การป้องกนั สทิ ธติ ามกฎหมายอาญา The right legal defense according to the criminal law พวงผกา มุ่งดี1 Puangpaga Mungdee บทคัดย่อ การปูองกันสิทธิตามกฎหมายอาญา เป็นหลกั การบังคับใช้กฎหมายด้วยตนเองประการหน่ึงของ บุคคลตามประมวลกฎหมายอาญา บทความน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้บุคคลเข้าใจถึงหลักเกณฑ์ในการ ปอู งกันชีวติ รา่ งกาย เสรีภาพ ทรพั ย์สิน ตลอดจนสทิ ธิอื่น ๆ และสามารถใชเ้ ปน็ หลักในการปูองกันสิทธิ ของตนเองและผู้อ่ืนได้ โดยไม่ถือว่าการกระทาดังกล่าวเป็นความผิด ท้ังยังเป็นการช่วยรัฐในการ ปราบปรามผกู้ ระทาผดิ อันจะส่งผลให้เกดิ ความสงบสขุ ในสงั คมต่อไป คาสาคญั : การปอู งกันสิทธิตามกฎหมาย การปอู งกันตนเอง การบงั คบั ใช้กฎหมายด้วยตนเอง Abstract The right of legal defense according to the criminal law is one of an individual law enforcement. This article is aimed to ease everyone to understand the rules to defend lives, body, freedom, asset including other rights of legal defense so that they can have abilities to defense their own rights and others. These acts of right to defense abilities are not considered to be, on the other hand they are considered to suppress the offender for the government. The act of rights of legal defense will then make the societies peacefully. Keywords: Legal Defense, Self Defense, Self Law Enforcement, ความเปน็ มา อานาจอธิปไตยของรัฐใด ยอมมีเหนืออาณาเขตของรัฐน้ัน ฉะนั้นหากมีการกระทาความผิดเกิด ขนึ้ ในอาณาเขตของรัฐใด รัฐน้ันยอมมีอานาจลงโทษผูกระทาความผิด (ธัชพงษ์ วงษ์เหรียญทอง, 2560: 92) เน่ืองจากรัฐมีหน้าท่ีในการให้ความคุ้มครองประชาชนจากการถูกประทุษร้าย ไม่ว่าจะเป็นการ 1 อาจารย์ (สบ 3) ศูนยฝ์ กึ อบรมตารวจภธู รภาค 5 อาเภอหา้ งฉตั ร จังหวัดลาปาง 52190 Email: [email protected]
14 วารสารมหาวิทยาลัยพายพั ปที ่ี 28 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2561) ประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย ช่ือเสียง เสรีภาพ หรือทรัพย์สินก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติน้ัน หลายคร้ังท่ี ประชาชนไม่ไดร้ บั ความคุ้มครองจากรฐั ไดอ้ ยา่ งทันท่วงที กฎหมายจึงให้สิทธิแก่ประชาชนในการปูองกัน สทิ ธิของบคุ คลโดยไม่ต้องรอพึ่งเจา้ หนา้ ท่ขี องรฐั ได้เชน่ กัน เหตุผลท่ีกฎหมายยอมให้ประชาชนใช้สิทธิในการปูองกันได้โดยไม่ถือว่าเป็นความผิด เพราะ กฎหมายยอมรับความจริงท่ีว่า รัฐไม่สามารถให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงทีในทุกกรณี จึงจาต้องให้อานาจแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ในการขจัดปัดเปุาภยันตรายซ่ึงกาลังจะมาถึงด้วยการใช้สิทธิ ในการปูองกันหรอื จะกล่าวอีกนัยหนึง่ การใชส้ ิทธิปอู งกนั คอื “การใชบ้ ังคบั กฎหมายดว้ ยตนเองประการ หนึง่ ” น่นั เอง (เกยี รติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2551: 374) ดังนั้น การปูองกันตนเองนี้ จึงเป็นการยกเว้นความผิดตามหลักในเรื่องการรักษาตน (self- preservation) ซ่ึงเป็นสิทธิท่ีจะไม่ให้ใครมารุกล้าล่วงเกิน และการปูองกันเป็นการกระทาท่ีไม่กระทบ กระเทือนผลประโยชน์ของสงั คม (ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, 2549: 260) อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสิทธิในการปูองกันจะทาให้ผู้กระทาไม่ต้องรับผิด แต่ในทางปฏิบัติโดย ส่วนใหญ่แล้ว การที่ประชาชนคนหนึ่งได้ใช้สิทธิน้ี ก็อาจทาตนเองต้องถูกดาเนินคดี ซึ่งในการพิจารณา คดีอาจใช้ระยะเวลาท่ียาวนาน ดังจะเห็นได้จากรายงานของศาลยุติธรรม โดยสานักงานแผนงานและ งบประมาณ ในเรอ่ื ง ระยะเวลาในการพจิ ารณาคดีเสร็จ ประจาเดอื นมกราคม – ธันวาคม พ.ศ.2560 จะ เห็นได้ว่า ยอดรวมคดีในศาลช้ันต้นท่ัวราชอาณาจักรท่ีใช้ระยะเวลาในการพิจารณาคดีเกิน 6 เดือน มี จานวนถงึ 87,299 คดี อันสง่ ผลใหผ้ ู้กระทาการปอู งกนั น้นั อาจไดร้ ับความเดอื ดร้อนเกินสมควร เน้ือหา สาหรับกฎหมายในเร่ืองการปูองกันสิทธิน้ัน ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ความวา่ “ผู้ใดจาต้องกระทาการใดเพ่ือปูองกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซ่ึงเกิดจากการ ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทาพอสมควรแก่เหตุ การกระทานน้ั เป็นการปูองกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้น้ันไม่มีความผดิ ” จากบทบญั ญัตดิ ังกลา่ ว จะเห็นว่าหลกั เกณฑใ์ นการปอู งกนั โดยชอบด้วยกฎหมาย มดี ังนี้ 1. ผกู้ ระทาจาตอ้ งกระทาการใดเพ่ือปอู งกันสิทธิของตนหรอื ของผู้อื่นให้พน้ ภยันตราย 2. ภยันตรายน้นั เกดิ จากการประทษุ รา้ ยอนั ละเมิดตอ่ กฎหมาย 3. เป็นภยันตรายทีใ่ กล้จะถงึ 4. ได้กระทาพอสมควรแกเ่ หตุ หลกั เกณฑ์ขอ้ ที่ 1 ผูก้ ระทาจาต้องกระทาการใดเพ่ือปูองกันสทิ ธิของตนหรือของผอู้ น่ื ให้พน้ ภยันตราย หมายความว่า การกระทาของผู้น้ันต้องกระทาโดยเจตนา มิใช่กระทาโดยประมาท และนอก จากเจตนาธรรมดาแลว้ ผกู้ ระทาต้องมเี จตนาพิเศษหรอื มูลเหตชุ ักจูงใจ “เพ่ือปอู งกันสิทธิของตนเองหรือ ของผูอ้ ่นื ใหพ้ ้นภยนั ตราย” ด้วย มฉิ ะนั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นการปอู งกันโดยชอบดว้ ยกฎหมาย
วารสารมหาวิทยาลยั พายัพ ปที ี่ 28 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธนั วาคม 2561) 15 อนงึ่ คาวา่ “สิทธิ” หมายถงึ อานาจท่ีจะกระทาการใดๆ ได้อย่างอิสระโดยได้รับการรับรองจาก กฎหมาย ซ่ึงสิทธนิ อ้ี าจเก่ยี วกบั ชวี ติ ร่างกาย เสรีภาพ ชือ่ เสียง ทรพั ย์สินหรือสทิ ธอิ ่ืนๆ ก็ได้ ดังนั้น เม่ือมี บุคคลอ่ืนมาละเมิดสิทธิดังกล่าวโดยไม่มีอานาจที่จะทาได้ตามกฎหมาย ผู้ถูกละเมิดสิทธิก็มีอานาจตาม กฎหมายท่จี ะกระทาการปูองกันสิทธิน้ันได้ และในส่วนของการปูองกันสิทธิของผู้อ่ืนนั้น ก็ไม่จากัดว่า ผู้ถูก ละเมดิ สิทธจิ ะตอ้ งมีความสัมพนั ธอ์ ย่างใดกบั ผู้กระทาการปูองกนั สิทธนิ ้ันดว้ ย ตัวอย่างเช่น ส้มเอาอาวุธปืนออกมาขู่ดาและทาปืนลั่นโดยประมาทถูกดาถึงแก่ความตาย กรณี ดังกล่าวมิใช่เป็นการกระทาโดยเจตนา ดังน้ี การกระทาของส้มจึงมิใช่เป็นการปูองกันโดยชอบด้วย กฎหมาย หรอื ในกรณที ีแ่ ดงปล่อยกระแสไฟฟาู เขา้ ไปในเส้นลวด เพ่ือปูองกันมิให้หนูไปกินข้าวกล้า (มิได้ เจตนาเพ่ือปูองกันมิให้คนเข้ามาลักทรัพย์) โดยแดงรู้อยู่ว่าสายลวดที่ปล่อยกระแสไฟฟูาไว้นั้น หากสัตว์ ไปถูกเข้าจะถึงแก่ความตายได้ ท้ังยังปักปูายห้ามเข้าในเขตท่ีตกกล้าด้วย แสดงว่า การท่ีแดงขึงลวด กระแสไฟฟูาเช่นนี้ ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทานั้นได้ว่า อาจมีคนเดินมาถูกลวดที่มีกระแสไฟฟูา ดังกลา่ วและไดร้ บั อนั ตรายแก่รา่ งกาย จงึ ถอื ไดว้ ่าแดงมเี จตนาทาร้ายผอู้ นื่ แล้ว เมื่อขาวผา่ นไปถูกสายลวดที่ มีกระแสไฟฟูาถึงแก่ความตายอันเป็นผลจากการกระทาของแดง แดงจึงต้องมีความผิดฐานทาร้ายผู้อื่น ถงึ แก่ความตายโดยไม่มีเจตนาฆา่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 เป็นตน้ ตวั อยา่ งคาพิพากษาศาลฎกี า คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1923/2519 ผู้ตายบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์ในโรงเก็บของอยู่ในบริเวณสวนของจาเลยซ่ึงมีร้ัวเป็นแนวเขต ขึง ลวดไฟฟูาไวป้ ูองกนั คนรา้ ยลักทรัพย์ และเคยถูกลักทรัพย์มาแล้ว ไฟฟูาดูดผู้ตายจนถึงแก่ความตายกรณี จึงเป็นภยันตรายที่เกิดแก่ทรัพย์ของจาเลย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จึงเป็นการปูองกันสิทธิโดย ชอบด้วยกฎหมายพอสมควรแก่เหตุ ไมม่ คี วามผิด คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2540 ผู้ตายเคยกอดปล้าข่มขืนกระทาชาเรา ล. ภริยาจาเลยมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่จาเลยก็ไม่เอาเรื่อง ครั้งถูกจาเลยต่อว่า ผู้ตายยังพูดสบประมาทจาเลยกับภริยาอีก วันเกิดเหตุผู้ตายมาขอ ล. ไปเป็นภริยา จาก ฉ. และ ท. ซึ่งเป็นพ่อตาแม่ยายจาเลย การท่ีผู้ตายจับแขน ล. ดึงเข้าหาตัวแต่มิได้เจตนาทาร้ายก็ ตาม แต่ถือได้ว่ามีเจตนากระทาอนาจาร ล. เมื่อผู้ตายกระทาละเมิดต่อกฎหมายและศีลธรรมอย่าง รา้ ยแรง จาเลยยอ่ มมีสทิ ธิตามกฎหมายท่ีจะกระทาการปูองกันเกียรติยศ ชื่อเสียงและเสรีภาพของ ล. ผู้ เป็นภริยาของตนได้โดยชอบ ขณะเกิดเหตุจาเลยไม่มีอาวุธใด หากจาเลยจะเข้าช่วยเหลือ ล. ภริยาของ ตนดว้ ยการเขา้ ทารา้ ยผู้ตายมือเปลา่ ก็อาจถูกผูต้ ายชักอาวุธปืนมายิงได้ ในภาวะเช่นน้ันจึงไม่มีทางเลือก นอกจากแยง่ อาวุธปนื จากผ้ตู ายแลว้ ยงิ ผู้ตาย ถา้ เพยี งแต่จะใช้อาวุธตีผู้ตาย ปืนอาจลั่นไปถูกคนอ่ืนหรือผู้ ตายอาจแยง่ ปนื มายงิ เอาได้ จาเลยแย่งปนื ได้กย็ งิ ทันทโี ดยไม่เลอื กว่าจะถูกตรงไหนแล้วทิ้งอาวุธปืนวิ่งหนี การกระทาของจาเลยเป็นการกระทาไปพอสมควรแก่เหตุ จึงเป็นการปูองกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ.มาตรา 68 ไม่เป็นความผดิ ฐานฆา่ ผูต้ ายโดยบนั ดาลโทสะ
16 วารสารมหาวทิ ยาลยั พายัพ ปที ี่ 28 ฉบบั ท่ี 2 (กรกฎาคม – ธนั วาคม 2561) หลักเกณฑ์ขอ้ ที่ 2 ภยันตรายน้ันเกิดจากการประทษุ รา้ ยอนั ละเมิดตอ่ กฎหมาย หมายความว่า ผู้ก่อภยันตรายน้ันไม่มีอานาจตามกฎหมายท่ีจะกระทาได้ ดังน้ัน ผู้ถูก ประทุษร้ายจึงไม่จาเป็นท่ีจะต้องทนยอมรับภยันตรายนั้น เขาจึงมีอานาจตามกฎหมายที่จะกระทาการ ปูองกันได้ แต่ถ้าภยันตรายผู้กระทามีอานาจท่ีจะกระทาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็เป็นภัยที่ ผู้ถูกกระทาไม่มอี านาจทจ่ี ะกระทาการปูองกนั ได้เชน่ กนั ตัวอย่างเช่น สมยศใช้อาวุธปืนยิงในหมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุอันสมควร อันเป็นการกระทาที่ผิด กฎหมาย สมหมายเป็นเจ้าพนักงานตารวจจะเข้าจับกุม ซึ่งเป็นการกระทาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ สมยศว่ิงหนี เม่ือสมหมายวิ่งไล่ตามไปเพื่อจับกุมและได้ใช้ปืนยิงข้ึนฟูาเพื่อข่มขู่ สมยศก็ใช้อาวุธปืนยิง สมหมายได้รับบาดเจ็บ กรณีนี้ สมยศไม่อาจยกเหตุปูองกันตัวขึ้นมาอ้างได้ (แต่หากเป็นกรณีท่ีเจ้า พนกั งานใช้อานาจเกนิ ขอบเขตทมี่ ีอยตู่ ามกฎหมาย อีกฝุายมีสทิ ธปิ ูองกันได)้ นอกจากน้ี ในบางกรณแี ม้จะมีภยนั ตรายเกดิ ข้นึ และเป็นภยนั ตรายทีเ่ กิดจากการประทุษร้ายอัน ละเมิดต่อกฎหมาย ผู้ที่จะรับภยันตรายนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะกระทาการโต้ตอบกลับมาโดยอ้างว่าเป็นการ ปอู งกันตามมาตรา 68 หากตนมีสว่ นในการก่อให้เกดิ ภยนั ตรายนน้ั ผู้มีส่วนผิดในการกอ่ ให้เกดิ ภยนั ตรายนั้น มดี งั ตอ่ ไปนี้ (เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2551: 382) (1) ผทู้ ก่ี อ่ ภัยขึ้นในตอนแรก (2) ผทู้ สี่ มคั รใจเข้าววิ าทต่อส้กู นั (3) ผทู้ ยี่ นิ ยอมให้ผ้อู ืน่ กระทาตอ่ ตนเองโดยสมคั รใจ (4) ผู้ที่ยัว่ ให้ผู้อ่นื โกรธ แยกพิจารณาได้ดังนี้ (1) ผู้ที่ก่อภัยข้ึนในตอนแรก หมายถึงผู้ที่ริเร่ิมในการก่อให้เกิดภัยข้ึน จึงไม่มีสิทธิท่ีจะอ้าง ปูองกันได้ ตัวอย่างเช่น โอมถือมีดเข้าไปหาสิน เพ่ือที่จะทาร้ายสิน เนื่องจากโกรธเคืองท่ีสินไปเบิก ความในคดีลกั ทรัพย์ท่ีโอมถูกฟูองจนศาลพพิ ากษาลงโทษจาคุก สินเห็นดังน้ันจึงชักปืนข้ึนมาเพื่อจะยิงโอม ใน กรณีน้ีแม้การกระทาของสินจะเป็นการปูองกันเกินขอบเขต แต่โอมก็จะทาการโต้ตอบกลับมายังสินโดย อ้างว่าปอู งกนั มิได้ เพราะโอมเป็นฝาุ ยกอ่ เหตขุ ึน้ ก่อน (2) ผู้ทีส่ มคั รใจเข้าววิ าทต่อสกู้ นั ในกรณีที่มีการสมัครใจเข้าต่อสู้ทาร้ายกันเอง หากฝุายใด เพล่ียงพล้าแก่อีกฝุายหน่ึง จะกระทาการโต้ตอบกลับไปโดยอ้างปูองกันมิได้ เพราะตนก็มีส่วนผิดท่ีได้ สมัครใจเข้าวิวาทกนั ตัวอยา่ งเช่น อาพลโตเ้ ถียงกบั อรรถแล้วสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน อาพลถือมีดในมือจะ เข้าทารา้ ยอรรถ อรรถอาศยั ความไวกว่า จึงคว้ามีดมาแทงอาพลได้รับบาดเจ็บ เช่นน้ีอรรถจะอ้างว่าเป็น การปอู งกนั ไม่ได้ เพราะตนกม็ สี ว่ นผิดที่ไดส้ มัครใจเข้าววิ าทกนั (3) ผู้ที่ยินยอมให้ผู้อื่นกระทาต่อตนเองโดยสมัครใจ จะกระทาการโต้ตอบกลับไปโดยอ้าง ปูองกันไม่ได้ เพราะตนยินยอมให้มีการกระทาความผิดเกิดข้ึน แม้ความยินยอมนั้นจะไม่มีผลเป็นการ ยกเวน้ ความผิดก็ตาม เวน้ แต่จะมีการเพกิ ถอนความยินยอมนั้นเสีย (เกยี รตขิ จร วัจนะสวัสดิ์, 2551: 389)
วารสารมหาวทิ ยาลยั พายัพ ปีที่ 28 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธนั วาคม 2561) 17 ตัวอย่างเช่น อมรไปทาพิธีทางไสยศาสตร์เพ่ือให้ตนเองอยู่ยงคงกระพัน ต่อมาอมร ต้องการพิสจู น์ว่าตนอยู่ยงคงกระพันจริง จึงได้ยินยอมให้ปรีชาใช้มีดแทง ในกรณีน้ี หากปรีชาใช้มีดแทง อมร ปรีชาย่อมมีความผิดฐานทาร้ายร่างกาย เน่ืองจากความยินยอมของอมรในลักษณะดังกล่าวไม่เป็น เหตุยกเว้นความผิดให้แก่ปรีชา แต่ในขณะเดียวกัน หากอมรทาร้ายโต้ตอบกลับไปยังปรีชา อมรก็ไม่มี สิทธิอ้างว่าการกระทาของตนเป็นการปูองกันโดยชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน เพราะอมรยินยอมให้ ปรชี ากระทาต่อตนเองโดยสมคั รใจ (4) ผู้ท่ียั่วยุให้ผู้อ่ืนโกรธ หากผู้ที่ถูกยั่วยุนั้นจะทาร้ายผู้ท่ียั่วยุ ผู้ที่ยั่วยุจะทาการโต้ตอบ กลับไปโดยอ้างปอู งกนั ไมไ่ ด้ ตัวอย่างเช่น สมหมายพูดจายั่วสมชายให้โกรธตน หากสมชายถูกยั่วจนโกรธและตรง เข้าจะทาร้ายสมหมาย กรณนี ้ี สมหมายจะโต้ตอบโดยอ้างปูองกันมิได้ เพราะตนเป็นฝุายผิดในการไปย่ัว ยใุ หส้ มชายโกรธ หลักเกณฑ์ขอ้ ที่ 3 เปน็ ภยันตรายทีใ่ กลจ้ ะถึง หมายความว่า ภยันตรายท่ีกาลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้า หรือเป็นภยันตรายที่เกิดข้ึนแล้วและ กาลังเกิดอยู่ต่อไป (สหรัฐ กิติ ศุภการ, 2560: 140) ทั้งน้ี ไม่จาเป็นต้องรอให้ภยันตรายนั้นเกิดขึ้นก่อน แตต่ อ้ งอยู่ในลกั ษณะท่วี า่ หากไม่กระทาการเพ่ือปูองกันแล้วจะต้องเกิดภยนั ตรายอย่างแน่นอน (ทวเี กียรติ มีนะกนิษฐ, 2560: 160) เชน่ ในกรณที ภี่ ยันตรายเกิดจากการกระทาโดยเจตนา ไม่จาเป็นจะ ต้องให้ผู้กระทาได้กระทาถึงข้ันลงมือหรือพยายามตามมาตรา 80 แม้จะอยู่ในขั้นตระเตรียมซึ่งผู้ก่อภัย น้นั ยงั ไม่มคี วามผดิ หากเปน็ ภยั ใกลจ้ ะถึง ผู้ทีจ่ ะรบั ภยนั ตรายนนั้ มสี ิทธิท่ีจะทาการโต้ตอบไปโดยอ้างปูอง กนั ได้ (เกยี รติขจร วัจนะสวัสด์ิ, 2551: 390) แต่ถ้าภยันตรายน้ันยังอยู่ห่างไกล ไม่ฉุกเฉิน หรือในกรณีที่ ภยนั ตรายนั้นได้ผ่านพ้นไปแลว้ การตอบโต้กลับไปก็ไมอ่ าจอ้างว่าเปน็ การกระทาเพื่อปูองกันสิทธิได้ ตัวอย่างเช่น ปกรณ์ชักปืนข้ึนมาโดยประสงค์จะฆ่าปวีร์ ซ่ึงการกระทานี้ แม้ปกรณ์จะยังไม่มี ความผดิ ฐานพยายามฆ่า เพราะยงั ไมท่ ันไดจ้ อ้ งปนื เล็งไปที่ปวีร์ก็ตาม แต่ปวีร์ก็มีสิทธิยิงปกรณ์โดยอ้างว่า เป็นการกระทาเพ่ือปอู งกันสทิ ธิได้ เพราะภยันตรายน้ันใกล้จะถึงปวีร์แล้ว แต่ถ้าเป็นกรณีท่ีปวีร์สืบทราบ มาว่าปกรณ์กาลังจะมาฆ่าตน เช่นนี้ปวีร์จะชิงลงมือฆ่าปกรณ์ก่อนโดยอ้างว่าเป็นการกระทาเพ่ือปูองกัน ไม่ได้ เพราะภยันรายนั้นยังอยู่ห่างไกล ย่อมมีสภาพไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือในกรณีท่ีปกรณ์ ชกปวรี แ์ ลว้ วิ่งหนีไป ปวีร์จะตามไปชกปกรณค์ นื โดยอา้ งวา่ เป็นการกระทาโดยปูองกนั ไมไ่ ด้เชน่ กัน เพราะ ภยันตรายนัน้ ได้ผา่ นพน้ ไปแล้ว ตวั อย่างคาพพิ ากษาศาลฎีกา คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 351/2520 จาเลยชกต่อยบิดาจาเลยลม้ ลงแลว้ เตะและจะกระทืบซ้า จาเลยยิงผ้ตู าย 2 นัด ผูต้ ายแย่งปืนลั่น ขึ้นอกี 1 นดั การกระทาของจาเลยเปน็ การปูองกนั พอสมควรแก่เหตุ คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1256/2533 ผู้เสียหายไปพบจาเลยและพูดต่อว่าเร่ืองโคของจาเลยไปกินต้นยางของผู้เสียหาย ให้จาเลยใช้ เงิน จาเลยไมใ่ ห้ เกดิ โตเ้ ถยี งกนั ผเู้ สยี หายวา่ “ไมใ่ ห้จะเอาตาย” และชกั มีดปลายแหลมเดนิ เข้าหาจาเลย
18 วารสารมหาวิทยาลัยพายพั ปที ่ี 28 ฉบบั ที่ 2 (กรกฎาคม – ธนั วาคม 2561) ในระยะประมาณ 3 วา เพอ่ื จะแทงจาเลย จาเลยพิการขาขวาด้วนน่ังอยู่บนแคร่จะขยับตัวหนีย่อมไม่ทัน ในภาวะเช่นนี้นับว่าเป็นอันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายท่ี ใกลจ้ ะถงึ จาเลยยิงผู้เสยี หาย 1 นดั กระสุนปืนถูกผู้เสียหายบริเวณหัวไหล่ซ้าย ดังนี้จาเลยกระทาพอสม ควรแกเ่ หตุ จึงเป็นการปอู งกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หลกั เกณฑ์ข้อท่ี 4 ได้กระทาพอสมควรแก่เหตุ หมายความว่า ผู้กระทาต้องได้กระทาไปพอสมควรแก่ภยันตรายที่เกิดข้ึน หากผู้กระทาได้ กระทาไปเกนิ สมควรแก่เหตุ ก็เปน็ กรณีที่ผู้กระทาไม่มีอานาจกระทาได้การกระทาน้ันจึงเป็นความผิดแต่ ศาลจะลงโทษน้อยกวา่ ท่กี ฎหมายกาหนดไวส้ าหรบั ความผิดนัน้ เพยี งใดก็ได้ตามมาตรา 69 ส่วนการกระทาเพียงใดจึงจะถือว่าพอสมควรแก่เหตุนั้น ท่านศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ไดว้ างหลกั ในการวนิ จิ ฉยั ไว้ 2 ทฤษฎี คอื (หยุด แสงอทุ ยั , 2556: 144-145) (1) ทฤษฎีสัดส่วน ซึ่งตามทฤษฎีน้ี จะต้องพิจารณาว่าอันตรายท่ีจะพึงเกิดขึ้นถ้าหากจะไม่ ปอู งกัน จะได้สัดสว่ นกบั อันตรายท่ผี ูก้ ระทาไดก้ ระทาเนื่องจากการปูองกันน้ันหรือไม่ ตัวอย่างเช่น คนเขาจะตบหน้าเรา เราจะใช้มีดแทงเขาตายไม่ได้ เพราะความเจ็บอันเน่ืองจากการ ถูกตบหน้า เม่ือเทียบกับความตายแล้วไม่ได้สัดส่วนกัน ฉะน้ันจึงถือว่า การเอามีดมาแทงเขาตายน้ี เป็น การกระทาไปเกนิ สมควรแก่เหตุ ผู้กระทาจงึ ไมม่ อี านาจทาได้ (2) ทฤษฎีวิถีทางที่น้อยท่ีสุด ตามทฤษฎีน้ีถือว่า ถ้าผู้กระทาใช้วิถีทางน้อยท่ีสุดท่ีจะทาให้เกิด อนั ตราย กถ็ อื ว่าผ้กู ระทาไดก้ ระทาไปพอสมควรแก่เหตุ ตัวอย่างเชน่ ก. เป็นง่อยไปไหนไม่ได้ ข. จึงเขกศีรษะ ก. เล่น โดยเห็นว่า ก. ไม่มีทางกระทาตอบแทนได้เลย ก. ห้ามปรามเท่าใด ข. ก็ไม่เช่ือฟัง ถ้าการท่ี ก. จะปูองกันมิให้ ข. เขกศีรษะมีวิธีเดียวคือใช้มีดแทง ข. ต้องถอื ว่าการท่ี ก. ใช้มดี แทง ข. น้ี เป็นการกระทาไปพอสมควรแก่เหตุ เพราะเป็นวิถีทางน้อยที่สุดท่ีจะ ปอู งกนั ได้ ตัวอย่างคาพิพากษาศาลฎกี า คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 7851/2544 ผตู้ ายใช้เหลก็ ขดู ชาฟทป์ ลายแหลมซง่ึ สามารถทาอนั ตรายผูอ้ นื่ ถึงแกช่ ีวติ ได้ เป็นอาวุธไล่แทงจาเลย จนกระทั่งจาเลยอยู่ในท่ีคับขันไม่อาจหลีกเล่ียงได้ จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด เป็นการกระทาพอ สมควรแก่เหตุ คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 7146/2546 ผู้ตายทาร้ายจาเลยท่ี 1 ก่อน และจาเลยท่ี 1 เข้าช่วยจาเลยที่ 2 โดยผลักผู้ตายล้มลง แต่ผู้ตาย ลุกขึ้นมาเตะจาเลยที่ 1 ล้มลง ถือว่าภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายยังคงมี อยู่ การท่ีจาเลยท่ี 2 จับล็อกมือท้ังสองข้างของผู้ตายไว้ จึงเป็นการปูองกันตนหรือผู้อ่ืนให้พ้นจาก ภยนั ตรายอันใกล้จะถึง จาเลยท่ี 1 ใชข้ วดแตกทีจ่ าเลยท่ี 1 หยบิ ฉวยไดใ้ กล้มือแทงผตู้ ายเพียง 1 ครั้งโดย ไมม่ ีโอกาสเลือก การกระทาของจาเลยทั้งสองจงึ เปน็ การปอู งกันพอสมควรแก่เหตุ ผลของการปูองกนั เกนิ สมควรแก่เหตุ
วารสารมหาวทิ ยาลยั พายัพ ปีท่ี 28 ฉบับท่ี 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2561) 19 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 บัญญัติว่า “ในกรณีท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 67 และ มาตรา 68 น้ัน ถ้าผู้กระทาได้กระทาไปเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจาเป็น หรือเกิน กวา่ กรณแี หง่ การจาตอ้ งกระทาเพอื่ ปูองกนั ศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิด น้ันเพียงใดก็ได้ แต่ถ้าการกระทานั้นเกิดข้ึนจากความตื่นเต้น ความตกใจ หรือความกลัว ศาลจะไม่ลง โทษผู้กระทากไ็ ด้” ดงั นน้ั หากการกระทาเพ่ือปูองกันน้นั ผกู้ ระทาได้กระทาไปเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณี แหง่ การจาตอ้ งกระทาเพื่อปูองกัน ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดนั้นเพียง ใดกไ็ ด้ ซึ่งหมายความว่า ศาลจะไม่ลดโทษให้เลยก็ได้ หรือหากลดโทษ จะลดเพียงใดก็ได้ แม้ว่าจะลดลง นอ้ ยกวา่ โทษขึน้ ต่าก็ทาได้ ถ้าการกระทาเพื่อปูองกันที่เกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจาต้องกระทาเพื่อปูอง กันน้ัน เกิดข้ึนเนื่องจากความต่ืนเต้น ความตกใจหรือความกลัวของผู้กระทา ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทา ความผิดก็ได้ กล่าวคอื อยู่ในดุลพินจิ ของศาลท่ีจะลงโทษเพียงใดก็ได้ หรอื ไมล่ งโทษเลยก็ได้ สรปุ โดยหลักแล้วหลักเกณฑ์ในการปูองกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิในการปูองกันชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน ซึ่งหากมีผู้ใดมา ลว่ งละเมดิ ผูถ้ กู กระทายอ่ มสามารถกระทาการโต้ตอบกลับไปตามสมควรได้โดยไม่มีความผิด แต่ในทาง ปฏิบัติโดยส่วนใหญ่แล้ว การพิจารณาคดีอาจใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน ดังจะเห็นได้จากรายงานของศาล ยตุ ธิ รรม โดยสานกั งานแผนงานและงบประมาณ ในเรอ่ื งระยะเวลาในการพิจารณาคดีเสร็จ ประจาเดือน มกราคม – ธนั วาคม พ.ศ.2560 อนั ส่งผลใหผ้ กู้ ระทาการปูองกันน้ันต้องได้รับความเดือดร้อนท้ังทางด้าน เสรีภาพ และค่าใช้จ่ายในการดาเนินคดี ทั้งที่การกระทาของบุคคลเหล่าน้ันเป็นการบังคับใช้กฎหมาย ดว้ ยตนเอง ดังนั้น จึงสมควรอย่างย่ิงท่ีหน่วยงานของรัฐในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะได้ให้ความ สาคัญกับการพิจารณาคดีในเรื่องน้ีให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เพ่ือเป็นการบรรเทา ความเดือดร้อนของบุคคลผู้กระทาการปูองกันสิทธิท่ีตนเองมีอยู่ตามกฎหมาย ให้ได้รับความเป็น ธรรมอยา่ งท่สี ุด
20 วารสารมหาวิทยาลยั พายพั ปที ่ี 28 ฉบบั ที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2561) บรรณานุกรม เกียรตขิ จร วัจนะสวัสดิ์. (2551). คาอธบิ ายกฎหมายอาญา ภาค 1. กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ทวีเกยี รติ มีนะกนษิ ฐ. (2549). กฎหมายอาญา หลกั และปัญหา. พิมพ์ครง้ั ที่ 7. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์นติ ิธรรม. ธัชพงษ วงษเหรยี ญทอง. (2560). อานาจลงโทษความผดิ สากลกับการลงโทษซา้ ตามประมวลกฎหมาย อาญาไทย. วารสารมหาวิทยาลัยพายัพ, 27(1), 91-102. สหรัฐ กติ ิ ศุภการ. (2560). กฎหมายอาญา หลกั และคาพิพากษา. พมิ พ์คร้ังท่ี 7. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั อมรินทร์พรนิ้ ติง้ แอนด์พับลชิ ชิ่ง จากัด (มหาชน). หยดุ แสงอทุ ัย. (2556). กฎหมายอาญา ภาค 1. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 21. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ สานกั งานแผนงานและงบประมาณ ศาลยุตธิ รรม. ระยะเวลาพิจารณาคดเี สรจ็ ประจาเดือนมกราคม – ธนั วาคม พ.ศ.2560. (ออนไลน)์ สบื คน้ จาก www.oppb.coj.go.th/index.html. (11 กันยายน 2561)
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: