1 วจิ ัยในชนั้ เรียน การศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น วชิ าพลศกึ ษา เรื่อง การเลย้ี งลกู ฟตุ ซอล โดยการใชก้ ิจกรรมสรา้ งเสรมิ การทรงตวั และความคลอ่ งแคล่ว ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรยี นแกลง “วิทยสถาวร” จังหวดั ระยอง ผวู้ ิจยั รุจน์ ล้ีกุล โรงเรยี นแกลง “วทิ ยสถาวร” สํานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษาชลบรุ ี ระยอง สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร
2 บทคัดยอ่ การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเรื่อง การศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสรมิ การทรงตัวและความคล่องแคลว่ ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นแกลง “วทิ ยสถาวร” จงั หวัดระยอง จำนวน 40 คน ผลการดำเนินงาน พบว่า การทดสอบก่อนเรียน ได้คะแนนเฉลี่ย 5.33 ส่วนการทดสอบหลังเรียน ได้คะแนนเฉล่ยี 8.56 จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยองพบว่าค่าเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญยิ่งทางสถิติ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการเรียนการการศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและ ความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง มี คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน คิดเป็นรอ้ ยละ 100
3 บทท่ี 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา จัดเป็นสาระการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ผู้เรียนทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นการศึกษาด้านสุขภาพที่มีเป้าหมาย เพื่อการดำรงสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล ครอบครัวและ ชุมชนให้ยั่งยืน สุขศึกษามุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาพฤติกรรมด้านการเรียนรู้ เจตคติ คุณธรรม ค่านิยมและการปฏิบัติเกี่ยวกับสุขภาพควบคู่กันไป พลศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรม การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกมและกีฬาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาโดยรวมท้ังด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา รวมทั้งสมรรถภาพเพื่อสุขภาพและกีฬา สาระขอบข่ายของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา จะประกอบด้วยการเจริญเติบโตและการ พัฒนาการของมนุษย์ ชีวิตและครอบครัว การเลื่อนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล การส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค ความปลอดภัยของชีวิต (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 1) ฟุตซอลเป็นกีฬาที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ของประชาชนคนไทยทั่วไปเป็นอย่างมากและ เป็นกฬี าท่ีได้รับความนิยมทั่วโลกเน่ืองจากฟุตซอลเปน็ กีฬาทส่ี นุกสนานต่ืนเต้น เร้าใจในทุก ๆ นาทีของ การแข่งขันและสามารถจดั การแขง่ ขันได้ตลองทั้งปีแขง่ ขนั ไดก้ ับทุกสภาพอากาศในปัจจุบันฟุตซอลได้มี การพัฒนาไปมากไมว่ ่าจะเป็นในด้านระบบการเล่นทักษะตา่ งๆที่ไดน้ ำมาผสมผสานกนั เปน็ กีฬาประเภท ทีมที่ดูแล้วสนุกสนานเพลิดเพลินโดยมีกติกาเป็นตัวควบคุมการแข่งขัน (รัศมีจินดามัย. 2548: คำนำ; อ้างอิงมาจาก ประพันธ์เปรมศรี และไมตรีกุลบุตร. 2548: คำ) ฟุตซอลเป็นกิจกรรมทางพลศึกษา ประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นกิจกรรมการออกกำลังกายและช่วยส่งเสริมพัฒนาร่างกายให้เกิดความแข็งแรง กอ่ ให้เกดิ ความสามัคคี(ธนสิน ชโู ชติ, 2551) ฟตุ ซอลจัดเปน็ กฬี าประเภททมี ซึ่งสอดคล้องกบั บุญเลิศ เจริญวงศ์ (2550) ที่กล่าวว่า ฟุตซอลเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้เลน่ ช่วยฝึกฝนให้ผู้ เล่นมีไหวพริบและแก้ปัญหาอย่างฉับพลันได้ ช่วยสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายให้แข็งแรง ช่วยให้ ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยส่งเสริมกิจกรรมที่รวมการเคลื่อนไว ฟุตซอล สามารถจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนได้โดยอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้สาระที่ 3 ซึ่งมีเนื้อหาดังน้ีสาระที่ 3: การเคลื่อนไหวการ ออกกำลังกาย การเล่นเกมกีฬาไทยและกีฬาสากลมาตรฐาน พ 3.1: เข้าใจมีทักษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกายการเล่นเกมและกีฬามาตรฐานพ 3.2: รักการออกกำลังกายการเล่นเกมและการเล่น
4 กีฬาปฏิบัติเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอมีวินัยเคารพสิทธิกฎกติกามีน้ำใจนักกีฬา มีจิตวิญญาณในการ แขง่ ขันและช่ืนชมในสนุ ทรียภาพของการกีฬา (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551: 25) ใน บรรดาทักษะต่าง ๆ ของกีฬาฟุตบอลนั้น ทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอลจัดเป็นทักษะที่มี ความสำคัญต่อการเล่นฟุตบอลอย่าง มาก เนื่องจากเป็นทักษะที่ใช้มากที่สุดทั้งในการเล่นและการ แข่งขันฟุตบอล หากมีการพัฒนาทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอลให้สูงขึ้น จะช่วยทำให้การเล่นฟุตบอลมี ประสิทธิภาพมาก การพัฒนาทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอลให้สูงขึ้น จะต้องอาศัยสมรรถนะทางกาย ด้าน ความเร็วและความแคล่วคล่องว่องไวของผู้เล่นเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การฝึกความเร็วและความ แคล่วคล่องว่องไว ของนักกีฬาฟุตบอลจะแตกต่างไปจากการฝึกนักกีฬาประเภทอื่น ๆ การฝึกความเรว็ สำหรับนักกฬี าฟุตบอลน้นั ควรฝกึ ทัง้ ในสภาวะที่มลี ูกฟุตบอลและไม่มลี ูกฟุตบอล เช่น การว่ิงสปีดอย่าง เร็ว ในระยะสั้น ๆ เช่น การวิ่ง 20 เมตร และ 30 เมตร การวิ่งอย่างเร็วไปที่จุดโทษและกลับมา การวิ่ง อย่างเร็วไปที่ขอบเขตโทษและกลับมา ส่วนการฝึกความแคล่วคล่อง ว่องไวของนักฟุตบอล เป็นความสามารถพิเศษที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติกิจกรรมทุกอย่างโดย เฉพาะอย่างย่ิง กิจกรรมที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนทิศทางหรือเปลี่ยนตำแหน่งของ ร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น การออกว่ิง อย่างเร็ว การหยุดกะทันหัน การเปลี่ยนทิศทางในการเคลื่อนที่ทันที โดยการฝึกความเร็วจะต้อง ดำเนนิ การใหส้ ัมพนั ธ์กับการฝกึ ความแคล่วคลอ่ งว่องไว เพ่อื ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ แกน่ กั กีฬาฟตุ บอล การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาของโรงเรียนวังจันทร์วิทยาที่จากการสังเกตพฤติกรรมการ เรียนของนักเรียน ในการเรียนการสอน วิชาพลศึกษา กีฬาฟุตซอล พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความ กระตอื รือรน้ ในการเรยี นดนี กั เรยี นหลายคนทมี่ ที ักษะกีฬาฟุตซอลอยใู่ นระดับดีแต่ในการเลี้ยงลูกฟุตซอล พบว่า นักเรียนบางส่วนยังขาดความคล่องแคล่วว่องไวในการเลี้ยงลูกฟุตซอล อาจมีสาเหตุมาจากการ ขาดประสบการณ์และขาดการไดร้ ับการฝึกฝนเร่ืองการทรงตัว จงึ ส่งผลให้นักเรียนขาดความคล่องแคล่ว ว่องไวในการเลี้ยงลูกฟุตซอลซึ่งความคล่องแคล่วว่องไวในการเลี้ยงลูกฟุตซอลมีความสำคัญต่อการเล่น กฬี าฟตุ ซอลเป็นอย่างมาก เนื่องจาก การเลี้ยงลูกฟตุ ซอล เปน็ การพลิกแพลงหลอกล่อคู่ต่อสู้ ผู้ที่จะเป็น ผูเ้ ล้ยี งลกู ฟุตซอลได้ดี ต้องมคี วามเรว็ ความวอ่ งไวสามารถบังคบั ลกู ไดด้ ี หลบหลกี หมุนตวั ไดค้ ลอ่ งแคล่ว และสามารถนำลูกฟุตซอลเพื่อเข้าไปยิงประตูได้ตามทิศทางที่ต้องการ การฝึกการทรงตัวและความ คล่องแคลว่ จึงเปน็ สิ่งท่ีมีความสำคญั เป็นอยา่ งย่งิ ทีจ่ ะพัฒนาความสามารถในการเลีย้ งลกู ฟตุ ซอล ซงึ่ จะเปน็ ประโยชน์ต่อตวั นักเรียนในอนาคต จากเหตุผลดังกล่าว จึงต้องพัฒนาการเลี้ยงลูกฟุตซอล ให้มีความคล่องแคล่ว ความว่องไว สามารถบังคับลูกไดด้ ีหมุนตัวได้คลอ่ งแคลว่ และสามารถนำลูกฟตุ ซอลเพื่อเข้าไปยิงประตไู ด้ตามทิศทาง ที่ต้องการ โดยใช้การฝึกการทรงตัวและความคล่องแคล่วในการเลี้ยงลูกฟุตซอล และสามรถนำไปใช้ใน การเลน่ ฟตุ ซอลหรือการแขง่ ขันฟตุ ซอลของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ได้
5 วัตถุประสงคข์ องการวิจัย เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่องการเลี้ยงลูกฟุตซอล ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัว และความคล่องแคล่ว ประโยชนข์ องการวิจยั 1. ช่วยพัฒนาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกบอล ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 2. เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรม เพื่อพัฒนา ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาพลศึกษาให้สูงขนึ้ 3. สง่ ผลใหผ้ ลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นระดับชาตวิ ิชา พลศึกษา ของโรงเรียนสูงขนึ้ 4. เกิดกลวิธีในการจัดการเรียนการสอนที่สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา พลศกึ ษา ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ ขอบเขตของการวิจัย ประชากร ประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษาวจิ ัยในครั้งน้ี ได้แก่ นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน จำนวนนกั เรียน 526 คน กลุ่มตวั อยา่ ง กลมุ่ ตัวอย่างที่ใชใ้ นการวิจัยคร้ังนีเ้ ป็นนกั เรยี นระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นแกลง “วิทยสถาวร” ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน จำนวนนกั เรียน 40 คน ซึง่ กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงทเี่ ป็นหอ้ งท่ีจัดการเรยี นการสอนวชิ า ฟตุ ซอล ตัวแปร ตวั แปรอสิ ระ คือ กิจกรรมสรา้ งเสรมิ การทรงตวั และความคลอ่ งแคลว่ ตวั แปรตาม คือ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น วชิ าพลศกึ ษา เร่อื ง การเลีย้ งลูกฟตุ ซอล
6 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย ตวั แปรตาม ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น วิชา พลศึกษา ตวั แปรอิสระ กิจกรรมสรา้ งเสริมการทรงตัว เรื่อง การเล้ยี งลูกฟุตซอล และความคลอ่ งแคลว่ สมมุติฐานในการวิจัย นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้การเลี้ยงลูกฟุตซอลโดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัว และความคล่องแคล่วมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล หลังเรียนสูง กวา่ ก่อนเรยี น นยิ ามศัพท์ ฟุตซอล หมายถึง กีฬาประเภทหนึ่งที่มีลักษณะการเล่นเหมือนฟุตบอล แต่เป็นการเล่นในร่ม และพ้นื เรียบ จะแบ่งออกเป็นสองทีม โดยแตล่ ะทีมมที ัง้ หมด 5 คน รวมผู้รกั ษาประตขู า้ งละ 1 คน ลูกบอลท่ีใช้เล่นจะมขี นาดเลก็ กวา่ ลูกฟุตบอลทัว่ ไปและจะหนักกวา่ การเลี้ยงลูกฟุตซอล หมายถึง การครอบครองบอล ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการครอบครองบอลไว้ จากการป้องกัน หรอื เพอื่ การหลบหลกี คตู่ อ่ สู้ ซ่งึ การหลบหลกี ทำไดห้ ลายวธิ ี เช่น การเล้ยี งลกู ฟตุ ซอล ลอดระหวา่ งเท้าหรอื ตวัดอ้อมดา้ นหลงั เป็นตน้ วิชาพลศึกษา หมายถึง การศึกษาแขนงหนึ่งที่ใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายโดย กิจกรรมเหล่านั้น ได้รับเลือกตามหลักและวิธีการเป็นอย่างดีสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของผูเ้ ขา้ ร่วมกิจกรรม เพอ่ื ใหเ้ กิดการพฒั นาทางด้านรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา กิจกรรมสรา้ งเสรมิ การทรงตัวและความคลอ่ งแคล่ว หมายถึง กิจกรรมท่ผี วู้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ เพื่อ นำมาใชก้ บั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง เปน็ กจิ กรรมท่ี เสริมสร้างความสามารถของร่างกายในการหยดุ ย้งั และเปลีย่ นทิศทางดว้ ยความแมน่ ยำ ซึ่งเปน็ การ กระทำด้วยความเร็วและแรงในทันที ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวชิ า พลศึกษา หมายถงึ ความสามารถในการเรียนร้วู ิชาพลศกึ ษา ซึ่งพิจารณาจากการเรียนการสอนของวิชาพลศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 3 วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน และหลังเรียน ที่สร้างขึ้นเรื่องการศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นวังจนั ทรว์ ทิ ยา จงั หวดั ระยองโดยจะมีการทดสอบกอ่ นและหลังเรยี น
7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเรื่อง การศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง จึงได้นำความรู้รวมทั้งงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องทีผ่ วู้ ิจยั ศกึ ษาคน้ ควา้ พอสรปุ ได้ดงั น้ี 1. สมรรถภาพทางกาย 2. องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย 3. สมรรถภาพทางกายท่วั ไป 4. ความสำคญั ของสมรรถภาพทางกาย 5. ประโยชนข์ องการมีสมรรถภาพทางกายดี 6. การฝกึ ความคลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว 7. ความหมายความคลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว 8. ความหมายการทรงตวั 1. สมรรถภาพทางกาย เมื่อพิจารณาถึงสมรรถภาพทางกายภาพตลอดชั่วชีวิตของคนเรา พบว่า คนเรานั้นจะมี สมรรถภาพทางกายดีขึ้นจากวัยเด็กเรื่อยมาจนถงึ จุดสงู สุดในช่วงอายุ 30 ปี ต่อจากน้นั สมรรถภาพทาง กายและวฒุ ภิ าวะจะเร่มิ ลดลงตามลำดับ การมสี ขุ ภาพดีเป็นรากฐานของการมสี มรรถภาพทางกายที่ดี ดงั นัน้ สมรรถภาพจึงเปน็ ตัวบง่ ช้ี ถึงความสามารถของร่างกายในการที่จะประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อย เพยี งใดโดยทวั่ ไปสมรรถภาพทางกายแบ่งออกเปน็ 2 อยา่ ง คอื 1. สมรรถภาพทางกายทวั่ ไป (General Physical fitness) 2. สมรรถภาพทางกายพเิ ศษ (Special Physical fitness)
8 สมรรถภาพทางกายทั่วไป (General Physical fitness) คณะกรรมการนานาชาติ เพื่อจัดมาตรฐานการทดสอบความสมบูรณ์ทางด้านร่างกาย (International for the Standardization of Physical fitness Test) ได้จำแนกความสมบูรณ์ทาง กายออกเปน็ 7 ประเภท คอื 1. ความเร็ว (Speed) คือ ความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกท่ี หนงึ่ โดยใช้ระยะเวลาสน้ั ท่สี ุด 2. พลังกล้ามเนื้อ (Muscle Power) คือ ความสามารถของกล้ามเนื้อในการทำงานอย่าง รวดเร็ว และแรงในจังหวะของกล้ามเนอ้ื หดตวั หนงึ่ ครั้ง เชน่ ยืนกระโดดไกล 3. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength) คือ ความสามารถของกล้ามเนื้อที่หด ตวั เพียงครั้งเดยี วโดยไมจ่ ำกดั เวลา เช่น การยกนำ้ หนกั เป็นต้น 4. ความอดทนของกลา้ มเน้ื(Muscle enduranceAnaerobic Capacity) คือ ความสามารถ ของกล้ามเนื้อที่ได้ประกอบกิจกรรมซ้ำซากได้เปน็ ระยะเวลานานอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 5. ความคล่องตัว (Agility) คือ ความสามารถของร่างกายที่จะบังคับควบคุมในการเปลี่ยน ทิศทางของการเคลื่อนที่ได้ดว้ ยความรวดเรว็ และแนน่ อน 6. ความอ่อนตัว (Flexibility) คือ ความสามารถของข้อต่อต่าง ๆ ในการที่จะเคลื่อนไหวได้ อย่างกวา้ งขวาง 7. ความอดทนทั่วไป (General endurance) คือ ความสามารถในการทำงานของระบบ ตา่ งๆ ในร่างกายท่ีทำงานไดน้ านและมปี ระสิทธิภาพ การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายท่ัวไป (General Physical fitness) 1. การเสรมิ สร้างความเร็ว ( Speed ) ความเร็วของการเคล่ือนไหว ขึ้นอยู่กับการทำงานของระบบประสาท และระบบกล้ามเนือ้ และ การเปลยี่ นแปลงความเร็ว ซงึ่ เกิดจากระบบประสาทเป็นสว่ นใหญ่ เมื่อกล่าวถึงความเร็วในการออกกำลังกายแล้ว จะต้องแยกการเคลื่อนไหวออกเป็น 2 อย่าง คือ การเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ กับการเคลื่อนไหวแบบธรรมดา ง่ายๆ ดังนัน้ การฝึกการเคลอ่ื นไหวทตี่ อ้ งอาศัยความชำนาญพิเศษ เพื่อเพิ่มความเรว็ จงึ เปน็ สงิ่ ทที่ ำได้ ง่ายกว่า เช่น ฝึกว่ายน้ำ ตีเทนนิส หรือพิมพ์ดีด เป็นต้น ซึ่งในชว่ งแรกของการฝึกจะกระทำได้ชา้ แต่ ต่อมา จะสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นได้เรื่อย ๆ และในการเริ่มต้นของการฝึกถ้ากระทำให้ถูกวิธี จะเป็น ส่วนผลักดันให้มีการพัฒนาไปได้ไกลและมีประสิทธิภาพอีกด้วย สำหรับความเร็วที่ใช้ในการเคลื่อนไหว
9 แบบธรรมดานัน้ ไดแ้ ก่ การแขง่ ขนั ว่งิ เรว็ ถ้าต้องการจะวิ่งให้เร็วขึน้ จะต้องลดระยะเวลาของการหดตัว และการคลายตวั ของกลา้ มเนือ้ นัน่ คือ ความยาวของก้าวและความถีข่ องก้าวจะตอ้ งเพมิ่ ขึน้ ความยาวของการก้าวเท้าขึ้นอยู่กับความยาวของเขา และความถี่ของการก้าวเท้าขึ้นอยู่กับ ความเร็วในการหดตัวของกล้ามเนื้อ และการร่วมมือกันทำงานระหว่างระบบประสาทกับระบบ กลา้ มเนื้อ ความเร็วสูงสุดของคนเรานั้น จะอยู่ในช่วงอายุ 21 ปีสำหรับชาย และ 18 ปีสำหรับหญิง ใน การทจ่ี ะเพิม่ ความเร็วอาจจะกระทำได้อีก กล่าวคอื 1. เพิม่ กำลงั ของกล้ามเน้ือทใี่ ชเ้ หยยี ดขา 2. ฝึกว่ิงด้วยความเรว็ สูงสุด เพื่อเพมิ่ ประสิทธิภาพในการร่วมงานกนั ของกล่มุ กลา้ มเน้อื 3. แกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่าง ๆ เก่ยี วกบั เทคนคิ และกลไกของการวิง่ 2. การเสรมิ สรา้ งพลงั กลา้ มเน้อื (Muscle Power) พลังของกลา้ มเนอื้ เกิดจากการรวมของปัจจยั ต่อไปน้ี 1. แรงทเี่ กิดจากการหดตวั ของกลา้ มเน้ือหลาย ๆ มดั ทที่ ำให้เกิดการเคลอ่ื นไหวในกลมุ่ เดยี วกัน 2. ความสามารถของกลา้ มเน้ือในกลมุ่ เดยี วกนั ทที่ ำงานประสานกับกลา้ มเน้ือของกลุ่มตรงขา้ ม 3. ความสามารถทางกลไกในการทำงานของระบบคนระหวา่ งกระดูกกับกลา้ มเนื้อทเี่ กีย่ วขอ้ ง 3. การเสริมสรา้ งความแขง็ แรงของกล้ามเนือ้ (Muscle Strength) จากหลักการที่ว่า วิธีที่จะทำให้เกิดความแข็งแรงไดน้ ้ัน จะต้องฝึกให้กล้ามเนื้อทำงานต่อส้กู ับ แรงตา้ นทานหรอื น้ำหนกั ที่สูงข้นึ โดยวธิ ีเพม่ิ แรงตา้ นทานทีละน้อยเป็นระยะเวลานาน วิธีการฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรงนั้นมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบต่างกย็ ึดเอาแรงตา้ นทานเปน็ สำคญั สำหรับพฒั นาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ หรือยดึ หลกั “Overload Principle” โดยให้ร่างกาย ฝึกเลย ขีดความสามารถปกติ (Normal Capacity) สักเล็กน้อย ซึ่งการออกกำลังกายที่เกินขีด ความสามารถนี้จะทำให้ร่างกายเกิดการสับสน ในระยะ 2 – 3 วันแรก หลังจากนั้น ร่างกายจะมีการ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ โดยปกติหากเราให้เวลาแก่ร่างกาย เพื่อการปรับตัวประมาณ 1 เดอื น จะทำใหร้ ่างกายทำงานในขดี ความสามารถธรรมดาใหม่ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ น่ันคอื รา่ งกาย มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นขีดความสามารถก็สูงขึ้นด้วยในปัจจุบันวิธีการฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรง จะใช้ การฝกึ แบบ Isometric Exercise 4. การเสริมสรา้ งความอดทนของกลา้ มเน้อื (Muscle Endurance) ในการเสรมิ สร้างความอดทนหรือทนทานของกล้ามเนื้อ เทา่ กับเปน็ การเสริมสร้างการทำงาน ของระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบกลา้ มเน้ือ ให้ทำงานได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การฝึก เพื่อเสริมสร้างคุณสมบัติดังกล่าว ก็คล้ายกับการฝึก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง เพราะต่างก็ยึด
10 หลัก Overload Principle พร้อมทั้งมีความเข้มข้น ระยะเวลา และความบ่อยอย่างเพียงพอ และ เหมาะสมสำหรับแตล่ ะคน 5. การเสริมสร้างความคล่องตวั (Agility) ความคล่องตัวมีผลต่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติกิจกรรมทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างย่ิง กิจกรรม ที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนทิศทางหรือเปลี่ยนตำแหน่งของร่างกาย ที่ต้องการความรวดเร็ว และ ถูกต้อง เช่น การออกวิ่งได้เร็ว หยุดได้เร็ว และเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ฉะนั้น ความ คล่องตัว จึงเป็นพื้นฐานของสมรรถภาพทางกาย และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเล่นกีฬาหลายอย่าง เช่น บาสเกตบอล แบดมินตัน ยิมนาสตกิ ฟตุ บอล วอลเลย์บอล เปน็ ต้น 6. การเสรมิ สรา้ งความอ่อนตวั (Flexibility) ความอ่อนตัว หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวของข้อต่อ (The Range of Motion at a Joint) ซงึ่ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 อยา่ ง คือ 1. Static Flexibility หมายถงึ พิกดั การเคลื่อนไหวขณะทข่ี ้อต่อเคลื่อนไหวชา้ มาก ๆ 2. Dynamic Flexibility หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวขณะที่ข้อต่อเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ซ่ึง มักจะมากกว่าแบบแรกเล็กน้อยความสามารถของข้อต่อต่าง ๆ ในการเคลื่อนไหวได้อย่างกว้างขวางก็ คือ ความสามารถ ในการอ่อนตัว และการเคลื่อนไหวใด ๆ ถ้าไม่ได้ทำบ่อย ๆ หรือไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ข้อต่อ บรเิ วณน้นั ๆ จะมผี ลทำใหก้ ล้ามเน้ือและเน้อื เยื่อที่อยู่บรเิ วณนัน้ เสยี ความสามารถในการยืดตัว จึงทำให้ การอ่อนตัวไม่ดีไปด้วย และทำให้มีไขมันสะสมอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการลดความสามารถ ของการอ่อนตัวลงไปด้วย โดยทั่วไปผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดีจะต้องมีความอ่อนตัวดี และความอ่อน ตวั จะดไี ดจ้ ะต้องปราศจากข้อจำกัดต่อไปน้ี คอื 1. โรคหรอื การบาดเจบ็ ทีท่ ำใหข้ อ้ ตอ่ รวมทั้งกระดูกอ่อนทหี่ ุ้มปลายกระดูกเสือ่ มลง 2. การมสี ารท่ีเป็นอนั ตรายปรากฎอยูท่ ีข่ อ้ ตอ่ 3. การอกั เสบของเยือ่ หุม้ ข้อตอ่ 4. นำ้ หลอ่ ล่ืนในข้อตอ่ แห้งหรอื มีน้อยเกินไป 7. การเสรมิ สร้างความอดทนทั่วไป (General Endurance) ความอดทนหรือความทนทาน หมายถึง ความสามารถของร่างกาย ที่ทนต่อการทำงานที่มี ความเข้มขน้ ของงานระดบั ปานกลางได้เปน็ ระยะเวลานาน ความอดทนแบง่ ออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ 1. ความอดทนของระบบไหลเวยี นและระบบหายใจ (Circulorespiratory Endurance) 2. ความอดทนของกล้ามเน้อื แตล่ ะแห่งของร่างกาย (Local Muscle Endurance)
11 2. องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย องคป์ ระกอบของสมรรถภาพทางกาย องค์การอนามัยโลก ได้ให้ความหมายว่า สมรรถภาพทางกายเป็นความสามารถหรือ ประสทิ ธิภาพการแสดงออกของร่างกายสูงสุด โดยมอี งคป์ ระกอบตอ่ ไปน้ี 1. ความแข็งแรงของกล้ามเนอื้ (Muscular Strenght) 2. ความอดทน (Endurance) แบง่ ออกเป็น 2 ดา้ น คือ 2.1 ความอดทนของกล้ามเนื้อเฉพาะท่ี 2.2 ความอดทนของระบบไหลเวียนหายใจ 3. ความเรว็ ของกล้ามเน้ือและปฏิกิริยาตอบสนอง (Speed and Reaction time) 4. กล้ามเน้ือมีพลังและอำนาจการบงั คับตวั ดี (Muscular power) 5. ความยดื หยนุ่ ตวั (Flexibility) ของขอ้ ตอ่ ดี 6. มีความคล่องแคล่วว่องไว (Argillite) 7. มีความสามารถในการทรงตัวดี (Balance) ไดแ้ ก่ 7.1 การทรงตวั ขณะทร่ี ่างกายอยู่กบั ท่ี 7.2 การทรงตัวขณะทีร่ า่ งกายเคล่ือนท่ี 8. การทำงานประสานกนั ดีระหวา่ งประสาทกบั กล้ามเนื้อ (Neuromuscular Coordination) การเสริมสร้างของสมรรถภาพทางกาย การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายเป็นการปรับปรุงสภาวะของร่างกายให้ อวัยวะต่างๆ ของ รา่ งกายมปี ระสทิ ธิภาพในการทำหนา้ ท่สี งู และมีการประสานงานกนั ของระบบต่างภายในรา่ งกายได้เป็น อย่างดี วิธีการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย คือ การออกกำลังกายนั่นเอง เเต่การที่สมรรถภาพทาง กายจะดีหรือไม่เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับโปรแกรมการฝึก ซึ่งจะต้องจัดให้สอดคล้องกับความต้องการว่า ต้องการจะเสริมสร้างส่วนไหน โปรแกรมการฝึกที่ดี จะต้องคำนึงถึงความถี่ในการฝึก ปริมาณของการ ออกกำลังกาย ชนิดของการออกกำลังกาย การบริโภคอาหาร การผักผ่อน อุปนิสัยในชีวิตประจำวัน และธรรมชาติของผฝู้ กึ เป็นต้น
12 3.สมรรถภาพทางกายท่วั ไป สมรรถภาพทางกายทวั่ ไป เป็นความสมบูรณ์พ้ืนฐานทางกายซ่ึงแบ่งออกเป็น 9 ประการ คอื 1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscular Strength) หมายถึง ความสามารถของกล้ามเนือ้ ท่ี หดตัว เพื่อต้านน้าหนัก หรือเคลื่อนน้าหนักในระยะเวลาจากัด เช่น แรงบีบมือแรงเหยียดขาซึ่งเป็น ประสทิ ธภิ าพ ของการใช้แรงของกล้ามเน้ือเพ่ือที่จะเอาชนะความต้านทานต่างๆ โดยสามารถเพ่ิมได้โดย ให้กล้ามเนือ้ ทางานติดต่อกัน ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือสามารถดูได้จากขนาดของมดั กล้ามเนื้อ หรือ ดูทพ่ี ้ืนที่หนา้ ตัด ของกล้ามเนอื้ 2. พลังของกล้ามเนอ้ื (Muscular Power) หมายถึง ความสามารถของกลา้ มเน้ือทห่ี ดตัวทำงาน เพียง ครั้งเดียวได้แรงที่ทาให้วัตถุหรือร่างกายเคลื่อนที่ออกไปเป็นระยะทางมากที่สุด เช่น ทุ่มน้าหนัก ยนื กระโดดไกล 3. ความอดทนของกลา้ มเนอื้ (Muscular Endurance) หมายถึง ความสามารถของกลา้ มเนื้อที่ สามารถทางานติดต่อกันได้นานโดยไม่เสื่อมประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการแสดงถึงคุณภาพของกล้ามเนื้อท่ี สามารถต่อต้านสภาวะความเม่ือยล้า และหรอื สามารถเลื่อนระยะเวลาของการเมื่อยลา้ ให้เกิดข้ึนช้ากว่า ปกติ 4. ความคล่องตัว ( A g i l i t y ) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมการเปลี่ยนทิศทางการ เคล่อื นไหวรา่ งกายได้อย่างรวดเรว็ และตรงเป้าหมาย ทง้ั ในขณะอยกู่ บั ท่แี ละเคล่ือนที่ เช่น การว่ิงซกิ แซก การวิ่งเกบ็ ของ และการวิ่งกลบั ตัว เปน็ ต้น 5. ความอ่อนตวั (Flexibility) หมายถงึ ความสามารถในการเคลื่อนไหวข้อต่อแตล่ ะข้อให้ได้มุม ของการเคล่ือนไหวอย่างเต็มที่ เชน่ การนัง่ ก้มตัวไปข้างหน้า ซง่ึ เป็นความสามารถในการเคลื่อนไหวของ ขอ้ ต่อตลอดช่วงการเคลื่อนทีของข้อต่อ (Full range of motion) โดยอาจจะเป็นข้อต่อสว่ นใดส่วนหนึ่ง หรือการทำงานของหลายข้อต่อรวมกนั ก็ได้ 6. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนทีของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจาก จุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งได้เร็วที่สุดเท่าทีจะเป็นไปได้ เช่น การวิ่ง 50 เมตร เป็นความเร็วของการหดตัว ของกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เป็นผลมาจากการทางานประสานกันของระบบ ประสาทกบั ระบบกล้ามเนือ้ 7. การทรงตัว (Balance) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมการทรงท่าของร่างกาย หรือ ความ สมดุลใหอ้ ยใู่ นลกั ษณะท่ตี ้องการทง้ั ในระหว่างการอยู่กบั ทแี่ ละเคลื่อนไหว เช่น การทรงตัว 8. การทางานประสานกันระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ ( Co- ordination ) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมร่างกายและกล้ามเนื้อให้ตอบสนองต่อการสั่งงานของระบบ ประสาทอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ เช่น การโยนลูกบอล 3 ลูก ด้วย 2 มอื ทาให้สามารถแสดงออกในกจิ กรรม ตา่ ง ๆ ได้อยา่ ง
13 ราบเรียบกลมกลนื และสามารถเคลือ่ นไหวในอริ ิยาบถต่าง ๆ ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เปน็ การทางาน ประสานกนั ระหวา่ งตากับมอื และตากบั เท้า 9. ความอดทนของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบการหายใจ (Cardio Respiratory Endurance) หมายถึง ความสามารถหรือประสิทธิภาพของการนาเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอด แล้วขนถ่าย ผ่านระบบการ ไหลเวียนโลหิตนาไปใช้ในการทางานของระบบกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทาให้ร่างกายมี ความอดทนต่อการทางานเป็นระยะเวลานาน ๆ ติดต่อกันโดยไม่เมื่อยล้า เช่น วิ่ง ระยะไกล ป่ันจักรยาน วา่ ยนา้ ซึ่งเปน็ กิจกรรมทใ่ี ช้ออกซเิ จน ( Aerobic Exercise ) สมรรถภาพทางกายทง้ั 9 ประการ ดังกล่าวเปน็ พื้นฐานทางความสามารถของรา่ งกายโดยท่ัวไป ในการทากิจกรรมต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพืน้ ฐานเบื้องต้นสาหรับ การ เล่นกีฬาชนิดตา่ ง ๆ ตอ่ ไป 4. ความสำคัญของสมรรถภาพทางกาย สมรรถภาพทางกายเป็นสิ่งสำคัญ ในการช่วยเสริมสรา้ งใหบ้ ุคคลสามารถประกอบภารกิจและ ดำรงชีวิตอยู่อย่างประสิทธิภาพ รวมทั้งทำให้บุคคลปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และมีความ แข็งแรง ทนทาน มีความคล่องแคล่วว่องไวที่จะประกอบภารกิจประจำวันให้ลุล่วงไป ด้วยดี นอกจากน้ี ยังก่อให้เกิดการพัฒนา ทั้งทางด้านจิตใจและอารมณ์ควบคู่กันไปด้วย ในเรื่องของ สุขภาพส่วนบุคคลนั้น ความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับ สมรรถภาพทางกาย หรืออาจจะกลา่ วว่า มีรากฐานจากการมสี ุขภาพดี ถ้ามีร่างกายอ่อนแอ สุขภาพ ไมส่ มบูรณ์ ความสามารถของร่างกายทจ่ี ะปรกอบภารกจิ ตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจำวันกล็ ดนอ้ ยลงด้วย สมรรถภาพทางกายเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเสริมสร้างให้บุคคลสามารถประกอบภารกิจและ ดำรงชีวิตอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังทำให้บุคคลปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและมีความแข็งแรง ทนทาน มีความแคล่วคล่องว่องไว ที่จะประกอบภารกิจประจำวันให้ลุล่วงไปด้วยดี นอกจากนี้ยัง ก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านจิตใจและอารมณ์ควบคู่ไปด้วย ในเรื่องของสุขภาพส่วนบุคคล นั้น ความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับสมรรถภาพทางกาย หรือ อาจจะกล่าวว่าสมรรถภาพทางกายมีรากฐานจากการมีสุขภาพดี ถ้าร่างกายอ่อนแอ สุขภาพไม่ สมบูรณ์ ความสามารถของร่างกายที่จะประกอบภารกิจต่างๆ ในชีวิตประจำวันก็ย่อมลดน้อยลง ด้วย อย่างไรก็ตาม สมรรถภาพทางกายสามารถสร้างขนึ้ ได้ดว้ ยการทำให้รา่ งกายได้ออกกำลงั กายหรือมี การเคลื่อนไหวเท่านั้น สมรรถภาพทางกายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และหายไปได้ การที่เราจะรักษาให้ รา่ งกายมสี มรรถภาพคงอยู่เสมอนน้ั จำเปน็ ตอ้ งมกี ารออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้มสี มรรถภาพทาง กายท่ีคงสภาพและเป็นการสร้างเสรมิ สมรรถภาพทางกายให้ดียิ่งๆขึ้น ไปอีกด้วยนอกจากนี้แล้วยังเป็น ประโยชน์ในการป้องกันโรคภัยเบียดเบียน โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากการขาดการออกกำลังกายได้อีก ดว้ ย เชน่
14 1. ลดอัตราเส่ียงตอ่ การเป็นโรคหัวใจ 2. เพม่ิ พนู ประสิทธภิ าพของระบบตา่ งๆ ในร่างกาย เช่น ระบบหมนุ เวยี นโลหิต ระบบ หายใจ ระบบการย่อยอาหาร ฯลฯ 3. ทำให้รปู ร่างและสัดส่วนของร่างกายดีขนึ้ 4. ชว่ ยควบคุมมใิ หน้ ้ำหนกั เกินหรือควบคุมไขมนั ในร่างกาย 5. ชว่ ยลดความดันโลหิตสูง 6. ช่วยลดไขมนั ในเลอื ด 7. เพมิ่ ความคล่องตวั เกดิ ประสทิ ธิภาพในการทำงาน ประโยชนท์ ั่วไป 1. ทำใหท้ รวดทรงดี 2. ร่างกายมคี วามต้านทานโรค 3. ระบบต่างๆ ทำงานมปี ระสทิ ธิภาพย่ิงขน้ึ 4. การตัดสนิ ใจดีขึน้ 5. มีทักษะดีข้ึน ประโยชนท์ างรา่ งกาย 1. กลา้ มเนอื้ มีความแข็งแรง 2. กลา้ มเนือ้ มีความทนทาน 3. อัตราการเตน้ ของหัวใจจำนวนคร้งั นอ้ ยลง แต่การสบู ฉีดของหวั ใจมีประสทิ ธิภาพเพิ่มขึ้น 4. การควบคุมอุณหภมู ิของรา่ งกายดีข้ึน 5. ความออ่ นตวั ดขี น้ึ 6. กลา้ มเนื้อฉีกขาดไดย้ าก 7. พลงั กล้ามเน้ือสูงข้นึ 8. ความสมั พนั ธใ์ นการใชม้ อื ใชเ้ ท้าดีข้ึน 9. การประกอบกจิ กรรมในแง่ ทุ่ม พุง่ ขว้าง กระโดด มีประสทิ ธภิ าพย่ิงขึน้ 10. การทรงตัวดีขน้ึ ประโยชน์ทางเก่ียวกับประกอบอาชีพ เปน็ ท่ยี อมรบั กนั ว่าสมรรถภาพทางกายมบี ทบาทและมีความสมั พันธ์ใกล้ชิดต่อการทำงานทุก
15 อาชพี เนื่องจากการมีสมรรถภาพทางกายดีชว่ ยให้คนเราสามารถประกอบอาชีพได้เป็นระยะเวลานาน และมีปริสิทธภิ าพสูง นอกจากนี้ยังชว่ ยใหค้ นเรามีความสามารถท่ีจะตอ่ สู้กับความยุ่งยากในชวี ิตไม่เกิด ความตงึ เครยี ดทางอารมณ์ และสามารถปรบั จิตใจและอารมณใ์ หเ้ หมาะกับสภาพของแต่ละบคุ คล ได้ สมรรถภาพทางกายจึงเป็นปัจจยั ที่สำคัญต่อการประกอบอาชีพ ประโยชน์ตอ่ ดา้ นสงั คม เราเคยไดย้ นิ กนั บอ่ ยๆ ว่า “เด็กวันนค้ี ือผใู้ หญ่ในวนั หน้า” เยาวชนที่มีสมรรถภาพทางกายดใี น วนั นจ้ี ึงอาจเป็นผ้ใู หญท่ ่ีมีสมรรถภาพทางกายดีวันหนา้ ด้วย ถา้ หากเยาวชนทกุ คนเหน็ ความสำคญั ของ สมรรถภาพทางกาย และพยายามเสริมสมรรถภพทางกายให้ดีอย่เู สมอจนกระท่งั เปน็ ผใู้ หญ่ ย่อมจะ เปน็ กำลงั สำคัญของประเทศต่อไปภายหน้า อนั จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมโดย ส่วนรวม หากเยาวชนทกุ คนปฏิบตั ิตนเช่นว่าวันนี้ไดแ้ ลว้ ก็นา่ จะกลา่ วอยา่ งภาคภูมใิ จได้อีกวา่ “ความมี สมรรถภาพทางกายดหี รือความแขง็ แรงของเด็กวันนี้ ก็คอื ความแข็งแรงของประเทศชาตใิ นอนาคต” ประโยชน์ดา้ นการกีฬา ในการคัดเลือกนักกีฬาเพือ่ ทำการแข่งขันระดับนานาประเทศ หรือ ระดบั โลก ปจั จัยสำคญั ที่ จะต้องเน้นกค็ ือ สมรรถภาพทางกายของนักเรยี นมีความสมบรู ณเ์ พียงพอหรือไม่ คงไม่มใี ครคัดเลอื ก นักกฬี าทเ่ี ก่ง แต่สมรรถภาพทางกายไม่ดเี พราะขาดการฝึกซ้อม แต่ถ้าหากมนี ักกีฬาทช่ี นะเลิศและมี สถติ ใิ กล้เคียงกัน แนน่ อนผทู้ ำการคัดเลือกก็ตอ้ งเลอื กนกั กีฬาที่มีสมรรถภาพทางกายดีกว่า โดยทำการ ทดสอบสมรรถภาพทางกายในแต่ละดา้ น 5. ประโยชนข์ องการมีสมรรถภาพทางกายดี การมีสมรรถภาพทางกายทีด่ ีนั้นจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการพอสรุปสว่ นที่สำคัญได้ ดังนี้ 1. กลา้ มเนอื้ มีความสามารถในการทำงานได้ดีย่ิงข้ึน กล่าวคือ กล้ามเน้ือทีใ่ ชใ้ นการออกกำลัง กายหรือทำงานจะมี ขนาดใหญแ่ ข็งแรงมากขนึ้ 2. กลา้ มเนอื้ หัวใจจะมีความแข็งแรงสามารถหดบีบตวั ได้แรงขนึ้ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหติ ดีขนึ้ หัวใจ สามารถรับออกซเิ จนไดม้ ากขึ้น 3. ระบบประสาทสามารถควบคมุ การทำงานของรา่ งกายได้ดีขึ้น จะชว่ ยให้ประกอบกิจกรรม ตา่ ง ๆ ดว้ ยความชำนาญ 4. รา่ งกายเจริญเตบิ โตได้อย่างเต็มที่ กลา้ มเน้ือต่าง ๆ ของร่างกายเจรญิ เตบิ โตไดส้ ัดสว่ น สามารถทำงานอย่างมปี ระสิทธิภาพ
16 5. ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคสงู และลดการเจ็บป่วยเน่ืองจากผทู้ ่ีมสี มรรถภาพทางกายดยี ่อมมี สขุ ภาพดไี ม่มโี รคเบียดเบยี น 6. มีบุคลกิ ดี ผ้ทู ่ีมีสมรรถภาพทางกายดรี า่ งกายจะมีการทรงตวั ดีมีทรวดทรงทส่ี ง่างาม เป็นการ ชว่ ยเสริมบุคลิกภาพ ได้ทางหน่งึ 7. เกดิ ความม่นั ใจในตนเองในการปฏบิ ัตงิ านหรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ 8. เกิดการเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้ดี เพราะผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดี ย่อมมีสุขภาพดี การที สุขภาพที่ดี สมบูรณ์ แข็งแรงช่วยให้จิตใจแจ่มใส เมื่อจิตใจแจ่มใส ย่อมมีสมาธิเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้ อยา่ งเตม็ ความสามารถ 6. การฝกึ ความคล่องแคลว่ วอ่ งไว คล่องแคล่วว่องไว เป็นองค์ประกอบหนึ่งของสมรรถภาพทางกาย ที่มีผลต่อประสิทธิภาพ ของ การปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ เช่น การออกเดินได้เร็ว การออกวิ่งได้เร็ว การหยุด การเคลื่อนไหว ความ คล่องแคล่วว่องไว มีความสำคัญต่อการออกกำลังกาย และการเล่นกีฬาเช่น ฟุตบอล ฟุตซอล บาสเกตบอล แบดมินตัน เทนนิส ฯลฯ และได้มีนักวิชาการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของ คล่องแคลว่ ว่องไว ดังน้ี วาสนา คุณอภิสิทธ์ิ (2535:5) กล่าวว่า ความคล่องแคล่วว่องไว หมายถึง ความสามารถ ในการ เปลี่ยนทิศางอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งควบคุมได้ในขณะเคลื่อนไหวด้วยการใช้แรง เต็มที่ให้ มากที่สดุ เทา่ ทจ่ี ะมากได้ เชน่ การวง่ิ เก็บของ การว่งิ ซิกแซก ธงชัย เจริญทรพั ยม์ ณี (2547:220) ไดก้ ลา่ วา่ ความคล่องแคล่วว่องไว คอื ความสามารถ ในการ เคลอ่ื นท่ีหรอื ส่วนของรา่ งกายในการเคลอ่ื นไหวหรอื เปลย่ี นตำแหน่งของรา่ งกายด้วยความ 16 เจริญ กระบวนรัตน์ (2545:111) ได้กล่าวว่า ความคล่องแคล่วว่องไว คือ ความสามรถใน การ เคลื่อนท่ี หรือ เคลื่อนไหวได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เป็นการทำงานที่ต้องการความสัมพันธ์ของ ระบบ ประสาทกล้ามเนื้อ ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานได้อย่างดีมีปฏิกิริยาการรับรู้และตอบสนองอย่าง รวดเร็ว และสามารถเคลือ่ นท่แี ละเคล่อื นไหวเปลย่ี นทิศทางได้อย่างคล่องตัวและฉับพลนั พรี พงศ์ บญุ ศริ ิ (2538:36) กลา่ ววา่ ความคล่องแคล่ววอ่ งไว หมายถึง เป็นความรู้ในการ เคลื่อน ไวอย่างอิสระ สามารถที่จะเปลี่ยนทิศทางได้ตามต้องการ เช่น ในการชกมวย สามารถหลบ หมัดคู่ต่อสู้ และตอบโตไ้ ดท้ นั ที ไพบูลย์ ศรีชัยสวัสด์ิ (วิศาล ไหมวิจิตร .2549 ; อ้างอิงจาก ไพบูลย์ ศรีชัยสวัสดิ์ 2538:21) ว่า ความคล่องแคล่วว่องไว หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการเปลี่ยนอิริยาบถได้อย่างรวดเรว็ โดย ไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นซึ่งความคล่องแคล่วว่องไวนี้จะต้องอาศัยการควบคุมและการ ประสานงาน ของระบบประสาทและกลา้ มเน้ือเปน็ อย่างดี จงึ ทำใหเ้ กดิ ความรวดเรว็ และแม่นยำขึน้ ได้ นอกจากน้ันยัง ต้องอาศัยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อความอ่อนตัวของข้อต่อและทักษะในการ เคลื่อนไหวเข้ามา
17 ประกอบด้วย เพราะฉะนน้ั จะมีความคลอ่ งแคลว่ ว่องไว ไดน้ น้ั จะต้องฝกึ ฝนตนเอง เสมอเพ่อื ใหก้ ล้ามเนื้อ และระบบประสาทในการเตรยี มพรอ้ มและเพิ่มทักษะในการเคล่ือนไหวต่าง สรุปได้ว่า ความคล่องแคล่วว่องไว หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนไหว และ เปลี่ยนทิศทางต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ ใช้ระยะเวลาอันสั้นเป็นการทำงานที่ต้องมี ความสัมพันธ์กันของระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทได้อย่างดี มีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ต้อง อาศยั ความอ่อนตัวและความแข็งแรงของกลา้ มเนื้อ จึงต้องมกี ารฝกึ ฝนอย่างสม่ำเสมอ ความคล่องแคล่ว วอ่ งไว มคี วามจำเป็นต่อชีวติ ประจำวนั และมีความสำคัญตอ่ การเลน่ กฬี า ผทู้ มี่ ีความคล่องแคล่วว่องไวดี จะสามารถเลน่ กฬี าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชน่ กีฬาฟตุ บอล ตอ้ งมี การเคลื่อนไหวอยตู่ ลอดเวลาในเกม การแข่งขัน ถา้ ผ้เู ลน่ หรอื นกั กีฬาที่มีความคล่องแคลว่ ว่องไวกจ็ ะ แสดงออกถึงพฤติกรรมในการใช้ทักษะ ตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ เชน่ การรบั ลูกบอลแล้วเปลีย่ น ทศิ ทางการสง่ หรือวิง่ หนีตัวประกบของคู่ ตอ่ สูใ้ นระยะเวลาส้ันๆ ที่มีการเปล่ยี นทศิ ทางของรา่ งกาย ปัจจยั ท่ีมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความคล่องแคล่ววอ่ งไว 7. ความหมายความคล่องแคลว่ ว่องไว ความคล่องตัว (Agility) คือความสามารถในการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยไม่สูญเสีย ทิศทางของการควบคุมความเร็ว,การทรงตัวหรือร่างกาย เช่นเดียวกับองค์ประกอบของการออกกำลัง กายอื่น ๆ ความคล่องตัวจะระบุเฉพาะเจาะจงรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจง One problem with agility training is that an athlete can learn to anticipate the next movement. ห นึ่ ง ปัญหากับการฝึกอบรมความคล่องตัวเป็นที่นักกีฬาสามารถเรียนรู้ที่คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหว ต่อไป Therefore, the athlete should be required to respond to a directional order. ดังน้ัน นกั กีฬาควรจะต้องตอบสนองต่อคำสั่งเปลยี่ นแปลงทิศทาง การพัฒนาความสามารถของสมรรถภาพทางกายของนักกีฬา ด้านความคล่องแคล่วว่องไวน้ัน จะเป็นผลให้นักกีฬามีความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว และรักษาสมดุลของ รา่ งกายได้เป็นอยา่ งดี และจะสามารถประสบผลสำเรจ็ ในการแขง่ ขันได้ ประโยชน์ของควาวมคลอ่ งแคลว่ ว่องไว ความคลอ่ งตัวอาจอาจจะเป็นตัวกำหนดความสามรถของรา่ งกายในการเคล่ือนไหวร่างกายเพ่ือ เปลี่ยนตำแหน่ง และทิศทางของร่างกาย ความคล่องตัวมีความสำคัญต่อกิจกรรมกีฬาหลายประเภท เช่น การเล่นแบดมนิ ตนั หรือบาสเกตบอล ก็ต้องอาศัยความคล่องตัวเป็นพน้ื ฐาน ครูพลศกึ ษาจำเป็นต้อง อาศัยแบบทดสอบความคล่องตัวเพื่อวัด และจัดลำดับความสามรถของนักเรียนในชั้น ประโยชน์ของ ความคล่องตัวบุคคลที่มีตอ่ กิจกรรมพลศึกษา มดี งั นี้
18 1. ใช้เปน็ องค์ประกอบในการทำนายความสามารถในการเล่นกีฬาประเภทต่างๆได้เป็น เครื่องมือในการวัดผลสัมฤทธิ์ และให้คะแนนการพัฒนาความคล่องตัวอันเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะในการ สอนแต่ละหน่วย 2. เป็นส่วนหนึ่งแบบสอบความสามารถทางกลไก และเป็นส่วนหนึ่งของแบบทดสอบ สมรรถภาพ 3. ใชเ้ ป็นเคร่ืองมอื ในการวดั ผลการเรียนการสอนรวมทัง้ วิธสี อนของครูพลศึกษา 4. ทำให้ทราบระดับความคล่องตัวของร่างกายในแต่ละระดับ ทำให้ผู้ฝึกสอนสาสมา รถปรับปรงุ แบบฝกึ และกิจกรรมใหไ้ ด้เหมาะสม 5. ใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาข้อแตกต่างด้านสมรรถภาพทางกายโดยทั่วไปของ นกั กฬี าประเภทต่างๆ จะเห็นได้วา่ ความคล่องตัวนั้นมีคุณประโยชนแ์ ก่นักกีฬา และเปน็ ตัวสำคัญท่ีจะช่วยให้ การ เคลือ่ นไหวของแตล่ ะบุคคลมีการเปล่ียนแปลงทิศทางตำแหน่งไดอ้ ย่างรวดเร็ว และแมน่ ยำ 8. ความหมายการทรงตวั การทรงตัว หรอื ภาวะสมดลุ ของการทรงตวั ซง่ึ ทำให้คนเราสามารถนง่ั นอน ยนื เดนิ วงิ่ ปฏิบัติ กิจวัตรประจำวัน และปฏิบัติกิจกรรมนอกเหนือจากกิจวัตรประจำวัน เช่น การเล่นกีฬา ว่ายน้ำ ขับรถ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวได้อย่างปกตินั้น ต้องอาศัยกลไกของการทรงตัวหลายอย่าง ทำงานประสานกนั อย่างสมดุล ไดแ้ ก่ การรบั รสู้ ภาวะแวดล้อมจากสายตา (vision) การรับรู้แรงถ่วงของ ร่างกาย ผ่านกล้ามเนื้อข้อต่อของร่างกาย แขน ขา และกระดูกสันหลัง (kinesthetic) และโดยเฉพาะ การรับรู้การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของศีรษะผ่านทางประสาททรงตัวในหูชั้นในทั้ง 2 ข้าง (vestibular end-organ) โดยการทำงานของระบบรับรู้ทั้งสามนี้ จะต้องประสานกันอย่างสมดุล และส่งสัญญาณ ไปสู่ศูนย์รับและประมวล ข้อมลู ในสมองส่วนกลาง ซง่ึ มีการติดต่อไปยงั กลบี สมอง (cerebrum) เพ่ือการ รับรู้ในทางความรู้สึกและสามารถควบคุมการทรงตัวในภาวะต่าง ๆ ได้อย่างสมดุล โดยไม่เกิดอันตราย ต่อร่างกาย ในส่วนของสมองส่วนท้าย (cerebellum) เอง มีการส่งข้อมูลมายังศูนย์กลางการทรงตัวใน ก้านสมองด้วย ทำใหค้ นเราสามารถทรงตัวในสภาพแวดล้อมได้อย่างเป็นปกติ การผิดปกตขิ องระบบการ ทรงตัวทำให้เกิดอาการและอาการแสดงทางคลินิกที่แยกได้เฉพาะเป็นการผิดปกติของระบบปลายทาง ของประสาทและระบบกลไกปรบั ตวั ของสมอง การสูญเสียสมรรถภาพของการทรงตัว อาจเกิดขึ้นเป็นความรู้สึกว่าตนเองมีการเคลื่อนไหว ผิดปกติ ทรงตัวไม่ได้ (subjective) หรือรู้สึกว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวเคลื่อนไหวไป (objective)
19 ความรู้สึกเคลื่อนไหว ผิดปกตินี้ อาจเป็นลักษณะหมุน, ดึงหรือดัน, หรือเอียงเมื่อมีการเคลื่อนไหวของ ศรี ษะ การสญู เสยี สมรรถภาพของการทรงตัวอาจจำแนกไดด้ ังนี้ 1. มคี วามผิดปกตขิ องการเดินโดยไม่เกีย่ วกบั อาการเวียนศรี ษะ 2. ความรูส้ ึกงง ๆ หรอื ศีรษะเบาๆ โดยไม่มีอาการรสู้ กึ หมุน 3. อาการรู้สกึ หมุน หรอื เวียนศรี ษะ เน่ืองจากมคี วามผิดปกติของระบบทรงตัว และกลไก สัมพันธข์ องสมองรวมถึงกลบี สมอง, สมองทา้ ย และกา้ นสมอง และโดยการเคลือ่ นไหวของลูกตา การสูญเสียสมรรถภาพของการทรงตัวอย่างถาวรเป็นผลจากความผิดปกติของอะไรก็ตาม ที่ทำ ให้เกิดอาการเวียนศีรษะแบบหมุน หรือการเสียสมดุลของการทรงตัว กลไกการควบคุมการทรงตัวมี 3 ประการ คือ สายตา (vision) แรงดึงและดัน และแรงสัมผัสของ ร่างกาย (kinesthetic และ proprioceptive sense) และระบบทรงตัวในหูชั้นในจะมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของลูกตา เป็นอัตโนมัติ (vestibulo-ocular reflex) ดังนั้น การตรวจวัดสมดุลของระบบทรงตัว จึงอาจตรวจ ระบบสัมพนั ธ์อันใดอันหนึง่ หรือหลายอันก็ได้ การสญู เสยี สมรรถภาพถาวรของระบบทรงตวั สามารถเกิดขึ้นจากการมคี วามผดิ ปกตขิ องระบบ การทรงตัวในหูชนั้ ใน (labyrinthine) และเครือขา่ ยเชอ่ื มโยงของสมอง การสูญเสียสมรรถภาพปรากฏ ได้ โดยการเสียสมดลุ ของการทรงตัวแบ่งเปน็ 1. สญู เสียหนา้ ทท่ี รงตัวของหชู ้ันใน หรอื 2. การแปรปรวนของหนา้ ทที่ รงตัวของหูช้ันใน จิตติ พลไพรินทร์* สมเกียรติ เนตรประเสรฐิ ( 2558 : บทคัดย่อ )การวิจยั ในครงั้ นม้ี ี วตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ศึกษาผลของการฝึกความคลอ่ งตัวทมี่ ีต่อความสามารถในการเลย้ี งลูกฟตุ บอล และ เพือ่ เปรยี บเทียบผลการฝึกความคลอ่ งตัวกับการฝึกการเล่นเกม ในการเลี้ยงลูกฟุตบอลของนักกีฬา ฟตุ บอลระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ ชว่ งอายุ 12-15 ปี กลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ นักกีฬา ฟุตบอลชายโรงเรยี น บา้ นเนิน ตาบลโคกหม้อ อาเภอชมุ แสง จังหวัดนครสวรรค์ ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น อายุ 12-15 ปี จานวน 40 คน เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั คอื แบบทดสอบวัดความคลอ่ งตวั ของกรมพลศึกษา การเก็บ รวมรวมข้อมลู จากกลุ่มการฝึกความคล่องตัวและกลุ่มฝึกการเลน่ เกมเป็นจานวน 8 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ 4 วัน คือ วนั อังคารถงึ วนั ศกุ ร์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หาคา่ เฉลย่ี (Mean) และสว่ น เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) และการทดสอบทีแบบกล่มุ ตวั อย่างเปน็ อสิ ระจากกัน
20 ผลการวิจัยพบวา่ กอ่ นการฝกึ ค่าเฉลีย่ ความสามารถในการเลี้ยงลูกฟตุ บอลของนักกีฬาฟุตบอลกลุ่มการฝึกความ คล่องตัว กลับกลุ่มการฝึกการเล่นเกม โดยกลุ่มการฝึกความคล่องตัว มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 22.84 วินาที และกลุ่มการฝึกการเล่นเกม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.00 วินาที โดยค่าเฉลี่ยของความสามารถในการเลี้ยง ลูกฟุตบอล แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลังการฝึก 4 สัปดาห์กลุ่มการฝึกความ คล่องตัว มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 20.76 วินาที และกลุ่มการฝึกการเล่นเกม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.99 วินาที แสดงว่าหลงั การฝึก 4 สัปดาห์ กลุ่มการฝกึ ความคล่องตัวมคี ่าเฉล่ยี เวลาน้อยกว่ากลุ่มการฝกึ การเล่นเกม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลังการฝึก 8 สัปดาห์ หลังการฝึก 8 สัปดาห์ โดยกลุ่มการฝึก ความคล่องตัว มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 19.72 วินาที และกลุ่มการฝึกการเล่นเกม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.93 วินาที แสดงว่าหลังการฝึก 8 สัปดาห์ กลุ่มการฝึกความคล่องตัวมีค่าเฉลี่ยเวลาน้อยกว่ากลุ่มการฝึกการ เลน่ เกมอย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 นายองอาจ ขนุ สายชุมจนั ทร์ (2554 : บทคัดย่อ) การวจิ ยั น้มี จี ดุ มงุ่ หมายเพื่อแก้ปัญหาการ การ เล้ียงลกู บอล การหมุนตัว โดยวธิ เี นน้ กจิ กรรมทาแบบฝึกปฏิบตั ิ ซ่งึ เปน็ การพฒั นาทักษะการเรียน โดยวธิ ี แบบฝกึ ปฏิบตั ติ า่ ง ๆ ใหส้ งู กว่าเกณฑ์ ทกี่ าหนดเกิน 80 % กลุ่มตวั อย่างทใ่ี ชใ้ นการวิจัยครงั้ น้ี ไดแ้ ก่ นกั ศึกษาชน้ั ปวช.1 สาขาวชิ าคอมพิวเตอรธ์ ุรกิจ ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ของวิทยาลยั การ อาชพี ขอนแกน่ จานวนวน 33 คน เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน สถติ ิที่ใชใ้ นการวจิ ยั ครั้งนี้ คือ 1. ใชส้ ถิติทเี่ ปน็ ค่าเฉล่ีย ของคะแนนหลังการเรยี น 2. ทาการเปรียบเทยี บคะแนนคา่ เฉลี่ยหลังการเรียนกับคะแนนเกณฑ์ 80% ผลการวิจยั พบวา่ 1. จากผลการวิจัยทพ่ี บว่า นักศึกษาทไี่ ดเ้ รยี นโดยใชแ้ บบกิจกรรมฝกึ ปฏบิ ัติ มีความชานาญอยู่ ในระดบั ท่ดี ีขนึ้ ซึ่งตา่ งจากการสอนแบบเดมิ ซ่ึงเป็นไปตามสมติฐานการวิจยั ขอ้ ที่ 1 และ ข้อท่ี 2 2. จากผลการวิจัยที่พบว่า นักศึกษามีทันคติในการเรียนดีขึ้น เนื่องจาก นักศึกษามีส่วนร่วมใน การคิด อีกทั้งเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ในการปรับปรุงรายการให้เกิดความชานาญที่เรียกว่าทักษะ ซึ่งเปน็ ไปตามสมติฐานการวิจัยข้อที่ 3 วิศาล ไหมวิจิตร (2549:บทคัดย่อ) ได้ศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกวิ่งรูปแบบตัว Z และตัว S ที่มีตอ่ ความคล่องแคลว่ ว่องไวของนักฟุตซอลหญิง กล่มุ ตัวอย่างเปน็ นักกีฬาฟุต ซอลหญิง ทีม ชาติไทยปี 2548 จำนวน 20 คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม โดยวิธีสุ่ม กลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่ม (Randomly Assignment) คอื กลุ่มควบคุมจำนวน 6 คน ฝึกโปแกรมฟุต ซอลอยา่ งเดยี ว กลุ่มทดลองที่
21 1 จำนวน 7 คน ฝึกโปรแกรมการวิ่งรูปแบบตัว S และกลุ่มทดลอง ที่ 2 จำนวน 7 คน ฝึกโปรแกรมว่ิง รูปแบบตวั Z โดยใชร้ ะยะเวลาการฝึก 8 สัปดาหๆ์ ละ 3 วัน และทำการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว โดยใช้ Linois Agility test ก่อนการฝึก หลงั การฝึก สปั ดาห์ที่ 4 และหลงั การฝกึ สปั ดาห์ที่ 8 นำขอ้ มูลที่ ได้มาหาค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบเทียบรายคู่โดยวิธีของ Tukey วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว แบบวัดซ้ำและเปรียบเทียบรายคู่โดยวิธีของ Bonferroni ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 4 และหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 การทดสอบค่าเฉลี่ยความ คล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาฟุตซอล ระหว่างกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองที่ 1 และกลุ่มทดลองที่ 2 แตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติท่ี ระดบั .05 ตามลำดับ และทดสอบความแตกตา่ งเปน็ รายคโู่ ดยวิธี ของ Tukey พบว่าทั้ง 3 กลุ่ม มี ความแตกต่างเป็นรายคู่เหมือนกัน คือ ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่ม ทดลองท่ี 1 ระหว่างกลุ่ม ควบคุมและกลุ่มทดลองท่ี 2 ระหว่างกลุ่มทดลองท่ี 1 และกลุ่มทดลองท่ี 2 อยา่ งมนี ัยสำคญั ทาง สถติ ิทร่ี ะดับ .05 และคา่ เฉล่ยี ของความคล่องแคลว่ ว่องไว ภายในของกลุ่มควบคุม กลมุ่ ทดลองท่ี 1 และกลมุ่ ทดลองที่ 2 มีความแตกตา่ งอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05 และทดสอบ ความ แตกต่างเป็นรายคู่ โดยวิธีของ Bonferoni พบว่าทั้ง 3 กลุ่ม มีความแตกต่างเป็นรายคู่เหมือนกนั คือ ระหว่างก่อนการฝึกและหลังการฝึกสัปดาห์ท่ี 4 ระหว่างก่อนการฝึกและหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 ระหวา่ งการฝกึ หลงั สปั ดาหท์ ่ี 4 และหลังการฝกึ สัปดาห์ที่ 8 อย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 อธิวัฒน์ ดอกไม้ขาว (2547: บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาผลของการฝึกความเร็วและกำลัง กล้ามเนื้อขาทีม่ ีตอ่ ความคล่องแคลว่ ว่องไวของนกั ฟุตบอล กลุ่มตัวอย่างที่ใชใ้ นการวิจัยเป็นนัก ฟุตบอล เพศชาย โรงเรียนวัดม่วงคัน อายุระหว่าง 13-14 ปี จำนวน 30 คนแบ่งกลุ่มตัวอย่าง ออกเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 10 คน โดยการสุม่ ตวั อยา่ งเข้ากลมุ่ คือ กล่มุ ควบคุมซึ่งฝึกโปรแกรมฟตุ บอล นายวีระ ปิ่นเจริญ(บทคัดย่อ) การ วิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้านความเร็วและ ความแคลว่ คล่องว่องไว ท่ีมีต่อการ พัฒนาทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอล ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 กลุ่มตัวอย่างไดม้ าโดยวิธีสุ่มอย่างง่ายจำนวน 30 คน จำแนกเป็นนักเรยี นกลุ่มควบคมุ 15 คน และกลุ่ม ทดลอง 15 คนโดยใชว้ ิธีการสมุ่ ตัวอย่างเขา้ กลุ่มการทดลองใช้เวลาท้ังส้ิน 8 สัปดาห์ โดยดำเนินการตาม แผนแบบการทดลองแบบสองกลุ่ม มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง จากนั้น จะวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งหมด เพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบ 2 กลุ่มเป็นอิสระจากกันในกรณีเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มควบคุมและ กลุ่มทดลอง และการทดสอบค่า ที แบบ 2 กลุ่มมีความสัมพันธ์กัน ในกรณีเปรียบเทียบภายในกลุ่ม ควบคมุ หรือกล่มุ ทดลอง
22 ผลการวิจัยพบว่า 1. ก่อนการทดลอง นกั เรยี นกลมุ่ ควบคุมและกลมุ่ ทดลองมีอายเุ ฉลีย่ นำ้ หนกั เฉลย่ี และสว่ นสูง เฉลี่ย ไมแ่ ตกตา่ งกัน 2. ก่อนการทดลองนักเรยี น กลมุ่ ควบคุม และกลุม่ ทดลอง ทำเวลาเฉลยี่ ในการทดสอบความ เรว็ ความแคล่วคลอ่ งวอ่ งไว และทกั ษะการเลยี้ งลกู ฟตุ บอล ไมแ่ ตกต่างกัน 3. หลงั การทดลอง นกั เรียนในกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง ทำเวลาเฉล่ยี ในการทดสอบ ความ เร็ว ความแคล่วคลอ่ งวอ่ งไว และทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอล แตกตา่ งกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทร่ี ะดบั 0.001 โดยนกั เรยี นในกล่มุ ทดลองทำเวลาไดด้ กี ว่านักเรียนในกลุ่มควบคุม 4. นักเรียนกลุ่มควบคุมทำเวลาเฉลี่ยในการทดสอบความเร็ว ความแคล่วคล่องว่องไว และ ทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอลหลังการทดลองแตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติท่ี ระดับ .001, .01 และ .001 ตามลำดบั โดยหลงั การทดลองทำเวลาไดด้ ีกวา่ ก่อนการทดลอง 5. นักเรียนกลุ่มทดลองทำเวลาเฉลี่ยในการทดสอบความเร็ว ความแคล่วคล่องว่องไว และ ทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอลหลังการทดลองแตกต่างจากก่อนการทดลองอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติท่ี ระดบั .001 โดยหลงั การทดลองทำเวลาไดด้ ีกว่าก่อนการทดลอง ผล การวิจัยชใี้ หเ้ ห็นว่า โปรแกรมท่ีกำหนดมีประสทิ ธิผลในการเพม่ิ พูนสมรรถภาพทางกายด้านความเร็ว และ ความแคล่วคล่องว่องไวแก่นักเรียน และการให้นักเรียนฝึกความเร็วและความแคล่วคล่องว่องไว ตามโปรแกรมควบคู่กับ การเรียนหน่วยวิชาฟุตบอลตามปกติ จะช่วยพัฒนาทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอล อันเปน็ ทักษะท่ี สำคัญในการเรียน หน่วยวิชาฟุตบอลได้ดีกว่าการเรียนหน่วยวิชาฟุตบอล ในรายวิชาพลศึกษาตามปกติ เพยี งอย่างเดยี ว
23 บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย การศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นแกลง “วิทยสถาวร” จังหวดั ระยอง มีประเดน็ ในการศกึ ษาตามลาดับ ดงั นี้ 3.1 ประชากร 3.2 กล่มุ ตัวอย่าง 3.3 เคร่ืองมือที่ใช้ในการรวบรวมขอ้ มูล 3.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 3.5 การวเิ คราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน จำนวนนกั เรียน 526 คน 3.2 กลุ่มตวั อยา่ ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คนซึ่งกลุ่มตัวอย่าง ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ได้มาจากหอ้ งทีท่ ำการจดั การเรยี นการสอนวิชา ฟตุ ซอล 3.3 เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการรวบรวมข้อมูล 1. โปรแกรมการฝึกการการเล้ยี งลูกฟุตซอลของนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ศกึ ษาปที ่ี 3 2. กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยม 3. แบบประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วชิ า พลศกึ ษา เรอ่ื ง การเล้ยี งลูกฟตุ ซอล 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู 1. กำหนดระยะเวลาในการฝึก อธิบาย และสาธิตการฝึกแก่ผู้เข้ารับการทดสอบ จากนั้น ทดสอบความสามารถในการเลี้ยงลูกฟุตซอลของกลุ่มตัวอย่าง โดยการเลี้ยงลูกฟุตซอลจับเวลา เป็นการทดสอบกอ่ นท่ีจะทำการฝกึ การทรงตวั และความคลอ่ งแคลว่ 2. ดำเนินการทดลองโดยให้กลุ่มทดลอง ทำการฝึกการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ตามแบบฝึกเป็นเวลา 1 สัปดาห์ คือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยใช้สถานที่คือสนามฟุตซอโรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร”
24 3. ดำเนินการทดลองโดยให้กลุ่มทดลองมาทำการเลี้ยงลูกฟุตซอลจับเวลาเป็นการ ทดสอบหลังที่ทำการฝึกการทรงตัว และความคล่องแคล่ว มาวิเคราะห์ผลการวิจัย เพื่อสรุปผลการวิจัย กอ่ นและหลังการฝึกการทรงตวั และความคลอ่ งแคลว่ แบบทดสอบ การเลีย้ งลกู ระยะ 20 เมตร (วินาที) ➢ เลย้ี งลกู ได้ 16.63 วินาที - ขนึ้ ไป เท่ากบั 2 คะแนน ➢ เลย้ี งลกู ได้ 15.47 - 16.62 วนิ าที เทา่ กับ 4 คะแนน ➢ เล้ยี งลูกได้ 13.16 - 15.46 วินาที เทา่ กับ 6 คะแนน ➢ เลยี้ งลูกได้ 12.00 - 13.15 วนิ าที เท่ากับ 8 คะแนน ➢ เล้ียงลกู ได้ 11.99 วนิ าที - ลงมา เทา่ กบั 10 คะแนน 3.5 การวิเคราะห์ขอ้ มลู 1 หาคะแนนเฉล่ยี ของการวเิ คราะหข์ ้อมูล คา่ เฉลยี่ คณิต (Arithmetic Mean) โดยคำนวณจาก สูตร (พสิ ณุ ฟองศร.ี 2553: 154) สตู ร ������̅ = ∑ ������ ������ เม่ือ x แทน คา่ เฉล่ยี ของคะแนน x แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด n แทน จำนวนนักเรยี นทง้ั หมด 2 หาสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของการวิเคราะห์ข้อมลู โดยคำนวณจาก สูตร (พสิ ณุ ฟองศรี. 2553: 156) สูตร N X 2 − ( x)2 S.D. = N(N −1) เมอื่ S.D. แทน ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด ∑ ������2 แทน ผลรวมคะแนนแตล่ ะตวั ยกกำลังสอง n แทน จำนวนนกั เรียน
25 3 สถติ ทิ ่ใี ช้ในการตรวจสอบสมมตฐิ าน ทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยใช้ t-test for dependent sample โดยคำนวณจากสตู ร (บุญธรรม กจิ ปรีดาบรสิ ุทธ์ิ. 2549) สตู ร t= ∑ ������ √������ ∑ ������2−(∑ ������)2 ������−1 เม่อื ∑ ������ แทน ผลตา่ งของคะแนนทดสอบหลงั เรยี นทเี่ รยี นโดยใช้ กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตวั และความคลอ่ งแคล่วกบั คะแนนทดสอบกอ่ นเรียนท่เี รียนโดยใช้กจิ กรรมสร้างเสรมิ การทรงตัวและความคล่องแคลว่ ∑ ������2 แทน ผลรวมของผลตา่ งของคะแนนทดสอบหลงั เรยี นทเ่ี รยี น โดยใช้กจิ กรรมสร้างเสริมการทรงตวั และความ คล่องแคล่วกับคะแนนก่อนเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรม สรา้ งเสริมการทรงตัวและความคล่องแคลว่ n แทน จำนวนนักเรยี นทง้ั หมดท่เี ปน็ กลมุ่ ตัวอย่าง
26 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล การศกึ ษาวิจัย เร่อื ง การศกึ ษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียน วชิ าพลศกึ ษา เรือ่ ง การ เลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดบั ดงั น้ี 4.1 ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่อื ง การศกึ ษาผลการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรง ตัวและความคลอ่ งแคล่ว ของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร” จงั หวดั ระยอง เป็นรายบุคล ตารางที่ 4-1 บันทึกผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การศึกษาผลการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรง ตัวและความคล่องแคลว่ ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วทิ ยสถาวร” จงั หวัดระยอง เปน็ รายบุคล ลำดับท่ี หลงั เรยี น กอ่ นเรียน ผลต่างของคะแนน 1 10 6 4 2 84 4 3 64 2 4 86 2 5 64 2 6 10 8 2 7 84 4 8 84 4 9 10 6 4 10 10 6 4 11 88 0 12 84 4
27 ลำดับท่ี หลงั เรยี น กอ่ นเรียน ผลตา่ งของคะแนน 13 86 2 14 10 6 4 15 10 8 2 16 10 8 2 17 86 2 18 84 4 19 64 2 20 86 2 21 10 8 2 22 10 8 2 23 10 6 4 24 86 2 25 84 4 26 82 6 27 82 6 28 84 4 29 62 4 30 10 4 6 31 10 6 4 32 84 4 33 10 8 2 34 10 6 4 35 84 4 36 84 4 37 86 2 38 10 6 4
28 ลำดบั ท่ี หลังเรยี น กอ่ นเรยี น ผลต่างของคะแนน 39 84 4 40 64 2 จากตารางที่ 4-1 พบว่า จำนวนนักเรียนที่มีผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้ กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวดั ระยอง หลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี นมีจำนวน 40 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 100 4.2 ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การศึกษาผลการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริม การทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” เป็น ภาพรวมทัง้ หมด ตารางที่ 4-2 แสดงผลการเปรยี บเทียบผลการทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เรอ่ื งการศึกษา ผลการพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น วิชาพลศกึ ษา เร่ือง การเลี้ยงลูกฟตุ ซอล โดยการใช้กิจกรรม สรา้ ง เสรมิ การทรงตวั และความคลอ่ งแคล่ว ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” ผลการทดสอบ ค่าเฉล่ยี ������̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ก่อนเรียน 5.33 1.32 หลังเรียน 8.56 1.79 ค่า t จากการเปดิ ตารางคา่ t แบบทางเดยี วที่ระดบั นัยสำคัญ .05 , df = 35 มคี ่าเท่ากับ 2.0301 *มีนยั สำคญั ทางสถิติ ท่ี .05 จากตาราง พบว่า ค่าเฉลี่ยของผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการศึกษาผลการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริม การทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง หลังการทดสอบ (������=̅ 8.56) มีค่าสูงกว่า ก่อนการทดสอบ (������=̅ 5.33) แสดงว่ากิจกรรม สร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว มีผลในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นแกลง “วิทยสถาวร” จงั หวดั ระยอง จากการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วย ค่าสถิติ t – test สาหรับกลุ่มตัวอย่างท่ี พบว่า ค่า t ที่คำนวณได้นั้นสูงกว่าค่าวิกฤตของ t ที่ระดับใน สำคัญ .05 แสดงว่าผลการวัดครั้งหลังสูงกว่าการวัดผลการวัดครั้งแรกจริง ดังนั้น เราจึงยอมรับ
29 สมมุติฐานที่ว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้การเลี้ยงลูกฟุตซอลโดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการ ทรงตัวและความคล่องแคล่วมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า ใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ช่วยให้เลี้ยงลูกฟุตซอลได้ดีขึ้น ะเพราะทาให้ความสามารถในการในการเลี้ยงลูกฟุตซอล ดีกว่าก่อนใช้ กจิ กรรมสร้างเสริมการทรงตวั และความคล่องแคลว่
30 บทที่ 5 สรปุ ผลการดำเนนิ งาน การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเรื่อง การศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสรมิ การทรงตัวและความคล่องแคลว่ ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จงั หวดั ระยอง จำนวน 40 คน 1. สรปุ ผลการดำเนนิ งาน พบว่า การทดสอบก่อนเรียน ได้คะแนนเฉลี่ย 5.33 ส่วนการทดสอบหลังเรียน ได้คะแนนเฉลี่ย 8.56 จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยองพบว่าค่าเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญยิ่งทางสถิติ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการเรียนการการศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและ ความคล่องแคลว่ ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรยี นแกลง “วทิ ยสถาวร” จงั หวดั ระยอง คดิ เป็น รอ้ ยละ 97.22 2. ปัญหาและอุปสรรค จากการสร้างสื่อการเรียนการสอนการศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เร่ือง การเล้ียงลูกฟุตซอล โดยการใชก้ ิจกรรมสร้างเสรมิ การทรงตัวและความคลอ่ งแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง พบว่ากิจกรรมการส้ราง เสริมการทรงตัวและความคล่องแคลว่ นนั้ ต้องเพิ่มความสามารถในการฝึกเข้าไปมากขึ้นเพือ่ ท่ีจะสามารถ ให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง นั้นเข้าใจและสามารถ เรียนรไู้ ดด้ ้วยตนเองซึ่งเม่ือได้ทาการทดลองในช่วงแรกๆนนั้ ครผู ู้สอนต้องชว่ ยเหลือในการแนะนำท่าทาง และวธิ ีการฝกึ ก่อน เพราะด้วยความแตกต่างของผู้เรียนท่ีบางคนสามรถปฏบิ ัติได้และบางคนไม่สามารถ ปฏิบัตไิ ด้ ครจู งึ จาเป็นต้องให้ความสนใจและใหค้ ำแนะนำสำหรับผู้เรยี นทีเ่ รียนอ่อนในชว่ งแรกๆก่อน
31 3. ขอ้ เสนอแนะ เมื่อมีโอกาสผู้วิจัยจะทาการพัฒนากิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่ว ของ นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยองให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึน้ และตรงตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้ในข้างต้น และก่อนนำบทเรียนวิชาพลศึกษา เรื่อง การเล้ี ยงลูกฟุต ซอลไปทำการเรียนการสอนนั้นควรมีการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อม เพื่อไม่เป็นอุปสรรคในการเรียน การสอนหากผู้ใช้สนใจที่ต้องการศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพลศึกษาเรื่อง การ เลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการ ใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและความคล่องแคล่วสามารถติดต่อมาทาง คณะผู้จัดทำได้ ทางคณะผู้จดั ทำจะแนะนาการใช้งานให้กับผู้ทสี่ นใจอย่างเต็มท่ี เพอ่ื ใหผ้ ู้ทส่ี นใจนำไปต่อ ยอดและถ่ายทอดความรใู้ ห้แก่ผ้อู น่ื ต่อไป
32 บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: คุรสุ ภาลาดพรา้ ว. ไพศาล วรคำ. (2555). การวิจัยทางการศึกษา. มหาสารคาม : ตกั สิลาการพิมพ์. วาสนา คุณาอภิสทิ ธ์. (2535). เอกสารประกอบการสอน วชิ าการพฒั นาหลักสตู รพลศึกษา. กรงุ เทพฯ:ภาควชิ าพลศกึ ษา มหาวิทยาลยั ศรนี คริทรวโิ รฒ. ธงชัย เจริญทรัพย์มณี. (2547). หลักวทิ ยาศาสตร์ในการฝึกกฬี า. กรงุ เทพฯ: ภาควิชาพลศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. เจริญ กระบวนรตั น์. (2538). เทคนิคการฝึกความเรว็ . กรุงเทพฯ: ภาควชิ าวทิ ยาศาสตร์การ กฬี าฯ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. พรี พงษ์ บุญศิร.ิ (2538). สรรี วทิ ยาการออกกำลังกาย. (วทิ ยาศาสตร์การกีฬา). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โอ.เอส.พร้นิ ติง้ เฮาส์. ทวิช ไกลถ่ิน. (2552). ผลการฝกึ แบบผสมผสานทมี่ ตี ่อความเรว็ และความคลอ่ งแคล่ววอ่ งไว ของนักฟตุ บอล. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (พลศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ. คณะกรรมการควบคุม: อาจารย์ ดร. พชั รช์ ศักดิ์ ธญั ประจนั บาน, ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์สกุ ัญญา พานิชเจริญนาม. จิตติ พลไพรินทร์* สมเกียรติ เนตรประเสริฐ. ( 2558 : บทคัดย่อ )การวิจัยในครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของการฝึกความคล่องตัวที่มีต่อความสามารถในการเลี้ยงลูกฟุตบอล และ เพื่อเปรียบเทียบผลการฝึกความคล่องตัวกับการฝึกการเล่นเกม ในการเลี้ยงลูกฟุตบอลของนักกีฬา ฟุตบอลระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ชว่ งอายุ 12-15 ปี นายองอาจ ขุนสายชมุ จันทร์. (2554 : บทคดั ยอ่ ) การวจิ ัยน้ีมีจดุ มุ่งหมายเพื่อแกป้ ญั หาการ การ เล้ยี งลกู บอล การหมุนตวั วิศาล ไหมวิจิตร. (2549). ผลของการว่ิงรปู แบบตัว Z และตวั S ท่ีมตี อ่ ความคลอ่ งแคลว่ ว่องไว ของ นักกีฬาฟุตบอลหญิง. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (วิทยาศาสตร์การกีฬา). กรุงเทพฯ: บัณฑิต วิทยาลัย. มหาวทิ ยาลัยศรนี คิรทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร. อธิวัฒน์ ดอกไมข้ าว. (2547). ผลของการฝึกความเรว็ และกำลงั กล้ามเน้ือขาท่ีมีต่อความ คลอ่ งแคลว่ วอ่ งไวของนกั กีฬาฟุตบอล. วทิ ยานพิ นธ์ ศษม. (พลศึกษา) กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลัย
33 มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ถ่ายเอกสาร. นายวรี ะ ป่นิ เจรญิ .(บทคัดย่อ) ผลของโปรแกรมการฝึกสมรรถภาพทางกายด้านความเร็วและ ความแคล่วคล่องว่องไวที่มีต่อการพัฒนาทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบรรหารแจม่ ใสวทิ ยา 1 John D Stemm ; Bert H Jacobson. (2007). Relationship of Jumping and agility performance in female volleyball athletes. Periodical.Copyright © 2008 ProQuest LLC. All reserved. By Vandyke, Amaris Christine (2005). Plyometric training in female adolescent soccer players. University of Nevada, Lasvegas. Copyright © 2008 ProQuest LLC. All reserved.
34 ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรยี นรู้
35 แผนการจัดการเรยี นรู้ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 กลุม่ สาระการเรียนรู้ สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา วิชา ฟตุ ซอล เร่ือง การเลย้ี งบอลด้วยหลังเท้า ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 1. มาตรฐานการเรียนรู้ การเคลอื่ นไหว การออกกำลังกาย การเลน่ เกม กีฬาไทย และกฬี าสากล 2. ตัวช้ีวัด มาตรฐาน พ 3.1 เข้าใจ มีทักษะในการเคลือ่ นไหว กจิ กรรมทางกาย การเล่นเกม และกฬี า มาตรฐาน พ 3.2 รักการออกกำลังกาย การเล่นเกมและการเล่นกฬี า ปฏิบัติเป็นประจำอย่าง สม่ำเสมอ มีวนิ ัย เคารพสทิ ธิ กฎ กติกา มีน้ำใจนักกีฬามจี ิตวญิ ญาณในการแขง่ ขันและชนื่ ชมใน สนุ ทรยี ภาพของการกฬี า 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. เพ่อื ให้นักเรยี นบอกวิธกี ารพาบอลไปข้างหนา้ โดยการเคลอ่ื นที่ 2. เพ่ือให้ผู้เรียนปฏบิ ัติการเล้ียงบอลข้างเท้าดา้ นในได้ถกู วธิ ี 3. เพ่ือให้ผู้เรียนมีเจตคตทิ ่ดี ีต่อการฝึกทักษะการเลน่ กีฬาฟุตซอล 4. สาระสำคญั การเลีย้ งลกู บอล หมายถึง การพาลกู บอลไปด้วยการใชเ้ ทา้ ทั้งสองเขา้ สลับกัน จะเป็นการเดิน หรือวิ่งก็ตาม เราสามารถที่จะไปได้ตามทิศทางที่ต้องการ ช้า เร็ว หรือหลบหลีกด้วยการใช้เท้าทั้งสอง ข้างบังคับลูก รวมทั้งการหลอกล่อ ป้องกันหรือเพื่อการพาไปยิงประตู การเลี้ยงลูกบอลหรือบังคับลูก บอลให้อยู่ในครอบครองนับว่ามีประโยชน์มากในการเล่นฟุตบอล เพราะผู้ที่จะเล่นฟุตบอลให้ได้ดีน้ัน จะต้องมคี วามคนุ้ เคยต่อลกู บอลก่อน 5. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. สรา้ งความเขา้ ใจในเนื้อหา 2. การเปน็ ผนู้ ำผู้ตาม 3. ความสามคั คี
36 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. ขน้ั เตรียม 1.1 ให้นักเรยี นเขา้ แถวตอน แลว้ น่ังลง 1.2 สำรวจรายชอ่ื 1.3 วงิ่ รอบสนาม 3 รอบ ยดื กลา้ มเนื้อ 2. ขั้นอธิบายและสาธิต 1. ตามองไปยังทิศทางทีพ่ าลูกไป หรอื ชำเลืองดูลูกบอลเป็น คร้งั คราว 2. ใช้เท้าดา้ นนอกทง้ั เท้าซ้ายและเท้าขวาหรืออาจจะใช้ข้างเท้า ด้านในและด้านนอก ช่วยในบา้ งโอกาส 3. เขี่ยลูกบอลไปข้างหนา้ เบา ๆ แล้วจึงตามลกู ไป ให้น้ำหนกั ตัวโนม้ ไปขา้ งหนา้ เข่าอยู่ เหนือลกู ปลายเทา้ บิดเข้าข้างในเลก็ น้อย ในขณะท่เี ขย่ี ลกู ควรวง่ิ ดว้ ยปลายเท้าเพอ่ื สะดวกตอ่ การเขย่ี ลกู
37 3. ข้ันฝึกหดั หรือปฏบิ ตั ิ 1. ใหจ้ บั กลมุ่ 3 -4 คน บอล 1 ลกู เลีย้ งบอลไปหาเพ่ือน 2. ให้เลย้ี งลกู บอล ผ่านกรวยท่วี างไว้ เพื่อความเชยี่ วชาญในการเลยี้ วบอลดว้ ยหลังเท้า 4. ข้นั นำไปใช้ 1. ให้นกั เรยี นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม แยก ชาย – หญิง แข่งขนั กันเลยี้ งบอลอ้อมกรวย แถว ไหนเสรจ็ กอ่ นจะเป็นฝ่ายชนะ โดยจะแข่งขนั กนั เปน็ 2 ใน 3 เกม ผู้ชนะจะเป็นฝา่ ยทำโทษผ้ทู ี่แพ้ 5. ขนั้ สรปุ 5.1 นักเรยี นเข้าแถวตามกลุ่ม 5.2 ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันสรุป แก้ไขสิ่งที่บกพร่อง ที่เกิดขณะที่นักเรยี นฝกึ 5.3 นัดหมายให้นักเรยี นในสัปดาหห์ น้า 7.สื่อและแหลง่ เรียนรู้ 1.สนามฟุตซอล 2.ลกู ฟตุ ซอล 3.กรวย 4.นกหวีด
38 8.วธิ วี ัดและประเมินผล 1. .ใหท้ ดสอบการเลีย้ งบอลผ่านกรวย 2. ใหค้ ะแนนโดยการจับเวลาและการตัดคะแนนเม่ือชนกรวย 3. คะแนน 10 คะแนน 9.บนั ทกึ การสอน ............................................................................................................................. ...................................... ......................................................................................................................................... .......................... ......................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................. ลงช่อื ............................................ ลงช่อื ............................................ (นายรจุ น์ ล้ีกุล) (นางสาววภิ าวดี เตม็ พร้อม) ครูผ้สู อน หวั หนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ลงชือ่ ............................................ (นางวรรวิมล รัตนกุล) รองผ้อู ำนวยการ กล่มุ งานวชิ าการ
39 ภาคผนวก ข ผลคะแนนกอ่ นเรียน และ หลงั เรยี น
40 ตารางที่ 4-1 บันทึกผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน วิชาพลศึกษา เรื่อง การเลี้ยงลูกฟุตซอล โดยการใช้กิจกรรมสร้างเสริมการทรงตัวและ ความคล่องแคล่ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง เป็นรายบุคล ลำดบั ที่ หลังเรยี น กอ่ นเรยี น ผลต่างของคะแนน 1 10 6 4 2 84 4 3 64 2 4 86 2 5 64 2 6 10 8 2 7 84 4 8 84 4 9 10 6 4 10 10 6 4 11 88 0 12 84 4 13 86 2 14 10 6 4 15 10 8 2 16 10 8 2 17 86 2 18 84 4 19 64 2 20 86 2 21 10 8 2 22 10 8 2
41 ลำดบั ที่ หลังเรยี น ก่อนเรียน ผลตา่ งของคะแนน 23 10 6 4 24 86 2 25 84 4 26 82 6 27 82 6 28 84 4 29 62 4 30 10 4 6 31 10 6 4 32 84 4 33 10 8 2 34 10 6 4 35 84 4 36 86 2 37 86 2 38 10 6 4 39 84 4 40 64 2
42 ประวัติผ้วู ิจยั ชือ่ -สกลุ รจุ น์ ลก้ี ุล วนั เดือน ปี 1 ตลุ าคม 2534 ท่อี ยู่ 251 หมู่ 1 ต.ชุมแสง อ.วังจนั ทร์ จ.ระยอง ประวัติการศึกษา พ.ศ. 2546 สำเรจ็ การศึกษาระดับประถมศกึ ษา โรงเรยี นบ้านชุมแสง พ.ศ. 2549 สำเร็จการศกึ ษาระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น โรงเรยี นวังจนั ทร์วทิ ยา พ.ศ. 2552 สำเรจ็ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรยี นวงั จันทรว์ ิทยา พ.ศ. 2559 สำเรจ็ สาขาวชิ าพลศึกษาและนนั ทนาการ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏบ้านสมเด็จเจา้ พระยา
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: