สมาชกิ 1.นางสาวฤดีรัตน์ เจยี มสกุล เลขท่ี 4 2.นางสางอจั ฉราพรรณ มากฤทธ์ิ เลขท่ี 12 3.นายวรรณชนะ ปรากฏผล เลขท่ี 17 4.นางอารียา ฉายฝาก เลขที่ 26 5.นางสาวพัชรีพร โคสารคณุ เลขท่ี 28
ขั้นที่ 1 ความไวว้ างใจ – ความไมไ่ วว้ างใจ อายุ 0-2 ปี ขน้ั ในวัยทารก อริ คิ สันถือวา่ เปน็ รากฐานท่ีสาคัญ ของพัฒนาการในวยั ตอ่ ไป เดก็ วัยทารกจาเปน็ จะต้องมี ผูเ้ ลย้ี งดูเพราะช่วยตนเองไมไ่ ด้ ผ้เู ล้ียงดูจะตอ้ งเอาใจใส่เดก็ ถึงเวลาให้นมกค็ วรจะใหแ้ ละปลดเปลื้องความเดอื ดร้อน ไมส่ บายของทารกอนั เนื่องมาจากการขบั ถ่าย 3
ข้ันที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอยา่ งอิสระ ความสงสัยไม่แนใ่ จตัวเอง อายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยท่ีเริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และ ความเจรญิ เติบโตของร่ายการชว่ ยให้เด็กมีความอสิ ระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้อง ส่ิงของต่างๆ เพอ่ื ตอ้ งการสารวจว่าคืออะไร เดก็ เริม่ ท่ี อยากเป็นอสิ ระ เปน็ ตวั ของตัวเอง 4
ขั้นท่ี 3 การเปน็ ผ้คู ดิ ริเร่มิ – การร้สู ึกผดิ อายุ 3-6 ปี วัยนเี้ ด็กมีความคิดริเร่ิมอยากจะทาอะไรด้วยตนเอง จากจินตนาการของตนเอง การเล่นสาคัญมากสาหรับวัยนี้ เพราะเด็กจะได้ทดลองทาสิ่งต่างๆ จะสนุกจากการสมมติ ของต่างๆ เปน็ ของจรงิ เช่น อาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ ขบั รถยนต์เหมอื นผู้ใหญ่ 5
ขัน้ ท่ี 4 ความต้องการทจ่ี ะทากจิ กรรมอยู่เสมอ ความร้สู ึกดอ้ ย อายุ 6-12 ปี เด็กวยั นมี้ ีพัฒนาการดา้ นสติปญั ญาและทางด้าน รา่ งกาย เรยี นรู้ทจ่ี ะสร้างสรรค์ มีความคิดและพยายาม ทากจิ กรรมด้วยตัวเอง หากไดร้ ับการสนับสนนุ ก็ย่อมทา ให้เด็กมกี ารพฒั นาบุคลิกภาพและมคี วามมานะเพยี ร พยายามท่ีจะแสวงหาสงิ่ ทท่ี า้ ทายความสามารถ 6
ขั้นท่ี 5 อัตภาพหรือการรูจ้ ักวา่ ตนเองเปน็ เอกลักษณ์ การไมร่ ู้จกั ตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม อายุ 12-20 ปี เด็กในวัยน้ีจะรู้สึกตนเองว่า มีความเจริญเติบโต โดยเฉพาะทางด้านร่างกายเหมือนกับผู้ใหญ่ทุกอย่าง ร่างกายเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงทาง เพศท้ังหญิงและชาย เด็กวัยรุ่นจะมีความรู้สึกในเรื่องเพศ และบางคนเปน็ กังวลต่อการเปลยี่ นแปลงอย่างรวดเรว็ 7
ข้นั ที่ 6 ความใกลช้ ดิ ผูกพนั – ความอา้ งว้างตวั คนเดยี ว อายุ 20-40 ปี วัยนี้เป็นวัยผู้ใหญ่ระยะต้น เป็นวัยท่ีท้ังชายและ หญิงเร่ิมที่จะรู้จักตนเองว่ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไร เป็นวัยท่ีพร้อมที่จะมีความสัมพันธ์กับเพ่ือนต่างเพศใน ฐานะเพื่อนสนิทที่จะเสียสละให้กันและกัน รวมท้ัง สามารถยินยอมเห็นใจซึ่งกันและกันโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย และมีความคิดตั้งตนเป็นหลักฐานหรือคิดสนใจท่ีจะ แต่งงานมบี า้ นของตนเอง 8
ขั้นท่ี 7 ความเปน็ ห่วงชนรุ่นหลัง – ความคดิ ถึงแตต่ นเอง อายุ 40-60 ปี วัยท่ีเป็นห่วงเพอ่ื นร่วมโลกโดยทั่วไป หรือเป็นห่วง เยาวชนรุ่นหลัง อยากจะให้ความรู้ สั่งสอนคนรุ่นหลังต่อไป คนที่แต่งงานมีบุตรก็สอนลูกหลายคนท่ีไม่แต่งงาน ถ้าเป็น ครูก็สอนลูกศิษย์ ถ้าเป็นนายก็สอนลูกน้อง หรือช่วยทางาน ทางด้านศาสนา เพ่ือท่ีจะปลูกฝังให้คนรุ่นหลังเป็นคนดี ตอ่ ไป 9
ขนั้ ท่ี 8 ความพอใจในตนเอง – ความสิน้ หวงั และความไมพ่ อใจในตนเอง อายุ 60 ปีขน้ึ ไป วยั นเ้ี ป็นระยะบน้ั ปลายของชีวิต ฉะนน้ั บคุ ลิกภาพ ของคนวัยน้ีมักจะเป็นผลรวมของวัย 7 วัยที่ผ่านมา ผู้มี อาวุโสบางท่านยอมรับว่าได้มีชีวิตที่ดีและได้ทาดีท่ีสุด ยอมรับว่าตอนน้ีแก่แล้ว และจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จะเป็นนายของตนเองและมีความพอใจในสภาพชีวิต ของตน ไม่กลัวความตาย พร้อมท่ีจะตาย ยอมรับว่า คนเราเกดิ มาแล้วก็จะต้องตาย 10
สรปุ ทฤษฎขี องอริ คิ สนั เปน็ ทฤษฎีที่อธบิ ายพัฒนาการของชีวิตตงั้ แต่วยั ทารกจนถงึ วัยชรา อริ ิคสนั เช่อื วา่ วยั แรกของชีวติ เป็นวัยท่ีเปน็ รากฐานเบ้ืองต้น และวัยตอ่ ๆ มาก็ สร้างจากรากฐานน้ี ถ้าหากในวัยทารกเด็กได้รับการดูแลอย่างดีและอบอุ่น ก็จะช่วยให้เด็กมีความเชื่อถือ ในผู้อื่นที่อยู่รอบ ๆ อิริคสันถือว่าชีวิตของคนเรา แต่ละวัยจะมีปัญหา บางคนก็สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง และดาเนินชีวิตไป ตามข้ัน แต่บางคนก็แก้ปัญหาเองไม่ได้ อาจจะต้องไปพบจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยาช่วยเพื่อแก้ปัญหา แต่บุคลิกภาพของแต่ละบุคคลเป็นเรื่อง ที่เปล่ียนแปลงอยู่เสมอ และทุกคน มีโอกาสท่ีจะแก้ไขบุคลิกภาพของตน และ ผู้ใหญ่ท่ีอยู่แวดล้อมก็มีส่วนท่ีจะช่วยส่งเสริมหรือแก้ไขบุคลิกภาพของผู้เยาว์ ที่อย่ใู นความดูแลให้เจร1ิญ1 เตบิ โตเป็นผใู้ หญ่ท่ีมีความสขุ 11
ประยกุ ต์ใชท้ ฤษฎขี องอิริคสัน ทฤษฎีนี้ได้กล่าวถึงบุคลิกภาพ โดยบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลเป็นผลของการ เลี้ยงดู และการส่งเสริมแต่ละช่วงวัย ในการจัดการเรียนการสอนครูควรให้จัดให้มี กิจกรรมให้เด็กได้แสดงออกท้ังในด้านของความคิด ด้านสติปัญญา ด้านความสามารถ ให้อิสระทางความคิดต่อเด็ก ให้เด็กได้สร้างผลงานต่างๆ ด้วยตนเอง ให้เด็กเกิดความ ภูมใิ จในตัวเอง ครูต้องให้ความเช่ือใจและไว้วางใจในตัวเด็ก เพือ่ ให้เด็กมีความมั่นใจใน ตัวเอง มีความเชื่อว่าตัวเองสามารถทาสิ่งต่างๆ ได้ โดยการได้ทดลองได้เรียนรู้จะทาให้ เด็กได้รู้จักตนเองว่าตนมีความชอบหรือมีความสนใจในด้านไหน และครูควรคอย ส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาในส่ิงทีต่ นชอบ ในการอยรู่ ่วมกันในสังคมครูควรมีการจัดให้เด็ก ใช้กิจกรรมกลุ่มโดยให้เด็กแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง เพื่อให้เด็กรู้สึกมีส่วน ร่วมในสังคม
Thank you
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: