้ันมขี ้นั ตอนอย่างไร อาจใช้วธิ ีการบรรยาย สาธิต ให้ชมวดี ที ศั น์ ฉายสไลด์ประกอบคาบรรยายหรือฉายภาพยนตร์ประกอบคาบรรยาย ด้วยกไ็ ด้

การสอนเพอื่ ให้เกดิ ทักษะ การสอนเพอื่ ให้เกดิ ทกั ษะ ควรดาเนินการให้ครบ 3 ข้นั ตอนดังนี้ ข้นั ท่ี 2 ให้ลงมือปฏบิ ัติ ในการฝึ กทักษะจะต้องให้ท้ังความรู้และให้ลงมอื ปฏบิ ัติจริง เพอ่ื ให้เกดิ ความถูกต้อง และยนื ยนั ว่าปฏิบัตไิ ด้จริง

การสอนเพอื่ ให้เกดิ ทักษะ การสอนเพอ่ื ให้เกดิ ทกั ษะ ควรดาเนินการให้ครบ 3 ข้นั ตอนดงั นี้ ข้นั ท่ี 3 ให้ทดสอบความถูกต้องรวดเร็ว ในการฝึ กทักษะท่ดี ีจะต้องมกี ารทดสอบว่าทาได้ถูกต้องและรวดเร็ว เพยี งใด ผ้รู ับการฝึ กทกั ษะมีความมั่นใจและสามารถปฏบิ ัติทกั ษะ ดังกล่าวได้โดยอตั โนมัตหิ รือไม่เพยี งใด ถ้าทาได้ครบท้งั 3 ข้นั ตอน กเ็ ป็ นท่ยี นื ยนั ได้ว่าบุคคลเกดิ ทกั ษะขนึ้ แล้ว

วชิ าทีค่ วรเน้นการสอนให้เกดิ ทักษะ การสอนเพอ่ื ให้เกดิ ทกั ษะควรเน้นในการเรียน วชิ าคณติ ศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ พลศึกษา วชิ าการงานและพนื้ ฐานอาชีพ เพอ่ื จะได้ช่วยให้นักเรียนได้บรรลผุ ลตามเจนารมณ์ของวตั ถุประสงค์ ในหลกั สูตร สาหรับการสอนเพอื่ ให้เกดิ ความคิดรวบยอดจาเป็ นต้องใช้ทุกวิชา และทุกคร้ังทม่ี กี ารสอน เพอื่ ให้ผ้เู รียนเกดิ ความรู้ ความจา และความ เข้าใจ อนั จะเป็ นพนื้ ฐานในการสร้างและฝึ กทกั ษะต่อไป

การเรียนรู้ Learningwww.crc.ac.th/online/75107/psychology2.ppt