สาระความรูพ้ ืนฐาน การโคลนนิง รายวิชา เทคโนโลยีชีวภาพ รหัสวิชา พว02017 เอกสารเล่มนีใช้เพือเปนสือการเรยี นการสอนเท่านัน กศน.อําเภอพญาเม็งราย
การโคลนนิง โคลนนิง (cloning) หรอื การขยายพันธุ์แบบไม่ใช้ เพศ เปนวิธีการทีสิงมีชีวิตหลายชนิดใช้ในการเพิมจาํ นวน คําว่า \"โคลน\" (clone) มาจากภาษากรกี ว่า klon มีความ หมายว่า กิงก้าน แขนง โดยทัวไปสัตว์และพืชชันสูง จาํ เปนต้องขยายพันธุ์โดยวิธีใช้เพศ แต่สัตว์ และพืชชันตํา สามารถขยายพันธุ์ได้ทังแบบใช้เพศและไม่ใช้เพศ ส่วนสิง มีชีวิตเซลล์เดียว เช่น แบคทีเรยี สามารถเพิมจาํ นวน โดย ไม่ใช้เพศ ซึงเรยี กว่า การแบ่งตัว สิงมีชีวิตพวกโพรโทซัว เช่น พารามีเซียม สามารถเพิมจาํ นวนได้ ทังแบบใช้เพศ และไม่ใช้เพศ ดังนัน จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของพืชและ สัตว์มีทังการขยายพันธุ์แบบใช้เพศและไม่ใช้เพศ ผลของ การขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศทําให้ได้เซลล์หรอื สิงมีชีวิต เกิดขึนมาใหม่ ทีมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันหมด ซึงเรยี กว่า โคลน
การโคลนนิง โคลนมีความหมายหลายอย่าง เมือพูดถึงการปลูก พืชแล้ว โคลนหมายถึง ลูกหลานของพืช ทีเกิดจากการ ขยายพันธุ์ โดยการตอน การปกชาํ การทาบกิง การติดตา และทีกําลังนิยมในปจจุบัน คือ การเพาะเลียงเนือเยือ ใน วงการพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) การ เพิมจาํ นวนดีเอ็นเอหรอื ยีน (gene) ก็ต้องอาศัยการ โคลนยีนเช่นเดียวกัน การโคลนนิงโดยใช้เซลล์รา่ งกาย (somatic cell) เปนสิงทีนักวิทยาศาสตรท์ ัวโลกสามารถ ทําสาํ เรจ็ แล้วในสัตว์เลียงลูกด้วยนาํ นมหลายชนิด โดยไม่ ต้องมีการนาํ ไข่ และตัวอสุจิมาปฏิสนธิกัน สัตว์โคลนตัว ใหม่ทีเกิดมาจะมีรูปรา่ ง เพศ และพันธุ์ เหมือนตัวต้นแบบ (donor) ทีนาํ มาทําโคลนนิง แต่จะมีส่วนทีแตกต่างกัน อย่างหนึงคือปรมิ าณของไมโทคอนเดรยี ลดีเอ็นเอ (mitochondrial DNA) ซึงเปนสิงทีถ่ายทอดมากับ vไซโทพลาซึม (cytoplasm) ของผู้รบั (recipient)
ประวัติการโคลนนิง โดยปกติการสืบพันธุ์ของคนหรอื สัตว์ต้องอาศัยการผสม กันระหว่างตัวอสุจิกับไข่ หลังจากผสมกันแล้วจะแบ่งตัวพัฒนา เปนตัวอ่อน แล้วคลอดออกมาเปนคนหรอื สัตว์ ซึงจะมีลักษณะ ทางพันธุกรรมเหมือนพ่อและแม่อย่างละครงึ แต่การโคลนนิง จะต่างจากการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ เพราะการโคลนนิงเปน กระบวนการสรา้ งสิงมีชีวิต ให้มีลักษณะทางกายภาพ และ พันธุกรรม เหมือนกัน โดยไม่ต้องใช้เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (อสุจิ) และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย (ไข่) มาผสมกัน แต่จะนําเซลล์จาก สัตว์ ทีต้องการโคลนนิงมาใช้เปนเซลล์ต้นแบบ (donor cell) แล้วฉีดเข้าไปในไข่ทีกําจัดนิวเคลียสออกแล้ว ทําให้ลูกที ได้มีเพศ และพันธุกรรมเหมือนกับเซลล์ต้นแบบ
ประวัติการโคลนนิง การโคลนนิงเรมิ มีขึนครงั แรกใน พ.ศ. 2495 โดยนัก วิทยาศาสตรช์ าวอเมรกิ ัน คือ ดร.ทอมัส คิง (Thomas King) และคณะ ซึงได้ทําการทดลองโคลนนิงกบ โดยการแยก นิวเคลียสของตัวอ่อนกบออกมา และย้ายไปไว้ในไข่กบทียังไม่ ปฏิสนธิ ซึงกําจัดนิวเคลียสออกไปแล้ว ผลปรากฏว่าไข่ดังกล่าว สามารถเจรญิ เติบโตขึนเปนลูกอ๊อด ต่อมา นักวิจัยคณะนี ได้ พัฒนาเทคนิคการโคลนนิง ทีเรยี กว่า การถ่ายโอนนิวเคลียส (nuclear transfer) ซึงวิธีนียังคงเปนทีนิยมใช้อยู่จนถึง ปจจุบัน ทังนี วิธีการโคลนนิงในช่วงแรกนิยมใช้เซลล์ของตัว อ่อนทีเกิด จากการปฏิสนธิตามธรรมชาติเปนเซลล์ต้นแบบ ต่อ มา นักวิทยาศาสตรห์ ลายคนได้ทําการทดลองโคลนนิงสัตว์เลียง ลูกด้วยนาํ นม โดยใช้เซลล์ตัวอ่อนของสัตว์ชนิดต่างๆ เปนเซลล์ ต้นแบบ จนได้ลูกสัตว์โคลนนิงเกิดมา ได้แก่ แกะ โค หนูถีบจักร แพะ หนูขาว กระต่าย ลิงวอก ทังทีก่อนหน้านีนักวิทยาศาสตร์ เชือกันว่า เซลล์รา่ งกายนัน ไม่สามารถนาํ มาโคลนนิงเพือผลิต สัตว์ตัวใหม่ให้เกิดมาได้ แต่จากความพยายามในการวิจัย โดย การใช้เซลล์รา่ งกายเปนเซลล์ต้นแบบ เพือการโคลนนิง
ประวัติการโคลนนิง ผู้บุกเบิกจนประสบความสาํ เรจ็ เปนครงั แรกของโลก ใน พ.ศ. 2540 คือ ดร.เอียน วิลมุต (Ian Wilmut) และคณะ ซึง ปฏิบัติงานอยู่ทีสถาบันวิจัยรอสรนิ ประเทศสกอตแลนด์ ได้รายงาน การเกิดมาของ \"ดอลลี\" (Dolly) ลูกแกะโคลนนิงจากการใช้เซลล์ เต้านมของแกะโตเต็มวัยทีมีอายุ 6 ปเปนเซลล์ต้นแบบ จากนัน เปนต้นมา นักวิทยาศาสตรท์ ัวโลกได้ศึกษาวิจัยทดลองนาํ เซลล์จาก ส่วนต่างๆ ของรา่ งกายในสัตว์อีกหลายชนิดมาทําเปนเซลล์ต้นแบบ จนได้ลูกสัตว์เกิดมา เช่น โค กระบือ สุกร แมว ม้า ล่อ กระทิง หนู ขาว หนูถีบจักร กระต่าย เฟอรเ์ รต็ * (ferret) *สัตว์จาํ พวกหนึง มีรูปรา่ งคล้ายพังพอน เลียงไว้สาํ หรบั ไล่กระต่าย และหนู
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย วิธีการโคลนนิงสัตว์โดยใช้เซลล์รา่ งกายมีขันตอนดังนี 1. การเตรยี มเซลล์ต้นแบบ 2. การเตรยี มไซโทพลาซึมผู้รบั 3. การฉีดเซลล์ต้นแบบเข้าไปในไซโทพลาซึมผู้รบั 4. การเชือมเซลล์ต้นแบบให้ติดกับไซโทพลาซึมผู้รบั 5. การกระตุ้นให้เซลล์แบ่งตัว 6. การเลียงตัวอ่อนโคลนนิงในหลอดแก้ว 7. การถ่ายโอนตัวอ่อนโคลนนิงสู่แม่ตัวรบั ในทีนีเพือให้เห็นรายละเอียดขันตอนชัดเจน จะยกตัวอย่างการ โคลนนิงโค โดยใช้เซลล์ใบหูเปนเซลล์ต้นแบบ ดังต่อไปนี
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย 1. การเตรยี มเซลล์ต้นแบบ (Donor cell preparation) โดยทัวไปวิธีการโคลนนิงสัตว์สามารถใช้เนือเยือจากส่วน ต่างๆ ของรา่ งกายสัตว์มาทําเปนเซลล์ต้นแบบ เช่น ผิวหนัง กล้ามเนือ ตับ ไต ไขกระดูก โดยมีข้อกําหนดในเบืองต้นคือ เนือเยือ เหล่านันต้องยังไม่เน่าเปอย ซึงหมายความว่า เซลล์ ที อยู่ภายในเนือเยือยังมีชีวิตอยู่ เพราะต้องการนาํ เนือเยือเหล่านี ไปเพาะเลียงในห้องทดลอง เพือให้เซลล์ทีอยู่ภายในเนือเยือ เจรญิ ขึนมา แสดงการเจรญิ ของเซลล์ไฟโบรบราสต์กําลังขยาย ๑๐๐ เท่า ออกจากหนังหู (สีดาํ )
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย การโคลนนิงโคนิยมใช้หนังหูของโคนาํ มาเพาะเลียง เพือให้ได้เซลล์ สาํ หรบั ทําเปนเซลล์ต้นแบบ สาเหตุทีใช้หนังหู เพราะเก็บได้ง่าย และไม่ ทําให้บาดแผลอักเสบหลังการเก็บ โดยมีวิธีทําคือ นาํ โคทีต้องการโคลนนิง มาเข้าซองบังคับ ซึงจะล็อกคอและหัวของโค ให้อยู่นิง เพือทําการเก็บใบหู ด้วยการทําความสะอาดไขมันหรอื สิงสกปรก ออกจากติงใบหูทังด้านบน และล่าง (บรเิ วณเดียวกับทีเจาะหูของสตรเี พือใส่ตุ้มหู) จากนันโกนขนที หนังหูทัง 2 ด้านและเช็ดฆ่าเชือด้วยแอลกอฮอล์ แล้วใช้เครอื งเจาะรูหู ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-5 มิลลิเมตร เจาะหูเพียงรูเดียว หลังจากนัน นาํ ชินใบหูทีได้ เก็บไว้ในหลอดนาํ เกลือ ทีแช่ในถังนาํ แข็งในขณะนาํ กลับเข้า ห้องปฏิบัติการ ซึงสามารถแช่หนังหูไว้ได้ไม่เกิน ๑๒ ชัวโมง ระหว่างการ ขนส่ง การปฏิบัติในห้องปฏิบัติการจะนาํ ชินใบหูมาเช็ดด้วยแอลกอฮอล์อีก 2 ครงั หลังจากนันในขันตอนต่อจากนีไป จะทําในตู้ปลอดเชือ เพือ ปองกันการติดเชือ คือ ใช้มีดผ่าตัดลอกหนังหูด้านบนและล่างออกจาก กระดูกอ่อน แล้วตัดส่วนทีเปนหนังขนาดประมาณ 1×××1 ตาราง มิลลิเมตร นาํ ไปวางบนจานเลียงเซลล์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 มิลลิเมตร และปดชินหนังหูด้วยกระจกแก้วทีปลอดเชือ เพือไม่ให้หนังหู ลอย เติมนาํ ยาเลียงเซลล์ 5 มิลลิลิตร แล้วนาํ หนังหูไปเลียงในตู้อบเลียง เซลล์ทีมีอุณหภูมิ 38.5 องศาเซลเซียส นาน 4 วัน จากนันนาํ เซลล์ทีเลียง ออกมาส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพือดูการเจรญิ เติบโตและตรวจ สอบว่ามีการติดเชือหรอื ไม่ หากไม่มีการติดเชือจะทําการเลียงต่อ โดยจะ เปลียนนาํ ยาทีใช้เลียงเซลล์ทุก 3 วัน ลักษณะของ เซลล์ทีเจรญิ ขึนมาใหม่ เปนรูปกระสวยเรยี งติดกัน เรยี กเซลล์นีว่า เซลล์ไฟโบรบราสต์ (fibrobrast) ซึงเปนเซลล์ทีเปนหน่วยย่อยของผิวหนังหรอื กล้ามเนือ
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย เซลล์ไฟโบรบราสต์กําลังขยาย ๒๐๐ เท่า เมือเซลล์เจรญิ ขึนมากแล้ว จะแยกเซลล์ออกไปเลียงในจานเลียง เซลล์ใหม่ เพือเพิมปรมิ าณเซลล์ให้มีจาํ นวนมากขึน ตามปกติ จะแยก เซลล์ไปเลียงในจานเลียงเซลล์ 2 ครงั เพือเลียงให้ได้ 10 จาน ซึงจะได้ เซลล์เจรญิ ขึนมาอย่างน้อย 10 ล้านเซลล์ และนาํ เซลล์ไปแบ่งใส่หลอด แช่แข็งเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลวให้ได้อย่างน้อย 50 หลอด เมือ ต้องการโคลนนิง จะต้องนาํ หลอดเก็บเซลล์ออกมาละลายในนาํ อุ่น แล้ว นาํ เซลล์ออกมาเลียงในจานเลียงเซลล์ 1-2 วันก่อนใช้งาน จากนันใช้ นาํ ยาย่อย เซลล์แยกให้เปนเซลล์เดียวๆ และคัดเลือกเซลล์ทีมีรูปรา่ ง กลมปกติ และมีขนาดไม่เล็กหรอื ใหญ่เกินไป (ขนาด 14-16 ไมครอน) เพือใช้เปนเซลล์ต้นแบบสาํ หรบั การโคลนนิง
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย 2. การเตรยี มไซโทพลาซึมผู้รบั (Recipient cytoplasm preparation) ในการโคลนนิงจาํ เปนต้องใช้ไซโทพลาซึมของไข่สุก ทีพรอ้ ม ปฏิสนธิมาทําให้นิวเคลียส ของเซลล์ต้นแบบโปรแกรมตัวเองใหม่ (reprogramming) เพือให้กลับมามีสภาพ เหมือนกับนิวเคลียส ของตัวอ่อนระยะแรก ซึงในกรณีการโคลนนิงโค ก็จาํ เปนต้องใช้ไข่ โค มาทําเปนไซโทพลาซึมผู้รบั โดยไข่จะอยู่ภายในรงั ไข่ ซึงสามารถ เก็บ โดยการใช้เครอื งอัลตราซาวนด์เจาะดูดจากโค ทีมีชีวิตได้ทุกๆ สัปดาห์ แต่วิธีนี จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเลียงโค นอกจากนี เข็ม ทีใช้เจาะไข่ และเครอื งอัลตราซาวนด์ ก็มีราคาแพง ทําให้ไข่มีต้นทุน สูง จึงใช้วิธีเก็บรงั ไข่โค จากโรงฆ่าสัตว์ ซึงมีต้นทุนทีตํา ในระหว่างที นาํ เข้าห้องปฏิบัติการ ควรเก็บรงั ไข่ไว้ในนาํ เกลือ ทีอุณหภูมิห้อง จากนันนาํ รงั ไข่มาดูดไข่อ่อน ทีอยู่ในถุงไข่ ขนาด 3-7 มิลลิเมตร ด้วยเข็มฉีดยาเบอร์ 18 ทีต่อกับกระบอกฉีดยา ขนาด 10 มิลลิลิตร ไข่ทีได้ยังเปนไข่อ่อน จึงจาํ เปนต้องนาํ มาเลียงในนาํ ยาสาํ หรบั เลียง ไข่ให้สุก ในตู้อบเลียงเซลล์เปนเวลา 20-21 ชัวโมง เพือให้ไข่เจรญิ เปนไข่สุก ซึงจะมีโพลารบ์ อดีที 1 (1st polar body) ออกมาจากไซ โทพลาซึม เมือไข่สุกแล้ว จึงนาํ มาทําการกําจัดนิวเคลียสออกไป ซึง ต้องทําภายใต้กล้องจุลทรรศน์หัวกลับ กําลังขยาย 200 เท่า โดย การใช้เข็มตัดเปลือกไข่ ทีอยู่เหนือโพลารบ์ อดีที 1 แล้วใช้เข็มกดให้ ไซโทพลาซึมออกมาตรงเปลือกไข่ ทีถูกตัด ไข่ทีได้จะมีไซโทพลาซึม ทีพรอ้ มสาํ หรบั การโคลนนิง การดูดไข่โคจากรังไข่ทีได้จากโรงฆ่าสัตว์
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย 3. การฉีดเซลล์ต้นแบบเข้าไปในไซโทพลาซึมผู้รบั (Injecting donor cell into recipient cytoplasm) หลังจากทีกําจัดนิวเคลียสออกจากไข่และแยกเซลล์ต้นแบบทีเลียง ไว้ให้เปนเซลล์เดียวๆ แล้ว จึงฉีดเซลล์ต้นแบบ 1 เซลล์ เข้าไปในไข่ ซึง ต้องทําภายใต้กล้องจุลทรรศน์หัวกลับกําลังขยาย 200 เท่า โดยการ ดูดเซลล์ต้นแบบเข้าไว้ในหลอดแก้วขนาด 16-18 ไมครอน แล้วสอด ผ่านรอยตัดเปลือกไข่เข้าไป หลังจากนันฉีดปล่อยเซลล์ต้นแบบให้ เข้าไปอยู่ชิดกับผนังไซโทพลาซึมไข่ เซลล์ต้นแบบทีถูกย่อยออกเปนเซลล์เดียว ด้วยนาํ ยาย่อยเซลล์
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย 4. การเชือมเซลล์ต้นแบบให้ติดกับไซโทพลาซึมผู้รบั (Fusion donor cell with recipient cytoplasm) หลังจากฉีดเซลล์ต้นแบบเข้าไปในไข่แล้ว จาํ เปนต้องเชือมเซลล์ ต้นแบบกับไข่ให้ติดกันด้วยกระแสไฟฟาอ่อนๆ เพือหลอมเซลล์ต้นแบบให้ เข้ามาอยู่ภายในไซโทพลาซึมของไข่ โดยจัดให้เซลล์ต้นแบบ อยู่ในระนาบ เดียวกับ อิเล็กโทรด จ่ายกระแสไฟฟา ทัง 2 ด้าน แล้วจ่ายกระแสไฟฟา 30 โวลต์ นาน 15 ไมโครวินาที โดยทํา 2 ครงั เพือเชือมเซลล์ให้ติดกัน หลังจากเชือมเซลล์เสรจ็ แล้วจะนาํ ไข่ทังหมดไปพักไว้ในนาํ ยานาน 40-50 นาที แล้วนาํ ไข่แต่ละใบมาตรวจสอบว่า เชือมกับเซลล์ต้นแบบเรยี บรอ้ ย แล้วหรอื ไม่ การเชือมเซลล์ต้นแบบกับไข่ด้วยกระแสไฟฟา
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย 5. การกระตุ้นให้เซลล์แบ่งตัว (Activation for cell division) ในธรรมชาติ เมือเกิดการปฏิสนธิระหว่างตัวอสุจิกับไข่ ตัวอสุจิจะส่ง สัญญาณกระตุ้นให้ไข่เกิดการแบ่งตัว แต่ในกรณีของการโคลนนิงจะไม่มี ตัวอสุจิเข้ามาเกียวข้อง ดังนัน จึงต้องกระตุ้นเทียมด้วยสารเคมี เพือให้ เซลล์แบ่งตัว โดยคัดเลือกไข่ทีเชือมกับเซลล์ต้นแบบแล้ว และนาํ ไป กระตุ้นโดยการเก็บไว้ในนาํ ยาทีมีเอทานอล 7% นาน 5 นาที จากนัน นาํ ไปเลียงต่อในนาํ ยาทีมีไซโคลเฮกซิไมด์ (cycloheximide) 10 ไมโครกรมั /มิลลิลิตร และไซโทชาลาซินดี (cytochalasin D) 1.25 ไมโครกรมั /มิลลิลิตร ในตู้อบเลียงเซลล์ทีมีอุณหภูมิ 38.5 องศา เซลเซียส ภายใต้บรรยากาศทีมีคารบ์ อนไดออกไซด์ 5% นาน 5 ชัวโมง
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย 6. การเลียงตัวอ่อนโคลนนิงในหลอดแก้ว (In vitro culture of cloned embryo) ไข่ทีผ่านการกระตุ้นให้แบ่งตัวแล้ว นาํ มาเลียงในนาํ ยาเลียงตัวอ่อน โค ในตู้อบเลียงเซลล์ทีอุณหภูมิ 38.5 องศาเซลเซียส ภายใต้บรรยากาศทีมี ออกซิเจน 5% คารบ์ อนไดออกไซด์ 5% และ ไนโตรเจน 90% นาน 2 วัน จากนัน คัดเลือกตัวอ่อนระยะ 8 เซลล์ไปเลียงในนาํ ยาเลียงตัวอ่อนโค ในตู้ อบเลียงเซลล์ ทีอุณหภูมิ 38.5 องศาเซลเซียส ภายใต้บรรยากาศทีมี คารบ์ อนไดออกไซด์ 5% นาน 5 วัน โดยเลียงรว่ มกับเซลล์บุท่อนาํ ไข่ของโค เนืองจากเซลล์บุท่อนาํ ไข่ สามารถหลังสารทีช่วยให้ตัวอ่อนเจรญิ เติบโต โดยรวมแล้ว จะเลียงตัวอ่อนในหลอดแก้ว นาน 7 วัน ซึงจะได้ตัวอ่อนระยะ บลาสโตซีสต์ (blastocyst) ทีพรอ้ มฝงตัวในมดลูก หลังจากนัน จึง ทําการถ่ายโอนตัวอ่อน ไปยังมดลูกแม่โคตัวรบั ตัวอ่อนโคระยะบลาสโทซีสต์ หลังจากเลียงในหลอดแก้ว 7 วัน
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย 7. การถ่ายโอนตัวอ่อนโคลนนิงสู่แม่ตัวรบั (Transfer cloned embryo to recipient) โคทีจะนาํ มาเปนตัวรบั จะเปนพันธุ์ใดก็ได้ โดยคัดเลือกเอาเฉพาะแม่โคที มีระบบสืบพันธุ์ทีสมบูรณ์ดี มีการเปนสัดสมาํ เสมอ และปลอดโรค ติดต่อ โคสาวทีมีอายุระหว่าง 16-18 เดือนจะดีทีสุด เพราะโคสาวจะมี อัตราตังท้องหลังถ่ายโอนตัวอ่อนสูงกว่าโค ทีเคยมีลูกมาแล้ว ก่อน ถ่ายโอนตัวอ่อนต้องเลียงโคตัวรบั ให้พรอ้ มล่วงหน้า 3-4 เดือน เพือให้ โคมีสุขภาพดี สามารถใช้ฮอรโ์ มนกระตุ้นให้โคเปนสัดพรอ้ มกันครงั ละ หลายๆ ตัว ภาพเขียนแสดงการย้ายฝากตัวอ่อน 1-2 ใบใส่ ปกมดลูกของโค
การโคลนนิง โดยใช้เซลล์ร่างกาย ในขันตอนการผลิตตัวอ่อนโคโคลนนิงจะเลียงตัวอ่อนไว้ 7 วัน ดังนัน ต้องคัดเลือกโคตัวรบั ทีเปนสัดมาแล้ว 7 วัน เพือให้ผนังมดลูก ตรงกันกับอายุของตัวอ่อน ทําให้หลังจากถ่ายโอนตัวอ่อนจะมีโอกาสตัง ท้องสูง การถ่ายโอนตัวอ่อนโคลนนิงจาํ นวน 1-2 ใบเข้าสู่ปกมดลูกของโค โดยการสอดท่อถ่ายโอนตัวอ่อนเข้าทางปากมดลูก ซึงไม่ต้องมีการผ่าตัด หลังจากนันนับไปอีก 30 วัน จะตรวจการตังท้องด้วยอัลตราซาวนด์ โค ตัวใดทีตังท้องจะแยกออกมาเลียง และล้วงตรวจการตังท้องทุกๆ เดือน จนกว่าจะครบกําหนดเกิดมา โดยปกติโคมีระยะเวลาตังท้อง 280-285 วัน อัตราการตังท้อง หลังการถ่ายโอนตัวอ่อนโคลนนิง ในระยะ 2 เดือน แรกคือ รอ้ ยละ 30-40 และอัตราการตังท้องจนครบกําหนดมีประมาณ รอ้ ยละ 10
ความสาํ เร็จของการ โคลนนิงในประเทศไทย เทคนิควิธีการโคลนนิงโคดังทีกล่าวมา มีนักวิทยาศาสตรจ์ าํ นวน มากนาํ ไปใช้จนประสบความสาํ เรจ็ อย่างแพรห่ ลาย สาํ หรบั ประเทศไทย สามารถโคลนนิงลูกโคจากเซลล์ใบหูโคพันธุ์แบรงกัสเพศเมีย ได้ลูกโคชือ ว่า อิง เกิดเมือวันที 6 มีนาคม พ.ศ. 2543 นับเปนลูกโคโคลนนิงตัวแรก ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเปนตัวที ๖ ของโลก นอกจากนี ยังมีลูก โคพันธุ์บราห์มันเทาเพศเมีย ชือว่า นิโคล เกิดเมือวันที 3 เมษายน พ.ศ. 2544 จากการใช้เซลล์ใบหูโคบราห์มันเทาเพศเมีย ลูกโคทังอิงและนิโคล เปนผลงานของดร.รงั สรรค์ พาลพ่าย และคณะ ขณะปฏิบัติงาน ทีคณะ สัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อิง (ตัวสีดาํ ) ลูกโคโคลนนิงตัวแรกของประเทศไทย
เอกสารเล่มนีใช้เพือเปนสือการเรยี นการสอนเท่านัน กศน.อําเภอพญาเม็งราย
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: