รายงาน เรอ่ื ง...ประวตั ิของกีฬาเซปักตะกรอ้ โดย นาย อธิวฒั น์ จนั คายา รหสั นกั ศกึ ษา 62151537 สาขา พลศกึ ษาและนนั ทนาการ เสนอ อาจารย์ สรุ ศกั ดิ์ สิงหส์ า รายงานนีเ้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของรายวิชา วิชาตะกรอ้ PE 3208-62 มหาลยั ราชภฏั เชียงใหม่
คานา ตะกรอ้ เป็นกีฬาไทย และเป็นกีฬาท่ีนิยมเลน่ กนั แพรห่ ลายมาแตโ่ บราณกาลและนยิ มเลน่ ในประเทศแถบ เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ปัจจบุ นั ก็มีการแขง่ ขนั กีฬาตะกรอ้ รว่ มอยู่ดว้ ยซ่งึ นบั วา่ กีฬาเซปักตะกรอ้ เป็นท่ีนิยมกนั อยา่ งกวา้ งขวาง ตะกรอ้ มีหลายประเภทไดแ้ ก่ ตะกรอวง ตะกรอ้ ลอดบว่ ง ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย แลเซปักตะกรอ้ รายงานฉบบั นีเ้ ป็นสว่ นหน่งึ ของรายวิชาPE3208-62 ตะกรอ้ เป็นเร่ืองเก่ียวกบั กีฬาตะกรอ้ ประวตั ใิ นประ เทสและนอกประเทศ จดั ทาเพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั สตู รการสอน หวงั วา่ รายงานเลม่ นีจ้ ะเป็นประโยชนใ์ นการหาความรูไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามจดุ มงุ่ หมาย หากมีขอ้ ผิดพลาดประการใดก็ขออภยั มา ณ ท่ีนีด้ ว้ ย
สารบญั 1 2 คานา 3 สารบญั 4 ประวตั คิ วามเป็นมาของตะกรอ้ 5 ประวตั คิ วามเป็นมาของตะกรอ้ ในประเทศและนอกประเทศ 6 ประเภทของตะกรอ้ และประวตั ติ ะกรอ้ ท่ีบนั ทกึ ไว้ 7-9 ประเภทการแข่งขนั 10 กติกา 11 ประโยชนข์ องตะกรอ้ 12 มารยาทผเู้ ลน่ 13 มารยาทผชู้ ม เอกสารอา้ งอิง 14 ภาคผนวก
ประวตั กิ ีฬาตะกรอ้ การแขง่ ขนั ตะกรอ้ ตะกรอ้ เป็นการละเล่นของไทยมาแต่โบราณ แต่ไม่มีหลกั ฐานแนน่ อนว่ามี มาตง้ั แตส่ มยั ใด แตค่ าดวา่ ราว ๆ ตน้ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ประเทศอ่ืนท่ีใกลเ้ คียงก็มีการเลน่ ตะกรอ้ คน เลน่ ไม่จากดั จานวน เลน่ เป็นหม่หู รอื เด่ียวก็ได้ ตามลานท่ีกวา้ งพอสมควร ตะกรอ้ ท่ีใชเ้ ดมิ ใช่หวาย ถกั เป็นลกู ตะกรอ้ ปัจจบุ นั นยิ มใชล้ กู ตะกรอ้ พลาสติก การเตะตะกรอ้ เป็นการเลน่ ท่ีผเู้ ลน่ ไดอ้ อก กาลงั กายทกุ สดั ส่วน ฝึกความว่องไว ความสงั เกต มีไหวพรบิ ทาใหม้ ีบคุ ลิกภาพดี มีความสงา่ งาม และการเลน่ ตะกรอ้ นบั ไดว้ า่ เป็นเอกลกั ษณข์ อง ไทยอยา่ งหน่งึ ในการคน้ ควา้ หาหลกั ฐานเก่ียวกบั แหลง่ กาเนิดการกีฬาตะกรอ้ ในอดีตนน้ั ยงั ไม่ สามารถหาขอ้ สรุปไดอ้ ย่างชดั เจนว่ากีฬาตะกรอ้ นนั้ กาเนิดจากท่ีใด จากการสนั นิษฐานคงจะได้ หลายเหตผุ ลดงั นี้ -ประเทศพม่า เม่ือประมาณ พ.ศ. 2310 พม่ามาตง้ั ค่ายอย่ทู ่ีโพธิ์สามตน้ ก็เลยเลน่ กีฬาตะกรอ้ กนั ซง่ึ ทางพมา่ เรยี กว่า “ชิงลง” ทางมาเลเซียก็ประกาศว่า ตะกรอ้ เป็นกีฬาของประเทศมาลายเู ดิมเรยี กวา่ ซปี ักรากา (Sepak Raga) คาวา่ Raga หมายถงึ ตะกรา้ -ทางฟิลปิ ปินส์ ก็นิยมเล่นกนั มานานแลว้ แต่เรยี กว่า Sipak
-ทางประเทศจีนก็มีกีฬาท่ีคลา้ ยกีฬาตะกรอ้ แตเ่ ป็นการเตะตะกรอ้ ชนิดท่ีเป็นลกู หนงั ปักขนไก่ ซง่ึ จะ ศกึ ษาจากภาพเขียนและพงศาวดารจีน ชาวจีนกวางตงุ้ ท่ีเดินทางไปตงั้ รกรากในอเมรกิ าไดน้ าการ เล่นตะกรอ้ ขนไก่นีไ้ ปเผยแพร่ แตเ่ รยี กว่าเตกโก (Tek K’au) ซง่ึ หมายถงึ การเตะลกู ขนไก่ -ประเทศเกาหลี ก็มีลกั ษณะคลา้ ยกบั ของจีน แต่ลกั ษณะของลกู ตะกรอ้ แตกตา่ งไป คือใชด้ ินเหนียว หอ่ ดว้ ยผา้ สาลีเอาหางไก่ฟา้ ปัก ประกาศไทยก็นิยมเล่นกีฬาตะกรอ้ มายาวนาน และประยกุ ตจ์ น เขา้ กบั ประเพณีของชนชาตไิ ทยอย่างกลมกลืนและสวยงามทง้ั ดา้ นทกั ษะและความคดิ ประวตั กิ ีฬาตะกรอ้ ในประเทศและต่างประเทศ ในสมยั โบราณนน้ั ประเทศไทยเรามีกฎหมายและวิธีการลงโทษผกู้ ระทาความผดิ โดยการ นาเอานกั โทษใสล่ งไปในส่งิ กลมๆท่ีสานดว้ ยหวายใหช้ า้ งเตะ แตส่ ่ิงท่ีช่วยสนบั สนนุ ประวตั ขิ อง ตะกรอ้ ไดด้ ี คือ ในพระราชนิพนธเ์ ร่อื งอิเหนาของรชั กาลท่ี 2 ในเรอ่ื งมีบางตอนท่ีกลา่ วถึงการเล่น ตะกรอ้ และท่ีระเบียงพระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ซง่ึ เขียนเร่อื งรามเกียรติ์ ก็มีภาพการ เล่นตะกรอ้ แสดงไวใ้ หอ้ นชุ นรุน่ หลงั ไดร้ บั รู้ โดยภมู ิศาสตรข์ องไทยเองก็สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหเ้ ราไดท้ ราบประวตั ิของตะกรอ้ คือประเทศ ของเราอดุ มไปดว้ ยไมไ้ ผ่ หวายคนไทยนยิ มนาเอาหวายมาสานเป็นส่งิ ของเคร่อื งใช้ รวมถงึ การละเล่นพนื้ บา้ นดว้ ย อีกทงั้ ประเภทของกีฬาตะกรอ้ ในประเทศไทยก็มีหลายประเภท เช่น ตะกรอ้ วง ตะกรอ้ ลอดหว่ ง ตะกรอ้ ชิงธงและการแสดงตะกรอ้ พลิกแพลงตา่ งๆ ซง่ึ การเลน่ ตะกรอ้ ของ ประเทศอ่ืนๆนน้ั มีการเล่นไม่หลายแบบหลายวธิ ีเช่นของไทยเรา การเล่นตะกรอ้ มีววิ ฒั นาการอย่าง ตอ่ เน่ืองมาตามลาดบั ทงั้ ดา้ นรูปแบบและวตั ถดุ ิบในการทาจากสมยั แรกเป็นผา้ , หนงั สตั ว์ , หวาย ,จนถงึ ประเภทสงั เคราะห์ ( พลาสตกิ ) ความหมาย คาวา่ ตะกรอ้ ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตสถาน พ . ศ . 2525 ไดใ้ หค้ าจากดั ความเอาไวว้ า่ ” ลกู กลมสานดว้ ยหวายเป็นตา สาหรบั เตะ “
วิวฒั นาการการเล่นกีฬาตะกรอ้ การเลน่ ตะกรอ้ ไดม้ ีวิวฒั นาการในการเล่นมาอยา่ งตอ่ เน่ือง ในสมยั แรกๆ ก็เป็นเพยี งการ ชว่ ยกนั เตะลกู ไมใ่ หต้ กถึงพนื้ ตอ่ มาเม่ือเกิดความชานาญและหลีกหนีความจาเจ ก็คงมีการเร่มิ เล่น ดว้ ยศีรษะ เขา่ ศอก ไหล่ มีการจดั เพม่ิ ทา่ ใหย้ ากและสวยงามขนึ้ ตามลาดบั จากนน้ั ก็ตกลงวาง กติกาการเลน่ โดยเอือ้ อานวยตอ่ ผเู้ ลน่ เป็นสว่ นรวม อาจแตกต่างไปตามสภาพภมู ิประเทศของแต่ ละพนื้ ท่ี แตค่ งมีความใกลเ้ คียงกนั มากพอสมควร ตะกรอ้ นนั้ มีมากมายหลายประเภท เช่น - ตะกรอ้ ขา้ มตาข่าย – ตะกรอ้ ลอดบ่วง – ตะกรอ้ พลิกแพลงเป็นตน้ เม่ือมีการวางกติกาและท่าทางในการเลน่ อยา่ งลงตวั แลว้ ก็เรม่ิ มีการแขง่ ขนั กนั เกิดขนึ้ ในประเทศ ไทยตาม ประวตั ิของการกีฬาตะกรอ้ ตงั้ แตอ่ ดีตท่ีไดบ้ นั ทกึ ไวด้ งั นี้ พ.ศ. 2472 กีฬาตะกรอ้ เร่มิ มีการแขง่ ขนั ครง้ั แรกภายในสมาคมกีฬาสยาม พ.ศ. 2476 สมาคมกีฬาสยามประชมุ จดั รา่ งกตกิ าในการแข่งขนั กีฬาตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ยและเปิดให้ มีการแขง่ ขนั ในประเภทประชาชนขึน้ เป็นครง้ั แรก พ.ศ. 2479 ทางการศกึ ษาไดม้ ีการเผยแพรจ่ ดั ฝึกทกั ษะในโรงเรยี นมธั ยมชายและเปิดใหม้ ีแข่งขนั ดว้ ย พ.ศ. 2480 ไดม้ ีการประชมุ จดั ทาแกไ้ ขรา่ งกฎระเบียบใหส้ มบรู ณข์ นึ้ โดยอย่ใู นความควบคมุ ดแู ล ของ เจา้ พระยาจินดารกั ษ์ และกรมพลศกึ ษาก็ไดอ้ อกประกาศรบั รองอยา่ งเป็นทางการ พ.ศ. 2502 มีการจดั การแข่งขนั กีฬาแหลมทอง ครง้ั ท่ี 1 ขนึ้ ท่ีกรุงเทพฯ มีการเชิญนกั ตะกรอ้ ชาว พม่ามาแสดงความสามารถในการเลน่ ตะกรอ้ พลกิ แพลง
พ.ศ. 2504 กีฬาแหลมทองครง้ั ท่ี 2 ประเทศพมา่ ไดร้ บั เกียรตใิ หเ้ ป็นเจา้ ภาพในการแข่งขนั นกั ตะกรอ้ ของไทยก็ไดไ้ ปรว่ มแสดงโชวก์ ารเตะตะกรอ้ แบบพลิกแพลงดว้ ย พ.ศ. 2508 กีฬาแหลมทองครง้ั ท่ี 3 จดั ขนึ้ ท่ีประเทศมาเลเซีย ไดม้ ีการบรรจกุ ารเตะตะกรอ้ 3 ประเภท เขา้ ไวใ้ นการแข่งขนั ดว้ ยก็คือ - ตะกรอ้ วง – ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย – ตะกรอ้ ลอดบว่ ง อีกทงั้ มีการจดั ประชมุ วางแนวทางดา้ นกตกิ าทงั้ ภาษาไทยและภาษาองั กฤษเพ่อื สะดวกในการ เล่นและการเขา้ ใจของผชู้ มในสว่ นรวมอีกดว้ ย พอเสรจ็ สนิ้ กีฬาแหลมทองครงั้ ท่ี 3 กีฬาตะกรอ้ ไดร้ บั ความนยิ มเพ่มิ ขนึ้ เป็นอนั มาก บทบาท ของประเทศมาเลเซยี ก็เร่มิ มีมากขนึ้ จากการไดเ้ ขา้ รว่ มในการประชมุ ตง้ั กฎกติกากีฬาตะกรอ้ ประเภทขา้ มตาขา่ ย หรอื ท่ีเรยี กว่า ” เซปักตะกรอ้ ” และสง่ ผลใหก้ ีฬาตะกรอ้ ขา้ มตาข่าย ไดร้ บั การ บรรจเุ ขา้ ในการแข่งขนั กีฬาแหลมทองครง้ั ท่ี 4 จนถงึ ปัจจบุ นั กตกิ าตะกรอ้ การแขง่ ขนั ตะกรอ้ ในระดบั นานาชาติ เรยี กเกมกีฬาชนิดนีว้ า่ เซปักตะกรอ้ โดยเป็นการแข่งขนั ของผู้ เลน่ 2 ทีม ทาการโตต้ ะกรอ้ ขา้ มตาข่ายเพ่ือใหล้ งในแดนของคตู่ ่อสู้ สามารถแบง่ แยกย่อยเป็น 2 ประเภทคือ “เรก”ู หรอื ทีม 3 คน และ “ดบั เบลิ้ เรก”ู หรอื ก็คือ ตะกรอ้ คู่ ผู้เล่น ประเภทเด่ียว มีผเู้ ล่นตวั จรงิ 3 คน สารอง 1 คน ประเภททีม ประกอบดว้ ย 3 ทีม มีผเู้ ลน่ 9 คน และ ผเู้ ลน่ สารอง 3 คน ตาแหนง่ ของผเู้ ล่น มี 3 ตาแหน่ง คือ -หลงั (Back) เป็นผเู้ ตะตะกรอ้ จากวงกลม -หนา้ ซา้ ย -หนา้ ขวา
การเปล่ียนตวั ผู้เล่น ในทีมเด่ียวเปล่ียนตวั ได้ 1 คน และถา้ เหลือนอ้ ยกว่า 3 คน ถือวา่ แพ้ ผมู้ ีช่ือในทีมเด่ียวท่ีเลน่ มานาน แลว้ จะลงเลน่ ในทีมเด่ียวตอ่ ไปไมไ่ ด้ การเสยี่ งและการอบอนุ่ ร่างกาย มีการเส่ียง ผชู้ นะการเส่ียงจะไดเ้ ลือกขา้ งหรอื ส่งลกู ทีมท่ีไดส้ ่งลกู จะไดอ้ บอ่นุ รา่ งกายก่อน เป็นเวลา 2 นาที พรอ้ มเจา้ หนา้ ท่ีและนกั กีฬาไม่เกิน 5 คน ตาแหน่งของผู้เล่นระหว่างการส่งลูกเสิรฟ์ เม่ือเรม่ิ เลน่ ทงั้ 2 ทีมพรอ้ มในแดนของตนเอง ผเู้ ล่นฝ่ายเสิรฟ์ จะตอ้ งอยใู่ นวงกลมของตนเอง เม่ือเสริ ฟ์ แลว้ จงึ เคล่ือนท่ีได้ ส่วนผเู้ ลน่ ฝ่ายรบั จะยืนท่ีใดก็ได้ การเปลย่ี นส่ง ใหเ้ ปล่ียนการส่งลกู เม่ือฝ่ายส่งลกู ผดิ กตกิ า หรอื ฝ่ายรบั ทาลกู ใหต้ กบนพนื้ ท่ีของฝ่ายส่งได้ การขอเวลานอก ขอไดเ้ ซตละ 1 ครงั้ ๆ ละ 1 นาที การนบั คะแนน การแข่งขนั ใชแ้ บบ 2 ใน 3 เซต ในเซตท่ี 1 และเซตท่ี 2 จะมีคะแนนสงู สดุ 15 คะแนน ทีมใดได้ 15 คะแนนก่อน จะเป็นผชู้ นะในเซตนนั้ ๆ ทง้ั 2 เซต จะไมม่ ีดิวส์ หากทง้ั สองทีมได้ 13 ก่อน หรอื 14 เทา่ กนั พกั ระหวา่ งเซต 2 นาที ถา้ เสมอกนั 1:1 เซต ใหท้ าการแขง่ ขนั เซตท่ี 3 ดว้ ยไทเบรก โดย เรม่ิ ดว้ ยการเส่ียงใหม่ โดยใชค้ ะแนน 6 คะแนน ทีมใดได้ 6 คะแนนก่อนเป็นผชู้ นะ แต่จะตอ้ งแพ้ ชนะอยา่ งนอ้ ย 2 คะแนน ถา้ ยงั ไม่แพก้ นั ไม่นอ้ ยกวา่ 2 คะแนน ก็ใหท้ าการแข่งขนั อีก 2 คะแนน แตไ่ มเ่ กิน 8 คะแนน เช่น 8:6 หทรอื 8:7 ถือเป็นการยตุ กิ ารแขง่ ขนั ระบบไทเบรก เม่ือฝ่ายใดก็ตามได้ 3 คะแนน และขอเวลา นอกไดเ้ ซตละ 1 ครงั้ ครง้ั ละ 1 นาที สาหรบั ไทเบรก ขอเวลาได้ 1 ครง้ั ครง้ั ละ 30 วนิ าที
ขนาดสนามตะกรอ้ สนามแข่งขนั เซปักตะกรอ้ มีรูปรา่ งส่ีเหล่ียมผืนผา้ ขนาดประมาณ 2 เทา่ ของสนามแบดมินตนั มี ความยาว 13.40 เมตร กวา้ ง 6.1 เมตร เพดานหรอื ส่ิงกีดขวางอ่ืนใด ตอ้ งอยสู่ งู กว่าสนามไมน่ อ้ ย กวา่ 8 เมตร จากพนื้ สนาม (ไม่เป็นพืน้ หญา้ หรอื พืน้ ทราย) และตอ้ งไม่มีส่ิงกีดขวางอ่ืนใดในระยะ 3 เมตรจากขอบสนามโดยรอบ ความกวา้ งของเสน้ ขอบทงั้ หมดวดั จากดา้ นนอกเขา้ มาไม่เกิน 4 เซนติเมตร ส่วนเสน้ แบ่งแดนความ กวา้ งไมเ่ กิน 2 เซนติเมตร โดยลากเสน้ แบ่งแดนทง้ั 2 ขา้ งออกตามแนวขวาง แนวเสน้ ทบั พนื้ ท่ีของ แตล่ ะแดนเทา่ ๆ กนั เสน้ ขอบทง้ั หมดนบั รวมเป็นส่วนหน่งึ ของแดนสาหรบั ผเู้ ล่นแต่ละฝ่าย
ปลายของเสน้ แบง่ แดน ใชเ้ ป็นจดุ ศนู ยก์ ลางลากเสน้ โคง้ ครง่ึ วงกลมความกวา้ งเสน้ 4 เซนตเิ มตร โดยขอบในของเสน้ โคง้ ครง่ึ วงกลมมีรศั มี 90 เซนติเมตร กาหนดไวเ้ ป็นตาแหน่งยืนของผู้ เลน่ หนา้ ซา้ ย และหนา้ ขวา ในขณะท่ีส่งลกู แดนทง้ั สองจะมีวงกลมซง่ึ กาหนดเป็นจดุ ยืนสาหรบั ผสู้ ง่ ลกู โดยวาดเป็นวงกลมขอบในมีรศั มี 30 เซนตเิ มตร ความกวา้ งของเสน้ คือ 4 เซนตเิ มตร จดุ ศนู ยก์ ลางอยทู่ ่ีระยะ 2.45 เมตรจากเสน้ หลงั ของแต่ละแดน และอย่กู ่งึ กลางตามแนวกวา้ งของสนาม ตาข่าย ตาขา่ ยจะถกู ขงึ กน้ั แบง่ แดนทงั้ สองออกจากกนั ทาจากวสั ดจุ าพวกเชือกหรอื ไนลอน ความสงู ของ ตาขา่ ยบรเิ วณก่งึ กลาง คือ 1.52 เมตรสาหรบั นกั กีฬาชาย (1.42 เมตรสาหรบั นกั กีฬาหญิง) ส่วน ความสงู บรเิ วณเสายดึ ตาขา่ ย คือ 1.55 เมตรสาหรบั นกั กีฬาชาย (1.45 เมตรสาหรบั นกั กีฬาหญิง) ตาขา่ ยมีขนาดรู 6 – 8 เซนติเมตร ผืนตาขา่ ยมีความกวา้ ง 70 เซนตเิ มตร และยาวไม่นอ้ ยกว่า 6.1 เมตร
ประโยชนข์ องการเล่นตะกร้อ 1.เป็นกีฬาท่ีก่อใหเ้ กิดความสนกุ สนาน เพลิดเพลิน เป็นการเสริมสรา้ งสมรรถภาพ ทางดา้ น รา่ งกาย และจิตใจ 2.เป็นกีฬาท่ีประหยดั คา่ ใชจ้ ่าย เลน่ งา่ ย กติกา และระเบียบ การแข่งขนั ไมเ่ ครง่ ครดั 3.เป็นกีฬาท่ีกระตนุ้ ใหเ้ กิดการต่ืนตวั ในการเคล่ือนไหวอย่างคลอ่ งแคล่ว วอ่ งไว เสรมิ สรา้ ง บคุ ลิกภาพ 4.เป็นกีฬาท่ีเสรมิ สรา้ งอารมณ์ ความคิด และจติ ใจใหม้ ีความสขุ มุ รอบคอบ เยือกเย็น 5.เป็นกีฬาท่ีช่วยใหร้ ะบบประสาททางานประสานกบั ระบบอ่ืน ๆ ไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ 6.เป็นกีฬาท่ีเสรมิ สรา้ งความสามคั คีในหม่คู ณะ และสงั คมรวมทงั้ เป็นส่ือกลางใน การเขา้ สงั คม และพฒั นาชมุ ชนทางดา้ นสขุ ภาพและพลานามยั 7.เป็นกีฬาท่ีใชเ้ ป็นแนวทาง หรอื ทกั ษะพนื้ ฐานอนั นาไปสกู่ ารเล่นกีฬาชนดิ อ่ืน ๆ ได้ เชน่ ฟตุ บอล 8.เป็นกีฬาท่ีสามารถใชเ้ ป็นแนวทางในการอนรุ กั ษแ์ ละเผยแพรศ่ ลิ ปวฒั นธรรม ประจาชาติ ท่ีดีงาม ใหค้ งไว้ 9.เป็นกีฬาท่ีตอ้ งใชค้ วามสามารถดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา รวมทง้ั ทกั ษะ ท่ีสงู มากสาหรบั ผทู้ ่ีตอ้ งการความเป็นเลศิ ทางดา้ นกีฬาตะกรอ้ ถา้ ผเู้ ล่นมีความตง้ั ใจใช้ ความเพยี ร พยายามท่ีดีอย่างต่อเน่ือง ก็สามารถบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ สรา้ งช่ือเสียง เกียรติประวตั ิใหก้ บั ตนเอง สงั คม และประเทศชาติได้
10.เป็นกีฬาท่ีไมจ่ ากดั เวลา และสถานท่ี มารยาทในการเลน่ ท่ีดี การเลน่ กีฬาทกุ ชนิด ผเู้ ล่นจะตอ้ งมีมารยาทในการเล่นและการแข่งขนั ประพฤตปิ ฎิบตั ิตน ใหเ้ ป็นไปตามขนั้ ตอนของการเล่นกีฬาแตล่ ะประเภท จงึ จะนบั วา่ เป็นผเู้ ล่นท่ีดีและมีมารยาท ผเู้ ล่น ควรตอ้ งมีมารยาทดงั นี้ คือ 1. การแสดงความยินดี ชมเชยดว้ ยการปรบมือหรอื จบั มือเม่ือเพ่อื นเล่นไดด้ ี แสดงความเสียใจเม่ือ ตนเอง หรอื เพ่อื นรว่ มทีมเลน่ ผดิ พลาดและพยามปลอบใจเพ่อื น ตลอดจนปรบั ปรุงการเล่นของ ตวั เองใหด้ ีขนึ้ 2. การเล่นอย่างสภุ าพและเลน่ อย่างนกั กีฬา การแสดงกิรยิ าท่าทางการเลน่ ตอ้ งใหเ้ หมาะสมกบั การเป็นนกั กีฬาท่ีดี 3. ผเู้ ล่นท่ีดีตอ้ งไมห่ ยบิ อปุ กรณข์ องผอู้ ่ืนมาเล่นโดยพลการ 4. ไม่ว่าจะชนะหรอื แพต้ อ้ งไม่แสดงอาการดีใจหรอื เสียใจจนเกินไป 5. ผเู้ ล่นตอ้ งเช่ือฟังคาตดั สนิ ของกรรมการ หากไม่พอใจคาตดั สนิ ก็ย่ืนประทว้ งตามกติกา 6. ผเู้ ล่นตอ้ งควบคมุ อารมณใ์ หส้ ขุ มุ อยตู่ ลอดเวลา 7. ก่อนการแขง่ ขนั หรอื หลงั การแข่งขนั ไมว่ ่าจะเป็นฝ่ายแพห้ รือชนะก็ตาม ควรจะตอ้ งจบั มือแสดง ความยนิ ดี 8. หากมีการเล่นผิดพลาด จะตอ้ งกลา่ วคาขอโทษทนั ทีและตอ้ งกล่าวใหอ้ ภยั เม่ือฝ่ายตรงขา้ มกลา่ ว ขอโทษดว้ ยความยมิ้ แยม้ แจม่ ใส 9. ตอ้ งแตง่ กายรดั กมุ สภุ าพ ถกู ตอ้ งตามกติกาท่ีกาหนดไว้ 10. ไม่ส่งเสียงเอะอะในขณะเลน่ หรอื แขง่ ขนั จนทาใหผ้ เู้ ลน่ อ่ืนเกิดความราคาญ
11. ตอ้ งปฏิบตั ิตามกฎขอ้ บงั คบั ตามกตกิ าอยา่ งเครง่ ครดั 12. มีความอดทนต่อการฝึกซอ้ มและการเลน่ 13. หลงั จากฝึกซอ้ มแลว้ ตอ้ งเก็บอปุ กรณใ์ หเ้ รยี บรอ้ ย 14. เลน่ และแข่งขนั ดว้ ยชนั้ เชงิ ของนกั กีฬา รูแ้ พ้ รูช้ นะ รูอ้ ภยั ในการเล่นกีฬา มารยาทของผชู้ มท่ีดี การเลน่ กีฬาทกุ ชนิด ผเู้ ล่นจะตอ้ งมีมารยาทในการเลน่ และการแขง่ ขนั ประพฤตปิ ฎิบตั ติ นให้ เป็นไปตามขน้ั ตอนของการเล่นกีฬาแต่ละประเภท จงึ จะนบั ว่าเป็นผเู้ ลน่ ท่ีดีและมีมารยาท ผเู้ ลน่ ควรตอ้ งมีมารยาทดงั นี้ คือ 1. การแสดงความยินดี ชมเชยดว้ ยการปรบมือหรอื จบั มือเม่ือเพ่อื นเล่นไดด้ ี แสดงความเสียใจเม่ือ ตนเอง หรอื เพ่อื นรว่ มทีมเลน่ ผิดพลาดและพยามปลอบใจเพ่อื น ตลอดจนปรบั ปรุงการเลน่ ของ ตวั เองใหด้ ีขนึ้ 2. การเลน่ อยา่ งสภุ าพและเล่นอยา่ งนกั กีฬา การแสดงกิรยิ าทา่ ทางการเลน่ ตอ้ งใหเ้ หมาะสมกบั การเป็นนกั กีฬาท่ีดี 3. ผเู้ ลน่ ท่ีดีตอ้ งไม่หยบิ อปุ กรณข์ องผอู้ ่ืนมาเล่นโดยพลการ 4. ไม่วา่ จะชนะหรอื แพต้ อ้ งไม่แสดงอาการดีใจหรอื เสียใจจนเกินไป 5. ผเู้ ล่นตอ้ งเช่ือฟังคาตดั สนิ ของกรรมการ หากไม่พอใจคาตดั สินก็ย่ืนประทว้ งตามกตกิ า 6. ผเู้ ลน่ ตอ้ งควบคมุ อารมณใ์ หส้ ขุ มุ อย่ตู ลอดเวลา 7. ก่อนการแข่งขนั หรอื หลงั การแขง่ ขนั ไมว่ า่ จะเป็นฝ่ายแพห้ รอื ชนะก็ตาม ควรจะตอ้ งจบั มือแสดง ความยินดี 8. หากมีการเลน่ ผดิ พลาด จะตอ้ งกลา่ วคาขอโทษทนั ทีและตอ้ งกลา่ วใหอ้ ภยั เม่ือฝ่ายตรงขา้ มกล่าว ขอโทษดว้ ยความยมิ้ แยม้ แจ่มใส 9. ตอ้ งแตง่ กายรดั กมุ สภุ าพ ถกู ตอ้ งตามกตกิ าท่ีกาหนดไว้ 10. ไม่ส่งเสียงเอะอะในขณะเลน่ หรอื แข่งขนั จนทาใหผ้ เู้ ล่นอ่ืนเกิดความราคาญ
11. ตอ้ งปฏิบตั ิตามกฎขอ้ บงั คบั ตามกตกิ าอยา่ งเครง่ ครดั 12. มีความอดทนตอ่ การฝึกซอ้ มและการเลน่ 13. หลงั จากฝึกซอ้ มแลว้ ตอ้ งเก็บอปุ กรณใ์ หเ้ รยี บรอ้ ย 14. เล่นและแข่งขนั ดว้ ยชนั้ เชิงของนกั กีฬา รูแ้ พ้ รูช้ นะ รูอ้ ภยั ในการเลน่ กีฬา เอกสารอา้ งอิง https://www.nanitalk.com/interesting-story/15015 https://sites.google.com/site/tipsudapontong/maryath-khxng- phu-chm-thi-di
ภาคผนวก
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: