Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การนำหลักการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 4

การนำหลักการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 4

Published by armtonwut2540, 2017-07-02 23:53:51

Description: การนำหลักการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 4

Keywords: การนำหลักการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ

Search

Read the Text Version

พฒั นาการทางการบริหารสถาบนั สงั คม สงั คมของมนุษยเ์ ป็นสงั คมทม่ี ีการรวมตวั เป็นกลุ่ม หมเู่ หล่า เป็นชมุ ชนขนาดตา่ ง ๆ

วิลเลียม ซิฟฟิ น (William S. Siffin) \"หากปราศจากองคก์ ารบรหิ ารแลว้ สงั คมกจ็ ะไมม่ ี หากปราศจากสงั คมแลว้ มนุษยก์ ไ็ มอ่ าจจะดารงชวี ติ อยไู่ ด้

การบริหาร(Administration) และ การจดั การ(Management)การบริหาร มกั จะใช้กบั การบริหารกิจการสาธารณะ หรือการบริหารราชการ การจดั การ ใช้กบั การบริหารธรุ กิจ เอกชน

การบริหาร- Peter F. Drucker : ศลิ ปะในการทางานใหบ้ รรลุเป้าหมายรว่ มกบั ผอู้ ่นื- Harold koontz : การดาเนินงานใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคท์ ่ีกาหนดไว้ โดยการอาศยั คน เงนิ วตั ถุสงิ่ ของ เป็นปจั จยั ในการปฏบิ ตั งิ าน- Herbert A. simon : กจิ กรรมทบ่ี คุ คลตงั้ แต่ 2 คนขน้ึ ไปรว่ มมอื กนั ดาเนินการใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่งึหรอื หลายอยา่ งรว่ มกนั

การบริหาร หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ ของบุคคลตงั้ แต่ 2 คน ขน้ึ ไป รว่ มมอื กนั ดาเนินกจิ กรรมหรอื งานใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคท์ ว่ี างไวร้ ่วมกนั โดยอาศยั กระบวนการและทรพั ยากรทางการบรหิ ารเป็นปจั จยั อย่างประหยดั และใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ

ปจั จยั สาคญั การบรหิ ารทส่ี าคญั มี 4 อยา่ ง ทเ่ี รยี กวา่4Ms ไดแ้ ก่ 1. คน (Man) 2 เงนิ (Money) 3. วสั ดสุ งิ่ ของ(Materials) 4. การจดั การ (Management)

ทฤษฎี ความรทู้ เ่ี กดิ ขน้ึ จากการรวบรวมแนวคดิ และหลกั การตา่ ง ๆ ใหเ้ ป็นกลุม่ กอ้ นยงั ไมม่ ที ฤษฎีใดที่สามารถช่วยอธิบายปรากฏการณ์ ในการบริหารงานได้หมด อาจจาเป็นต้องใช้ หลาย ๆ ทฤษฎีในการแก้ปัญหาหน่ึง

ค๊นู ท์ (Koontz) หลกั ในการบรหิ ารงานนนั้ จะดหี รอื มีประสทิ ธภิ าพหรอื ไมน่ นั้ ควรคานึงถงึ ลกั ษณะของทฤษฎีในเรอ่ื งต่อไปน้ี1. การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพของงาน2. การชว่ ยวเิ คราะหง์ านเพอ่ื ปรบั ปรงุ พฒั นา3. การชว่ ยงานดา้ นวจิ ยั ขององคก์ ารใหก้ า้ วหน้า4. ตรงกบั ความตอ้ งการของสงั คม5. ทนั สมยั กบั โลกทก่ี าลงั พฒั นา

• ทศั นะการบรหิ ารเชงิ วทิ ยาศาสตร(์ 1887-1945) (The Scientific Management Point of View)• ทศั นะเชงิ มนุษยส์ มั พนั ธ์ (1945-1958) (The Human Relationship Point of View)• ทศั นะเชงิ พฤตกิ รรมศาสตร(์ 1958-1970) (The Behavioral Science Point of View)• ทศั นะวธิ เี ชงิ ระบบ(1970-ปจั จบุ นั ) (The Systems Approach Point of View)

1. ทศั นะการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์กลุม่ การจดั การเชงิ วทิ ยาศาสตรข์ องเทยเ์ ลอร์ Federic W. Taylor 1. อยทู่ ร่ี อู้ ยา่ งแน่นอนวา่ เราตอ้ งการใหค้ นทาอะไรและดแู ลวา่ เขาไดท้ างานอยา่ งดที ส่ี ุดและประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยทส่ี ดุ 2. ไมน่ าแผนการบรหิ าร ซง่ึ ก่อใหเ้ กดิ ความไมพ่ อใจทงั้ ฝา่ ยนายจา้ งและลกู จา้ งมาใช้

3. คนงานตอ้ งการคา่ จา้ งทส่ี งู และสง่ิ ทน่ี ายจา้ งตอ้ งการจากคนงานมากทส่ี ุดกค็ อื คา่ ใชจ้ า่ ยในการผลติต่า

กลุ่มการบรหิ ารจดั การ ของ Fayol(Administration Management) (บดิ าของทฤษฎกี ารปฏบิ ตั กิ าร) 1. การวางแผนงาน(To Plan) การวเิ คราะหอ์ นาคต และจดั วางแผนปฏบิ ตั งิ านล่วงหน้า 2. การจดั หน่วยงาน(To Organize) การเสรมิ สรา้ ง องคก์ ารดา้ นคนและวสั ดสุ ง่ิ ของ เพอ่ื การปฏบิ ตั กิ าร ตามแผน 3. การบงั คบั บญั ชา(To Command) การควบคมุ บงั คบั บญั ชาใหค้ นงานปฏบิ ตั งิ านตามหน้าท่ี

4. การประสานงาน (To Coordinate) การประสานกจิ กรรมต่าง ๆ ของหน่วยงานใหด้ าเนินไปตามเป้าหมาย5. การควบคุม (To Control) การควบคุมดแู ลใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านเป็นไปตามระเบยี บขอ้ บงั คบั และกฎเกณฑ์

หลกั การบริหารของ Gulikหลกั การบรหิ ารควรประกอบดว้ ย (POSDCoRB)P-Planning หมายถงึ การวางแผนO-Organizing หมายถงึ การจดั องคก์ ารS-Staffing หมายถงึ การจดั คนเขา้ ทางานD-Directing หมายถงึ การสงั่ การCo-Coordinating หมายถงึ ความรว่ มมอืR-Reporting หมายถงึ การรายงานB-Budgeting หมายถงึ งบประมาณ

ทฤษฎบี รหิ ารองคก์ ารในระบบราชการ(Bureaucracy)ของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) 1. หลกั ของฐานอานาจจากกฎหมาย 2. การแบง่ หน้าทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบ ทต่ี อ้ งยดึ ระเบยี บกฎเกณฑ์ 3. การแบง่ งานตามความชานาญการเฉพาะทาง 4. การแบง่ งานไมเ่ กย่ี วกบั ผลประโยชน์สว่ นตวั 5. มรี ะบบความมนั่ คงในอาชพี

2.ทศั นะเชิงมนุษยสมั พนั ธ์• ฟอลเลต็ ต์ (Follett) กลา่ ววา่ ปญั หาของการบรหิ าร ขององคก์ ารใด ๆ รวมถงึ โรงเรยี นจะตอ้ งมองไปท่ี มนุษยสมั พนั ธ์

การสรา้ งมนุษยสมั พนั ธใ์ นองคก์ าร1. แกไ้ ขความแตกตา่ ง โดยผา่ นทางการประชมุ และความ รว่ มมอื มากกวา่ จะใชก้ ฎระเบยี บ2. ความคดิ ของแต่ละกลุ่ม มาจากขอ้ เทจ็ จรงิ ของสถานการณ์3. แต่ละกลมุ่ จะตอ้ งเขา้ ใจทศั นะซง่ึ กนั และกนั4. กลุม่ คนใดในองคก์ ารใดๆ จะมเี ป้าหมายรว่ นกนั และ ดาเนนิ งานดว้ ยความสามคั คี เพอ่ื ใหเ้ ป้าหมายนนั้ ประสบ กบั ความสาเรจ็

การประยกุ ตใ์ ช้หลกั มนุษยสมั พนั ธ์ ในการบริหารการศึกษา1. ผบู้ รหิ ารควรสรา้ งมนุษยสมั พนั ธอ์ นั ดกี บั ครเู ป็น รายบุคคลและเป็นกลุ่ม2. ปญั หาเรอ่ื งมนุษยสมั พนั ธ์ ซง่ึ ในเบอ้ื งตน้ ไมค่ อ่ ยมี ความสาคญั แต่ต่อมาไดร้ บั การยอมรบั มากขน้ึ3. ผบู้ รหิ ารสามารถสรา้ งภาวะผนู้ าแบบประชาธปิ ไตยได้ มากกวา่ เพราะตาแหน่งเออ้ื อานวยให้

4. ครทู ุกคนรวมเป็นกลุม่ สงั คมทซ่ี บั ซอ้ น ผบู้ รหิ ารจะตอ้ ง รว่ มงานกบั ครเู หลา่ น้ดี ว้ ยความระมดั ระวงั5. ครแู ละเจา้ หน้าทท่ี ุกคนทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบกระเทอื นต่อ การตดั สนิ ใจควรจะมสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจนนั้ ดว้ ย

3.ทศั นะเชิงพฤติกรรมศาสตร์กล่าวถงึ ประสทิ ธภิ าพกบั การบรหิ าร การบรหิ ารทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพตอ้ งมที างเลอื กในการ แกป้ ญั หา(Alternative) หลาย ๆ ทางและควรเลอื กทาง ในการแกป้ ญั หาทเ่ี สยี คา่ ใชจ้ า่ ยน้อยทส่ี ดุ แตส่ ามารถ ทางานบรรลุผล

Abraham Maslow (1908-1970) บุคคลไดร้ บั การกระตุน้ โดยความตอ้ งการและจะกระทาเพอ่ื ใหไ้ ดร้ บั การตอบสนองความตอ้ งการตามลาดบั ขนั้

ทฤษฎลี าดบั ขนั้ ความตอ้ งการ(Hierarchy of needstheory) แบง่ ความตอ้ งการของมนุษยอ์ อกเป็น 5 ขนั้ ตงั้ แต่ความตอ้ งการพน้ื ฐานต่าสดุ ไปถงึ สงู สดุ คอื1. ทางกายภาพ(Physiological needs)2. ความปลอดภยั (Safety needs)3. ทางสงั คม(Social needs)4. ยกยอ่ งชอ่ื เสยี ง( Esteem needs)5. สมหวงั และความสาเรจ็ ของชวี ติ (Self-actualization needs)

ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ Douglas Mc Gregor- ทฤษฎี X(Theory X) มองวา่ พนกั งานเกยี จครา้ น ไม่กระตอื รอื รน้ ไมช่ อบงานและพยายามหลกี เลย่ี งงาน- ทฤษฎี Y(Theory Y) มองวา่ พนกั งานมคี วามรบั ผดิ ชอบ มีความคดิ รเิ รม่ิ ในการแกป้ ญั หาในการทางานและไมม่ คี วามเบอ่ื หน่ายในการทางาน

- แมคเกรเกอร์ ไดเ้ รยี กรอ้ งใหผ้ บู้ รหิ ารเปลย่ี นแปลงมุมมองมนุษยจ์ ากมมุ มองตามทฤษฎี X ไปเป็นมมุ มองตามทฤษฎีY

ทฤษฎี Z ของ อชู ิ (Ouchi )รวมเอาหลกั การของทฤษฎี X , Y เขา้ ดว้ ยกนัองคก์ ารตอ้ งมหี ลกั เกณฑท์ ค่ี วบคุมมนุษย์มนุษยร์ กั ความเป็นอสิ ระ มคี วามตอ้ งการ ดงั นนั้ ผบู้ รหิ ารจงึ ตอ้ งปรบั เป้าหมายขององคก์ ารให้สอดคลอ้ งกบั เป้าหมายของบคุ คลในองคก์ าร

4.ทศั นะวิธีการเชิงระบบระบบในเชงิ บรหิ าร หมายถงึ องคป์ ระกอบหรอื ปจั จยัตา่ งๆ ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั และมสี ว่ นกระทบต่อปจั จยัระหวา่ งกนั ในการดาเนินงานเพอ่ื ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ขององคก์ ร

ระบบองคก์ ารจะดาเนนิ อยบู่ นพน้ื ฐานของสว่ นประกอบหา้ สว่ น คอื1. ปจั จยั นาเขา้ (Input)2. กระบวนการเปลย่ี นแปลง (Transformation process)3. ปจั จยั สง่ ออก (Outputs)4. สง่ิ ป้อนกลบั (Feedback)5. สภาพแวดลอ้ ม (External environment)

พฒั นาการทางการบริหารwww.kruinter.com/data/375.ppt