Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore MIND_วิจัยในชั้นเรียน_2-65

MIND_วิจัยในชั้นเรียน_2-65

Published by julasak.mind, 2023-04-12 09:27:50

Description: MIND-2-65

Search

Read the Text Version

การพฒั นาการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ด้าน เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลย่ี นแปลงของสาร วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 2 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนวงั จนั ทร์วทิ ยา ธันยาภรณ์ จุลศักด์ิ โรงเรียนวงั จนั ทร์วทิ ยา สหวทิ ยาเขต ระยอง 2 สานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษามัธยมศึกษา ชลบุรี ระยอง ปี การศึกษา 2565

การพฒั นาการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ด้าน เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลย่ี นแปลงของสาร วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 2 สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนวงั จันทร์วทิ ยา ธันยาภรณ์ จลุ ศักด์ิ พทุ ธศักราช 2565 บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังน้ี มีวตั ถุประสงค์เพ่ือเพ่ือประเมินพฒั นาการของนักเรียนหลงั การเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนวงั จนั ทร์วิทยา กลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ นักเรียนระดับช้ัน มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 หอ้ ง 1 และ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ไดม้ าจากการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จานวน 62 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจยั คือ แผนการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบวดั ทกั ษะกระบวนการการแกโ้ จทยก์ ารคานวณปริมาณ ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยใชค้ า่ เฉล่ีย และคะเ ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. นกั เรียนมีพฒั นาการดา้ นผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนโดยรวมเฉล่ียอยใู่ นระดบั สูงมาก (มีคา่ เฉลี่ยของคะแนนพฒั นาการสมั พทั ธ์ เทา่ กบั 78.40) และเม่ือพจิ ารณาเป็นรายบคุ คลจากคะแนน พฒั นาการสมั พทั ธ์พบวา่ นกั เรียนส่วนใหญ่มีคะแนนพฒั นาการอยใู่ นระดบั สูงมาก 36 คน คดิ เป็นร้อยละ 58 และมีคะแนนพฒั นาการอยใู่ นระดบั สูง 26 คน คิดเป็นร้อยละ 42 ตามลาดบั 2. นักเรี ยนมีพัฒนาการทักษะการแก้ปัญหาโจทย์การคานวณปริ มาณความร้อนกับการ เปล่ียนแปลงของสารโดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง (มีค่าเฉลี่ยของคะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์ เท่ากับ 75.74) และเมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคล จากคะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์พบวา่ นกั เรียนส่วนใหญ่มีคะแนน พฒั นาการอยูใ่ นระดบั สูง 34 คน คิดเป็นร้อยละ 54.8 และมีคะแนนพฒั นาการอย่ใู นระดบั สูงมาก 28 คน คดิ เป็นร้อยละ 45.2 ตามลาดบั คาสาคัญ : การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น

กติ ตกิ รรมประกาศ งานวิจยั ฉบบั น้ีสาเร็จสมบูรณ์ไดด้ ว้ ยดี เพราะไดร้ ับความกรุณาเป็ นอย่างดีย่ิงจาก อาจารยร์ ัชนี หนูน้อย หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวงั จันทร์วิทยา ที่ได้กรุณาเป็ นผูใ้ ห้คาปรึกษา แนะนาความรู้ สร้างความเขา้ ใจให้ความอนุเคราะห์และแนะนาแนวทางในการทาวิจยั ผูว้ ิจยั รู้สึกซาบซ้ึงและขอกราบ ขอบพระคุณในความกรุณาไว้ ณ ท่ีน้ี ขอกราบขอบพระคุณ คุณครูจิรกาญจน์ แผนกุล คุณครู ธีร์วรา ชื่นธีรพงศ์ และคุณครูอนุสรา พุ่มพิกุล ผูเ้ ช่ียวชาญในการตรวจคุณภาพเครื่องมือที่ใชใ้ นงานวิจยั ในคร้ังน้ี โดยให้คาปรึกษา คาแนะนา และแกไ้ ขขอ้ บกพร่องตา่ ง ๆ เป็นอยา่ งดี ขอกราบขอบพระคุณผูอ้ านวยการ รองผูอ้ านวยการ โรงเรียนวงั จนั ทร์วิทยา คณะครูอาจารย์ โรงเรียนวงั จนั ทร์วิทยาทุกท่านที่อานวยความสะดวกตลอดจนเป็ นกาลงั ใจ เป็ นแรงผลกั ดนั สนบั สนุน และใหค้ วามอนุเคราะหส์ ถานท่ีและกลุ่มตวั อยา่ งสาหรับการวิจยั ในคร้ังน้ี ใหส้ าเร็จลลุ ่วงเป็นอยา่ งดี และ ขอขอบคุณนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 ท่ีให้ความร่วมมือในการเก็บขอ้ มูลงานวิจยั คร้ังน้ีเป็นอยา่ งดี ขอขอบคุณกลั ยานมิตรทุก ๆ ท่าน ที่อยู่เคียงขา้ งกันเสมอมาท้งั ในยามท่ีทุกข์และสุข คอยให้ กาลงั ใจ และใหค้ วามช่วยเหลือเป็นอยา่ งดีเสมอมา ทา้ ยสุดผวู้ ิจยั ขอกราบขอบพระคุณ บิดา มารดา ท่ีไดใ้ หก้ าลงั ใจ และสนบั สนุนเสมอ คุณค่าและ ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการวิจยั ในคร้ังน้ี ผูศ้ ึกษาขอมอบเป็ นเครื่องบูชาพระคุณของผูม้ ีพระคุณทุกท่าน บิดา มารดา ครูอาจารยท์ ี่ไดค้ อยอบรมส่ังสอนประสิทธ์ิประสาทความรู้ท้งั ปวงแก่ผวู้ จิ ยั ธนั ยาภรณ์ จุลศกั ด์ิ

สารบัญ บทท่ี หน้า 1 บทนา .................................................................................................................................. 1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา........................................................................ 1 วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั ...................................................................................................... 4 สมมติฐานการวิจยั .......................................................................................................... 4 ขอบเขตการวิจยั ............................................................................................................. 4 พ้ืนที่ / สถานที่ ......................................................................................................... 4 ระยะเวลา .................................................................................................................. 4 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ....................................................................................... 5 ตวั แปรที่ศึกษา........................................................................................................... 5 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ................................................................................................. 6 ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ ........................................................................................... 6 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ........................................................................................................... 7 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง ........................................................................................... 10 การจดั การเรียนรู้ เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร 10 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศกั ราช 2560) ................................................................................. แนวคดิ หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น (The Flipped Classroom) ................................................... 11 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ................................................................................................. 20 กระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหา .......................................................................................... 24 คะแนนพฒั นาการ .......................................................................................................... 29 3 วิธดี าเนินการวจิ ยั ................................................................................................................ 31 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ............................................................................................ 31 ระยะท่ีใชใ้ นการศึกษา ................................................................................................... 32 ตวั แปรท่ีศึกษาและเครื่องมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ................................................................. 33 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ................................................................................................... 48 การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสถิติที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล ................................................ 49 การทดสอบสมมติฐาน ................................................................................................... 50

สารบัญ (ต่อ) บทท่ี หน้า 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................................ 51 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ................................................................................................... 51 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ................................................................................. 58 สรุปผล .......................................................................................................................... 58 อภิปรายผล .................................................................................................................... 58 บรรณานุกรม ....................................................................................................................... 59 ภาคผนวก ............................................................................................................................ 68 ภาคผนวก ก .................................................................................................................. 69 ภาคผนวก ข ................................................................................................................... 71 ภาคผนวก ค ................................................................................................................... 103 ภาคผนวก ง ................................................................................................................... 124

บญั ชีตาราง ตาราง หน้า 1 แสดงแผนปฏิบตั ิการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วชิ า วทิ ยาศาสตร์ 2 เรื่อง 32 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ................................................................................... 2 แสดงจานวนคาบเรียนของแต่ละแผนการจดั การเรียนรู้ ....................................................... 34 3 แสดงรายละเอียดการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นวชิ า วิทยาศาสตร์ 2 36 เร่ือง การคานวณพลงั งานความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร เร่ือง ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงอุณหภูมิของสาร.......................................................... 4 แสดงรายละเอียดการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นวชิ า วทิ ยาศาสตร์ 2 37 เร่ือง การคานวณพลงั งานความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิของสาร........................... 5 แสดงรายละเอียดการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นวชิ า วิทยาศาสตร์ 2 39 เร่ือง การคานวณพลงั งานความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร............................. 6 แสดงรายละเอียดการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นวิชา วทิ ยาศาสตร์ 2 40 เร่ือง การคานวณพลงั งานความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสถานะของน้า ......... 7 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนทกั ษะกระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหา ..................................................... 46 8 แบบแผนการศึกษา .............................................................................................................. 48 9 แสดงผลการประเมินพฒั นาการดา้ นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การคานวณปริมาณ 51 ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 2 ............................................. 10 แสดงผลการประเมินพฒั นาการทกั ษะการแกป้ ัญหาโจทยก์ ารคานวณปริมาณความร้อน 54 กบั เปลี่ยนแปลงของสาร...................................................................................................... 11 แสดงความพงึ พอใจของนกั เรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 62 วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร ......... 12 แสดงคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั 110 ดา้ นวชิ าวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร....

บัญชีภาพประกอบ ภาพประกอบ หน้า 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ........................................................................................... 6 2 แสดงการเปรียบเทียบหอ้ งเรียนแบบเดิมกบั ห้องเรียนกลบั ดา้ น ................................ 14 3 แสดงการเปรียบเทียบกิจกรรมและเวลาเรียนระหวา่ งห้องเรียนแบบเดิม 15 กบั หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น................................................................................................ 4 แสดงโมเดลหอ้ งเรียนแบบกลบั ดา้ น (Flipped Classroom Model) ........................... 16 5 กราฟแสดงคะแนนก่อนเรียน คะแนนหลงั เรียน และคะแนนพฒั นาการสมั พนั ธ์ 53 ของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การ เปลี่ยนแปลงของสารของนกั เรียน............................................................................. 6 กราฟแสดงคะแนนก่อนเรียน คะแนนหลงั เรียน และคะแนนพฒั นาการสมั พนั ธ์ 56 ของทกั ษะการแกป้ ัญหาโจทยก์ ารคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลง ของสารของนกั เรียน..................................................................................................

1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมเป็ นมำและควำมสำคญั ของปัญหำ วิทยาศาสตร์เป็นวฒั นธรรมของสงั คมโลกสมยั ใหม่ซ่ึงถือเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เน่ืองจาก วทิ ยาศาสตร์ช่วยใหม้ นุษยไ์ ดพ้ ฒั นาการคิด มีทกั ษะในการคน้ หาความรู้ และมีความสามารถในการ แกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบ (สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2554: 92) วิชาวทิ ยาศาสตร์น้นั เป็นวชิ าท่ีมีความสาคญั ท่ีจะมุ่งพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ กิดการคน้ พบความรู้ดว้ ยตนเองใหไ้ ด้ มากท่ีสุด เพื่อให้ได้ท้ังกระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสารวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนาผลท่ีได้มาจัดระบบเป็ นหลักการ แนวคิด และองค์ความรู้ ที่เน้นการเช่ือมโยงความรู้กับ กระบวนการ มีทกั ษะสาคญั ในการคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะ หาความรู้และแกป้ ัญหาที่หลากหลาย และใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทกุ ข้นั ตอน มีการทากิจกรรม ดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิจริงอยา่ งหลากหลาย และการที่ครูผสู้ อนจะสามารถทาให้ผูเ้ รียนน้นั บรรลุเป้าหมาย ตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) กาหนดไว้ จาเป็นท่ีจะตอ้ งอาศยั กระบวนการการจดั การเรียนการสอนท่ีทาใหผ้ เู้ รียนน้นั ไดร้ ับประโยชน์ สูงสุดจากการเรียน โดยครูควรยดึ หลกั สาคญั ในการจดั การเรียนการสอนให้ไดผ้ ลตามวตั ถุประสงค์ของ รายวิชาและเน้ือหาท่ีสอน โดยคานึงถึงธรรมชาติของแต่ละวิชาและเน้ือหาที่สอน โดยสอนให้ผูเ้ รียน รู้จกั คดิ รู้จกั แกป้ ัญหา รู้จกั ทา รู้จกั พฒั นา และมีค่านิยมท่ีดีงาม แต่ในการจดั การเรียนการสอนในวิชาวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา ยงั ไม่ประสบผลสาเร็จเท่าท่ีควร เพราะครูผูส้ อนยงั ใชว้ ธิ ีการสอนท่ีมุ่งเนน้ เน้ือหา และความจามากกวา่ การมุ่งเนน้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการคน้ พบ ความรู้ การแก้ปัญหา และการประยุกต์ใช้ด้วยตนเอง ผลที่เกิดข้ึนคือ ผูเ้ รียนเรียนโดยใช้เน้ือหาจาก หนงั สือเรียน ซ่ึงหนงั สือเรียนเนน้ เน้ือหามาก แต่ความรู้ท่ีผเู้ รียนไดร้ ับกลบั นอ้ ยลง ประกอบกบั ครูผูส้ อน ไม่เขา้ ใจธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์ มุ่งเนน้ ใหผ้ เู้ รียนท่องจา ทาตามตวั อย่าง ให้ผเู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ และสรุปผลการศึกษา แต่ผูเ้ รียนกลบั ไม่รู้จกั วิธีในการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงจากสภาพการจดั การเรียนการสอนแบบน้ี อาจทาให้คุณภาพทางการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์น้ันลดลง เน่ืองจากผูเ้ รียน จะยึดติดความคิดอยู่ในกรอบ ทาให้ผูเ้ รียนไม่สามารถที่จะพฒั นาความสามารถได้อย่างเต็มศกั ยภาพ ซ่ึงการสอนในปัจจุบนั พบว่า ครูสอนโดยใช้วิธีการสืบเสาะหาความรู้ แต่ยงั คงเนน้ ท่ีการบรรยายเน้ือหา อยู่มาก โดยพฤติกรรมของผูเ้ รียนส่วนใหญ่จะสะท้อนออกมาในรูปของการตอบคาถาม และการ

2 จดบันทึก และผูเ้ รียนไม่ใช่เป็ นผูค้ ้นพบความรู้ด้วยตนเอง จึงส่งผลให้ผูเ้ รียนไม่เข้าใจในบทเรียน และมีพฤติกรรมไมส่ นใจเรียน ในการจดั การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ 2 ยงั คงพบว่ามีเน้ือหาอยู่มาก เน่ืองจากเน้ือหา บทเรียน มีการใชส้ ัญลกั ษณ์ต่าง ๆ ไม่สามารถสังเกต สัมผสั ได้ จึงทาให้ยากต่อความเขา้ ใจของผูเ้ รียน โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในสาระท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร เน่ืองจากเป็นเน้ือหาท่ีซบั ซ้อน ตอ้ งใชท้ ฤษฎีและความรู้หลาย ๆ เร่ืองมาผสาน ต่อยอดเขา้ ดว้ ยกนั และมี การแกป้ ัญหาโจทยก์ ารคานวณเยอะ อีกท้งั ผเู้ รียนมีความรู้พ้นื ฐานคณิตศาสตร์ไม่เพียงพอ จากสาเหตุน้ีจึง ทาใหผ้ เู้ รียนมีความเขา้ ใจคลาดเคลื่อนออกไป และผเู้ รียนยงั ไม่สามารถประมวลความรู้ท่ีอยมู่ าแกป้ ัญหา โจทยก์ ารคานวณได้ ถึงแมว้ ่าในการสอนน้นั ไดม้ อบหมายการบา้ นให้นกั เรียนไปฝึ กทาท่ีบา้ นแลว้ นามา ส่งในคาบเรียนต่อไป ปรากฏวา่ นกั เรียนบางคนส่งการบา้ นไมค่ รบตามท่ีมอบหมาย เนื่องจากบางคนไม่มี ความเข้าใจในเน้ือหาในจุดท่ีซับซ้อน และบางคนอาจแก้ปัญหาโจทยก์ ารคานวณด้วยตนเองไม่ได้ เนื่องจากเวลาเรียนนอ้ ย เพราะตอ้ งเขา้ ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน หรืมีภาระทางบา้ น ซ่ึงอาจจะเป็น กิจกรรมท่ีไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ส่งผลทาใหน้ กั เรียนส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ค่อนขา้ งต่า ในเน้ือหาวิชาวิทยาศาสตร์ที่เป็ นการคานวณ จากปัญหาในการจดั การเรียนการสอนที่กล่าวมาขา้ งตน้ พบว่าแนวคิด “ห้องเรียนกลบั ด้าน” (Flipped Classroom) เป็ นรูปแบบการสอนที่สอดคลอ้ งกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผูเ้ รียนเป็ น สาคญั อยา่ งแทจ้ ริง (วิจารณ์ พานิช. 2556) โดยเป็นแนวทางในการจดั การเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่ถูก คิดคน้ ข้ึนจากครูสอนวิชาเคมีของโรงเรียน Woodland Park High School ในประเภทสหรัฐอเมริกา 2 คน คือ Jonathan Bergmann และ Aaron Sams โดยเร่ิมจาก Bergmann และ Sams ตอ้ งการท่ีจะช่วยผู้เรียน บางส่วนที่ถกู ดึงไปทากิจกรรมต่าง ๆ ทาให้ไม่สามารถเขา้ หอ้ งเรียนครบถว้ นหรือแมก้ ระทง่ั เน้ือหาวชิ าท่ี ใช้เวลาในการทาความเขา้ ใจมาก ๆ จนไม่สามารถสอนได้หมดในชัว่ โมงเรียน โดยเปลี่ยนการสอน แบบเดิมท่ีเรียนในห้องเรียนแลว้ กลบั ไปทาการบา้ นที่บา้ น เป็ นเรียนที่บา้ นจากสื่อการสอน ไฟล์วิดีโอ ท่ีครูสร้างข้ึนหรือจากเว็ปไซตท์ ี่ครูกาหนดแลว้ นางานหรือการบา้ นท่ีไดร้ ับมอบหมายมาทาท่ีห้องเรียน ฝึ กคิด วิเคราะห์ แกป้ ัญหาแลว้ นามาอภิปรายร่วมกนั ในช้นั เรียน โดยมีครูคอยให้คาแนะนาอยา่ งใกลช้ ิด (สุรศกั ด์ิ ปาเฮ. 2556) ซ่ึงการจดั การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ นน้ันจะมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ องค์ความรู้ด้วยตัวผูเ้ รียนเองตามทักษะความรู้ ความสามารถ สติปัญญาของแต่ละบุคคล ตามอตั รา ความสามารถทางการเรียนของแต่ละบุคคล จากส่ิงท่ีครูจดั หาให้ผ่านส่ือเทคโนโลยีท่ีหลากหลาย และ เป็นลกั ษณะของการเรียนรู้นอกช้นั เรียนอย่างอิสระท้งั ทางดา้ นความคิดและวิธีปฏิบตั ิ เพื่อให้สามารถใช้ เวลามากข้ึนในการมีปฏิสัมพนั ธ์กบั ผเู้ รียนแทนการบรรยายหนา้ ช้นั เรียนเพียงอย่างเดียว (สุพตั รา อุตมงั .

3 2558) ซ่ึงการจดั การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลบั ด้านน้ันประกอบไปดว้ ย 4 องค์ประกอบสาคญั ไดแ้ ก่ 1.การกาหนดยทุ ธวิธีเพ่ิมพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) เป็นข้นั ทบทวนความรู้เดิม ของผเู้ รียนโดยผสู้ อนใชว้ ธิ ีการท่ีหลากหลาย เช่น เรื่องเลา่ สถานการณ์จาลอง สื่อ วีดิโอตา่ ง ๆ กิจกรรมที่ ครูผูส้ อนจดั ข้ึน เป็ นตน้ 2. การสืบค้นเพ่ือให้เกิดมโนทศั น์รวบยอด (Concept Exploration) เป็ นข้นั ท่ี ผูส้ อนจะต้งั คาถามผูเ้ รียนไปศึกษาดว้ ยตนเอง โดยให้ไปสืบคน้ จากแหล่งขอ้ มูลที่ผูส้ อนจดั เตรียมไวใ้ ห้ 3. การสร้างองคค์ วามรู้อย่างมีความหมาย (Meaning Making) ข้นั น้ีผูเ้ รียนจะตอ้ งตอบคาถาม สรุปความรู้ จากส่ิงที่ผเู้ รียนไดศ้ ึกษาดว้ ยตนเองในข้นั ท่ี 2 และร่วมกนั อภิปรายเพ่ือให้ไดข้ อ้ สรุปที่ชดั เจนและตรงกนั 4. การสาธิตและประยกุ ตใ์ ช้ (Demonstration & Application) เป็นข้นั ท่ีผเู้ รียนจะไดฝ้ ึกการคานวณ โดยใน ข้นั น้ีผูส้ อนจะสาธิการแกโ้ จทยป์ ัญหาให้ดูเป็ นตวั อย่าง จากน้นั ให้ผูเ้ รียนไดฝ้ ึ กการคานวณดว้ ยตนเอง ดงั น้ัน การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ นจะช่วยให้นักเรียนมีเวลามากพอในการทาแบบฝึ กหัด แก้โจทยป์ ัญหาโจทยก์ ารคานวณในห้องเรียนและมีครูคอยให้คาปรึกษาอย่างใกลช้ ิด ซ่ึงจะส่งผลให้ นกั เรียนบรรลุจุดประสงคก์ ารเรียนรู้มากกวา่ ที่จะกลบั ไปทาแบบฝึ กหัดท่ีบา้ นท่ีบางคนอาจมีเวลาในการ ทาการบา้ นนอ้ ยและมีเวลาไม่เท่ากนั และจากการท่ี Bergmann และ Sams ไดท้ าการทดลองสอนโดยใช้ วิธีการสอนแบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นในรายวิชาเคมีน้นั พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนสูงข้นึ จากเดิมท่ีเรียนแบบปกติดว้ ย (Bergmann; & Sams. 2012) จากเหตุผลดังกล่าวข้างตน้ ผูว้ ิจยั จึงสนใจท่ีจะศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร เพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและมีทกั ษะการแกป้ ัญหาโจทยก์ ารคานวณปริมาณความร้อน กบั การเปลี่ยนแปลงของสารที่ดีย่ิงข้ึน เน่ืองจากการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลบั ด้านจะช่วยให้ นกั เรียนมีเวลามากพอที่จะฝึ กฝนการคิด การวิคราะห์ เพ่ือให้สามารถแกโ้ จทยป์ ัญหาการคานวณปริมาณ ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงของสารท่ีแตกต่างกัน ผ่านการฝึ กฝนปฏิบัติด้วยตนเองหรือพูดคุย แลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพ่ือนร่วมช้ันเรียนและครูผูส้ อน ดังน้ัน ผูว้ ิจยั จึงพฒั นาการจดั การเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลบั ดา้ น เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร วิชาวิทยาศาสตร์ 2 สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนวงั จนั ทร์วทิ ยา เพื่อเป็นแนวทางในการจดั การเรียนการสอน แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น และส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รียนพฒั นาท้งั ทางดา้ นเน้ือหาและทกั ษะกระบวนการแกโ้ จทย์ ปัญหาใหม้ ีประสิทธิภาพตอ่ ไป

4 1.2 วตั ถุประสงค์กำรวิจัย เพ่ือประเมินพฒั นาการของนกั เรียนหลงั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 1.3 สมมติฐำนกำรวจิ ยั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร มีพฒั นาการเร่ือง การคานวณปริมาณ ความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร อยใู่ นระดบั สูง 1.4 ขอบเขตกำรวจิ ัย 1.4.1 พืน้ ที่/สถำนที่ศึกษำ โรงเรียนวงั จนั ทร์วิทยา อาเภอวงั จนั ทร์ จงั หวดั ระยอง สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษาชลบุรี ระยอง 1.4.2 ระยะเวลำที่ศึกษำ ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา คือ ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2564 ใช้เวลาจดั การเรียนรู้ ท้งั หมด 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ รวมท้งั หมด 12 คาบเรียน รวมทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน ในช่วงเดือนธนั วาคม 2565 ถึง เดือนมกราคม 2566 1.4.3 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร ประชากรที่ใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนวงั จนั ทร์วทิ ยา อาเภอวงั จนั ทร์ จงั หวดั ระยอง จานวน 298 คน กล่มุ ตวั อย่ำง กลุ่มตวั อยา่ งที่ใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 หอ้ ง 1 และ 3 โรงเรียนวงั จนั ทร์วิทยา อาเภอวงั จนั ทร์ จงั หวดั ระยอง ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2564 ไดม้ าจากการ เลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จานวน 62 คน ตัวแปรที่ศึกษำ 1. ตัวแปรอสิ ระ การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร

5 2. ตัวแปรตำม 2.1 พัฒนาการของนักเรี ยนหลังการเรี ยนรู้แบบห้องเรี ยนกลับด้าน วิชา วิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของ ประกอบดว้ ย 2 ดา้ น ไดแ้ ก่ 2.1.1 พฒั นาการดา้ นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร 2.1.2 พฒั นาการทกั ษะการแก้ปัญหาโจทยก์ ารคานวณปริมาณความ ร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร 1.5 กรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ยั ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตำม การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 2. พฒั นาการของนกั เรียนหลงั การเรียนรู้แบบ หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง วิชาวทิ ยาศาสตร์ 2 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของ เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั ประกอบดว้ ย 2 ดา้ น ไดแ้ ก่ การเปล่ียนแปลงของสาร - พฒั นาการดา้ นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชา วิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร - พัฒนาการทักษะการแก้ปัญหาโจทย์การ คานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ภำพประกอบ 1 กรอบแนวคิดในกำรวิจัย

6 1.6 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ การวิจัยในคร้ังน้ีได้พัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงของสาร สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ซ่ึงพฒั นาข้ึนตามบริบทของประเทศไทย เพ่ือเป็นแนวทางในการจดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการ สอนแบบห้องเรียนกลับด้านอย่างเป็ นระบบในโรงเรียน ทาให้นักเรียนมีผลสัมฤท ธ์ิทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสารดีข้ึน และเกิดการ พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาโจทย์การคานวณปริ มาณความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงของสาร ควบคู่กนั ไปดว้ ย ท้งั น้ีผลของการวิจยั จะเป็นแนวทางสาหรับครูผสู้ อน และผทู้ ่ีเก่ียวขอ้ งกบั การศึกษาได้ นาการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น มาเสริมสร้างความรู้ เพิ่มพูนทางวิชาการ และพฒั นาการ จดั การเรียนรู้วชิ าวิทยาศาสตร์ใหม้ ีประสิทธิภาพใหแ้ ก่ผเู้ รียนมากยงิ่ ข้ึน 1.7 นยิ ำมศัพท์เฉพำะ 1. กำรจัดกำรเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ด้ำน หมายถึง การจดั การเรียนรู้โดยใหน้ กั เรียนเรียนนอก ห้องเรียนจากส่ือการสอนท่ีสร้างข้ึน คน้ ควา้ จากเว็ปไซต์ท่ีเก่ียวขอ้ ง แลว้ นางานหรือการบา้ นท่ีได้รับ มอบหมายมาทาท่ีหอ้ งเรียน ฝึกคิด วิเคราะห์ แกป้ ัญหาแลว้ นามาอภิปรายร่วมกนั ในช้นั เรียน โดยมีครูคอย ใหค้ าแนะนาอยา่ งใกลช้ ิด 2. กำรจัดกำรเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ด้ำน วิชำ วิทยำศำสตร์ 2 เรื่อง กำรคำนวณปริมำณควำม ร้อนกับกำรเปลี่ยนแปลงของสำร หมายถึง แผนการจดั การเรียนรู้และการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แผนการจดั การเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ท่ีจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ นโดยใชร้ ะบบช้นั เรียนออนไลน์ Google Site และ Line Groupโดย นกั เรียนจะตอ้ งศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเองมาก่อนล่วงหนา้ ซ่ึงเป็นกิจกรรมนอกหอ้ งเรียน จากน้นั กิจกรรมในช้นั เรียน นกั เรียนจะไดฝ้ ึ กทกั ษะกระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหาโดยใชก้ ระบวนการ ของ Polya โดยมีครูเป็ นผูใ้ ห้ความช่วยเหลือและแนะนาอย่างใกลช้ ิด ซ่ึงแผนการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ นมีข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้ ดงั น้ี ข้นั ที่ 1 กาหนดวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential engagement) เป็ นการทบทวน ความรู้เดิมใหก้ บั นกั เรียนโดยครูผสู้ อนใชว้ ธิ ีการท่ีหลากหลาย เช่น เรื่องเล่า สถานการณ์จาลอง กิจกรรม ท่ีผสู้ อนกาหนดข้นึ เอง สื่อปฏิสมั พนั ธ์ เป็นตน้

7 ข้ันที่ 2 สืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept exploration) เป็ นข้ันที่ผูส้ อน กาหนดหัวข้อให้กับผู้เรียน และผูเ้ รียนจะต้องไปศึกษาด้วยตนเองนอกห้องเรียนโดยสืบค้นจาก แหล่งสืบคน้ ที่ผสู้ อนกาหนดใหใ้ ห้ เพ่ือนามาตอบคาถามแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในช้นั เรียน ข้นั ท่ี 3 สร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย (Meaning making) เป็ นข้นั ที่ผูเ้ รียนจะต้อง ตอบคาถามสรุปความรู้เพ่ิมเติมจากสิ่งท่ีผูเ้ รียนไดศ้ ึกษาด้วยตนเองในข้นั ที่ 2 และร่วมกนั อภิปรายกบั ผสู้ อนเพือ่ ใหไ้ ดข้ อ้ สรุปท่ีชดั เจนและตรงกนั ข้นั ที่ 4 สาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration and application) เป็ นข้นั ท่ีผูส้ อนสาธิต การแก้ปั ญหาโจทย์เคมีโดยใช้กระบวนการแก้ปั ญหาของ Polya ให้ผู้เรี ยนดูเป็ นตัวอย่าง จากน้นั ให้ผูเ้ รียนไดฝ้ ึ กแกป้ ัญหาโจทยก์ ารคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสารดว้ ย ตนเองโดยใช้กระบวนการแกป้ ัญหาของ Polya เช่นเดียวกนั โดยมีผูส้ อนคอยให้ความช่วยเหลือและ คาแนะนา 3. พัฒนำกำรของนักเรียน หมายถึง ผลการเปรียบเทียบผลคะแนนของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ัญหาการคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร ระหว่างก่อน เรียนและหลงั เรียน โดยนาคะแนนมาคานวณเป็ นคะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์ โดยใช้สูตรคะแนนการ คานวณคะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์จาก ศิริชยั กาญจนวาสี (2552) และนามาแปลความหมายคะแนนตาม เกณฑ์ระดับพฒั นาการ จาแนกออกเป็ น 4 ระดบั ได้แก่ พฒั นาการระดบั สูงมาก พฒั นาการระดับสูง พฒั นาการระดบั กลาง และพฒั นาการระดบั ตน้ ประกอบดว้ ย 4. ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การ คานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร ซ่ึงวดั จากแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั กับเปล่ียนแปลงของสาร ที่ผูว้ ิจยั สร้างข้ึน จานวน 20 ขอ้ มีลกั ษณะเป็นแบบเลือกตอบ 4 ตวั เลือก โดยวดั จากพฤติกรรม 4 ดา้ น ดงั น้ี 4.1 ความจา (Remember) จานวน 3 ขอ้ 4.2 เขา้ ใจ (Understanding) จานวน 7 ขอ้ 4.3 ประยกุ ตใ์ ช้ (Applying) จานวน 3 ขอ้ 4. 4 วเิ คราะห์ (Analyzing) จานวน 7 ขอ้ 5. ทักษะกำรแก้ปัญหำโจทย์กำรคำนวณปริมำณควำมร้อนกับกำรเปล่ียนแปลงของสำร หมายถึง ทกั ษะกระบวนการท่ีผเู้ รียนใชใ้ นการแกโ้ จทยป์ ัญหาตามแนวคดิ ของ Polya (1957) โดยสามารถวดั ไดจ้ าก

8 แบบวดั ทกั ษะกระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหาที่ผูว้ ิจยั สร้างข้ึน จานวน 5 ขอ้ มีลกั ษณะเป็ นแบบเขียนตอบ ประกอบดว้ ย 4 ข้นั ตอน ดงั น้ี 5.1 ข้นั ทาความเขา้ ใจปัญหา หมายถึง ผูเ้ รียนวิเคราะห์ เขียน ส่ิงที่โจทยป์ ัญหา กาหนดให้ 5.2 ข้ันสร้างวิธีการแก้ปัญหา หมายถึง ผูเ้ รียนกาหนดแนวทาง วิธีในการ แกป้ ัญหา โดยการเขียนสมการ การแทนคา่ ในสมการ 5.3 ข้นั ดาเนินการแกป้ ัญหา หมายถึง ผเู้ รียนปฏิบตั ิตามวิธีการที่กาหนดไว้ เพ่ือ หาคาตอบของปัญหา 5.4 ข้นั ตรวจสอบ หมายถึง ผูเ้ รียนตรวจคาตอบของการแกป้ ัญหาว่าถูกต้อง หรือไม่

9 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กยี่ วข้อง ในงานวจิ ยั คร้ังน้ี ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง และไดน้ าเสนอตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี 1. การจดั การเรียนรู้ เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พุทธศกั ราช 2560) 1.1 วิเคราะห์หลกั สูตรและเน้ือหา สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี วชิ า วทิ ยาศาสตร์ 2 ที่เกี่ยวขอ้ งกบั เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 2. แนวคดิ หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 2.1 ความหมายของหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 2.2 แนวคิดเก่ียวกบั การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 2.3 ขอ้ เปรียบเทียบของการเรียนแบบเดิมกบั การเรียนแบบกลบั ดา้ น 2.4 องคป์ ระกอบของการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 2.5 ประโยชน์ที่เกิดจากการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 2.6 งานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 3.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 3.3 ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 3.4 การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนตามแนวคิดของบลูม 3.5 งานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 4. กระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหา 4.1 การแกป้ ัญหา 4.2 โจทยป์ ัญหา 4.3 กระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหาของ Polya 4.4 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ัญหา 4.5 งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั กระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหา

10 5. คะแนนพฒั นาการ 5.1 ความหมายของคะแนนพฒั นาการ 5.2 การคานวณคะแนนพฒั นาการ 5.3 สูตรการคานวณคะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์ 1. การจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกับการเปลย่ี นแปลงของสาร ตาม หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พุทธศักราช 2560) 1.1 วิเคราะห์หลกั สูตรและเนื้อหา สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วชิ า วิทยาศาสตร์ 2 ทเ่ี กยี่ วข้องกบั เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลยี่ นแปลงของสาร ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหว่าง สมบัติ ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการ เปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตวั ชีว้ ดั ม.1/10 อธิบายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานความร้อนกบั การเปลี่ยนสถานะ ของสสาร โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษแ์ ละแบบจาลอง มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอน พลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่ น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เสียง แสง และคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้ารวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วัด ม.1/1 วิเคราะห์ แปลความหมายขอ้ มูล และคานวณปริมาณความร้อนท่ีทาให้ สสารเปลี่ยนอณุ หภูมิ และเปล่ียนสถานะ โดยใชส้ มการ Q = mc∆t และ Q = mL สาหรั บในงานวิจัยน้ี ได้ศึ กษามาตรฐานการเรี ยนรู้ กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีในวิชา วิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ซ่ึงอยู่ ในสาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหว่างสมบัติ ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลกั และ ธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตวั ช้ีวดั ม.1/10 อธิบายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานความร้อนกบั การเปล่ียนสถานะ

11 ของสสาร โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และแบบจาลอง และมาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของ พลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งานปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างสสารและพลงั งาน พลงั งานใน ชีวิตประจาวนั ธรรมชาติของคล่ืนปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เสียง แสง และคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้ารวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ช้ีวดั ม.1/1 วิเคราะห์ แปลความหมายขอ้ มลู และคานวณปริมาณความร้อน ท่ีทาใหส้ สารเปล่ียนอุณหภูมิ และเปลี่ยนสถานะ โดยใชส้ มการ Q = mc∆t และ Q = mL 1.2 งานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนรู้ เร่ือง การคานวณปริมาณความร้ อนกับการ เปลยี่ นแปลงของสาร อรชุมา หุ้มไหม (2554) ไดศ้ ึกษาผลของสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ดว้ ยการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง พลงั งานความร้อน พบว่า นกั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทาง การเรียนหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .01 สาหรับแลว้ ปฏิบตั ิที่ดีในการ สอน พบวา่ นกั เรียนเรียนรู้เร่ืองพลงั งานความร้อนไดด้ ีเมื่อ 1) ครูใชก้ ารทดลองอยา่ งงา่ ยในข้นั สร้างความ สนใจ และ 2) เม่ือครูกระจายโอกาสในการนาเสนอและอภิปรายใหน้ กั เรียนทุกกลุ่มอยา่ งเท่าเทียม พฒั นา ถาพร (2556) ไดศ้ ึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และการคิดแกป้ ัญหาทาง วิทยาศาสตร์เร่ือง พลงั งานความร้อน ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่1 ที่เรียนดว้ ยการจดั กิจกรรมแบบ 4 MAT และการสอนสืบเสาะแบบ สสวท. พบว่า นกั เรียนที่เรียนดว้ ยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกวา่ นกั เรียนที่เรียนดว้ ยการจดั กิจกรรมการสอนสืบเสาะแบบ สสวท. อย่างมีนัยสาคญั ท่ีระดับ .01 3) นักเรียนที่เรียนด้วยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT มีการคิด แกป้ ัญหาทางวิทยาศาสตร์สูงกว่า นกั เรียนท่ีเรียนดว้ ยการจดั กิจกรรมการสอนสืบเสาะแบบ สสวท. อย่าง มีนยั สาคญั ที่ระดบั .01 2. แนวคิดห้องเรียนกลบั ด้าน (The Flipped Classroom) 2.1 ความหมายของห้องเรียนกลบั ด้าน กวินธร รัฐอาจ (2558; อา้ งอิงจาก สุรศกั ด์ิ ปาเฮ. 2556) ไดใ้ ห้ความหมายห้องเรียนกลบั ดา้ นว่า ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า The Flipped Classroom เป็ นศพั ท์บญั ญตั ิท่ีนิยามไวด้ งั น้ี Flipped Classroom (n.) A Model of Teaching which students’ homework is the traditional lecture viewed outside of class on a video. Class time is then spent on inquiry based learning that would include what would traditionally be viewed as students’ homework assignments. สามารถแปลความหมายและสรุปไดว้ า่ หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น หมายถึง รูปแบบหน่ึงของการเรียนการสอนโดยที่ผูเ้ รียนจะไดเ้ รียนรู้จากการบา้ นท่ีไดร้ ับผา่ นการเรียน ด้วยตนเองจากส่ือวิดีทศั น์ (Video) นอกช้ันเรียนหรือท่ีบา้ น ส่วนการเรียนในช้ันเรียนปกติน้ันจะเป็ น

12 การเรียนแบบสืบคน้ หาความรู้ท่ีได้รับร่วมกันกับเพื่อนร่วมช้นั โดยมีครูเป็ นผูค้ อยให้ความช่วยเหลือ ช้ีแนะ วิจารณ์ พานิช (2556) ไดอ้ ธิบายความหมายของห้องเรียนกลบั ดา้ นไวว้ า่ ห้องเรียน กลบั ดา้ นเป็น กระบวนการเรียนการสอนรูปแบบหน่ึงซ่ึงเปล่ียนจากการใชช้ ่วงเวลาของการบรรยาย เน้ือหา (Lecture) ในหอ้ งเรียนมาเป็นการทากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อฝึ กแกโ้ จทยป์ ัญหาและประยกุ ตใ์ ชจ้ ริง ส่วนการบรรยายจะ อยู่ในช่องทางอ่ืน ๆ เช่น วีดีโอ วีดีโอออนไลน์ ฯลฯ ซ่ึงผเู้ รียนเขา้ ถึงไดเ้ ม่ืออยูท่ ่ีบา้ นหรือนอกห้องเรียน ดังน้ัน การบา้ นท่ีเคยมอบหมายให้กบั ผูเ้ รียนฝึ กทาเองนอกห้องจะกลายมาเป็ นส่วนหน่ึงของกิจกรรม ในหอ้ งเรียนและในทางกลบั กนั เน้ือหาที่เคยถ่ายทอดโดยการบรรยายใน หอ้ งเรียนจะถูกเปลี่ยนไปอยู่ใน รูปส่ือที่ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้เองท่ีบา้ นหรือที่อ่ืน ๆ จันทิมา ปัทมธรรมกุล (2556) ได้ให้ความหมายของห้องเรียนกลับด้านไว้ว่าคือ กระบวน การเรียนการสอนรูปแบบหน่ึงซ่ึงเปล่ียนการใช้ช่วงเวลาของการบรรยายเน้ือหาในห้องเรียน มาเป็ น การทากิจกรรมตา่ ง ๆ เพือ่ ฝึกแกโ้ จทยป์ ัญหา และประยกุ ตใ์ ชจ้ ริง ส่วนการบรรยายจะอยใู่ น ช่องทางอื่นๆ เช่น วิดีโอ วิดีโอออนไลน์ podcasting หรือ screen casting ฯ ซ่ึงนักเรียนสามารถ เขา้ ถึงไดเ้ มื่อยู่ท่ีบา้ น หรือนอกห้องเรียน ดังน้ัน การบ้านท่ีเคยมอบหมายให้นักเรียนฝึ กทาเองนอกห้องจะกลายมาเป็ น ส่วนหน่ึงของกิจกรรมในห้องเรียน และในทางกลบั กนั เน้ือหาท่ีเคยถ่ายทอดผา่ นการบรรยายในช้นั เรียน จะเปลี่ยนไปอยู่ในสื่อที่นกั เรียนอ่าน ฟัง ดู ไดเ้ องท่ีบา้ นหรือท่ีไหนๆ ก็ตาม ผูส้ อนอาจทิ้งโจทย์ หรือให้ นักเรียนสรุปความเน้ือหาน้ัน ๆ เพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียน และมาอภิปรายหรือปฏิบตั ิจริง ในหอ้ งเรียน จากความหมายท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้ยึดความหมายของห้องเรี ยนกลับด้านจาก จนั ทิมา ปัทมธรรมกุล โดยสามารถสรุปไดว้ า่ ห้องเรียนกลบั ดา้ น คือ รูปแบบการเรียนการสอนที่เปล่ียน การใชช้ ่วงเวลาของการบรรยายเน้ือหาในห้องเรียนมาเป็ นการทากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อฝึ กแกโ้ จทยป์ ัญหา และประยุกตใ์ ชจ้ ริง ส่วนการบรรยายจะอยูใ่ นช่องทางอ่ืน ๆ เช่น วิดีโอ วิดีโอออนไลน์ podcasting หรือ screen casting ซ่ึงนักเรียนสามารถเข้าถึงได้เม่ือยู่ที่บ้านหรือนอกห้องเรียน ดังน้ัน การบ้านที่เคย มอบหมายให้นกั เรียนฝึ กทาเองนอกห้องจะกลายมาเป็ นส่วนหน่ึงของกิจกรรมในห้องเรียน และในทาง กลบั กัน เน้ือหาที่เคยถ่ายทอดผ่านการบรรยายในช้ันเรียนจะเปล่ียนไปอยู่ในสื่อที่นักเรียนอ่าน ฟัง ดู ได้เองที่บา้ นหรือท่ีไหน ๆ ก็ตาม ผูส้ อนอาจทิ้งโจทย์ หรือให้นักเรียนสรุป ความเน้ือหาน้ัน ๆ เพ่ือ ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรียน และน ามาอภิปรายหรือปฏิบตั ิจริงในหอ้ งเรียน 2.2 แนวคดิ เกย่ี วกบั การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ด้าน การจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น ไดม้ ีนกั การศึกษาหลายท่านไดก้ ล่าวแนวคิดเก่ียวกบั หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น ดงั น้ี

13 พชั ฎา บุตระถาวร (2558; อ้างอิงจาก วิจารณ์ พานิช. 2556) ได้อธิบายว่า ห้องเรียนกลบั ด้าน เป็ นการเรียนเน้ือหาวิชาที่บา้ นแต่มาทาการบา้ นที่โรงเรียน หรืออีกนัยหน่ึงคือรับการถ่ายทอดความรู้ มาจากท่ีบา้ น แลว้ มาสร้างความรู้ต่อยอดจากที่ได้รับมาให้เป็ นความรู้ท่ีสอดคล้องกับชีวิต ทาให้เกิด การเรียนรู้ เกิดทกั ษะท่ีเรียกว่า “ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21” ซ่ึงใช่เฉพาะนกั เรียนเท่าน้นั ท่ีเรียนรู้กลบั ทาง ครูผูส้ อนก็ตอ้ งสอนกลบั ทางเช่นเดียวกนั ซ่ึงครูเป็ นผูจ้ ดั การการสอนแบบกลบั ทาง คือ จากท่ีเคยสอน เน้ือหาวิชาน้ันหน้าช้นั เรียน เปลี่ยนมาเป็ นสอนโดยผ่านวีดีทศั น์ หรือสื่อ การสอนต่างๆ ที่ครูสร้างข้ึน หรือสิ่งอ่ืนๆ ที่มีอยู่แลว้ นามาประยุกตใ์ ชใ้ นการเรียนการสอน โดยใหน้ กั เรียนไปเรียนรู้ท่ีบา้ นหรือท่ีอื่น นอกเวลาเรียนแลว้ ใช้เวลาเรียนในห้องเรียนเพ่ือฝึ กทาแบบฝึ กหัด หรือลงมือปฏิบตั ิเพ่ือฝึ กทกั ษะและ กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การตอบคาถาม การอภิปราย หรือสรุปเน้ือหาที่นกั เรียนไดเ้ รียนรู้มาท้งั หมด โดยใน ชว่ั โมงเรียน ครูจะทาหนา้ ที่เป็นผฝู้ ึ กให้นกั เรียนสามารถประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ท่ีไดเ้ รียนมาสร้างองคค์ วามรู้ ดว้ ยตนเอง ซ่ึงในช้นั เรียนจะเร่ิมดว้ ยการทบทวนวีดีทศั น์ และตอบคาถามจากสิ่งท่ีไม่เขา้ ใจหลงั ดูวีดีทศั น์ ซ่ึงจะทาให้ครูรู้ว่านักเรียนเขา้ ใจผิดในเรื่องใด และจะไดแ้ ก้ไขความเขา้ ใจผิดน้ัน หลงั จากน้ันครูจะ มอบหมายให้นักเรียนทางาน โดยอาจจะเป็ นการปฏิบัติการทดลอง (Lab) หรือเป็ นกิจกรรมคน้ ควา้ โครงงานหรือกิจกรรมแก้ปัญหา ฝึ กทักษะ หรือการทดสอบ ซ่ึงจะมีเวลามากพอในการทาหลาย ๆ กิจกรรม ในส่วนของการใหค้ ะแนนการทดสอบ ยงั คงเหมือนเดิมท่ีสอนแบบปกติ Bergmann; & Sams (2013) ได้กล่าวว่า ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ ห้องเรียนกลบั ดา้ นน้นั บทบาทของครูผสู้ อนจะเปลี่ยนจากเดิมอยา่ งสิ้นเชิง คือ ครูจะไม่ใช่ผูถ้ ่ายทอด ความรู้แต่จะมีบทบาทคลา้ ยกบั ติวเตอร์ หรือผฝู้ ึกหัดโดยต้งั คาถามกระตุน้ ให้นกั เรียนอยากรู้อยากเห็น และเกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดความกระตือรือร้นและสนุกสนานไปกับการได้ตอบคาถามและ เรียนรู้ และเป็ นผูอ้ านวยความสะดวกในการจดั การเรียนการสอนดว้ ย โดยครูจะใชเ้ วลาสาหรับการ มีปฏิสัมพนั ธ์กบั นักเรียน ทาให้นักเรียนท่ีเรียนช้า ไม่ทนั เพ่ือนร่วมห้องได้รับการเอาใจใส่ ซ่ึงจาก การจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ด้านในรายวิชาเคมีของ Bergmann และ Sams น้ันจะมีเวลาใน การทากิจกรรมการเรียนรู้ใหน้ กั เรียนมากกวา่ และประหยดั เวลามากกวา่ การเรียนเรียนแบบเดิม ซ่ึงการ ท่ีให้นักเรียนเรียนรู้เน้ือหาล่วงหน้าท่ีบา้ นมาแลว้ มาพูดคุยกนั ในช้นั เรียนน้นั จะทาให้นกั เรียนเรียนรู้ ไดด้ ีข้ึน เร็วข้นึ เหลือเวลาสาหรับเติมส่ิงอ่ืน ๆ ใหน้ กั เรียนโดยเฉพาะทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ จากแนวคิดเก่ียวกบั ห้องเรียนกลบั ดา้ นที่กล่าวมาขา้ งตน ผวู้ ิจยั ไดย้ ดึ แนวคิดตาม Bergmann และ Sams ซ่ึงสามารถสรุปไดว้ ่า การจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ นเป็ นการสอน แบบพลิก กลบั โดยเปล่ียนจากการสอนหน้าช้ันเรียนที่ครูถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนหน้าช้ันเรียน และ มอบหมายการบา้ นให้นักเรียนกลบั ไปทาที่บา้ น เป็ นการสอนโดยให้นักเรียนกลบั ไปเรียนเน้ือหา ผ่านสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ท่ีครูจดั หาให้หรือท่ีนกั เรียนสามารถเรียนรู้ไดเ้ องท่ีบา้ นหรือท่ีอ่ืน ๆ แต่ใน ชวั่ โมงเรียนนกั เรียนจะไดท้ ากิจกรรม ทาแบบฝึกหดั ตา่ ง ๆ โดยมีครูเป็นผคู้ อยดูแลใหค้ าแนะนา

14 2.3 ข้อเปรียบเทยี บของการเรียนแบบเดิมกบั การเรียนแบบกลบั ด้าน สุรศกั ด์ิ ปาเฮ (2556) ไดก้ ล่าวถึงขอ้ สรุปเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบของการจดั การเรียนการ สอนแบบห้องเรี ยนกลับด้าน (Flipped Learning) กับรู ปแบบการจัดการเรี ยนการสอนแบบเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือ การจัดการเรี ยนการสอนแบบห้องเรี ยนกลับด้านน้ันจะมุ่งเน้น การสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตวั ผูเ้ รียนเองตามทกั ษะความรู้ ความสามารถและสติปัญญา ของเอกัต บุคคล (Individualized Competency) ตามศักยภาพทางการเรี ยนแต่ละคน (Self-Paced) จากมวล ประสบการณ์ที่ครูจัดให้ผ่านสื่อเทคโนโลยี ICT หลากหลายประเภทในปัจจุบัน และเป็ นลักษณะ การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกช้ันเรียนอย่างอิสระท้งั ด้าน ความคิดและวิธีปฏิบตั ิ ซ่ึงแตกต่างจาก การเรียน ภาพประกอบ 2 แสดงการเปรียบเทียบห้องเรียนแบบเดมิ กบั ห้องเรียนกลบั ด้าน ท่ีมา: http://www.uw.edu/teaching.pdf. แบบเดิมที่ครูจะเป็ นผู้ป้อนความรู้และประสบการณ์ให้ผูเ้ รียนในลักษณะของครูเป็ นศูนย์กลาง (Teacher Center) ดังน้ัน การสอนแบบกลับทางจะเป็ นการเปลี่ยนแปลงบทบาทของครูอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ครูไม่ใช่ผูถ้ ่ายทอดความรู้แต่จะมีบทบาทเป็ นติวเตอร์ (Tutors) หรือโค้ช (Coach) ที่จะเป็ น ผจู้ ุดประกายและสร้างความสนุกสนานในการเรียน รวมท้งั เป็นผอู้ านวยความสะดวกในการเรียน (Facilitators) ในช้นั เรียนน้นั ๆ ขอ้ เปรียบเทียบดา้ นตวั อยา่ งของกิจกรรมและเวลา ระหวา่ งการเรียนแบบเดิมกบั หอ้ งเรียน กลบั ดา้ น มีดงั ภาพประกอบ 3

15 ภาพประกอบ 3 แสดงการเปรียบเทียบกจิ กรรมและเวลาเรียนระหว่างห้องเรียนแบบเดิม กบั ห้องเรียนกลบั ด้าน ทมี่ า : วจิ ารณ์พานิช. (2556). ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลบั ทาง. 2.4 องค์ประกอบของการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนแบบกลบั ด้าน การจดั การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ น เป็ นนวตั กรรมการเรียนการสอนรูปแบบ ใหม่ ในการสร้างผเู้ รียนให้เกิดการเรียนรู้แบบรอบดา้ นหรือ Mastery Learning น้นั ไดม้ ีนกั การศึกษา ไดก้ ล่าวถึงองคป์ ระกอบของการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น ดงั น้ี Gerstein (2013) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ประกอบไปด้วย องค์ประกอบสาคัญ 4 องค์ประกอบท่ีเกิดข้ึนเป็ นวฏั จักร (Cycle) หมุนเวียนกันอย่างเป็ นระบบ ซ่ึงองคป์ ระกอบท้งั 4 ท่ีเกิดข้นึ ไดแ้ ก่ 1. การกาหนดยทุ ธวิธีเพม่ิ พูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) โดยมี ครูผสู้ อนเป็นผชู้ ้ีแนะวธิ ีการเรียนรู้ใหก้ บั ผเู้ รียนเพอ่ื เรียนเน้ือหาโดยอาศยั วิธีการท่ีหลากหลายท้งั การใช้ กิจกรรมท่ีกาหนดข้ึนเอง เกม สถานการณ์จาลอง สื่อปฏิสมั พนั ธ์ การทดลอง หรืองานดา้ นศิลปะแขนง ต่าง ๆ 2. การสืบคน้ เพ่ือให้เกิดมโนทศั น์รวบยอด (Concept Exploration) โดยครูผสู้ อนเป็น ผคู้ อยช้ีแนะใหก้ บั ผเู้ รียนจากส่ือหรือกิจกรรมหลายประเภท เช่น สื่อประเภทวดิ ีโอบนั ทึกการบรรยาย การใชส้ ่ือบนั ทึกเสียงประเภท Podcasts การใชส้ ื่อ Websites หรือสื่อออนไลน์ Chats 3. การสร้างองคค์ วามรู้อยา่ งมีความหมาย (Meaning Making) โดยผเู้ รียนเป็น ผบู้ รู ณาการการ สร้างทกั ษะองคค์ วามรู้จากสื่อท่ีไดร้ ับจากการเรียนรู้ดว้ ยตนเองโดยการสร้าง กระดานความรู้อิเลก็ ทรอนิกส์ (Blogs) การใชแ้ บบทดสอบ การใชส้ ่ือสงั คมออนไลน์ และกระดาน สาหรับอภิปรายแบบออนไลน์ (Social Networking & Discussion Boards)

16 4. การสาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration & Application) เป็ นการสร้างองค์ ความรู้โดย ผูเ้ รียนเองในเชิงสร้างสรรค์ โดยการจดั ทาเป็ นโครงงาน และผ่านกระบวนการนาเสนอ ผลงานท่ีเกิดจากการรังสรรคง์ านเหลา่ น้นั Model หรือตวั แบบของการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ นท่ี กล่าวไวใ้ นเบ้ืองตน้ น้นั สามารถกาหนดเป็นภาพเชิงกราฟิ ก ดงั ตอ่ ไปน้ี ภาพประกอบ 4 แสดงโมเดลห้องเรียนแบบกลบั ด้าน (Flipped Classroom Model) ทีม่ า : http://www.google.go.th/imgres?imgrurl=http://1.bp.blogspot.com/Pprl จากองคป์ ระกอบขอการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นที่ไดก้ ล่าวมาขา้ งตน้ สามารถสรุป ไดว้ า่ การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นมีองคป์ ระกอบสาคญั 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1. การก าหนดยทุ ธวิธีเพ่มิ พูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) 2. การสืบคน้ เพ่ือใหเ้ กิดมโนทศั น์รวบยอด (Concept Exploration) 3. การสร้างองคค์ วามรู้อยา่ งมีความหมาย (Meaning Making) 4. การสาธิตและประยกุ ตใ์ ช้ (Demonstration & Application) 2.5 ประโยชน์ท่ีเกดิ จากการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน Jonathan Bergmann และ Aaron Sams (2012) ไดก้ ล่าวถึงประโยชน์ที่เกิดจากการ จดั การเรียนรู้ แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น ดงั น้ี 1. เพ่อื เปลี่ยนวธิ ีการสอนของครู จากการบรรยายหนา้ ช้นั เรียนหรือจากครูสอนไปเป็น ครูฝึก ฝึกการทาแบบฝึกหดั หรือทากิจกรรมอื่นในช้นั เรียนใหแ้ ก่ศิษยเ์ ป็นรายบุคคล หรืออาจ เรียกวา่ เป็น “ครูติวเตอร์”

17 2. เพ่ือใชเ้ ทคโนโลยีการเรียนที่เด็กสมยั ใหม่ชอบโดยใช้ส่ือ ICT ซ่ึงกล่าวไดว้ ่าเป็ นการนาโลก ของโรงเรียนเขา้ สู่โลกของนกั เรียนซ่ึงเป็นโลกยคุ ดิจิตลั 3. ช่วยเหลือเด็กที่มีงานย่งุ เด็กสมยั น้ีมีกิจกรรมมากดงั น้นั จึงตอ้ งเขา้ ไปช่วยเหลือใน การจดั การ เรียนรู้โดยใชบ้ ทสอนที่สอนดว้ ยวีดีทศั น์อยู่บนอินเทอร์เน็ต (Internet) ช่วยให้เด็กเรียนไวล้ ่วงหนา้ หรือ เรียนตามช้นั เรียนไดง้ า่ ยข้ึน รวมท้งั เป็นการฝึกเดก็ ใหร้ ู้จกั การบริหารเวลาของตนเอง 4. ช่วยเหลือเด็กเรียนอ่อนให้ขวนขวายหาความรู้ ในช้ันเรียนปกติเด็กเหล่าน้ีจะถูก ทอดทิ้ง แตใ่ นหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น เด็กจะไดร้ ับการเอาใจใส่จากครูมากที่สุดโดยอตั โนมตั ิ 5. ช่วยเหลือเด็กท่ีมีความสามารถแตกต่างกันให้กา้ วหน้าในการเรียนตาม ความสามารถของ ตนเอง เพราะเด็กสามารถฟัง-ดูวีดีทศั น์ได้เองจะหยุดตรงไหนก็ได้ หรือเรียน หลาย ๆ รอบก็ไดต้ ามที่ ตนเองพงึ พอใจที่จะเรียน 6. ช่วยให้เด็กสามารถเรียนหลายๆ รอบกับครูของตนเองได้ ทาให้เด็กจดั เวลาเรียน ตามท่ี ตนพอใจ เบ่ือกห็ ยดุ พกั ได้ สามารถแบ่งเวลาในการดูเป็นช่วงได้ 7. ช่วยให้เกิดปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างเด็กกับครูเพ่ิมข้ึน ตรงกนั ขา้ มกับการท่ีเรียนแบบออนไลน์ การเรียนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ นยงั เป็นรูปแบบการเรียนที่นกั เรียนยงั คงมาโรงเรียนและนกั เรียนพบปะ กบั ครู หอ้ งเรียนกลบั ดา้ นเป็นการประสานการใชป้ ระโยชน์ระหวา่ งการเรียนแบบออนไลน์ และการเรียน แบบระบบพบหนา้ ช่วยเปล่ียนและเพ่ิมบทบาทของครูใหเ้ ป็นท้งั พี่เล้ียง (Mentor) เพ่ือนบา้ น (Neighbor) และผเู้ ชี่ยวชาญ (Expert) 8. ช่วยใหค้ รูรู้จกั นกั เรียนดีข้ึน หนา้ ที่ของครูไม่ใช่เพียงช่วยใหศ้ ิษยไ์ ดค้ วามรู้หรือเน้ือหา แต่ตอ้ ง กระตุน้ ให้เกิดแรงบนั ดาลใจ (Inspire) ให้กาลงั ใจ รับฟังและช่วยเหลือหรือส่งเสริม ผูเ้ รียนซ่ึงเป็ นมิติ สาคญั ท่ีจะช่วยเสริมพฒั นาการทางการเรียนของเด็ก 9. ช่วยเพิ่มปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันเองจากกิจกรรมทางการเรียนที่ ครูจัด ประสบการณ์ข้ึนมาน้ัน ผูเ้ รียนสามารถท่ีจะช่วยเหลือเก้ือกูลซ่ึงกนั และกันได้ดี เป็ นการปรับเปล่ียน กระบวนทศั น์ของนักเรียนท่ีเคยเรียนตามคาสั่งครูหรือทางานให้เสร็จตามกาหนด เป็ นการเรียนเพ่ือ ตนเองไม่ใช่คนอื่น ส่งผลต่อเด็กที่เอาใจใส่การเรียนและปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งนกั เรียน ดว้ ยกนั จะเพิ่มข้ึน โดยอตั โนมตั ิ 10. ช่วยให้เห็นคุณค่าของความแตกต่าง ตามปกติแล้วในช้ันเรี ยนเดียวกันจะมีเด็กท่ีมี ความแตกต่างกันมาก มีความถนัดและความชอบท่ีแตกต่างกัน ดังน้ันการจดั กิจกรรมการสอนแบบ หอ้ งเรียนกลบั ดา้ นจะช่วยใหค้ รูเห็นจุดอ่อนจุดแขง็ ของผเู้ รียนแต่ละคน

18 11. เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจดั การห้องเรียน ช่วยเปิ ดช่องใหค้ รูสามารถจดั การช้นั เรียน ไดต้ ามความตอ้ งการท่ีจะทา ครูสามารถทาหนา้ ท่ีของการสอนท่ีสาคญั ในเชิงสร้างสรรคเ์ พ่อื สร้างคุณภาพ แก่ช้นั เรียน ช่วยใหเ้ ดก็ รู้อนาคตของชีวิตไดด้ ีที่สุด 12. เปล่ียนคาสนทนากบั พอ่ แม่ ประสานความสัมพนั ธท์ ่ีดีระหวา่ งโรงเรียนกบั ผปู้ กครอง ซ่ึงการ รับทราบและแลกเปล่ียนความรู้ร่วมกนั จะทาใหเ้ ดก็ เกิดการเรียนรู้ที่ดีได้ 13. ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการจดั การศึกษา การใช้ห้องเรียนแบบกลบั ดา้ นโดยนาสาระ คาสอนไปไวใ้ นวีดีทัศน์นาไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เป็ นการเปิ ดเผยเน้ือหาสาระทางการเรียน ใหส้ าธารณชนไดท้ ราบ เป็นการสร้างความเชื่อมนั่ ในคณุ ภาพการเรียนการสอนใหผ้ ปู้ กครองทราบ จากประโยชน์ที่เกิดจากการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ นท่ีไดก้ ล่าวมาขา้ งตน้ สามารถ สรุปไดว้ ่า การจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ นจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนกั เรียน ตลอดเวลา ช่วยให้นักเรี ยนรู้จักบริ หา รเวลาข อง ตนเองใ ห้เหมาะสมและศึกษา เรี ย นรู้ไ ด้ตามศักยภาพข อง ตน สร้างปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างครูกับนักเรียนจากการทากิจกรรมในช้นั เรียน ทาให้ครูมองเห็นจุดแข็งและ จุดอ่อนของนกั เรียนแตล่ ะคน ครูสามารถใหค้ าแนะนาและช่วยเหลือนกั เรียนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 2.6 งานวิจัยทเี่ กย่ี วข้องกบั การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ด้าน พชั ฏา บุตรยะถาวร (2558) ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกบั ผลการสองของวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ น ด้วยการเรียนออนไลน์และวิธีการสอนแบบสืบเสาะเรื่องระบบไหลเวียนเลือด ท่ีมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนระหว่างวิธีการสอนแบบห้องเรียน กลบั ดา้ นดว้ ยการเรียนออนไลน์และวธิ ีการสอนแบบสืบเสาะ และศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรียนที่มีต่อ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ น โดยใช้กลุ่มตวั อย่างในการวิจยั คือ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ภาคเรี ยนท่ี 2 ปี การศึกษา 2557 โรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ปทุมธานี จานวน 2 ห้อง ห้องละ 30 คน ผลการวิจยั พบว่า ประสิทธิภาพของวิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลบั ด้านดว้ ยการเรียน ออนไลน์มีค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑท์ ี่ก าหนด 80/80 ส่วนการสอนแบบสืบเสาะมีค่าประสิทธิภาพ เป็ นไปตามเกณฑ์ 80/80 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดว้ ยวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ นดว้ ยการเรียน ออนไลน์สูงกว่าวิธีการสอนแบบสืบเสาะอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 และความพึงพอใจของ นกั เรียนที่มีต่อวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ นดว้ ย การเรียนออนไลน์และวิธีการสอนแบบสืบเสาะ อยใู่ นระดบั มาก ลัทธพล ด่านสกุล (2558) ได้ศึกษาผลของการจัดการเรี ยนรู้แบบห้องเรี ยนกลับด้าน ดว้ ยพอดคาสตโ์ ดยใช้กลวิธีกากบั ตนเองท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองโครงสร้างการโปรแกรม และการกากบั ตนเอง โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางทางการเรียน เร่ือง โครงสร้าง

19 การสร้างโปรแกรมและการกากบั ตนเองระหวา่ งก่อนเรียนและหลงั เรียน 2. เพอ่ื พฒั นาเวบ็ ไซตพ์ อดคาสต์ สาหรับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ นโดยใชก้ ลวิธีกากบั ตนเอง และ 3. เพื่อเปรียบเทียบการกากับ ตนเองระหวา่ งก่อนเรียนและหลงั เรียน โดยกล่มุ ตวั อยา่ งที่ใชใ้ นการวจิ ยั คือ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษา ตอนปลาย ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557 ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง แบบกลุ่ม โดยการสุ่มมา 2 ห้องเรียน โดยแบ่งเป็ นกลุ่มหาประสิทธิภาพของเว็บไซต์พอดคาสต์ 1 ห้องเรียนและกลุ่มทดลองท่ีศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการกากบั ตนเองของนกั เรียนที่เรียนรู้ ดว้ ยวิธีการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น 1 ห้องเรียน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั คือ 1. แผนการ จดั การเรียนรู้ 2. เว็บไซตพ์ อดคาสต์ 3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน พบว่า 1. ประสิทธิภาพ ของเว็บไซต์พอดคาสต์สา หรั บการเรี ยนรู้ แบบห้องเ รี ยนกลับด้านโดยใช้กลวิธี การกา กับต น เ อ ง เรื่องโครงสร้างโปรแกรม มีค่าเท่ากบั 81.07/83.35 2. นักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ที่ เรียนรู้ดว้ ย การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นโดยใชก้ ลวธิ ีการกากบั ตนเองมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียน สูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 ลลั น์ลลิต เอี่ยมอานวยสุข (2556) ไดศ้ ึกษาเรื่องการสร้างส่ือบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพา เร่ือง การเคล่ือนไหวในระบบดิจิตอลเบ้ืองตน้ โดยใชว้ ิธีการสอยแบบห้องเรียนกลบั ดา้ น โดยมีวตั ถุประสงค์ เพื่อสร้างและประเมินคุณภาพส่ื อบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ พกพาเรื่ องการเคล่ือนไหวในระบบดิ จิตอล เบ้ืองตน้ ท่ีใชว้ ิธีการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ น เพื่อหาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผเู้ รียน เพื่อประเมิน ความสามารถในการทางานของผูเ้ รียน และเพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผูเ้ รียนที่มีต่อการเรียนดว้ ยสื่อ บนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาเร่ืองการเคลื่อนไหวในระบบดิจิตอลเบ้ืองตน้ โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรี ยนกลับด้าน โดยกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย คือ นิสิตวิทยาลัยนวัตกรรมส่ือสารสังคม มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒที่เรียนวิชาการเคลื่อนไหวในระบบดิจิตอล เบ้ืองตน้ จานวน 30 คน พบวา่ การประเมินด้านเน้ือหามีคุณภาพอยู่ในระดับดี ผูเ้ รียนมีคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 ผลจากการประเมินความสามารถในการทางานของผเู้ รียนเม่ือนามา เปรียบเทียบกบั เกณฑท์ ี่กาหนดไว้ พบว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ผลการ ประเมินความพึงพอใจของผูเ้ รียนที่มีต่อ ส่ือบนคอมพิวเตอร์พกพาเรื่องการเคล่ือนไหวในระบบ ดิจิตอลเบ้ืองตน้ ท่ีใช่วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลบั ดา้ นอยใู่ นระดบั มาก Chipps (2012) ได้ศึกษาประสิทธิผลของการใช้วิดีโอการเรียนการสอนออนไลน์โดยใช้ รูปแบบการเรียนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ น ในกลุ่มที่มีการแกป้ ัญหาเรื่อง แคลคูลสั พบว่าการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลบั ดา้ นให้การสนบั สนุนมากข้ึนกว่าการเรียนแบบด้งั เดิมและเน้นความสาคัญของ

20 เน้ือหาและความเขา้ ใจอย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลบั ด้านมี ศกั ยภาพเพียงพอที่จะทาใหน้ กั เรียนเรียนรู้ไดด้ ีข้นึ Johnson (2013) ไดศ้ ึกษาเรื่องการรับรู้ของนักเรียนในห้องเรียนกลบั ดา้ น ซ่ึงวิธีการสอนแบบ หอ้ งเรียนกลบั ดา้ นเป็นวธิ ีการสอนที่สามารถลดปริมาณการเรียนการสอนไดโ้ ดยตรง และทาใหม้ ีเวลาใน การที่จะลงมือปฏิบตั ิได้มากข้ึน โดยเป็ นวิธีท่ีใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมาช่วยทาให้สามารถจัด กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีนักเรียนสามารถเรียนออนไลน์ได้ โดยกลุ่มตวั อย่างที่ใช้ในการวิจยั คือ นักเรียนระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลายท่ีเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จานวน 3 ห้องเรียน ท่ีให้เรียนดว้ ยวิธีการ สอนแบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น โดยให้นกั เรียนเรียนทางโซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยีทางอินเทอร์เน็ตและ คอมพิวเตอร์ พบวา่ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ นช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนกั เรียนไดแ้ ละทาให้ การรับรู้ในเน้ือหาสูงข้ึน นกั เรียนมีความสุขและมีความพึงพอใจกบั วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลบั ดา้ น มากกวา่ การสอบแบบด้งั เดิม 3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นความสามารถของนกั เรียนในดา้ นต่าง ๆ ซ่ึงเกิดจากนกั เรียนไดร้ ับ ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครูโดยครูตอ้ งศึกษาแนวทางในการวดั และประเมินผล การสร้างเคร่ืองมือวดั ใหม้ ีคุณภาพน้นั ไดม้ ีผใู้ หค้ วามหมายของผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนไวด้ งั น้ี สมพร เช้ือพนั ธ์ (2547) สรุปวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ ความสาเร็จและ สมรรถภาพดา้ นต่าง ๆ ของผเู้ รียนที่ไดจ้ ากการเรียนรู้ อนั เป็นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึ กฝนหรือ ประสบการณ์ของแต่ละบคุ คลซ่ึงสามารถวดั ไดจ้ ากการทดสอบดว้ ยวิธีการต่าง ๆ ปราณีกองจินดา (2549) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสาเร็จ ที่ไดร้ ับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางดา้ น พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยงั ได้จาแนกผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ตามลักษณะของ วตั ถปุ ระสงคข์ องการเรียนการสอนท่ีแตกตา่ งกนั จากความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผูว้ ิจัยยึดความหมายตาม กระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงสามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ความสาเร็จท่ีใชท้ กั ษะในการกระทาการใด ๆ หรือตอ้ งอาศยั ความรู้ในวิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะ

21 3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2545; 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรี ยน หมายถึง แบบทดสอบท่ีใชว้ ดั ความรู้ ทกั ษะ และความสามารถทางวิชาการที่นกั เรียนไดเ้ รียนรู้มาแลว้ ว่า บรรลุผล สาเร็จตามจุดประสงคท์ ่ีกาหนดไวเ้ พยี งใด สิริพร ทิพยค์ ง (2545; 193) กลา่ ววา่ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ชุดคาถาม ท่ีมุ่งวดั พฤติกรรมการเรียนของนกั เรียนวา่ มีความรู้ ทกั ษะ และสมรรถภาพดา้ นสมองดา้ นต่าง ๆ ในเรื่อง ท่ีเรียนรู้ไปแลว้ สมพร เช้ือพันธ์ (2547; 59) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของขอ้ สอบท่ีใชว้ ดั ความสาเร็จ หรือความสามารถในการทากิจกรรมการเรียนรู้ของ นักเรียนที่เป็ นผลมาจากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนของครูผูส้ อนว่าผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่ต้งั ไวเ้ พยี งใด มากนอ้ ยเพียงใด จากความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ไดก้ ล่าวมา ผวู้ ิจยั สามารถสรุปได้ ว่า แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบท่ีใช้วดั ความรู้ ความสามารถ ทางวิชาการที่นกั เรียนไดเ้ รียนรู้มาแลว้ วา่ บรรลผุ ลสาเร็จตามจุดประสงคท์ ่ีกาหนดไวเ้ พียงใด 3.3 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมีหลายประเภท โดยนกั การศึกษาไดแ้ บ่ง ประเภทของ แบบทดสอบไวด้ งั น้ี ลว้ น สายยศ (2559) ไดแ้ บง่ ประเภทของแบบทดสอบ ดงั น้ี 1. แบบทดสอบความเรียง (Subjective or Essay test) เป็ นข้อสอบที่มีเฉพาะคาถาม แล้วให้ นกั เรียนเขียนตอบอยา่ งเสรี เขียนบรรยายตามความรู้และเขียนขอ้ คิดเห็นของแต่ละคน 2. แบบทดสอบถูก - ผิด (True - false test) เป็นขอ้ สอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตวั เลือก แต่ตวั เลือก ดังกล่าวเป็ นแบบคงท่ีและมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก - ผิด ใช่ -ไม่ใช่ จริ ง – เท็จ เหมือนกนั - ตา่ งกนั เป็นตน้ 3. แบบทดสอบเติมคา (Completion test) เป็นขอ้ สอบที่ประกอบดว้ ยประโยค หรือ ขอ้ ความท่ียงั ไม่สมบูรณ์แลว้ ให้ตอบเติมคาหรือประโยค หรือขอ้ ความลงในช่องว่างที่เวน้ ไวน้ ้ันเพื่อให้มีใจความ สมบรู ณ์และถูกตอ้ ง 4. แบบทดสอบจบั คู่ (Matching test) เป็นขอ้ สอบแบบเลือกตอบชนิดหน่ึงโดยมีคา่ หรือ ขอ้ ความ แยกออกจากกนั เป็น 2 ส่วน แลว้ ให้ผตู้ อบเลือกจบั คู่วา่ แต่ละขอ้ ความในชุดหน่ึงจะคู่กบั คาหรือ ขอ้ ความ ใดในอีกชุดหน่ึงซ่ึงมีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงตามที่ผอู้ อกขอ้ สอบกาหนดไว้

22 5. แบบทดสอบเลือกตอบ (Multiple choice test) คาถามแบบเลือกตอบโดยทว่ั ไปจะประกอบดว้ ย 2 ตอน คือ ตอนนาหรือคาถาม (Stem) กบั ตวั เลือก (Choice) ในตวั เลือกน้นั จะประกอบดว้ ยตวั เลือกที่เป็น คาตอบถูกและตวั เลือกลวง ปกติจะมีคาถามที่กาหนดให้พิจารณาแลว้ หาตวั เลือกที่ถูกตอ้ งมากท่ีสุดเพียง ตวั เลือกเดียวจากตวั เลือกอ่ืน ๆ และคาถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ ตวั เลือกที่ใกลเ้ คยี งกนั จากประเภทของแบบทดสอบที่ได้กล่าวมาขา้ งตน้ ผูว้ ิจยั ไดส้ ร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร เป็นแบบ เลือกตอบ จานวน 20 ขอ้ 20 คะแนน โดยหน่ึงคาถามมี 4 ตวั เลือก ซ่ึงมีคาตอบท่ีถูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งขอ้ เดียว 3.4 การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ตามแนวคิดของบลูม ล้วน สายยศ (2539) ได้กล่าวถึง การออกแบบขอ้ สอบแบบปรนัยตาม แนวคิดลาดบั ข้นั ของบลมู ดงั น้ี 1. ด้านความรู้ความจา หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงส่ิงท่ีเคยเรียนรู้มาแลว้ เก่ียวกบั ขอ้ เทจ็ จริง ศพั ทน์ ิยาม มโนทศั น์ขอ้ ตกลง การจดั ประเภท เทคนิควธิ ีการ หลกั การ กฎ ทฤษฎี และแนวคิด ท่ีสาคัญทางด้านวิทยาศาสตร์ นักเรี ยนที่มีความสามารถในด้านน้ีจะแสดงออกโดยสามารถให้ คาจากัดความหรื อนิยาม เล่าเหตุการณ์จดบันทึก เรี ยกชื่อ อ่านสัญลักษณ์ และระลึกข้อสรุปได้ การวดั พฤติกรรมดา้ นความรู้ความจาลกั ษณะของขอ้ สอบจะถามเกี่ยวกบั ความรู้ความจา ไม่เกินร้อยละ ยส่ี ิบของขอ้ สอบท้งั หมด 2. ดา้ นความเขา้ ใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย การแปลความ การตีความ สร้างขอ้ สรุป ขยายความ นกั เรียนมีความสามารถในดา้ นน้ีจะแสดงออกโดยสามารถเปรียบเทียบ แสดงความสัมพนั ธ์ การอธิบายช้ีแนะ การจาแนกเข้าหมวดหมู่ ยกตัวอย่าง ให้เหตุผล จับใจความ เขียนภาพประกอบ ตดั สินเลือก แสดงความเห็น อ่านกราฟแผนภมู ิและแผนภาพได้ 2.1 พฤติกรรมความเขา้ ใจ แบ่งออกเป็น 3 ระดบั 2.1.1 ความสามารถอธิบายความเขา้ ใจต่าง ๆไดด้ ว้ ยตนเอง 2.1.2 ความสามารถจาแนกหรือระบคุ วามรู้ไดเ้ มื่อปรากฏในสถานการณ์ใหม่ 2.1.3 ความสามารถแปลความรู้จากสัญลกั ษณ์หน่ึงไปสู่อีกสัญลกั ษณ์หน่ึง 2.2 การวดั พฤติกรรมความเขา้ ใจ ลกั ษณะของขอ้ สอบจะถามให้นกั เรียนอธิบายหรือบรรยายความรู้ต่าง ๆ ดว้ ยคาพูดของ ตวั เองหรือให้ระบุขอ้ เท็จจริง มโนทศั น์หลกั การ กฎ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้ งกบั สถานการณ์ท่ีกาหนดให้ หรือให้แปลความหมายสถานการณ์ที่กาหนดให้ ซ่ึงอาจอยู่ในรูปของขอ้ ความ สัญลกั ษณ์รูปภาพ หรือ แผนภาพ เป็นตน้

23 3. ดา้ นการนาไปใชเ้ ป็นการวดั ความสามารถดา้ นการนาเอาความรู้ความเขา้ ใจมาประยกุ ตใ์ ชห้ รือ แกป้ ัญหาในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใหม่ได้อย่างเหมาะสม การเขียนคาถามในระดบั น้ี อาจเขียน คาถามความสอดคลอ้ งระหว่างวิชาและการปฏิบตั ิถามให้อธิบายหลกั วิชา ถามใหแ้ กป้ ัญหา ถามเหตุผล ของภาคปฏิบตั ิ 4. ด้านการวิเคราะห์เป็ นการวดั ความสามารถในการแยกแยะหรือแจกแจง รายละเอียดของ เรื่องราว ความคิด การปฏิบตั ิออกเป็ นระดบั ย่อย ๆ โดยอาศยั หลกั การหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพ่ือคน้ พบ ขอ้ เท็จจริงและคุณสมบตั ิบางประการ คาถามระดบั การวิเคราะห์แบ่งออก 3 ประเภท คือ การวิเคราะห์ ความสาคญั การวิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ และการวิเคราะห์หลกั การ 5. ดา้ นการวดั และประเมินค่า เป็ นการวดั ความสามารถในดา้ นการสรุปค่าหรือตีราคา เกี่ยวกบั เร่ืองราว ความคิด พฤติกรรมวา่ ดี - เลว เหมาะสม - ไม่เหมาะสม เพ่ือหาจุดประสงคบ์ างประการมาอา้ ง โดยใชเ้ กณฑภ์ ายในและการประเมินโดยใชเ้ กณฑภ์ ายนอก 6. ด้านการคิดสร้างสรรค์เป็ นการวดั ความสามารถในการรวบรวมและผสมผสานในด้าน รายละเอียด หรือเรื่องราวปลีกย่อยของขอ้ มูล สร้างเป็นส่ิงใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ความสามารถดงั กล่าว เป็นพ้นื ฐานของความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ จากแนวคิดลาดบั ข้นั ของบลูมดงั กล่าว ผูว้ ิจยั ไดส้ ร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร จานวน 20 ขอ้ ซ่ึง ประกอบไปดว้ ยการวดั 4 ดา้ น คอื ความรู้ความจา ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ และการวเิ คราะห์ 3.5 งานวจิ ัยที่เกยี่ วข้องกบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เนตรนภา เกียรติสมกิจ (2551) ไดศ้ ึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา เคมี เร่ือง พนั ธะเคมี และความสามารถทางทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันบูรณาการของ นักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปี ที่ 4 ที่เรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD และเรียนด้วยวิธีปกติ พบว่า ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวิชาเคมีเรื่อง พนั ธะเคมี ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ที่เรียนแบบ ร่วมมือโดยใชเ้ ทคนิค STAD กบั เรียนดว้ ยวธิ ีปกติ แตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั ส าคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 และทกั ษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ข้นั บูรณาการของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ระหว่าง กลุ่มท่ีเรียนแบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิค STAD และเรียนดว้ ยวิธีปกติแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั ส าคญั ทาง สถิติที่ระดบั .05 นิพทั ธา ชยั กิจ (2551) ไดศ้ ึกษาเร่ืองการศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และแรงจูงใจ ในการเรียนวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ ายมธั ยม) ผลการวิจยั พบวา่ นกั เรียนท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ แบบสรรคส์ ร้างความรู้กบั

24 นกั เรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะแสวงหาความรู้ มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และมีแรงจูงใจในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์แตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 ขุนทอง คลา้ ยทอง (2554) ไดศ้ ึกษาเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในวิชาเคมี 1 และ ความสามารถในการคิดแกป้ ัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ที่ไดร้ ับการจดั การ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนิคการแข่งขนั ระหวา่ งกลุ่มแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ข้นั ผลการวิจยั พบวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการคิดแกป้ ัญหาทางวิทยาศาสตร์ในวชิ าเคมี 1 ของนกั เรียน ท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคการแข่งขนั ระหว่างกลุ่มและแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ข้นั หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 ส่วนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนใน วิชาเคมี 1 และความสามารถในการคิดแกป้ ัญหาทางวิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนิคการแข่งขนั ระหวา่ งกลุ่มแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ข้นั ไม่แตกต่างกนั 4. กระบวนการแก้โจทย์ปัญหา 4.1 การแก้ปัญหา 4.1.1 ความหมายของการแก้ปัญหา ประพนั ธ์ศิริ สุเสารัจ (2543) ได้ให้ความหมายของการคิดแก้ปัญหาไวว้ ่า เป็ นการพิจารณา ไตร่ตรองอย่างพินิจพิเคราะห์ถึงส่ิงต่าง ๆ ท่ีเป็ นปมประเด็นสาคัญของเร่ืองราวส่ิงต่าง ๆ ท่ีก่อกวน สร้างความราคาญ ย่งุ ยาก ความสับสน และความวิตกกงั วล โดยพยายามที่จะหาทางคล่ีคลายส่ิงเหล่าน้นั ให้ปรากฏ และหาหนทางขจดั ปัดเป่ าส่ิงท่ีเป็ นปัญหาที่ก่อความราคาญ ความยุ่งยากสับสันให้หมดไป อยา่ งมีข้นั ตอน กรมวิชาการ (2546) ไดก้ ล่าวถึง การแกป้ ัญหาว่าเป็ นการหาค าตอบของปัญหาท่ียงั ไม่รู้วิธีท่ีจะ แกม้ าก่อนท้งั เน้ือหาในวิทยาศาสตร์โดยตรงและปัญหาในชีวิตประจาวนั โดยใช้เทคนิควิธีการหรือ กลยทุ ธต์ ่างๆ สามารถสรุปไดว้ ่า การแกโ้ จทยป์ ัญหาเป็ นการคิดหาหนทางในการแกส้ ่ิงที่เป็ นปัญหา ท่ีสร้าง ความราคาญ ความยงุ่ ยาก ความสับสน หรือคาตอบของปัญหาโดยใชว้ ิธีการตา่ ง ๆ 4.2 โจทย์ปัญหา 4.2.1 ความหมายของโจทย์ปัญหา สนิท ศิริ (2536) ไดใ้ ห้ความหมายของโจทยป์ ัญหาไวว้ ่า หมายถึง สภาพปัญหาซ่ึง ประกอบดว้ ย จานวนและตวั เลข ตลอดจนคาห้อมลอ้ มท่ีก่อให้เกิดปัญหา ซ่ึงนกั เรียนจะตอ้ งตดั สินใจว่าจะใชว้ ิธีการ อะไรมาแกป้ ัญหาน้นั ๆ

25 วราลกั ษณ์ อินต๊ะวงศ์ (2539) ไดใ้ ห้ความหมายของโจทยป์ ัญหาไวว้ ่า หมายถึง สถานการณ์ที่ ประกอบด้วยจานวน ตัวเลข และข้อความที่ก่อให้เกิดปัญหา ผูเ้ รียนต้ังตัดสินใจเลือกใช้วิธีการ ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาแกป้ ัญหาควบคกู่ นั ไป ซ่ึงตอ้ งใชค้ วามสามารถในการคานวณ ความรู้ ความเข้าใจ ในการอ่านโจทย์ประกอบกับการพิจารณาโดยมีวิธีคิดเป็ นกระบวนการตามลาดับข้ัน มีการวางแผนตดั สินเพื่อแกป้ ัญหา จากการศึกษาสามารถสรุปไดว้ ่า โจทยป์ ัญหา หมายถึง สภาพปัญหา เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ หรือคาถามท่ีตอ้ งการแกไ้ ข ซ่ึงประกอบดว้ ยคานวณ และตวั เลข รวมถึงคาห้อมลอ้ ม ที่ก่อให้เกิดปัญหา ซ่ึงจะตอ้ งตดั สินใจวา่ จะใชว้ ธิ ีใดมาแก้ 4.3 กระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของ Polya สุภิญ พิทกั ษ์ศกั ด์ิดากร (2541; อา้ งอิงจาก Polya. 1957) ไดเ้ ป็ นตน้ แบบในเรื่องการ แกโ้ จทย์ ปัญหาทางคณิตสาสตร์ ไดเ้ สนอข้นั ตอนการแกโ้ จทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตร์ไว้ 4 ข้นั ตอน ดงั น้ี ข้ันที่ 1 ทาความเข้าใจโจทยป์ ัญหา (Understanding the problem) การเรียนการสอน แก้โจทย์ ปัญหาจะเร่ิมจากการนาโจทยป์ ัญหามาให้นกั เรียนทาความเขา้ ใจโจทย์ โดยใหน้ กั เรียนอ่าน หรือพิจารณา โจทยป์ ัญหา และบอกรายละเอียดท้งั หมดตามความเขา้ ใจของนกั เรียน พิจารณา ลกั ษณะของคาตอบและ หาข้อมูลท่ีเก่ียวขอ้ ง การทาความเข้าใจโจทย์น้ี นักเรียนจาเป็ นต้องมีทักษะการจับใจความ ทักษะ การตีความ และทกั ษะการแปลความหมาย ดงั น้นั การจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ควรฝึ กใหน้ กั เรียน อ่านโจทยป์ ัญหาให้ถูกตอ้ งตามวรรคตอนของโจทยบ์ อกไดว้ ่าส่ิงที่โจทยก์ าหนดให้มีท้งั หมดกี่ตอน อะไรบา้ งและส่ิงท่ีโจทยต์ อ้ งการทราบคืออะไร ข้นั ที่ 2 วางแผนแกโ้ จทยป์ ัญหา (Devising a plan) การวางแผนแกป้ ัญหา เป็ นข้นั ตอนที่สาคญั ข้นั ตอนหน่ึง ซ่ึงครูผูส้ อนตอ้ งใชเ้ วลาและมีความละเอียดอ่อนในการจดั การเรียนการสอนพอสมควร ท้งั น้ีเพราะการวางแผนจะช่วยให้นกั เรียนประสบความสาเร็จในการแกป้ ัญหามากข้ึน การจดั กิจกรรม การเรียนการสอนตามข้นั ตอนน้ี ครูควรนาโจทยป์ ัญหาลกั ษณะต่าง ๆ ให้นักเรียนฝึ กการเรียนรู้ยุทธวิธี ในการแกป้ ัญหาอย่างหลายหลาย เพื่อจะไดเ้ ป็นขอ้ มูลในการวางแผนแกป้ ัญหาไดเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะ ของโจทยป์ ัญหาน้นั ๆ ข้นั ท่ี 3 ปฏิบตั ิตามแผน (Carrying out the plan) เมื่อนักเรียนได้ศึกษาทาความเขา้ ใจโจทยแ์ ละ วางแผนการแกป้ ัญหาแลว้ ข้นั ตอนต่อไปคือ การลงมือปฏิบตั ิตามแผนโดยการคานวณหาคาตอบและ แสดงวิธีทา ในการคิดคานวณหาคาตอบ นักเรียนจาเป็ นต้องมีทกั ษะในการย่อความและสรุปความ จากสิ่งที่โจทยก์ าหนดใหเ้ พ่อื นามาเขยี นเป็นขอ้ ความแสดงวธิ ีทา

26 ข้นั ท่ี 4 ตรวจสอบผลลพั ธ์ (Looking back) ข้นั ตอนน้ีเป็นข้นั ตอนสุดทา้ ย ผูส้ อนส่วนใหญ่มกั จะ มองขา้ มความสาคญั ของข้นั น้ี เน่ืองจากการจดั การเรียนการสอนที่เป็นอยใู่ นปัจจุบนั มกั จะใหค้ วามสาคญั ของคาตอบที่ถูกตอ้ งมากกว่าจะคานึงถึงกระบวนการในการคิดหาวิธีท่ีถูกตอ้ ง ครูควรจดั กิจกรรมให้ นักเรียนมองยอ้ นกลับไปทบทวน และตรวจสอบข้ันตอนต่าง ๆ ท่ีผ่านมาแล้ว โดยพิจารณาจาก ความสมเหตุสมผลของคาตอบ และพิจารณาว่าน่าจะมีคาตอบอ่ืน หรือวิธีการคิดเป็ นอย่างอ่ืนได้อีก หรือไม่ โดยครูอาจใชค้ าถามเพ่ือช่วยใหน้ กั เรียนมองยอ้ นกลบั หรือตรวจสอบข้นั ตอนตา่ ง ๆ จากที่ไดก้ ล่าวมาขา้ งตน้ ผวู้ ิจยั สามารถสรุปไดว้ ่า ข้นั ตอนในการแกโ้ จทยป์ ัญหาของ Polya น้นั มีข้นั ตอนในการแกป้ ัญหา 4 ข้นั ตอน ดงั น้ี ข้นั ท่ี 1 ข้นั ทาความเขา้ ใจปัญหา คือ เขา้ ใจว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่รู้ อะไรจดั เป็นขอ้ มูล โจทยก์ าหนด เงื่อนไขอะไรมาบา้ ง และแยกสถานการณ์ออกเป็นส่วน ๆ ข้นั ที่ 2 ข้นั วางแผนแกป้ ัญหา คือ ข้นั คน้ ควา้ หาความเช่ือมโยงระหวา่ งขอ้ มูลกบั ส่ิงที่ไม่รู้ รวมไป ถึงการเขยี นสมการ ข้นั ท่ี 3 ข้นั ดาเนินการแกป้ ัญหา คือ ข้นั ของการปฏิบตั ิตามแผนท่ีวางไวแ้ ละตอ้ งตรวจสอบแต่ละ ข้นั ตอนที่ปฏิบตั ิวา่ ถูกตอ้ งหรือไม่ ข้ันท่ี 4 ข้ันการตรวจสอบ คือ ข้ันที่ตรวจสอบการแกป้ ัญหาว่าถูกต้องหรือไม่ โดยอาจจะใช้ วิธีการอ่ืน ๆ เพ่อื ตรวจสอบผลลพั ธ์ที่ไดว้ า่ ถกู ตอ้ งสมบูรณ์หรือไม่ 4.4 เกณฑ์การให้คะแนนความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา Rendall (1987) ได้อธิบายถึงเกณฑ์การให้คะแนนว่ามี 3 รูปแบบ คือ การให้คะแนนแบบ แยกส่วน การใหค้ ะแนนในภาพรวม และการใหค้ ะแนนแบบประมาณค่า ซ่ึงมีวิธีการในการให้คะแนน ดงั น้ี 4.4.1 การให้คะแนนแบบแยกส่วน การให้คะแนนแบบแยกส่วน หมายถึง การแบ่งการให้คะแนนแก้ปัญหาออกเป็ น 3 ส่วนย่อย ไดแ้ ก่ ข้นั ทาความเขา้ ใจปัญหา ข้นั วางแผนแกป้ ัญหา และข้นั ดาเนินการตามแผน ในแต่ละ ระดบั มี 0 - 2 คะแนน โดยมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี ข้นั ทาความเข้าใจปัญหา 0 คะแนน หมายถึง เขา้ ใจผดิ พลาด 1 คะแนน หมายถึง เขา้ ใจบางส่วนผดิ พลาด แต่มีบางส่วนที่เขา้ ใจถูกตอ้ ง 2 คะแนน หมายถึง เขา้ ใจปัญหาอยา่ งถูกตอ้ ง

27 ข้นั วางแผนแก้ปัญหา 0 คะแนน หมายถึง ไมม่ ีการวางแผนในการแกป้ ัญหาหรือ มีแผนการแกป้ ัญหาไมเ่ หมาะสม 1 คะแนน หมายถึง วางแผนแกป้ ัญหาถกู ตอ้ งบางส่วน แต่มีบางส่วนไม่ถกู ตอ้ ง 2 คะแนน หมายถึง วางแผนการแกป้ ัญหาท่ีสามารถนาไปใชแ้ กป้ ัญหา อยา่ งเหมาะสม ข้นั ดาเนินการตามแผน 0 คะแนน หมายถึง ไมม่ ีคาตอบหรือคาตอบผิด 1 คะแนน หมายถึง คดั ลอกขอ้ มูลบางส่วนผดิ พลาด จึงทาใหก้ ารคดิ คานวณ ผิดพลาดแตม่ ีบางส่วนท่ีคานวณถกู ตอ้ ง 2 คะแนน หมายถึง คาตอบถูกตอ้ ง 4.4.2 การให้คะแนนในภาพรวม การให้คะแนนในภาพรวม หมายถึง การมองผลผลิตการแก้ปัญหาท้งั หมดโดย กาหนดช่วง คะแนน 0 - 4 ดงั น้ี 0 คะแนน หมายถึง กระดาษวา่ งเปล่า หรือมีขอ้ มูลงา่ ย ๆ แต่ไม่ปรากฏหลกั ฐาน การคดิ คานวณ หรือการคดิ คานวณจากการกระทาที่ไมเ่ ขา้ ใจ ปัญหา มีคาตอบท่ีไม่ถูกตอ้ งและไมม่ ีการแสดงวิธีหาคาตอบ 1 คะแนน หมายถึง มีร่องรอยปรากฏวา่ พบวิธีการแกป้ ัญหาท่ีถกู ตอ้ งและคดั ลอก ขอ้ มูลท่ีจาเป็นในการแกป้ ัญหา แสดงใหเ้ ห็นวา่ มีความเขา้ ใจ ในการแกป้ ัญหา มีร่องรอยการแสดงยทุ ธวิธีในการแสวงหา คาตอบอยา่ งเหมาะสมแต่ไม่สาเร็จ 2 คะแนน หมายถึง แสดงยทุ ธวธิ ีการแกป้ ัญหาไดถ้ ูกตอ้ งแต่คานวณผิดพลาด และ มีร่องรอยปรากฏว่ามีความเข้าใจในปัญหา แต่ไม่ได้แสดง การแกป้ ัญหาเพียงพอท่ีจะคน้ พบคาตอบไดห้ รือใชว้ ธิ ีการ คานวณผิดพลาดในบางส่วนจึงทาใหค้ าตอบผิด นกั เรียน คน้ พบคาตอบของปัญหายอ่ ย แสดงวธิ ีการไดถ้ ูกตอ้ ง แต่กระบวนการทางานไม่ถูกตอ้ งหรือไมไ่ ดแ้ สดงใหเ้ ห็น กระบวนการทางาน

28 3 คะแนน หมายถึง มีเคร่ืองมือที่จะนาไปใชใ้ นการแกป้ ัญหา สามารถแสดง วธิ ีการแกป้ ัญหาไดถ้ ูกตอ้ ง แต่ผิดพลาดในบางส่วนจึงทาให้ คาตอบผดิ มียทุ ธวธิ ีแกป้ ัญหาที่เหมาะสมแต่คาตอบผดิ โดย ไม่ปรากฏเหตุผล หรือมีคาตอบบางส่วนถกู ตอ้ ง แสดงวธิ ีการ แกป้ ัญหาไดถ้ กู ตอ้ ง เลือกยทุ ธวิธีการแกป้ ัญหาไดถ้ ูกตอ้ ง แตก่ ารแกป้ ัญหาไม่สมบูรณ์ 4 คะแนน หมายถึง นกั เรียนแกป้ ัญหาไดผ้ ดิ พลาดเลก็ นอ้ ย และความผิดพลาดน้นั ไม่ส่งผลต่อขอ้ มูลอ่ืน ๆ นกั เรียนแกป้ ัญหาไดถ้ กู ตอ้ งสมบูรณ์ ไดค้ าตอบถกู ตอ้ ง 4.4.3 การให้คะแนนแบบประมาณค่า การให้คะแนนแบบประมาณค่า เป็ นวิธีการประเมินผลการแก้ปัญหาของนักเรียนที่แสดง การคิดคานวณ โดยการให้คะแนนตามอัตราส่วนของการคิดคานวณ คะแนนอยู่ในช่วง 0-4 คะแนน มีหลกั เกณฑ์ คือ ถา้ คดิ คานวณไดถ้ กู ตอ้ งสมบูรณ์ได้ 4 คะแนน ถา้ คิดคานวณ ไม่ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์คะแนนท่ี ได้จะลดลงตามลาดับก่อนให้คะแนนด้วยวิธีการน้ีจะตอ้ งกาหนดเกณฑ์ การให้คะแนนไวก้ ่อนจึงจะ ยตุ ิธรรม จากเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนความสามารถในการแกป้ ัญหาดงั กล่าวขา้ งตน้ ผวู้ จิ ยั ไดใ้ ช้ เกณฑก์ ารให้ คะแนนแบบแยกส่วน 4.5 งานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้องกบั กระบวนการแก้โจทย์ปัญหา เพญ็ จนั ทร์ สินธุเขต (2547) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาทกั ษะกระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหา โดยกิจกรรม โครงงานวิชาคณิตศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นสีสุก อาเภอแก้งสนามนาง จงั หวดั นครราชสีมา พบว่า นกั เรียนท่ีไดร้ ับการพฒั นาทกั ษะกระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหาโดยกิจกรรมโครงงาน มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั สิ้นสุดการพฒั นา ผา่ นเกณฑท์ ุกคนคิดเป็นร้อยละ 75.66 นกั เรียนที่ได้รับ การพฒั นาทกั ษะกระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหาโดยกิจกรรมโครงงานมีความพึงพอใจต่อการเรียนการสอน แบบโครงงานอยใู่ นระดบั มากที่สุด จกั รพนั ธ์ พิรักษา (2553) ไดศ้ ึกษาการเปรียบเทียบกระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหา และผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน เรื่อง แรงและกฎการเคล่ือนที่ของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ระหว่าง กลุ่มท่ีไดร้ ับการ สอนแบบใช้วฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคการแกป้ ัญหาของ Polya กบั กลุ่มที่ไดร้ ับการสอน แบบใช้วฏั จกั รการเรียนรู้ 5 ข้นั พบว่า กระบวนการแกโ้ จทยป์ ัญหาของนักเรียน ที่ไดร้ ับการสอนแบบ ใชว้ ฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคการแกป้ ัญหาของ Polya สูงกวา่ นกั เรียนที่ไดร้ ับการสอนแบบ

29 ใชว้ ฏั จกั รการเรียนรู้ 5 ข้นั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนที่ไดร้ ับการสอนแบบใชว้ ฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ข้นั ร่วมกบั เทคนิคการแกป้ ัญหาของ Polya สูงกว่านกั เรียนที่ไดร้ ับการสอนแบบใช้วฏั จกั รการเรียนรู้ 5 ข้นั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 5. คะแนนพฒั นาการ 5.1 ความหมายของคะแนนพฒั นาการ นกั วชิ าการทางการศึกษาหลายทา่ น กลา่ วถึง ความหมายของความคะแนนพฒั นาการ ดงั น้ี คะแนนพฒั นาการ (Growth Score) หมายถึง ค่าตวั เลขจากการเปรียบเทียบผลการวดั พฤติกรรม ของผูเ้ รียนต้งั แต่ 2 คร้ังข้ึนไป การวดั พฒั นาการของผเู้ รียน เป็นกระบวนการท่ีผูส้ อนสามารถดาเนินการ ไดต้ ้งั แตก่ ่อนเรียน ในช่วงเวลาเรียนและเม่ือสิ้นสุดการเรียน ผลจากการวดั บ่งบอกถึงความสามารถท่ีเพ่ิม ข้ึยของผูเ้ รียน ดงั น้นั การวดั พฒั นาการของผเู้ รียนรายบุคคลจึงตอ้ งประกอบดว้ ยสิ่งสาคญั 2 ประการ คือ เป็นการวดั พฤติกรรมเดียวกนั ของผเู้ รียนคนเดิมและเป็นการวดั ต่อเน่ืองแตล่ ะช่วงระยะเวลา เช่น วดั ผลสมั ฤทธ์ิวชิ าวทิ ยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลงั เรียน เป็นการวดั พฒั นาการ 2 คร้ังหากวดั เดือนละ 1 คร้ัง ติดตอ่ กนั 4 เดือน เป็นการวดั พฒั นาการ 4 คร้ัง เป็นตน้ การวัดพัฒนาการ (Growth measurement) หรือเรียกอีกชื่อหน่ึงว่าการวัดการเปลี่ยนแปลง (Change measurement) เป็ นศาสตร์การวดั ท่ีไดร้ ับการพฒั นามาอย่างต่อเนื่องช่วงเวลาที่มีการพฒั นานา ความรู้ทางเทคโนโลยีมาใช้อย่างแพร่หลายมากมายต้งั แต่ปี ค.ศ. 1990 เป็ นตน้ มาการวดั และวิเคราะห์ คะแนนพฒั นาการมีหลายวิธีการแปลผลคะแนนพฒั นาการจึงข้ึนกบั ลกั ษณะการวดั และวิเคราะห์ต้งั แต่ การวเิ คราะหอ์ ยา่ งง่ายจนถึงการใชส้ ถิติข้นั สูง พจนานุกรมทางการศึกษาระหว่างประเทศปี ค.ศ. 1994 (The International Encyclopedia of Education) แบ่งประเภทของการวดั การเปล่ียนแปลงเป็น 2 ประเภทคือวิธีการวดั แนวเดิม และวิธีการวดั แนวใหม่สาหรับวิธีการวดั แนวเดิมส่วนใหญ่เป็ นการวดั 2 คร้ัง คือ ก่อนและหลงั เรียน ใชก้ ารวิเคราะห์ อย่างง่ายกบั คะแนนการวดั ที่มิไดว้ ดั ความคาดเคลื่อนส่วนวิธีการวดั แนวใหม่เป็ นการวดั ระยะต่อเนื่อง มากกวา่ สองคร้ังข้ึนไปและวิเคราะห์จากคะแนนที่แทจ้ ริง (True score) คะแนนที่แทจ้ ริงไดจ้ ากคะแนนท่ี วดั สกดั คะแนนความคลาดเคล่ือนในการวดั (erroe score) ออก จากแนวคิดเกี่ยวกบั คะแนนพฒั นาการท่ีกล่าวขา้ งตน้ ผูว้ ิจยั สรุปไดว้ า่ คะแนนพฒั นาการ คือ ค่า ตวั เลขจากการเปรียบเทียบผลการวดั พฤติกรรมของผเู้ รียนต้งั แต่ 2 คร้ังข้ึนไป

30 5.2 การคานวณคะแนนพฒั นาการ การคานวณคะแนนพฒั นาการ (Gain Scores) ศิริชยั กาญจนวาสี (2556) ไดก้ ล่าวถึง การคานวณคะแนนพฒั นาการของผูเ้ รียนท่ี พิจารณาจาก คะแนนเพ่ิม หรือคะแนนผลต่าง (Y-X) ที่ไดจ้ ากการวดั คร้ังแรก (X) และการวดั คร้ังหลงั (Y) มกั ประสบ ปัญหาจากอิทธิพลเพดาน (Ceiling Effect) เน่ืองจากกลุ่มผูเ้ รียนท่ีมีความสามารถสูง เช่น กลุ่มเก่ง และ กลุ่มปานกลางโดยเฉลี่ยแลว้ จะมีคะแนนการวดั คร้ังแรกท่ีสูงกว่ากลุ่มอ่อนเมื่อมีการ วดั คร้ังหลงั โอกาสท่ี คะแนนคร้ังหลงั จะสูงข้ึนไดเ้ พียงใดน้นั จะถูกกาหนดโดยเพดาน (คะแนนเต็ม) ทา ให้คะแนนเพ่ิมของ กลุม่ เก่งและกล่มุ ปานกลางมีแนวโนม้ ที่จะต่ากวา่ กล่มุ ออ่ น 5.3 สูตรการคานวณคะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์ สูตรการคานวณคะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์ (ศิริชยั กาญจนวาสี, 2552 : 266 – 267) คะแนนพฒั นาการสมั พทั ธ์ = คะแนนหลงั เรียน−คะแนนกอ่ นเรียน X 100 คะแนนเต็ม−คะแนนกอ่ นเรียน จากน้ันแปลความหมายคะแนนตามเกณฑ์ระดับพฒั นาการ ซ่ึงแบ่งออกเป็ น 4 ระดบั ดงั น้ี เกณฑค์ ะแนนพฒั นาการเทียบระดบั พฒั นาการ (ศิริชยั กาญจนวาสี, 2552 : 268) คะแนนพฒั นาการสัมพัทธ์ ระดบั พฒั นาการ 76 – 100 พฒั นาการระดบั สูงมาก 51 – 75 พฒั นาการระดบั สูง 26 – 50 พฒั นาการระดบั กลาง 0 - 25 พฒั นาการระดบั ตน้

31 บทท่ี 3 วธิ ีดำเนนิ กำรวจิ ัย ในการวจิ ยั คร้ังน้ี ผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินการ ดงั น้ี 1. วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั 2. วธิ ีดาเนินการวิจยั 2.1 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 2.2 ระยะที่ใชใ้ นการศึกษา 2.3 ตวั แปรท่ีศึกษาและเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 2.4 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 2.5 การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสถิติท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 2.6 การทดสอบสมมติฐาน 1. วัตถุประสงค์กำรวจิ ยั เพื่อประเมินพฒั นาการของนักเรียนหลงั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 2. วธิ ีดำเนินกำรวิจยั 2.1 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร ประชากรท่ีใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนวงั จนั ทร์วิทยา อาเภอวงั จนั ทร์ จงั หวดั ระยอง จานวน 298 คน กล่มุ ตวั อย่ำง กล่มุ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 หอ้ ง 1 และ 3 โรงเรียนวงั จนั ทร์วิทยา อาเภอวงั จนั ทร์ จงั หวดั ระยอง ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 ไดม้ าจากการ เลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จานวน 62 คน

32 2.2 ระยะท่ีใช้ในกำรศึกษำ ระยะเวลาท่ีใช้ในการศึกษา คือ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ใช้เวลาจดั การเรียนรู้ ท้งั หมด 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ รวมท้งั หมด 12 คาบเรียน รวมทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน ในช่วงเดือนธนั วาคม 2565 ถึง เดือนมกราคม 2566 ตาราง 1 แสดงแผนปฏิบตั ิการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วชิ า วิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณ ปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 สัปดำห์ที่ เนื้อหำ จำนวนคำบ 1 คาบเรียนที่ 1 ทดสอบก่อนเรียน พร้อมช้ีแจง 3 2 การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 3 3 คาบเรียนที่ 2 ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิของสาร 4 คาบเรียนที่ 3 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยน 3 อุณหภมู ิของสาร 3 คาบเรียนท่ี 4 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียน 12 อุณหภมู ิของสาร คาบเรียนที่ 5 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียน อุณหภูมิของสาร คาบเรียนท่ี 6 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียน สถานะของสาร คาบเรียนท่ี 7 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยน สถานะของสาร คาบเรียนที่ 8 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยน สถานะของสาร คาบเรียนที่ 9 การคานวณปริมาณความร้อนที่ทาใหน้ ้า เปลี่ยนอณุ หภมู ิและสถานะของสาร คาบเรียนที่ 10 การคานวณปริมาณความร้อนท่ีทาใหน้ ้า เปลี่ยนอณุ หภมู ิและสถานะของสาร คาบเรียนท่ี 11 การคานวณปริมาณความร้อนที่ทาใหน้ ้า เปลี่ยนอุณหภมู ิและสถานะของสาร คาบเรียนท่ี 12 ทดสอบหลงั เรียน รวม

33 2.3 ตัวแปรทีศ่ ึกษำและเคร่ืองมือท่ีใช้ในกำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล 2.3.1 ตัวแปรทศ่ี ึกษำ 1. ตวั แปรอสิ ระ การจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร 2. ตัวแปรตำม 2.1 พัฒนาการของนักเรี ยนหลังการเรี ยนรู้แบบห้องเรี ยนกลับด้าน วิชา วิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของ ประกอบดว้ ย 2 ดา้ น ไดแ้ ก่ 2.1.1 พัฒนาการด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร 2.1.2 พัฒนาการทักษะการแก้ปัญหาโจทย์การคานวณปริ มาณ ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร 2.3.2 เครื่องมือทใ่ี ช้ในกำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล กำรสร้ำงครื่องมือท่ใี ช้ในกำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในคร้ังน้ี ประกอบดว้ ย 1. แผนการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วิชา วิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณ ปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร 3. แบบวดั ทกั ษะกระบวนการการแกโ้ จทยก์ ารคานวณปริมาณความร้อนกบั การ เปล่ียนแปลงของสาร ข้ันตอนกำรสร้ำงแผนกำรจัดกำรเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้ำน วิชำ วิทยำศำสตร์ 2 เรื่อง กำรคำนวณปริมำณควำมร้อนกบั กำรเปลย่ี นแปลงของสำร สำหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษำปี ที่ 1 การสร้างแผนการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น วิชา วิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การ คานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ดาเนินการ สร้างตามข้นั ตอน ดงั น้ี 1. ศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้น ผูว้ ิจัยได้ศึกษาหนังสือและเอกสารท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือใช้เป็ น แนวทาง ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ดงั น้ี

34 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุงพุทธศักราช 2560) และสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ วิทยาศาสตร์ จากตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้ แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลกั สูตร แกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุงพทุ ธศกั ราช 2560) (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560) 1.2 ศึกษาหลกั สูตรสถานศึกษาของวงั จนั ทร์วิทยา และคมู่ ือครูวิชา วิทยาศาสตร์ ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ของสถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.3 ศึกษาเน้ือหาเรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกับการเปลี่ยนแปลง ของสาร จากหนงั สือและเอกสารต่าง ๆ เพื่อกาหนดขอบเขตเน้ือหา เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อน กบั การเปลี่ยนแปลงของสาร และกาหนดกรอบสาระการเรียนรู้ และจานวนคาบของการจดั การเรียนรู้ โดยกาหนดใหแ้ ผนการจดั การเรียนรู้มีท้งั หมด 4 แผน ดงั ตาราง 1 ตาราง 2 แสดงจานวนคาบเรียนของแต่ละแผนการจดั การเรียนรู้ แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ เรื่อง จำนวนคำบเรียน 1 1 ความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิของสาร 3 2 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนอุณหภูมิ 3 ของสาร 3 3 การคานวณปริมาณความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะ ของสาร 4 การคานวณปริมาณความร้อนท่ีทาใหน้ ้า เปลี่ยนอุณหภมู ิและสถานะของสาร 1.4 ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกับการสร้างเกี่ยวข้องกับการสร้าง แผนการจดั การเรียนรู้ จากการศึกษาขอ้ มูลดงั กล่าวพบวา่ แผนการจดั การเรียนรู้ มีองคป์ ระกอบดงั น้ี 1.4.1 มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวดั 1.4.2 สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด 1.4.3 จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.4.4 คุณลกั ษณะผเู้ รียน 1.4.5 สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน 1.4.6 สาระการเรียนรู้

35 1.4.7 กิจกรรมเรียนรู้ 1.4.8 ชิ้นงาน/ภาระงาน 1.4.9 ส่ือการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 1.4.10 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 1.5 ศึกษาหนังสือ เอกสาร และงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการจดั การเรียนรู้แบบ หอ้ งเรียนกลบั ดา้ น จากการศึกษาขอ้ มูลดงั กล่าว พบว่า ห้องเรียนกลบั ดา้ น เป็นรูปแบบการเรียนการสอน ที่นกั เรียนเรียนท่ีบา้ นจากส่ือการสอน ไฟลว์ ิดีโอที่ครูสร้าง หรือจากเวบ็ ไซตท์ ่ีครูกาหนดแลว้ นางานหรือ การบ้านที่ได้รับมอบหมายมาทาที่ห้องเรียน ฝึ กคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาแล้วนามาอภิปรายร่วมกัน ในช้นั เรียน โดยมีครูคอยใหค้ าแนะนาอยา่ งใกลช้ ิด 2. ดาเนินการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น วิชา วทิ ยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณ ปริมาณความร้อนกับการเปล่ียนแปลงของสาร เพื่อพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและทักษะการ แกป้ ัญหาโจทยก์ ารคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร จานวน 4 แผน ซ่ึงประกอบไป ดว้ ยข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้ 4 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่ ข้นั ท่ี 1 กาหนดยุทธวิธี เพิ่มพูนประสบการณ์ นกั เรียน จะตอ้ งทบทวนความรู้เดิมดว้ ยการตอบคาถาม เลา่ เหตกุ ารณ์ หรือสถานการณ์จาลอง (ในช้นั เรียน) ข้นั ท่ี 2 ข้นั สืบคน้ เพ่ือให้เกิดมโนทศั น์รวบยอด นักเรียนจะตอ้ งศึกษาหา ความรู้ด้วยตนเองดว้ ยจากวิดีโอที่ครู สร้าง เวบ็ ไซตห์ รือใบความรู้ท่ีครูกาหนดให้ โดยนกั เรียนสามารถเลือกเรียนผา่ น Google Classroom หรือ Facebook Group “เรียนวิทย์ คิดกบั ครูมายด์” และทาการสรุปองค์ความรู้ลงในสมุด และส่งผ่าน Line Group (นอกช้ันเรียน) ข้นั ท่ี 3 ข้นั สร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย ข้นั น้ีครูและนักเรียนจะร่วมกับ อภิปรายเก่ียวกบั การสรุปองคค์ วามรู้และคาตอบท่ีนกั เรียนเขียนลงในสมุด เพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจของ นกั เรียนจากวิดีโอที่นกั เรียนศึกษามาล่วงหนา้ ผ่าน Line Group (นอกช้นั เรียน) และข้นั ที่ 4 ข้นั สาธิตและ ประยกุ ตใ์ ช้ ข้นั น้ีครูสาธิตการการแกป้ ัญหาโจทยก์ ารคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของ สาร โดยใชก้ ระบวนการแกป้ ัญหาของ Polya ให้ผเู้ รียนดูเป็นตวั อย่าง จากน้นั ให้นกั เรียนไดฝ้ ึ กแกป้ ัญหา โจทยโ์ จทยก์ ารคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร ดว้ ยตนเองโดยใช้กระบวนการ แก้ปัญหาของ Polya เช่นเดียวกัน โดยมีครูคอยให้ความช่วยเหลือและคาแนะนา (ในช้ันเรียน) ซ่ึงมี รายละเอียด ดงั น้ี

36 แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ี 1 ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงอณุ หภมู ิของสาร ตาราง 3 แสดงรายละเอียดการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นวชิ า วิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณพลงั งานความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร เรื่อง ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงอณุ หภูมิของสาร ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น บทบาท 1.กาหนดยทุ ธวิธี 2. สืบคน้ เพ่ือใหเ้ กิด 3.สร้างองคค์ วามรู้ 4. สาธิตและ เพมิ่ พูนประสบการณ์* มโนทศั น์รวบยอด** อยา่ งมีความหมาย** ประยกุ ตใ์ ช้ * นกั เรียน - ทบทวนความรู้เดิม - ศึกษาวดิ ีโอ 1 : - สร้างองคค์ วามรู้ - ทาใบงาน เร่ือง เกี่ยวกบั ผลของความ ความร้อนกบั การ เร่ือง ความร้อน ความร้อนกบั การ ร้อนกบั การ เปล่ียนแปลง กบั การ เปลี่ยนแปลง เปล่ียนแปลงอุณหภมู ิ อณุ หภมู ิของสาร เปลี่ยนแปลง อณุ หภมู ิของสาร ของสาร ผา่ นประเด็น - สรุปความคิดสาคญั อุณหภูมิของสาร หนา้ ที่ 1 คาถามที่ครูต้งั ข้นึ เร่ือง ความร้อนกบั จากสถาการณ์จาลอง การเปลี่ยนแปลง อุณหภมู ิของสาร ครู - เตรียมสถาการณ์ - สร้างวิดีโอ 1 : - อภิปราย - ยกตวั อยา่ งและ จาลองและต้งั ประเด็น ความร้อนกบั การ ความคดิ สาคญั เปรียบเทียบค่า คาถามเกี่ยวเกี่ยวกบั เปล่ียนแปลง เร่ือง ความร้อน ความร้อนจาเพาะ ความร้อนกบั การ อณุ หภูมิของสาร กบั การ ของสารแต่ละ เปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ิ เปล่ียนแปลง ชนิด ของสาร อณุ หภมู ิของสาร ร่วมกบั นกั เรียน หมายเหตุ : * ในช้นั เรียน , ** นอกช้นั เรียน

37 แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ี 2 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ิของสาร ตาราง 4 แสดงรายละเอียดการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นวิชา วิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณพลงั งานความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิของสาร ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น บทบาท 1.กาหนดยทุ ธวิธี 2. สืบคน้ เพื่อใหเ้ กิด 3.สร้างองคค์ วามรู้ 4. สาธิตและ นกั เรียน เพ่มิ พนู ประสบการณ์* มโนทศั น์รวบยอด** อยา่ งมีความหมาย** ประยกุ ตใ์ ช้ * ครู - ทบทวนความรู้เดิม - ศึกษาวดิ ีโอ 2 : - สร้างองคค์ วามรู้ - ทาแบบฝึกหดั เก่ียวกบั ผลของความ การคานวณปริมาณ เรื่อง การคานวณ เรื่อง ความร้อน ร้อนกบั การ ความร้อนกบั การ ปริมาณความร้อน กบั การ เปล่ียนแปลงอุณหภูมิ เปล่ียนแปลง กบั การ เปล่ียนแปลง ของสาร ผา่ นประเด็น อณุ หภูมิของสาร เปล่ียนแปลง อุณหภมู ิของสาร คาถามที่ครูต้งั ข้นึ - สรุปความคิดสาคญั อุณหภมู ิของสาร หนา้ ที่ 2-3 จากสถาการณ์จาลอง เร่ือง การคานวณ - อภิปรายคาตอบ ปริมาณความร้อน ของตวั อยา่ งท่ี 1 กบั การเปลี่ยนแปลง และ 2 อุณหภมู ิของสาร - ทาตวั อยา่ งที่ 1 และ 2 เรื่องการคานวณ ปริมาณความร้อน กบั การเปล่ียนแปลง อณุ หภมู ิของสาร - เตรียมสถาการณ์ - สร้างวดิ ีโอ 2 : - อภิปราย - สาธิต จาลองและต้งั ประเดน็ การคานวณปริมาณ ความคดิ สาคญั กระบวนการแก้ คาถามเก่ียวเก่ียวกบั ความร้อนกบั การ เรื่อง การคานวณ โจทยป์ ัญหาโดย ความร้อนกบั การ เปลี่ยนแปลง ปริมาณความร้อน ใชก้ ระบวนการ เปลี่ยนแปลงอณุ หภูมิ อณุ หภมู ิของสาร กบั การ ของ Polya ของสาร เปลี่ยนแปลง อณุ หภมู ิของสาร ร่วมกบั นกั เรียน

38 ตาราง 4 (ต่อ) บทบาท ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 4. สาธิตและ 1.กาหนดยทุ ธวธิ ี 2. สืบคน้ เพื่อใหเ้ กิด 3.สร้างองคค์ วามรู้ ประยกุ ตใ์ ช้ * เพิ่มพนู ประสบการณ์* มโนทศั น์รวบยอด** อยา่ งมีความหมาย** - อภิปรายคาตอบ ของตวั อยา่ งที่ 1 และ 2 ร่วมกบั นกั เรียน หมายเหตุ : * ในช้นั เรียน , ** นอกช้นั เรียน

39 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 3 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงสถานะของสาร ตาราง 5 แสดงรายละเอียดการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นวิชา วิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณพลงั งานความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงสถานะของสาร ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น บทบาท 1.กาหนดยทุ ธวธิ ี 2. สืบคน้ เพื่อใหเ้ กิด 3.สร้างองคค์ วามรู้ 4. สาธิตและ นกั เรียน เพม่ิ พูนประสบการณ์* มโนทศั น์รวบยอด** อยา่ งมีความหมาย** ประยกุ ตใ์ ช้ * - ทบทวนความรู้เดิม - ศึกษาวิดีโอ 3 : - สร้างองคค์ วามรู้ - ทาแบบฝึกหดั เกี่ยวกบั ผลของความ การคานวณปริมาณ เรื่อง การคานวณ เร่ือง ความร้อน ร้อนกบั การ ความร้อนกบั การ ปริมาณความร้อน กบั การ เปลี่ยนแปลงสถานะ เปลี่ยนสถานะของ กบั การเปล่ียน เปลี่ยนแปลง ของสาร ผา่ นประเด็น สาร สถานะของสาร สถานะของสาร คาถามท่ีครูต้งั ข้นึ จาก - สรุปความคดิ สาคญั - อภิปรายคาตอบ หนา้ ท่ี 2 เพื่อฝึก สถานการณ์จาลอง เรื่อง การเปล่ียน ของแบบฝึกหดั กระบวนการ สถานะของสาร เรื่อง ความร้อน การแกโ้ จทย์ และการคานวณ กบั การ ปัญหา ปริมาณความร้อน เปล่ียนแปลง กบั การเปล่ียน สถานะของสาร สถานะของสาร หนา้ ท่ี 1 - ทาแบบฝึกหดั เรื่อง ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลง สถานะของสาร หนา้ ท่ี 1 ครู - เตรียมสถาการณ์ - สร้างวิดีโอ 3 : - อภิปราย - สาธิต จาลองและต้งั ประเดน็ การคานวณปริมาณ ความคิดสาคญั กระบวนการแก้ คาถามเกี่ยวเก่ียวกบั ความร้อนกบั การ เรื่อง การคานวณ โจทยป์ ัญหาโดย ความร้อนกบั การ เปลี่ยนสถานะ ปริมาณความร้อน ใชก้ ระบวนการ เปลี่ยนแปลงสถานะ ของสาร กบั การเปลี่ยน ของ Polya ของสาร สถานะของสาร ร่วมกบั นกั เรียน หมายเหตุ : * ในช้นั เรียน , ** นอกช้นั เรียน

40 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 4 การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงอุณหภูมิและสถานะของน้า ตาราง 6 แสดงรายละเอียดการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ นวิชา วิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณพลงั งานความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสถานะของน้า บทบาท ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น 1.กาหนดยทุ ธวิธี 2. สืบคน้ เพื่อใหเ้ กิด 3.สร้างองคค์ วามรู้ 4. สาธิตและ เพม่ิ พนู ประสบการณ์* มโนทศั น์รวบยอด** อยา่ งมีความหมาย** ประยกุ ตใ์ ช้ * นกั เรียน - ทบทวนความรู้เดิม - ศึกษาวิดีโอ 4 : - สร้างองคค์ วามรู้ - ทาแบบฝึกหดั เก่ียวกบั ผลของความ การคานวณปริมาณ เร่ือง การคานวณ เร่ือง การคานวณ ร้อนกบั การ ความร้อนกบั การ ปริมาณความร้อน ปริมาณความร้อน เปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ิ เปล่ียนแปลง กบั การ กบั การ และสถานะของน้า อณุ หภูมิและสถานะ เปล่ียนแปลง เปล่ียนแปลง ผา่ นประเด็นคาถามท่ี อณุ หภมู ิและ ของน้า อณุ หภมู ิและ สถานะของน้า ครูต้งั ข้ึนจาก - สรุปความคดิ สาคญั สถานะของน้า เพ่ือฝึ ก สถานการณ์จาลอง เรื่อง การเปล่ียน - อภิปรายคาตอบ สถานะของสาร ของแบบฝึกหดั กระบวนการ และการคานวณ เรื่อง ความร้อน การแกโ้ จทย์ ปริมาณความร้อน กบั การ ปัญหา กบั การเปลี่ยนแปลง เปล่ียนแปลง อุณหภมู ิและสถานะ อณุ หภมู ิและ ของน้า สถานะของน้า - ทาแบบฝึกหดั ครู - เตรียมสถาการณ์ - สร้างวิดีโอ 4 : - อภิปราย - สาธิต จาลองและต้งั ประเด็น การคานวณปริมาณ ความคิดสาคญั กระบวนการแก้ คาถามเก่ียวเก่ียวกบั ความร้อนกบั การ เรื่อง การคานวณ โจทยป์ ัญหาโดย ความร้อนกบั การ เปล่ียนแปลง ปริมาณความร้อน ใชก้ ระบวนการ เปล่ียนแปลงอณุ หภูมิ อุณหภูมิและสถานะ กบั การเปลี่ยน ของ Polya และสถานะของน้า ของน้า สถานะของสาร ร่วมกบั นกั เรียน หมายเหตุ : * ในช้นั เรียน , ** นอกช้นั เรียน

41 วิธีกำรหำคุณภำพของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ด้ำน วิชำวิทยำศำสตร์ 2 เรื่อง กำรคำนวณปริมำณควำมร้อนกบั กำรเปลยี่ นแปลงของสำร 1. ประเมินคณุ ภาพของแผนการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ นตามข้นั ตอน ดงั น้ี 1.1 ดา้ นความเท่ียงตรงของแผนการจดั การเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณ ปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ประเมินโดยผเู้ ช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ น การประเมิน คอื แบบประเมินแผนการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การ คานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร มีลกั ษณะเป็นมาตราส่วนประมาณคา่ 3 ระดบั คือ เท่ียงตรง ไม่แน่ใจ และไม่เที่ยงตรง เพื่อการปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียน กลบั ดา้ นวิชา วิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร และนาผลการประเมิน ของผเู้ ชี่ยวชาญมาแปลงเป็นคะแนน ดงั น้ี ให้ +1 คะแนน หมายถึง มีความเห็นวา่ เที่ยงตรง ให้ 0 คะแนน หมายถึง มีความเห็นวา่ ไม่แน่ใจวา่ เที่ยงตรง ให้ -1 คะแนน หมายถึง มีความเห็นวา่ ไม่มีความเท่ียงตรง โดยสามารถหาค่าความเท่ียงตรงของแผนการจดั การเรียนรู้ไดโ้ ดยคานวณจากคา่ ดชั นี ความสอดคลอ้ ง (IOC) ซ่ึงคานวนจากสูตร (พวงรัตน์ ทวรี ัตน.์ 2543: 117) ������������������ = ∑ ������ ������ เมื่อ IOC แทน ดชั นีความสอดคลอ้ ง ∑ ������ แทน ผลรวมของการพิจารณาของผเู้ ช่ียวชาญ N แทน จานวนผเู้ ช่ียวชาญ ผูว้ ิจัยพบว่า ผลการประเมินคุณภาพของแผนการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน วิชา วิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ที่ประเมินโดยผเู้ ช่ียวชาญ ท้งั 3 ทา่ น มีคา่ ดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) 0.73 – 0.93 1.2 ด้านความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน วิชา วิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ประเมินโดยผเู้ ช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน ซ่ึงในข้ันตอนน้ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือศึกษาข้อบกพร่องของแผนการจัดการเรียนรู้โดย เคร่ืองมือที่ใชป้ ระเมินคอื แบบประเมินแผนการจดั การเรียนรู้แบบหอ้ งเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ท่ีมีลกั ษณะเป็นมาตรประมาณค่า

42 5 ระดบั ระหวา่ งระดบั ที่ 1 - 5 ดงั น้ี ระดบั คะแนน 5 หมายถึง มากที่สุด ระดบั คะแนน 4 หมายถึง มาก ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ปานกลาง ระดบั คะแนน 2 หมายถึง นอ้ ย ระดบั คะแนน 1 หมายถึง นอ้ ยท่ีสุด การแปลความหมาย ใชค้ ่าเฉลี่ยน น้าหนกั คะแนน โดยแบง่ ออกเป็น 5 ระดบั คอื คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสมมากท่ีสุด คะแนนเฉล่ีย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความเหมาะสมมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความเหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความเหมาะสมนอ้ ย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความเหมาะสมนอ้ ยท่ีสุด จากการนาแผนการจดั การเรียนรู้ที่พฒั นาข้ึนไปให้ผูเ้ ช่ียวชาญ 3 ท่าน ตรวจพิจารณา ท้งั เชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ พบว่า ความเหมาะสมแผนการจดั การเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 4.40 – 4.54 แสดงว่า แผนการจดั การเรียนรู้มีความเหมาะสมอยใู่ นระดบั ดีข้ึนไป 1.3 นาแผนการจัดการเรี ยนรู้แบบห้องเรี ยนกลับด้าน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ื อง การคานวณปริ มาณความร้ อนกับการเปล่ี ยนแปลงของสาร มาปรั บปรุ งแก้ไขตามคา แนะนา ข อ ง ผูเ้ ช่ียวชาญ และนาแผนการจดั การเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น วิชาวิทยาศาตร์ 2 เรื่อง การคานวณ ปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสารไปใชก้ บั กลมุ่ ตวั อยา่ ง 2. ข้ันตอนในกำรสร้ ำงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำวิทยำศำสตร์ 2 เรื่อง กำรคำนวณปริมำณควำมร้อนกบั กำรเปลย่ี นแปลงของสำร ในการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณ ความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ดาเนินการสร้างตามข้นั ตอน ดงั น้ี 1.ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การวดั และประเมินผล วิธีการสร้างแบบทดสอบและการเขียน ขอ้ สอบสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. ศึกษาตวั ช้ีวดั ของสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากหลกั สูตร คู่มือครูและ เอกสารต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 1 เพ่ือสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 2 โดยวดั พฤติกรรมการเรียนรู้ท้งั 4 ดา้ น ตามลาดบั ข้นั ความคิดของบลูม

43 คือ ความจา (Remember) ความเขา้ ใจ (Understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying) และการวิเคราะห์ (Analyzing) 3. สร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง การคานวณปริมาณ ความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร จานวน 30 ขอ้ เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก แต่ละ ขอ้ จะมีตวั เลือกที่เป็นคาตอบท่ีถกู ตอ้ งท่ีสุด เพียงคาตอบเดียว โดยมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแตล่ ะขอ้ คอื ถ้าตอบถูกให้ 1 คะแนน ถ้าตอบผิด หรือไม่ตอบให้ 0 คะแนน โดยสร้างแบบทดสอบให้ตรงตาม จุดประสงคก์ ารเรียนรู้และครอบคลุมสาระการเรียนรู้ วิธีกำรหำคุณภำพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำวิทยำศำสตร์ 2 เร่ือง กำรคำนวณ ปริมำณควำมร้อนกบั กำรเปลย่ี นแปลงของสำร การหาคุณภาพของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณ ปริมาณความร้อนกบั การเปล่ียนแปลงของสาร ดาเนินการตามข้นั ตอนตอ่ ไปน้ี 1. ประเมินความเท่ียงตรงของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร ประเมินโดยผเู้ ชี่ยวชาญ 3 ท่าน เคร่ืองมือท่ีใช้ ในการประเมิน คือ แบบประเมินแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิยาศาสตร์ 2 เร่ือง การ คานวณปริมาณความร้อนกับการเปล่ียนแปลงของสาร มีลกั ษณะเป็ นมาตรประมาณค่า 3 ระดับ คือ เท่ียงตรง ไม่แน่ใจ และไม่เท่ียงตรง เพ่ือปรับปรุงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทางการเรียน วิชา วิทยาศาสตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงของสาร และนาผลการประเมิน ของผเู้ ชี่ยวชาญมาแปลงเป็นคะแนน ดงั น้ี ให้ +1 คะแนน หมายถึง มีความเห็นวา่ ขอ้ สอบมีความเท่ียงตรง ให้ 0 คะแนน หมายถึง มีความเห็นวา่ ไม่แน่ใจวา่ ขอ้ สอบมีความเที่ยงตรง ให้ -1 คะแนน หมายถึง มีความเห็นวา่ ขอ้ สอบไมม่ ีความเที่ยงตรง ผวู้ จิ ยั พบวา่ ผลการประเมินความเท่ียงตรงของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาวทิ ยา ศาตร์ 2 เร่ือง การคานวณปริมาณความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงของสาร ท่ีประเมินโดยผูเ้ ช่ียวชาญ ท้งั 3 ท่าน มีค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) มีค่า 0.33 – 1.00 โดยปรับปรุงขอ้ สอบตามคาแนะนาของ ผเู้ ช่ียวชาญในขอ้ ที่ไดค้ ะแนนไมถ่ ึง 0.50 และเลือกขอ้ สอบจานวน 20 ขอ้ 2. นาแบบทดสอบที่คดั เลือกและปรับปรุงแกไ้ ขแลว้ ไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนท่ีเรียน เน้ือหาน้ี มาแลว้ ที่ไมใ่ ช่กลุ่มตวั อยา่ ง ซ่ึงเป็นนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนวงั จนั ทร์วิทยา จานวน 30 คน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook