การกักเกบ็ คาร์บอนในมวลชีวภาพของพรรณไมบ้ างชนิดท่ปี ลูก ณ ศนู ยศ์ ึกษาการพฒั นาภูพานอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ จังหวัดสกลนคร Carbon Storage in Biomass of Some Tree Species Planted at the PuParn Royal Development Study Centre, Sakon Nakhon Province ประดิษฐ์ ตรีพัฒนาสวุ รรณ1 สาพิศ ดิลกสมั พันธ์2 ดุรยิ ะ สถาพร3 เจดจ็ รตั นแกว้ 3 1กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์ุพชื จตจุ ักร กรุงเทพฯ 10900 2คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จตจุ ักร กรุงเทพฯ 10900 3กรมปา่ ไม้ จตจุ กั ร กรุงเทพฯ 10900 ABSTRACT Potential for carbon dioxide (CO2) uptake of forest tree species has been studied continuously by the PuParn Royal Development Study Centre, Sakon Nakhon province. In this study, carbon storage in biomass of three tree species in existing plots was investigated: 22-year-old Tectona grandis L.f.; 23-year-old Eucalyptus camaldulensis Dehnh.; and 23-year-old Hevea brasiliensis (Willd.ex A.Juss.) Müll.Arg. For each tree species, a 40 m x 40 m sample plot was laid out and tree dimensions were measured accordingly in order to estimate above- and below-ground biomass by the stratified clip technique. In addition, carbon contents of different parts of sample trees were examined to assess the carbon storage in biomass of the three tree species. The result indicated that the highest growth and biomass was observed in H. brasiliensis, followed by E. camaldulensis and T. grandis with the total biomass of 150.98, 118.32 and 27.46 t/ha, and the below ground biomass of 33, 44 and 43% of the above-ground biomass, respectively. The differences in carbon contents between tree species and among tree organ (i.e. stems, branches, leaves and roots) were statistically significant (p < 0.05). In consistent with the total biomass, carbon contents were higher in tissues of H. brasiliensis than in those of E. camaldulensis and T. grandis with the mean values of 49.90, 48.95, and 46.60% of dry weight, respectively. H. brasiliensis also had the greatest carbon storage in the total biomass (73.21 t/ha) followed by E. camaldulensis (56.97 t/ha) and T. grandis (12.86 t/ha), respectively. The findings also suggested that variation in biomass production, but not in carbon contents, was rather accounted for the difference in carbon storage in these species. Keywords: biomass, carbon storage, carbon content, Tectona grandis, Eucalyptus camaldulensis, Hevea brasiliensis
2 บทคัดยอ่ ศนู ย์ศึกษาการพฒั นาภพู านอันเนื่องมาจากพระราชดาริ ได้ดาเนินการวิจยั เพื่อศึกษา ศกั ยภาพในการดดู ซับก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ของพรรณไมป้ า่ มาโดยต่อเนื่อง สาหรับการศกึ ษา ครั้งนเี้ ป็นการศกึ ษาศักยภาพในการกกั เกบ็ คาร์บอนในมวลชวี ภาพของพรรณไม้ 3 ชนิด ทปี่ ลกู อยู่ แล้วในบริเวณศูนยศ์ กึ ษาการพัฒนาภพู านอันเนอื่ งมาจากพระราชดาริ ได้แก่ ไม้สกั อายุ 22 ปี ไมย้ คู า ลิปตัส คามาลดเู ลนซิส อายุ 23 ปี และไมย้ างพาราอายุ 23 ปี ทาการศึกษาโดยวางแปลงตวั อยา่ ง ขนาด 40 เมตร x 40 เมตร ชนดิ ละ 1 แปลง และวัดมิติต่างๆ ของต้นไมเ้ พือ่ นาไปประมาณหามวล ชวี ภาพเหนือพืน้ ดินและใต้ดิน ดว้ ยวิธี stratified clip technique พร้อมกนั นไ้ี ด้เก็บตัวอยา่ งส่วนตา่ งๆ ของต้นไม้เพ่ือวิเคราะห์ความเข้มข้นของคาร์บอนสาหรบั ประเมนิ การกักเกบ็ คาร์บอนในมวล ชีวภาพ ผลการศกึ ษาพบวา่ ไม้ยางพารามีการเตบิ โตมวลชวี ภาพรวมสงู สดุ รองลงมาคือ ไม้ยคู า ลปิ ตัส คามาลดูเลนซสิ และไม้สักตามลาดับ โดยมีมวลชีวภาพรวมเทา่ กับ 150.98, 118.32 และ 27.46 ตัน/เฮกตาร์ และมีมวลชีวภาพใตพ้ นื้ ดนิ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 33, 44 และ 43 ของมวลชวี ภาพเหนือ พืน้ ดินตามลาดบั ส่วนความเข้มข้นของคาร์บอนในมวลชีวภาพมีความแตกต่างอยา่ งมีนัยสาคัญทาง สถิติ (p<0.05) ระหว่างชนิดไม้และส่วนตา่ งๆของตน้ ไม้ โดยความเขม้ ข้นของคาร์บอนเฉลีย่ ในมวล ชีวภาพของไม้ยางพารามีค่าสูงสุด รองลงมา คอื ไม้ยูคาลิปตัส คามาลดเู ลนซสิ และไม้สกั ซงึ่ มคี า่ เท่ากบั ร้อยละ 49.90, 48.95 และ 46.60 ของนา้ หนักแห้ง ตามลาดับ นอกจากน้ียงั พบว่าไม้ยางพารามี การกักเกบ็ คาร์บอนในมวลชีวภาพสูงกว่าไมย้ คู าลปิ ตัส คามาลดเู ลนซิส และไมส้ กั โดยมกี ารกักเก็บ คารบ์ อนรวมเท่ากบั 73.21, 56.97 และ 12.86 ตนั /เฮกตาร์ ตามลาดับ ทง้ั นี้ความแตกตา่ งของการกกั เก็บคาร์บอนเปน็ ผลมาจากความแตกต่างของมวลชวี ภาพมากกว่าความเขม้ ข้นของคาร์บอนในส่วน ต่างๆ ของต้นไม้ คาสาคัญ: มวลชีวภาพ การกักเก็บคารบ์ อน ความเขม้ ข้นของคาร์บอน สกั ยูคาลปิ ตัส คามาลดูเลนซิส ยางพารา คานา ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศของโลกมีปริมาณสูงขึ้นในช่วงศตวรรษท่ี ผ่านมา และมีแนวโน้มท่ีจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเน่ืองจนในปัจจุบันมีความเข้มข้นถึง 383 ppm การ เพ่ิมขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเป็นปัจจัยสาคัญท่ีก่อให้เกิดปรากฏการณ์ เรือนกระจก (greenhouse effect) ซ่ึงมีผลกระทบโดยตรงทาให้ผิวโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น กิจกรรม
3 ทางด้านป่าไม้นับเป็นกิจกรรมสาขาหน่ึงท่ีมีบทบาทส าคัญต่อก ารเปลี่ย นแปลง ปริมาณก๊ าซ คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ โดยการเพิ่มข้ึนของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน บรรยากาศประมาณร้อยละ 20 เกิดจากการสูญเสียคาร์บอนที่กักเก็บในมวลชีวภาพ (biomass) เนื่องจากการตัดไม้ทาลายป่า และการสูญเสียคาร์บอนในดินจากการเปล่ียนแปลงการใช้ประโยชน์ ท่ีดิน เน่ืองจากต้นไม้สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ โดยกระบวนการ สังเคราะห์แสง (photosynthesis) และนามาสะสมไว้ในรูปของมวลชีวภาพ ท้ังในส่วนเหนือพ้ืนดิน (ลาต้น ก่ิง ใบ) และใต้ดิน (ราก) ทาให้คาร์บอนถูกตรึงอยู่ในต้นไม้ จนกว่าจะมีการตัดต้นไม้ออก จากพ้ืนที่ไป ดังน้ัน จึงควรลดการตัดไม้ทาลายป่า และเพิ่มพื้นท่ีป่าโดยการประกาศเป็นพื้นที่ อนุรักษ์ การฟื้นฟูพื้นที่ป่าเส่ือมโทรม หรือการปลูกสร้างสวนป่า เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ บรรยากาศ ศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดาริ จังหวัดสกลนคร ได้ดาเนินการวิจัย ตามแนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงเล็งเห็นความสาคัญของการปลูก ต้นไม้เพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการศึกษาศักยภาพของต้นไม้ในการดูดซับก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการปลูกไม้ท่ีสามารถปลดปล่อยปริมาณ ออกซิเจนได้สูงหรือสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้มาก โดยทั่วไป ความสามารถในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แตกต่างกันตามชนิดไม้และปัจจัยส่ิงแวดล้อม ไมท้ ม่ี อี ตั ราการเตบิ โตอย่างรวดเรว็ สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสะสมคาร์บอนใน มวลชวี ภาพไดม้ ากดว้ ยเชน่ กนั สาหรบั การศึกษาครัง้ นี้เปน็ ส่วนหน่ึงของโครงการวิจัยการศึกษาการ ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของพรรณไม้ป่าบางชนิดในบริเวณศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอัน เน่ืองมาจากพระราชดาริ จังหวัดสกลนคร โดยทาการศึกษาศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนในมวล ชีวภาพของพรรณไม้ท่ีปลูกในบริเวณศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดาริ โดย เน้นการศกึ ษาศกั ยภาพของพรรณไมท้ มี่ อี ยู่แล้วในพ้ืนท่ี และมีอายุใกล้เคียงกัน ได้แก่ ไม้สัก ไม้ยูคา ลิปตัส และไม้ยางพารา ที่มีอายุ 22-23 ปี เพื่อประเมินและเปรียบเทียบศักยภาพของการกักเก็บ คาร์บอนในมวลชวี ภาพ อปุ กรณ์และวิธีการ สถานทศี่ ึกษา ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดาริ ตั้งอยู่ท่ีบ้านนานกเค้า ตาบลห้วย ยาง อาเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ครอบคลุมพ้ืนท่ี 12,300 ไร่ ประกอบด้วยพื้นท่ีสาธิตเพื่อพัฒนา
4 เกษตรกรรม พ้ืนที่พัฒนาป่าไม้ และพื้นท่ีหมู่บ้าน ลักษณะพื้นที่โดยท่ัวไปเป็นหินทราย ชนิดหิน กรวดมน และหนิ ดินดาน สว่ นช้ันลึกลงไปเป็นหินดินดาน หินทรายและหินปูน ซ่ึงแบ่งลักษณะดิน ไดเ้ ป็น ดินชุดร้อยเอด็ ดนิ ชุดโคราช ดินชุดสันป่าตอง และดินชุดบรบือ (กรมพฒั นาทดี่ นิ , 2535) ลักษณะพืชพรรณท่ีปกคลุมแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ป่าเต็งรัง (dry dipterocarp forest) ขึ้นปกคลมุ พน้ื ที่ประมาณร้อยละ 61.9 ป่าเบญจพรรณ (deciduous forest) ขึ้นปกคลุมพื้นท่ีประมาณ รอ้ ยละ 15 และป่าดิบแล้ง (dry evergreen forest) ข้ึนปกคลุมพื้นท่ีประมาณร้อยละ 12.5 (ศูนย์ศึกษา การพัฒนาภูพานอันเน่ืองมาจากพระราชดาริ, 2550) นอกจากน้ีบริเวณสถานที่ศึกษายังมีแปลง ทดลองปลกู ไม้ป่าหลายชนดิ เชน่ สัก ยคู าลปิ ตัส ยางพารา ขี้เหล็ก และสะเดา เป็นตน้ ลักษณะภมู อิ ากาศบริเวณสถานทศ่ี กึ ษา มฤี ดฝู นอยู่ในช่วงประมาณเดอื นพฤษภาคมถึงเดือน ตุลาคม มปี ริมาณน้าฝนเฉล่ยี รายปี 1,580 มิลลิเมตร และฤดูแล้งอยใู่ นชว่ งประมาณเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน ท้ังนี้ อุณหภูมิเฉล่ียประมาณ 26.2 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย ต่าสุดคิดเป็นร้อยละ 62.6 ในเดือนมีนาคม และสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 81.2 ในเดือนสิงหาคม (ศูนย์ ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนอื่ งมาจากพระราชดาริ, 2550) การวางแปลงตัวอย่างและการวัดการเตบิ โต วางแปลงตวั อยา่ งในแปลงปลกู ไม้ 3 ชนดิ คือ สัก (Tectona grandis L.f.) อายุ 22 ปี ระยะ ปลูก 4 x 4 เมตร ยคู าลิปตัส คามาลดูเลนซสิ (Eucalyptus camaldulensis Dehnh.) ต่อไปน้จี ะเรยี กวา่ ยูคาลปิ ตัส อายุ 23 ปี ระยะปลูก 2 x 4 เมตร และยางพารา (Hevea brasiliensis (Willd.ex A.Juss.) MÜll.Arg. อายุ 23 ปี ระยะปลูก 2.5 x 6 เมตร ขนาดแปลงตัวอยา่ ง 40 x 40 ตารางเมตร ชนิดละ 1 แปลง สารวจอัตราการรอดตายและวดั การเติบโตของไม้แต่ละชนดิ โดยวดั ขนาดเสน้ ผ่าศูนย์กลาง เพยี งอก (DBH) และความสูงท้ังหมด (H) ของไมท้ ุกตน้ ในแปลง การสร้างสมการประมาณหามวลชวี ภาพ ทาการจดั ช้นั ขนาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลางของไม้แตล่ ะชนดิ ๆ ละ 5 ชัน้ หาต้นไมต้ วั อยา่ งเพ่ือเป็น ตวั แทนของชนั้ เสน้ ผ่าศูนยก์ ลางเพยี งอกแตล่ ะชน้ั ตัดไมเ้ พ่ือเปน็ ตัวอยา่ งช้ันละ 1 ตน้ โดยการตดั ชดิ ดินและวัดไม้ตวั อยา่ งแต่ละต้น ดังน้ี วดั ขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลางทร่ี ะดบั ชดิ ดิน (D0) ที่ระดบั ความสูง
5 0.30 เมตร (D30) ทร่ี ะดับความสูง 1.30 เมตร (DBH) และทกุ ๆ 1 เมตร จนถึงปลายยอด และความสูง ทง้ั หมด (H) จากน้ันตัดทอนลาต้นออกเป็นท่อนๆ ต้งั แต่ระดบั 30 เซนติเมตร จากโคนและตัดทอน ไม้ยาวทอ่ นละ 1 เมตร จนตลอดความยาวของลาต้น สว่ นที่อยเู่ หนอื พ้ืนดนิ ในแตล่ ะทอ่ น แยกเป็น สว่ นต่างๆ คือ ลาต้น กิ่ง และใบ ช่ังนา้ หนักสดแต่ละส่วนของไม้ตวั อย่าง ทาการสุ่มเก็บตวั อยา่ ง เพื่อนาไปอบแหง้ ในตู้อบที่ อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส นาน 72 ช่วั โมง จนนา้ หนกั คงที่ เพ่อื คานวณหาปริมาณความชนื้ ในรูป รอ้ ยละจากนา้ หนกั สดและนา้ หนกั แหง้ จากสูตรขา้ งล่างเพ่อื นาไปคานวณนา้ หนกั แหง้ ทั้งหมดของ ตน้ ไม้ต่อไป ปรมิ าณความช้นื น้าหนักสด – น้าหนักแหง้ x 100 นา้ หนกั แหง้ ศึกษามวลชีวภาพของรากโดยเลือกต้นไม้จากชั้นขนาดเล็กท่ีสุดและชั้นขนาดใหญ่ท่ีสุด อย่างละ 1 ตน้ ขุดดนิ บรเิ วณตาแหนง่ รากของไม้ตวั อย่างลึกลงไปประมาณ 1.50 เมตร ให้ครอบคลุม ส่วนท่ีเป็นราก ท้ังหมดของไม้ตัวอย่าง โดยความกว้างของบริเวณรากท่ีขุดเท่ากับขนาดความกว้าง ของทรงพุ่ม เก็บตัวอย่างรากโดยแบ่งเป็นสองขนาด คือ รากขนาดเล็ก (fine root) มีขนาด เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางเล็กกวา่ 5 มลิ ลเิ มตร และรากขนาดใหญ่ (coarse root) มีขนาดเส้นผา่ ศูนย์กลางใหญ่ กว่า 5 มิลลิเมตร ช่ังน้าหนักสด และสุ่มเก็บตัวอย่างเพื่อนาไปอบแห้งและคานวณน้าหนักแห้งของ รากเช่นเดียวกับส่วนท่ีอยู่เหนือพ้ืนดิน นอกจากนี้ยังทาการคานวณสัดส่วนของมวลชีวภาพใต้ดิน (ราก) ต่อมวลชีวภาพทั้งหมด เพื่อนาไปใช้ในการประมาณค่าต้นไม้ตัวอย่างที่ไม่ได้มีการศึกษา นา้ หนักแหง้ ของราก สรา้ งสมการทใี่ ชป้ ระมาณมวลชีวภาพของไม้แต่ละชนดิ จากความสมั พนั ธ์ในรูปแอลโล- เมตรี ของ Kira and Shidei (1967) ดังสูตร Y = a Xb เม่ือ Y คอื ปริมาณมวลชีวภาพของสว่ นต่างๆของต้นไม้ X คือ ค่าตัวแปรอิสระในรูป parabolic volume (D2H) a และ b คือ คา่ คงทข่ี องสมการ
6 เลอื กสมการความสมั พนั ธ์ระหว่างขนาดกับมวลชวี ภาพของส่วนต่างๆ ท่ีให้ค่าสัมประสิทธิ์ ตัวกาหนด (coefficient of determination, R2) สงู และมีตวั แปรอิสระ (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง) ท่ีง่าย และสะดวกต่อการปฏิบตั งิ าน เชน่ DBH2 H การวิเคราะห์ปรมิ าณคาร์บอนในพชื ทาการเก็บตัวอยา่ ง ลาต้น กิ่ง ใบ และรากของตน้ ไม้ทุกต้นท่ีเป็นตัวสาหรบั สรา้ งสมการ ประมาณมวลชีวภาพ โดยแตล่ ะต้นตัดตวั อยา่ งตามขวาง (X-section) จากลาต้นทุกๆ ความยาว 2 เมตร ได้ตัวอยา่ งเป็นแวน่ ขนาดความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร เพ่ือเป็นตวั แทนของลาต้น และ แยกเก็บตัวอยา่ ง ก่งิ ใบ และราก แลว้ นาไปสบั และบดใหม้ ขี นาดเล็กกว่า 2 มิลลิเมตร สุ่มเก็บ ตวั อยา่ งประมาณ 100 กรมั ตอ่ ไม้ตัวอยา่ งหน่งึ ต้น แลว้ นาตัวอยา่ งไปวิเคราะห์หาความเข้มขน้ ของ คารบ์ อน (carbon content) โดยใชเ้ ครอ่ื ง CN Corder MT 700 โดยวธิ ี Dumus method ความเข้มข้น ของคาร์บอนในตัวอย่างที่วัดได้มีหน่วยเปน็ ร้อยละของนา้ หนกั แห้ง (percent carbon by dry weight) การประมาณมวลชีวภาพ นาสมการแอลโลเมตรีท่ไี ด้จากความสมั พันธข์ ้างต้นประมาณคา่ มวลชีวภาพส่วนตา่ งๆ ของ ต้นไม้ คือ ลาต้น ก่ิง ใบ และราก เป็นรายต้น และประมาณค่ามวลชีวภาพของแปลงตัวอย่างจาก ผลรวมของมวลชีวภาพรายต้น จากน้นั วิเคราะห์เปน็ มวลชวี ภาพตอ่ หน่วยพนื้ ที่ เชน่ ตนั /ไร่ หรือ ตนั /เฮกตาร์ การประมาณคา่ การกกั เก็บคารบ์ อนในมวลชีวภาพ ประมาณค่าการกกั เกบ็ คารบ์ อนในมวลชวี ภาพของไมช้ นิดตา่ งๆ จากข้อมลู มวลชีวภาพและ ความเขม้ ขน้ ของคารบ์ อนในส่วนต่างๆ โดยสรา้ งสมการคานวณการกกั เก็บคารบ์ อนแยกเปน็ รายต้น และวเิ คราะห์รวมเปน็ การกักเกบ็ คารบ์ อนในมวลชีวภาพต่อหน่วยพน้ื ท่ี นอกจากนย้ี ังทาการวิเคราะห์ความเพิ่มพูนเฉล่ียรายปี (mean annual increment, MAI) ของ มวลชีวภาพเหนือพ้ืนดินและการกักเกบ็ คารบ์ อนของตน้ ไม้ที่ทาการศกึ ษา
7 ผลและวิจารณ์ การรอดตายและการเตบิ โต จากการวัดการรอดตาย และการเติบโตของไม้ 3 ชนิด คือ ไมส้ ัก อายุ 22 ปี ไม้ยคู าลปิ ตัส อายุ 23 ปี และไม้ยางพาราอายุ 23 ปี พบว่า ไมย้ างพารามีการรอดตายและการเติบโตสูงกว่าไมท้ ัง้ สองชนดิ คอื มีอตั ราการรอดตายร้อยละ 97.92 ความสูงเฉล่ยี เทา่ กับ 19.83 เมตร และขนาด เส้นผา่ ศนู ย์กลางเพยี งอกเท่ากับ 18.09 เซนตเิ มตร ส่วนไมส้ ักมอี ตั ราการรอดตายรองลงมาคอื ร้อย ละ 90.0 แต่การเติบโตมคี า่ น้อยทส่ี ดุ คือมคี วามสูงเฉลย่ี 8.16 เมตร และขนาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลางเพียง อกเฉลยี่ เทา่ กับ 9.29 เซนตเิ มตร และไม้ยูคาลปิ ตสั มอี ตั ราการรอดตายต่าทีส่ ดุ เพียง ร้อยละ 52.5 (รวมท่ีรอดตายและมกี ารแตกหน่อ) นอกจากนี้ไมย้ คู าลปิ ตสั ยงั มกี ารเตบิ โตที่อยู่ในระดบั ปานกลาง คอื มีความสงู เฉลี่ยเท่ากับ 13.03 เมตร และมีขนาดเส้นผา่ ศูนย์กลางเพียงอกเฉล่ยี เทา่ กบั 12.14 เซนติเมตร (ตารางท่ี 1) จะเหน็ ไดว้ ่าไมท้ ้งั 3 ชนิด มีการเตบิ โตต่าเมื่อเปรียบเทยี บกบั ไมช้ นดิ เดยี วกัน เช่น จาก การศึกษาของ ทศพรและคณะ (2548) พบว่า ไม้สัก อายุ 21 ปี ระยะปลกู 4 x 4 เมตร ในพืน้ ทีส่ วน ป่านาด้วง-หนองปลาดกุ จงั หวัดเลย และสวนปา่ ทองผาภมู ิ จังหวดั กาญจนบุรี ซึ่งเป็นสวนปา่ ของ องค์การอตุ สาหกรรมป่าไม้ และมีการจดั การตามแผนงาน มกี ารเติบโตทางความโต และความสูง เป็น 2 เทา่ ของไม้สักทีศ่ กึ ษาในคร้งั น้ี ทั้งน้ี บุญเลิศ (2534) พบว่าการเตบิ โตทางความโตและความ สงู ของไมส้ ักมีความแตกตา่ งกนั ตามคณุ ภาพพื้นที่ (site quality) แตไ่ ม้สักอายุ 18 ปี ในทอ้ งทท่ี มี่ กี าร เตบิ โตต่าท่ีสุดยังมกี ารเตบิ โตสงู กวา่ ไม้สักอายุ 23 ปี ท่ศี ึกษาในครง้ั นี้ เช่นเดยี วกับการศึกษาของชัยรัตน์ (2542) พบว่า ไม้ยูคาลปิ ตัสสายต้น (clone) ตา่ งๆ มกี าร เติบโตแตกต่างกันในแตล่ ะท้องท่ี โดยสายตน้ ที่ดีทีส่ ุดปลูกที่สวนปา่ สระแก้ว อายุ 5 ปี มีขนาด เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางเฉลยี่ 13.98 เซนติเมตร และมีความสูงทั้งหมดเฉล่ีย 18.91 เมตร ในขณะที่สายต้นท่ี ดีทสี่ ดุ ปลกู ทส่ี วนป่ามญั จาคีรี มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางพียงอกเฉลี่ย 10.28 เซนตเิ มตร มคี วามสูง ทงั้ หมดเฉล่ยี 12.35 เมตร และสายต้นทีด่ ีทส่ี ดุ ปลูกทีส่ วนป่าพิบลู มังสาหาร มขี นาดเส้นผา่ ศูนย์กลาง เพียงอกเฉล่ยี 13.22 เซนติเมตร ความสงู ท้ังหมดเฉล่ีย 18.53 เมตร ซ่ึงมคี า่ สงู เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ไม้ ยคู าลิปตสั ท่มี ีอายุ 23 ปี ท่ีศึกษาในครง้ั นี้ การทไี่ ม้ยูคาลปิ ตัสมอี ัตราการเติบโตตา่ อาจเนอื่ งจาก ไม้ยคู าลิปตสั ท่ีศึกษานี้ปลูกจากเมล็ดทีไ่ มท่ ราบแหลง่ เมล็ด และไมไ่ ด้มกี ารปรับปรุงพันธุ์ โดยการ ปลกู เริม่ แรกมวี ัตถุประสงค์หลักเพื่อเพม่ิ พื้นที่ปา่ และฟื้นฟสู ภาพแวดลอม้ ไมใ่ ชเ่ ป็นการปลูกเป็น ไมเ้ ศรษฐกิจเช่นในปจั จุบันทาให้ไม่ได้รับการจัดการและดูแลรกั ษาเทา่ ทคี่ วร จงึ แสดงใหเ้ หน็ ว่าการ
8 จัดการและดแู ลรกั ษา มีผลต่อการเติบโตของไม้ยคู าลปิ ตัส อกี ท้งั ไมย้ ูคาลิปตัสรนุ่ ใหมท่ ไ่ี ด้ผ่านการ ปรบั ปรุงพันธส์ุ ามารถเตบิ โตไดด้ ีกว่าและทนทานต่อโรคและแมลงไดม้ ากกวา่ ไมย้ คู าลปิ ตสั ซ่งึ นาเข้ามาปลูกในช่วงแรกๆ ตารางท่ี 1 ระยะปลกู อายุ การรอดตาย ความสงู เฉล่ยี และเส้นผา่ ศนู ยก์ ลางเพยี งอกเฉล่ยี ของไม้สกั ไมย้ ูคาลปิ ตสั และไม้ยางพารา ชนดิ อายุ ระยะปลกู ความหนาแน่น การรอดตาย ความสูง เส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง (ป)ี (ต้น/ไร่) (ร้อยละ) (ม.) เพียงอก (ซม.) สกั 9.29 ± 3.95 ยูคาลปิ ตัส 22 4.0 X 4.0 ม. 90 90.00 8.16 ± 2.59 ยางพารา 12.14 ± 5.59 23 2.0 X 4.0 ม. 105 52.50 13.03 ± 3.72 18.09 ± 1.49 23 2.5 x 6.0 ม. 104 97.92 19.83 ± 3.53 ความเขม้ ขน้ ของคารบ์ อนในมวลชวี ภาพ จากการวเิ คราะหป์ รมิ าณความเขม้ ขน้ ของคารบ์ อนในส่วนต่างๆ ของต้นไม้ โดยวิธี Dumus method ซึ่งมีหน่วยเปน็ ร้อยละตอ่ นา้ หนกั แหง้ พบวา่ ไมส้ ัก ไม้ยูคาลปิ ตัส และไม้ยางพารามีปริมาณ คาร์บอนเฉล่ียร้อยละ 46.60, 48.95 และ 49.90 ของน้าหนักแห้ง (ตารางท่ี 2) จะเห็นว่าไม้ยางพารามี ปริมาณคาร์บอนเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือไม้ยูคาลิปตัส ในขณะที่ไม้สักมีปริมาณเฉล่ียคาร์บอน น้อยทสี่ ดุ เม่ือพจิ ารณาถึงปริมาณคารบ์ อนในส่วนเหนอื พน้ื ดนิ แต่ละส่วน (ลาต้น กิ่ง และใบ) พบว่า ไมย้ างพารากม็ ีปริมาณคาร์บอนสูงท่สี ดุ ในทุกส่วน คือร้อยละ 48.01, 55.05 และ 52.77 ของน้าหนัก แหง้ ตามลาดับ ในขณะท่ีไม้สักมีปริมาณคาร์บอนต่าท่ีสุด คือร้อยละ 45.35, 45.66 และ 48.58 ของ น้าหนักแห้ง ตามลาดับ ส่วนปริมาณคาร์บอนในส่วนใต้พ้ืนดิน (ราก และรากฝอย) พบว่า ไม้ยูคาลิปตัส มีปริมาณคาร์บอนในรากสูงท่ีสุด คือร้อยละ 48.84 ของน้าหนักแห้ง ในขณะท่ีไม้ ยางพารามีปริมาณคาร์บอนในรากต่าที่สุด คือร้อยละ 46.39 ของน้าหนักแห้ง ส่วนไม้ยางพารามี ปริมาณคาร์บอนในรากฝอยสูงท่ีสุด คือร้อยละ 49.37 ของนา้ หนักแห้ง และไมส้ ักมีปริมาณคาร์บอน ในรากฝอยต่าที่สุด คือร้อยละ 47.25 ของน้าหนักแห้ง จะเห็นว่า ไม้ยางพารามีปริมาณคาร์บอน สะสมอย่ใู นทกุ ส่วนมากท่ีสดุ ยกเวน้ ในรากซงึ่ มีการสะสมของปรมิ าณคาร์บอนน้อยท่ีสุด โดยความ เขม้ ขน้ ของคาร์บอนในมวลชวี ภาพมีความแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติระหว่างชนิดไม้และ ส่วนของต้นไม้ (p<0.05) จากการศึกษาของคณะวนศาสตร์ (2551) พบว่าปริมาณคาร์บอนในส่วน ลาตน้ ก่งิ และใบของพรรณไมป้ ่าชายเลนในจงั หวัดชุมพร จานวน 11 ชนิด พบว่า ปริมาณคาร์บอน ในส่วนเหนือพื้นดิน (ลาต้น ก่ิง และใบ) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 47.98, 47.68 และ 43.33 โดย
9 น้าหนักแห้งตามลาดับ ซึ่งสอดคล้องกับการรวบรวมของ สาพิศ (2550) พบว่า พรรณไม้ในป่า ธรรมชาติและสวนป่าชนิดต่างๆ ของประเทศไทยมีปริมาณคาร์บอนสะสมในมวลชีวภาพภาพโดย เฉล่ียระหว่างร้อยละ 44-55 ของน้าหนักแห้ง อย่างไรก็ตามปริมาณคาร์บอนในลาต้นของไม้สักที่ ศึกษาในคร้ังน้ี (ร้อยละ 45.35) มีค่าค่อนข้างต่าเม่ือเปรียบเทียบกับไม้สักในพื้นที่อ่ืนๆ ที่อายุ ใกลเ้ คยี งกัน ซง่ึ มคี า่ ระหวา่ งร้อยละ 49.79-50.07 (ทศพร และคณะ, 2548) ตารางท่ี 2 คา่ เฉลยี่ ของปรมิ าณคาร์บอน ในสว่ นต่างๆ ของตัวอย่างไม้สกั ไมย้ ูคาลปิ ตัส และไม้ ยางพารา สว่ นของต้นไม้ ความเขม้ ขน้ ของคารบ์ อน (รอ้ ยละของนา้ หนกั แหง้ ) ลาตน้ สกั ยูคาลิปตสั ยางพารา ก่ิง ใบ 45.35 ± 1.46a 47.75 ± 0.57b 48.01 ± 1.88b ราก รากฝอย 45.66 ± 0.45a 47.58 ± 0.80b 50.55 ± 0.77c เฉลย่ี 48.58 ± 0.16a 51.60 ± 0.62b 52.77 ± 0.42c 46.42 ± 5.16a 48.84 ± 1.07a 46.39 ± 0.00a 47.25 ± 0.66a 48.83 ± 1.05a 49.37 ± 0.38a 46.60 ± 1.96 48.95 ± 1.82 49.90 ± 2.40 หมายเหตุ ค่าเฉลยี่ (mean ± SD) ของความเขม้ ข้นของคาร์บอนในแต่ละแถวตามด้วยอกั ษร เดียวกนั มคี วามแตกตา่ งอย่างไมม่ ีนัยทางสถติ ิ (p>0.05) สมการแอลโลเมตรสี าหรบั การประมาณมวลชวี ภาพและการกกั เกบ็ คารบ์ อน จากการวิเคราะห์สมการแอลโลเมตรีของความสัมพันธ์ระหว่างมวลชีวภาพส่ว นต่างๆ (ลาต้น ก่ิง ใบ ราก และรากฝอย) และตัวแปรอิสระ parabolic volume ในรูปแบบต่างๆ คือ ขนาด เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางยกกาลงั สองคูณด้วยความสูงท้ังหมดของต้นไม้ (D2H) โดยเลือกสมการแอลโลเมตรี ท่ีใช้ตัวแปรอิสระท่ีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงอกร่วมด้วย คือ DBH2H เนื่องจากให้ค่า สัมประสิทธิ์ตัวกาหนดสูงใกล้เคียงกับตัวแปรอิสระท่ีใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอื่นๆ เพื่อนาไปใช้ ประมาณคา่ มวลชวี ภาพส่วนต่างๆ ของต้นไม้ ดังตารางท่ี 3 และเมื่อนาค่าความเข้มข้นของคาร์บอน มาใช้ร่วมกับสมการดังกล่าวทาให้สามารถสร้างสมการสาหรับประมาณค่าการกักเก็บคาร์ บอนใน มวลชีวภาพไดด้ ังตารางที่ 4 อย่างไรกต็ าม สมการสาหรบั ประมาณค่ามวลชีวภาพของก่ิง และการกัก เก็บคาร์บอนในกิ่งของไม้ยางพาราไม่มีนัยสาคัญทางสถิติจึงใช้การคานวณจากส่วนต่างของมวล ชวี ภาพเหนอื พ้นื ดินและมวลชวี ภาพของลาตน้ และใบแทน
10 ตารางที่ 3 สมการแอลโลเมตรขี องมวลชวี ภาพส่วนตา่ งๆ ของไมส้ ัก ไม้ยคู าลปิ ตัส และไม้ ยางพารา ชนดิ มวลชวี ภาพ สมการ R2 สกั (กก./ต้น) WS = 0.0439 (DBH2H) 0.8666 ลาตน้ (WS) 0.99 ยูคาลิปตสั 0.93 กงิ่ (WB) WB = 0.0307 (DBH2H) 0.8434 0.82 ยางพารา 0.97 ใบ (WL) WL = 0.0056 (DBH2H) 0.9568 0.79 หมายเหตุ: 0.99 ราก (WR) WR = 0.1286 (DBH2H) 0.6069 0.93 0.89 รากฝอย (Wr) Wr = 0.2924 (DBH2H) 0.4255 0.93 0.94 เหนอื พนื้ ดนิ (WT) WT = 0.0798 (DBH2H) 0.8706 0.94 0.94 ลาตน้ (WS) WS = 0.0305 (DBH2H) 0.9862 0.97 - กงิ่ (WB) WB = 0.0008 (DBH2H) 1.2698 0.91 0.95 ใบ (WL) WL = 0.0003 (DBH2H) 1.1666 0.92 0.95 ราก (WR) WR = 0.0121 (DBH2H) 0.969 รากฝอย (Wr) Wr = 0.0104 (DBH2H) 0.9456 เหนอื พื้นดนิ (WT) WT = 0.0296 (DBH2H) 1.028 ลาตน้ (WS) WS = 0.0804 (DBH2H) 0.8341 กง่ิ (WB) WB = WT- WS-WL ใบ (WL) WL 0.000008 (DBH2H) 1.4986 ราก (WR) WR = 0.0005 (DBH2H) 1.269 รากฝอย (Wr) Wr = 0.0022 (DBH2H) 1.0296 เหนอื พืน้ ดิน (WT) WT = 0.0046 (DBH2H) 1.2046 DBH คือ เสน้ ผ่าศูนยก์ ลางเพียงอก (เซนตเิ มตร) H คอื ความสงู (เมตร)
11 ตารางท่ี 4 สมการแอลโลเมตรีของการกักเก็บคาร์บอนในมวลชวี ภาพส่วนตา่ งๆ ของไม้สกั ไมย้ ูคาลิปตัส และไมย้ างพารา ชนดิ การกักเกบ็ คารบ์ อน สมการ R2 สัก (กก./ต้น) CS = 0.01991 (DBH2H) 0.8666 0.99 ยคู าลิปตสั ลาตน้ (CS) 0.93 0.82 ยางพารา กิ่ง (CB) CB = 0.01401 (DBH2H) 0.8434 0.97 0.79 หมายเหตุ: ใบ (CL) CL = 0.00027 (DBH2H) 0.9568 0.99 0.93 ราก (CR) CR = 0.05970 (DBH2H) 0.6069 0.89 0.93 รากฝอย (Cr) Cr = 0.13816 (DBH2H) 0.4255 0.94 0.94 เหนอื พ้ืนดิน (CT) CT = 0.03719 (DBH2H) 0.8706 0.94 0.97 ลาตน้ (CS) CS = 0.01456 (DBH2H) 0.9862 - 0.91 กิ่ง (CB) CB = 0.00038 (DBH2H) 1.2698 0.95 0.92 ใบ (CL) CL = 0.00015 (DBH2H) 1.1666 0.95 ราก (CR) CR = 0.00591 (DBH2H) 0.969 รากฝอย (Cr) Cr = 0.00508 (DBH2H) 0.9456 เหนอื พ้ืนดนิ (CT) CT = 0.01449 (DBH2H) 1.028 ลาตน้ (CS) CS = 0.03860 (DBH2H) 0.8341 กิง่ (CB) CB = WT- WS-WL ใบ (CL) CL 0.000004 (DBH2H) 1.4986 ราก (CR) CR = 0.00023 (DBH2H) 1.269 รากฝอย (Cr) Cr = 0.00109 (DBH2H) 1.0296 เหนอื พนื้ ดนิ (CT) CT = 0.00230 (DBH2H) 1.2046 DBH คือ เส้นผ่าศูนย์กลางเพยี งอก (เซนติเมตร) H คือ ความสงู (เมตร)
12 มวลชีวภาพ ผลการประเมินค่ามวลชีวภาพของไม้ท้ัง 3 ชนิด จากสมการความสัมพันธ์ดังตารางที่ 3 พบว่า ปริมาณมวลชีวภาพรวมของไม้สัก ไม้ยูคาลิปตัส และยางพารา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 27.455, 118.320 และ 150.978 ตัน/เฮกตาร์ ตามลาดับ (ตารางที่ 5) ไม้ยางพารามีมวลชีวภาพรวมสูงท่ีสุด โดยมีปริมาณมวลชีวภาพเหนือพ้ืนดินเท่ากับ 113.864 ตัน/เฮกตาร์ และมีปริมาณมวลชีวภาพใต้ พื้นดินเท่ากับ 37.114 ตัน/เฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 33 ของมวลชีวภาพส่วนท่ีอยู่เหนือพ้ืนดิน) ในขณะทไี่ ม้ยูคาลิปตัส มีมวลชีวภาพเหนือพื้นดินเท่ากับ 82.233 ตันต่อเฮกตาร์ และมวลชีวภาพใต้ พนื้ ดนิ เทา่ กับ 36.087 ตันตอ่ เฮกตาร์ (คดิ เปน็ รอ้ ยละ 44 ของมวลชีวภาพส่วนท่ีอยู่เหนือพ้ืนดิน) และ ไม้สักซึ่งมีมวลชีวภาพต่าที่สุด มีมวลชีวภาพเหนือพื้นดินเท่ากับ 19.211 ตันต่อเฮกตาร์ และมวล ชีวภาพใต้พ้ืนดินเท่ากับ 8.244 ตันต่อเฮกตาร์ (คิดเป็นร้อยละ 43 ของมวลชีวภาพส่วนที่อยู่เหนือ พ้ืนดิน) จะเห็นได้ว่าไม้สักและไม้ยูคาลิปตัส มีอัตราส่วนของมวลชีวภาพใต้พื้นดินต่อมวลชีวภาพ เหนือพื้นดินสงู กวา่ ไม้ยางพารา อยา่ งไรก็ตาม ไมส้ กั มมี วลชวี ภาพรวมตา่ กว่าไม้ยางพาราและไม้ยูคา ลิปตัสมาก (คิดเป็นร้อยละ 18.19 และ 23.20 ของไม้ยางพาราและไม้ยูคาลิปตัส ตามลาดับ) เนื่องจากไม้สักมีการเติบโตทั้งทางความโตและความสูงน้อยกว่าไม้ทั้งสองชนิดมาก ถึงแม้ว่าความ หนาแน่นของตน้ ไมท้ ่ีเหลอื อย่มู คี วามแตกต่างกนั นอ้ ยกต็ าม เชน่ เดียวกบั การเติบโต มวลชวี ภาพของไมท้ ง้ั 3 ชนดิ มีค่าเฉลี่ยต่าเมอ่ื เปรียบเทยี บกับไม้ ชนดิ เดยี วกนั ทม่ี ีการศกึ ษาท่ผี ่านมา เชน่ ไม้ยางพาราท่ีทาการศกึ ษาคร้งั น้มี ีมวลชีวภาพน้อยกว่าไม้ ยางพาราที่อายุ 25 ปี ซงึ่ มีมวลชีวภาพเหนือพนื้ ดินถึง 49 ตัน/ไร่ หรอื 306.25 ตัน/เฮกตาร์ (อารกั ษ์ และคณะ, มปป.) ในทานองเดยี วกนั จากการรวบรวมข้อมูลของนาฏสุดา (2547) พบว่า ไม้สักอายุ ระหว่าง 19-30 ปี มมี วลชีวภาพเหนือพื้นดินโดยเฉลยี่ ถึง 129 ตัน/เฮกตาร์ ซึ่งมากกวา่ ไมส้ ักอายุ 22 ปี ทศ่ี ึกษาในครั้งนถ้ี งึ 4 เท่า ในขณะที่มวลชวี ภาพเหนือพื้นดนิ ของไม้ยูคาลิปตัส ทม่ี อี ายเุ พยี ง 14 ปี มีคา่ เท่ากับ 119.5 ตนั /เฮกตาร์ ซ่งึ มคี า่ มากกว่ามวลชีวภาพของไมย้ ูคาลิปตัส อายุ 23 ปที ศ่ี ึกษาในคร้งั นีถ้ งึ รอ้ ยละ 40 (เสริมพงศ์, 2545) นอกจากน้ี จากการศกึ ษาของ ชิงชยั (2550) พบวา่ มวลชวี ภาพของไมม้ คี วามแตกตา่ งกนั ตามพ้ืนท่ีปลูกและปัจจยั ท่มี ีอิทธิพลโดยตรงต่อมวลชวี ภาพ คอื ปริมาณน้าฝนรายปี โดยท่ีมวล ชีวภาพจะเพิม่ ขนึ้ ในพ้ืนท่ีที่มีปรมิ าณนา้ ฝนมาก อย่างไรก็ตามการพฒั นาสายพนั ธุ์ก็เปน็ ปจั จยั หนงึ่ ท่ี มีผลตอ่ มวลชีวภาพ โดยจะเหน็ ไดว้ า่ ยูคาลิปตสั ทผ่ี า่ นการปรบั ปรงุ พันธม์ุ าอย่างต่อเนือ่ ง มกี าร เตบิ โตดีกวา่ ไม้อื่นๆ อย่างชดั เจน สง่ ผลให้มีผลผลติ สงู กว่าไมช้ นิดอ่นื ท่ีใช้ระยะเวลาเท่ากนั
13 ตารางที่ 5 มวลชวี ภาพส่วนตา่ งๆ ของไม้สกั ไม้ยคู าลิปตัส และไม้ยางพารา ชนดิ มวลชีวภาพ (กก./ต้น) มวลชวี ภาพ (ตนั /เฮกตาร)์ สกั (ตัน/ไร่) ลาตน้ 15.687 10.687 ยูคาลิปตสั กงิ่ 9.294 1.710 6.332 คามาลดูเลนซิส ใบ 3.824 1.013 2.605 ราก 7.331 0.417 4.994 ยางพารา รากฝอย 4.771 0.799 3.250 เหนอื พื้นดนิ 28.199 0.520 19.211 ใตพ้ ืน้ ดิน 12.102 3.074 8.244 รวม 40.301 1.319 27.455 ลาตน้ 74.620 4.393 61.561 กง่ิ 21.687 9.850 17.892 ใบ 3.369 2.863 2.780 ราก 25.629 0.445 21.144 รากฝอย 18.112 3.383 14.943 เหนอื พื้นดิน 99.676 2.391 82.233 ใตพ้ ้ืนดิน 43.742 13.157 36.087 รวม 143.418 5.774 118.320 ลาต้น 134.704 18.931 79.138 ก่ิง 53.776 12.662 31.593 ใบ 5.331 5.055 3.132 ราก 41.853 0.501 24.589 รากฝอย 21.320 3.934 12.525 เหนือพืน้ ดิน 193.811 2.004 113.864 ใตพ้ ้นื ดิน 63.172 18.218 37.114 รวม 256.984 5.938 150.978 24.156
14 การกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพ การกกั เกบ็ คาร์บอนตามส่วนต่างๆ ของตน้ ไม้ พบว่า มีแนวโนม้ เช่นเดียวกับมวลชวี ภาพ ไม้ยางพารามีการกกั เกบ็ คาร์บอนไดส้ ูงสุด รองลงมาคอื ไม้ยคู าลปิ ตสั และไม้สัก ตามลาดบั โดยไม้ ยางพารามกี ารกกั เกบ็ คาร์บอนรวม 73.207 ตัน/เฮกตาร์ แยกเป็นสว่ นเหนือพนื้ ดินและใตด้ ิน เทา่ กบั 55.617 และ 17.590 ตนั /เฮกตาร์ ตามลาดบั (ตารางที่ 6) ไมย้ คู าลปิ ตสั คามาลดูเลนซสิ มกี ารกักเกบ็ คาร์บอนรวม 56.966 ตนั /เฮกตาร์ แยกเปน็ ส่วนเหนือพ้ืนดินและใต้ดนิ มคี ่าเฉล่ียเทา่ กบั 39.344 และ 17.622 ตัน/เฮกตาร์ ตามลาดับ และไมส้ กั มคี า่ การกักเกบ็ คารบ์ อนนอ้ ยท่สี ดุ เทา่ กบั 12.857 ตนั / เฮกตาร์ แยกเป็นสว่ นเหนือพื้นดนิ และใตด้ นิ มคี ่าเฉลยี่ เทา่ กับ 9.003 และ 3.854 ตัน/เฮกตาร์ ตามลาดับ จะเห็นไดว้ า่ การกกั เกบ็ คาร์บอนของตน้ ไม้น้ันขึน้ อย่กู ับปริมาณมวลชีวภาพของต้นไม้ นน้ั ๆ มากกว่าความเข้มข้นของคาร์บอนท่ีอยู่ในมวลชีวภาพ กล่าวคอื ถ้าต้นไมม้ มี วลชีวภาพมากก็ สามารถกกั เก็บคารบ์ อนได้ในปริมาณมากเช่นกัน ดงั น้ันไมโ้ ตเรว็ จึงสามารถกกั เกบ็ คารบ์ อนไดใ้ น ปริมาณท่มี าก เม่ือเทยี บกบั ไมอ้ ื่นในระยะเวลาปลูกทีเ่ ท่ากัน จากวิเคราะห์ความเพิ่มพูนเฉลี่ยรายปีของมวลชีวภาพรวมของต้นไม้ท่ีทาการศึกษา พบว่า ไม้ยางพารามีความเพ่ิมพูนเฉลี่ยรายปีสูงท่ีสุด เท่ากับ 1.050 ตัน/ไร่/ปี หรือ 6.564 ตัน/เฮกตาร์/ปี รองลงมาคือไม้ยูคาลิปตัส และสัก ซ่ึงมีความเพิ่มพูนรายปี เท่ากับ 0.823 และ 0.225 ตัน/ไร่/ปี หรือ 5.144 และ 1.248 ตัน/เฮกตาร์/ปี ตามลาดับ (ตารางท่ี 7) ความเพิ่มพูนเฉลี่ยรายปีของมวลชีวภาพ นอกจากจะมคี วามแตกต่างไปตามชนดิ ไมแ้ ล้วยังมคี วามแตกต่างไปตามพื้นที่ปลูก จากการรวบรวม ข้อมูลของชิงชัย (2550) พบว่า ไม้ยูคาลิปตัส ไม้กระถินเทพา และไม้กระถินยักษ์ มีความเพิ่มพูน ของผลผลิตแตกต่างกันไปตามปริมาณน้าฝนของพ้ืนที่ปลูก (1.07-3.40 ตัน/ไร่/ปี) โดยไม้ที่ปลูกใน พ้ื น ที่ มี ป ริ ม า ณ น้ า ฝ น ม า ก จะ ใ ห้ ผ ล ผ ลิ ตสู ง ก ว่ า ไ ม้ ท่ี ป ลู ก ใ น พื้ น ที่ ท่ี มี ป ริ ม า ณ น้ า ฝ น น้ อ ย ก ว่ า นอกจากน้ีการจดั การสวนป่ายังสามารถช่วยเพิ่มความเพ่ิมพูนเฉล่ียรายปีของมวลชีวภาพ จะเห็นได้ ว่าผลผลิตของไม้สักท่ีศึกษาในครั้งนี้มีค่าต่ากว่าค่าเฉล่ียที่ นาฏสุดา (2547) ได้รวบรวมผลผลิตของ ไมส้ กั จากสวนป่าต่างๆของบริษัทไม้อัดไทย ที่มีการจัดการตามแผนงาน ซ่ึงมีค่าเท่ากับ 0.5 ตัน/ไร่/ ปี ทงั้ นี้ เน่อื งจากไมส้ กั ที่ศกึ ษาไม่ได้มีการจัดการตามวนวัฒนวิธีท่ีเหมาะสม เช่น การตัดขยายระยะ (thinning) ในชว่ งทีอ่ ัตราการเติบโตเร่มิ ลดลง เพ่อื ช่วยใหไ้ มท้ ่ีเหลือมีการเติบโตเพ่มิ ข้นึ
15 ตารางท่ี 6 การกกั เกบ็ คาร์บอนในมวลชีวภาพส่วนต่างๆ ของไมส้ ัก ไม้ยูคาลิปตัส และไมย้ างพารา ชนดิ สว่ นของตน้ ไม้ การกกั เก็บคารบ์ อน สัก ลาต้น (กก./ต้น) (ตัน/ไร)่ (ตัน/เฮกตาร)์ ยูคาลปิ ตสั กง่ิ ใบ 7.114 0.775 4.846 ยางพารา ราก 4.244 0.463 2.891 รากฝอย 1.858 0.202 1.266 เหนือพืน้ ดิน 3.403 0.371 2.318 ใต้ดิน 2.254 0.246 1.536 รวม 13.216 1.441 9.003 ลาต้น 5.657 0.617 3.854 กง่ิ 18.873 2.057 12.857 ใบ 35.63 ราก 10.319 4.703 29.397 รากฝอย 1.739 1.362 8.513 เหนอื พน้ื ดนิ 12.516 0.230 1.434 ใตด้ นิ 8.843 1.652 10.326 รวม 47.690 1.167 7.296 ลาตน้ 21.359 6.295 39.344 กิ่ง 69.049 2.819 17.622 ใบ 64.671 9.115 56.966 ราก 27.183 รากฝอย 2.813 6.079 37.994 เหนือพน้ื ดิน 19.416 2.555 15.970 ใต้ดิน 10.525 0.264 1.653 รวม 94.667 1.825 11.407 29.941 0.989 6.184 124.608 8.899 55.617 2.814 17.590 11.713 73.207
16 ตารางที่ 7 ค่าความเพม่ิ พนู รายปขี องมวลชีวภาพรวม และการกักเก็บคารบ์ อน ของไม้สัก ไม้ยคู า ลปิ ตสั และไม้ยางพารา ชนิด อายุ (ป)ี ระยะปลูก ความเพมิ่ พูนรายปี (ตนั /ไร่/ป)ี (ตนั /เฮกตาร์/ปี) มวลชวี ภาพรวม สกั 22 4.0 X 4.0 ม. 0.225 1.248 ยคู าลปิ ตัส 23 ยางพารา 23 2.0 X 4.0 ม. 0.823 5.144 สกั 22 2.5 x 6.0 ม. 1.050 6.564 ยูคาลิปตสั 23 ยางพารา 23 การกกั เกบ็ คารบ์ อน สัก 22 4.0 X 4.0 ม. 0.094 0.584 ยคู าลปิ ตสั 23 ยางพารา 23 2.0 X 4.0 ม. 0.396 2.477 2.5 x 6.0 ม. 0.509 3.183 การดดู ซบั กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ 4.0 X 4.0 ม. 0.345 2.141 2.0 X 4.0 ม. 1.452 9.082 2.5 x 6.0 ม. 1.866 11.671 จากผลการศึกษายังพบว่า ความเพ่ิมพูนเฉลี่ยรายปีมีความสอดคล้องกับการกักเก็บคาร์บอน น่ันคือ ไม้ยางพารามีความเพิ่มพูนรายปีสูงท่ีสุดส่งผลให้ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนสูง ทีส่ ดุ รองลงมาคอื ไม้ยูคาลิปตสั และไมส้ กั ซึ่งมีความเพม่ิ พูนรายปีต่าทีส่ ุด ทาให้มคี วามสามารถใน การกักเก็บคาร์บอนต่าท่ีสุด โดยค่าความเพิ่มพูนของการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพของ ไม้ยางพารา ไม้ยูคาลิปตัส และไม้สัก มีค่าเท่ากับ 0.387, 0.274 และ 0.066 ตัน/ไร่/ปี หรือ 2.418, 1.711 และ 0.409 ตัน/เฮกตาร์/ปี ตามลาดับ หรืออาจกล่าวได้ว่า ไม้ยางพารา ไม้ยูคาลิปตัส และ ไม้สัก สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศได้สุทธิ เท่ากับ 1.866, 1.452 และ 0.345 ตัน/ไร/่ ปี หรอื 11.671, 9.082 และ 2.141 ตัน/เฮกตาร/์ ปี (ตารางที่ 7) สรุปและขอ้ เสนอแนะ การศึกษาการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพของไม้สัก ไม้ยูคาลิปตัส และไม้ยางพาราท่ี ปลูกในบริเวณศูนย์การพัฒนาภพู านอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ จังหวัดสกลนคร โดยการประมาณ มวลชีวภาพในส่วนต่างๆ ของต้นไม้ จากสมการความสัมพันธ์ในรูปสมการแอลโลเมตรี สามารถ สรุปได้ว่ามวลชีวภาพรวมของไม้ยางพารามีปริมาณสูงที่สุด ในขณะท่ีไม้ยูคาลิปตัส และไม้สักมี
17 มวลชวี ภาพรวมรองลงมา ตามลาดับ โดยไมย้ างพารามีการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพสูงกว่าไม้ ยูคาลิปตัสและไม้สัก ทั้งนี้เป็นผลมาจากความแตกต่างของมวลชีวภาพมากกว่าความเข้มข้นของ คาร์บอนในส่วนต่างๆ ของต้นไม้ เน่ืองจากความเข้มข้นของคาร์บอนในมวลชีวภาพ ถึงแม้จะมี ความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติระหว่างชนิดไม้ แต่มีสัดส่วนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับความ แตกตา่ งของมวลชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ผลผลิตมวลชีวภาพของไม้ท้ัง 3 ชนิด ที่ศึกษาในคร้ังนี้ มีค่าต่าเม่ือ เปรียบเทียบกับไม้ชนิดเดียวกันที่เคยมีการศึกษาไว้ ท้ังน้ีเนื่องจากแปลงปลูกไม้ที่ศึกษาเป็นเพียง พ้นื ทป่ี ลูกเพื่อฟื้นฟปู ่าในช่วงแรกๆ ขณะน้ีมีอายุมากและไม่ได้รับการจัดการและดูแลอย่างต่อเน่ือง นอกจากน้ีกล้าไม้ที่นามาปลูกก็ไม่ได้มีการคัดเลือกจากแหล่งเมล็ดคุณภาพดี และ/หรือ ผ่านการ ปรับปรุงพันธ์ุ ซึ่งในปัจจุบันไม้โตเร็วหลายชนิดรวมทั้ง ไม้ยูคาลิปตัส ไม้ยางพารา มีการปรับปรุง พันธ์ุให้มีการเติบโตเร็วและปรับตัวเข้ากับพ้ืนที่ปลูกได้ดี ดังน้ัน การปลูกต้นไม้เพื่อให้สามารถกัก เก็บคารบ์ อนไดม้ าก จงึ ควรเลือกชนิดไม้ทีม่ ีการเตบิ โตเร็วและมีความเพ่ิมพูนของมวลชีวภาพสูง จึง ทาให้สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ในปริมาณสูงด้วย เน่ืองจากปริมาณการกักเก็บคาร์บอนสัมพันธ์ เป็นสดั ส่วนโดยตรงกับมวลชีวภาพ เอกสารและสงิ่ อ้างอิง กรมพฒั นาท่ดี ิน. 2535. การใชป้ ระโยชน์ท่ีดินจงั หวัดสกลนคร พ.ศ. 2535. กรมพฒั นาทด่ี ิน, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรุงเทพฯ. คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. 2551. รายงานฉบบั สมบูรณโ์ ครงการประเมินมูลค่า และการพึ่งพิงทรพั ยากรป่าชายเลน. เสนอต่อ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่งั . มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ. ชิงชยั วริ ยิ ะบญั ชา. 2550. การศกึ ษาการปลูกไมโ้ ตเรว็ สาหรับใชผ้ ลติ ไฟฟ้าในชมุ ชน, น. 164-207. ใน การสัมมนาเผยแพร่ผลงานวจิ ยั โรงไฟฟ้าต้นแบบชวี มวลขนาดเล็กสาหรับชุมชนแบบครบ วงจร. มหาวทิ ยาลัยสุรนารี, นครราชสีมา. ชัยรัตน์ อรา่ มศรี. 2542. การวิเคราะหก์ ารเตบิ โตของสายตน้ ยูคาลปิ ตสั คามาลดเู ลนซิส อายุ 5 ปี. วิทยานิพนธป์ รญิ ญาโท, มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ทศพร วชั รางกูล, ชิงชัย วิริยะบัญชา และกันตินันท์ ผวิ สอาด. 2548. การประมาณปรมิ าณการ สะสมของคารบ์ อนในตน้ ไม้ในสวนปา่ เพ่อื การอุตสาหกรรมในประเทศไทย, น. 137-155. ใน
18 รายงานการประชุมวิชาการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศทางดา้ นป่าไม้. กรมอุทยาน แห่งชาตสิ ตั วป์ า่ และพันธ์พุ ชื , กรุงเทพฯ. ธนากร ลัทธ์ถิ ีระสุวรรณ. 2543. โครงสรา้ งของป่าในพื้นท่ลี มุ่ น้าห้วยไร่ บริเวณศนู ย์ศกึ ษาการ พฒั นาภูพานอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาริ จังหวดั สกลนคร. ปญั หาพิเศษปริญญาโท. บัณฑติ วทิ ยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. นาฎสดุ า ภมู ิจานง. 2547. แหลง่ กกั เก็บกา๊ ซเรือนกระจกจากภาคปา่ ไม้ และกจิ กรรมการ เปลยี่ นแปลงการใช้ประโยชน์ทีด่ ินภายใตพ้ ธิ สี ารเกียวโต. ใน เอกสารประกอบการประชุมการ เปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศทางด้านป่าไม.้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพันธุพ์ ืช. กรุงเทพฯ. บุญเลศิ ศรสี ุขใส. 2534. การเจรญิ เตบิ โตและผลผลติ ของไม้สักในสวนปา่ อายุ 18 ปี องค์การ อตุ สาหกรรมป่าไม้. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาโท. มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ. ศนู ย์ศึกษาการพฒั นาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดาร.ิ 2550. ลักษณะท่ตี ง้ั ของศนู ย์ศึกษาการ พฒั นาภพู านอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ. แหล่งทม่ี า: http://www.puparn.com/puparn2.htm, 15 กรกฎาคม 2550. สาพศิ ดิลกสมั พนั ธ์. 2550. การกักเก็บคาร์บอนของป่าไมก้ ับสภาวะโลกร้อน. วารสารอนุรกั ษด์ ิน และน้า 22(3): 40-49. เสรมิ พงศ์ นวลงาม. 2545. บทบาทของการปลูกสร้างสวนปา่ ตอ่ การกักเกบ็ คารบ์ อนและคณุ สมบตั ิ ของดินบางประการ ท่สี ถานีวิจัยและฝึกอบรมการปลูกสร้างสวนป่า จงั หวดั นครราชสมี า. วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาโท, มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. อารกั ษ์ จนั ทมุ า, สุจนิ ต์ แม้นเหมอื น, สวา่ งรัตน์ สมนาค, ธรี ชาต วชิ ิตชลชัย, วนั เพ็ญ พฤกษ์ววิ ฒั น์, พิบลู ย์ เพช็ รยิง่ , พสิ มัย จันทุมา, พนัส แพชนะ และ สริ วิ ัตร เต็มสงสัย. มปป. การเก็บรักษา กา๊ ซคารบ์ อนในสวนยาง. ใน รายงานวิจัยโครงการวจิ ยั และพฒั นาระบบกรีดสรีระที่เหมาะสม การเพมิ่ ผลผลิตสวนยาง. ศูนย์วจิ ัยยางฉะเชงิ เทรา, ฉะเชิงเทรา. Kira, T. and T. Shidei. 1967. Primary production and turnover to organic matter in different forest ecosystems of the western pacific. J. Jap. Ecol. 17:70-87.
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: